ReadyPlanet.com


รวบรวมประสบการณ์การฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านสวนพีระมิด


 ใครมีประสบการณ์อะไรในการฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านสวนพีระมิด เชิญบอกเล่าเป็นธรรมทานให้แกญาติธรรมทุกท่านได้ในกระทู้นี้เลยครับ

ไม่ว่าจะเป็นการสื่อโดยเบื้องบน การท่องไปในจักรวาล หรือการฝึกกสิณต่างๆ

เชิญเลยครับ...



ผู้ตั้งกระทู้ คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-05-01 22:17:37


<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 501 (1560890)

ฮ่า ฮ่า หนูแหวนถามได้น่า"ต๊กกะใจ"มั่กๆ แหม่..ฟังแ่ล้ว

เหมือนถามว่า ยอดขายขนาดนี้

เปิดร้านขายยา หรือ ค้ายา(..) กันแน่เจ๊...

 

โอ้วว...อย่าคิดไปไกลขนาดนั้นเลย ขออภัยที่ลืมเขียนว่า

ยอดที่บอกน่ะ คิดเป็นเงินไทยแล้ว..คร๊าบ..พี่น้อง

ก็เป็นร้ายขายยาทั่วไป ธุรกิจเล็กๆระดับครอบครัวเท่านั้นจ๊า..

แบบว่า ก็พออยู่ได้สบายๆ ในระดับกลางๆ

และมีเวลาพักผ่อนเพียงพอ เท่านั้นเอง..

แหม่..ถ้าขายวันเดียว แล้วได้ยอดทะลุแสน PLN

ก็คงจะเลิศไม่น้อยนะนั่น แบบว่าขายวันเีดียว

ได้ยอดพอๆกับครึ่งเดือนเลยนะนั่น..


แต่มีเรื่องจะสารภาพแหล่ะ แบบว่า เมื่อวานตอนเช้า

ตื่นมาก็ไม่ได้กลิ่นการบูรแล้วอ่ะ ทำไมกลิ่นหายเร็วจังหนอ

ใครมีเคล็ดลับทำให้กลิ่นอยู่ได้นานๆ ช่วยบอกที

คือชนิดาใช้การบูรน้ำ ชุบสำลีใส่ขวดแก้วเล็กๆวางในห้องน้ำ

ห้องนอน แล้วก็ห้องเก็บของค่ะ แต่กลิ่นไม่ฟุ้งแล้ว

แผ่วมากๆ เมื่อวานชนิดาก็เลยไปพึ่งความหอมแบบเคมีอีกล่ะ..

ตัวเองก็เพิ่งจะบ่นไปเองนะว่าไม่ชอบ

แต่สุดท้ายก็ซื้อก้อนหอมปรับอากาศ และ คริสตัลเจล มา

กลิ่นหอมนะ แต่..หอมจน"มึน"และ"ปวดหัว"เลย..

ไม่หอมสดชื่นและ จรรโลงใจเล๊ย.. แต่ซื้อมาแล้ว

ก็คงต้องใช้ให้จนหมดกลิ่น ถึงตอนนั้นก็คงจะได้วิธีการ

ทำให้กลิ่นการบูรอยู่ได้นานๆ และที่สำคัญ การบูรหมดขวดไปแล้ว

สงสัยต้องสั่งซื้อก้อนการบูรมาจากไทยแล้วกระมัง.. ที่นี่ ยังหาไม่เจอเลย..

บ่นไปเรื่อย..

 

อ้อ..เมื่อวานไปซื้่อดอกกุลาบ ขาว เหลือง ส้ม มาแล้วจ๊า.

มาัปักแจกันรวมกันแล้ว สวยมั่กๆ เดินหอบดอกกุหลาบกลับบ้าน

คนยังมองเลย แหม่..ทำให้คนถือ ดูสวยขึ้นมาเป็น"กอง"เลย ฮิฮิ

ส่วนแจกันที่ร้าน ปักแค่สีละดอกเท่านั้น ตามอัตภาพ..จ๊า..

 

ว่าแล้วก็ อนุโมทนากับหนูแหวน เสือปืนไวในการทำุบุญ ด้วยนะคะ สาธุ

อนุโมทนากับธรรมทานจากคุณพี่สุ และ น้องเบลล์ ค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 02:37:33


ความคิดเห็นที่ 502 (1560924)

สาธุ สาธุ สาธุกับทุกท่านด้วยนะคะ

มีข่าวมาบอกค่ะ เมื่อเช้าได้นั่งสมาธิหลังจากทำการอุทิศบุญและได้ส่งถึงท่านดตาจินินด้วย ท่านก็เมตตามาหาบอกให้ฝึกเหยียบเท้าองค์สฟิงค์ด้วยค่ะ ท่านบอกให้ฝึกทุกวันก่อนที่แกนโลกจะพลิก เวลาร่นเข้ามากแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์ รีบๆฝึกกันเลยนะคะ และท่านอ.อุบลก็เคยเตือนแล้วเช่นกันนะคะ อย่าลืม

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 09:29:29


ความคิดเห็นที่ 503 (1560937)

รบกวนน้องไอซ์ ช่วยอธิบาย ถึงขั้นตอน วิธีการ การฝึกเหยียบด้วยค่ะ

เผื่อคนเข้ามาใหม่จะได้ไม่คิดปรามาส **ขึ้นเหยียบจริงๆๆ เพราะมีคนคิดเช่นนี้มาแล้ว (ลูกบ้านสวนช่างใส ซื่อ บริสุทธิ์ จริงๆ)

             ขออนุโมทนาบุญค่ะ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 11:00:07


ความคิดเห็นที่ 504 (1560941)

กราบขอพระคุณ คุณไอซ์ด้วยนะค่ะที่ฝากข่าวดีๆมาบอก

และรบกวนสอนวิธีฝึกเหยียบด้วยได้หรือไม่ค่ะ

คือดิฉันเป็นสมาชิกใหม่ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะ

สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนวดี รัชตารมย์ (thanavadee_r-at-sepo-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 11:19:36


ความคิดเห็นที่ 505 (1560944)

แฮะๆๆ เมื่อเช้าเป็นครั้งแรกที่ฝึกเหมือนกันค่ะ หลังจากคุยกับท่านเสร็จก็กำหนดจิตนึกถึงองค์เทพสฟิงค์ที่อยู่วิหาร แล้วก็เห็นองค์ท่าน จากนั้นกำหนดจิตขึ้นไปเหยียบบนเท้าขวาของท่าน ยืนอยู่พักนึกก็ลง

แต่จะให้ถูกวิธีจริงๆต้องรอลูกบ้านสวนท่านอื่นที่ได้ทำการเข้าค่าย และท่านอ.อุบลนำไปเหยียบเท้าองค์สฟิงค์มาบอกอีกครั้งนึงนะคะ อย่าเผลอเดินเข้าไปในพระวิหารแล้วปีนขึ้นไปเหยียบของจริงๆเอานะคะ อิอิ

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 11:26:00


ความคิดเห็นที่ 506 (1560945)

อนุโมทนาครับพี่ไอซ์

ขอบคุณมากๆครับที่เตือน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 11:30:08


ความคิดเห็นที่ 507 (1560956)

กราบขอบพระคุณ คุณไอซ์มากนะค่ะ

น่าเสียดายเหลือเกินที่การเข้าค่าย ๙ มหามงคลนี้

ดิฉันไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมด้วย

ยังงัยฝากญาติธรรมช่วยมาเล่าให้ฟัง

หลังจากเข้าค่ายเสร็จแล้วด้วยนะค่ะ

สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนวดี รัชตารมย์ (thanavadee_r-at-sepo-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 12:00:57


ความคิดเห็นที่ 508 (1560961)
image

ขออนุญาติแชร์ประสบการณ์ของตัวเองนะคะ

เท่าที่จำได้ ก็ไม่มีอะไรมากนะคะ

เราก็แค่กำหนดจิตนึกถึงองค์เทพสฟิงซ์

แล้วให้เราจินตนาการว่าตัวเราขึ้นไปยืนอยู่บนเท้าขวาของท่าน

ตัวเราก็เล็กเหลือนิดเดียวค่ะ (ซึ่งจะง่ายกว่าเราทำตัวใหญ่ค่ะ)

เป็นความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ แห่ะๆ

แล้วก็ทำจิตให้สงบน่ะค่ะ ไม่มีอะไรมาก

แต่อย่างไรก็ดี ตุ้ยอาจหลงลืมขั้นตอนอื่นไป

รบกวนให้ญาติธรรมท่านอื่นมาเหลาต่อค่ะ

ส่วนตัวตุ้ยใช้ภาพด้านบนในการทำสมาธิค่ะ

เพราะเท้าท่านใหญ่ดีค่ะ น่าจะยืนถนัดกว่าภาพอื่น อิๆ

โดยปริ๊นแล้วแปะไว้ที่โต๊ะหมู่ที่ใช้สวดมนต์

เพื่อการง่ายในการจินตนาการค่ะ

เหมาะสำหรับผู้ที่ยังจินตนาการถึงท่านไม่ค่อยได้ค่ะ

ไม่สงวนลิขสิทธินะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 12:31:38


ความคิดเห็นที่ 509 (1560963)

สาธุ ในธรรมทาน ค่ะ คุณตุ้ย

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนวดี รัชตารมย์ (thanavadee_r-at-sepo-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-29 12:46:40


ความคิดเห็นที่ 510 (1561152)

ขอเหลาต่อคุณตุ้ยอีกนิดหนึ่งคือ

เวลาขึ้นเหยียบให้ใช้เท้าขวาขึ้นเหยีียบค่ะ

และหันหน้าไปทางด้านเดียวกันกับองค์สฟริงค์ค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉันทนา ชูนุ่น (coffe-dot-i-joker-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-30 18:19:07


ความคิดเห็นที่ 511 (1561153)

ขออนุโมทนากับพี่ไอซ์ พีตุ้ย พี่ฉันทนา และทุกๆท่านด้วยนะครับ ที่มาแบ่งปันเรื่อง การกำหนดจิตขึ้นไปเหยียบเท้าขวาองค์เทพสฟิงค์ สาธุ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-30 18:49:40


ความคิดเห็นที่ 512 (1561297)

มาแล้วค่ะ

ค่าย 9 มหามงคล

" เตือนภัย เตรียมใจ สู่โลกยุคศิวิไลซ์"

คำบรรยายของ ดร.อาจอง เท่าที่จำได้นำมาเหลาสู่กันฟัง

เริ่มต้นโดยดร.อาจองให้ทุกคนทำสมาธิโดยใช้แสงสว่าง โดยให้นำแสงสว่างมาสู่หัวใจเรา แล้วไปที่ตาหู มือเท้า สมอง และทั่วตัวเรา  เราคือแสงสว่าง แสงสว่างคือเรา 

สุดท้ายเรากระจายให้พ่อแม่เรา ญาติเรา ครูบาอาจารย์ ทั่วๆรอบตัวเรา และทั่วๆจักรวาลทุกหนทุกแห่ง

เราคือแสงสว่าง เมื่อเราฝึกบ่อยๆ เราจะรู้สึกว่ามีพลัง เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาล เราทำอะไร เราก็จะได้ผลตอบแทนอันเดียวกัน

 เราคิดอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น เราต้องควบคุมความคิดของเราให้คิดบวกต่อสังคม ทุกๆวันใส่ความคิดที่จะทำความดี ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

ถ้าเราคิดดี ผู้คนรอบข้างก็จะได้พลังความดีจากเรา

ถ้าเราคิดไม่ดี ผู้คนรอบข้างก็จะได้พลังความไม่ดีจากเรา

เมื่อเราเป็นแสงสว่าง ปัญญาความคิดก็จะเกิด เหมือนเช่น ดร.อาจอง เมื่อเรานั่งสมาธินิ่งเฉย ก็จะเริ่มเป็นพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คืออยากจะรู้อะไร ก็จะมีแว๊บความคิดเกิดขึ้น

พวกเราทุกคนฝึกสมาธิ โดยใช้แสงสว่าง  พอฝึกๆไปจะเริ่มมีพลังบางอย่าง สามารถมีตาทิพย์ หูทิพย์เกิดขึ้น เช่นมองทะลุฝาห้อง ซึ่งพวกโยคี จะรู้ได้โดยจากการเปิดจักระที่ก้นกบ แล้วไต่ขึ้นมาตามจุดจักระที่สะดือ เริ่มจะได้ยินเสียงใกล้

จุดจักระขึ้นมาที่หน้าอก เริ่มจะได้ยินเสียงไกลๆ

จุดจักระขึ้นมาที่คอหอย เริ่มมองเห็นอนาคต เห็นหวยเลข ซึ่งสิ่งเรานี้เป็นมารกิเลส ที่จะหลอกลวงเรา ให้จมอยู่ที่มันไม่ไปต่อ

จุดจักระขึ้นมาที่หน้าผาก เริ่มจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง

จุดจักระบริเวณศรีษะ นั้นคือจุดสูงสุดคือนิพพาน

หนทางสู่นิพพาน จะมีกิเลสมากมายมายั่วยวน เราต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา อย่าไปยึดติดกับมัน ให้เราเข้าใจว่าเราคือใคร เรามาทำอะไร และเราจะไปไหน

ชาวมายัน ถือว่าปี2012 เป็นวันสิ้นปฎิทินของเขา หลังจากนั้นไม่ใช่ว่าโลกจะแตก แต่หมายถึงวันสิ้นสุดของยุคๆหนึ่ง และจะมียุคใหม่เกิดขึ้น โดยเปลี่ยนจากยุค กลียุค เป็นยุค พระศรีอารย์

เปลี่ยนจากยุคความวุ่นวาย เป็นยุคความสงบสุข

แผ่นดินไหวจะเกิดรุนแรงมากขึ้น เพราะกิจกรรมของมนุษย์ การคิดไม่ดีต่อกัน เป็นการสร้างกรรมให้ตัวเอง แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะทำให้เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อตัวเรา เพราะกรรมต้องการจะบอกเรา สอนเรา เมื่อเราต้องการเปลี่ยนกรรม เราต้องหันมาช่วยเหลือกัน

  การอยู่เฉย อย่าคิดว่าไม่สร้างกรรม เห็นใครมีปัญหา เราต้อง ช่วยเหลือ อย่างน้อยอยู่บ้านเฉยๆ ให้เราแผ่เมตตาทุกวัน จะเป็นสร้างกรรมดีทุกวัน

เรามีโอกาสช่วยใคร ช่วยได้เลย จะได้มีความเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ สังคมต้องการความเมตตาต่อเรา ถ้าเราไม่ให้ถือเป็นความเห็นแก่ตัว

ให้เราคิดอย่างพระโพธิสัตว์ โดยคิดว่า" ตราบใดที่ยังมีคนทุกข์ยาก เราจะกลับมาเกิดช่วยเขาไปนิพพาน"

เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกช่วงนี้

-จะมีแผ่นดินไหว

-จะมีสึนามิเข้ามา เริ่มที่ฟิลิปปินส์ จะทำให้เวียดนาม กัมพูชา เจอหนักมาก แล้วถึงจะเข้ามาในอ่าวไทย ปีหน้าต้องเตรียมการ

-แถบสงขลาต้องเตรียมตัว

  ทางธรรมเราต้องแผ่เมตตาเยอะๆ จะได้เป็นพลังบวกที่ยิ่งใหญ่

  เราฝึกปฎิบัติธรรม ต้องมีเมตตา การแผ่เมตตาทุกวันจะทำให้เปลี่ยนเคราะห์กรรมของโลกด้วย โดยทำใจให้สงบ แผ่เมตตาในใจ แผ่ออกไป ซึ่งจะเป็นกรรมบวก 

เมื่อมีคนตกทุกข์ยาก อย่าสะใจ อย่าสมน้ำหน้าเขา

ปีหน้าจะมีปัญหาเพิ่มขึ้น ดวงอาทิตย์จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 11 ปี ดวงอาทิตย์จะส่องพลาสมามายังโลกของเรา ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เพราะมีปฎิกิริยารุนแรงจากดวงอาทิตย์

ทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวจะทำให้แกนโลกเอียงไปครั้งละนิด และทำให้เกิดการสะสม เพราะน้ำหนักของโลกไม่สมดุลย์

มีการชนกันของเปลือกโลก เช่น

อินโดนีเซีย ทำให้เกิดภูเขาไฟระเบิด

ฟิลิปปินส์  อาจจะทำให้เกิดสึนามิเข้ามา

ญี่ปุ่น   ทำให้เกิดแผ่นดินไหว

พม่า  ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้ภาคเหนือของไทยมีแผ่นดินไหวเช่นกัน

ในปีหน้ามีแรงส่งจากการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการเข้าสู่โลกยุคใหม่ คนจะตายไป 2 ใน 3 ของทั้งหมด คนที่เหลืออยู่จะไปนิพพานได้รวดเร็ว ส่วนคนที่ตายไปก็จะรอเกิดในยุคใหม่ของเขา  คนที่รอดอยู่ในยุคใหม่จะเป็นยุคพระศรีอารย์ จะมีแต่ธรรมะ มีคนจิตใจดี ทำแต่ความดี

โลกยุคใหม่จะไม่มีแผ่นดินไหว มีแต่คนสร้างกรรมดีเยอะๆ ช่วยเหลือกัน เขาจะไปนิพพานกันหมด หลังจากนั้นคนที่ตายไปก่อนหน้านี้ก็จะกลับมาเกิดเพื่อรอไปนิพพาน

-ยุคนี้ต้องการท่านทั้งหลายให้ช่วยโลกได้มากขึ้น เราต้องแผ่เมตตาให้ทุกๆคน ทุกๆวัน

-เราทานผัก จะทำให้เราสงบ นิ่ง

-เราทานเนื้อสัตว์ ก่อนสัตว์โดนฆ่าตาย จะเครียด กระวนกระวาย

เมื่อเราทานเนื้อสัตว์เข้าไป อารมณ์เหล่านั้น ซึ่งค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ จะติดมาอยู่กับเรา ทำให้เรา หงุดหงิด ขี้โมโห

-เด็กทานผัก จะโตช้า แต่มั่นคง และอายุยืน

-เด็กทานเนื้อสัตว์ จะโตเร็วซึ่งเป็นผลจากโฮโมนซึ่งเขาเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ แต่จะอายุสั้น

-ยุคใหม่เรียก ยุคพระศรีอารย์ เพราะเป็นยุคที่สงบสุข จะมีผู้นำเข้ามาด้วย เรียกว่า พระศรีอารย์ จะมานำทางให้

ตอนนี้ใกล้ถึงจุดที่มีปัญหามากมาย เราจะเริ่มเบื่อ และไม่อยากมีปํญหา เรากำลังเริ่มเปลี่ยนกรรม การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นแน่นอน

การจะไปนิพพานได้ต้องทำความดีเยอะๆ คนที่นิพพานแล้ว ตายไปจะเป็นพลังงานบริสุทธ์ ไปอยู่ที่เดียวกัน เมื่อมีคนนึกถึง สามารถกลับมาคุยได้ ถ้าคนนั้นมีจิตใจสงบ นิ่ง จิตสูงส่ง สามารถคุยได้

  เพื่อนๆสามารถดูคลิปได้ในโอกาสต่อไป ที่เวปมาสเตอร์จะตัดต่อนำมาให้ชม

พรุ่งนี้จะมาเหลาเรื่องมโนมยิทธิ ในคืนวันเสาร์ที่ 30 ก.ค. ซึ่งสุดยอดความเมตตาของเสด็จพ่อท้าวเวสสุวรรณ

วันนี้ง่วงมากค่ะ เพราะเพลียจากการรับเสด็จองค์ปฐม

ทำให้อยากแล้วจากไป พรุ่งนี้ถ้ายังไม่มีคนมาเหลาจะมาหลาให้อ่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น เพชรดา วรรณรักษ์ (fareastinn-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-31 22:42:31


ความคิดเห็นที่ 513 (1561298)

ขอบพระคุณคุณเพชรดาที่มาเหลาเรื่องค่าย9 และธรรมทานจากทุกๆท่านค่ะ

ขออนุโมทนาบุญกับผู้ที่ได้เข้าค่าย

ไม่มีโอกาสได้ไปร่วม แต่เกาะหน้าจอรอค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อรศรี ชุติเนตร (aurasri05-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-31 23:13:24


ความคิดเห็นที่ 514 (1561299)

 อนุโมทนาครับ

พี่เพชรดา

รออยู่นะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-31 23:42:01


ความคิดเห็นที่ 515 (1561301)

อนุโมทนากับคุณเพชรดา ด้วยคะ วันนี้ที่รอคอยสำหรับชาวเกาะคะ

และยังคงรอ อย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้ชมคลิป เป็นบุญตาบ้างคะ

อนุโมทนากับอาจารย์อุบล ดร.อาจอง และทุกท่านที่ไปเข้าค่าย 9 มหามงคลด้วยนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-31 23:56:47


ความคิดเห็นที่ 516 (1561305)

ชาวเกาะตัวยงอย่างชนิดา ก็มาเกาะจอรอ"ชาวค่ายผู้ใจดี" ที่จะมาเหลาเรื่องราวดีๆอยู่เหมือนกัลล์ แล้วก็ไม่ผิดหวัง เดี๋ยวนี้คุณเพชรดา ทำหน้าที่เป็นเป็นผู้สื่อข่าว ได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ แถมยังได้"เนื้อหาสาระ"ที่ครบครันอีกต่างหาก..อนุโมทนาด้วยนะคะ สาธุ

 

ต้องบอกว่าสิ่งที่ดร.อาจอง บรรยายมาโดยตลอดรวมถึงครั้งที่สำคัญนี้ด้วย ล้วนแล้วแต่เป็น "รหัสลับอันสุดยอด"แห่งจักรวาล ซึ่งไม่ว่าจะนำมากล่าวโดยผู้หยั่งรู้ท่านใด ก็จะเป็นเรื่องราวเดียวกันทั้งสิ้น เฉกเช่นทุกๆคำเตือนที่ท่านอ.อุบล พร่ำบอกพร่ำสอนพวกเรามาโดยตลอด

 

 

เท่าที่ทราบปี 2011นี้ จะเป็นปีที่ยิ่งใหญ่่ของมนุษย์ทุกๆคน และรหัสลับที่จะนำพวกเราทุกคนให้อยู่รอดจนถึงยุคพลังงานใหม่ได้ ก็คือ ความรัก(ที่บริสุทธิ์)และความเมตตา กรุณา เท่านั้น ถ้าเทียบตามหลักธรรมก็คือ ทุกทุ๊กคน ต้องฝึกจิตให้ถึงพร้อมซึ่ง "พรหมวิหารสี่" มิเช่นนั้น จะไม่สามารถนำพาร่างกายนี้ ไปสู่ยุคศิวิไลซ์ได้เลย ถ้าเราไม่ยกจิตเราให้สูงขึ้น เพื่อจะได้กลมกลืนกับพลังคลื่นความถี่สูงๆเช่นนั้น..

 

ฉะนั้น กลไกของธรรมชาติ ทีทำให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ในปีนี้ จะทำให้เราค่อยๆปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ร่างกายและิจิตใจของเรา ให้พร้อมเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ นั่นเอง คือถ้าปรับไม่ได้ หรือใจไม่น้อมรับ ร่างกายก็จะทนไม่ได้ และ ตาย ไปในที่สุด.. (เพื่อจะกลับมาเวียน ว่า่ย ตาย เกิด เรียนรู้กันใหม่อีก)

พวกเราคงต้องจำให้ขึ้นใจว่า

พวกเราคือแสงสว่าง

แสงสว่างคือเรา ..

 

อนุโมทนากับท่านดร.อาจอง อ.อุบล อ.มงคล

คุณท็อป และพี่น้องร่วมค่ายมหามงคลทุกๆท่านค่ะ สาธุ 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 00:28:28


ความคิดเห็นที่ 517 (1561333)

ขออนุโมทนากับคุณเพชรลดาด้วยค่ะ

มาเหลาให้ชาวเกาะได้เกาะบุญ

ได้รวดเร็วทันใจจริงๆ

แม้ไม่มีโอกาสได้ไป แต่ได้มาฟังข่าวจากพี่น้องบ้านสวน

ก็ดีใจ อิ่มบุญไปด้วยแล้วค่ะ


ขึ้นชื่อว่า ดร.อาจอง ย่อมไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ

ไขข้อข้องใจ บอกวิธีก้าวเข้าโลกสู่ยุคใหม่

และการปฏิบัติตน

มาอย่างหมดเปลือกกันเลยทีเดียว

 


ขออนุโมทนากับ ดร.อาจอง อาจารย์แม่ และทุกๆคนที่ได้ไปเข้าค่ายด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 04:54:56


ความคิดเห็นที่ 518 (1561338)

ขออนุญาติมาเหลาต่อนิดหนึ่งค่ะ  ในภาคของกลางคืนวันที่ 30/07/54  โดยคุณธนา(พ่อใหญ่)ของเราก็นำสวนมนต์ ตามด้วยการฝึกกสิณคืนนี้พิเศษเลยค่ะ ตั้ง 6 กอง  มีกสิณสีเหลือง สีเขียว และ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ  แบบว่าชุดใหญ่ใจดีแถมให้ เล่นเอาบางท่านรับจนแอบหลับคำนับท่าน อ.อุบลซึ่งท่านมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบกัน มัวเข้าฌานสนิทกัน   ซึ่งท่าน อ.อุบลเมตตาบอกว่า นิวรณ์ 5 ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นความง่วงเหงาหาวนอน , โมหะความหลงยังห่วงสวย ชอบของอร่อย กลิ่นหอมๆ  รำคาญในเสียง โทสะคิดแก้แค้น แม้แต่การอยากเห็นอยากรู้ สงสัยในข้อปฏิบัติ ต้องระวังให้ดีจะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติของเราได้  ท่าน อ.อุบลยังบอกว่าการฝึกกสิณไม่จำเป็นต้องเก่งทั้ง 10 กอง ถ้าเราได้เพียง 1 กองอีก 9 กองที่เหลือก็ไม่ยากแล้ว  แม้แต่ระหว่างที่เรานั่งรถก็ฝึกได้  เวลานอนก็ฝึกเป็นฌานได้  และภาวนา นะมะ-พะธะควบคู่สลับไปด้วยก็ได้  เช่นฝึกกสิณเสร็จ -ก็ท่องคาถา- แล้วภาวนาจะใช้พุทโธ หรือ นะมะ-พะธะ แล้วแต่ชอบ แล้วก็ฝึกกสิณต่อ  จะทำให้จิตเป็นทิพย์  แต่ถ้าภาวนาด้วย นะมะ-พะธะ  จะเห็นภาพชัดเจนสามารถโต้ตอบกันได้ เหมือนที่ท่าน อ.อุบลใช้เวลาไต่สวนกรรมผู้อื่น  ถ้าเราสามารถภาวนาคำว่า นะมะ-พะธะ ได้ทุกวันไม่ถึง 1 เดือนชีวิตท่านจะพบปาฎิหาร์มากมาย  เนื่องจากจิตเป็นทิพย์จะรู้ทุกอย่างได้เช่นเดียวกับที่ท่าน อ.อุบลรู้กรรมของผู้อื่น

รายละเอียดอื่นๆ ขอให้ชาวบ้านสวนมาเหลาต่อนะคะ  ขอกระโดดไปในเรื่องของช๊อตเด็ดพิเศษสุดในชีวิตของผู้เข้าค่ายในรุ่น 9 มหามงคลนี้ต่อค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญชลา บุตรโส (anchala_23580-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 07:13:09


ความคิดเห็นที่ 519 (1561339)

คืนนี้พวกเราได้รับความเมตตาสูงสุดจากท่าน อ.อุบล   ท่านลุงพุฒิ  และท่านท้าวเวสสุวรรณ  หากไม่มีทั้ง 3 ท่านนี้ไซร้ พวกเราหลายๆ คนคงจะได้ลงไปสู่แดนนรกกันเป็นแถวยาวเหยียดแน่นอน  ตอนที่ท่าน อ.อุลเมตตาให้คำแนะนำในการปฏิบัติอยู่นั้น  ท่านก็ถามพวกเราว่าอยากเจอท่านลุงพุฒิ และท่านท้าวเวสสุวรรณมั๊ย  พวกเราก็ตอบว่าอยากเจอทั้ง 2 ท่าน โดยท่านทั้ง 2 ได้มาผ่านร่างคุณธนา   คืนนี้ท่านเอารายชื่อพวกเราซึ่งติดแบล็คลิสในนรกมาด้วย  และท่าน อ.อุบลก็ได้ถามพวกเราว่าขึ้นชื่อว่าความชั่ว การผิดศีล 5 ทั้งหลายที่ได้ทำมาพวกเรายังจะทำต่อหรือไม่ ถ้าตั้งใจว่าจะเลิกก็ขอความเมตตาจากลุงพุฒิให้ลบชื่อออกจากบัญชีนรกในคืนนี้ (ไม่เลิกได้งัยครับพี่น้องแต่ละขุมท่านลุงพุฒิอธิบายซะเห็นภาพชัดเจนน่ากลัวจนตัวสั่น)  ใครที่มั่นใจว่าต่อไปนี้จะเลิกการละเมิดศีล 5  ไม่ว่าจะเป็น ข้อ 1. การฆ่าสัตว์ ฆ่าคน คิดอยากให้เขาตาย  สมน้ำหน้าแช่งชักหักดูก ใช้วาจาฆ่า รวมทั้งการเลิกกินเนื้อสัตว์  ข้อ 2. การลักขโมย รวมทั้งคนที่ขอบของฟรีทั้งหลาย  ข้อ 3.ข้อกาเม ใครที่มีกิ๊กทั้งหลาย นอกใจคู่ครองตัวเองทั้งทางมโนกรรม  คิดว่าแฟนคนอื่นดีกว่า สวยกว่าคู่ตัวเองควรเลิกเด็ดขาด  ข้อ 4. การโกหก พูดเพ้อเจ้อ ส่อเสียด นินทาคนอื่น  ให้พูดแต่เรื่องดี ๆ มีประโยชน์เท่านั้น  ข้อสุดท้าย 5.สุรา อันนี้รวมทั้งคนที่ขายเครื่องดื่นของมีนเมา  เลี้ยงเหล้าผู้อื่น ส่งเสริมให้เขากิน ข้อนี้หนักที่สุดในบรรดา 5 ข้อ ทีแรกท่านลุงพุฒิจะตัดชื่อให้แต่บางคนเท่านั้น แต่ด้วยความเมตตาของท่าน อ.อุบลต่อรองให้ท่านและขอให้พวกเราให้คำมั่นสัญญาว่าพวกเราชาวบ้านสวนในคืนนี้ ต้งใจจะปิดประตูนรกและจะรักษาศีล 5 ให้มั่นคง  ท่านจึงเมตตาลบชื่อพวกเราทุกคนออกจากบัญชีนรก  แต่หากยังทำผิดศีล 5ลบหลู่เบื้องสูง ปรามาสพระรัตนตรัยและพระราชวงค์ก็จะมีชื่อในบัญชีนรกตามเดิม  ตอนนี้คงตัวใครตัวมันละครับพี่น้อง  ท่านอุตส่าห์เมตตาให้สุด ๆ แล้วใครที่ยังอยากจะไปอยู่แดนนรกแล้วแต่ท่านละคราวนี้

จากนั้นก็เป็นคิวของท่านท้าวเวสสุวรรณมาสงเคราะห์ลูกหลานบ้านสวนต่อ  ว่าเหตุที่ท่านมาเกี่ยวข้องกับบ้านสวนนี้เพราะเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องมาช่วยค้ำจุนศาสนาให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง และช่วย อ.อุบลในการรักษา ชาติ ศาสนา ในหลวง  และพวกเราให้เข้าสู่พระนิพพาน

ท่าน อ.อุบลถามว่าทำไมต้องเป็น อ.อุบลในการทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้คน และทำไมสมเด็จองค์ปฐมจึงเลิกบ้านสวนพีระมิดนี้เป็นจุดศูนย์กลาง  ท่านเมตตาตอบว่า เพราะท่าน อ.อุบลได้อาสาลงมาช่วยมนุษย์  และไม่ต้องห่วงเพราะพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวาลจะมาคอยช่วย อ.อุบล และรอคอยพวกเราทั้งหลายกับสู่นิพพาน  คำพูดของท่านท้าวเวสสุวรรณ " พวกเจ้าจงตื่นมาทำหน้าที่ของเจ้า  พวกเจ้าอาสาลงมาเกิดอย่าลืม ตื่นๆ ๆ "  ท่านอยากให้พวกเราทำจิตให้บริสุทธิ์สำหรับในวันที่ 31 กค.54 เพราะเป็นวันรับสมเด็จองค์ปฐม  ให้พวกเรารักษาจิตเรา  ต้องตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า พระนิพพาน อย่าหวั่นไหวกับโลกภายนอก อย่าอยากได้ อยากมี ทุกข์โศกเป็นเรื่องธรรมชาติ  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ ทำจิตให้บริสุทธิ์ที่สุดในวันพรุ่งนี้   พวกเรานับว่าโชคดีมหาศาลเกิดกี่แสนชาติจึงจะเจออย่างนี้ที่ ท่าน อ.อุบลได้ขอให้ลุงพุฒิลบชื่อออกจากบัญชีนรก และท่านท้าวเวสสุวรรณมายกโทษกรรมทั้งหลายที่พวกเราได้ทำมาตั้งแต่อดีตชาติมาจนถึงปัจจุบัน 30.07.54  เพื่อต้อนรับการเสด็จมาของสมเด็จองค์ปฐม   ซึ่งท่านเมตตาอดโทษให้  แล้วท่าน อ.อุบลได้นำพวกเราอุทิศบุญกุศลให้แก่ท่านลุงพุฒิ ท่านนิรบาล และท่านท้าวเวสสุวรรณ  ซึ่งท่านก็ได้อนุโมทนาสาธุกับพวกเรา  น้ำตาใหลปราบปลื้มตั้งแต่ท่านมาแต่แรกแล้ว  บุญของพวกเราชาวบ้านสวนจริงๆ ค่ะ  ขอเหลาแค่นี้ก่อนนะคะ  แล้วจะมาเหลาต่อค่ะ ให้ท่านอื่นๆ ได้แจมบุญธรรมทานบ้างค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญชลา บุตรโส (anchala_23580-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 07:54:07


ความคิดเห็นที่ 520 (1561359)

กราบอนุโมทนาสาธุ ในธรรมทานของ

คุณอัญชลา ด้วยค่ะ ดิฉันไม่มีโอกาส

ได้เข้าร่วมในมหากุศลในครั้งนี้

แต่ก็ทราบได้ถึงพระมหากรุณาที่

ท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณมายกโทษกรรม

ให้ลูกหลานที่ได้มาเข้าค่าย ๙ มหามงคลนี้

ถ้าหากดิฉันยังพอมีบุญกุศลอยู่บ้าง

ก็ขอให้ได้มีโอกาสร่วมเข้าค่ายบ้านสวน

และได้มีโอกาสร่วมเข้าเฝ้าท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณ

ด้วยนะเจ้าค่ะ

อนุโมทนาในธรรมทาน ของทุกท่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนวดี รัชตารมย์ (thanavadee_r-at-sepo-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 09:23:01


ความคิดเห็นที่ 521 (1561372)

  

     เราก็ทำหน้าที่เป็นชาวเกาะอย่างเหนียวแน่น

เข้ามารออ่านเรื่องเหลา  จากท่านที่ได้เข้าค่าย 9 มหามงคล

และก็ได้รับรู้เรื่องราวดี ๆ  ที่เกิดขึ้นในบ้านสวน

แม้ไม่มีโอกาสได้ไปร่วมบุญด้วยตัวเอง

เพียงแค่ได้รับทราบเรื่องราว  ผ่านเวปบ้านสวน

ก็มีความสุขและเป็นบุญถึงที่สุดแล้ว

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่เข้าค่าย  และทุกท่านที่นำเรื่องราวดี ๆ

มาฝากพวกเรา  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล (ฉวีวรรณ นภาพรรณราย) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 10:44:21


ความคิดเห็นที่ 522 (1561373)

ขออนุโมทนากับคุณอัญชลา ด้วยคะ ขอบพระคุณคะ

กราบขอบพระคุณพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก พระองค์ ท่านพระยายมราช นายนิรยบาล

ท่านท้าวเวสสุวรรณที่เมตตา และคอยเตือนสติพวกเราเสมอ 

ขอบพระคุณอาจารย์อุบล ที่ทุ่มเททำงานที่ยิ่งใหญ่

ดีใจจังที่ได้เจออาจารย์อุบล ขอบพระคุณมาก ๆ คะ

หนูก็อยากกลับบ้านด้วยคนคะ

อนุโมทนากับทุก ๆ ท่านที่ได้เข้าค่ายเก้าอีกครั้งนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 10:47:03


ความคิดเห็นที่ 523 (1561396)
image

เรามีโอกาสช่วยใคร ช่วยได้เลย จะได้มีความเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ สังคมต้องการความเมตตาต่อเรา ถ้าเราไม่ให้ถือเป็นความเห็นแก่ตัว

ให้เราคิดอย่างพระโพธิสัตว์ โดยคิดว่า" ตราบใดที่ยังมีคนทุกข์ยาก เราจะกลับมาเกิดช่วยเขาไปนิพพาน"

******************

อ่านข้อความนี้แล้วซาบซึ้งสุดๆ ไปเลยค่ะ
ขอบคุณพี่เจี๊ยบมากๆ นะคะ ที่ใจดีเสมอ

รวมทั้งคุณอัญชลาด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

ที่มาให้ธรรมทานกับลูกบ้านสวนที่ไม่มีโอกาสได้ไปเข้าค่าย
เข้าใจเลยค่ะว่าคนที่ไม่ได้ไป
ใจคอกระวนกระวายขนาดไหน
ที่จะรอฟังข่าวคราวบ้านสวนในเช้าวันรุ่งขึ้น
ยังไงก็รอพี่ๆ มาเหลาค่ำคืนเข้าค่าย 9 อยู่นะคะ
รอมาเหลา ๆ ๆ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 12:30:30


ความคิดเห็นที่ 524 (1561404)

ขอขอบคุณและขออนุโมทนากับคุณเพชรลดา คุณอัญชลา และขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้มีโอกาสเข้าค่าย 9 มหามงคลครั้งนี้ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 12:36:30


ความคิดเห็นที่ 525 (1561416)
image

ตุ้ยขอเล่าในส่วนของตุ้ยที่ได้ไป

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 ก.ค.54 นะคะ
คือวันนั้นทั้งวัน ฝนตกปรอยๆ เป็นละอองฝอยตลอดทั้งวัน

ท่านอ.อุบลบอกว่าเป็นน้ำพระพุทธมนต์

พวกเราต่างออกไปรับน้ำพระพุทธมนต์กัน
อากาศเย็นสบาย ไม่มีแดด
สมเด็จองค์ปฐมได้เปลี่ยนเวลา

ที่จะเสด็จมาจากช่วงเช้า เป็นเที่ยง
พวกเราต่างใจจดใจจ่อรอคอยท่าน
จนกระทั่งเวลาที่ท่านมาถึง
นาทีที่รถเคลี่อนตัวเข้ามา

พวกเราลุกไปยืนรอรับท่าน
น้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรู โดยมิได้นัดหมาย
ลูกบ้านสวนทุกคน ร้องไห้ด้วยความปิติ ซาบซึ้ง
ไม่มีคำพูดใดอธิบายได้

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 13:09:06


ความคิดเห็นที่ 526 (1561418)
image

ยิ่งช่วงเวลาที่คุณประทีปได้มาถึง

ได้อัญเชิญ องค์ปฐมขึ้นวิหาร

พวกเราทุกคนได้ร่วมพิธีนี้ ขนลุก ปิติ ร้องไห้ ทุกคนตรงนั้น

ไม่มีใครไม่เกิดอาการนี้ พระอาทิตย์ทรงกลด

ฝนตกเป็นละออง ตลอดเวลา

นี่คือสิ่งที่ตุ้ยประทับใจที่สุดค่ะ

จึงขอถ่ายทอดให้ท่านที่ไม่ได้ไป

น้อมจิตรับเสด็จท่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 13:12:25


ความคิดเห็นที่ 527 (1561451)

 

ขออนุโมทนาบุญกับคุณเพชรดา คุณอัญชลา คุณตุ้ยด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 15:25:37


ความคิดเห็นที่ 528 (1561455)

  " พวกเจ้าจงตื่นมาทำหน้าที่ของเจ้า  พวกเจ้าอาสาลงมาเกิดอย่าลืม ตื่นๆ ๆ "  

...............................................

อ่านแล้วขนลุกครับ

.....................................................................

ยิ่งช่วงเวลาที่คุณประทีปได้มาถึง

ได้อัญเชิญ องค์ปฐมขึ้นวิหาร

พวกเราทุกคนได้ร่วมพิธีนี้ ขนลุก ปิติ ร้องไห้ ทุกคนตรงนั้น

ไม่มีใครไม่เกิดอาการนี้ พระอาทิตย์ทรงกลด

ฝนตกเป็นละออง ตลอดเวลา

นี่คือสิ่งที่ตุ้ยประทับใจที่สุดค่ะ

จึงขอถ่ายทอดให้ท่านที่ไม่ได้ไป

น้อมจิตรับเสด็จท่านค่ะ

.................................

ลูกมีความปิติอิ่มใจครับ

 สาธุอนุโมทนากับเรื่องเหลาของพี่ตุ้ยและพี่อัญชลา

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 15:51:11


ความคิดเห็นที่ 529 (1561462)

อนุโมทนาบุญค่ะคุณเพชรลดา คุณอัญชลา  น้องตุ้ย ด้วยค่ะ..

มิติที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อคือ..ท่านอ.ประทีป บอกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ เสด็จมารับ

สมเด็จองค์ปฐม เยอะมากๆค่ะ....

...ขอให้ลูกบ้านสวนที่ไม่ได้อยู่ร่วมในพิธี..สงบใจ ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วเพ่งมองที่องค์พระ

ลองทำสมาธิ หลับตา นึกอาราธนาพระองค์ อยู่บนศีรษะ หรือ บนใบหน้า สักครู่

ภาวนา นะมะพะธะ หรือ นะโมพุทธายะ สักครู่ค่ะ ....แล้วเป็นงัยบ้างค่ะ...

 ...........ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ......................

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 16:57:02


ความคิดเห็นที่ 530 (1561483)

มาเหลากันซะหมดเลย

แล้วผมจะเล่าอะไรล่ะเนี่ย

เล่าจากประสบการณ์ผมเองดีกว่า

คงไม่เบื่อซะก่อนน่ะครับ

-------

เมื่อวานได้มีโอกาศรับเสด็จ องค์พระปฐม

มาประดิษฐาน ณ.บ้านสวน

บรรยากาศดีมากเลย

ตั้งแต่เช้ามาไม่มีแดดเลยครับ

อากาศเย็นสบายทั้งวัน

มีฝนพรำตลอด

ฝนตกที่บ้านสวนวันนี้แปลกมากครับ

เป็นเม็ดเล็กๆมาก สลับกับ เป็นละออง

คล้ายๆกับฉีดออกมาจากที่พรมน้ำ(foxy)

เป็นฝอยๆอย่างนั้นเลย ท่าน อ.อุบล บอกว่าเป็น

น้ำมนต์จากเบื่องบน และไม่มีแดดเลยทั้งวัน

เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เช้ายันบ่ายเลย

พระองค์ท่านเสด็จมาถึงราวๆ บ่ายสอง

พอรถมาถึงผมขนลุกซู่ทั้งตัวยันศรีษะเลย

ลูกบ้านสวนฯ หลายคนเกิดอาการปิติ

น้ำตาไหลกันเป็นแถวเลย

บรรยากาศเหมือนทุกคนอิ่มบุญมากๆครับ

จากนั้นก้อทำการยกฐานบัวขึ้นด้านบน

ทุกคนช่วยกันอย่างเข้มแข็ง จนสำเร็จ

ทุกท่านต่างก้อมาช่วยกันเช็ดถูฐานบัว

รับบุญกันไปเต็มๆครับ

ต่อมาเป็นการยกองค์พระปฐมขึ้น

มีการโยงสายป่านให้ทุกคนได้จับสาย

เพื่อยกบุญบารมีของทุกท่านกับองค์พระปฐม

ทุกคนก้อร่วมกันจับสายเนืองแน่นครับ

พอเครนเริ่มยกองค์ท่านขึ้นมา

ก้อจะได้ยินเสียงหลายๆท่านสวดมนต์

เท่าที่ได้ยินและรู้จัก บางคนก้อสวดบทชุมนุมเทวดา บางคนก้อสวดบารมีสามสิบทัศ และ อีกมากมาย เสียงสวดระงมไปหมด

จนกระทั่งพระองค์ท่านฯขึ้นมาสำเร็จ

เป็นบรรยากาศบุญจริงๆเลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 18:43:49


ความคิดเห็นที่ 531 (1561496)

ขอเหลาตอนที่ลุงพุฒมาหน้ากลัวมาก

หน้าคุณพ่อใหญ่ธนา  แดงมากๆๆๆๆๆ

ท่านบอกเรื่องศีลข้อ 1 2 3 4 5

จำได้ข้อข้อ 3 กาเม

ท่านบอกว่าปีนต้นงิ้ว แล้วก็เอาหอกคอยทิ่มแทง

ตอนที่ท่านทำท่าทางไปด้วยหนักน่วงแข็งแรง

ให้นึกถึงความเจ็บปวดได้

ข้อ 5 สุรา  จำท่าตอนฉีกปากเอานํ้าในกะทะทองแดง

กรอกปากขนลุกขนพองน่ากลัวมากๆๆๆๆ

และท่านบอกว่าใครที่ยังกินเนี้อสัตว์อยู่จะตายอย่าง

ทรมาน ท่านบอกว่า สัตว์มันตายดิ้นทุรนทุราย


ยังไงเราก็จะตายแบบนั้น เพระจิตวิญญาณของเขา

จะเกาะติดอยู่กับตัวเรา

บอกได้คำเดียวว่าการลงโทษใน นรก มันน่ากลัวมากๆๆๆ

แบบเดียวกับที่เขาทำละครมาให้พวกเราชม

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 20:14:27


ความคิดเห็นที่ 532 (1561513)

การฝึกกรรมฐาน นำฝึกโดยคุณธนา

เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ณ ค่าย ๙ บ้านสวนพีระมิด

.................................................................................................................................................................................

     เริ่มด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ ตั้งนะโม ๓ จบ ท่องอรหังสัมมาฯ อิติปิโส คาถาปะโตเมตัง ๙ จบ คาถาเงินล้าน ๙ จบ สมาทานกรรมฐาน ฝึกสมาธิ กสิณดิน น้ำ ลม ไฟ ทำตามที่อาจารย์ พระพุทธองค์ เบื้องบนมาสอน เป็นวิธีการลัด ขอให้มั่นใจว่าสิ่งที่ฝึกนี้มีผลแน่นอน ขอให้ทำทุกวันด้วยความเคารพ วันที่เกิดภัยพิบัติจริงทุกท่านสามารถใช้กสิณดิน น้ำ ลม ไฟ ช่วยชีวิตตนเองและผู้อื่นได้
     ให้ทุกคนตั้งใจอยู่ในความสงบ กำหนดจิตเบื้องหน้าเราให้เห็นดวงแก้วสีเหลือง ให้จิตเบื้องหน้า เห็นแต่ดวงแก้วสีเหลือง บัดนี้จิตเราเองไม่กังวลอะไรทั้งนั้น  สีอื่นอย่างอื่นเราไม่ต้องการ เราต้องการสีเหลือง ดวงแก้วทรงกลมสีเหลืองเด่นชัดในจิตเราข้างหน้า หากสีอื่นบังเกิดขึ้นให้กำหนดจิตใหม่ เห็นวงกลมสีเหลือง หรือดวงแก้วสีเหลือง  ทรงภาพวงกลมสีเหลืองไว้อย่างนั้น  ทำจิตให้สบาย บัดนี้วงกลมสีเหลืองของเราได้เปลี่ยนสีเป็นสีขาวทึบ ขาวทึบสะอาด จิตของเราเห็นดวงแก้วเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีขาวทึบ ขาวทึบสะอาด  จิตสบายไม่ต้องเคร่งเครียด  อย่าบังคับจิต ให้จิตเบาสบายๆ เห็นวงกลมสีขาวทึบขาวสะอาด สีอื่นเราไม่ต้องการ จิตทรงภาพ เห็นภาพวงกลมสีขาวทึบอันนั้น บัดนี้วงกลมสีขาวทึบได้เปลี่ยนเป็นแก้วใส แก้วใสระยิบระยับ จิตของเราเห็นแก้วใสระยิบระยับ เห็นสว่างใสเจิดจ้า จิตของเราเบาสบาย มีความสุข ดวงแก้วใสสว่างประกายเพชร ใสระยิบระยับเจิดจ้า ให้ทรงอารมณ์ไว้อย่างนั้น นี่คือ
กสิณสีเหลือง

ผู้แสดงความคิดเห็น ปราณี ผลเกิด (pholkird-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 21:37:33


ความคิดเห็นที่ 533 (1561515)

กสิณสีเขียว ให้กำหนดจิตเบื้องหน้า เห็นวงกลมสีเขียว หรือนึกถึงวัตถุสีเขียวที่เราคุ้นเคย เช่น ใบไม้ หรือทรงกลมสีเขียวตามใจชอบ จิตอย่าบังคับ จิตผ่อนสบายๆ ไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งนั้น บัดนี้จิตของเราเห็นแต่วงกลมสีเขียว เขียวสบายตา  หากภาพอื่นหรือสีอื่นปรากฏขึ้นไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องกังวล กำหนดจิตขึ้นมาใหม่ เห็นภาพวงกลมหรือใบไม้สีเขียวสด ทรงภาพไว้อย่างนั้น บัดนี้จิตเราเห็นวงกลมสีเขียวได้เปลี่ยนสีเป็นสีขาวทึบ ขาวทึบสะอาด จิตของเราเห็นวงกลมสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีขาวทึบ ขาวทึบสะอาด ทรงภาพวงกลมสีขาวทึบหรือใบไม้สีขาวทึบ ทรงไว้อย่างนั้น สีอื่นหรือภาพอื่นเราไม่ต้องการ เห็นแต่วงกลมสีขาวทึบ ใบไม้สีขาวทึบ ขาวสะอาด ทรงภาพไว้อย่างนั้น บัดนี้จิตของเราเห็นวงกลมสีขาวทึบเปลี่ยนเป็นแก้วใสระยิบระยับ วงกลมสีขาวทึบประกายเพชรรัศมีสว่างจ้า จิตเราเห็นวงกลมใสสะอาดประกายเพชรใสเจิดจ้าระยิบระยับ จิตเราชุ่มชื่น จิตทรงภาพไว้อย่างนั้น วงกลมสีขาวแก้วประกายเพชรระยิบระยับไปหมด ใสระยิบระยับ นี่คือกสิณสีเขียว สีอื่นๆก็เหมือนกัน นี่เป็นหลักสูตรลัดที่พระพุทธองค์และเบื้องบนได้เมตตาสอนให้อาจารย์ ให้นำมาบอกลูกหลาน

ผู้แสดงความคิดเห็น ปราณี ผลเกิด (pholkird-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 21:44:24


ความคิดเห็นที่ 534 (1561517)

การฝึกกรรมฐาน นำฝึกโดยคุณธนา

 เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ณ ค่าย ๙ บ้านสวนพีระมิด (ต่อ)

กสิณดิน บัดนี้ เบื้องหน้าเรา ให้กำหนดที่เราขุดบ่อน้ำพีระมิดศักดิ์สิทธิ์ กองดินนี้สูง มีสีน้ำตาลแดง จิตเราเบื้องหน้าเห็นกองดินสีน้ำตาลแดง ทรงภาพกองดินสีน้ำตาลแดงไว้อย่างนั้น อย่างอื่นเราไม่ต้องการเห็น หากจิตว็อกแว็กไปที่อื่น ให้กำหนดจิตขึ้นมาใหม่ เห็นกองดินสีน้ำตาลแดง ทรงภาพไว้อย่างนั้น บัดนี้กองดินสีน้ำตาลแดงได้เปลี่ยนเป็นสีขาวทึบ กองดินสีน้ำตาลแดงเปลี่ยนสีเป็นสีขาวทึบ สีขาวทึบสะอาด กองดินสีขาวสะอาด จิตตั้งมั่นเห็นกองดินสีขาวทึบ ขาวสะอาด อย่างอื่นเราไม่ต้องการ เห็นแต่กองดินสีขาวทึบ จิตอย่าบังคับ เห็นกองดินสีขาวทึบ จิตอย่าทุกข์ใจเมื่อภาพหายไป ให้กำหนดภาพขึ้นมาใหม่ จิตเบาสบาย บัดนี้กองดินสีขาวทึบ ได้เปลี่ยนเป็นแก้วใส ใสสะอาดที่สุด มองทะลุ สว่างเจิดจ้า ระยิบระยับประกายเพชร กองดินประกายเพชรเป็นแก้วใสอยู่เบื้องหน้าเรา ใสสะอาดระยิบระยับสว่างจ้า ระยิบระยับ มีความสุขที่สุด จิตเราเกาะกับภาพกองดินเป็นแก้วใสระยิบระยับ ใสสว่างระยิบระยับเป็นประกายเพชร นี่คือกสิณดิน

ผู้แสดงความคิดเห็น ปราณี ผลเกิด (pholkird-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 21:48:04


ความคิดเห็นที่ 535 (1561518)

การฝึกกรรมฐาน นำฝึกโดยคุณธนา

 เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ณ ค่าย ๙ บ้านสวนพีระมิด (ต่อ)

กสิณน้ำ ให้กำหนดจิตเบื้องหน้าเรา บัดนี้มีแก้วน้ำซึ่งมีน้ำอยู่เต็ม น้ำเต็มแก้วใสสะอาด ให้ทรงภาพน้ำใสสะอาดอยู่ข้างหน้าเรา หรือใครคุ้นเคยที่จะเห็นบ่อน้ำใสสะอาดก็สุดแต่จะนึกภาพจินตนาการภาพ จิตเราเห็นน้ำใสสะอาดอยู่เบื้องหน้า ทรงภาพไว้ เมื่อจิตทรงภาพดีแล้ว บัดนี้จิตของเราเห็นแก้วน้ำใสสะอาด เปลี่ยนเป็นสีขาวทึบเหมือนละเลงแป้ง ละลายน้ำแป้ง น้ำสีขาวทึบ จิตเราเห็นแก้วน้ำสีขาวทึบ น้ำขาวสะอาดทึบ จิตเราเห็นแก้วน้ำสีขาวทึบ ขาวเหมือนน้ำแข็ง จิตไม่ต้องการเห็นภาพอื่นนอกจากแก้วน้ำสีขาวทึบ ทรงภาพสีขาวทึบไว้อย่างนั้น เมื่อจิตทรงภาพดีแล้ว บัดนี้จิตเราเห็นแก้วน้ำสีขาวทึบเปลี่ยนเป็นแก้วใสระยิบระยับ น้ำสีขาวทึบในแก้วเปลี่ยนเป็นแก้วใสระยิบระยับประกายสว่างจ้า น้ำประกายเพชรสว่างจ้า สบายตา น้ำใสเป็นแก้วระยิบระยับประกายเพชร จิตเห็นน้ำใสเป็นเพชรระยิบระยับ นี่คือกสิณน้ำ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปราณี ผลเกิด (pholkird-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 21:49:19


ความคิดเห็นที่ 536 (1561519)

การฝึกกรรมฐาน นำฝึกโดยคุณธนา

 เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ณ ค่าย ๙ บ้านสวนพีระมิด (ต่อ)

กสิณลม บัดนี้เบื้องหน้าทุกคน ให้กำหนดจิตมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่เราคุ้นเคยอยู่เบื้องหน้า เบื้องหน้าเราเห็นต้นไม้ที่เราคุ้นเคย ทันใดนั้นลมก็พัดอย่างรุนแรง นึกถึงกิ่งไม้ ต้นโย้ไปทางซ้ายมือ โย้ไปทางซ้ายมือ ลู่ไปทางซ้ายมือด้วยแรงลม จิตเราเห็นต้นไม้ลู่ไปทางซ้ายมือ ลู่ไปตามแรงลม ลมแรงเหลือเกินตอนนี้ ทันใดนั้น จิตเราก็บังคับกระแสลมให้เปลี่ยนไปทางขวามือทันที ต้นไม้ลู่ไปทางขวามือทันที ลมพัดแรงมาก กิ่งไม้ต้นไม้ลู่ไปทางขวามือ ลมพัดต้นไม้ กิ่งไม้ลู่แรงไปทางขวามือ ลมพัดแรงเป็นพายุ ทันใดนั้นจิตก็สั่งให้ลมหยุด ทุกอย่างหยุดทันที สงบนิ่งเหมือนเดิม กำหนดนิ่งเหมือนเดิม ทันใดนั้น ลมก็พัดแรงขึ้นไปทางขวามือ แรงขึ้น ต้นไม้กิ่งไม้ลู่ไปทางขวามือ แรงขึ้นๆๆ เป็นลมพายุขนาดใหญ่ ต้นไม้เราลู่ไปทางขวามือ ทันใดนั้นจิตเราก็บังคับให้ลมพัดขึ้นบนฟ้า ต้นไม้กิ่งไม้ลู่ขึ้นบนฟ้า ทุกอย่างลู่ขึ้นบนฟ้า จิตเราเห็นต้นไม้ใบไม้กิ่งไม้ลู่ขึ้นบนฟ้า ทันใดนั้น จิตของเราบังคับให้ลมหยุดทันที ทุกอย่างหยุดปกติ ลมหายในทันที ต้นไม้ก็กลับมาปกติ นี่คือกสิณลม ให้จิตฝึกทุกวัน บังคับทิศทางลม เวลาสถานการณ์จริงลมฝนมาทางด้านไหน กำหนดจิตที่เราฝึกทุกวันให้ลมพัดทิศทางอื่น เมื่อฝึกทุกวันดีแล้ว จิตจะมีพลังอำนาจ ให้ทุกคนมั่นใจ อย่าคิดว่าเป็นวิธีการที่ง่ายจะไม่ได้ผล เบื้องบนและครูบาอาจารย์รับรองทุกประการ พระองค์ท่านสื่อสารมาหลายครั้งแล้วเรื่องนี้

 ***** จบการฝึกกรรมฐานแล้วค่ะ นำมาให้พี่น้องที่ไม่ได้ร่วมเข้าค่าย ได้มีโอกาสฝึกด้วยค่ะ นำมาแบบละเอียดสามารถอ่านไปกำหนดจิตฝึกตามได้เลยค่ะ สาธุกับคุณธนาค่ะ*****

ผู้แสดงความคิดเห็น ปราณี ผลเกิด (pholkird-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 21:53:35


ความคิดเห็นที่ 537 (1561524)

   ขอเข้ามาเหลาต่อแบบฉบับย่อเท่าที่จำได้  เพราะตอนนี้มาประชุมที่สองคโปร์ ไม่ได้นำสมุดโน้ตมาด้วย

   วันที่ 31 ก็เกือบไม่ได้อยู่รับเสด็จ เพราะต้องรีบมาขึ้นเครื่องที่สนามบิน ควรจะออกจากบ้านสวนไม่เกินบ่าย 3 ครึ่ง พอทราบว่าท่านจะเสด็จมาถึงช้าหน่อยก็เริ่มใจแป้วแล้ว ตั้งจิตอธิษฐานใหญ่เลย สุดท้ายก็ทันค่ะ  สาธุ สา สาธุ

  ตอนที่ท่านดร.อาจอง บอกว่าระหว่างฝึกอาโลกสิณ ขณะที่คิดว่า

   เราอยู่ในแสงสว่าง  แสงสว่างคือเรา ตอนนี้เราสามารถใช้เวลาสักหน่อยก็ได้

เพราะเป็นช่วงสำคัญที่ หมายถึงเรากำลังเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง

เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล  ถ้าเราทำได้เราจะสามารถเข้าถึงความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้

ซึ่งจริงๆแล้วพวกเราก็เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งนั้น   ดังนั้นถ้าเราทำสิ่งใด ไม่ว่าทางการพูด คิด และทำทั้งดี และไม่ดีกับผู้อื่น  จึงเป็นเหมือนกับการทำต่อตัวเราเองนั่นเอง

      กราบขอบพระคุณอ.อุบล ที่ในวันเสาร์ที่ 30 ก่อนที่ท่านท้าเวสสุวรรณ และท่านพระยายมราช(ลุงพุฒ) สื่อผ่านคุณธนา  อ.อุบล ได้นำเราสมาท่านศีล 5 ในแบบฉบับบ้านสวน  คือไล่ศีลทีละข้อ ว่าใครทำผิดบ้าง ให้พวกเรากล้าสารภาพ ทั้งยกมือ และออกเสียงยอมรับ ซึ่งท่านบอกว่า จะหาที่ไหนมีอย่างนี้มั๊ยเนี่ย  ทำผิดแม้บางเรื่องก็ร้ายแรง และน่าละอายแต่พวกเราก็สำนึกผิด  และยอมรับกันอย่างกล้าหาญ   ปรากฎการณ์นี้น่าจะมีที่บ้านสวนที่เดียวในโลกแน่ๆ  

     จนกระทั่งครบศีล 5 ข้อ เมื่อท่านทั้งสองสื่อผ่านคุณธนา  อ.อุบลพยายามขอความเมตตาท่านทั้งสอง ที่จะลบบัญชีบาปให้พวกเรา โดยเฉพาะตอนที่ขอให้ท่านลบบัญชีบาป ทุกขุมเลย  เพราะ ณ เวลานั้น ทุกคนสำนึกผิด และยอมรับผิดแล้ว และขณะนั้นเราไม่ได้ทำผิดศีลข้อใดเลย   ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านคงลำบากพระทัยมาก  เพราะกรรมชั่วแต่ละคน ก็คงจะหนักหนาเหลือเกิน   แต่อ.อุบลได้ขอร้อง  จนท่านบอกว่า ตกลง ท่านให้พรนี้แกพวกเราทุกคนในวันนั้นที่จะลบบัญชีบาปให้  แต่ถ้าหลังจากนั้นพวกเราทำผิด ไม่สามารถรักษาความเป็นปกติไว้ได้  กรรมชั่วของเราก็จะถูกบันทึกใหม่  นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน  นอกจากที่บ้านสวนพีระมิด เท่านั้น

     กราบขอบพระคุณอ.อุบล และครอบครัวที่ให้โอกาสและ มีเมตตาต่อลูกๆ บ้านสวนฯทุกๆคน   พวกเราจะพยายามทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิจใจให้เบิกบาน แจ่มใสค่ะ

  สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 22:26:53


ความคิดเห็นที่ 538 (1561533)

  สาธุ  สาธุ  สาธุ

 

เบลล์ขอโมทนาสาธุบุญบารมีของทุกๆท่าน

ที่ร่วมเข้าค่ายครั้งที่เก้าของบ้านสวนพีระมิดทุกท่านนะครับ

ขอจงเป็นไปเพื่อพระนิพพานชาตินี้  เร็วๆไวๆ

ขอความไม่มี ไม่สำเร็จอย่ามีแก่ข้าพเจ้า  สาธุ

ขอสมเด็จพ่อองค์พระปฐมโปรดประธานพระพุทธพร

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-01 23:32:45


ความคิดเห็นที่ 539 (1561553)
image

 

 นมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์

องค์หลวงพ่อปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิดทุกพระองค์

ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ และท่านอาจารย์มงคล-ท่านอาจารย์อุบล

ที่เคารพอย่างสูงครับ

--------------------------------

ผมขออนุญาตเล่าประสบการณ์จากค่ายมหามงคล ค่าย 9

ระหว่าง 30-31 ก.ค. 54 ดังนี้ครับ

ความรู้ที่ได้รับจากท่านอาจารย์ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

เราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร

เราอยู่ในแสงสว่าง แสงสว่างอยู่ในตัวเรา เราคือแสงสว่าง

เราและทุกสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียว

"กสิณแสงสว่าง" 

 เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ

ไปพร้อมๆกับการภาวนาคำว่าพุทโธ

การทำเช่นนี้จะช่วยให้จิตใจเราสงบ

ขอให้นึกถึงแสงสว่างที่อยู่ข้างหน้าของเรา
นำแสงสว่างเข้ามาที่หน้าผากของเรา
และเข้ามาในศีรษะของเรา
ให้ศีรษะของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง
 
แสงสว่างอยู่ที่ไหนความมืดย่อมอยู่ไม่ได้
ศีรษะของเราเต็มไปด้วยความคิดที่ดี
คิดในสิ่งที่มีประโยชน์เราคิดอย่างไรเราก็เป็นอย่างนั้น
ในความคิดของเราจะเต็มไปด้วยความรักความเมตตา
 
นำแสงสว่างมา ที่หัวใจของเรา
คิดว่าบริเวณหัวใจของเรามีดอกบัว
เมื่อแสงสว่างสัมผัสกับดอกบัว
ดอกบัวก็ค่อยๆผลิบานเป็นดอกไม้ที่สวยงาม
หัวใจของเราเต็มไปด้วยความรักความเมตตา
 
 นำแสงสว่างลงมา ที่แขนและมือของเรา
มือของเราทั้งสองข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง
เราจะปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
เราจะรับใช้ช่วยเหลือทุกคนด้วยความรักและความเมตตา
 
นำแสงสว่างมาที่เท้าของเรา
เท้าทั้งสองข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง
เราจะก้าวไปข้างหน้า เดินไปในหนทางที่ดี
ทุกย่างก้าวของเราจะเต็มไปด้วยความมั่นใจ
 
 นำแสงสว่างกลับ ขึ้นมาที่ปากของเรา
ให้ปากและลิ้นของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง
เราจะพูดแต่สิ่งที่ดีและมีประโยชน์
คำพูดของเราเต็มไปด้วยความรักและความเมตตา
 
นำแสงสว่างมาที่ หูของเรา
หูของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง
เราจะฟังแต่สิ่งที่ดีได้ยินแต่สิ่งที่ดี
เราจะรับฟังผู้อื่นด้วยความรักและความเมตตา
 
นำแสงสว่างมาทีตา ของเรา
ให้ตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง
เราจะมองทุกคนด้วยความรักและความเมตตา
เราจะมองเห็นแต่ความดีในทุกคนและทุกสิ่ง
 
    ตอนนี้นำแสงสว่างกลับมาที่ศีรษะของเรา
ให้ศีรษะของเราเต็มไปด้วยแสงสว่างและปัญญา
 
ขอให้เราแผ่ขยายแสงสว่างจากตัวเราออกไปมอบให้กับ
คุณพ่อคุณแม่ของเรา
ขอให้ท่านเต็มไปด้วยความสงบสุข
นำแสงสว่างไปมอบให้กับคุณครู
ผู้ที่ให้ความรู้และปัญญาแก่เรา
ขอให้ท่านเต็มไปด้วยความสงบสุข
 
กระจายแสงสว่างออกไปให้ญาติพี่น้อง
และเพื่อนฝูงของเรา
กระจายแสงสว่างออกไปให้กับ
ทุกคนรวมทั้งสิ่งมีชีวิต
ทุกๆชีวิตให้โลกของเราเต็มไปด้วยความรักและความสงบสุข
 
กระจายแสงสว่างออกไปให้ทั่วทั้งจักรวาล
ให้ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยแสงสว่าง
เรามองเห็นแสงสว่างในทุกๆชีวิต และแสงสว่างในทุกๆชีวิตนั้น
ก็เหมือนกันกับแสงสว่างที่อยู่ในตัวของเรา …

" เมตตา คือ พลังอันยิ่งใหญ่"

"แผ่เมตตาให้มาก ๆ ทำบ่อย ๆ ประเทศของเราจะปลอดภัย"

"ความคิด เป็นพลังงาน คิดดี นำความดีมาให้"

คิดไม่ดี จะดึงดูดสิ่งที่ไม่ดี

โดยเฉพาะการคิดไม่ดีต่อองค์ในหลวง ต่อเบื้องสูง 

ชีวิตจะยากลำบาก มีแต่ความทุกข์

อนูโมทนาบุญกับทกท่านครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-02 02:07:12


ความคิดเห็นที่ 540 (1561558)
image

นมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์

องค์หลวงพ่อปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิดทุกพระองค์

ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ และท่านอาจารย์มงคล-ท่านอาจารย์อุบล

ที่เคารพอย่างสูงครับ

--------------------------------

ผมขออนุญาตเล่าประสบการณ์จากค่ายมหามงคล ค่าย 9

ระหว่าง 30-31 ก.ค. 54 ดังนี้ครับ

ความรู้ที่ได้รับจากท่านอาจารย์ อุบล ศุภเดชาภรณ์

"อาจารย์อยากให้ทุกคนไปนิพพานกันให้ได้ทั้งหมด

ถึงไปไม่ได้ทั้งหมด แต่ไปพักที่พรหมก็ยังดี

"อาจารย์ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว"

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

ที่เมตตาต่อลูกหลานเหลือเกินจนไม่อาจบรรยายได้หมด

ทุกคนที่ท่านอาจารย์ได้ขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ให้ได้เป็นพระโสดาบันเนื่องในโอกาสค่าย 9 มหามงคล

เราทุกคนควรรักษา พระโสดาบันสมบัติ

ให้ยืนนานตลอดไปให้ก้าวต่อไปถึงจุดหมาย

ที่ท่านอาจารย์ต้องการขนย้ายทุกคนกลับไปยังพระนิพพานครับ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราได้ให้สัญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้ว

และอย่าลืมตามที่ท่านท้าวเวสสุวรรณได้กำชับ

เราทุกคนล้วนอาสาลงมาทำหน้าที่ช่วยท่านอาจารย์

อย่าลืมสัญญา

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-02 02:55:55


ความคิดเห็นที่ 541 (1561564)

อนุโมทนากับเรื่องเหลาในหลากหลายมุมมอง

ของทุกๆท่านอีกครั้งนะคะ

มิผิดหวังเลยจริงๆ ชาวเกาะทั้งหลายเทคะแนนให้ทุกๆท่าน

เท่าๆกันเลย แล้วก็ขอบคุณคุณปราณีอย่างที่สุด

ที่ลงการฝึกกสิณอย่างละิเอียด อ่านแล้วเข้าใจง่ายดี

แต่ทำได้ง่ายรึเปล่าไม่รู้ ต้องลองดู คือชนิดาเคยอ่านจากที่อื่นมา

ก็"งงๆ" ก็เลยลองๆฝึกนิดหน่อย แ้ล้วก็ทิ้งไป ตามสไตล์คน"รักสบาย"

แต่พอได้มาอ่านเวอร์ชั่นของคุณปราณีแล้ว ฟังดูซับซ้อนน้อยกว่าเยอะ..

ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆค่ะ ทุกทุ๊กท่านเลยนะคะ

เทวดาเดินดินกันทั้งนั้นเลยนะเนี่ย...

 

ฉะนั้น ลากๆจูงๆกันไป อย่าทิ้งชาวเกาะแล้วกัลล์..เน้อ..

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-02 03:36:58


ความคิดเห็นที่ 542 (1561579)

อนุโมทนากับทุกๆท่านอีกครั้งเช่นกันค่า

โชคดีจังที่มีพี่ๆหลายๆคน

มาคอยเหลาให้ฟังและได้อนุโมทนาตามไปด้วย

ไม่งั้นคงจะไม่มีวันได้รับรู้

ช่วงโอกาส ช่วงเวลาดีๆที่บ้านสวนพีระมิดแน่เล๊ยยยย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-02 05:19:48


ความคิดเห็นที่ 543 (1561606)

คุณชนิดาค่ะ เวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นของคุณธนาที่นำฝึก ต้องยกความดีทั้งหมดให้คุณธนาค่ะ ดิฉันเพียงแต่นำมาถอดเทปบันทึก และนำมาทบทวนฝึกอีกครั้งเนื่องจากตอนที่ฝึก เผลองีบตอนไหนไปวูบหนึ่งเนื่องจากนอนน้อย ใช้แรงกายที่บ้านสวนให้ได้มากที่สุด อาศัยถอดเทป จึงทบทวนได้ และดูง่ายดีจริงๆด้วย ดิฉันคิดว่าเรามีหน้าที่ฝึกตาม จะได้เมื่อไหร่ก็ไม่เป็นไร เราสร้างเหตุไว้ก็พอ ผลจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่กังวล ดีใจค่ะที่เกิดประโยชน์กับคุณชนิดาด้วย

ผู้แสดงความคิดเห็น ปราณี ผลเกิด (pholkird-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-02 10:06:31


ความคิดเห็นที่ 544 (1561619)

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มาแบ่งปันความรู้

อ่านแล้วดีมาก ๆ เลยคะ เข้าใจง่าย และคิดว่าทำได้ไม่ยาก

กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลมาก ๆ คะ ที่คอยช่วยเหลือ

และสอนแต่สิ่งดี ๆ และทำง่าย ๆ แก่พวกเรา รู้สึกดี มีกำลังใจมากเลยคะ

สาธุ คะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-02 11:10:50


ความคิดเห็นที่ 545 (1561642)

 

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มาเเบ่งปันความรู้ อ่านและฝึกจิตไปด้วยขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ กราบขอบพระคุณอาจารย์ อุบลและครอบครัวที่ทำ

ให้พบหนทางแห่งแสงสว่างที่ค้นหามานาน กราบขอบพระคุณมากคะ สาธุคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น จรีพร แก้วนวล (ศิลป์) (kaewnuan-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-02 13:03:29


ความคิดเห็นที่ 546 (1561698)

เมื่อคืนนี้ เข้าใจว่านำการฝึกกสิณ มาลงครบแล้ว พอมาทวนดูจึงพบว่ามีกสิณ ดิน น้ำ ลม แต่ยังไม่ได้นำกสิณไฟมาลงไว้ คืนนี้จะจัดการพิมพ์และนำมาลงไว้ในกระทู้ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปราณี ผลเกิด (pholkird-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-02 16:52:43


ความคิดเห็นที่ 547 (1561862)

อนุโมทนาด้วยอีกครั้งค่ะคุณพี่ปราณี

เพราะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวดทั้งต่อชนิดา

และผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ

 

แล้วก็อนุูโมทนากับพ่อใหญ่ธนาด้วยนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 06:55:15


ความคิดเห็นที่ 548 (1561874)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานของทุกท่านด้วยค่ะ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 09:05:35


ความคิดเห็นที่ 549 (1561894)

..ถึงน้องชนิดาค่ะ..ลองฝึกกสิณ ตอนก่อนนอนน่ะค่ะ..

...เพราะตอนนั้น เราจะนึกถึงภาพของจักรวาล..ดวงดาวต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

 และเมื่อเรานำแสงสว่างมาหยุดที่ศีรษะ(เหมือนที่น้องโฆษิต เขียนไว้)

แล้วทำการแผ่...แสงสว่างออกไปรอบๆๆตัวเรา..ครอบคลุมประเทศไทย..

ส่งออกไปให้ถึงดวงดาวทุกดวงจนถึงจักรวาล  อนันตรจักรวาล (ใช้จิตนึกค่ะ)

***ลองทำดูน่ะค่ะ มีความสุขดี ทำเรื่อยๆจะจดจำขั้นตอนได้เร็วขึ้นค่ะ

..อนุโมทนาบุญกับน้องโฆษิต รูปหล่อ / คุณปราณี ค่ะ สาธุ....

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 10:13:35


ความคิดเห็นที่ 550 (1561896)

ถึงพ่อมหา และอ้ายอมร เด้อค่ะ..

วันที่รับเสด็จ..สมเด็จองค์ปฐม นั้น.. ข่อยตั้งใจ อีหลี๋ ..ตั้งนาฬิกาตี 4.30น.

ลุกขึ้นมา นึ่งข้าวเหนียว มาฝาก อ้ายมร..

เพราะคิดว่าเพิ่นคื๋อ..สิอยากแฮง..

***ขณะที่อ้ายมร..ปั้นข้าวเหนียว..ข่อยแนมเบิ่ง(ชำเลือง)เพิ่นตลอด

...หย่านเพิ่นกินบ่อิ่ม...แล้วสิเกิดเหตุการณ์...ก่องข้าวน้อยฆ่า....ข่อย (อิ.. อิ)

เพราะกระติ๊บที่..ใส่ข้าวมาเบิ่งแล้วคื๋อน้อยแท้..

แต่สุดท้าย..อ้ายมรอิ่มแล้ว..ยกมาให้คืน ข่อยต๊กใจ๋เหมิ๊ดเลย

เหลือไว้ 1 กำปั้น ...เจ่าสิเหลือเฮ็ดยั๋ง...บ่ต้องเกรงใจ เพราะข่อยทำด้วย มือ..(ขอบอก)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 10:26:40


ความคิดเห็นที่ 551 (1561946)

ขอบคุณ คุณสุ

สำหรับข้าวเหนียว 1 กระติ๊บ

ขอให้คุณสุ มีความเจริญสุขในธรรม 

มั่นคง  เหนียว และเหนี่ยวแน่น ในพระสัจธรรม

********************

ข้าวเหนียว เป็นสัญญาเก่าของข่อย

เห็นบ่อได้ เว้าฮอดบ่อได้

เป็นคือตาเห็นนั่นเหละ

"บ่อได้ พิตี๋"

 

****ผมได้สอนเทคนิคชั้นสูง

สำหรับการปั้นข้าวเหนียวให้ คุณพี่มหา

"เก๋าตำยั่งไลนิ "..... ภาษาทองแดงพี่มหา

ปั้นแล้วจิ้ม หากต้องการปริมาณปลาหร้า

มากหน่อยต้อง.. คุ้ย แล้ว โป้งแนบ ...

พ่อใหญธนา ผู้อาวุโส ต้องมาอธิบาย โป้งแนบ

ผมอธิบายไม่ถืก ผมเมาข้าวเหนียว คร๊าบ

 

เด็กชายอมร

ผู้แสดงความคิดเห็น เด็กชายอมร (อมร ศิริมาศกูล) (amorn_possible-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 14:24:01


ความคิดเห็นที่ 552 (1561950)

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้เข้าร่วมค่าย 9

และธรรมะทานจากทุึกๆ ท่านด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉันทนา ชูนุ่น (coffe-dot-i-joker-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 14:47:49


ความคิดเห็นที่ 553 (1561956)

 

เบื่อลาว!!!!

จังฮู้ ++555

อ้าย หมอเสิงสาง

-*-*-*-*-

พบกับ

บารมี 4 ภาค

ได้ที่

บ้านสวนพิรามิด

คร๊าบพี่น้อง.ง.ง.ง

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 15:44:44


ความคิดเห็นที่ 554 (1561965)

การฝึกกรรมฐาน นำฝึกโดยคุณธนา

เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ณ ค่าย ๙ บ้านสวนพีระมิด (ต่อ)

กสิณไฟ บัดนี้เบื้องหน้าทุกคน ให้กำหนดจิตมีเทียนสีเหลืองทอง ทุกคนเห็นเปลวเทียนสีเหลืองทอง กำหนดจิตบังคับให้เปลวเทียนค่อยๆใหญ่ขึ้นๆๆ จนมีขนาดเท่าฝ่ามือของเรา บัดนี้เปลวเทียนขนาดใหญ่ขึ้นเท่าฝ่ามือของเรา และกำหนดจิตบังคับให้เปลวเทียนขยายใหญ่ขึ้นอีก ใหญ่ขึ้น เปลวเทียนขยายใหญ่ขึ้น จนมีขนาดเท่าศีรษะของเราทันใดนั้นทุกคนกำหนดจิตให้เปลวเทียนค่อยๆเล็กลง จนมีขนาดเท่าฝ่ามือเรา เปลวเทียนตอนนี้ มีขนาดเท่าฝ่ามือเรา ตอนนี้ร่างกายเรารู้สึกหนาว โดยเฉพาะที่ขา ให้ทุกคนรู้สึกที่ขา เย็นเหลือเกิน กำหนดจิตให้เปลวเทียนนี้อยู่ที่ขา ทำให้ขาเราอุ่นขึ้น ตอนนี้เปลวเทียนอุ่นที่ขาเรา ขาเราอุ่นขึ้น เรารู้สึกขาเราอุ่นขึ้นจริงๆ เปลวเทียนขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ทำให้เราอุ่นขึ้นๆๆ และแล้วกำหนดจิตให้เปลวเทียนมีขนาดเล็กลงๆๆ จนมีขนาดเท่าเดิม นี่คือกสิณไฟ  เป็นการฝึกแบบง่าย แต่เป็นแบบฉบับเร่งรัดจิตเพื่อให้ทันกับยุคภัยพิบัติ ซึ่งเบื้องบนสอนท่านอาจารย์ ให้นำมาบอกลูกหลาน วิธีที่เคยฝึกมาอาจแตกต่างกับวิธีการนี้ แต่ให้มั่นใจว่า ทุกๆพระองค์ เวลาสื่อสารท่านย้ำว่าขอให้มั่นใจ ตั้งใจฝึก เวลาเกิดภัยพิบัติให้ใช้ ทุกวันนี้เวลาเกิดฝน พายุลมแรง ก็สามารถกำหนดจิต เพียงแค่เราฝึกทุกวัน จิตเราจะมีพลังอำนาจ แค่เราคิดให้ฝนหายไป ฝนก็หายไปทันที หรือให้ลมเปลี่ยนทิศ ลมก็เปลี่ยนทิศทันที โดยไม่ต้องตั้งท่า ค่อยๆทำอย่างที่เราฝึก แต่ขอให้เราฝึกทุกวัน ทำด้วยความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มั่นใจว่า สิ่งที่เราฝึกนี้ ได้ผล 100% ทุกท่านก็จะสามารถช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้.

ผู้แสดงความคิดเห็น ปราณี ผลเกิด (pholkird-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 16:34:40


ความคิดเห็นที่ 555 (1561983)

 โมทนาสาธุกับธรรมทานของทุกท่านนะครับ

ขอเป็นไปเพื่อพระนิพพาน

ขอความไม่มี  ไม่สำเร็จ

ไม่ได้เรียนรู้รับพระธรรมคำสั่่งสอนของพระพุทธเจ้า

ไม่ได้เผยแผ่พระะรรมคำสั่งสอนของพระพุทะเจ้า

ไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง

ไม่ได้ช่วยคน

ไม่ได้ช่วยชาติ

พระพุทธศาสนา

พระมหากษัตริย์

จงอย่าบังเกิดแก่ลูกตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานชาตินี้  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 18:21:26


ความคิดเห็นที่ 556 (1561990)

 ขออนุญาติคุณพี่ปราณี และน้องเบลล์ ข้ามไปขำด้านบนหน่อยนะคร้าบบบบ

ฮร่วย !!!!...เอื้อยสุ อ้ายอมร เล่นเอาเจ้าไข่นุ้ยอย่างผม ต้องถอดแว่นเช็ดน้ำตา เพราะขำแทบตกเก้าอี้....ทำไปได้ !!!...

จริงๆ ตอนนั้นทานข้าวแล้ว แต่พอพี่อมรวางกระติ๊บข้าวเหนียว ทำให้เราลืมข้าวยำและผัดซาตอ(ลากเสียงหน่อย)ไปถนัดตา รีบจกข้าวเหนียวปั้นจิ้มกับปลาร้าสับ(เจ) แกล้มด้วยผักสดปลอดสารพิษบ้านสวนฯ กรอบอร่อย...ร้อยจั่งฮู้ววว !!!...วันนั้นถ้าเอื้อยปิ่นไม่เสริมทัพด้วยข้าวเหนียวดำ สงสัยต้องมีก่องข้าวน้อยฆ่าข่อย อย่างที่เอื้อยสุว่าแน่ๆ...ไม่รู้เป็นอย่างไร(ห่อลิ้นหน่อย) คนต้าย อย่างโผม ชอบทานอาหารอีสานอย่างแรงเลยนิ...สิบอกไห่ !!!

ปล....อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ศัพท์เทคนิคมา 2 คำ...ซึ่งต้องวิ่งหาดิกฯเคลื่อนที่อย่างพี่เหมี่ยว และพ่อใหญ่ธนา

บักขี้โผ่...นำเสนอโดยเอื้อยนิดสากหัก...หมายถึง หน้าท้องที่ยื่นออกมา แถวบ้านเรียกว่า "พุง"

โป้งแนบ...นำเสนอโดยอ้ายอมร...หมายถึง กริยาหรือเวิร์บช่องที่หนึ่ง เป็นลักษณะการคีบข้าวเหนียวหลังจากปั้นเป็นกล้อนกลมเล็กๆ แล้ว โดยใช้นิ้วโป้งและน้ิวชี้ จก(จิ้ม)ปลาหร้า หรือตำบักฮุง ซึ่งนิ้วโป้งได้กวาดเอาสิ่งอันพึงประสงค์แล้วนั้นเข้าปากไปอย่าง แซ่บอีหลี !!! 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 18:54:52


ความคิดเห็นที่ 557 (1561996)

ฮ่าๆๆ อ่านอ้ายอมรทีแรก ก็ยังไม่ได้คิดตาม พออ่านของอ้ายสิทธิ์แล้วต้องอมยิ้ม ต้องบอกว่า ฮ่วยย แม่นเลย โป้งแนบ เวลาจกข้าวเหนียวจิ้มไข่เจียว ก็ต้องใช้โป้งแนบแบบนี้หล่ะเด้อ อ่านไปอ่านมา พอรู้ว่าพี่อมรเป็นคนอีสาน อึ๋ยย !!ขนลุกหมดเลย!! ขนลุกย๊าบๆ แต่ว่าไป อ้ายสิทธิ์ เจ้าคือมาเว้าลาวเก่งแท้น๊อ สำเนียงก่าคือเด๊ะหล่า

งานนี้พี่สุเราไม่สงวนท่าทีเล๊ยย พี่อมรพาผมไปหาพี่สุ คุยไปคุยมา พี่สุจกกระเป๋า เห็นกระติ๊บข้าวเหนียวขนาดพอฟัดพอเหวี่ยงกับหุ่นคุณพี่เธอ ป๊าดโธ่!! เจ้าคือมาสิมาจ๊กข้าวเหนียวกลางบ้านสวนฯเลยบ๊ออ เสียดายไม่มีโอกาสได้จ๊กนำเด๊ะหล่า ขอบคุณพี่สุหลายๆเอาขนมมาให้ทานกัน

ใครจะใช้วิธีโป้งแนบก็ไม่สงวนเด้อครับ เพราะว่ากวาดเรียบของแซ่บๆด้วยนิ้วโป้งแล้วหนีบเอาไว้พร้อมกับนิ้วชี้ โอ๊ยย หม่วนหลายๆ ว่าแต่อย่ากินหลาย ต้องเมี้ยนไว้ให้หมู่นำเด้อ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 19:45:48


ความคิดเห็นที่ 558 (1561998)

โป้งแนบ

ทำอย่างไร ไม่เข้าใจ

อ.มงคล รู้ว่า เดี๋ยวจะมีปัญหา

เรื่อง โป้งแนบ จึงแอบ

บันทึกภาพไว้

เป็นหลักฐานสำคัญ เรียบร้อยแล้ว

แค่ดูในจอ มอนิเตอร์ ก็น้ำตาเล็ดแล้ว

เดี๋ยวเพื่อความกระจ่าง

 

อาทิตย์นี้

7 ส.ค.54 เอาภาพ

โป้งแนบ

ของจริง ออก ทีวี ดีก่า

ดีมะ หมู่เฮา

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-03 19:58:01


ความคิดเห็นที่ 559 (1562091)

It is very good ka Aj. mom

Put on TV. so the people other side of the world

can see too. (chaokoh)

But what is PONG NAB! anyway?

ผู้แสดงความคิดเห็น Nonthaporn Steinhaus (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-04 09:50:20


ความคิดเห็นที่ 560 (1562094)

 

Mothana ka khun Thana

khun Surasit & khun Kosit

khun nong Pranee + nong Suriwarn

And everyone ka for thum ma tan DDDDDDDDDDDD ka

Thank you thank you mak mak ka

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Nonthaporn Steinhaus (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-04 10:00:16


ความคิดเห็นที่ 561 (1562110)

กราบเรียนท่านอ.อุบลค่ะ..

เรื่องทั้งหมดทั้งมวล..เริ่มที่ลูก..คิดว่าอ้ายมร เพิ่นทำงานเยอะมากๆๆ

ก็เลยอยากตอบแทนเพิ่น(พี่เขา) ..ที่ทุ่มเทกายใจ กับงานบุญบ้านสวนค่ะ..

ก็เลยนึ่งข้าวเหนียวไปฝากค่ะ ....

อ่านข้อความอ้ายมร แล้ว..ต้องมีกลยุทธ์ในการกินข้าวเหนียว..เพราะจะทำให้ได้

อรรถรส สุดๆๆ มีข้อบ่งชี้ดังนี้ค่ะ..

1.ต้องใช้มือข้างที่ถนัด กำข้าวเหนียวพอประมาณ ที่จะปั้นเป็นคำ (เข้าปากได้พอดิบพอดี)

2. หลังจากปั้นต้องทำวิธีปลุกเสก..(ขอโทษค่ะ ต้องกำกำปั้นแล้วหมุนมือไปเรื่อยๆจนกว่าจะเป็นก้อนที่แน่นๆ..เตรียมเอาลงจิ้มกับข้าวค่ะ)

3. ใช้นิ้วหัวแม่มือ + นิ้วชี้ แนบกับข้าวที่ปั้นได้ที่..แล้วนำไปจิ้ม น้ำพริก / ปลาร้าบอง    หรืออาหารที่เราชอบ **โดยเฉพาะตำมะละกอ**จะได้ทั้งเส้น และน้ำ ตำส้มค่ะ

4. รีบยกข้าวเหนียวที่จิ้มแล้วเข้าปากทันที เพราะถ้าช้า//.. ข้าวจะเจื่อน (ข้าวจะแยกออกจากกัน)..

5. ทำตามข้อ 1- 4 จนกว่าจะอิ่มค่ะ

...อ้ายมร / พ่อใหญ่ / พ่อมหา / เอื้อยเหมี่ยว / เอื้อยอ๊อด / เอื้อยปิ่น..ซ่อยข่อยแน่

เขียนยากยิ่งกว่าทำวิจัยยา... โพ่นเด๊ะ

อ้อ***พ่อมหา มีลูกบ้านสวนมาใหม่..ค๊น บ้านเดียวกันกับเฮา..มาจากนคร....

บ่แม่น นครศรีธรรมราช พ่อมหา ..บ่แม่น นครราชสีมา ของอ้ายอมร ..

บ่แม่น..นครนายก ของท่านอ.อุบล ค่ะ

...แต่เป็น นคร...พนม..บ้านเฮาเด้อ..

*****ยินดี๋ต้อนฮับ อ้ายหมอโซนี่..เอื้อยหวี..น้องหมอโหน่ง..สู่บ้านสวนค่ะ

***นครพนมสมนาม..มีพระธาตุงาม เป็นมิ่งขวัญเมือง

เหมือนหลักชัยพาให้รุ่งเรือง  ฯลฯ...เจ่ายังจำได้บ่...

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-04 11:52:22


ความคิดเห็นที่ 562 (1562240)

 โมทนากับธรรมทานของอาจารย์แม่และพี่ๆทุกท่านครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-05 01:38:29


ความคิดเห็นที่ 563 (1562250)

เดี๋ยวอาจจะมีอาการ"โป้งแนบ ฟีเวอร์"

เกิดขึ้นที่บ้านสวนฯแน่ๆ ..ฮิฮิ

โดยคุณพี่ อ้ายอมร เป็นผู้นำแฟชั่น

ส่วนพี่สุนั้น ทำหน้าที่เป็น เจ๊ดัน..

และท่านอ.มงคล ช่างภาพมือไว

ก็เก็บไว้ได้ทุกช็อตเด็ดๆ..ไว้เป็นหลักฐาน

(ฝีมือชั้นเซียน ไม่มีพลาดอยู่แล้ว) .....

...............................................

อนุโมทนากับคุณพี่ปราณี กับการฝึกกสินไฟด้วยนะคะ...

มาเขียนตามที่สัญญาไว้..จริงๆด้วย..ขอบคุณค๊า....

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-05 05:02:27


ความคิดเห็นที่ 564 (1562285)

อ่านข้อความอ้ายมร / พ่อใหญ่ / พ่อมหา แล้ว โค - ตระ- ระ ฮา ..

เดี๋ยวนี้ลูกบ้านสวน นอกจากจะทำงานทางโลก ทางธรรม เก่งๆๆกันทุกคนแล้ว

ด้านคารม  อารมณ์  ที่เฮฮา มุขแต่ละท่าน

รวบรวมเป็นคณะตลก ได้สบาย มีเล่นมุขกันตาหลอด..

ทำให้พี่น้องๆๆ ไม่เหนื่อยเลย..ทุกท่านอยากไปบ้านสวน

เพราะ..ได้สร้างบุญบารมี และ ได้ พบปะญาติพี่น้องเรา

ได้พบกัลยาณมิตร ดีๆๆๆๆๆๆค่ะ สาธุ

..บอกแล้วว่าคบลูกบ้านสวนมีความสุขมาก(จนเกือบไหม้) อ่ะค่ะ..

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-05 11:31:01


ความคิดเห็นที่ 565 (1562295)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทาน ของนางฟ้า เทวดา และผู้ทรงธรรมทุกๆ ท่านครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์ โพธิ์อุ่น (kiattisp-at-scg-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-05 12:43:08


ความคิดเห็นที่ 566 (1562296)
image

กรี๊ด ๆๆ !! ไม่ได้เข้ามาแป๊บเดียว

ลูกบ้านสวนชักจะโกอินเตอร์

พูดภาษาอะไรกันอ่ะ ฟังบ่ฮู้เรื่อง

ได้ยินเว้าอิสานแล้วเหมือนพี่ธนาค่ะ ขนลุก บรื๋อ..อ

ได้เข้าเว็บบ้านสวนนอกจากได้สาระธรรมมะแล้ว

ยังได้ภาษาท้องถิ่นวันละ (หลาย) คำด้วยนิ

น่ารักอ่ะ ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-05 12:56:17


ความคิดเห็นที่ 567 (1562330)

น้องตุ้ยจ๊ะ..ต้องซ้อมไว้ค่ะ..เผื่อเจออ้ายมร อ้ายตัวเล็ก พ่อใหญ่

จะได้ส่งภาษากันค่ะ..เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้ทรงธรรม..จะได้ทั้งทราบและทั้งซึ้งค่ะ

ในการพรรณาโวหาร ...

ว่าแต่อ้ายมร พ่อใหญ่ เว่าพะญ๋า(คำกลอนหรือสุภาษิตที่ใช้สอนลูกหลาน) เป็นบ่ จ้า///

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-05 16:31:14


ความคิดเห็นที่ 568 (1562333)

น้องชนิดาค่ะ..

ฝนตกทางนี้ หนาวถึงคนทางโน้น (โปแลนด์)...

เป็นห่วงน่ะค่ะ...มีอะไรก็ส่งใจมา..เพราะคงไปช่วยไม่ได้ (พูดดูจะดีอ่ะ)

ขอบพระคุณค่ะที่มอบตำแหน่งเจ๊ดันให้ค่ะ..แต่คงดันอ้ายมร บ่ ไหวค่ะ

เพราะเพิ่นตัวหนาออกซะยังงั้นค่ะ..ขี้โผ่ (พุง)กะหล๋าย..เอื้อยเหมี่ยวอย่าโกรธเด้อค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-05 16:37:29


ความคิดเห็นที่ 569 (1562336)

ถึงพ่อใหญ่ค๊า...

ข่อยจะกลับไปนครพนม ตั้งแต่วันที่ 6-12 ไปวันแม่ค่ะ

เฮ็ดจั่งใด๋..ข่อยคื๋อสิฮอดบ้านสวนแฮงๆๆ..หลับกะคิด..นอนกะฝัน

ถ้าเจ่าคิดอยากกินหยัง..ของแถวบ้านเฮาน่ะ..เช่นไข่มดแดง ..(มันสิบาปน้อ//)

โทร สั่ง order ได้เลยค่ะ..

ยินดีให้บริการ...บ่คิดเงินเด้อ..บ่ ต้องเกรงใจ๋

...โทร 086-5775101 ทรู ..088 - 4238366 ais

...ผู้ใด๋อยากได้หยังกะสั่งได้เด้อค่ะ...

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-05 16:47:23


ความคิดเห็นที่ 570 (1562450)

 

Anumothana ka nong Suriwarn khon ngam

Have a safe trip ka

ผู้แสดงความคิดเห็น Nonthaporn Steinhaus (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-06 12:06:41


ความคิดเห็นที่ 571 (1562534)

 โมทนาสาธุกับทุกท่านในกระทู้นี้นะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 08:09:07


ความคิดเห็นที่ 572 (1562567)
image

โมทนาบุญกับพี่สุด้วยค่า

ที่เมตตามาแปลบทภาษาไทยค่ะ อิๆ

งานนี้น้องๆ ไม่อยากได้อะไรค่ะ

ขอแค่พี่สุเอาขี้โผ่ (พุง) น้อยๆของพี่

มาเก็บอาหารที่บ้านสวนเรา

แค่นี้ก็หายคิดถึงค่ะ

เที่ยวให้สนุกนะคะ

 

และวันนี้ก็มาเป็นชาวเกาะ

รอฟังเรื่องเหลาจากบ้านสวนเมื่อคืนนี้ค่ะ

รอ ๆๆ อยู่นะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 15:13:00


ความคิดเห็นที่ 573 (1562569)

 โมทนาครับพี่สุ

โมทนาครับพี่ๆทุกท่าน

เบลล์ก็รอเรื่องเหลาจากคืนวันเสาร์ค่าย  9  เหมือนกันครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 16:08:53


ความคิดเห็นที่ 574 (1562642)
image

 

นมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
หลวงพ่อปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิด ท่านท้าวเวสสุวรรณ
ท่านอาจารย์มงคล-ท่านอาจารย์อุบล
ที่เคารพอย่างสูงครับ
 
*************************************
 
ผมขออนุญาตนำพระธรรม ที่ท่านอาจารย์อุบล
ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้นำมาถ่ายทอดให้ลูกหลานบ้านสวนพีระมิดได้รับฟังกัน
เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 6 ส.ค. 54 ดังนี้ครับ

พระสุตตันตปิฎก

ความประเสริฐของความรู้และความประพฤติ
 
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยพระสาวก 500 รูปจนถึงอิจฉานังคลคาม ซึ่งเป็นหมู่บ้านพราหมณ์ และได้ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน
 
พราหมณ์โปกขรสาติได้สดับข่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน ทั้งทราบเกียรติศัพท์แห่งพระพุทธคุณ และเห็นว่าการที่ได้เฝ้าพระองค์นั้นเป็นการดี
จึงบอกศิษย์อันยอดเยี่ยมของตน คือ อัมพัฏฐมาณพ ไปสืบว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงมีมหาปุริสลักษณะครบ ๓๒ ประการตามคัมภีร์พราหมณ์หรือไม่
 
อัมพัฏฐมาณพรับคำแล้ว จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระจอมไตร พร้อมด้วยมาณพหลายคน แต่ปรากฏว่า  อัมพัฏฐมาณพนั้น มิได้ประพฤติตามที่อาจารย์ของตนสอนสั่ง โดยมิได้แสดงอาการเคารพ ไม่มีความสำรวม เดินบ้าง ยืนบ้างขณะสนทนา ทั้งยังพูดข่มขู่พระองค์และด่าว่าสกุลศากยะว่าเป็นสกุลไพร่ ถือตนว่าเป็นวรรณะพราหมณ์อันสูงส่ง
จนพระองค์ทรงดำริว่า อัมพัฏฐมาณพ รุกรานพวกศากยะหนักเกินไปทรงประสงค์ให้รู้ตัว ไม่หลงตนจนเกินไป
 
จึงได้สอบถามถึงสกุลของอัมพัฏฐมาณพ และแจ้งให้ทราบว่า ต้นสกุลของเขานั้นเป็นบุตรของทาสีของพระเจ้าโอกกากราช ต้นสกุลศากยะวงศ์ ซึ่งอัมพัฏฐมาณพก็ได้ยอมรับว่าเป็นความจริง และทรงสอนวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมให้รับฟัง ซึ่งอัมพัฏฐมาณพก็ยอมรับว่าทั้งตนและอาจารย์ไม่มีจรณะดังกล่าว
และทูลลาพระองค์ กลับไปเล่าให้อาจารย์ของตนทราบ
 
พราหมณ์โปกขรสาติ เมื่อได้ฟังจบแล้ว
ถึงกลับบันดาลโทสะ เตะอัมพัฏฐมาณพจนล้ม
 
และรีบไปเข้าเฝ้าพระองค์ท่านในคืนนั้น
และอาราธนาพระศาสดามาเสวยที่บ้านของตน
ในวันรุ่งขึ้น ครั้นพระองค์ทรงเสด็จมาแล้ว ทรงแสดงธรรม
 
จนพราหมณ์โปกขรสาติได้บรรลุพระโสดาบันในที่สุด
 
 
************************************************* 
 
สิ่งที่ท่านอาจารย์ต้องการสื่อให้ทุกคน ได้แก่
 
 
1.       ความรู้และความประพฤติดี เป็นสาระของ “คนดี” ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
2.       พระพุทธองค์ แม้จะทรงวางอุเบกขา คือ ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ ไม่แค้นอาฆาต แต่ก็มิได้ทรงเพิกเฉย แต่ทรงเมตตา “สอน” ให้ผู้ที่ประพฤติล่วงเกินพระองค์นั้น ได้มองเห็นความผิดของตน และแก้ไขตนเอง
3.       พระสาวกทั้ง 500 รูป นั้นไม่ควรให้อัมพัฏฐมาณพ และคณะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า โดยไม่มีพระองค์ใดไปอยู่กับพระพุทธเจ้าเลย
4.       ความรู้ไม่ใช่เพียงแค่ สิ่งที่ได้เล่าเรียนกันมา แต่จะต้องเร่งพัฒนาการ จนกระทั่งพบ “ปัญญาญาณ”
5.       เราควรแสวงหาทางหลุดพ้น โดยหาความรู้เพิ่มเติมในส่วนที่ขาด มีความรู้ดีและประพฤติดี 
6. เราทุกคนควรยึดมั่นตามที่ครูบาอาจารย์สอนสั่ง ไม่ควรล่วงละเมิดคำสอนด้วยความเห็นส่วนตน
 
**********************************
 ธรรมะจากท่านอาจารย์อุบล (เพิ่มเติม)
 
 
หากใครได้ไปเห็นพระนิพพาน สรรค์แล้ว จะรู้สึกว่า
ไม่อยากอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแม้สักนาทีเดียว
 
ความดีที่ทำให้ไปสวรรค์ เป็นความดีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากจิตเราระลึกถึงความดีก่อนตาย ย่อมไปเสวยสุขก่อน
และกลับมาเสวยความทุกข์ (นรก) อีกครั้ง
หลังจากหมดบุญบนสวรรค์
 
ดังนั้นเราจึงต้องหมั่นฝึกจิตใจตนเองให้ตั้งมั่นในความดี
เราทั้งหลายควรจะเคารพองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ คือ
รักษาศีล 5 ทั้งกาย วาจาและใจ
 
ไม่เล่นหวย
(อันนี้สำคัญมาก เพราะเป็นการหาเลี้ยงชีพโดยมิชอบ
เปรียบเสมือน เงิน ต่อ  เงิน หรือ การพนัน ผิดศีลข้อ 5)
 
เราควรขอบคุณเจ้ากรรมนายเวร
ที่เข้ามาทดสอบจิตใจเรา ทำให้เราสามารถ
ยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น
 
ดั่งตัวอย่างพระพุทธองค์ที่ทรงมีพระเทวทัตเป็นคู่ปรับ
และสนับสนุนสมเด็จพระจอมไตรให้ได้ซึ่งนิพพานสมบัติ
ที่สำคัญพระพุทธองค์ไม่เคยทรงโกรธพระเทวทัตเลย
ทรงมีพระเมตตากับพระเทวทัตมาโดยตลอด
 
---------------------------------------------
 
ผมขอกราบขอบพระคุณ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิด
ท่านท้าวเวสสุวรรณ
ท่านอาจารย์มงคล ท่านอาจารย์อุบล
 
เนื่องจากเมื่อคืนนี้ คันแผ่นหลัง
มีผื่นแดงบวมที่ต้นแขนขวา และคัน
หลังจากท่านอาจารย์ได้กล่าวนำอุทิศบุญแล้ว
ที่คัน ที่บวมแดง หายไปหมดอย่างน่าอัศจรรย์
 
ต้องขอบคุณเจ้ากรรมนายเวร
ที่ทำให้นั่งฟังท่านอาจารย์ไป เกาไป
ผล คือ อุทิศบุญได้เต็มกว่าทุกครั้ง
เพราะมัวแต่ "คัน" เลยไม่ค่อย"หลับตลอด"
เหมือนทุกครั้ง สาธุ
 
****************
ติดตามข่าวสมโภชสมเด็จองค์ปฐม
องค์พระประธานบ้านสวนพีระมิด
ระหว่าง 26-28 ส.ค.54
และข่าวการสร้างพระชำระหนี้แผ่นดิน
ขนาดหน้าตัก 9 ศอก
สูง 9 เมตร 99 เซ็นติเมตร
ได้เร็ว ๆ นี้
 
****************
 
ร่วมกันตั้งมั่นในศีล 5 รักษาพรหมวิหาร 4
ถวายบุญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ละวางความโกรธ สามัคคีกัน
เพื่อลดภัยพิบัติของประเทศ
 
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ

         "มารไม่มี บารมีไม่เกิด"

อนุโมทนาบุญกับคุณชนิดาและน้องเบลล์

ที่ติดตามและช่วย Up กระทู้บ้านสวน ฯ

มาโดยตลอดครับ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 00:16:56


ความคิดเห็นที่ 575 (1562651)

อนุโมทนาค่ะคุณโฆษิต แหะ แหะ สงสัยอาจารย์คงลุ้น

ให้พวกเราอ่านและศึกษาพระธรรมต่างๆด้วยตนเองจากพระไตรปิฏก

แต่จนแล้วจนรอดพวกเราก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง

แล้วก็มานั่งสับสนและไม่แน่ใจกับหลักธรรมต่างๆอยู่

สุดท้ายอาจารย์ก็เลยเมตตานำเนื้อหาจากพระไตรปิฏก

มาสอนด้วยตัวเองซะเลย.. (ช่วยทุกวิถีทางสุดๆเลยนะคะเนี่ย)

 

ขอบคุณข้อสรุปหรือประเด็นสำคัญที่อาจารย์ต้องการสื่อด้วยนะคะ

เพราะช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงที่

ชนิดา"งง"และ"สับสน"ในบางเรื่องมากๆ และก็พยายาม

พิจารณาหาคำตอบอยู่ พอคิดได้ก็ไม่แน่ใจว่า ใช่หรือไม่

ควรหรือไม่ควร วันนี้ได้ทราบคำตอบที่แน่ชัดแล้ว

แต่วิธีการแก้ปัญหาที่ลงตัวที่สุดนั้น ยังต้อง"คิดและพิจารณาต่อไป"อีก..

อย่างน้อยก็มีแผนที่มานำทางแล้วว่า จะเดินไปทางไหน..

 

พระพุทธองค์ แม้จะทรงวางอุเบกขา

คือ ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ ไม่แค้นอาฆาต

แต่ก็มิได้ทรงเพิกเฉย แต่ทรงเมตตา

“สอน” ให้ผู้ที่ประพฤติล่วงเกินพระองค์นั้น

ได้มองเห็นความผิดของตน และแก้ไขตนเอง



กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์

ทั่วสากลจักรวาล อ.อุบลและครอบครัว รวมถึงคุณเพชร

คุณมาร์ค และี่พี่น้องบ้านสวนฯที่นำธรรมะ

มาเผื่อแผ่พวกเราทุกๆคนด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 00:58:45


ความคิดเห็นที่ 576 (1562655)

 โมนาครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 01:19:32


ความคิดเห็นที่ 577 (1562662)

ป.ล. ขอบคุณในความห่วงใยจากคุณพี่สุ ด้วยนะค๊า..

แหม..มาเป็นเพลง ป๋าเบิร์ด ซะด้วย..

ไงก็ขอให้คุณพี่เดินทางปลอดภัย และเที่ยวให้สนุก

มีความสุขกับครอบครัวนะค๊า...

(อวยพรช้าไปไหม๊เนี่ย...ฮิฮิ)

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 01:49:47


ความคิดเห็นที่ 578 (1562673)

และแล้วก็มีคนมาเหลาบรรยากาศอาทิตย์ที่ผ่านมาแว้วววว อิอิ

อนุโมทนากับคุณโฆษิตด้วยค่ะ

ที่นำมาเหลาให้ชาวเกาะได้ทราบโดยทั่วกัน

 

หากใครได้ไปเห็นพระนิพพาน สรรค์แล้ว จะรู้สึกว่า
ไม่อยากอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแม้สักนาทีเดียว
 
เมื่อก่อนเคยคิดว่าโลกนี้มันน่าอยู่มากๆเลยค่ะ
บางทีก็กลัวตายจนถึงขั้นที่ว่า ถ้าตายแล้วขอกลับมาเกิดเป็นคนอีก
บางทีก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตความเป็นคนนานๆ เพราะความสนุกกับสิ่งอบายมุขบนโลกใบนี้
แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะว่าเกิดเป็นคนนั้นมันมีแต่ความทุกข์ ความไม่เที่ยง
รู้วันเกิดแต่ไม่รู้วันตาย เพราะฉนั้นเลยต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมบุญให้พร้อม
เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ เราจะได้มั่นใจว่า เราจะได้ไปบ้านหลังใหม่อย่างแท้จริง และอยู่โดยถาวร....
อนุโมทนาสาธุกับธรรมะของอาจารย์แม่ด้วยค่ะ
ความรักของอาจารย์แม่ไม่มีที่สิ้นสุด สาธุสาธุสาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 03:37:16


ความคิดเห็นที่ 579 (1562698)

ขอบคุณเรื่องเหลาของพี่โฆษิตค่ะ

ไม่ได้ไปแต่ก็ได้สาระธรรมจากพี่ครบครันเลยค่ะ

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ได้ธรรมะแล้วก็จะน้อมนำมาใช้กับตัวเองค่ะ

แม้ไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็จะตั้งใจและพยายามให้ได้ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 09:08:36


ความคิดเห็นที่ 580 (1562708)

ไม่มีโอกาสได้เข้าค่ายกับทุกท่าน แต่ได้รับบรรยากาศในค่ายหลายประการ ขอบคุณทุกท่านคะที่เผยแพร่สิ่งดี ๆ ขอบคุณจากใจจริง ๆ คะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อำไพ แจ้งบุญ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 09:28:48


ความคิดเห็นที่ 581 (1562721)

อนุโมทนากับ พี่โฆษิต ด้วยครับ ขออนุญาติเหลาต่อนิดนึงครับ 

- เล่นหวย = เล่นหุ้น นะครับ เพราะเป็นการหาเงินโดยการนำเงินไปต่อเงินเหมือนกัน ไม่ได้หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 10:23:46


ความคิดเห็นที่ 582 (1562722)

ขอบคุณ คุณโฆษิต ด้วยคะ

ได้ฟังคำสอนจากอาจารย์อุบลแล้ว มีความสุขจัง

ซาบซิ้งคะ และรู้สึกเหมือนที่พี่ชนิดาบอกว่า..

นี่เป็นหนทางสุดท้ายที่อาจารย์พยายามช่วยพวกเรา

เพราะเข็นให้อ่านพระไตรปิฎก เท่าไหร่ เราก็ยังเฉยตลอด

กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลมาก ๆ คะ ที่พยายามฉุดพวกเราขึ้นมา

ด้วยข้อธรรมะ อันประเสริฐของพระพุทธองค์ สาธุคะ

และขออนุโมทนากับคุณปราณีอีกครั้งนะคะ สำหรับวิธีฝึกกสิณไฟ

ขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่เหลาทุกเรื่องให้ชาวเกาะฟังเด้อคะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 10:37:02


ความคิดเห็นที่ 583 (1562801)

ขออนุโมทนาและขอบพระคุณพี่ๆทุกคนที่ได้แบ่งปัน

ธรรมะ และความรู้ต่างๆ เผื่อคนห่างไกล(ความเจริญ)อย่างน้องคนนี้ค่ะ

ขอบพระคุณอย่างจริงใจจริงๆค่ะ

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฐิติมา พฤกษ์อำนวย (pranaijai-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 19:12:05


ความคิดเห็นที่ 584 (1562804)

ขอเชิญญาติธรรมทุกท่านร่วมงานบุญใหญ่ พิธีสมโภชน์สมเด็จองค์พระปฐม วันที่ 26-28 สิงหาคมนี้ รายละเอียดต่างๆเชิญอ่านได้ที่กระทู้นี้ คลิกได้เลยครับ

ขอเชิญร่วมงานบุญใหญ่ สมโภชน์สมเด็จองค์พระปฐม ณ บ้านสวนพีระมิด 26-28สิงหาคม 2554

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 19:16:09


ความคิดเห็นที่ 585 (1562806)

โมทนากับคุณ โฆษิต ด้วยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

เล่นพิมพ์ธรรมทานยังกับถอดเทปเลย

หมดเกลี้ยงทุกประเด็น

ดีใจมาก ครับที่มีผู้นำธรรมทาน

ของท่าน อ.อุบล มาเผยแพร่

แบบไม่ตกหล่นเลย

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 19:46:19


ความคิดเห็นที่ 586 (1562811)

เพิ่มเติมจาก

คุณโฆษิต

 

อนุโมทนาค่า ที่นำพระไตรปิฏก

หมวด 3 ว่าด้วย

วิชา และ จรณะ

คือเรื่อง

ความรู้ และ ความประพฤติ

ที่พระพุทธองค์ทรงโปรดไว้ในกาลก่อน

ซึ่งพระพุทธองค์

มีพุทธบัญชามาในค่ำคืน

วันเสาร์ที่ 6 ส.ค.54

 

ให้ อ.อุบล นำเรื่องนี้

มาให้พวกเรา

พิจารณา

 

ด้วยเหตุว่า

ท่านเห็นว่า ประเทศชาติ

ประเทศไทย

 

คนไทย

 

เพิกเฉย

ต่อการปกป้อง

ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

 

และ

 

ยังเข้าใจธรรมะ

ของพระพุทธองค์ผิดพลาด

คลาดเคลื่อน

 

โดยเฉพาะ

ความหมาย ของคำว่า

อุเบกขา

 

ซึ่งหลายคนตีความว่า

อุเบกขา คือ เฉย ทองไม่รู้ร้อน

ไม่ทำอะไรเลย ดูความเป็นไปของเหตุการณ์

 

เหมือนกับว่า

 

หิวข้าว ก็ไม่ต้อง กินข้าว

ปล่อยให้ ท้อง มันอิ่มเอง

 

ไม่มีเงิน ก็ไม่ต้อง หาเงิน

รอให้เงิน มันมาหาเรา เอง

 

หมาจะกัด ก็ปล่อยให้ มันกัด

ไม่ต้องป้องกัน

 

คนส่วนใหญ่เข้าใจอย่างนั้น

 

จนทำให้คนเข้าใจว่า

พวกอุเบกขา

นี่นะ

 

แสนซื่อบื้อ โง่ เง่า เต่าตุ่น

 

แต่

อุเบกขา

ที่แท้จริง ในความหมาย

ของพระพุทธองค์

ไม่หวั่นไหว

คือ การที่

ใจ

ไม่ทุกข์ ไม่เศร้า ไม่เครียด

ไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่อาฆาตร

ไม่พยาบาท  ไม่จองเวร

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

 

ก็ให้คิดว่า

มันเป็นธรรมดาโลก

สิ่งเหล่านี้เราเห็นมันเกิดขึ้น

มานานแล้ว ทั้งกับคนอื่น

กับคนใกล้ตัวเรา

 

กับคนที่เรารู้จัก

ไม่รู้จัก แต่ ได้ยิน ได้รู้ข่าวคราว

 

 

ดังนั้น

ทำไมสิ่งเหล่านี้

มันจะเกิดกับเราบ้างไม่ได้

 

ใจ

ของเรา

ไม่ฟูมฟาย ไม่เสียใจ

ไม่ร้องไห้ ไม่มีทุกข์ คือ แรงเสียดทานใด

ไม่มีผล ไม่มีอิทธิพล ต่อใจเรา

ได้เลยนั่นเอง

คือ

อุเบกขา

 

แต่

มิได้หมายความว่า

ให้ปล่อยชีวิต เป็น เกี๊ยลอยน้ำ

ปล่อยไปตามยะถากรรม

อันนี้ไม่ใช่อุเบกขา

 

ใครมาตีหัว ปล่อยให้ตี

อันนี้ไม่ใช่อุเบกขา

 

ใครมารุกราน พังรั้วบ้าน

ปล่อยให้พัง อันนี้ไม่ใช่อุเบกขา

 

ใครมาทำร้ายพ่อ แม่ ลูกเรา

ปล่อยให้ทำ นั่งดู นอนดู

ไม่ต่อสู้ไม่ป้องกัน

อันนี้ไม่ใช่อุเบกขา

 

ใครเข้ามา ข่มขืน ลูกเมีย

พ่อแม่พี่น้อง ปล่อยให้ข่มขืน

ยืนดู นั่งดู นอนดู ไม่ช่วย

อันนี้ ไม่ใช่อุเบกขา

 

อันนี้เรียกว่า

ปัญญาทราม ปัญญาอ่อน

นะจ๊ะพวกเรา

 

ให้ดูตัวอย่าง

พระพุทธเจ้า จากพระไตรปิฎก

(ก็ไม่ค่อยอ่านกัน...ใช่ป่าว)

 

พระพุทธเจ้า

มีมาร มีผู้รุกราน จาบจ้วง ล่วงเกิน

แม้ว่าพระองค์จะเป็น

พระพุทธเจ้า

แล้วก็ตาม

 

มาร

ของพระองค์

ไม่ได้มีแต่เทวทัตเท่านั้น

 

พระองค์

อยากให้พวกเรา

ชาวบ้านสวนพีระมิด

คิดใหม่ ทำใหม่ ชาติไทย

จึงจะรอดได้

 

พระพุทธองค์

จึงทรงให้ดู พระองค์

เป็นแบบอย่าง

 

ถ้าใครมีพระไตรปิฎก

ฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว ก็ให้อ่าน

หน้า 47-56 หมวด 3 นะ

เดี๋ยวจะมา

 

เหลา

ต่อ นะ เผื่อใครมี

ก็จะได้อ่านไปก่อน

 

อ่านแล้ว

ให้ดูว่า เวลาที่ มีผู้มา

จาบจ้วง ล่วงเกิน

 

พระองค์ทรง

ทำอย่างไร ถ้าใครรู้แล้ว

เชิญร่วมวงสนทนา

ธรรมทานใหญ่

 

ตีแผ่พระไตรปิฏก

ขอให้ทุกท่านที่ร่วมแสดง

ความเห็น บรรลุธรรม

สูงสุด

แห่งพระพุทธองค์

สาธุ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 19:58:56


ความคิดเห็นที่ 587 (1562814)

ขออนุโมทนา

กับอ.แม่อุบล และทุกท่านค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา กะตะศิลา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 20:06:18


ความคิดเห็นที่ 588 (1562817)

อนุโมทนากับท่าน อ.อุบลด้วยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

ชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุด

 อุเบกขา ของท่าน อ.อุบล

บรรยายได้กระจ่างแจ้งที่สุดครับ

โดยเฉพาะข้อความด้านล่าง

ขออนุญาติก็อป***มาวางน่ะครับ

อันนี้ชอบจัง..

..............

v

แต่

มิได้หมายความว่า

ให้ปล่อยชีวิต เป็น เกี๊ยลอยน้ำ

ปล่อยไปตามยะถากรรม

อันนี้ไม่ใช่อุเบกขา

 

ใครมาตีหัว ปล่อยให้ตี

อันนี้ไม่ใช่อุเบกขา

 

ใครมารุกราน พังรั้วบ้าน

ปล่อยให้พัง อันนี้ไม่ใช่อุเบกขา

 

ใครมาทำร้ายพ่อ แม่ ลูกเรา

ปล่อยให้ทำ นั่งดู นอนดู

ไม่ต่อสู้ไม่ป้องกัน

อันนี้ไม่ใช่อุเบกขา

 

ใครเข้ามา ข่มขืน ลูกเมีย

พ่อแม่พี่น้อง ปล่อยให้ข่มขืน

ยืนดู นั่งดู นอนดู ไม่ช่วย

อันนี้ ไม่ใช่อุเบกขา

 

อันนี้เรียกว่า

ปัญญาทราม ปัญญาอ่อน

นะจ๊ะพวกเรา

.......

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 20:36:59


ความคิดเห็นที่ 589 (1562820)

อนุโมทนาสาธุกับธรรมทานของท่านอาจารย์ครับ ลูกศิษย์โง่ๆอย่างผมจะได้เข้าใจให้ถูกต้องและนำไปปฏิบัติ เมื่อก่อนเข้าใจแต่ว่า อุเบกขา คือใจไม่เป็นทุกข์ ไม่ร้อนใจไปกับเขา ปล่อยเขาไป กรรมของเขา คือจะทำไรก็ปล่อยเขาไป เรียกว่า แปลความพระธรรมของพระพุทธองค์ด้วยความโง่ของตนเองแท้ๆ

ตามที่ผมได้อ่านมา ผมขอสรุปใจความสำคัญดังนี้นะครับ

-คนที่ความรู้ดี แต่ความประพฤติแย่ เรียกว่า เป็นคนฉลาดรอบรู้แต่ไม่น่าไว้วางใจ

-คนที่ความรู้แย่ แต่ความประพฤติดี เรียกว่า เป็นคนดีที่โง่เขลา

-ดังนั้นคนเราจึงต้องมีสองอย่างนี้ควบคู่กันไป หากใครบกพร่องอันใดอันหนึ่งก็เท่ากับทำลายตนเองให้ตกต่ำลงไป

- การที่อัมพัฏฐมาณพล่วงเกินพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่ตนเองไม่เคยได้พบเจอหรือรู้จักพระองค์มาก่อนเลย เพราะว่ายึดถือแต่ในกฏของพราหมณ์ที่ว่า คนที่หัวโล้น คือคนชั้นต่ำ เลยถือตน ทะนงตน ยกตนข่มท่าน ระรานพระพุทธองค์ เรียกว่า มีความรู้ดีระดับหนึ่ง แต่ความประพฤติแย่มั่กก

-พระพุทธองค์เองก็มิได้ทรงดูดาย คือ พระองค์ไม่โกรธ ไม่เศร้าหมองกับพฤติกรรมอันธพาลของอัมพัฏฐมาณเลย แต่พระองค์ก็มิได้ปล่อยให้เขาระราน เข้าใจผิดๆ ทำผิดๆ โดยทรงสั่งสอนเขาให้เข้าใจ โดยใช้พระปัญญาอันเฉียบแหลม เรียกว่า อุเบกขา คือ อารมณ์จิตไม่มัวหมอง แต่ก็ต้องมีเมตตาแก่เขา คือให้ปัญญาแก่เขาในสิ่งที่ถูกต้อง มิใช่ปล่อยผ่าน วางเฉย

-ทำให้รู้ว่า ชาติตระกูล วรรณะ ยศถาบรรดาศักดิ์ นั้นไม่ได้มีความหมาย สำคัญไรยิ่งไปกว่า ความรู้และความประพฤติเลย

-อีกข้อหนึ่งที่สำคัญคือ เหล่าพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พอเห็นพราหมณ์อัมพัฏฐมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ กลับคิดว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก ก็ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร กลับปล่อยให้มาณพผู้นี้เข้าไปหาพระพุทธองค์ได้โดยตรงเลย โดยไม่มีพระสาวกคอยติดตามเข้าไปดูแลเลย นี่ทำให้รู้เลยว่า หากเรามองคนที่ยศถา บรรดาศักดิ์ ความมีชื่อเสียง และสรุปโดยปริยายว่าเขาเป็นคนดี มีความรู้ ความประพฤติดี เท่ากับว่าเราประมาทอยู่มาก ยังมองคนที่เปลือกนอกอยู่ เลยกลายเป็นว่า ไม่มีใครคอยปกป้องพระพุทธองค์เลยในเวลานั้น แหม!! เหตุการณ์แบบนี้ช่างสะท้อนได้ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดที่บ้านสวนฯเหลือเกินเลย ว่ามะครับพี่น้อง

ให้ท่านอื่นๆเหลาบ้างครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 21:19:20


ความคิดเห็นที่ 590 (1562822)

   วันนี้ได้เข้าไปทำบุญใช้แรงกายที่บ้านสวน  ก่อนกลับได้พบท่านอาจารย์อุบล

และได้ฟังธรรมะจากท่านอาจารย์แม่  ทำให้ได้เข้าใจทราบซึ้งถึงคำว่า  "อุเบกขา"

เพราะแต่ก่อนคิดเหมือนที่อาจารย์บอกว่า   เป็นพวกปัญญาทราม  ปัญญาอ่อน

        ขอกล่าวย้ำถึงคำสอน  ของท่านอาจารย์แม่  ที่เคยบอกพวกเราว่า  ให้พวกเราคอยปกป้อง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ถ้ามีใครปรามาสพระองค์  ให้พวกเราช่วยกันบอกกล่าว 

โดยยกตัวอย่างตัวเราเอง  ว่าเราก็เคยคิดเช่นนั้น  แล้วสิ่งที่เราได้รับคืออะไร  ตอนนี้เรากลับตัวกลับใจ

คิดใหม่แล้ว  สิ่งที่เราได้รับคืออะไร   ถ้าใครไม่ทำอะไรเลย  ถือว่าคนนั้นเห็นด้วยกับการปรามาสนั้น

      และวันนี้ท่านอาจารย์แม่ก็ได้นำมากล่าวย้ำอีกครั้ง  เพื่อเตือนสติพวกเรา  ท่านบอกว่า  พวกที่มาบ้านสวน

อยากมาทำบุญ  อยากหายทุกข์  อยากรวย  และอยากมาเพราะที่บ้านสวน  ทำบุญแล้วเห็นผลทันที

ส่วนมากมาด้วยความอยาก  และเมื่อได้รับอานิสงค์แล้ว  ไม่เคยจะคิดทดแทนบุญคุณ

ลูกบ้านสวนทุกคนบอกรัก "ในหลวง"  แต่ไม่เห็นมีการแสดงออกอยากเป็นรูปธรรมง่าย ๆ  ว่ารักพระองค์

พวกเราที่มาทำบุญที่บ้านสวน  ก็เพียงเพื่อเกาะบุญของพระองค์  เกาะบุญท่านอาจารย์แม่อุบล

แต่ไม่เคยช่วยพระองค์เลย  เวลาพระองค์มีความสุข  เราสุขด้วย

แต่เวลาที่พระองค์ท่านทุกข์  ท่านเจ็บป่วย  พวกเราปล่อยให้พระองค์ช่วยเหลือพระองค์เอง

ทั้ง ๆ  ที่พวกเรารู้ว่า  เราสามารถทำบางอย่างได้  ทำเท่าที่ความสามารถเราทำได้

แต่พวกเราก็ไม่ทำ  เพราะพวกเราอุเบกขา  คิดว่าใครทำอะไรไว้  เดี๋ยวก็ได้รับผลนั้นเอง

พวกเรา มีปาก  เพื่อพูดในสิ่งที่เราได้รับการอบรม  ได้เห็นตัวอย่างจากบ้านสวน

พวกเรามีมือ  เพื่อเขียน ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง  แต่พวกเราก็ไม่ทำ  พวกเราเลือกเฉยเสีย

ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใครก็ได้  ที่เขาเดือดร้อน  ให้เขามาทำเอง

              อาจารย์แม่บอกว่า  พวกเราลูกบ้านสวนทำตัวเป็นไม้ซีก  ท่านยกตัวอย่างเรื่องความสามัคคี

ที่พ่อสอนลูก  หักกิ่งใผ่   ถ้าเราหักทีละน้อย  เราจะหักได้ง่ายดาย  แต่ถ้ากิ่งใผ่รวมกันเยอะ ๆ

เราไม่สามารถหักได้  

           ท่านอาจารย์แม่อุบลได้สอนอีกเยอะ  และทำให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี

แต่ว่าผู้ถ่ายทอดเรียบเรียงได้ไม่ดีนัก  อ่านแล้วอาจจะงง   แต่ทั้งหมดนี้เพียงแค่ต้องการ

ถ่ายทอดความเข้าใจของตัวเอง  เพื่อให้เข้าใจ  คำว่า  "อุเบกขา"  และ  "ปัญญาทราม  ปัญญาอ่อน"

ว่าต่างกันอย่างไร  อาจารย์แม่ขา  พึ่งกระจ่างวันนี้เองค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

       

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล (ฉวีวรรณ นภาพรรณราย) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 21:57:02


ความคิดเห็นที่ 591 (1562845)

ทั้ง ๆ  ที่พวกเรารู้ว่า  เราสามารถทำบางอย่างได้  ทำเท่าที่ความสามารถเราทำได้

แต่พวกเราก็ไม่ทำ  เพราะพวกเราอุเบกขา  คิดว่าใครทำอะไรไว้  เดี๋ยวก็ได้รับผลนั้นเอง

พวกเรา มีปาก  เพื่อพูดในสิ่งที่เราได้รับการอบรม  ได้เห็นตัวอย่างจากบ้านสวน

พวกเรามีมือ  เพื่อเขียน ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง  แต่พวกเราก็ไม่ทำ  พวกเราเลือกเฉยเสีย

ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใครก็ได้  ที่เขาเดือดร้อน  ให้เขามาทำเอง

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

อยากให้ อ.อุบล

อุเบกขา

ในแบบฉบับ

ลูก ๆ บ้านสวนฯ บ้างจังอ่ะ

( ไม่รู้ไม่ชี้ อย่าจู้จี้กวนใจ )

อ.อุบล บ้านสวนพิรามิด

จะได้ไม่ต้อง

มาเหน็ดเหนื่อย สุด ๆ แบบนี้

เจ็บป่วย ก็ช่างมัน อุเบกขา

ธุรกิจพัง ก็ช่างมัน อุเบกขา

ฯลฯ ก็ช่างมัน ++555 ( อ้า ไม่ล้อเล่นนะ )

โดยส่วนตัวคิดว่า

หาก อ.อุบล ปิดบ้านสวนพิรามิด

ก็คง อุเบกขา ตามแบบที่ทุกคนคิด คร๊าบเจ้านาย

ประเทศไทยจะรอดพ้นวิกฤตได้

ก็เพราะ

ความสามัคคี

ใครราน ใครรุก ด้าวแดนไทย

ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น

-*-*-*-*-*-

ความรักอันใด แม้รักแค่ไหน ยังไม่ยั่งยืน

เช่น รักคนรัก แม้รักจะกลืน ยังอาจขมขื่น

ขึ้นได้ภายหลัง

แต่ความรักชาติ รักแสนพิศวาส รักสุดกำลัง

ก่อเกิดมานะ ยอมสละชีวัน รักจนกระทั่ง

หมดเลือดเนื้อเรา

-*-*-*-*-*-

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ

ปกบ้าน ป้องเมือง คุ้มเย้า

เสียเลือด เสียเนื้อ มิใช่เบา

หน้าที่เรา อุเบกขา เรื่อยไป 

( หรือเปล่า เนี่ย )

-*-*-*-*-*-*-*-

ป.ล...ถึงคนขี้เกียจอ่าน

ขอบคุณนะคะ

ที่อ่านจนจบ 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 00:19:06


ความคิดเห็นที่ 592 (1562870)

พระองค์

อยากให้พวกเรา

ชาวบ้านสวนพีระมิด

คิดใหม่ ทำใหม่ ชาติไทย

จึงจะรอดได้

 

พระพุทธองค์

จึงทรงให้ดู พระองค์

เป็นแบบอย่าง

 

ถ้าใครมีพระไตรปิฎก

ฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว ก็ให้อ่าน

หน้า 47-56 หมวด 3 นะ

..........................................................

กราบพระพุทธองค์และอนุโมทนากับอาจารย์อุบลด้วยนะคะ..

เคยได้อ่านฉบับย่อไปบ้างแล้ว พอจะจำเนื้อหาได้คร่าวๆ

ตามที่พ่อใหญ่ธนานำมาสรุปให้ฟังอีกครั้ง แต่เท่าที่จำได้

ยังมีอีกหลายๆเหตุการณ์มากๆ ที่มักจะมีผู้คนชนชั้นพราหมณ์

ที่คิดว่าตนความรู้เหนือกว่าคนอื่น มาทดสอบความรู้ทางธรรม

กับพระพุทธองค์เยอะมาก แต่ด้วยพระปัญญาญาณอันสูงส่ง

ของพระพุทธองค์ พระองค์ก็มักจะมีวิธีการสอนกลับ

และให้ข้อธรรมอันแยบยล จนทำให้"ผู้ฟัง" ดวงตาเห็นธรรม ได้ในที่สุด..

 

ต้องกราบขอบพระคุณในข้อธรรมอันละเอียดจากท่านอ.อุบล

เรื่อง "อุเบกขา" อีกครั้งนะคะ ชนิดาก็"โง่"ซ้ำซ้อน

ตีความผิดๆถูกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาไม่น้อยเหมือนกัน

ถึงแม้บางครั้งจะเข้าใจถูกแล้ว แต่ก็ยังทำไม่ได้

เพราะ "ไม่กล้า" และ ไม่มีปัญญา" มากพอ ..

 

การเตือนคนด้วยการเขียนชนิดาไม่ค่อยกลัวนะ

ส่วนใหญ่ก็ใส่ความคิดเห็นของตนได้เต็มที่

เพราะผู้อ่านที่เปิดใจและได้เข้ามาอ่านข้อความต่างๆ

ก็จะเป็นประโยชน์กับเค้าเอง แต่...หลายๆครั้ง

การบอกเล่าเรื่องต่างๆ รวมทั้งการเตือนทางคำพูดนั้น..

ชนิดาจะคิดเยอะมากๆๆๆ หรือถ้าเริ่มพูดแล้ว คนฟังมีปฏิกิริยา

ที่จะไม่รับฟัง ชนิดาก็จะ"หยุด" ทันที เพราะคิดเอาเองว่าพูดไปก็ไม่ได้ประโยชน์

และหลายๆครั้งก็รู้สึก"ผิดหวัง"กับความไร้ปัญญาของตัวเอง

ที่หาคำพูดดีๆมาพูด มาสอนใครก็ไม่ได้ เฮ้อ..

.....ขอจบห้วนๆก่อนนะคะ มีคนมาเร่งจะใช้คอมพ์

(ถ้าไม่ดึกเกินไป เดี๋ยวมาเขียนต่อ หรือไม่ก็คงจะเป็นพรุ่งนี้)

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 04:08:32


ความคิดเห็นที่ 593 (1562875)

คุณแมว

มาเขียน โดน อีกแล้ว

ช่างรู้พระทัย ท้าวเวสสุวรรณ จริงจริ๊ง

เพราะ ท่านพ่อ กำลังจะให้

อ.อุบล อุเบกขา

ใน

แบบฉบับ

ลูกบ้านสวนพีระมิด

 

คือ

ใครเจ็บป่วยมา ช่างหัวมัน

อ.อุบล ไม่ได้ป่วยด้วยสักหน่อย

 

ใครจนมา  ช่างหัวมึง

อ.อุบล ไม่ได้จนด้วยสักหน่อย

 

ใครทุกข์มา ก็เชิญทุกข์ไป

อ.อุบล ไม่ได้ทุกข์ด้วยสักหน่อย

 

ใครเดือดร้อนมา

ก็เชิญเดือดร้อนไปคนเดียว

อ.อุบล ไม่ได้เดือดร้อนด้วยสักหน่อย

 

ใครจะธุรกิจการงาน

เสียหาย รายได้ไม่ดี เงินไม่มี

หนี้เยอะ รายรับไม่พอกับรายจ่าย

ครอบครัวไม่กลมเกลียว

ลูกดื้อ เมียด้าน

ช่างมัน

 

ไม่ใช่ปัญหาของ

อ.อุบล สักหน่อย จะไปช่วย

คนพวกนี้ทำไม

 

เหนื่อยเปล่าๆ

เปลืองข้าว เปลืองน้ำ เปลืองไฟ

เปลืองเวลาหาความสุข

ส่วนตัวกับครอบครัว

 

อยู่กันกับครอบครัว

อย่างนี้

ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว

อะไรก็มีทุกอย่างแล้ว

 

ก็ศึกษาธรรมะของเราไป

อย่าให้ใครเข้ามาวุ่นวาย

 

ใครจะเป็นจะตาย

ก็เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา

 

ในเมื่อเรา

ปฎิบัติได้แล้ว เราพ้นแล้ว

เราจะไปเหนื่อยเพื่อใครทำไม

เราจะไปต่อสู้เพื่อใครทำไม

 

เราได้อะไร

เราเสียอะไร จากสิ่งที่กำลังทำ

 

ถ้าอุเบกขา

คือการ เอาตัวเองรอด

เอาตัวเองสุข

เอาตัวเองพ้น เอาตัวเองได้

 

อ.อุบล

อิ่มแล้ว พอแล้ว

 

ขอเชิญ

ชาวบ้านสวน

ช่วยชี้แนะ อ.อุบล หน่อยนะ

ว่า

อุเบกขา ใช่อย่างที่

อ.อุบล ว่ามาหรือไม่

หรือว่า

ที่ถูกแล้ว มันต้องยังไง

 

งานนี้

ใครไม่มาแสดงความเห็นนะ

ไม่ต้องไปบ้านสวนพีระมิดอีกต่อไปนะ

 

เพราะ

ท่านพ่อบอกว่า

ถึงไป ท่านก็จะ อุเบกขา

คือ

ไม่ว่าเดือดร้อนเรื่องใดไป

ก็จะไม่มีใคร

ได้

สิ่งที่ต้องการ

อีกต่อไป

แล้ว

 

ขอเชิญแสดง

วิสัยทัศน์ และ ภูมิธรรม

ตามแบบฉบับของแต่ละคน

ว่า

ไอ้ที่มาบ้านสวนพีระมิดแล้ว

ชีวิต ได้รู้ธรรมะ แค่ไหน

อย่างไร กันบ้าง

ค๊า

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 06:36:23


ความคิดเห็นที่ 594 (1562877)

ต่อภาค 2 (แต่อารมณ์จะต่อเนื่องไหม๊เนี่ย)

ชนิดาขอวิเคราะห์แค่ระดับครอบครัวและเพื่อนๆก่อนนะคะ

เพราะแค่ระดับเล็กๆชนิดายังแทบเอาไม่อยู่เลย

 

และปัญหาหลักของชนิดา ก็คือ ทุกครั้งที่คิดจะเตือน

หรือบอกเล่าเรื่องอะไรก็ตาม ชนิดามักจะแอบ"ใส่ความคาดหวัง"

เข้าไปด้วยทุกครั้ง เพราะยังอุเบกขาไม่เป็น ละไม่ได้ ทั้งโลภ โกรธ หลง

ฉะนั้นเวลาที่ คนที่เราพูดด้วยมีท่าที ไม่สนใจฟัง หรือฟังแล้วก็ไม่เชื่อ

หรือไม่ก็ ฟังแล้วไม่คิดจะทำตามหรือเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ไปในแนวทางที่เราคาดหวัง.. ชนิดาก็จะมีอาการไม่พอใจไปโดยปริยาย ..

เพราะ "พูดไปหวังไป" พอไม่ได้ดังใจ ก็เลย "ทุกข์" ไปตามระเบียบ..

 

ตอนนี้ก็เลยขอตั้งต้นใหม่ "หยุดพูด"ซะก่อน แต่ต้องทำใจ

ยอมรับในตัวตนของคนๆนั้นให้ได้จริงๆซะก่อน

เพื่อเราจะได้ไม่ทุกข์ พยายามทำ"ใจ"ให้อยู่ในระดับคงที่ซะก่อน 

จะได้ไม่ตุ๊มๆต่อมๆ ลุ่มๆดอนๆ ขึ้นๆลงๆ อย่างนี้อีก

 

แต่ยอมรับตรงๆว่า การทำใจให้ยอมรับในสิ่งที่เค้าทำไม่ถูกต้องเนี่ย..

มันยากจริงๆ แต่เราก็เปลี่ยนเค้าไม่ได้ ในตอนนี้..

โอ้วว..อธิบายยากจังหนอ.. แถมได้ประเด็นอะไรบ้างไหมเนี่ย..

ว่าแล้วก็จบก่อนดีกว่า..


อนุโมทนากับข้อธรรมที่คุณตาลนำมาถ่ายทอดด้วยนะคะ 

เพราะคนส่วนใหญ่ยังคงนึกถึงตัวเองเป็นสำคัญ

ฉะนั้นจึงไม่คำนึงถึงความจงรักภัำกดีและคิดจะปกป้อง

สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่นั่นเอง..

ชนิดาก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นแหล่ะ แค่"คิด" แต่ก็ไม่ได้

ทำอะไรเป็นรูปเป็นร่างเลย ยังอยู่ในระดับแค่เพียง

ทำตัวไม่ให้เป็นปัญหาของสังคมและของประเทศชาติเท่านั้นเอง

 

อนุโมทนากับค.ห.ของพ่อใหญ่ธนา คุณพี่ตั้ม น้องเกด

และคุณแมวด้วยนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 06:43:05


ความคิดเห็นที่ 595 (1562884)

 

อุเบกขา ใช่อย่างที่

อ.อุบล ว่ามาหรือไม่

หรือว่า

ที่ถูกแล้ว มันต้องยังไง

 ..............................................................................................

กำลังจะไป Sleep คร๊อกๆ ฟรี๊.. แต่ก็มีธรรมะดีๆ

ในยามเช้ารับอรุณจากท่านท้าวเวสสุวรรณ

และท่านอาจารย์มาให้ได้พิจารณาอีก

แต่ที่แน่ๆมิกล้าแนะนำอาจารย์หรอกนะคะว่าที่ถูกต้องมันเป็นยังไง

แต่ขอแสดงความคิดเห็นก็แล้วกันนะคะ.. 

ตอนนี้ที่พอคิดได้ (แต่ทำยังไม่ได้)

การอุเบกขาที่ถูกต้อง คือ ไม่ว่าเราจะทำอะไร เพื่อใคร เราต้องทำให้ดีที่สุด และจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องตามครรลองคลองธรรม แต่ผลที่ได้รับจะเป็นเช่นใด เราต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ โดยไม่ทุกข์ไปกับมัน โดยการบอกตัวเองว่า "ช่างมัน"

 

แต่การอุเบกขาแบบลวงๆ นั้นก็คือ การบอกตัวเองว่า ใครจะเป็นอะไร ทุกข์ สุข เศร้าแค่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องของเรา มันเรื่องของเขา โดยคิดในใจว่า "ใครจะเป็นจะตาย ก็ช่างหัวมัน" 

 

ฟังดูคล้ายๆกันนะคะ "ช่างมัน" กับ "ช่างหัวมัน"

แต่ทั้งสองคำ นำไปสู่จุดหมายปลายทาง

ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...

 

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ..

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 07:33:15


ความคิดเห็นที่ 596 (1562885)

 

 ขอเชิญ

ชาวบ้านสวน

ช่วยชี้แนะ อ.อุบล หน่อยนะ

ว่า

อุเบกขา ใช่อย่างที่

อ.อุบล ว่ามาหรือไม่

หรือว่า

ที่ถูกแล้ว มันต้องยังไง

 

งานนี้

ใครไม่มาแสดงความเห็นนะ

ไม่ต้องไปบ้านสวนพีระมิดอีกต่อไปนะ

 

เพราะ

ท่านพ่อบอกว่า

ถึงไป ท่านก็จะ อุเบกขา

คือ

ไม่ว่าเดือดร้อนเรื่องใดไป

ก็จะไม่มีใคร

ได้

สิ่งที่ต้องการ

อีกต่อไป

แล้ว

 

ขอเชิญแสดง

วิสัยทัศน์ และ ภูมิธรรม

ตามแบบฉบับของแต่ละคน

ว่า

ไอ้ที่มาบ้านสวนพีระมิดแล้ว

ชีวิต ได้รู้ธรรมะ แค่ไหน

อย่างไร กันบ้าง

ค๊า

....................................

อุเบกขา

ที่แท้จริง ในความหมาย

ของพระพุทธองค์

ไม่หวั่นไหว

คือ การที่

ใจ

ไม่ทุกข์ ไม่เศร้า ไม่เครียด

ไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่อาฆาตร

ไม่พยาบาท  ไม่จองเวร

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ก็ให้คิดว่า

มันเป็นธรรมดาโลก

สิ่งเหล่านี้เราเห็นมันเกิดขึ้น

มานานแล้ว ทั้งกับคนอื่น

กับคนใกล้ตัวเรา

 

กับคนที่เรารู้จัก

ไม่รู้จัก แต่ ได้ยิน ได้รู้ข่าวคราว

 

 

ดังนั้น

ทำไมสิ่งเหล่านี้

มันจะเกิดกับเราบ้างไม่ได้

 

ใจ

ของเรา

ไม่ฟูมฟาย ไม่เสียใจ

ไม่ร้องไห้ ไม่มีทุกข์ คือ แรงเสียดทานใด

ไม่มีผล ไม่มีอิทธิพล ต่อใจเรา

ได้เลยนั่นเอง

คือ

อุเบกขา

.....................................

สาธุ  สาธุ สาธุ

อุเบกขา  ในความหมายแต่ก่อนผมก็นึกเข้าใจว่า  ช่างมัน  ครับ

พอได้มาอ่านธรรมะจากท่านแม่อาจารย์อุบลแล้ว

ลูกน้อมรับครับ

ว่าอุเบกขาคือไม่ใช่ช่างมันกับสิ่งต่างๆ

แต่เป็นการที่เรามีใจธรรมดา

คือไม่ทุกข์  ร้อน  คือสรุปง่ายๆว่า  ไม่เกิดอารมณ์  กิเลสเข้าไปใส่สิ่งต่างๆ

และอุเบกขานั้นก็ไม่ใช่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

หากแต่เป็นโลกไม่ช้ำ  ธรรมไม่เสีย

เบลล์ขอเดาว่า

อุเบกขาในที่นี้ก็ต้องอุเบกขาให้สูงสุดคือ

อุเบกขาให้เป็น  ให้เกิดคุณ

เหมือนเรานั้น  เข้าใจดี  แต่เราก็ไม่ทุกข์

พยายามแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง  เป็นปัญหา

ให้ดีขึ้น

เบลล์คิดว่า

ตัวอุเบกขานี้รวมทั้ง

เมตตา

กรุณา

มุทิตา

เพราะอุเบกขาที่แท้จริง  ที่ถูกตรง

เป็นธรรมของพระอริยเจ้าทุกๆพระองค์

ซึ่งจะสังเกตุว่าทุกๆพระองค์ต่างมีหน้าที่มาเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา

และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าใจธรรมะตามบุญบารมีแต่ละบุคคล

ให้ครบถ้วนห้าพันปี

ซึ่งมีอุปสรรค  ปัญหา  นานา

ก็ต้องใช้อุเบกขา  นี่แหละครับ  เข้ามาใช้งาน  โดยธรรม

และการที่คุณแม่  ได้เมตตา  ช่วยสงเคราะห็  ลูกๆบ้านสวนพีระมิดมาโดยตลอด

คนที่มีทุกข์  จน  เจ็บ  คุณแม่ช่วย

นั่นคืออุเบกขาที่แท้จริง

จากดวงจิต  ดวงใจ  ที่งดงาม  สูงส่ง  ของอาจารย์แม่  ครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์แม่  และครอบครัว  มา  ณ  ที่นี้ด้วยครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 07:43:41


ความคิดเห็นที่ 597 (1562899)
image

อุเบกขาที่ท่าน อ.อุบล กล่าวมาทั้งหมดนั้น

เป็นความจริงทุกประการค่ะ

แต่ตัวตุ้ยเองบางครั้งก็ยังสับสนกับคำว่าอุเบกขาพอสมควร

อย่างเช่นเวลาเห็นข่าวสัตว์ถูกทำร้าย

ใจก็คิดสงสารจนเกิดทุกข์

แต่ก็ได้ใช้ปัญญาคิดหาเหตุว่าคงเป็นเพราะเขาสร้างเหตุมา

จึงต้องมารับผลโดนทำร้ายอย่างนี้

และก็ได้อุทิศบุญให้เขาไปและบอกตัวเองว่านี่คือ "อุเบกขา"

ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่ค่ะ

อีกตัวอย่างคือ เวลามีคนปรามาสในหลวง

เมื่อเรารับรู้เราก็จะพยายามชี้แจงให้เขาฟัง

ซึ่งบางคนเชื่อแล้วเปลี่ยน แต่บางคนก็ยังทำเหมือนเดิม

จนตอนหลังตุ้ยก็ "อุเบกขา" คิดเอาว่าเราได้พยายาม

กับเขามามากพอแล้ว คงต้องปล่อยให้กฎแห่งกรรมจัดการเขาเอง

ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมามันอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

กับคำว่า "อุเบกขา"  ของเราเองก็ได้

ซึ่งคำสอนของท่าน อ.อุบล ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น

จะขอนำไปสำรวจตัวเอง และแก้ไขต่อไปค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 09:24:31


ความคิดเห็นที่ 598 (1562902)

อุเบกขา เมื่อก่อน คือ

- ไม่เดือดร้อน ไม่สนใจ ไม่นำเรื่องของคนอื่น (ไม่ใช่ตัวเรา) มาคิด มาแก้ไข

อุเบกขา ตอนนี้ ที่ได้จากธรรมะในบ้านสวนพีระมิด คือ

- เมื่อพบปัญหา ไม่ทุกข์ร้อนใจ มีสติ คิด หาทางแก้ปัญหา เท่าที่ความสามารถของตนทำได้ค่ะ

เมื่อแก้ไม่ได้ ก็ไม่ทุกข์ แต่พยายามหาหนทาง คิดลำดับความสำคัญของปัญหาต่างๆค่ะ

วางเฉยเมื่อเราได้ทำเต็มที่ในทางที่ถูกที่ควร ไม่เกี่ยงว่าใครผิดถูก ใครทำ วางใจ ไม่ว้าวุ่นใจค่ะ

ทำอะไรได้ก็ทำ ค่ะ

อนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 09:43:37


ความคิดเห็นที่ 599 (1562906)

 

 

ขออนุญาติทำการบ้านค่ะ

โจทย์เหมือนยาก ตรงข้ามกับ การปฏิบัติ

อุเบกขา หมายถึง

ปัญญาที่เฝ้าสังเกตดูอยู่อย่างใกล้ ๆ

หรือ

ปัญญาที่เฝ้าสังเกตการณ์ดูอยู่อย่างละเอียด

หรือ

 ปัญญาที่เกิดจากการเฝ้าสังเกตการณ์พิจารณา

อยู่อย่าง สงบ ด้วยมีสติและสัมปชัญญะที่สมบูรณ์เต็มที่

อุเบกขาไม่ได้แปลว่า วางเฉย หรือ เฉยเมย 

 

   ดังนั้น เพื่อความเจริญและก้าวหน้า

ในคำสอนของ  พระพุทธองค์

เราจึงควรที่จะกลับมาสำรวจ

กันดูให้เข้าใจกันใหม่ 

 และกลับมาพิจารณาดูให้ละเอียด

 แล้วการปฏิบัติธรรมจะไม่ไร้ค่า

 และจะพบความสุขอย่างสมบูรณ์

 ดังที่ต้องการ

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 10:17:09


ความคิดเห็นที่ 600 (1562910)

กราบขอบพระคุณท่านท้าวเวสสุวรรณ และอาจารย์อุบลคะ

ขอบคุณคอมเม้นต์ของทุก ๆ ท่าน ในเรื่อง อุเบกขา  ด้วยคะ

เมื่อคืนอ่านแล้ว ก็เข้าใจตามที่อาจารย์บอกถึงความหมาย ที่แท้จริง

แต่ไม่ได้แสดงความเห็น (กะว่าจะไปอ่านพระไตรปิฎกเสียก่อนจะได้เข้าใจมากขึ้น)

ตอนนี้ขอแสดงความเห็นก่อนแล้วกันนะคะ

 

อุเบกขาที่เราเข้าใจกันผิด ๆ มา ตลอด คือการเฉย

แบบคนซื่อบื้อและปนความเห็นแก่ตัว

แต่ความจริงแล้ว อุเบกขา คือหนึ่งใน พรหมวิหาริย์สี่

ซึ่งต้องมาพร้อม ความรัก ความเมตตา ด้วย

ดังนั้น เราต้องใช้ปัญญาช่วยเหลือตนเอง และผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถ เสียก่อน

ดังที่ พระพุทธองค์ และ พระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย ทำมาตลอด

ท่านสอนคนอย่างมีความสุข หวังให้คนพ้นทุกข์ อย่างเต็มกำลัง เต็มที่

แต่สุดท้าย ถ้าคน หรือสัตว์ต่าง ๆ จะไปไม่ได้ไม่ได้ทุกข์ใจ

ก็ปล่อยวาง เพราะถือว่าเป็นธรรมดาของโลก

ดังนั้นประเด็น ก็คือ เราควรรับใช้ ช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ

ทำให้เต็มกำลัง แต่ไม่ต้องทุกข์ไปกับเขาด้วย

และเราทุก ๆ คน ก็เริ่มทำได้ จากสิ่งใกล้ ๆ ตัวเรา ด้วยการแนะนำคำสอนดี ๆ แก่คนรอบข้าง สอนให้ทุก  ๆ คน เห็นความจริง ใช้ชีวิตที่ดีจริง ๆ ทำอย่างไร ทำตามแบบที่พระพุทธองค์ทำ ตามแบบที่อาจารย์อุบลทำ สอนและให้ด้วยใจเต็มร้อย แต่ก็ไม่ทุกข์ไปกับความทุกข์ของเขา ถ้ามีคนคิดผิดไปจากธรรมนองคลองธรรม ก็ชี้แนะด้วยวิธีที่ชาญฉลาด

แอบชื่นชมในปัญญาอันสูงส่งของอาจารย์มาตลอดคะ เวลาที่บางคนคิดอะไรไม่ถูก อาจารย์อุบลก็สอนทั้งทางตรง ทางอ้อมบ้าง เปรียบเปรย หรืออาจยกตัวอย่างของคนที่ดี  เพื่อให้ผู้อ่านเกิดการเปรียบเทียบและสำนึกได้ด้วยตัวเอง จะไม่ใช่การต่อล้อต่อเถียงซึ่งปนไปด้วยอารมณ์อย่างเรา ๆ นั่นคือปัญญาที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ ด้วยความเมตตา ได้จริง เมื่อคนอ่านอ่านแล้ว ก็จะรับรู้ได้ถึงความผิดพลาดของตน และยอมรับในสิ่งนั้นด้วยความเต็มใจ เพราะเห็นถึงความอ่อนโยนในถ้อยคำนั้น อาจารย์จึงเลือกใช้การสอนที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้อย่างดีเยี่ยมด้วย

 สุดท้ายก็อย่างลืมตอบแทนผู้มีพระคุณทุก ๆ ท่าน ทั้งพ่อ แม่ ครูอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัว ทุกสิ่งบนโลกนี้ ด้วยการทำตนให้ดีที่สุด และเผยแพร่สิ่งดี ๆ เหล่านนี้ แก่คนรอบข้าง เผยแพร่ธรรมะ เผยแพร่การอุทิศบุญต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการขัดเกลาจิตใจของผู้ปฏิบัติในอ่อนโยนมากขึ้น เพื่อเพิ่มพลังบวกให้โลก ให้จักรวาลด้วยคะ

ไปไกลแล้ว เอาเป็นว่า ลูก ๆ บ้านสวน ดูทุกการกระทำของอาจารย์อุบลเป็นตัวอย่าง และทำตามในแบบของเราให้ได้ดีที่สุด เพราะอาจารย์อุบล ก็นำวิธีการต่างๆ  มาจากพระพุทธองค์นั่นเองคะ

ขอไปอ่านพระไตรปิฎกเพื่อให้เข้าใจมากกว่านี้ แล้วจะพยายามเอาสาระออกมาให้ได้มากกว่านี้คะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลและผู้มีพระคุณทุกท่านทั่วโลกทั่วจักรวาลอีกครั้งคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 10:39:22



<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ถัดไป >>


Copyright © 2010 All Rights Reserved.