ReadyPlanet.com


เมื่อกรรมรวมตัว จะทำอย่างไร


เวลากรรมรวมตัวควรทำอย่างไรดีคะ ช่วยตอบหน่อยเถอะค่ะ



ผู้ตั้งกระทู้ กัญญ์ (tata_su1-at-yahoo-dot-com) โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2010-07-15 15:32:42


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1501561)

แหะ แหะ เมื่อกรรมมารวมตัว ง่ายสุดก็ สลายโต๋ ซิคะ... ล้อเล่นนะคะไม่อยากให้เครียดมาก

แต่ก็แอบก็อปสาระธรรมดีๆมาฝากคุณกัญญ์ค่ะ.....   เงยหน้า เชิดคาง มองสูงเข้าไว้ค่ะ .... เข้มแข็งไว้ก่อน จะได้มีแรงตั้งรับกับ"กรรม" จะมาแบบเดี่ยวๆหรือ รวมตัว ทั้งหมดทั้งมวล ก็คือ ผลจากการกระทำของเราทั้งสิ้นค่ะ คิดเสียว่า ใช้ๆเค้าไปซะให้หมด...เนอะ....

ไม่คุ้มเลย

อาจ ล้มลุกคลุกดินสิ้นสะอาด
เสื้อผ้าขาดร่างกายมีหลายแผล
ถูกเขาผลักเขา ไสไร้คนแล
เคยพ่ายแพ้ผิดพลาดขาดเชื้อชัย

เรื่องเช่นนั้นผ่านวัน ผ่านเวลา
หลายเดือนปีผ่านมานานแค่ไหน
หากยังย้ำพร่ำความเข้าถามใจ
หา เป็นทางแก้ไขให้เติมเต็ม

แต่กลับเป็นเช่นรอยที่ลึกกว้าง
ยิ่ง คร่ำครวญยิ่งสร้างรอยขีดเข็ม
ที่กดกรีดขีดคุ้ยขุยเนื้อเล็ม
ให้ พร่องจากส่วนเต็มของเนื้อใจ

คิดหนึ่งครั้งคือฝังรอยเข็มซ้ำ
คิด บ่อยครั้งยิ่งช้ำยากแก้ไข
คิดเรื่องเก่าความเศร้าทวีชัย
คิดวกวนทำ ให้อกุศลครอง

คิดแก้ไขเปิดใจใส่กุศล
มองที่ตนเริ่มใหม่ไม่หม่น หมอง
เดินหนีจากเรื่องเก่าที่เน่ากอง
เลิกใฝ่ปองเล่าอดีตกรีดทบทวน

ใช้ เวลาปัจจุบันสรรค์สร้างจิต
การครวญคิดท้อใจใฝ่กำสรวล
คือพร่าผลาญ เวลาไร้ค่าควร
จดจำล้วนเรื่องกลุ้มไม่คุ้มเลย

โดย พี่ดอกแก้ว 

เรื่องราวต่างๆมากมายที่ ผ่านเข้ามาในชีวิตของคนเรา มีทั้งที่น่ารื่นรมย์ และขมขื่น แต่ทุกๆเรื่องนั้นล้วนจบไปแล้ว จบไปนานมากแล้วทั้งนั้น

หากใจใครที่ ไม่ปลดปล่อยความขมขื่นในอดีตให้จบไป ย่อมเป็นที่แน่ได้เลยว่า ความสุขใจจะมีน้อยนิด หรือแทบจะหาไม่พบ ก็เพราะความขุ่นค้างแห่งอารมณ์นั้นๆนั่นเอง



หากต้องการความ สบายใจให้มากขึ้นในชีวิตที่แสนสั้นนี้ ควรรีบปรับปรุงตนเอง แก้ไขใจให้ดีมีเมตตาธรรม ข่มอารมณ์ร้ายๆในอดีตให้บางเบา จนหมดไปให้ได้ และเมื่อใดที่ใจตน อุดมด้วยเมตตาต่อตนเอง และผู้อื่นแล้ว แน่นอนที่สุด ความสบายใจที่ใฝ่หาย่อมมีมาแน่นอน.แต่ตราบใดที่ไม่ยอมละวางความขุ่นใจที่ ค้างมานานเหล่านั้นได้ ความสงบสุขใจย่อมไม่มีทางสัมผัสได้เลย และเป็นการมีชีวิตที่ไม่คุ้มเลยกับเวลาที่แสนจะสั้นของชีวิตนี้.

 โดย พี่ดอกแก้ว     http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=12910

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา วันที่ตอบ 2010-07-16 02:53:43


ความคิดเห็นที่ 2 (1502093)

ขอให้พี่ดอกแก้วมีความสุขมากๆนะคะ ขอบคุณมากรู้สึกดีขึ้นจากความเมตตาที่มีให้ อนุโมทนาดวยค่ะกับจิตใจที่ดีกับน้องมนุษย์คนหนึ่ง

 

ขอบคุณค่ะ

กัญญ์

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์ (tata_su1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2010-07-20 17:13:01


ความคิดเห็นที่ 3 (1502148)

กุศโลบายการเผชิญกรรม

 

การเผชิญเวรกรรมที่พัวพันชีวิตต่างๆ นั้นมีกุศโลบายอันแยบคาย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากวิบากกรรมแต่ละบ่วง ดังนี้


1.
การทรงสติ แล้วใช้ปัญญา เมื่อถึงวาระรับกรรม หากเป็นผลกรรมดีก็อย่าลิงโลดตายใจจะก่อให้เกิดความประมาท ควรทรงสติมั่นไว้ แล้วใช้ปัญญาบริหารผลกรรมดีนั้นเพื่อสรรค์สร้างกรรมดีใหม่สืบเนื่องไปให้ยิ่งกว่าเดิม ขึงจะชื่อว่าใช้กรรมดีอย่างได้กำไร หากเป็นผลกรรมเลวก็อย่าท้อแท้ตีโพยตีพาย ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางออกที่เหมาะสมเสมอ

 

หากเราสุขุม รอบคอบ ย่อมหาทางออกนั้นเจอ แต่หากโวยวายเสียก่อน นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆแล้ว ยังจะสร้างปัญหาใหม่ทับถมยิ่งขึ้น เกิดอารมณ์ร้ายจิตใจเสื่อมทราม และเหนื่อยอยากเปล่าๆ ปลี้ๆ เมื่อจำต้องเผชิญผลกรรมเลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็จงยอมรับความจริงว่าเราสร้างเหตุที่ไม่ดีไว้

 

ผลจึงออกมาไม่ดีดังนี้ ดังนั้น พึงเปลี่ยนกรรมเลวให้เป็นกรรมดีเสีย เพื่อผลดีในอนาคตโดยสรรสนองตอยด้วยดีทุกครั้งที่เราเผชิญวิบากนั้นในขณะที่เหตุการณ์ที่ประสบคือผลกรรมเก่า ส่วนการสรรสนองตอบคือกรรมใหม่ ไม่ว่าผลกรรมเก่าจะเป็นอย่างไร เรามีสิทธิ์สรรค์สร้างกรรมใหม่ให้ดีได้ตามกำลังสติปัญญา


2.
การหลบในฌานสมาบัติ เมื่อเราเข้ารูปฌานสี่ อรูปฌานสี่ และนิโรธสมาบัติ ร่างกายจะหยุดทำงานชั่วคราว ซึ่งเป็นการระงับกลไก การเสวยวิบากกรรมไปชั่วขณะ และธรรมดาผลกรรมทั้งหลายจะเข้ามาเป็นวาระ เมื่อหมดเวลาแล้วก็จำต้องผ่านไป หากเราอยู่ในฌานสมาสมบัติลึกๆดังกล่าวในขณะที่วิบากกรรมเข้ามา เราก็ไม่ต้องไปเสวยผลกรรมนั้น ทั้งในขณะเดียวกันการทรงฌานสมาบัติก็เป็นการสร้างกรรมใหม่อันเป็นมหากุศลให้บังเกิดขึ้นอีกด้วย


3.
การแทรกแซงกรรม กรรมแต่ละชนิด ให้ผลไม่พร้อมเพรียงกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของความตั้งใจ และความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกระทำ


4.
การคลายขันธ์ ในการฝึกสมาธิแบบผ่อนคลายจนทำให้ร่างกายและจิตใจสงบระงับ จะมีการปรับองค์ประกอบภายในขันธ์ใหม่ สิ่งผิดปกติต่างๆ ในขันธ์ทั้งหลายจะถูกขับออกไปจากกายและใจด้วยเป็นหลักธรรมดาของทุกสิ่งในจักรวาลนี้ที่ถ้าลดอุณหภูมิให้สงบเย็นลง องค์ประกอบภายในจะจัดเรียงตัวกันใหม่ให่เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ยิ่งเย็นลงเท่าใดองค์ประกอบภายในก็จะมีความเป็นระเบียบเท่านั้น

 

ยิ่งองค์ประกอบภายในประสานกลมกลืนกันด้วยระเบียบอันดีเพียงใด ก็จะขจัดสิ่งแปลกปลอมออกไปได้มากเพียงนั้น ยิ่งขจัดสิ่งแปลกปลอมออกไปมากเพียงใดก็บริสุทธิ์มากเพียงนั้น ยิ่งบริสุทธืเพียงใดก็จะมีอนุภาพเพิ่มพูนมากเพียงนั้นดังเหล็ก เมื่อเป็นเหล็กธรรมดาโมลากุลของมันจะไม่เป็นระเบียบยุ่งเหยิง สับสน จะเป็นเหล็กที่ด้อยอานุภาพ แต่เมื่อลดอุณหภูมิให้เย็นลง โมเลกุลของเหล็กนั้นจะเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบ

 

ในขณะที่โมเลกุลจัดเรียงตัวกันใหม่นั้น โมเลกุลประเภทเดียวกันก็จะเกาะตัวเข้าหากัน โมเลกุลที่แปลกปลอมต่างพวกก็จะถูกเบียดออกจากกลุ่ม เมื่อโมเลกุลของเหล็กทั้งหมดเรียงตัวเป็นระเบียบจนเป็นเนื้อเดียวกันดีแล้ว ก็จะมีอำนาจดึงดูดเกิดขึ้นกลายเป็นแม่เหล็ก


5.
การอโหสิกรรม การให้อโหสิกรรมเป็นการตัดบ่วงกรรม กรรมที่ได้รับการให้อโหสิแล้วเป็นโมฆะกรรมย่อมไม่ให้ผลใดๆ อีก ดังนั้น กรรมใดที่มีเจ้ากรรมยายเวรนั้นก็ได้มาปรากฏต่อหน้าแล้วก็พึงประกาศอโหสิกรรมแกกันโดยตั้งจิตอธิษฐานว่า

 

"กรรมชั่วอันใดที่ท่านได้กระทำแล้วต่อข้าพเจ้าด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี อันทำให้ท่านต้องตกระกำลำบากอยู่หรือจะตกระกำลำบากในกาลต่อไป ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้แก่บาปเวรนั้นของท่าน ขอท่านอย่าได้เสวยผลกรรมอันทุกข์ทรมานนั้นเลย และหากมีกรรมชั่วอันใดที่ข้าะเจ้าทำแล้วต่อท่านด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ขอท่านจงงดโทษอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจักสำรวมระวังในกาลต่อไป"

 

จากนั้นก็แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปยัง เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งใกล้และไกล ก็จะตัดกรรมเก่าอันไม่สมควรเสียได้ แล้วหมั่นเจริญกรรมใหม่อันสมควรต่อไป


6.
การก้าวล่วงกรรม ในกรณีเรากระทำผิดไว้และสำนึกแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรอยู่ไหน หรือเจ้ากรรมนายเวรยังไม่ให้อภัย หากเราสำนึกผิดอย่างเดียวจะรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตนเองแล้วจมอยู่กับความไม่พึงพอใจในการกระทำของตนเองในกรณีดังนี้

 

พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิตตั้งใจให้มั่นว่ากรรมนั้นๆ เป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดนิรันดรเราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด เมื่อเราตั้งใจแน่วแน่ดังนี้แล้ว ใจของเราจะก้าวออกจากกรรมนั้นได้ และนับแต่นี้เป็นต้นไปกรรมดังนั้นจะไม่เกิดขึ้นในใจของเราอีกเป็นอันขาด นี้เป็นเทคนิคการก้าวล่วง ออกจากกรรม


7.
การชำระจิตให้บริสุทธิ์ การชำระจิตให้บริสุทธิ์เป็นการยกระดับจิตใจ ให้หลุดพ้นจากอำนาจทั้งปวง แม้อำนาจกรรมเมื่อทำลายอัตตาแห่งอวิชชาได้แล้วก็ไม่มีผู้กระทำ เมื่อไม่มีผู้กระทำก็ไม่ถูกกระทำและไม่ต้องรับผลของการกระทำใดๆ บางท่านอาจสงสัยว่า ครั้งพระพุทธองค์ทรงพระชนม์อยู่ ทำไมยังต้องรับผลกรรมเก่าด้วยเล่า การที่ท่านรับผลกรรมเก่านั้น เพราะท่านยังดำรงขันธ์อยู่ การบันทึกกรรมก็บันทึกไว้ด้วยขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

เมื่อละความพัวพันในขันธ์ ๕ ได้จึงไม่ต้องระคนกรรมใดๆ อีกแม้แต่น้อย ทรงอยู่ในความหมดจดผ่องแผ้วนิรันดรที่ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

 

เราสิ้นบุญและบาปแล้ว เว้นแล้ว จากความเดือดร้อนทั้งปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้น ปราศจากอาสวะ จักปรินิพพาน

 

และเมื่อท่านละขันธ์ ๕ เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว จึงดำรงอยู่ในวิมุติสุขอันไม่เสื่อมสลายที่กรรมใดๆ ก็ไม่อาจระแคะระคายได้

 

 

ที่มา  http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=84

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

ค้นมาฝากคุณกัญญ์  วิธีนี้อาจจะยากไปหน่อย แต่ผมเห็นว่าน่าสนใจ และยึดเป็นแนวทางได้

 

ขอให้ธรรมคุ้มครอง

ปุ้ม  ณฐพลสรรค์

ผู้แสดงความคิดเห็น ปุ้ม ณฐพลสรรค์ (nathaponson-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-07-21 09:58:08



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.