ReadyPlanet.com


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน สอนขันธ์ 5


user image

 
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน สอนขันธ์5
    
      สวัสดีลูกหลานที่รักของท่าน พระมหาวีระ ถาวโร และสมเด็จพระแม่เจ้ากวนอิมอวโลกิเตศวรทุกๆท่าน ขอเจริญพร ลูกหลานทุกๆคน วันนี้ดีใจที่ได้มาพบลูกหลานทางภาคใต้ ทั้งของจังหวัดนครศรีธรรมราชก็ดี จังหวัดสุราษฎร์ก็ดี ยังมีจังหวัดอื่นอีกไหม?(ไม่มีแล้วคะ) เท่าที่ดูเป็นคนพื้นเพทางภาคใต้ทั้งหมดทั้งสิ้น ภาษาใต้เวลาที่พบเจอกัน เวลาทักทายพูดคุยกันเขาใช้คำว่าอะไร (หวัดดีคะ)หวัดดีก็มาจากสวัสดีครับ/คะ ใช่ไหม? ภาษามีหลายภาษาที่มารวมอยู่ที่ประเทศไทย ภาษาใต้ก็เรียกว่า หวัดดี ภาษากลางก็สวัสดี เคยไปภาคเหนือก็สวัสดีแต่คำลงท้ายไม่เหมือนกันใช่ไหม?คนภาคเหนือทักทายว่าอย่างไร? (สวัสดีเจ้า) สวัสดีเจ้า ภาษาใต้ก็ หวัดดีคะ/ครับ แต่ของภาคเหนือเป็น เจ้า แทนคะ/ครับ ใช่ไหม (ใช่คะ) แล้วพอภาคอีสานทักทายว่ายังไงรู้ไหม ก็สวัสดีคะ/ครับเหมือนกัน ต่างกันที่สำเนียงการพูดใช่ไหม? อีสานกับภาคเหนือมีศัพท์คำพูดคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน สำเนียงก็ไม่เหมือนกัน คำศัพท์มีเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง แต่ดูภาคใต้แล้วจะไม่เหมือนภาคอื่นๆจะมีภาษาเป็นของตัวเองและมีความมั่นใจสูงใช่ไหม แล้วคนต่างภาคเป็นอย่างไรอีก อย่างเช่นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชก็ดี จังหวัดสุราษฎร์ก็ดี อยู่ใกล้กันนิสัยเหมือนกันไหม? (คล้ายๆกันคะ) ถ้ามองเป็นภาพรวมของคนจังหวัดนครศรีธรรมราช นิสัยใจคอเป็นอย่างไรที่จังหวัดนี้ (ดุคะ นักเลงคะ) แล้วของ จังหวัดสุราษฎร์ที่บอกว่าคล้ายคือส่วนไหนบ้าง ที่แตกต่างผิดออกไป? (เกือบจะคล้ายๆกันคะ) เกือบจะคล้ายกัน ก็คือ เหมือนกันใช่ไหม? (คะ) แล้วอีก 1 % ที่แตกต่างคืออะไร นิสัยเป็นอย่างไรที่บอกว่าไม่เหมือนกัน สุราษฎร์ธานี (เมตตาคะ) แสดงว่านครศรีธรรมราชยังขาดเมตตาอยู่เยอะใช่ไหม? (ไม่คะ) แล้วถ้าอย่างนั้นนิสัยของคนภาคใต้เป็นแบบไหน (เป็นคนตรงๆ ซื่อ จริงจัง จริงใจคะ) นี่คือที่คนภายนอกตัดสิน หรือที่เราตัดสินเอง (คนภายนอกตัดสินคะ) ที่นี้ภาคกลางมีนิสัยเป็นแบบไหน? (ต่างคน ต่างอยู่ ครับ) ภาคเหนือ (อ่อนหวาน นิ่มนวล ใจเย็นคะ) ภาคอีสาน (เรื่อยๆคะ) ภาคตะวันออก (เหมือนผมครับ) ภาคตะวันตก มีไหม (ไม่แน่ใจครับ) อย่างเมื่อกี้ หลวงตายกไป2 อย่าง 1. คำทักทายของแต่ละภาคก็ไม่เหมือนกัน 2.นิสัยของแต่ละภาคก็ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกภาคมีเหมือนกัน คืออะไรลูก? (นับถือศาสนาพุทธครับ/คะ) จร้า เก่ง มีอีกไหมที่ทุกภาคมีเหมือนกัน (ดวงจิตคะ รักชาติครับ รักพระมหากษัตริย์สาธุ ลูกหลานพระมหาวีระ ถาวโร และสมเด็จพระแม่เจ้ากวนอิมอวโลกิเตศวร ตอบดีมาก ถ้าอย่างนั้นให้หลวงตาเพิ่มเติมได้ไหม (ได้ครับ/คะ) สิ่งหนึ่งที่ทุกภาคมีเหมือนกัน คือ มีทั้งคนดี คนไม่ดี คนฉลาด คนโง่ คนรวย คนจน คนมีความสุข คนมีความทุกข์ ทุกภาคมีเหมือนกันหมด เพราะอะไรทุกภาคทุกที่จึงมีเหมือนกันหมด เพราะโลกใบนี้ใช่ไหม? (ใช่ครับ/คะ) โลกใบนี้แปลว่าส่วนรวม รวมทั้งคนดี คนไม่ดี คนฉลาด คนโง่ คนรวย คนจน คนมีความสุข คนมีความทุกข์ คนถ่อม คนไม่ถ่อม คนไม่ถ่อม ก็คือ คนถ่อย เหล่านี้รวมกัน นี่แค่ประเทศไทย ถ้ามองทั้งโลกมั่วสุมกันเยอะไหม? (เยอะคะ) ปะปนปนเปกันไป คลุกเคล้ากันไปตามวาระวิถีของกฎแห่งกรรม กรรมของสัตว์มีเหมือนกันทุกตัวตนทุกเหล่าเวนัยทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ทรงเมตตามอบพระธรรมไว้ให้ลูกหลาน ที่จะได้เรียนรู้ประพฤติปฏิบัติตามกัน หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือต้องมาอยู่กับส่วนรวมที่เป็นอนัตตาทั้งสิ้น รวมทั้งมนุษย์ รวมทั้งคน รวมทั้งสัตว์เดียรฉาน รวมทั้งสิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต รวมไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง รวมมาอยู่ในสิ่งเดียว นั่นคือ ธาตุขันธ์ ที่ทำให้ต้องมาอยู่ ณ ที่นี่ ส่วนรวมแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยอุบายต่างๆ ที่ชาวโลกไม่ยอมที่จะแสวงหาทางเพื่อให้หลุดพ้น จากความมืดมนอันนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงเต็มไปด้วยกิเลส ถ้าลูกหลานอยากจะปราบกิเลส อะไรที่เราจะใช้ปราบกิเลส แล้วกิเลสกลัว ยอมหมอบคลาน ยอมลดตัวลง ถอนกำลังออกไปสิ่งนั้นคืออะไร (สติคะ เรารู้เท่าทันทุกอย่างเป็นอนัตตาครับ) สติก็ดี เรารู้เท่าทันทุกอย่างเป็นอนัตตาก็ดี ทั้งหมดนี้ก็คือ สวาขาตธรรม พระธรรมเท่านั้นที่กิเลสมันกลัว กลัวมากที่สุด อะไรๆก็ไม่กลัวสู้เท่าพระธรรม พระธรรมมา ปัญญาเกิด ก็เท่ากับว่ามีคมมีด คมดาบ คมแฝก เอาไว้ตี เอาไว้ทุบ ไว้ห้ำหั่นตัวกิเลสเหล่านั้นให้แตกสลาย กิเลสมันกลัวอาวุธชิ้นนี้มาก เพราะรู้ว่าถ้าถูกตี ถูกห้ำหั่นแล้วมันต้องตายแน่ แต่ลูกหลานทุกคนรู้ไหมว่าพระธรรมนี้จะให้เกิดเป็นความคมได้ หรือมีเรี่ยวแรงในการทุบตีกิเลสได้นั้นต้องมาจากสิ่งใด (วิริยะครับ/ความมุ่งมั่นครับ/ศีลคะ) ถูกต้องลูกหลานที่รัก ถูกต้องทั้งหมด วิริยะคือความพากเพียรไม่กลัวต่ออุปสรรค ต่อสู้ทำลายอุปสรรคนั้นเพื่อให้เกิดผล ศีลเป็นพื้นฐานให้ลูกหลานดำรงจิตให้พ้นจากอบายภูมิ ปิดประตูอบายภูมิทั้ง 4 ยกจิตของตนให้พ้นจากความเป็นคน เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ และเตรียมตัวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ที่จะทำให้คมมีดนั้นที่จะคมและห้ำหั่นกิเลสได้ สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐาน แล้วตัวที่จะทำให้คมจริงๆ เปรียบเหมือนหินลับมีด คืออะไรลูก? (ปัญญาครับ) ใช่แล้วปัญญาที่มาจากวิปัสสนา วิปัสสนาแห่งภาวนานั้นแล สมาธิลูกมีแล้ว ลูกจึงต้องเริ่มการฝึกให้ตัวเองด้วยความเพียรให้เริ่มอย่างง่ายๆ ลูกหลานอย่าพึ่งไปทำยาก ให้เริ่มตั้งแต่ ขณิกสมาธิ คือ สมาธิเล็กน้อย ให้มีสติรู้เท่าทันกับอารมณ์ในเบื้องต้น มาขั้นที่ 2 ให้ลูกหลานเริ่มมีการสวดมนต์ เพราะการสวดมนต์ทำให้ลูกหลานได้อุปจารสมาธิ คือลูกจะมีจิตนึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า ของพระธรรมและของพระอริยะสงฆ์ หลังจากนั้นค่อยเริ่มขยับเข้ามาสู่ความเพียรในกรรมฐาน เริ่มตั้งแต่ฌานที่1 ปฐมฌาน เรียนรู้จากฌานที่1 และเข้าสู่ความสงบมากขึ้นเป็นฌานที่ 2 คือ ทุติยฌาน มีความสงัดมากขึ้น จิตใจไร้ซึ่งนิวรณ์ เข้าสู่ฌานที่3 ตติยฌาน รวมสมาธิได้เป็นหนึ่งเดียว คือ ฌานที่4 จตุถฌาน ฌานทั้ง4 เป็นเหมือนบันได ให้ลูกได้ค้นพบเจอความสงบที่แท้จริง เปรียบเหมือนกับว่า ตอนนี้ลูกมีเงินอยู่ในกระเป๋าพันบาท และเงินพันบาทนี้มีค่ามาก เพราะลูกสามารถไว้ใช้ซื้อข้าว ปลา อาหารได้ แต่หากลูกพบกองทอง ลูกจะเลือกอะไร ก็เลือกทองใช่ไหม เพราะทองนั้นมีค่าหลายกะตังค์  เหมือนกับการฝึกกรรมฐาน เมื่อลูกได้ถึงฌนที่4 ลูกจะพบความสงบสบายและนึกว่านี่ดีที่สุด แต่เมื่อลูกได้วิปัสสนาควบคู่ก็เหมือนว่าลูกได้พบกองทองซึ่งดีกว่าเงินพันบาทนั้นแล..
      เพราะฉะนั้นให้ลูกหลานจงจำไว้ว่า ฌานต่างๆเป็นเพียงแค่ขั้นบันไดให้ลูกหลานได้เดินท่องเที่ยวไปในแดนสงบแต่วิปัสสนาจะทำให้ลูกหลุดพ้น ดังนั้นขอให้ลูกใช้ปัญญาแห่งสมาธิใคร่ครวญในทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ลูกควรจะต้องเรียนไม่ใช่ปริญญา หรือ ด๊อกเตอร์ ด๊อก สุนัข อะไรทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญนั่นก็คือ ขันธ์ทั้ง 5 ที่ลูกจะต้องเรียนให้จบ รู้ให้หมด ถ้าจบขันธ์ 5 นี้ได้ ลูกก็จะเรียนจบ ด็อกเตอร์ ไม่ใช่ ด๊อก หมา อีกต่อไป ดังนั้นขอให้ลูกพากันมาเรียนรู้จักธาตุขันธ์ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ และเรียนให้จบเป็นสมาธิ สิ่งที่หลวงตาจะสอน เอ้า เรียนให้จบ ธาตุขันธ์มีอะไรบ้าง ดังเคยพูดให้ฟังเสมอ
            “รูปขันธ์”ก็ร่างกายทั้งร่างไม่มีอะไรยกเว้น รวมแล้วเรียกว่ารูปขันธ์” คือกายของเราเอง
            “เวทนาขันธ์”ความสุข ความทุกข์ เฉยๆ เกิดขึ้นภายในร่างกายและจิตใจ ท่านเรียกว่า เวทนาขันธ์
            “สัญญาขันธ์”คือ ความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ ท่านเรียกว่าสัญญาขันธ์
            “สังขารขันธ์”คือ ความปรุงของใจ คิดดีคิดชั่ว คิดเรื่องอดีตอนาคต ไม่มีประมาณ ท่านเรียกว่า สังขารขันธ์” เป็นหมวดเป็นกอง
            “วิญญาณขันธ์”ความรับทราบ เวลารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย รายงานเข้าไปสู่ใจให้รับทราบในขณะที่สิ่งนั้นๆ สัมผัสแล้วดับไป พร้อมตามสิ่งนั้นที่ผ่านไป นี่ท่านเรียกว่า วิญญาณขันธ์” ซึ่งเป็น วิญญาณในขันธ์ห้า
            “วิญญาณในขันธ์ห้า” กับ ปฏิสนธิวิญญาณ” นั้นต่างกัน ปฏิสนธิวิญญาณหมายถึง มโน” หรือหมายถึงจิตโดยตรง จิตที่จะก้าวเข้าสู่ ปฏิสนธิวิญญาณ” ในกำเนิดต่างๆ ท่านเรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ” คือใจโดยตรง
      ส่วน วิญญาณในขันธ์ห้า” นี้ มีความเกิดดับไปตามสิ่งที่มาสัมผัส สิ่งนั้นมาสัมผัสแล้วดับไป วิญญาณก็ดับไปพร้อม คือความรับทราบ ดับไปพร้อมขณะที่สิ่งนั้นผ่านไป
       วันนี้หลวงตาให้ลูกหลานได้พิจารณาในขันธ์ทั้ง 5 เพื่อที่จะได้เรียนรู้ได้หมด จงจดจงจำเอาไว้ ว่า ธาตุขันธ์ทั้ง 5 นี้ต้องเรียนกันให้หมดสิ้น ไม่ใช่ว่าเรียนกันผ่านๆ แต่ลูกหลานจะต้องมีความเพียรอยู่ตลอด เรียนกันทุกวินาทีอย่าให้จิตตก จิตคลาด เดี๋ยวกิเลสมันจะกัดกินเอา นักเรียน นักศึกษา จะเรียนเก่งได้ต้องมีตัววิปัสสนานี้ ต้องทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่มานั่งขอพรจากพระอย่างเดียว ต้องช่วยเหลือตัวเอง รวมไปถึงพ่อค้า แม่ค้า ข้าราชการ ต้องใช้ตัวนี้ทั้งหมด
       เห็นลูกๆพากันมานั่งไหว้พระสวดมนต์ ก็เป็นที่น่าชื่นใจ ว่าสมกับพุทธบุตรของพระตถาคตเจ้า ก่อนสวดมนต์หลวงตาขอเพิ่มให้นิดหนึ่งนะว่า ให้ลูกหลานพากันเดินจงกลมก่อน 15 นาที เพื่อรวมจิตให้สงบนิ่งนะ และตอนแผ่เมตตา ก็ให้ทรงพรหมวิหาร 4 อย่างนี้จะเกิดผลมาก
            เจริญพรลูกหลานทุกคน สวัสดี 09/04/54
 

 
ผู้ตั้งกระทู้ จิตทิพย์ นิพพาน :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-25 18:55:37 IP : 223.206.65.68



ผู้ตั้งกระทู้ นายคมกริช นามมงคุณ (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-25 22:57:34


Copyright © 2010 All Rights Reserved.