ReadyPlanet.com


อามรณ์ชั่วของจิตแล้วจิตชั่งที่ตรงไหน


 
    
      ทุกข์ที่เกิดมาได้ก็เพราะอาศัยเหตุ 4 อย่าง
1.      กิเลส
2.      ตัณหา
3.      อุปทาน
4.      อกุศลกรรม
คำว่ากิเลสนี่ก็แปลว่าอารมณ์ชั่วของจิตแล้วจิตมันชั่วตรงไหนหล่ะ ของที่มันทุกข์เรากลับเห็นว่าไม่ทุกข์ใช่ไหม เห็นว่ามันเป็นสุข อย่างที่ลูกเกิดขึ้นมาแล้วสภาพมันเป็นอย่างไรที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงกันไปได้ ทุกคนที่นั่งอยู่นี้แหล่ะไม่ว่าใครทั้งหมด หนีไม่พ้น คือ เกิดขึ้นมาแล้วก็มีความแก่เป็นธรรมดา เราไม่สามารถที่จะล่วงพ้นความแก่มันไปได้ และในขณะที่มันมีความแก่ก็ไม่สามารถล่วงพ้นความเจ็บไข้ไม่สบายไปได้ ต้องมีความตายเป็นธรรมดา และความตายก็ก่อให้เกิดการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา
     ทีนี้ก่อนแต่งงานเรานึกว่าสุข แต่จริงๆแล้วมันสุขหรือมันทุกข์หล่ะ คู่ตัวผัวเมีย ยังทุกข์ไม่พออยากมีลูกอีกใช่ไหม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ห่วงลูกมันผูกคอ มีเงินซื้อ ก๋วยเตี๋ยวชามเดียว มันไม่มีซื้อเป็นชามที่สอง พอคุ้ยจะกิน ลูกยังไม่ได้กินนี่ ตัดสินใจเอาไปให้ลูกก่อนใช่ไหม ตัวเองอด นี่มันทุกข์ให้เห็นอย่างนี้ แต่เรามันชินจนไม่รู้ว่ามันทุกข์ ห่วงข้อเท้า คือ ทรัพย์ ถ้าไม่มีทรัพย์ ไม่มีบ้าน ไม่มีเงินทอง ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ มาปฏิบัติธรรมที่นี้ก็ได้ใช่ไหม แต่พอมีก้าวขาไม่ออก กลัวโจรขึ้นบ้านใช่ไหม ห่วงมือ คือ สามี ภรรยา ดังคำว่าอยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์แสนสนุกแต่ไม่สบาย นี่ๆลูกหลานฟังธรรมแล้วไม่ใช่กลับไปเลิกกัน ปู่สอนให้เห็นทุกข์เท่านนั้น อย่าไปตีกันเลิกกันแค่นี้ทุกข์พอแล้วนะ ไม่ใช่ไปโยนลูกทิ้ง โยนเมียทิ้ง อันนี้ไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนแบบนั้น ท่านสอนแต่เพียงว่า ถ้ามีขึ้นมาแล้วก็วิจัยดูว่ามันสุขหรือมันทุกข์ ถ้ามันทุกข์จริงก็ต้องถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะมีคู่แบบนี้ ลูกแบบนี้ หลานแบบนี้นะ  เพราะว่าเราเองได้มีกรรมเป็นของตัว ถ้าทำกรรมดีผลดีก็จะสนองให้เรามีความสุข ถ้าทำกรรมชั่ว ผลชั่วก็จะสนองให้เรามีความทุกข์ เหมือนนิทานเรื่องนี้ที่ปู่จะเล่า ก็ไม่รู้ว่าตกลงมันดีหรือไม่ดีกันแน่ ให้ลูกหลานคิดกันเอาเอง ตัดสินใจเอง
  นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งแห่งเมืองมคธ พระราชาองค์นี้ได้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่เมืองมคธ ได้มีพระอรหันต์รูปหนึ่งที่ชาวเมืองต่างศรัทธาและเลื่อมใสท่านมาก เพราะท่านจะเมตตาช่วยเหลือโปรดสัตว์อยู่เสมอ 
       พระราชาองค์นี้เวลาที่ท่านว่าง ท่านจะทรงชอบยิงนก ยิงกวางในป่าเสมอๆ วันนั้นได้ยิงกวางแต่ยิงพลาด กวางไม่ตายแต่ข้อเท้ากวางได้รับบาดเจ็บสาหัส มันวิ่งหนีเอาตัวรอด พระราชาเจ็บใจที่ยิงกวางพลาดและยังไม่ตาย ก็รู้สึกเสียหน้าและมีอารมณ์โกรธ ขณะที่เดินไม่ทันระวังตัวจึงพลาดตกลงไปในหลุมพรางดักสัตว์เข้า ขาของพระราชได้ถูกมีดเสียบเข้าอย่างลึก ปากแผลฉีกกว้าง คนสนิทจึงรีบพาพระราชากลับวังเพื่อถวายการรักษา พระชาได้แต่คิดในใจว่า เราไม่เคยประสบเหตุร้ายกับตนเองเลย ต้องเป็นลางไม่ดีแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบบอกคนสนิทว่า จงพาเราไปกราบพระอรหันต์ ผู้ซึ่งชาวเมืองเคารพ เราจะไปถามว่านี่คือรางไม่ดีใช่หรือไม่ แล้วพระราชาจึงถามพระรูปนั้นว่า นี่เป็นรางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า?? พระอรหันต์ กลับตอบว่า "ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก"  และในที่สุด  พระราชาก็ถูกตัดขา เพราะแผลอักเสบ พระราชาจึงเสด็จไปถามพระอรหันต์ อีกว่า นี่เป็นรางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า?? พระอรหันต์ กลับตอบว่า "ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก"   พระราชาโกรธมาก เลยจับพระอรหันต์ ขังไว้ในคุก 
      วันหนึ่ง พระราชา แห่งเมือง กาษาพระนคร ได้ส่งพระราชสาน์สขอยึดเมืองโดยจะทำการรบในอีก 2 สัปดาห์ พระราชาแห่งเมืองมคธ ทรงกระวนกระวายใจมาก เพราะว่า พระองค์ได้กลายเป็นคนพิการไปเสียแล้ว จะออกทัพนำรบได้อย่างไร เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็เสียพระทัย ร้องไห้เพราะเครียดจัดกับเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และแล้วก็ถึงกำหนดทำการรบ พระราชาแห่งเมือง กาษาพระนคร เห็นพระราชาแห่งเมือง มคธ พิการ จึงพูดออกมาว่า โอ..หนอ นี่เราถ้าทำการรบกับพระชาองค์นี้ แสดงว่าเราคงไม่ใช่นักรบชายชาติทหาร เพราะจะได้ชื่อว่ารังแกคนพิการ จึงยกเลิกการรบ และไม่ยึดเมือง
     และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของพระอรหันต์ที่บอกว่า  "ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก"  เพราะถ้าพระองค์มีขาครบสมบูรณ์  พระองค์ต้องถูกรบและอาจแพ้ จนถูกยึดเมืองก็ได้ พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวพระอรหันต์ และขอโทษท่าน
     แต่พระราชากลับประหลาดใจ เมื่อพระอรหันต์ กลับไม่โกรธพระองค์เลย 
ในทางตรงข้ามท่านกลับเทศน์สอนว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย ที่พระองค์ขังอาตมาไว้ ทำไมงั้นหรือ เพราะว่าเรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า ดี หรือไม่ดี บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย ในขณะที่สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นดีได้ สิ่งดีๆ อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับเรา จงเรียนรู้จากมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของเราเท่านั้น
       อะไรต่างๆ ที่มันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นกับท่านไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจในตอนท้าย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ถ้าพระองค์และชาวเมือง มคธ เข้าใจได้อย่างนี้ทุกคนก็จะพบว่า การดำรงชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ความดีมีไว้ไม่ตาย แต่ถ้าตาย...ความดีจะยังคงอยู่ ตลอดไป
       ทีนี้มาดูพวกเราบ้างว่า จริงหรือไม่จริงเวลามาพบพระ ก็มักจะคิดว่าพระท่านเป็นทาส เอาทุกอย่างมาทับถมที่ท่าน คิดว่าพระเป็นโดเรมอนหรือที่จะบันดาลให้ทุกคนมีความสุขได้ ขจัดทุกข์ที่เราก่อขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นพระท่านไม่ทำตัวท่านก่อนซะเลยที่จะหมดทุกข์ นี่พระก็ทุกข์ใช่ไหม การที่เรามองและตัดสินด้วยอารมณ์และความรู้สึกก็จะเป็นแบบพระราชา แต่ถ้าลูกตัดสินจากเหตุและผล เชื่อในพระพุทธเจ้าเชื่อในกฎแห่งกรรมลูกก็จะตัดสินจากธรรมะ เหมือนพระอรหันต์รูปนั้นใช่ไหม
       เมื่อพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม คนที่เขาไม่รับหรือไม่เอาในนิพพาน ก็เหมือนกับหนอนที่อยู่ในอาจม
เหมือนนิทานเรื่องนี้ที่ท่านได้บรรยายให้ฟังว่า ตั้งแต่เป็นมนุษย์ได้เป็นเพื่อนกัน ทำบาปกรรมต่างๆกันไป เป็นเหตุให้ไปเกิดกันในคนละทิศละทาง คนหนึ่งไปเกิดเป็นเทวบุตร คนหนึ่งไปเกิดเป็นหนอนอยู่ในอาจมนั่นแหล่ะ เทวบุตรเมื่อพิจารณาด้วยญาณ ก็สงสารเพื่อที่ไปเกิดเป็นหนอนอยู่ในอาจม โดยเจ้าหนอนคิดว่าตนได้เป็นนายอยู่ในอาจม คือ นายของอาจม เทวบุตรสงสารเพื่อนที่หลงผิดจึงคิดจะไปโปรดสงเคราะห์
        เมื่อไปถึงปากหลุมบ่ออาจมนั้น ก็เรียกขานเพื่อนหนอน หนอนก็ถามว่าแกไปอยู่ไหนนานไม่เห็นหน้าเลย?   เพื่อนเทวบุตรก็ตอบว่า ฉันไปอยู่เมืองสวรรค์ หนอนก็ถามต่อว่า เมืองสวรรค์ เป็นอย่างไร เราไม่รู้จัก ?  เพื่อนเทวบุตรก็ตอบว่า โอ๊ย มันสนุกสนาน มันสะอาดสะอ้าน มันไม่อยู่อย่างนี้หรอก อยากได้อะไรก็นึกเอา ทำเอา จะกินจะอยู่จะหลับจะนอน มันก็สบายกว่าพวกเธอแยะ
        เจ้าหนอนก็ฟัง ฟังไปฟังไปก็คิดว่า อยากได้อะไรก็ต้องทำเอาเอง นึกเนรมิตเอง หนอนก็เลยร้องไห้เลย ไม่ใช่เวทนาตัวเองนะ แต่สงสารเพื่อนเทวบุตรที่อยู่ในเมืองสวรรค์นั้น พร้อมพูดว่า แหม ถ้ามันทุกข์ยากลำบากนักก็มาอยู่กับเราซิ ฉันเป็นหนอนนี่มันแสนสบายเลย ไม่ต้องเนรมิตเอาเอง นึกเอาเอง ถึงเวลาเขาก็มาโยนให้ ทุ่มให้ ทุ่มท่ำ ทุ่มท่ำ ทั้งกินทั้งอาบ ทั้งจม มันสนุกเหลือเกิน
      เห็นไหมลูกหลาน ไอ้ความเห็นของหนอนกับเทวบุตร เทวบุตรฟังดังนั้นก็หมดปัญญาที่จะเทศน์ให้เพื่อนฟัง ก็หนีกลับไปเลย นะเห็นไหม เขาไม่ยอมรับ ลูกก็ไม่ต้องไปเสวนาแล้ว มันเปลืองน้ำลาย ที่ๆเขาเลือก มันเป็นที่อยู่ของเขาที่เขาเลือกแล้ว เราจะไปบอกว่าอะไรมันดีกว่าที่เธอเลือกนั้น ไม่ฟังหรอก ก็เอาเฉพาะคนที่เอานะลูกนะ
เจริญพรลูกหลานทุกคน สวัสดี
เสาร์ที่ 23 /04/54




 

       นมัสการพระพุทธองค์ เจริญพรลูกที่รัก ลูกเข้าใจธรรมะของวันนี้ที่ท่านพระมหาวีระ ถาวโร ได้แสดงไว้หรือไม่?? (เข้าใจ ครับ/คะ) ดีแล้วๆๆ ลูกรัก ท่านต้องการสอนให้ลูกของแม่ทุกคนมีความพอใจและพอเพียงในสิ่งที่ตนมี และทำในหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด แล้วลูกจะรู้ว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นมีค่าเพียงใด จงอย่าเป็น ดัง นาย ฮวย ดังนิทานเรื่องนี้

     นายเฮง มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อนายฮวย นายฮวย เป็นคนที่ไม่ฉลาด นายเฮง เป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ชอบทำเป็นคนโง่ วันหนึ่งนายฮวย ตื่นแต่เช้ามืด ด้วยความท้อแท้ก็ไปหานายเฮง  และบอกว่า เพื่อนเอ๋ย บ้านผมที่อยู่มันแคบ กลิ่นก็อับ 
ไม่คล่องตัวเลย ผมไม่มีความสุข กลัดกลุ้มมาหลายปีแล้ว ช่วยผมหน่อยได้ไหม 
เงินที่จะขยายห้องก็ไม่มี นายเฮงบอกว่า เอาละ แกต้องเชื่อข้านะ เชื่อทุกอย่างนะ แล้วจะช่วยให้สบายขึ้น นายฮวย บอกว่าผมจะเชื่อทุกอย่างที่ท่านบอก นายเฮงได้ทีก็บอกว่า คืนนี้นะ เอาแพะเข้าไปล่ามในห้องนอนของแก นายฮวย งงแต่ก็เชื่อฟังนายเฮง  พอรุ่งเช้านายเฮง ตื่นมาตาแดงมาหา นายเฮง ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ เจ้าแพะวายร้ายมัน ร้องทั้งคืน ไหนว่าจะช่วยให้ผมมีความสุข นายเฮง บอกว่า เอาน่าเชื่อฉัน คืนนี้เอาลาเข้าไปอีกตัวหนึ่งไปล่ามด้วยกัน นายฮวยคนโง่ก็ทำตาม เอาลาเข้าไปล่าม  รุ่งเช้าก็โผเผมาบอกว่า  เจ้าแพะกับลามันทะเลาะกันทั้งคืน ร้องและเตะกันและถ่ายมูลออกมา ห้องผมก็เล็กอยู่แล้ว เหม็นคลุ้งไปหมด ไหนว่าจะช่วยผมให้สบายขึ้นไงล่ะ นายเฮงบอกว่าเอาน่า คืนนี้ได้เรื่องเอาม้าเข้าไปอีกตัวหนึ่ง 
พอรุ่งเช้านายฮวยไม่มีแรง  เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน นายเฮง ช่วยผมด้วย ช่วยให้ผมมีความสุขหน่อย นายเฮง บอกว่า เอาละได้ที่แล้ว คืนนี้เอาแพะออกจากห้องไป พอรุ่งเช้านายฮวย มาหา นายเฮงก็ถามว่าเป็นไงบ้าง นายฮวยจึงบอกว่าค่อยยังชั่วนิดหนึ่งแล้ว นายเฮงบอกว่า งั้นคืนนี้เอาลาออกไป รุ่งเช้า นายฮวยบอกว่า ผมรู้สึกว่าห้องผมกว้างขึ้น นายเฮงบอกว่า เอ้าคืนนี้แกเอาม้าออกไปจากห้อง 
รุ่งเช้านายเฮง เดินยิ้มเผล่บอกว่า แหม ผมรู้สึก เป็นสุขเหลือเกิน ห้องผมรู้สึกมันกว้างขวางดี คงมีหลายคนที่เป็นแบบนายฮวย นี่แหละ ไม่รู้จักพอใจตนเองเที่ยวคิดฟุ้งซ่านไป ครั้นสูญเสียไปทีละน้อย พอได้คืนมาจึงเห็นคุณค่า ของที่ตนมีอยู่ ถ้ารู้จักคิดดี คิดถูก เสียตั้งแต่ต้น ก็จะสุขใจ สบายใจ ไม่ต้องกระวนกระวายใจให้เป็นทุกข์
      ดังนั้นขอให้ลูกของแม่ทุกคนเก็บสิ่งที่มีค่า นั่นก็คือ การปฎิบัติธรรม เอาไว้ให้ดี เพียรอยู่เสมอ แล้วลูกก็จะชนะกิเลสมารร้ายได้แน่นอน หากลูกไม่รู้จักพอใจในตนเองและโลกนี้ เที่ยวคิดฟุ้งซ่านไป ครั้นสูญเสียความสงบแห่งรสพระธรรมไปไปทีละน้อยก่อน  พอได้คืนมาจึงเห็นคุณค่าในของที่ตนเคยมีอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะโชคดีได้กลับคืนมาทุกคน ถ้ารู้จักคิดดี คิดถูก เสียตั้งแต่ต้น ก็จะสุขใจ สบายใจ ไม่ต้องกระวนกระวายใจให้เป็นทุกข์
 
เจริญพรกุลบุตร กุลธิดา ทุกๆคน
พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมอวโลกิเตศวร
เสาร์ที่ 23 /04/54
ผู้แสดงความคิดเห็น อ.จิตทิพย์ นิพพาน วันที่ตอบ 2011-04-29 13:58:45 IP : 223.205.82.198
ผู้ตั้งกระทู้ อ.จิตทิพย์ นิพพาน :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-29 13:00:24 IP : 223.205.82.198



ผู้ตั้งกระทู้ นายคมกริช นามมงคุณ (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-29 14:58:39


Copyright © 2010 All Rights Reserved.