ReadyPlanet.com


รวบรวมประสบการณ์การฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านสวนพีระมิด


 ใครมีประสบการณ์อะไรในการฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านสวนพีระมิด เชิญบอกเล่าเป็นธรรมทานให้แกญาติธรรมทุกท่านได้ในกระทู้นี้เลยครับ

ไม่ว่าจะเป็นการสื่อโดยเบื้องบน การท่องไปในจักรวาล หรือการฝึกกสิณต่างๆ

เชิญเลยครับ...



ผู้ตั้งกระทู้ คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-05-01 22:17:37


<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 601 (1562912)

ณ บัดนี้

เบื้องบน และ ท้าวเวสสุวรรณ

มีบัญชาลงมา ให้บอกทุกคนว่า

กฎแห่งกรรม ยุติธรรมที่สุด

 

ใคร

มีปัญญาแค่ไหน

 

ชีวิต

ก็จะเป็นไป

ตามปัญญาของตน

แค่นั้น

 

พระพุทธองค์

ท่านทรงมีพุทธญาณ

เล็งแลเห็น

ผู้ที่

 

อ้างว่า

รัก เคารพ นับถือ

พระองค์

 

แต่

ไม่เคยทำตาม

แบบอย่างที่พระองค์ทำไว้

 

ที่บอกว่า

พระองค์ไม่ทุกข์

ไม่เครียด ไม่เศร้า ไม่กลัว

ไม่หนีปัญหา เผชิญทุกปัญหา

ด้วยปัญญา ด้วยจาจา

จัดการผู้ล่วงเกิน ผู้รุกราน

จนกว่าจะชนะ

เมื่อมีภัย มีศรัตรูรุกราน

 

แต่

พวกเราทุกข์

พวกเราเครียด พวกเราเศร้า

พวกเรากลัว พวกเราไม่กล้าเผชิญ

ปัญหา พวกเราไม่ใช้ปัญญา

ไม่ใช้วาจาจัดการ สั่งสอน

ผู้บุกรุก ผู้รุกราน

ไม่หยุด จนกว่าจะชนะ

 

แต่

พวกกเรา

หนีปัญหา โดยเฉพาะ

ถ้าไม่ใช่ปัญหาของเรา เราไม่สน

แต่

ถ้าทุกข์นั้น ปัญหานั้น

เป็นของเรา เราก็เดือดร้อน ดิ้นรน

หาคนช่วย แค่ป่วย แค่จน

ก็ดั้นด้นไปหาคนช่วยทั่ว

แค่กลัวตาย ทั้งที่ยังไม่ตาย

ก็ดิ้นรนหาที่ปลอดภัย

เราเป็นยังไงกันแน่

หรือว่า

ใครไม่ได้เป็นอย่างนี้บ้าง

ก็ว่ามา นะจ๊ะ

 

พวกเรา

ได้แต่ทุกข์ แต่ ไม่ลงมือทำ

พวกเรา ได้แต่ เม้าท์

กันเอง แต่ ไม่มีปัญญา

เม้าท์ เพื่อ สยบ มาร

 

เรื่องนินทา เรื่องด่า

เก่ง

 

แต่พอเจอ

ศรัตรู เดินหนี ซะงั้น

ไม่ได้ใช้ปาก ที่เคยทำบาปมา

สร้างกรรมดี ลบล้างกรรมชั่ว

ด้วยการใช้ปาก สั่งสอน

อบรม คนที่หลงผิด

ให้กลับตัวกลับใจ

 

กลับท้อแท้

คิดว่าพอเขาไม่เชื่อ

ก็เลยหยุดพูดกับคนอื่นไปด้วย

 

คนนั้นไม่เชื่อ

หยุดพูดต่อน่ะ ถูกแล้ว

 

แต่ต้องไม่หยุด

ที่จะพูดกับคนอื่นอีกต่อไป

 

คิดว่า

โลกนี้ มีคนแค่ 2-3 คน

หรือไง ที่คุณต้องช่วย

 

 

ท่านพ่อ เวสสุวรรณ

ให้ถามว่า

 

ทุกครั้งที่คุณคิดอะไร

ทำอะไร

 

ขอให้ลองคิดว่า

ถ้า อ.อุบล คิดแบบคุณ

และ

ทำแบบคุณบ้าง

จะดีไหม

 

โดยเฉพาะ

คิดกับคุณ และ ทำต่อคุณ

ลองตอบซิ คนดี

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 10:45:38


ความคิดเห็นที่ 602 (1562917)

อุเบกขา คือ ปัญญาอันสุดยอด

 

อ.อุบล ขา

แมวเข้าใจแล้วค่ะ

และแมวก็ได้  อุเบกขา

แล้วจริง ๆ

นั้นเป็นเพราะ

อ.อุบล คือแม่พิมพ์

ที่ชัดเจนที่สุด

และถึงเวลานี้...

ลูก ๆ บ้านสวนพิรามิด

คงจะเลิกเป็นจ่าเฉย กันแล้ว

ปัจจุบันนี้

พวกเราได้แปลความหมาย

ของอุเบกขาผิดไปมาก

จึงทำให้คำสอนของ

พระพุทธองค์เปลี่ยนไป

เพื่อความชัดเจน ยิ่งขึ้น

แมวขอเปรียบเทียบให้เห็น

โค้ชฟุตบอล

การที่โค้ชนั่งข้างสนาม

ด้วยความ นิ่งเฉย

ไม่เหมือนผู้ดูคนอื่น

โค้ชได้ใช้ สติ ความคิด

การพิจารณา

ถึงเกมในสนาม

ในเชิงได้เปรียบ เสียเปรียบ

เพื่อแก้ปัญหา นั่นเอง

และ

สรุปว่า

พวกเราได้แปล อุเบกขา

ผิดไป

จึงทำให้ขาดปัญญา

ที่เฝ้าดูความเป็นไป

  จะไม่  ขอแก้ตัว ใด ๆ 

แต่

  จะขอ  แก้ไข  ปฏิบัติ 

จากจิต...ที่เข้าใจ

อุเบกขา

 

มาถึงตอนนี้

เราก็ศิษย์มีครู

และ

ครูผู้นี้ ..สอนชัดเจน

ความหมายของคำว่า

อุเบกขา

ไม่ได้หมายถึง

การเฉย หรือ เฉยเมย

อย่างแน่นอน

แต่เป็นการใช้ปัญญาที่ละเอียด

กว่า

ปัญญาปกติ

เฝ้าพิจารณาอยู่กับ

ภาวะจิต..ที่นิ่ง

และตอนนี้

แมวทราบแล้วค่ะ

อ.อุบล ขา

ว่า

แมวจะยกระดับจิต

ของแมวได้

ด้วยเครื่องมือที่

อ.อุบล ให้ในครั้งนี้ค่ะ

ในที่สุด แมวก็มีวันนี้จนได้

กราบเท้า ขอบพระคุณค่ะ

(จะไม่ให้รัก ได้งัยเนี้ย )

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 11:23:47


ความคิดเห็นที่ 603 (1562926)

อุเบกขา ใช่อย่างที่

อ.อุบล ว่ามาหรือไม่

หรือว่า

ที่ถูกแล้ว มันต้องยังไง

 

งานนี้

ใครไม่มาแสดงความเห็นนะ

ไม่ต้องไปบ้านสวนพีระมิดอีกต่อไปนะ

-*-*-*-*-*-*-*-

ใครที่ยังไม่ได้อ่าน

ความเห็นที่ 594

กลับไปอ่านกันด้วยจร๊า

เพราะ

อ.อุบล ให้การบ้าน

ที่หาไม่ได้อีกแล้ว

ไม่มีใครอีกแล้ว

ที่ให้พวกเราแบบนี้

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 12:36:23


ความคิดเห็นที่ 604 (1562929)

คุณแหวน

คุณแมว เจาะประเด็น

ได้ตรงนะ

 

คนส่วนใหญ่

คิดว่า

 

อุเบกขา

คือ

เฉย ไม่ช่วยใคร

ไม่ว่า พ่อแม่ พี่น้อง ครู

อาจารย์ ผู้มีพระคุณ

จะเดือดร้อน

 

แต่

เวลาเราเดือดร้อน

เราต้องการให้ท่านช่วย

เรา

ไม่ต้องการให้

ท่าน

อุเบกขา

กับ

เฉพาะปัญหาของเรา

 

ใครขาหักมา

อ.อุบล

ก็จะอุเบกขา

ปล่อยให้มันหักมันงอไป

เพราะ

ธรรมดา ทำกรรมมาเอง

อ.อุบล

ก็ไม่ได้ไปทำด้วย

สักหน่อย

ทำไมต้องช่วย

เพราะการช่วยนั้น

เหนื่อย

เสียเวลาทำมาหากิน

เสียความเป็นส่วนตัว

เวลาเรามีค่า

 

เงินทองที่เอามา

เลี้ยงดู มาซื้อที่ ซื้อสิ่ง

ก่อสร้าง เก็บไว้ใช้

เก็บไว้ให้ลูก

เก็บไว้

สะสมไว้ ให้ร่ำรวย

หวงแหนมันไว้ ดีกว่า

เอามาละลาย

จ่ายแจก คนอื่นทำไม

 

อย่างนี้ป่าวนะ

อุเบกขา

 

ใคร ใคร

ที่พาพ่อแม่

ญาติพี่น้องมาหา

อ.อุบล ไปยุ่งเกี่ยวอะไร

ในเมื่อ

ไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา

ใครอยากปวดขา

ก็ปวดไป ทำกรรมมาเอง

 

ใครอยากมีหนี้สิน

ก็มีไป ก่อหนี้กันเอง

อ.อุบล ไม่ได้ไปก่อหนี้ให้

ซะหน่อย แล้วทำไม

ต้องช่วย

 

ทำไมไม่อุเบกขา

ทำไมไม่นั่ง นอน ดู

ความเป็ตอนิจจา ของผู้คน

 

สงสัย

อ.อุบล สอบตก

วิชาพระพุทธศาสนา

ที่ว่าด้วย อุเบกขา รึเปล่า

 

ใครก็ได้ตอบที

 

อ.อุบล

คนนี้ จะได้ คิดใหม่

ทำใหม่

 

ทำเหมือนกับ

หลาย หลาย คน

ที่มาหา

อ.อุบล

ที่บ้านสวนพีระมิด

นั่นแหละ

 

อ.อุบล

คงสบาย หายเหนื่อย

 

ขอบคุณ

คุณตั้ม กับ คุณแมว

ที่ขอแลกชีวิต

กับชีวิต

อ.อุบล

 

แต่เสด็จพ่อ

ท้าวเวสสุวรรณ

บอก

 

อันที่จริง

ก็อยากเอาไปอยู่หรอก

แต่ว่า

มันหน้าแก่ ปากเสีย

ไปหน่อย

 

ขาดคุณสมบัติ

 

ส่วน

นังแมวเนี่ย

มันผอมไปหน่อย

 

ขาดคุณสมบัติ

อีกเหมือนกัน

 

ดังนั้น

ไอ้ 2 คนนี้

ให้มันได้ดี ถึงที่สุด

ของความเป็นมนุษย์

จะพึงมี พึงเป็นก่อน

 

ถ้ามันไม่

 

ดีแตก ไปซะก่อน

 

มันต้อง รับบทหนัก

 

หลังภัยพิบัติ

 

ส่วนคนอื่น

 

ข้าขอบอกไว้

 

ว่า

จะมีคนที่รอด

แต่เป็นใบ้

ปาก คอ ฉีก พิการ

 

และมี ที่รอด

แต่ นิ้วขาด มือกุด

แขน ขา ขาด

 

ท่านฝากถาม

ว่า

 

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

 

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

 

ที่ว่ามานี้นะ

ไม่ใช่แต่ลูกบ้านสวนนะ

 

ทั่วโลก

จงคอยดู

คนนอกบ้านสวน

 

ก็อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม

เดียวกัน

 

แต่ถ้าทำดี

ผีก็คุ้ม

 

ทำชั่ว

ผีก็ พา ชั่ว สุด สุด

เทวดาไม่รักษา

 

หายนะภัยใหญ่

ใกล้เวลาแล้วนะ ลูกหลาน

อย่ามัวแต่ เห็นแก่ตัว

 

จงนึกถึงส่วนรวม

ให้มากกว่านี้

 

จงรักษาประเทศชาติ

ให้มากกว่านี้

 

จงรักษาศาสนา

ให้มากกว่านี้

 

รักษา สถาบันกษัตริย์

ให้มากกว่านี้

 

รักษา

ผู้มีพระคุณ

ให้มากกว่านี้

 

มิฉะนั้น

 

เราจะสิ้นชาติ

 

เราจะสิ้นศาสนา

 

เราจะไม่มี

ใบบุญ

ของพระมหากษัตริย์

ให้เป็นที่พึ่งพาอาศัย

คุ้มหัว คุ้มภัย

อีกต่อไป

 

เราจะไม่มี

ผู้หลักผู้ใหญ่

ที่ผู้คน(ชั่ว)เกรงใจ

 

เราเอง

ย่อมอยู่ลำบาก

ย่อมถูกละเมิด ถูกรุกราน

แผ่นดิน ย่อมลุกเป็นไฟ

ปฐพีย่อมมอดไหม้

ด้วยภัย และ ไฟ

บรรลัยกัลป์

 

แล้ว

พวกเรา

ที่มัวแต่ห่วงตัวเอง

หาแต่ประโยชน์ใส่ตัวเอง

จะอยู่กันยังไงหนอ

เมื่อวันนั้นมาถึง

(ปีหน้า 55 นี้แล้วนะ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 12:46:17


ความคิดเห็นที่ 605 (1562957)

อุเบกขา เมื่อก่อนก็คิดว่าคือการวางเฉย ปล่อยวาง ไม่ไปยุ่งกับเขา

ใครทำผิด ถ้าบอกแล้วไม่เชื่อก็ให้ได้รับผลกรรมของเขาเอง ไม่ได้คิด

จะช่วยเขา ซึ่งพอมาฟังที่อาจารย์ได้นำคำสอนของพระพุทธองค์มาสอน

ในวันเสาร์และอ่านในกระทู้ของอาจารย์ หนูก็รู้เลยว่าหนูเป็นคนที่เห็นแก่ตัว

มาก คิดแต่จะให้คนอื่นช่วยเรา แต่เราไม่ช่วยคนอื่น แค่เจอปัญหาที่เขาไม่เชื่อเรา

ก็คิดว่าการวางเฉยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ได้ใช้ปัญญาที่จะหาวิธีที่จะช่วยให้เขาเลิก

ทำความผิดได้ และที่สำคัญก็คือ แปลความหมายของคำว่าอุเบกขาผิดมาตลอด

เพิ่งจะรู้จากอาจารย์ว่าอุเบกขาไม่ใช่การวางเฉยอย่างเดียว แต่ต้องใช้ปัญญาพิจารณา

แก้ไขปัญหาให้ได้ ตอนนี้หนูเข้าใจแล้ว หนูจะทำให้ดีที่สุดค่ะ ก็จะขอเริ่มจากคนรอบข้างก่อน

และจะขอปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์  อย่างที่คนมีปัญญา

น้อย ๆ อย่างหนูจะทำได้

ผู้แสดงความคิดเห็น วีรดา อยู่นวล (mamlak-w-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 15:17:41


ความคิดเห็นที่ 606 (1562959)

เพิ่งมาเข้าใจคำว่า อุเบกขา จริงๆ ก็ตอนที่ได้มาบ้านสวนนี่ล่ะครับ เพราะแต่ก่อนหน้านี้ก็เข้าใจผิด มาโดยตลอด ขอรับผิดทุกประการ จะเลิกเป็นคนแก่ตัว สักที ถ้ามีอะไรที่พอจะทำได้บ้างอาจจะไม่ เต็มร้อย ตามกำลังสติปัญญา

ตอนนี้คิดว่า อุเบกขา คือ "ใจ"ที่ปล่อยวาง แต่ ไม่ใช่ว่า ไม่คิด ที่จะทำอะไรเลย ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับ ก้อนหิน ไร้ชีวิต ไร้จิตใจ ไร้ปัญญา แต่เราแต่การจะตอบโต้ ให้อยู่บนพื้นฐานของศ๊ล ความดี ความถูกต้อง ประกอบด้วยปัญญา ไม่เจิอด้วย ความโกรธ และมี พรหมวิหาร 4 ประกอบกัน (ไม่รู้จะผิดหรือเปล่านะครับ เพราะ ดีกรี ความโง่ของผม อยุ่ลำดับท้ายๆเลยล่ะ)

ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์อุบลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆพระองค์นะครับ ที่ได้ให้ปัญญา ให้สิ่งดีดี เรื่อยมา

ส่วนการบ้านข้อที่ 2

เพราะ ศีลยังไม่บริสุทธิ์ เพราะการที่เรามีปัญหา ชีวิต ทั้งหลาย เพราะเราผิดศีลมาทั้งนั้น ศีลแปลว่า ปรกติ ถ้าร่างกายเรา ไม่ปรกติ แสดงว่าเราผิดศีล (ถูกผิดยังไง ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ) - -"

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 15:22:24


ความคิดเห็นที่ 607 (1562966)

 ท่านฝากถาม

 

ว่า

 

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

 

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

...............................

ขออนุญาตตอบนะครับ

นิ้วขาด  มือกุด  แขนขาขาด  เป็นใบ้

เพราะได้นำแขน  ขา  มือ  ของตน  ไปทำลายผู้อื่น

ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

 

 

อย่างเช่นการด่าทอทางอินเตอร์เน็ต

การนินนทา  ใส่ร้าย  ป้ายสี

 

ไม่สามัคคีกัน

ทะเลาะกัน

 

 

 

โดยเฉพาะไปทำกับผู้ที่มีบุฐบารมีสูง

 

กราบขอบพระคุณเสด็จพ่อมากๆครับ

 

ที่เมตตาลูกหลานทุกคนมาตลอด

กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลมากครับที่เมตตาลูกๆทุกคน

โมทนาสาธุด้วยนะครับ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 16:16:19


ความคิดเห็นที่ 608 (1562969)

ขอบคุณ

คุณตั้ม

ที่ขอแลกชีวิต

กับชีวิต

อ.อุบล

++555++

อาคุงพี่ตั้ม

ออกจะหล่อเลือกได้

ผู้ที่มีชีวิตแบบ

ไม่เคยมีช่วง

วัยรุ่น..กับเค้าเลย

อู้ฮู..ฮูลา ฮูล่า

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 16:37:50


ความคิดเห็นที่ 609 (1562977)

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

 

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

""""""""""""""""""""""""""""""""

กราบอนุโมทนาในความเมตตาของท่านท้าวเวสสุวรรณและท่านอ.อุบลอีกครั้งค่ะ สาธุ ขอใช้สมองกลวงๆตอบคำถามด้วยคนค่ะ คำตอบส่วนหนึ่งก็คิดคล้ายๆกับน้องเบลล์นะคะ แต่เมื่อได้มาอ่านธรรมะอันละเอียดอ่อนของคำว่า "อุเบกขา" แล้ว..

พอจะคิดได้อีกว่า...

การนิ่งเฉย โดยไม่ทำอะไรเพื่อตัวเอง เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เลย ก็อาจจะส่งผลกรรมทำให้ปากฉีก เป็นใบ้ มือขาด นิ้วขาด มือด้วนด้วยก็ได้ เพราะทั้งๆที่มีปากไว้ให้พูดในสิ่งดีๆ ถ่ายทอดธรรมะจากพระพุทธองค์ทีอาจารย์อุบลเมตตานำมาป้อนให้เป็นคำๆ แล้ว

แต่ก็เลือกที่จะ"นิ่งเฉย" ส่วนมือทีใช้การได้ เขียนได้ ก็"ไม่เขียน" มีมือแต่ก็ไม่ใช้ประโยชน์ในทางที่ถูกต้อง เดี๋ยวพระองค์คงจะเมตตาให้มันหายไปซะเลย...

กราบขอบพระคุณท่านท้าวเวสสุวรรณ

กราบขอบพระคุณอ.อุบล เป็นที่สุด

อ่านทุกๆประโยคของอาจารย์แล้ว "โดน"ทุกคำ

ขุดรากเหง้าของ"ความโง่" ให้หลุดพ้น

จากพื้นจิตขึ้นมาได้ ต่อไปจะ

"คิดใหม่ และทำให้ได้"

ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม...

สาธุ สาธุ ค่ะ..

 

ขอบคุณในคำเปรียบเปรยจากคุณแมวด้วยนะ เปรียบเทียบชัดเจนดีนะ เมื่อก่อนชนิดาคงคิดว่า"ตัวเองเป็นโค๊ช" มั้ง ทั้งๆที่ระดับสติปัญญาและการกระทำที่ผ่านมานั้น เป็นแค่เพียง"เด็กส่งน้ำ"เท่านั้น เพราะนักเตะ เค้าจะเตะได้ดี หรือไม่ดีนั้น ชนิดาไม่ได้มีส่วนช่วยเลย ก็เป็นได้แค่กำลังใจอยู่ห่างๆ ไม่ได้วางแผนหรือปรับปรุง เปลี่ยนแปลง"นักเตะ"คนใดเลย...

 

ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นของพี่น้องทุกๆคนค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 18:08:40


ความคิดเห็นที่ 610 (1562978)

กราบท่านท้าวเวสสุวรรณ และอาจารย์อุบลคะ

ขออนุญาติตอบคำถามท่านท้าวเวสสุวรรณ เรื่องว่า

ทำไมทำบุญ ทำดี ขนาดนี้ แล้วยังต้องเป็นใบ้ มือกุด อยู่อีก

 

ขอตอบว่า ที่เราทำดี ทำบุญกันนั้น

เราย่อมได้รับความดีตอบแทนแน่นอน

แต่ผลดี และปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา  ณ บ้านสวนพีระมิดนั้น

เกิดได้ด้วยพระบารมีของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

รวมถึงอาจารย์อุบลด้วย

ดังนั้นเท่ากับว่าเราก็ได้เป็นหนี้บุญคุณของท่านอย่างท่วมท้น

ถ้าเราไม่แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อท่าน ไม่ปกป้อง ดูแล รักษาท่าน

ทำตัวเพิกเฉย มีปาก พูดปกป้องได้ ชี้แจงสิ่งที่ถูกได้ ก็ไม่ทำ

มีมือไว้พิมพ์ข้อความ เขียนได้ แจกเอกสาร เผยแพร่ได้ ก็ไม่ทำ

เราก็ถือเป็นคนอกตัญญู ซึ่งถือเป็น บาปกรรมสูง

ดังนั้นก็ต้องได้รับผลกรรมด้วย

ในเมื่อท่านให้โอกาสมีมือ มีปาก ไว้สร้างความดี แต่ไม่สร้าง

ก็ไม่ต้องมีมันซะดีกว่า

 

ผิดถูกประการใดบ้าง ก็ขออภัยนะคะ

แต่ถ้าตอบถูกบ้าง หนูขอไม่รับรางวัลนิ้วกุดนิ้วเดียวนะคะ

กราบขอบพระคุณมาก ๆ คะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 18:12:40


ความคิดเห็นที่ 611 (1562990)

ขออนุญาติตอบเรื่อง อุเบกขา

ตามความเข้าใจของคนโง่อย่างผม

แถมภูมิธรรมก้อต่ำเตี้ย

อุเบกขา ในความเข้าใจของผม

คือการปล่อยวางจาก กิเลสทั้งปวง

วางเฉย นิ่งเฉยต่อ โลภะ โทสะ โมหะ

และทำจิตให้เบิกบาน วางเฉยกับ

ความโลภ ความโกรธ ความหลง

(ตัวผมเองพยายามทำอยู่ แต่ยังติดอยู่ที่ตัวโมหะ ยอมรับครับ ยังหลงกับ รูป รส กลิ่น เสียง ตัดยากจริงๆ )

ส่วนการนำอุเบกขามาใช้ในชีวิตประจำวันนั้น

มันต้องประกอบพร้อมด้วย พรมวิหารสี่

ต้องมี เมตตา กรุณา มุทิตา ร่วมกันกับอุเบกขา

อุเบกขา ที่ท่านอาจารย์สอนนั้นผมเข้าใจดี

ผมขอทำตัวอุเบกขา เป็นเพียงก้อนหิน

ก้อนหนึ่ง 

ก้อนหินก้อนนี้

อเป็นกำแพงขวางทาง

ให้ครูบาอาจารย์ปลอดภัย

อุเบกขาของผมก้อสมบูรณ์แบบแล้ว

ใครจะคิดยังไงผมไม่สน

........

สำหรับฉายา ไอ้แก่ ปากเสีย

ที่เสด็จพ่อท้าวเวชสุวรรณฯมอบให้

ขอน้อมรับด้วยความยินดีและภูมิใจครับ

ที่ท่านทรงเมตตาผม

ลูกขอกราบยังเบื้องบาทท่านฯ

กราบ กราบ กราบ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 19:53:11


ความคิดเห็นที่ 612 (1562993)

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

 

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

............

จริงแล้วไม่ต้องตอบก้อคงรู้กัน

อยู่แล้ว

ท่านให้มือนิ้วมาทำความดี

ให้ปากมาพูดสิ่งดีๆ

ให้แขนมาเพื่อได้ใช้แรงทำประโยชน์

เราทำอะไรกันบ้าง

เพื่อชาติ ศาสนา และพระเจ้าหัวฯ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 20:06:09


ความคิดเห็นที่ 613 (1562997)

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

 

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

อย่างที่ท่านอาจารย์เขียนไว้ทุกอย่างเคลียร์หมดแล้วครับ และท่านอื่นๆก็เช่นกันครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกธรรมทาน สาธุ

ปากนี่ เวลาด่าคนอื่น ว่าคนอื่น ไม่เคยยั้ง ไม่เคยรอ แต่ทีเวลาจะทำความดีนี่กลับสวมวิญญาณจ่าเฉย โดยอ้างว่าปล่อยวาง อุเบกขาไม่ใช้ปากในทางที่ถูกต้อง พูดธรรมะ ชี้ทางสว่าง หรือสร้างประโยชน์ อย่างนี้ไม่ให้เป็นใบ้ ปากไม่ให้ฉีก ก็คงยากครับ

มือ นิ้ว แขนขา ก็เช่นกัน มีไว้สร้างประโยชน์ต่อส่วนตน และส่วนรวม โดยเฉพาะส่วนรวมควรทำให้มาก แต่มีก็เหมือนไม่มี สวมวิญญาณ ฉ่าเฉื่อย+ฉ่าเฉย ประมาณว่าไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่ธุระ รอคนอื่นทำ ก็คงต้องโดนหัก โดนกุด โดนด้วน

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ เตือนสติตัวเองด้วยครับ ให้เลิกโง่ มุ่งใช้ขันธ์5 ที่มีอยู่นี่สร้างประโยชน์ส่วนรวมให้มากที่สุด คำว่า อุเบกขา ท่านอาจารย์อธิบายชัดเจนที่สุดแล้ว ขอเปลี่ยนตัวเองใหม่ครับ ยุคต่อไป คงยากครับที่จะรอดหากไม่พากันเปลี่ยนตัวเอง เพราะว่าตัวเราคงเป็นตัวถ่วงความเจริญของบ้านเมือง ของโลกเขา

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 20:27:39


ความคิดเห็นที่ 614 (1563062)

อุเบกขา คือความวางใจเป็นกลาง

เป็นปกติ

ไม่ยินดี ยินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณา

เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

เป็นไปตามสมควรแก่เหตุและปัจจัย

ตามกฎแห่งกรรม

ที่ผ่านๆมา ตัวเล็ก และหลายคน

เข้าใจผิดว่า อุเบกขาคือ เฉย ๆ

ไม่สนใจว่าใครจะทำอะไร ช่างมัน ฉันไม่เกี่ยว

ซึ่งจริงๆแล้ว

อุเบกขา ต้องอาศัย สติ ปัญญา และขันติ

เพื่อที่จะตอบโต้ และแก้ปัญหานั้นๆ

เหมือนที่ท่านอาจารย์ได้อธิบาย

ไว้เมื่อ วันที่ 6/8/54

ที่ผ่านมา

**********************************

 

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

*******************************

การเป็นใบ้...ก็เกิดเนื่องจาก ท่านได้ประทานปาก

มาเพื่อบอกบุญ พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์

พูดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่พูดคำหยาบ

ไม่ใส่ร้ายผู้อื่น ไม่โกหกหลอกลวงฯลฯ

***************************

นิ้วขาด...ก็เกิดเนื่องจาก ท่านได้ประทานนิ้ว

มาชี้นำในสิ่งที่ถูกต้อง มาเขียนในเรื่องที่ดี

ไม่ใส่ร้ายผู้อื่น เช่นในโลกปัจจุบันที่ใช้นิ้ว

เขียนแต่เรื่องโกหก คนอื่นผิดหมด ไม่ดีหมด

เขียนแต่เรื่องที่ไม่เกินเอว แต้มแต่งภาพของ

ผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย ไม่น่าดู

****************************

มือกุด...ก็เกิดเนื่องจาก ท่านได้ประทานมือ

มาให้หยิบจับสิ่งที่ดี สิ่งที่น่าบูชาทะนุทะนอม

ก่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์

แต่คนเลวๆไม่ได้ใช้ในสิ่งท่านพึงให้ทำ

*************************

แขนขาขาด...ก็เกิดเนื่องจาก ท่านได้ประทาน

แขนมาประคับประคอง ขามาเสริมให้ทุกส่วน

ในร่างกายให้ดำเนินไปในสถานที่

ที่พวกเราจากมานั่นก็คือ 

 แดนทิพย์นิพพาน

นั่นเอง

แต่พวกเราไม่เคยอยากจะกลับ

ไปที่นั่น

อาจจะเป็นเพราะว่า...

พวกเราหลง

พวกเราเพลิดเพลิน

กับ

สิ่งที่ของสมมุตินั่นเอง

ญาติธรรมทั้งหลายจงหยุด

และ

ทำความดี

เพื่อที่จะ

กลับไปที่ที่พวกเราจากมา

นั่นคือ

แดนทิพย์นิพพาน

สถานที่

 ที่มีสิ่งที่พวกเราจะไปพบ

นั่นคือ

พระผู้เป็นเจ้า

ไม่เวียนเกิด ไม่เวียนตาย

ไม่ลงนรก ไม่ต้องทำงาน

นั่นเอง

 



 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 22:33:45


ความคิดเห็นที่ 615 (1563068)

 

      กราบขอบพระคุณเสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณ  และอาจารย์อุบล

ที่ได้กรุณานำธรรมะมาชี้แนะ  ให้ได้รับความกระจ่าง  และเข้าใจกันอย่างถูกต้อง

ด้วยตัวหนูเองยังปัญญาอ่อน  และโง่อยู่  ขอตอบคำถามเรื่องอุเบกขาก่อนนะคะ

เท่าที่ตัวเองเข้าใจ

อุเบกขา  คือ  การทำใจปล่อยวาง  ไม่โกรธ  ไม่แค้น  ไม่อาฆาตพยาบาท

และเราต้องหาวิธี  ที่จะทำให้เขาผู้นั้น ได้มีความเห็นที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

ดังนั้นเราต้องมีควมเมตตา  กรุณา  เราถึงจะมีใจที่อยากจะแนะนำสิ่งที่ถูกต้องกับผู้อื่น

หรือหาวิธีช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มกำลังความสามารถของเรา  บนความถูกต้อง

                      

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

 

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

                                                                                                  *********

         ส่วนข้อนี้ทั้งอาจารย์  และ คุณธนา  ได้เขียนไว้ชัดเจนแล้วค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล (ฉวีวรรณ นภาพรรณราย) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 22:56:33


ความคิดเห็นที่ 616 (1563072)
image

นมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์

องค์หลวงพ่อปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิดทุกพระองค์ องค์ดตาจินิน

ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่

และท่านอาจารย์มงคล-ท่านอาจารย์อุบล

ที่เคารพอย่างสูงครับ

 **************************************************************** 

ผมขออนุโมทนาบุญในธรรมทานของทุกท่าน

และขออนุญาตตอบท่านอาจารย์ใน 2 เรื่อง ดังนี้ครับ

อุเบกขา

ตามความคิดของผม

คือ การวางเฉย และไม่สนใจต่อสิ่งอันเป็นธรรมดาโลกของโลก

แต่ก็แค่ท่องจำได้ ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

ต่อมาจนบัดนี้ จึงหายโง่ ไปได้บ้าง

อุเบกขา ที่แท้จริงแล้ว ก็มาจากพื้นฐานของพรหมวิหารสี่นั่นเอง

หากเราเรียงตามลำดับ เมตตา กรุณา มุทิตา แล้วจึงอุเบกขา

หากเราไม่สามารถรัก ไม่สามารถสงสาร

และไม่สามารถยินดีเมื่อเขาได้ดีแล้ว

จึงวางใจให้เป็นอุเบกขาครับ

มีพื้นฐานคล้าย ทาน ศีล ภาวนา

ที่ต้องเริ่มต้นจากทานบารมีก่อนเป็นอันดับแรก

  **********************************************

 ส่วน ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาดนั้น

สำหรับตัวผมเอง

ก็เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว แก่ครอบครัว ผู้เป็นที่รักของผม

มาทำบุญที่บ้านสวนโดยมีจุดประสงค์เพียงเท่านั้น

จนภายหลังมาทราบจากคุณธนาว่า

มาทำบุญที่บ้านสวนให้คิดเสมอว่า ทำถวายในหลวง

ทำบุญเพื่อส่วนรวม ค่อยหายโง่ไปได้หน่อย

การทำงานเพื่อส่วนรวมนั้น

ต้องอาศัย พรหมวิหารสี่ เป็นกุญแจสำคัญ

ที่จะไขประตูไปสู่ความสำเร็จ

ถึงผมจะไม่สามารถรัก สงสาร คนอื่น

ได้เท่ากับที่รักและสงสารตัวเอง

แต่ก็จะพยายามทำให้ได้มากที่สุด

ตามสติปัญญา กำลังความสามารถอันน้อยนิดของผมครับ

******************************

ผมขออาราธนาบารมีแห่งสมเด็จพ่อองค์ปฐม

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมจักร พระอริยสงฆ์

โปรดมาสถิต ใน กาย วาจา และใจ

ช่วยบังคับจิตใจของผมต่อจากนี้ไป

ให้ตั้งมั่นในการทำความดีทั้งกาย วาจา และใจ

จะมองเห็นแต่ความดีของผู้อื่น

จะใช้มือ แขน ขา

เดินไปหาความดี กระทำความดี เพื่อส่วนรวม

จะใช้ ตาและหู มองและรับฟังแต่สิ่งที่ดี

หากผู้ใดกระทำ และพูดในสิ่งที่ไม่ดีให้เห็นและได้ยินแล้ว

ก็จะคิดว่า เป็นธรรมดาของโลก โดยไม่ไปคล้อยตาม

จะคิดเสมอว่า เรารับอาสามาช่วยท่านอาจารย์แล้ว

ก็ต้องทำตามสัญญาให้ดีที่สุด

จะพยายามใช้สติปัญญาที่มีน้อยนิดนี้ตัดสินใจ

โดยพยายามไม่ใช้อารมณ์ของตนเองมาตัดสิน

ก่อนที่จะพูดและทำสิ่งใดก็ตาม

โดยเฉพาะงานเพื่อส่วนรวมครับ

 (จะพยายามทำให้ได้นะครับ)

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 23:42:31


ความคิดเห็นที่ 617 (1563077)

 ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ เขียนอะไรที่ออกมาจากสมองกลวงๆ ของผมบ้างนะครับ ลำพังตัวเองชอบฟังแต่เสียงซอที่ท่านอาจารย์อุบล สีให้ฟังอยู่บ่อยๆ ฟังทีไรเกิดแรงฮึดให้รีบไปไถนาทุกที เผื่อคนอื่นจะได้มีข้าวกินอิ่มท้องกันถ้วนหน้าบ้าง...พอๆ เข้าเรื่องดีกว่า เดี๋ยวจะออกทะเลไปซะก่อน

ก่อนอื่น ต้องขอโมทนาในธรรมทานกับทุกๆ ท่านนะครับ เขียนได้น่าอ่าน น่าติดตาม และจรรโลงจิตใจให้ดีงาม เกิดความคิดที่เป็นกุศลได้ทันที

อุเบกขา...ในสมองกลวงๆ ของผม เคยคิดไปเองเหมือนใครๆ หลายๆ ท่านที่เขียนไว้นั้นแหละ มันช่างเหมือนกันซะเหลือเกิน ก็คือ เพิกเฉย ตัวใครตัวมัน กรรมใครกรรมมัน ข้าไม่เกีี่ยว ทำไรไว้ก็รับกันไปเองซิ ใครจะเป็น จะตาย ก็เรื่องของเค้า เราไม่เกี่ยว ซึ่งจะพาเข้าข่าย ทองไม่รู้ร้อน อันนี้มันเป็นมานานซะเหลือเกิน จนเกาะเกี่ยวอยู่ในจิตดวงนี้ จนยากที่จะลอกออกให้หมดได้

แต่ด้วยพระเมตตาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำให้เราเข้าใจในรสพระธรรม แม้จะน้อยนิดก็ตามที...อุเบกขา ในส่วนที่ผมคิดและเข้าใจเอาเองในแบบหัวขี้เลื่อยของผม และนำไปใช้ในการปฎิบัติกรรมฐาน นั่นคือ การวางเฉย แต่ไม่เฉย...เอ๊ะ ยังไง...ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ล้วนเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ 3 นั่นคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา...

เราเห็นคนอื่นเดือดร้อน เราก็ช่วยไปตามกำลังที่เราพอจะช่วยได้ แต่ไม่เอาจิตไปเดือดร้อนแทนเขา หรือเอาทุกข์ของเขามาแบก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราไม่มีกำลังพอที่จะแบก เพียงแค่นึกสงสารเท่านั้นเอง อย่างนี้เข้าข่ายวางไม่ลง แต่ถ้าเราพิจารณาซักนิดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาทุกข์มากแค่ไหน และจะจบได้อย่างไร(ดับไป) เราช่วยได้แค่นี้นะ หรืออาจจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ก็วางเรื่องนั้นไป โดยไม่คิดต่อ

เราเห็นร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย อาจจะคิดว่าไม่ต้องดูแลมันก็ได้ เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง...อันนี้คงจะเสียดายเวลาแทนที่จะดูแลร่างกายไม่ให้เกิดทุขเวทนา แล้วยังใช้ร่างกายนี้ได้สร้างบุญกุศลได้อีกนาน แต่เมื่อมาพิจารณา ว่าร่างกายมันไม่ใช่ของเรา เราควบคุมไม่ให้มีโรคภัยไข้เจ็บได้ แต่สุดท้ายก็รักษามันให้หายได้ นั่นคือโรคนั้นๆ ดับไป...แต่เราสามารถวางมันได้ โดยเข้าใจว่ามันเกิดจากอะไร อยู่กับเรานานแค่ไหน แล้วหายไปได้อย่างไร ก่อนที่มันจะสร้างความทุกข์ให้กับเรา แล้วเราก็จะอยู่กับมันได้อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

เมื่อพิจารณาอย่างนี้ในทุกๆ เรื่องแล้ว เราก็จะเห็นว่า ทุกอย่างล้วนมีเหตุให้เกิด เมื่อเกิดแล้ว ทุกอย่างก็มีวันดับหรือหายไป เมื่อเราพิจารณาในทุกๆ สภาวะจิตของเรา เราก็จะไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจไปกับสภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า กลับกันเราอาจมีจิตเบิกบานในสิ่งที่เราเข้าใจ แล้วทำให้เรามีสติในการตัดสินใจในทุกๆ เรื่อง...เท่านี้ก็(อาจจะ)ได้ชื่อว่า เป็นผู้วางเฉย หรืออุเบกขา ด้วยการใช้ปัญญาในการพิจารณาสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่เฉย

นั่นคือในมุมมองแบบมั่วๆ ของผมนะครับ รู้สึกไม่ค่อยเข้ากะคนอื่นซักเท่าไหร่ อย่าถือสานะครับ คิดซะว่าแกชอบบ่นไปวันๆ ก็ได้...

อย่าลืมยึดหลักตามพระไตรปิฎกเป็นสำคัญนะครับ...จริงๆ ก็นั่งอ่านหน้า ๔๗ ตามที่ท่านอาจารย์อุบล บอกมา แต่ปัญญาไม่เกิด ก็เลยอธิบายไม่ค่อยถูกครับ 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 23:54:26


ความคิดเห็นที่ 618 (1563084)

พี่มหา

อ่านตั้งแต่

หน้า 47-56 ซีคะ

 

ว่าพระพุทธเจ้า

ตอบโต้กับ มานพ ผู้มาเยือน

ด้วยพุทธพจน์ อย่างไร

 

เช่น

ตอนที่มานพพูดกับ

พระพุทธเจ้า แล้ว มานพผู้นั้น

เดินไป เดินมา ไม่นั่งลง

พระพุทธองค์

จึงทรงถามว่า

 

เวลาที่ท่านคุยกับ

ผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่พรามณ์

ท่านทำกิระยาอย่างนี้หรือ

 

มานพ

ตอบพระพุทธองค์ว่า

ไม่

ถ้าเขาคุยกับผู้ใหญ่ในหมู่พรามณ์

เขาจะสำรวม ถ้าผู้ใหญ่นั่ง

เขาก็จะนั่งลงพูด

 

ถ้าผู้ใหญ่เดิน เขาก็จะเดินพูด

แต่นี่เขากำลังสนทนากับ

คนหัวโล้น ชั้นต่ำ

จึงไม่จำเป็นต้องสำรวม

 

พี่มหา

ลองคิด แล้ว ตอบ อ.อุบล

หน่อยว่า

 

1.

พระพุทธองค์

โกรธ มานพผู้นี้หรือเปล่า

ที่แสดงท่าที ไม่เคารพพระพุทธเจ้า

 

2.

เหตุใดพระพุทธเจ้า

จึงไม่ทรงนิ่งเฉย ปล่อยให้มานพ

แสดงกิริยา เดินบ้าง นั่งบ้าง

พูดกับพระองค์ โดยไม่แสดงความเคาระ

 

แสดงว่า

พระพุทธเจ้า ไม่มีอุเบกขา

ใช่หรือไม่ ในความคิดพี่มหา

 

3.

เมื่อมานพผู้นี้

ก้าวร้าว รุกรานพระพุทธเจ้า

ด้วยวาจา พร้อมพรรคพวก

ว่าตระกูลของพระพุทธเจ้า

เป็นตระกูลชั้นต่ำ

เหตุใด

พระพุทธเจ้าจึงทรง

ถามถึง ตระกูลมานพผู้นี้ว่า

เป็น ทาสี ของตระกูลศากยะ ของ

พระพุทธเจ้ามาก่อนใช่หรือไม่

 

ที่พระพุทธเจ้า

โต้กลับ แบบ ที่ทำให้มานพ

หน้าหงาย อายพวกพ้อง นั้น

พระพุทธเจ้า ขาดเมตตา หรือว่า

ไม่มีอุเบกขาหรือเปล่า

 

เหตุใดพระพุทธเจ้า

จึงทรง ตอบโต้เช่นนั้น ช่วยตอบที

 

 

4.

เมื่อมานพผู้นี้

นิ่ง

พระพุทธเจ้าถาม 3 ครั้ง

ก็ยังไม่ตอบ พระพุทธเจ้าทรงตรัส

ว่า

ถ้าไม่ตอบ จะทำให้ศีรษะ

ของมานพผู้นี้แตก เป็น 7 เสี่ยง

เขาจึงตอบ

 

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทำ

พี่มหา ลองวิเคราะห์หน่อยนะ

พระพุทธเจ้าโกรธหรือไม่

มีอุเบกขาหรือไม่

เหตุใด

 

พระองค์ ไม่ทรงนิ่งเฉย

ปล่อยให้เขาล่วงเกินพระองค์

เพื่อเป็นการแสดง อุเบกขา

 

แต่กลับ

โต้ ทุกเม็ด ไม่เคยปล่อย

ให้การจาบจ้วงล่วงเกินของผู้ใด

ผ่านเลยไป

โดยที่

พระองค์ไม่ได้สั่งสอน

เพราะอะไร

 

พี่มหา

ช่วยบอกที

เห็นบอกว่า อ่านหน้านี้แล้ว

ยังไม่เข้าใจ

 

แล้วจะมาคุยด้วยใหม่นะจ๊ะ

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 00:16:05


ความคิดเห็นที่ 619 (1563088)

 โมทนากับธรรมทานของพี่ๆทุกๆท่านนะครับ

อุเบกขา  แต่ไม่เบรกการทำดี  มีพรหมวิหารสี่

เรามีร่างกายครบถ้วน

เพื่อมาเรียนรู้โลกให้แจ้ง

ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

จิตทรงพรหมวิหารสี่

มีเมตตา  กรุณา  ยินดีเมื่อคนอื่นทำดี  วางเฉยในอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

นำดวงจิตพุทธะประภัสสรกลับบ้านพระนิพพาน

ติดตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อเห็นพ่อ  แม่  พี่น้อง  และทุกคนเดือดร้อน  ตกทุกข์ได้ยาก

หากเราอยู่ในฐานะช่วยได้เราก็ช่วย

ไม่ใช่ใครจะเป็นตายร้ายดีฉันเฉยแบบนั้นไม่ใช่

ทำดีด้วยร่างกายที่พ่อแม่ให้มา

คิดดีตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

พูดดีให้เราเปล่งวาจาครั้งใดก็เป็นวาจาที่มีสุภาษิต

น้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ

และเผยแผ่แก่ผู้คนรอบข้าง

อะไรดีก็ส่งเสริม

อะไรบกพร่องมีปัญหาร่วมมือร่วมใจเข้าแก้ไข

มีความรักความสามัคคี

รักทุกคนไม่แบ่งแยกชนชั้น  วรรณะ  ฐานะทางโลก

เพราะเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน

และเรามีพ่อองค์เดียวกัน

สามัคคีคือพลัง

ความรักอันยิ่งใหญ่

คือเมตตาธรรมอันเกิดจากดวงจิตที่ชอบโดยธรรม

ก็จะยังโลกให้สวยงาม

ตลอดไป

สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 00:23:22


ความคิดเห็นที่ 620 (1563099)

 กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในการชี้แจงธรรมะ

ของอาจารย์แม่ และพระะพุทธองค์ด้วยค่ะ

ก่อนหน้านั้น คิดอยู่เสมอว่า อุเบกขาคือ

ใครจะเป็นอะไรก็ช่าง เราไม่สน ขอเอาตัวเราให้รอดก็พอ

ใครทุกข์เราไม่ยุ่ง แต่เราทุกข์คนอื่นต้องช่วย

ซึ่งเป็นความคิด และการกระทำที่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด 

ไม่ใช่การอุเบกขาแต่อย่างใด เข้าใจความผิดมาตลอด

ปัญญาที่มีอยู้นี้ไม้ได้ช่วยอะไรเลย

พอหันกลับมาดูอาจารย์แม่แล้วนั้น 

ซึ่งต่างจากตัวเองโดยสิ้นเชิง

หากอุเบกขาคือการที่เราไม่ยุ่ง ไม่ช่วยเรื่องคนอื่นเลย

อาจารย์แม่ก็คงไม่มานั่งเสียเวลาบำบัดทุกข์ ไต่สวนกรรม

ชี้แจงแนะนำคนที่กระทำความผิดมา

ดังนั้นหากอะไรที่เราพอจะใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา

ใช้ปัญญาช่วยเหลือผู้อื่นได้เราก็ควรจะทำ ด้วยความตั้งใจ

มุ่งมั่น เพื่อให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ดั่งที่อาจารย์แม่ทำมาตลอด

กราบขอบพระคุณอาจารย์แม่อีกครั้ง ที่มาสอนให้หายโง่

ในเรื่องที่ไม่ควรโง่ด้วยค่ะ

สาธุ

***********************************************************

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

 

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

คิดว่าอาจจะเกิดดจากความเห็นแก่ตัวของตัวเอง

ที่คิดว่า อยู่เฉยๆดีกว่า ทั้งๆที่เราก็พอที่จะสามารถบอกกล่าว

อธิบาย ชี้แจงให้กับคนพวกนั้นได้ แต่ก็ไม่ทำ เพราะการอุเบกขาที่เราเข้าใจนั้น

จริงๆแล้วมันคือความเห็นแก่ตัวมากกว่า

ดังนั้นเมื่อมันเห็นแก่ตัว ปากมี มือมี สมองมี ปัญญามี แต่ไม่ใช้

ก็ไม่ควรมีไว้ติดตัว 

ผิดถูกยังไงก็ขออภัยด้วยค่ะ 

กราบขอบพระคุณอาจารย์แม่ และเสด็จท่านท้าวเวสสุวรรณด้วยค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 01:01:25


ความคิดเห็นที่ 621 (1563102)

อ่านกระทู้นี้ตอนแรกก็ยังงง ๆ 

ตอนนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมะช่างละเอียดอ่อน จริง ๆ

ขออนุญาตตอบเท่าที่ปัญญาอันน้อยนิด พอจะคิดได้ตอนนี้

1.พระองค์ไม่โกรธมานพผู้นี้ ทรงมีเมตตา

เพราะพระองค์ทรงทราบว่า

มานพผู้นี้ มีมิจฉาทิฐิ มีโมหะ มีอวิชชา

2.พระองค์ทรงไม่นิ่งเฉย ทรงเมตตาชี้แนะ เพราะต้องการให้เขามีสัมมาทิฐิ

โดยการชี้ให้เห็นว่า  อะไรควร อะไรไม่ควร   สิ่งให้ดี สิ่งไหนไม่ดี

3.พระองค์ ทรงเมตตา สอนว่า

การที่เราจะดูถูกใครนั้น

เรารู้จักเขาดีพอแล้วหรือ

เรารู้จักตัวเองดีพอแล้วหรือ

เราดีกว่าเขาแล้วหรือ

4.เพราะพระองค์ทรงต้องการให้มานพผู้นั้นมีความกล้าหาญ

ยอมรับในสิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

 

 

พระองค์ ไม่ทรงนิ่งเฉย

ปล่อยให้เขาล่วงเกินพระองค์

เพื่อเป็นการแสดง อุเบกขา

 

แต่กลับ

โต้ ทุกเม็ด ไม่เคยปล่อย

ให้การจาบจ้วงล่วงเกินของผู้ใด

ผ่านเลยไป

โดยที่

พระองค์ไม่ได้สั่งสอน

 

 

 

 เพราะพระองค์ทรงทราบว่า

ผู้ที่เป็น  มิจฉาทิฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ

(หมายถึง ความเห็นผิด  การเห็นกงจักรเป็นดอกบัว)

จะส่งผลให้บุคคลนั้น ๆ ต้องไปเกิดยังนรกอเวจี

เพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้หลายร้อยชาติ



พระองค์ทรงมีพระเมตตามาก

ทรงชี้แนะสิ่งที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้มานพนี้ต้องไปลงนรก

ผู้แสดงความคิดเห็น ณี พรรณี ศรีทะชะ (punnee-dot-nee-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 01:52:07


ความคิดเห็นที่ 622 (1563107)

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทำ

พี่มหา ลองวิเคราะห์หน่อยนะ

พระพุทธเจ้าโกรธหรือไม่

มีอุเบกขาหรือไม่

เหตุใด

 -------------------------------------------------------------------------------------------

กราบอนุโมทนาสาธุกับธรรมะอันลึกซึ้งในยามดึก

เพื่อให้ชนิดาได้มาลับสมอง เคาะสนิมในจิต

จะได้เกิดปัญญาไปสร้างความดี และนำธรรมะ

แห่งพระพุทธองค์ไปถ่ายทอดได้อย่างถูกที่ถูกเวลาด้วยนะคะ อาจารย์ ...

 

ขอร่วมตอบปัญหาด้วยคนนะคะ

1. แน่นอนว่า พระพุทธองค์ผู้่ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาและพระปัญญาญาณอันสูงส่ง ไม่ทรงโกรธ มาณพผู้หลงผิดผู้นี้แน่นอน และพระองค์ก็ได้ทราบวาระจิตของมาณพผู้นี้เป็นอย่างดี และพระองค์คงจะเตรียมขั้นตอนการสอนธรรมะไว้แล้ว ว่าจะกระเทาะเปลือกอัตตาที่ห่อหุ้มมาณพผู้นี้ได้ด้วยคำพูด และวิธีการแบบใดบ้าง

 

2..พระพุทธองค์ทรงไม่นิ่งเฉย เพราะ เห็นได้ชัดว่ามาณพผู้นี้ไม่มีสัมมาคารวะ ยกตนข่มท่าน ซึ่งเป็นอกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ส่งผลให้ชายผู้นี้ ลงนรกได้ ฉะนั้นพระองค์จึงสั่งสอนด้วยการโต้กลับ เพื่อเป็นกระจกเงาสะท้อนกรรมให้มาณพผู้นี้ เห็นความไม่ดีของตน เพื่อจะได้มีโอกาสแก้ไขตนเองต่อไป

 

3..ที่พระพุทธองค์ทรงโต้กลับให้มาณพผู้นี้หน้าหงาย ก็เพื่อให้เค้ารู้ตัวว่า เค้ากำลังใช้พื้นฐานความคิดที่ผิดๆตัดสินผู้อื่นอยู่ จะได้ไม่ไปตัดสินคนอื่นเพียงแค่ภายนอก เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่า "บุคคล"ที่เราสนทนาด้วยนั้น มีที่มาที่ไปและมีความประพฤติเช่นใด จะได้รู้จัก "เคารพผู้อื่น"บ้าง

..(ป.ล. แต่ข้อสรุปที่คุณณี เขียนมาก็ชัดเจนและตรงประเด็นมากๆเลยนะคะ )

 

4..พระพุทธองค์ทรงมีอุเบกขา ที่มาพร้อมกับ เมตตา กรุณาและมุทิตาจิต ทรงพระปัญญาญาณอย่างสูงส่ง สอนหลักธรรมได้ตรงตามข้อบกพร่องของผู้นั้นได้อย่างลงตัว และที่พระองค์พยายามให้มาณพผู้นี้ตอบคำถาม ก็เพื่อที่จะให้เค้ารู้จัก "ยอมรับความจริง" ในสิ่งที่ตัวเองมีและตัวเองเป็นอย่างแท้จริงๆ

 

วิธีการสอนและการโต้กลับทั้งหมดนี้ ก็ดูคล้ายๆกับที่อาจารย์อุบล ใช้กับผู้ที่มาบำบัดที่บ้านสวนฯอยู่เป็นประจำ จำง่ายๆก็คือ ถ้าพูดกับคนดีต้องใช้"ปลอบ" แต่ถ้าพูดกับคนดื้อต้องดุ ต้องใช้ไม้แข็งเท่านั้น ไม่งั้นก็คงจะไม่สามารถกระเทาะเปลือกแข็งๆของเค้าให้แตกได้

เขียนเสร็จแล้วก็ละอายจัง ว่าแล้ว"อันตัวเราเอง"ก็พอจะรู้หลักการอยู่บ้าง ทำไมไม่นำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดผลอย่างยิ่งยวดหนอ มัวแต่"คิดอุเบกขา"แบบผิดๆ และเห็นแก่ตัวอยู่ได้...

 

 

กราบขอขมาต่อเบื้องบนและอ.อุบลอีกครั้งค่ะ

ชนิดาจะ"คิดใหม่ และทำให้ได้" ค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 04:40:21


ความคิดเห็นที่ 623 (1563137)

ขอร่วมวงคุยด้วยคนนะคะ เพราะได้ลองอ่านดูแล้ว

เห็นว่าที่พระองค์ทำทั้งหมดนั้น

มีจุดประสงค์เพื่อให้มานพผู้นั้นรู้ความจริง

ไม่เหยียดหยามผู้อื่น ไม่หลงทะนงตนในสิ่งที่ผิด

จึงใช้วิธีถามกลับเพื่อให้เค้าคิดได้เอง

เอาความจริงในสิ่งที่ตนเองเป็นมาตอกย้ำให้คิด

และก็เป็นผลให้มานพคิดได้ และเกิดความอาย (เพราะไม่ยอมตอบถึง 3 ครั้ง)

แต่ที่พระองค์ทรงย้ำให้ตอบนั้น ไม่ใช่โกรธหรือต้องการฉีกหน้าใคร

แต่เพื่อต้องการแสดงธรรมให้มานพที่ติดตามมาอีกจำนวนมากได้เห็นด้วย

และเมื่อมานพผู้นั้นตอบ ยอมรับความจริงว่าต้นตระกูลตนก็ไม่ได้สูงส่ง

เป็นผลให้ผู้ที่ติดตามแสดงอาการดูหมิ่นและรุกรานมานพผู้นั้นบ้าง

พระองค์ก็ทรงช่วยเหลือ แก้หน้าให้ ด้วยพระเมตตา

ด้วยการพูดถึงในส่วนของความดีของต้นตระกูล

แม้จะมาจากตระกูลต่ำแต่ก็มีความพยายามพัฒนาตนเองจนได้เป็นฤาษี

และพระองค์ก็แสดงธรรม ด้วยการเปรียบเทียบถามมานพให้ตอบกลับ

เรื่องการแต่งงานของวรรณะที่ต่างกัน และลูกที่ออกมาจะมีสิทธิเท่ากันหรือไม่ รวมถึงเรื่องให้เปรียบเทียบคนสองพวกที่ถูกเนรเทศ จะยังมีสิทธิเท่าเทียมกันหรือไม่

ถามไปตอบมา ก็พบว่าแม้วรรณะพราหมของมานพผู้นั้นก็ยังถือว่าต่ำต้อยว่าวรรณะกษัตริย์ที่มานพได้เคยเหยียดหยาม

ทั้งหมดนี่ คือการที่พระองค์ทรงใช้ปัญญาพิสูจน์

และสอนธรรม ด้วยวิธีการถามกลับ

ไม่ได้ใช้วิธีโต้ เถียง ด่า ว่า กล่าว แต่อย่างไรเลย

และพระองค์ยังทรงสรุปความตอนท้าย ด้วยการแสดงความเห็นด้วย กับพราหมณ์สนังกุมาร ว่า "สำหรับหมู่ชนที่ยังรังเกียจกันด้วยโคตร กษัตริย์นับว่าประเสริฐที่สุด แต่ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติดี ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวาและมนุษย์"

ทั้งหมดนี้ พระพุทธองค์ ไม่ได้กล่าวคำสั่งสอนออกมาแต่อย่างใด แต่พระองค์ก็ได้แสดงธรรม ที่ประเสริฐออกมาแล้ว

ด้วยวิธีที่แยบยล

ด้วยปัญญาอันสูงส่ง

(ดังที่อาจารย์อุบลได้ใช้กับพวกเราคะ)

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 10:04:38


ความคิดเห็นที่ 624 (1563176)

 

ขอกราบขอบพระคุณท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านอ.แม่อุบล

และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกท่าน

ที่ได้สั่งสอนหลักการปฏิบัติธรรมต่างๆให้แก่ลูกหลานอย่างละเอียด

ทำให้คนโง่ อย่างลูกเข้าใจมากขึ้นค่ะ

และขออนุโมทนาในธรรมทานของพี่ๆทุกๆท่านนะคะ

สาธุค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ฐิติมา พฤกษ์อำนวย (pranaijai-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 14:20:54


ความคิดเห็นที่ 625 (1563182)

จากเคยชอบวางอุเบกขาแบบเห็นแก่ตัวขาดเมตตา กรุณา ในอดีตที่ยังโง่เขลาเบาปัญญา

แต่หลังจากได้ศึกษาธรรมะมากขึ้นคิดว่า อุเบกขา น่าจะเป็นการวางเฉยที่ใจ

โดยที่การกระทำเราจะต้องมีความเมตตากรุณาเสียสละช่วยเหลือผู้อื่น แต่ถ้าไม่สามารถช่วยเขาได้ปัญญาบารมีไม่พอก็ต้องวางเฉย ช่วยได้ก็ต้องปล่อยวาง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่ยินดียินร้าย ไม่ให้เกิดโทสะ(ทำไมไม่ได้ดังใจ)หรือโลภะ(อยากให้เค้าเป็นดั่งเราต้องการ)โมหะ(หลงตน หลงคำเยินยอ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นนลณีย์ พงศ์วุฒิภรณ์ (walailux20-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 15:02:07


ความคิดเห็นที่ 626 (1563229)

 หลวงพ่อฤาษีลิงดำเมตตาสอน  อุเบกขา  

คือ  สมมติว่าญาติเดือดร้อน  

แต่เราอยู่ในฐานะที่ยังช่วยไม่ได้

 เราก็ยังไม่ได้ช่วย

 ใจเราไม่เศร้าไม่ทุกข์

 แต่เราก็พร้อมที่จะโอบอุ้มช่วยเหลือญาติผู้นั้น

 เมื่อเราอยู่ในฐานะที่ช่วยได้  

กราบขอบพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำมากๆครับที่เมตตาลูก

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 19:40:57


ความคิดเห็นที่ 627 (1563297)

 

อุเบกขาที่แท้จริง
ตามที่ลูกเข้าใจคือ การวางจิตให้สงบ มีสติสำรวม ไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ใจ
ไปกับสถานการณ์ต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลง เกิด ดับ ในโลก
ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ใดๆที่ถูกใจ หรือไม่ถูกใจ
ถ้าสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น เราก็ควรทำต่อไป ช่วยใครได้ก็ช่วย
ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ไม่หวังผลตอบแทน
หากช่วยแล้วเขายังรับไม่ได้ ก็ให้วางจิต ปล่อยวาง ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน
แต่ยังคงทำงานที่เป็นประโยชน์ช่วยผู้อื่นต่อไป
 
ส่วนอุเบกขาที่ขาดปัญญา ขาดเมตตา ไม่ใช่อุเบกขาที่ถูกต้อง
แต่เป็นกิเลสของความเห็นแก่ตัว ที่ทำให้เราหลงผิด
การนิ่งเฉย ดูดาย ไม่ช่วยเหลือผู้ที่เรารู้ว่าเขาทำผิด
ก็เท่ากับส่งเสริมให้เขาทำผิด ทำบาปต่อไป
เป็นการทำร้ายเขาทางอ้อม
 
เหมือนแม่ที่รู้ว่าลูกทำผิด
แม่จะรีบว่ากล่าว ตักเตือน อบรม สั่งสอน สิ่งที่ถูกต้องทันที
ไม่ปล่อยให้ลูกทำผิดต่อไป นี่คือความรักความเมตตาที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
เพราะแม่มุ่งหวังประโยชน์สุข ความดีงาม ความเจริญรุ่งเรือง แก่ลูก
 
พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเป็นแบบอย่าง ทรงมีพระเมตตาอันสุดประมาณ
ในการโปรดสรรพสัตว์ที่ทุกข์ยากให้ได้รับการรู้แจ้ง
มีดวงตาเห็นธรรม และพบความสุขที่แท้จริง
 
ลูกกราบขอบพระคุณท่านท้าวเวสสุวรรณ และท่านอ.อุบล ที่เมตตาอบรบตักเตือนให้ปัญญาแก่ลูกอยู่เสมอ
ความรู้ที่ท่านเมตตาชี้แนะ ลูกได้น้อมนำไปปฏิบัติและนำไปใช้สอนลูกศิษย์   ถึงแม้ว่าการว่ากล่าวตักเตือนอาจทำให้นักเรียนบางคนไม่พอใจ แต่ลูกก็จะทำหน้าที่ด้วยความรักความเมตตาให้ดีที่สุดค่ะ โดยมีท่านอ.อุบลเป็นแบบอย่าง เพื่อตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านค่ะ
ผู้แสดงความคิดเห็น ปาริชาติ เฟื่องไพบูลย์ (paricharta-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 23:32:38


ความคิดเห็นที่ 628 (1563299)

1.

พระพุทธองค์

โกรธ มานพผู้นี้หรือเปล่า

ที่แสดงท่าที ไม่เคารพพระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ไม่ทรงโกรธครับแต่กลับทรงเมตตาเมื่อเห็นว่าผู้นั้นกำลังหลงผิด

 

2.

เหตุใดพระพุทธเจ้า

จึงไม่ทรงนิ่งเฉย ปล่อยให้มานพ

แสดงกิริยา เดินบ้าง นั่งบ้าง

พูดกับพระองค์ โดยไม่แสดงความเคาระ

 

แสดงว่า

พระพุทธเจ้า ไม่มีอุเบกขา

ใช่หรือไม่ ในความคิดพี่มหา

พระองค์ทรงมีอุเบกขา แต่ทรงใช้ความเมตตา-กรุณาก่อนเพื่อช่วยให้มานพพ้นทุกข์

3.

เมื่อมานพผู้นี้

ก้าวร้าว รุกรานพระพุทธเจ้า

ด้วยวาจา พร้อมพรรคพวก

ว่าตระกูลของพระพุทธเจ้า

เป็นตระกูลชั้นต่ำ

เหตุใด

พระพุทธเจ้าจึงทรง

ถามถึง ตระกูลมานพผู้นี้ว่า

เป็น ทาสี ของตระกูลศากยะ ของ

พระพุทธเจ้ามาก่อนใช่หรือไม่

 

ที่พระพุทธเจ้า

โต้กลับ แบบ ที่ทำให้มานพ

หน้าหงาย อายพวกพ้อง นั้น

พระพุทธเจ้า ขาดเมตตา หรือว่า

ไม่มีอุเบกขาหรือเปล่า

 

เหตุใดพระพุทธเจ้า

จึงทรง ตอบโต้เช่นนั้น ช่วยตอบที

ทรงเตือนสติให้ตื่นจากความหลงว่าสิ่งที่ครูอาจารย์ของตนที่สอนมานั่นเป็นการดูคนแค่เปลือกนอกหาใช้ภายในไม่

 

 

4.

เมื่อมานพผู้นี้

นิ่ง

พระพุทธเจ้าถาม 3 ครั้ง

ก็ยังไม่ตอบ พระพุทธเจ้าทรงตรัส

ว่า

ถ้าไม่ตอบ จะทำให้ศีรษะ

ของมานพผู้นี้แตก เป็น 7 เสี่ยง

เขาจึงตอบ

 

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทำ

พี่มหา ลองวิเคราะห์หน่อยนะ

พระพุทธเจ้าโกรธหรือไม่

มีอุเบกขาหรือไม่

เหตุใด

 

พระองค์ ไม่ทรงนิ่งเฉย

ปล่อยให้เขาล่วงเกินพระองค์

เพื่อเป็นการแสดง อุเบกขา

 

แต่กลับ

โต้ ทุกเม็ด ไม่เคยปล่อย

ให้การจาบจ้วงล่วงเกินของผู้ใด

ผ่านเลยไป

โดยที่

พระองค์ไม่ได้สั่งสอน

เพราะอะไร

พระองค์ทรงใช้สติปัญญาช่วยทุกวิถีทางเต็มกำลังความสามารถเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่ให้ได้

สรุปแล้วผมก็หลงทางคิดว่า อุเบก คือการไม่สนใจใครเลย กรรมใคร กรรมมัน แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นทำไมเราไม่ลงมือทำให้เต็มกำลังสติปัญญาที่เรามี ดันแอบขี้เกียจ เห็นแก่ตัว คิดจะไปได้ดีเพียงคนเดียว แล้วอย่างนี้เราจะช่วยรักษาศาสนาให้อยู่ถึง 5,000 ปีได้อย่างไร

ต้องฝึกเป็นคนจิตสาธารณะ คำว่าส่วนตัวไม่มี มีแต่ให้..ให้...ให้...ไม่หวังสิ่งตอบแทน

(ผมยังทำไม่ได้ครับ ยังเห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนร่วมอยู่ อีกเยอะครับ)

ยอมรับครับว่าภาคปฏิบัตินั้นทำยากจริงๆ เพราะโมหะ คิดเอง เออเอง จึงหลงเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว

สุดท้ายด้วยความโง่ของผมนี้ก็ยังขาดครู อาจารย์ ไม่ได้ครับ ต้องตามตลอด เดี๋ยวหลงครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์ โพธิ์อุ่น (kiattisp-at-scg-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-10 23:38:06


ความคิดเห็นที่ 629 (1563326)

ขอบคุณเนื้อหาเิ่พิ่มเติมและคำสรุปที่แยบยลจากหนูแหวน ด้วยนะจ๊า

ได้มาอ่านเวอร์ชั่นของหนูแหวนอีกครั้ง ก็ได้แง่คิดเพิ่มขึ้น

สงสัยต้องอ่านฉบับไม่่ย่อ จะได้ศึกษาวิธีการแสดงธรรม

ที่ละเอียดอ่อนจากพระพุทธองค์ชัดเจนยิ่งขึ้น..นะคะเนี่ย

 

และอนุโมทนากับการตีความหลักธรรมที่ว่าด้วย

"การอุเบกขา" จากทุกๆท่านเลยนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-11 06:02:40


ความคิดเห็นที่ 630 (1563331)

 โมทนากับธรรมทานของพี่ๆทุกท่านนะครับ

อุเบกขา  แต่ไม่ได้แปลว่าเราเลิกทำดี

แปลว่า  เรากำลังที่ทำความดีอย่างสูงสุด

คือการมีจิตเมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา

เป็นธรรมของพระอริยเจ้า

นำไปสู่ธรรมสูงสุด

ช่วยได้ทั้งตัวเราด้วย

ทั้งคนที่เราพอจะสั่งสอนได้ด้วย

และช่วยเหลือได้ด้วย

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-11 07:35:59


ความคิดเห็นที่ 631 (1563366)

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด 

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

กราบขอบพระคุณอ.อุบลค่ะ

การใช้ปากในทางที่ถูกนั้น คือ บอกบุญ พูดดี ไม่พูดจาเพ้อเจอ

ตามหลักการศีลห้า ลูกเพิ่งเข้าใจค่ะ

มือนิ้วนี้ มีไว้ทำบุญ ทำกุศล อะไรที่ลืมไป ทำไปโดยไม่ใช้สติ

ลืมหน้าที่ จากนี้จะพยายามค่ะ ตั้งแต่ได้มาบ้านสวนพีระมิด

กำลังใจที่จะทำดี มีมาก กำลังสติปัญญามีน้อย

ขอน้อมเอาคำสั่งสอนมาใช้ค่ะ

ถ้าเพียงแค่คิดว่า อ.อุบลทำอะไร และดำเนินตามก็ง่าย

พรหมวิหารสี่อ่านไปไม่เคยทำ เพราะคิดว่าไกลตัว

เรื่องง่ายที่คนโง่ๆ ไม่เข้าใจ เพราะความขี้เกียจ รักตัว กลัวตาย

รักสบาย เห็นแก่ความสุขเล็กน้อย

ทำให้ไปต้องวนเวียนอยู่ในทุกข์ที่ตนเองเป็นเหตุให้เกิดไม่จบ

วันนี้ ลูกขอระลึกไว้ในใจและพยายามมากขึ้นค่ะ

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ให้ลอกการบ้านค่ะ สาธุ

ขอตอบค่ะ คือ มือมีไม่ทำดี ปากมีไม่พูดดี เอาไปทำชั่ว นินทา ว่าร้าย

มือไม่ขนความดี ขี้เกียจ แม้ทำบุญมามาก แต่ไม่ทำดีให้มาก

วันที่รอดจากภัยพิบัติ ก็จะเป็นเหตุไม่ครบ สามสิบสองค่ะ

เป็นใบ้ แขนขาด นิ้วขาด  สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-11 10:57:53


ความคิดเห็นที่ 632 (1563375)

กราบขอบพระคุณสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ที่บ้านสวพีระมิด ท่านอ.อุบล  ที่ลูกนางภิรญา เปรยะโพธิเดชะ แค่ได้อ่านกระทู้ ของทุกๆ ท่านที่มีโอกาสได้ไปร่วมบุญที่บ้านสวน ก็ยังสามารถรับสัมผัสปิติทั้ง 5 ด้วยลูก ทำให้มีความสุขมากๆเลยค่ะ นั่งน้ำตาไหลน้าจอคอม ใครจะว่าอะไรก็ไม่สนแล้วค่ะ

        ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภิรญา เปรยะโพธิเดชะ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-11 11:32:55


ความคิดเห็นที่ 633 (1563421)

สมาธิ ทำให้ มีสติ จิตสงบ

แต่

วิปัสนากรรมฐาน ทำให้มีปัญญา

ฉลาด หลักแหลม

 

รู้จักพิจารณา

หาเหตุผล มองภาพได้กว้าง

กว่า ผู้มีสติ ความสุข

ความสำเร็จ

ทั้ง

ทางโลก ทางธรรม

จึงมีมากกว่า

จ ร้ า

 

แต่

พระพุทธองค์ท่านว่า

 

ก่อนจะมีปัญญาได้

 

ต้องมี สมาธิ ก่อน

 

แต่

 

ก่อนจะมีสมาธิได้

 

ต้องมีศีลก่อน

 

ถ้าขาดศีล ขาดสมาธิ

ปัญญาก็ไม่เกิด

จร้า

 

ดังนั้น

ชีวิตนี้ มันจะเอาดีได้ไง

ถ้าไร้ศีล ไร้สติ

 

อันสตรี ไม่มีศีล ก็สิ้นสวย

บุรุษด้วย ไม่มีศีล ก็สิ้นศรี

พระสงฆ์ ไม่มีศีล ก็สิ้นดี

ข้าราชการ ศีลไม่มี ก็หยาบคาย

 

หวัด ดี ค่า

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-11 16:46:55


ความคิดเห็นที่ 634 (1563440)
image

ขออนุโมทนากับธรรมะสอนศิษย์

ของท่าน อ.อุบล ครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

ตลอดมาเอาแต่มุ่งฝึกสมาธิ

แต่ก้อไปไม่ถึงไหน ได้แต่ความสงบ

ตั้งแต่มาบ้านสวนฯ ถึงได้รู้ว่าศีลก้อสำคัญ

โง่ที่สุดเลยครับ..ตัวผม

สมควรไปไถนาจริงๆ

ขอเก็บคำสอนนี้ไว้ในใจศิษย์ตลอดเวลาครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-11 18:51:08


ความคิดเห็นที่ 635 (1563441)

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาเตือนสติคะ

ศีล สมาธิ ปัญญา จะมาพร้อม ๆ กันตามลำดับ

จะพยายามทบทวนตัวเองคะ ยังขาดสมาธิไปมากเลย

จะปรับปรุงตัวเอง ในทุก ๆ ข้อ ด้วยคะ

 

 อ่านเรื่องศีลและปัญญาอาศัยกัน

ขออนุญาติยกบทความมาแบ่งปันนะคะ

โสณฑัณฑสูตรนี้ แสดงให้เห็นความสำคัญของศีลและปัญญา ว่าต้องอาศัยกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ คนที่ไม่มีศีลเปรียบเหมือนบ้านเรือนที่ไม่สะอาด คนที่ขาดปัญญาเปรียบเหมือนบ้านเรือนที่ไม่มีแสงสว่าง ศีลทำให้กาย วาจา สะอาดหมดจด งดงาม สมาธิทำให้ใจสงบบริสุทธิ์ตั้งมั่น ปัญญาทำให้ใจสว่าง รวมเป็นสะอาด สงบและสว่าง

"ฌาน (สมาธิ) ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีในบุคคลใด ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้นิพพาน"

ฌาน แปลว่า การเพ่งก็ได้ คือเพ่งพินิจโดยแยบคาย หรือความคิดเป็น คิดถูกต้องตามที่เป็นจริง เมื่อคิดถูกต้องก็ได้ปัญญาที่ถูกต้อง และปัญญาที่ถูกต้องทำให้คิดถูกต้อง ฌานและปัญญาอาศัยกันและกันอย่างนี้นำไปสู่ความดับทุกข์กับปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเผชิญหน้ามนุษย์อยู่ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-11 19:01:27


ความคิดเห็นที่ 636 (1563491)

คุณแหวนนี่

สุดยอด

 

เอาไป 100

เต็ม 10 คะแนน

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-11 23:17:55


ความคิดเห็นที่ 637 (1563534)

อาจารย์ก็สุดยอด ค๊า

ส่วน หนูแหวนก็เลิศ จ๊า..

ทาน ศีล ภาวนา แหม่..โดนอีกแล้ว รู้สึกว่าชนิดาจะพร่องทั้งทาน

แหว่งทั้งศีล สมาธิก็เลยกระเจิงกระจายไปโหน่ย..ช่วงนี้..

อนุโมทนากับคำสอนของอาจารย์ด้วยค่ะ สาธุ..

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-12 07:58:21


ความคิดเห็นที่ 638 (1563542)

กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลและพี่ชนิดาคะ

จริง ๆ หนูสุดยอดแย่เลยคะ มีหนังสืออยู่ในมือแต่ขี้เกียจตลอด

ถ้าอาจารย์ไม่มากระทุ้งให้คิด ให้อ่าน ก็ทำเฉย

ขนาดพยายามอ่าน และเพ่งแล้ว ยังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างเลยคะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลอีกพัน ๆ ครั้งเลยนะคะ ที่มีเมตตา

อยากช่วยพวกเราทุกคนให้รู้จักคิด อยากให้เรามีปัญญาแก้ปัญหา

แต่สุดท้ายแล้ว แม้อาจารย์อยากช่วยพวกเราแค่ไหน

แต่ถ้าพวกเราไม่ช่วยตัวเอง มันก็ไปไม่รอดอยู่ดี

กราบขอบพระคุณคะ คุณแม่

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-12 08:46:22


ความคิดเห็นที่ 639 (1563734)

สวัสดีมิตรรักพี่น้องชาวบ้านสวนฯ ทุกท่าน เสาร์นี้เรียกได้ว่าจัดเต็มอีกแล้วววค่า อึ้ง ทึ้ง เสียววว แบบไม่ต้องไม่ใช้สแตนอินกันเห็น ๆ

งั้นก้อยขอประเดิมเรื่องแบบละมุน ๆ ที่ท่าน อ. อุบล และเบื้องบนทรงย้ำนักย้ำหนา เรียกได้ว่า แทบทุกลมหายใจเข้าออกกันเลยทีเดียว

ทำไมการมาใช้แรงกายในบ้านสวนฯ ถึงไปนิพพานได้??

เพราะว่าทุกคนในโลกนี้ล้วนแต่มีทุกข์มีปัญหาที่ต่างกัน แต่เมื่อเราเข้ามาใช้แรงกายในบ้านสวนฯ ไม่ว่าจะขุดดิน ถางหญ้า ปลูกพืชผักกลางแดดร้อน ๆ ฯลฯ แล้วหายจากอาการเจ็บป่วยทั้งหลาย ไม่ว่าจะทั้งทางใจและกาย เมื่อหายป่วยก็ทำให้จิตหลุดพ้น เพราะมีความสุข นี่คืออารมณ์พระนิพพาน

เพราะทุกคนมีอารมณ์ใจของเทวธรรม ที่ทำให้คนเป็นเทวดา คือ หิริ โอตัปปะ

แต่เมื่อใดที่เราไม่ใช่แค่กลัว แต่มีความเมตตา สงสาร ไม่เครียด หาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา นั่นคืออารมณ์ที่สูงกว่าเทวดา คือ อารมณ์ของพรหม 

การให้ทาน ศีล สมาธิ ทำตัวใดตัวนึงได้หรือไม่??

การให้ทาน จะมีทรัพย์ไม่ฝืดเคือง ถ้าไม่มีข้อนี้ก็สามารถไปนิพพานได้ แต่มีโอกาสพลาดสูง

หรือหากทำแต่สมาธิอย่างเดียว หากมาเกิดใหม่ ก็จะมีปัญญา แต่มีอุปสรรคเรื่องการเงิน หนี้สิน

ถ้ารักษาแต่ศีล หากทำได้จะมีทิพยสมบัติ ผู้รักษาศีลได้จะมีแต่ความสุขทั้งชาติปัจจุบันและอนาคต ผู้ที่รักษาศีลเป็นบันไดไปสู่นิพพาน

1. มีเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ละเว้นการเบียดเบียนสัตว์ทุกชนิด ดูผลของการกระทำคือ เกิดกี่ภพชาติ ก็หน้าตาดี รูปร่างสมส่วน สุขภาพดี

2. ลักขโมย ชอบเอาของวัด ของหลวงกลับบ้าน ผิดหนี้สงฆ์ หนี้แผ่นดิน ชอบของฟรี เห็นแก่ได้ เอาเปรียบ ก็จะเดือดร้อนเรื่องเงิน

3. คนที่เจ้าชู้ หมกมุ่นในกามารมณ์ จะมีลูกดื้อ บริวารไม่เชื่อฟัง มีปัญหาทางการเงินด้วย

4. โกหก กะล่อน นินทา ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ชีวิตก็จะถูกหลอก ไม่มีใครเชื่อถือคำพูด แต่ถ้าเป็นคนไม่เคยโกหก ปากจะหอม พูดจาก็มีแต่คนเชื่อถือ เช่น พระบางรูปที่เคยศึกษาหาความรู้มากมากมาย แต่เมื่อนำไปสอนแล้วศิษย์ไม่เชื่อ ก็เพราะบกพร่องในศีลข้อนี้

5. ขี้หลง ขี้ลืม ตั้งแต่อายุไม่มาก เวียนหัว ปวดหัว วิตกกังวลง่าย เครียด  เป็นเพราะเคยดื่มเครื่องดิ่มที่มีแอลกอฮอล์ (ผลไม้ดองก็ไม่ควรกิน)

ท่านท้าวเวสสุวรรณ และลุงพุฒ เคยบอกว่า 99% ของโลกต้องถูกเก็บกวาดไปเป็นแกนของโลก เพราะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัวเอง

เพราะฉะนั้นหากทั้ง 3 ข้อ คือ ทาน ศีล สมาธิ ไม่บริสุทธิ์ ก็ไม่ต้องฝันถึงนิพพาน  การใช้ชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องบวช หรือนุ่งขาวห่มขาว ใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่ใช้ธรรมะในการดำรงชีวิต แล้วก็ตัดความโกรธให้ได้..

...พอแค่นี้ก่อนนะคะ ไว้ให้เพื่อน ๆ เข้ามาเพิ่มเติมต่อดีกว่า..สงสัยตอนนี้คงจะตั้งหน้าตั้งตาสร้างบุญปลูกพันธุ์ข้าวพระราชทานอยู่แน่ ๆ อนุโมทนาด้วยน๊าค๊า...

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ก้อย วินิตา สุทธิวรา (pooyingnaya-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 10:34:46


ความคิดเห็นที่ 640 (1563741)

 สาธุ

โมทนาคับท่านอาจารย์แม่อุบล  พี่แหวน  พี่ตั้ม  พี่ก้อย

กราบขอบพระคุณเสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณเป็นอย่างสูงนะครับ

ลูกขอกราบโมทนาสาธุบุญกับเสด็จพ่อด้วยนะครับ  สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 12:05:03


ความคิดเห็นที่ 641 (1563769)

อนุโมทนา

กับ ก้อย ด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ...........

ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยจ๊า

และขออนุโมทนากับท่านที่ได้สร้างบุญ

กับบ้านสวนพีระมิด ทุกๆ บุญ ในวันเสาร์ - อาทิตย์

นี้ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา กะตะศิลา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 14:45:04


ความคิดเห็นที่ 642 (1563784)

ขออนุโมทนากับพี่ก้อยและทุกๆท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 18:52:58


ความคิดเห็นที่ 643 (1563788)

กราบ อนุโมทนา สาธุ

กับความเห็นของญาติธรรม

ทุกท่านด้วยนะค่ะ

และกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ อุบล

ที่ได้ชี้ทางสว่างให้ลูกด้วยนะเจ้าค่

สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนวดี รัชตารมย์ (thanavadee_r-at-sepo-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 19:15:56


ความคิดเห็นที่ 644 (1563792)

ขออนุโมทนาบุญกับน้องก้อย ที่รีบมาเหลาเรื่องราวต่างๆอย่างรวดเร็ว

    เนื่องจากท่านอ.อุบล ได้สอนให้พวกเราปฎิบัติธรรม เพื่อเป้าหมาย คือ นิพพาน  ซึ่งเป็นสถานที่ ที่มีแต่ความสุข สุขจนไม่อยากสุข

     แต่พวกเราทุกคนยังมีความทุกข์ ทั้งด้านสุขภาพ การงาน การเงิน ครอบครัว ตราบใดเรายังมีความทุกข์เราจะไปนิพพาน ดินแดนแห่งความสุขได้อย่างไร

     อ.อุบลจึงช่วยให้พวกเราหาทางพ้นทุกข์  หมดทุกข์  โดยการมาทำบุญใช้แรงกายที่บ้านสวนฯ  รักาษาศีล 5 ซึ่งจะได้บุญที่บริสุทธิ์ ด้วยศรัทธาเต็ม 100 และถวายแด่เนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์เช่นกัน คือองค์ในหลวง  อานิสงส์บุญจึงส่งผลทันที   ขณะเราทำบุญเจ้ากรรมนายเวรก็จะอนุโมทนาบุญกับเรา  หรือขณะทำบุญเราก็อุทิศบุญตลอด  เมื่อเจ้ากรรมนายเวรได้บุญก็จะไปอยู่ในภพภูมิที่สูงๆขึ้นไป  ไม่เกาะเกี่ยวอยู่กับเรา ออกไป จากจุดที่เราเจ็บป่วย  เจ็บปวด เรามีสุขภาพดี งานดี เงินดี เราก็จะมีความสุข

    และเราก็ร่วมฝึกมโนมยิทธิ กับท่านอาจารย์ เราก็ได้ทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนา แล้วเอาจิตเกาะ หรือระลึกกับพระพุทธองค์ หรือบุญที่บ้านสวนฯ ตลอดเวลา ในที่สุดเราก็จะสามารถกลับบ้านนิพพาน ของเราได้

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 20:18:20


ความคิดเห็นที่ 645 (1563804)

แวะมาเหลานิดนึง

เมื่อวานท่าน อ.อุบล ได้สอนธรรมะพวกเรา

เกี่ยวกับเรื่องศีล และ อุเบกขา

ผลจากการที่ผิดศีลแต่ล่ะข้อ

มีตั้งแต่ลูกไม่เชื่อฟัง ดื้อ ครอบครัว ไม่มีความสุข

เจ็บไข้ โรคความจำเสื่อม

เสียทรัพย์ และอื่นๆอีกมากมายที่ผิดศีลแต่ล่ะข้อ

เดี๋ยวคงมีท่านที่ได้จดรายละเอียดไว้คงมาเหลาโดยละเอียด

ตอนท้าย เสด็จพ่อท้าวเวชสุวรรณ ได้มาให้โอวาทสั่งสอน

ลูกบ้านสวนฯเกี่ยวกับอุเบกขา และความสามัคคี

ให้ใช้ความสามัคคีและปัญญา

กอบกู้ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ซึ่งลูกๆบ้านสวนฯก้อได้รับปากท่านฯ

จะร่วมกันปกปักษ์รักษาบ้านสวนฯ

ซึ่งคือประเทศไทยจำลอง

ต้องสามัคคีกัน ไม่ใช่อุเบกขา

แบบทองไม่รู้ร้อน

นับแต่บัดนี้

ที่นี่ องค์พระปฐม ได้เสด็จมาแล้ว

หมู่มารทั้งหลายก้อรู้หมดแล้ว

เป็นที่เพ่งเล็งของพวกหมู่พญามาร

ที่จะมุ่งเข้ามาทำลายบ้านสวนฯ ของเรา

มีเพียงความสามัคคีและปัญญาเท่านั้น

ที่จะปกปักษ์รักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ได้

อยากขอความร่วมมือ

ให้ทุกท่าน ที่เข้ามาเรียนรู้ธรรมะ 

และเข้ามาอนุโมทนาบุญ จงช่วยร่วมแรง ร่วมใจกัน 

ปกป้อง บ้านสวนฯ และเว็ปฯแห่งนี้

ด้วยปัญญา ของท่านฯ อีกแรงน่ะครับ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 21:11:09


ความคิดเห็นที่ 646 (1563813)

 อนุโมทนากับพี่ก้อย พี่อ้อย และพี่ตั้มด้วยนะคะ

ขอร่วมเผยเเพร่ธรรมทานที่ได้รับฟังจากท่านอ.อุบล เพิ่มเติมนะคะ 

การที่มาใช้เเรงกายบ้านสวนพีระมิดเเล้วจะไปนิพพานได้อย่างไร

เนื่องจากบุคคลทั่วไปนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ ทั้งจากเรื่องปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเงิน ปัญหาครอบครัว ฯลฯ เมื่อมีทุกข์จิตใจของบุคคลก็ปิดยังไม่รับธรรมะ ดังนั้นท่านอ.จึงเมตตาให้พวกเราทุกคนมาใช้เเรงกายที่บ้านสวนพีระมิด เมื่อการทำบุญมีองค์ประกอบครบ 3 องค์ประกอบ คือ

(1).ผู้ที่ทำมีศรัทธาเต็ม 100

(2).วัตถุทานบริสุทธิ์(ซึ่งก็คือเเรงกายของเรา)

(3).ผู้รับบริสุทธิ์ก็คือบ้านสวนพีระมิด ( บ้านสวนพีระมิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์  และบุญทุกบุญที่ทำในบ้านสวนพีระมิดท่านอ.ก็นำถวายเเด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย )เนื้อนาบุญบริสุทธิ์

ทำให้เจ้ากรรมนายเวรอนุโมทนาบุญได้รับผลบุญเต็มที่  เค้าจึงอโหสิกรรมเพื่อไปเสวยสุขยังภพภูมิที่สูงยิ่งขึ้น ปัญหาต่างๆของพวกเราที่มาใช้เเรงกายบ้านสวนพีระมิดก็จะคลี่คลายลง

เมื่อหมดปัญหาเเล้วพวกเราที่มาก็จะมีจิตใจที่สบาย มีความสุข เเละมีความศรัทธาต่อท่านอ.อุบลและบ้านสวนพีระมิด  คราวนี้จิตใจก็จะเปิดรับธรรม  เมื่อท่านอาจารย์สอนธรรม และให้ปฏิบัติ  ก็จะตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มที่ด้วยความศรัทธาเต็ม 100ทั้งทาน ศีล ภาวนาที่ท่านอาจาย์สอน(การมาใช้เเรงกายยังเป็นการสั่งสมบุญบารมีด้านทาน และยังทำให้ผู้มาใช้เเรงกายมีร่างกายที่พร้อมรับเหตุการณ์ขั้วโลกพลิกอีกด้วย)  

ในที่สุดเมื่อพวกเราทุกคนปฏิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์   พวกเราก็จะได้ไปเเดนนิพพาน เเดนที่มีความสุขนิรันดร์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด หรือลงนรกให้ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไปค่ะ  สาธุ สาธุ  

หากอธิบายสิ่งใดผิดไป ขออภัยด้วยนะคะเป็นความผิดของผู้พิมพ์เองค่ะที่รับฟังมาไม่ครบถ้วนหรือเข้าใจไม่ถูกต้องเองค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ประภาสิริ ถาวร (มิ้ม) (prapasiri_mim-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 22:25:14


ความคิดเห็นที่ 647 (1563817)

 กราบขอขมาพระพุทธเจ้าและท่านอ.อุบลที่ก่อนหน้านี้ไอซ์เข้าใจในเรื่องอุเบกขาผิดไปอย่างมากมาย เพราะความโง่เขลาและขาดปัญญา

แต่มาตอนนี้ได้รับทราบ และขอน้อมนำไปปฏิบัิติ

อ.อุบลย้ำเตือนเสมอให้ทำทาน รักษาศีล และทำสมาธิ(วิปัสสนา)

เพื่อให้เกิด

1. ความร่ำรวย เหลือกิน เหลือใช้ มีใช้ไม่ฝืดเคือง

2. จิตบริสุทธิ์ ปิดประตูนรก ทั้ง 4 อันมีสัตว์นรก เปรต อสูรกาย และสัตว์เดรัชฉาน

3. ปัญญา อันนี้สำัคัญที่สุด

อันหลังนี้ไม่ได้ทำ ทำให้โง่มาก จนกระทั่งบ้านสวนเตียนไปเยอะ เพราะกินหญ้าหมด

บัดนี้ได้รับทราบแล้ว ขอน้อมนำไปปฏิัับัติ ว่าการอุเบกขาไม่ใช่การวางเฉย ช่างมัน เดี่ยวมันก็ได้รับกรรมของมันเอง

แต่เป็นการ วางเฉย ต่ออารมณ์โกรธ เศร้า เสียใจ ทุกข์ หรือแม้แต่สุข

แ่ต่ในการวางเฉยก็ใช้ปัญญา คิดพิจารณาไปด้วย

เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงวางเฉยไม่โกรธ ที่พรามณ์ผู้นั้นล่วงเำกินพระองค์

แต่พระองค์มิได้ปล่อยให้พรามณ์ผู้นั้น ล่วงเกินพระองค์่ฝ่ายเดียว

แต่พระองค์ทรงใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมโต้กลับไป

ที่ทำให้พรามณ์ผู้นั้นอับอายเพื่อสั่งสอนที่เค้าได้กระทำล่วงเกินพระองค์

แต่พระองค์ก็มีความเมตตาที่จะกู้หน้าให้พรามณ์ผู้นั้นด้วยการยกย่องตระกูลของเค้า

ที่มีความเพียร จนได้เป็นอย่างทุกวันนี้ พร้อมทั้งได้สอนธรรมให้แก่พรามณ์ผู้นั้นด้วย


ที่นี้ขอตอบคำถามของท่านท้าวเวสสุวรรณค่ะ

ตอบข้าซิ

 

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

แล้วทำไมต้อง

เป็นใบ้

นั่นเป็นเพราะ มีปากแต่ไม่ยอมพูดไม่ใช้ปากนั้นปกป้องผู้มีพระคุณ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

หรือแม้แต่ เพื่อนๆของเราเมื่อมีคนเข้ามาล่วงเกิน ทำร้ายด้วยคำพูด เพราะถือเอาว่าช่างมันไม่ใช่เรื่องของเรา

 

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด

ใครตอบได้

ข้าจะให้รางวัล

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

 

นั้นเพราะ มีมือ มีนิ้ว มีแขนขา แต่ไม่่ยอมใช้สิ่งเหล่านี้

ในการปกป้องผู้มีพระคุณ ชาิติ ศาสนา พระมหากษัิตริย์

ได้แ่ต่อ่าน แล้วผ่านเลย คิดแต่ว่าไม่ใช่เรื่องของตัว เด๋วก็มีคนอื่น

เข้ามาเขียนตอบโต้ ป้องกันเอง โดยที่เราพร้อมจะทำได้ แต่ไม่ยอมทำ

ทุกคนมีนิ้ว แขน ขา ปาก เพื่อใช้ในการทำความดี ตอบแทนพระคุณผู้มีพระคุณ

ตอบแทนคุณ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่กลับปล่อย

ปากบอกว่ารัก แต่กลับนิ่งเฉย

ไม่ทำ ได้แต่ดู อ่าน แล้วนิ่งเฉย

ไม่ลุกขึ้นมาปกป้อง สิ่งที่ตัวเองบอกว่ารัก บอกว่าเทิดทูน

รอให้คนอื่นเดินเข้าไปช่วย เข้าไปพูด เข้าไปพิมพ์

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยเดินเข้าไปแสดงความช่วยเหลือ

ห่วงใย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตนเองควรที่จะทำสิ่งเหล่านี้แต่กลับไม่ทำ 

ได้แต่เฉยและมองดู

 

 


 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 22:31:17


ความคิดเห็นที่ 648 (1563835)

 โมทนาทุกความดีของทุกท่านนะครับสาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-14 22:51:41


ความคิดเห็นที่ 649 (1563854)

ขออนุโมทนาบุญกับน้องก้อย  คุณมิ้ม คุณอ้อย คุณไอซ์

และ คุณตั้มได้เขียนไว้ เห็นภาพชัดเจนมาก

ตอนท้าย เสด็จพ่อท้าวเวชสุวรรณ ได้มาให้โอวาทสั่งสอน

ลูกบ้านสวนฯเกี่ยวกับอุเบกขา และความสามัคคี

ให้ใช้ความสามัคคีและปัญญา

กอบกู้ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ซึ่งลูกๆบ้านสวนฯก้อได้รับปากท่านฯ

จะร่วมกันปกปักรักษาบ้านสวนฯ

ซึ่งคือ    ประเทศไทยจำลอง

ต้องสามัคคีกัน ไม่ใช่อุเบกขา แบบทองไม่รู้ร้อน

นับแต่บัดนี้ ที่นี่ องค์พระปฐม ได้เสด็จมาแล้ว

หมู่มารทั้งหลายก้อรู้หมดแล้ว

เป็นที่เพ่งเล็งของพวกหมู่พญามาร

ที่จะมุ่งเข้ามาทำลายบ้านสวนฯ ของเรา

มีเพียงความสามัคคีและปัญญาเท่านั้น

ที่จะปกปักษ์รักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ได้

อยากขอความร่วมมือ

ให้ทุกท่าน ที่เข้ามาเรียนรู้ธรรมะ 

และเข้ามาอนุโมทนาบุญ จงช่วยร่วมแรง ร่วมใจกัน ปกป้อง บ้านสวนฯ และเว็ปฯแห่งนี้

ด้วยปัญญา ของท่านฯ อีกแรงน่ะครับ


 ลูกกราบขอขมาอาจารย์ที่ลูกอุเบกขาแบบผิดๆ

เพราะความโง่เขลาเบาปัญญา

ต่อนี้ไปลูกจะตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ปกป้องชาติ ศาสนา

พระมหากษัตริย์ ปกป้องผู้มีพระคุณ ปกป้องอาจารย์

และบ้านสวนพีระมิด 

ผู้แสดงความคิดเห็น ณี พรรณี ศรีทะชะ (punnee-dot-nee-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 02:12:23


ความคิดเห็นที่ 650 (1563858)

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไช่เรื่องบังเอิญ

ประเทศไทยจำลอง

บ้านสวนพีระมิด

อาจารย์อุบล โดนปรามาส


ประเทศไทย

สถาบันพระมหากษัตริย์ โดนปรามาส


 

 

 

ตอนนี้มีเวปไซด์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

แต่คนไทยส่วนใหญ่อุเบกขาแบบผิด ๆ

จึงขาดปัญญา ไม่สามารถจัดการอะไรได้

 

ทุกคนมีนิ้ว แขน ขา ปาก เพื่อใช้ในการทำความดี

ตอบแทนพระคุณผู้มีพระคุณ

ตอบแทนคุณ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

แต่กลับปล่อย

ปากบอกว่ารัก แต่กลับนิ่งเฉย

ไม่ทำ ได้แต่ดู อ่าน แล้วนิ่งเฉย

ไม่ลุกขึ้นมาปกป้อง สิ่งที่ตัวเองบอกว่ารัก

บอกว่าเทิดทูน

ผู้แสดงความคิดเห็น ณี พรรณี ศรีทะชะ (punnee-dot-nee-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 02:37:27


ความคิดเห็นที่ 651 (1563861)

อนุโมทนากับธรรมทานที่ทันเหตุการณ์

รวดเร็วและส่งตรงถึงผู้อ่านได้แบบทันใจมากๆ

ทั้งจากน้องก้อย คุณอ้อย คุณพี่ตั้ม คุณมิ้ม คุณไอซ์ด้วยค่ะ สาธุ..

ทำให้เรามีความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งๆขึ้นในเรื่อง

ของการทำบุญในระดับต่างๆ และที่สำคัญเน้นและย้ำ

กันอีกครั้งว่า "การอุเบกขา"ในแบบที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร ..

 

สาธุ สาธุ กับทุกๆธรรมทานเลยนะคะ

 

และกราบขอบพระคุณเบื้องบนทุกๆพระองค์

ท่านอ.อุบล อ.มงคล และคุณท้อป ด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 02:50:31


ความคิดเห็นที่ 652 (1563902)

ร่วมใช้ปัญญาและความสามัคคี  เพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  

ท่านสอนให้ใช้ปัญญาและความสามัคคี ร่วมกันรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  การที่เราเคารพรักทั้ง 3 สถาบันแต่นิ่งเฉยไม่แสดงออกด้วยปัญญาเมื่อมีคนมาดูหมิ่น ลบหลู่หรือคิดทำลายสถาบัน  การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่อุเบกขา  อุเบกขาที่ถูกต้องคือใช้ปัญญา ช่วยเหลือด้วยความรัก ความเมตตา ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างถึงที่สุด  เมื่อถึงที่สุดแล้วยังแก้ปัญหานั้นไม่ได้จึงปล่อยวางไม่ทุกข์ไปกับปัญหานั้น  เพราะเราได้ใช้ปัญญา ความรัก ความเมตตา อย่างที่ถึงที่สุดแล้ว

การที่มีบุคคลมาลบหลู่หรือคิดทำลายบ้านสวนพีระมิด และอ.อุบล    บุคคลนั้ถือว่าประสงค์ร้ายต่อ 3 สถาบันเช่นกัน  เพราะงานทุกงานที่อ.อุบลทำล้วนเป็นไปเพื่อช่วยรักษา 3 สถาบันหลักทั้งสิ้น บุคคลที่ไม่หวังดีต่อ 3 สถาบันจึงจ้องที่จะทำลายบ้านสวนพีระมิดและอ.อุบล ถ้าทุกคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยใจจริง  ก็ต้องร่วมมือกันปกป้องไม่ให้ใครมาทำลายบ้านสวนพีระมิดและอ.อุบล  เมื่อทุกคนทำเช่นนั้นด้วยปัญญา ความรัก ความเมตตาถึงที่สุดแล้ว แล้วจึงทำจิตวางเฉยต่อความทุกข์ที่เกิดขึ้น เมื่อนั้นท่านจึงได้ถือว่าทรงอุเบกขา 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประภาสิริ ถาวร (มิ้ม) (prapasiri_mim-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 10:00:36


ความคิดเห็นที่ 653 (1563917)

ขอร่วมอนุโมทนากับอ.อุบล อ.มงคล น้องท็อป  และกัลยาณมิตรบ้านสวนพีระมิดทุกท่านคะ  อุเบกขาในฉบับของฉันคือเราช่วยเขาไม่ได้วางเฉย (เราพยายามช่วยแล้ว)

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 11:53:34


ความคิดเห็นที่ 654 (1563926)

****ต่อไป..ขอเอาอุเบกขาวาง...ลุยอย่างเดียว...***สำหรับผู้ที่คิดร้ายกับบ้านสวนเรา

คิดถึงท่านอ.ทั้ง2 มากๆๆๆๆๆๆๆ คิดถึงลูกบ้านสวนทุกคน คิดถึงบรรยากาศที่เป็นบุญบันเทิง..

ไม่ได้ไปบ้านสวน 2 อาทิตย์ นานมาก เหมือน 20 ปี...

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 12:19:00


ความคิดเห็นที่ 655 (1563933)

 ขอเพิ่มเติมเล็กน้อยคะ่

สมเด็จองค์ปฐมเสด็จมาบ้านสวนแล้ว 

สิ่งที่ท่านและเบื้องบนบอกพวกเราคือ

ให้เรา สามัคคี ใช้ปัญญา อย่าเห็นแก่ตัว

อาวุธที่ท่านให้เราคือปัญญา

อย่านิ่งดูดาย ให้รวมกลุ่มกันไว้

เหมือนไม้ซุง อย่าทำตัวเป็นไม้ซีก

พวกเราต้องสามัคคี ใช้ปัญญา

 เพราะเมื่อใดแตกสามัคคี บ้านพัง ประเทศชาติสูญสิ้น

ทำไมถึงต้องพูดกันเรื่องอุเบกขา 

เพราะที่ผ่านมาอุเบกขา (แบบผิดๆ) 

ทำให้เราเสียอะไรมามากต่อมากแล้ว 

อย่าลืมว่าพวกเราอธิษฐานจิตตาม อ.อุบลลงมา

เพื่อกอบกู้ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ค่ะ

ให้จำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ไว้นะค่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 12:47:31


ความคิดเห็นที่ 656 (1563934)

ขอกราบขอบ อุบล อ.มงคลน้องท็อป+ทุกท่านที่ให้ความกระจ่างคำว่าอุเบกขา เราต้องสร้างกองทัพใหม่...กองทัพธรรม  ที่มีเสนาธิการผู้ฉลาด  มีแม่ทัพกล้าหาญ  มีทหารเกรียงไกรแกล้วกล้า  แต่ต้องต่อสู้กับกิเลส  ใครอาสาสมัครเป็นทหารนี้บ้าง (ยกมือด้วยคะ) หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุอนุโมทามิ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 12:49:34


ความคิดเห็นที่ 657 (1563939)

ก้อยขอเพิ่มเติมคำพูดบางส่วนที่ท่านท้าวเวสสุวรรณให้ข้อคิดในเรื่องความสามัคคีผ่านพี่ธนาค่ะ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: พวกเห็นแก่ตัว กูเบื่อพวกมึง มึงจะปล่อยให้ใครเข้ามาทำลายพวกมึง พวกมึงมาทำอะไร เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ บุณมึงอยู่ไหน ใครพามึงมาเอาบุญ

ลูกบ้านสวนฯ: อาจารย์อุบลค่ะ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: ปากมึงรู้ ปากมึงดี ใครเข้ามาก็ได้ มึงเห็นลูกกูเป็นอะไร ขี้ข้าใช่ไหม ลูกกูมีปัญหา มึคนมาทำลูกกู กูเห็นความโง่ โง่ดักดาน โง่ไม่ลืม อยากจะเอา อยากจะได้ เอาแต่นอน ไสหัวไป อย่ามาอีก มึงไม่สนใจคนพาไปนิพพาน ทำไมมึงไม่ร่วมมือดูแล มึงบอกว่ารัก แต่มึงไม่สนใจ คนโง่อย่างมึงเหรอจะไปนิพพาน คนมาเผาบ้าน มึงบอกอุเบกขา บ้านเมืองเป็นไฟ พระเจ้าอยู่หัวต้องการคนดี คนรักชาติออกมาคุ้มครองพระองค์ มึงรักแต่ตัวเอง ผู้นำมึงไม่รัก บ้านไม่มีจะอยู่ ผู้นำไม่มี ใครจะพามึงไปนิพพาน ไอ้พวกเลว ๆ จะเข้ามาทำลาย อ. อุบล เมื่อไหร่พวกลูกจะเลิกโง่ บ้านเมืองลุกเป็นไฟ คนชั่วครองเมือง แต่พวกมึงเอาแต่อยากจะหาย อยากจะรวย ไอ้ลูกหลานโง่ ๆ พวกมึงเหรอจะพาชาติเจริญ ช่วยพระเจ้าอยู่หัว ช่วยยังไง บอกกูมา??

อ. อุบล: จะให้ทำยังไง ถึงจะกอบกู้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: ปัญญาพวกมึงคือทางออก เลิกโง่ลูกเอ๋ย คิดๆๆ ใครเข้ามาก็ปล่อยให้เขาเข้ามา มึงไม่หาทางคิด ๆ อันดับแรก พวกมึงเห็นแก่ตัว เลิกๆๆ เรื่องกู ๆ ไม่เอา คิดอย่างเดียว ไม่ใช่เรื่องของกู พวกมึงทำอะไรให้แผ่นดิน พวกมึงไม่เปิดจิตเปิดใจ อยากนิพพาน แต่มึงไม่เปลี่ยน อย่าหวังช่วยลูกกูพาชาติเจริญ ปัญญาพวกมึง ปัญญามีไว้ คิดก่อนทำ พวกมึงรักกันได้ไหม?

ลูกบ้านสวนฯ: ได้ค่ะ/ ครับ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: พวกมึงรักกันไม่ได้ ใครก็เข้ามาได้ ตีมึงแตก ๆ ปัญญาจะพาเจ้าพ้นภัย พาเจ้าไปโน่น! "นิพพาน" ลูกกูทำให้ใคร?

ลูกบ้านสวนฯ: พระเจ้าอยู่หัวค่ะ/ ครับ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: พวกมึงจะช่วยลูกกูไหม?

ลูกบ้านสวนฯ: ช่วยค่ะ/ ครับ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: ยังไง!

ลูกบ้านสวนฯ: รักกัน สามัคคีกัน

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: สำคัญมาก พวกมึงเหมือนไม้ซีก ไม่กลมเกลียว ใครเข้ามาหักมึง ตาย ๆๆ ก่อนอื่นกูบอกให้พวกมึงทำยังไง?

ลูกบ้านสวนฯ: เลิกเห็นแก่ตัว รัก สามัคคี ใช้ปัญญา แสดงความคิดเห็นโดยใช้หลักธรรม

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: มึงจำได้ ยังงี้ซีลูกเอ๋ย โง่มานาน

อ. อุบล: คนที่เขียนเว็บไม่เป็นจะทำยังไง

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: กูเบื่อข้ออ้างจริง ๆ มึงเขียนมา คนพิมพ์เยอะแยะ แต่พวกมึงเอาแต่นอน ขี้เกียจ!

อ. อุบล: ถ้าเขียนแล้ว สักแต่ว่าเขียนล่ะเจ้าค่ะ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: กูรู้ตั้งแต่พวกมึงคิดแล้ว...พวกมึงเห็นแก่ตัว คอยนั่งอ่าน นั่งฟัง ลุ้น สะใจ...เวลามันน้อยแล้ว ไม่มีเวลาแล้วลูกเอ๋ย พวกเจ้าคือกองกำลังของชาติ ที่นี่คือประเทศไทยจำลอง จำไว้วันนึงเจ้าจะได้ช่วยชาติแน่นอน...
 

ผู้แสดงความคิดเห็น ก้อย วินิตา สุทธิวรา (pooyingnaya-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 13:13:59


ความคิดเห็นที่ 658 (1563940)

กราบขอบพระคุณท่านท้าวเวสสุวรรณ และท่านอาจารย์อุบลคะ

ขอบคุณทุกท่านที่เขียนเล่าเหตุการณ์และเนื้อหาสาระที่อาจารย์สอนด้วยคะ

จะพยายามสลัดความขี้เกียจและนิสัยชั่ว ๆ ออกไปให้ได้มากที่สุดเจ้าคะ

ตั้งใจจะทำงานใหญ่ อุปสรรคก็ต้องมากเป็นธรรมดา เป็นกำลังใจให้ทุกท่านด้วยนะคะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 13:27:20


ความคิดเห็นที่ 659 (1563967)

อนุโมทนาบุญในธรรมทานกับท่านอ.อุบล และพี่ๆน้องๆบ้านสวนทุกคนค่ะ สาธุ..

ถึงเวลาที่พวกเราต้อง Action โต้ตอบ ที่ผ่านมา ด้วยสติปัญญาที่ต่ำต้อย..

คิดกลัวว่าถ้าโต้ตอบกับพวกที่ปรามาสท่านอ.และบ้านสวนจะเกิด..เหตุการณ์บานปลาย

ทำให้เกิดภาพลักษณ์ ที่ไม่ดี ต่อบ้านสวน....

เราควรจัดระบบการกลั่นกรอง และป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ เช่นนี้อีกค่ะ

โดยอาจจะเซตให้เป็นระบบ..เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของการรับผิดชอบ ค่ะ

...ท่านอ.ค่ะ ลูกศิษย์ทุกคนกราบขอโทษ ขออภัยที่ ผ่านมาไม่ทำหน้าที่ของตนเอง...และคอยอยากแต่จะให้ท่านอ.ช่วยโน้นช่วยนี่ อยู่ร่ำไป บัดนี้สำนึกผิดทุกประการค่ะ.................กราบแทบเท้าท่านอ.ทั้ง2ค่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 16:09:32


ความคิดเห็นที่ 660 (1563998)

ขออนุโมทนาบุญ กับทุกๆท่านด้วยครับ ที่นำธรรมมะ มาเล่าให้ฟัง เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง จากที่เป็นคน "เห็นแก่ตัว"  จริงๆเรื่องที่ได้ เกิดขึ้นใน facebook เคยลองๆอ่าน กฏหมายทาง อินเตอร์เนท เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เพื่อนๆลองเข้าไปอ่านดูนะครับ 

  http://www.justusers.net/forum/index.php?topic=4922.0

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 19:31:10


ความคิดเห็นที่ 661 (1564004)

กราบพระบาท

เสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณ

และอ.แม่อุบล เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา กะตะศิลา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 19:57:12


ความคิดเห็นที่ 662 (1564121)

image

จากความเห็นที่ 656

แต่ ตุ้ย ก็มิได้นำพา

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 11:34:25


ความคิดเห็นที่ 663 (1564126)

 จากข้อความ 656 

ที่ตุ้ยได้เขียนไปนั้น หากมีอะไรที่ไม่บังควร

ก็ต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้นะคะ

เนื่องจากได้ตรวจสอบดูแล้ว 

เห็นว่าเป็นธรรมทานที่เบื้องบนสื่อบอกลูกหลาน

และเป็นประโยชน์กับลูกบ้านสวนอีกหลายท่าน

ที่ไม่ได้ไปบ้านสวนด้วยตัวเอง

จึงได้นำมาถ่ายทอด มิได้มีเจตนาเป็นอื่น

หากสิ่งที่เขียนเป็นธรรมทานนี้มันเลวร้ายจนเกินรับ

ตุ้ยก็จะขอรับผิดนี้แต่เพียงผู้เดียวค่ะ

และเบื้องต้นได้แก้ไขข้อความบางส่วนแล้ว

ขอบคุุณพี่ ๆ ที่เมตตาเตือนค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 12:21:21


ความคิดเห็นที่ 664 (1564137)

ตุ้ย คร๊าบ

พิจารณาดูใหม่นะ

คุณพ่อขอร้อง

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 13:11:29


ความคิดเห็นที่ 665 (1564145)

 แก้ไขแล้วค่พี่ 

ถ้ายังไม่ถูกต้องแจ้งมาได้นะค่ัะ 

ตุ้ยเองบางครั้งก็คาดไม่ถึงค่ะ

แต่จะแก้ไขให้เหมาะสมค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 13:22:25


ความคิดเห็นที่ 666 (1564154)

ขอบคุณมากค่ะพี่ตุ้ย นี่แหละลูกบ้านสวนตัวจริง

พวกเราต้องสามัคคีกันและที่สำคัญ

เชื่อฟังคำสั่งของอ.อุบลของพวกเรา

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 13:50:58


ความคิดเห็นที่ 667 (1564155)

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นบททดสอบพวกเราลูกบ้านสวนฯ ว่าเมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น พวกเราจะใช้ปัญญา หรือ อารมณ์ในการแก้ปัญหา พวกเค้า... คงอยากให้พวกเราแตกความสามัคคี  และกระเด็นหลุดออกไปจากบ้านสวนฯทีละคน  ทีละคน  จนไม่เหลือใครที่จะอยู่ช่วยอาจารย์

    ซึ่งขอชื่นชมทุกๆท่านที่ได้ใช้สติปัญญา  ใช้ความเมตตา ในการพูดคุยกัน ในโลกนี้ไม่มีใครผิดหรอกค่ะ ถ้ามองจากมุมมองของคนๆนั้น 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 13:51:45


ความคิดเห็นที่ 668 (1564186)

บางครั้ง!

 เรามองหา "สิ่งที่ขาด"  ( บุญ )

จนพลาด! "สิ่งที่มี" ( บุญ )

...และบางที!

ก็เฝ้าหา

"สิ่งที่ดี"  (โอกาส )

จนทำให้

"สิ่งดี ๆ ที่มี"  (โอกาส +บุญ )

นั้นหายไป !!! ..

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 15:20:16


ความคิดเห็นที่ 669 (1564192)

เรียนลูกบ้านสวนทุกๆท่านค่ะ..

ได้อ่านข้อความไล่มาจนหมดที่ทุกท่านได้เขียนไว้..ตั้งแต่ตนเองไปต่างจังหวัด..ขออนุญาตสรุปดังนี้

1. การที่บางท่านเข้ามาแล้วพบลูกบ้านสวนบางท่าน แสดงกิริยาต่างๆนั้น..อาจเป็นเพราะว่าเรามีอัตตา ตัวตน

หรือ มีความคาดหวัง ต่างๆนาๆ มาก่อนแล้ว..ถ้าเราเห็นแล้ว เพียงแต่คิดว่า เราอาจเคยทำกิริยา ท่าทาง

อย่างนี้กับผู้อื่นมาก่อนหรือไม่(เศษกรรมเก่า)...หรือเราอาจจะมองแล้วเก็บมาคิดพิจารณาว่า

**เราจะไม่ทำอย่างนั้นกับผู้อื่นอีก**เป็นการเตือนตนค่ะ

แต่โดยส่วนตัวไม่เคยเจอลูกบ้านสวนที่ทำอย่างนั้นค่ะ ทุกคนน่ารักมากๆๆ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่..//ที่สำคัญเป็นกันเองสุดๆ

2. การแสดงความคิดเห็นในงานต่างๆ ของลูกบ้านสวน บางครั้งมีการแสดงความคิดเห็น แต่ก็จะมีผู้คัดค้าน

ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติในทุกองค์กร***แต่กรณีบ้านสวน อยากให้ผู้ที่คัดค้าน ได้นำเสนอข้อคิดเห็นที่ต่าง

หรือขอให้มีทางออก ข้อเสนอแนะที่น่าจะดีกว่า..ไม่ใช่ค้านแล้วจบ..เพราะมันไม่ก่อประโยชน์ใดๆๆ

ถ้าพวกเราฝึกฝนตรงนี้ได้ ก็เท่ากับว่า พวกเรามีความเป็นหนึ่ง สมัครสมานสามัคคี กลมเกลียว เป็นหนึ่งจริงๆๆ

งานเล็ก หรืองานใหญ่ๆก็จะสำเร็จได้ง่าย.....

3. เรายังไม่มีระบบที่ชัดเจน...ในเรื่องการติดตาม รักษาความปลอดภัย ทั้งคน สัตว์สิ่งของ ที่อยู่ในบ้านสวน

ขอเสนอให้ผู้ที่ไปประจำเป็นหลักในการ จัดระบบนี้ และมีผู้ช่วยในการสอดส่อง  ดูแล การเคลื่อนไหวต่างๆ

 มีการสื่อสารที่ง่าย ชัดเจน รัดกุม เมื่อมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น (ใช้มือถือให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ควรมีศูนย์กลางที่เป็นผู้ประสาน หรือบันทึกเบอร์โทร ผู้ที่รับผิดชอบในแต่ละขอบเขต)

....ขอให้กำลังใจทุกท่านค่ะ .**เราทำได้ถ้าได้ทำ  ทำไม่ได้เพราะไม่ได้ทำ**

งานส่วนตัวเรายังทำได้ แล้วงานบุญทำไมเราจะทำไม่ได้

***********บุญเท่านั้นที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ............................

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 15:37:44


ความคิดเห็นที่ 670 (1564250)

 

บทเรียนต่างๆกำลังเข้ามาเพื่อเป็นบททดสอบ

ความรัก ความสามัคคี

และมองเห็นประโยชน์ส่วนรวม

มากกว่าส่วนตน

กล้าที่จะยอมรับจุดบกพร่องและมองเห็น

จุดหมายเดียวกัน

และช่วยกันแก้ไข ฉุดกันเพราะเราคือพี่น้องกัน

เพื่อทำงานเป็นทีม

งานใหญ่คือช่วยงานท่านอาจารย์รออยู่

บททดสอบที่ดูเหมือนว่าธรรมดาแต่อาจไม่ธรรมดา เพราะบททดสอบนี้แสดงให้เห็นว่าลูกหลานบ้านสวนเราทุกคน พวกเรายังรักกันไหม พร้อมที่จะรับฟังกันไหม และสุดท้ายพวกเราทิ้งกันหรือเปล่า และปัญหาใหญ่ๆรอพวกเราอยู่อีกมากมาย

อย่างน้อยที่สุดดีใจนะครับ วันนี้พอมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น พี่ๆน้องๆเราต่างโทรหากันและกัน ถามไถ่ เสนอแนวทางแก้ไข ปัญหา ร่วมด้วยช่วยกัน และสุดท้าย หลายๆท่านคิดตรงกัน คือมองไปข้างหน้าด้วยกัน เพราะต่างเห็นตรงกันว่านี่คือบททดสอบของความสามัคคี เรายิ่งต้องรักกันมากกว่าเดิม ยิ่งขึ้นๆ จำไว้นะครับ สำคัญที่สุดคือ อะไรก็ตามแต่ที่ผู้นำของเรา คือ ท่านอาจารย์อุบลสอนไว้แล้ว หรือ ให้ปฏิบัติตาม พวกเราควรปฏิบัติตามผู้นำทันที และต้องพร้อมเพรียงกัน

หากพวกเราเชื่อ และทำตามผู้นำของพวกเรา เกาะกันให้เหนียวแน่น ปรับสิ่งที่บกพร่องด้วยกัน อุปสรรคอะไรก็ไม่สามารถทำลายพวกเราได้แน่นอน เพราะงานอันยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ต้องการลูกหลานที่จับมือ เดินไปด้วยกัน พร้อมกัน บนทิศทางอันเดียวกัน

ขอบคุณน้องตุ้ยมากครับ สำหรับการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง โดยสุดท้ายน้องสาวคนนี้ได้รู้เท่าทันว่าเป็นบททดสอบความรัก ความสามัคคีของพวกเรา โดยมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆมาช่วยกันเป็นครูสอนกันและกัน แม้ว่าจะมีปัญหาบ้าง และคิดต่างกันบ้าง แต่สุดท้ายเราก็มองมุ่งหมายสูงสุดอันเดียวกัน และผ่านมันไปได้ อย่าท้อนะครับ รักกันไว้มากๆนะครับ นี่แค่น้ำจิ้มครับ สู้ๆๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 22:28:31


ความคิดเห็นที่ 671 (1564261)

 

 แก้ไขแล้วค่ะพี่ 

ถ้ายังไม่ถูกต้องแจ้งมาได้นะค่ัะ 

ตุ้ยเองบางครั้งก็คาดไม่ถึงค่ะ

แต่จะแก้ไขให้เหมาะสมค่ะ

ตัวเล็ก

ขอขอบคุณน้องตุ้ย

***/***/***

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 23:32:21


ความคิดเห็นที่ 672 (1564299)

 ขอกราบขอบพระคุณเสด็จท่านท้าวเวสสุวรรณ อาจารย์แม่

และพี่ๆทุกคนด้วยค่ะ

ที่มาคอยเตือน สั่งสอน กันบ่อยๆให้เรารู้ตัว

ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ 

ลงมาบนโลกนี้เพื่ออะไร เคยตั้งสัจจะอธิษฐานอะไรไว้

จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ

ถึงแม้จะช่วยอะไรได้ไม่เยอะ

แต่ก็จะไม่ทำให้อาจารย์แม่และพี่ๆทุกคนต้องหนักใจ

และจะคอยปกป้องดูแลบ้านสวน 

เท่าที่จะทำได้ค่าาา 

หญิงสู้ตายค่าาาาา อิอิ

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 03:46:59


ความคิดเห็นที่ 673 (1564315)

 

ขอบคุณน้องตุ้ยมากครับ สำหรับการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง โดยสุดท้ายน้องสาวคนนี้ได้รู้เท่าทันว่าเป็นบททดสอบความรัก ความสามัคคีของพวกเรา โดยมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆมาช่วยกันเป็นครูสอนกันและกัน แม้ว่าจะมีปัญหาบ้าง และคิดต่างกันบ้าง แต่สุดท้ายเราก็มองมุ่งหมายสูงสุดอันเดียวกัน และผ่านมันไปได้ อย่าท้อนะครับ รักกันไว้มากๆนะครับ นี่แค่น้ำจิ้มครับ สู้ๆๆๆ

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ดีใจจังที่ทุกคนมองออก

นี่คงเป็นบททดสอบ

บทแรกของพวกเราน่ะ

แค่น้ำจิ้ม(ลุงธนา พูดถูกจ้า)

ขอให้เพื่อนๆลูกบ้านสวนฯตัวจริง

อย่ามองเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะจ๊ะ

มันจะทำให้พวกเราแตกความสามัคคีได้

ถ้าพวกเราเปิดใจ

รับคำเตือนและความเห็นของผู้อื่น

โดยไม่ยึดเอา อัตตา ของตนเอง

เป็นใหญ่ ความสามัคคีย่อมเกิดขึ้นจ้า

ยังมีบททดสอบอีกเยอะครับ

สำหรับลูกบ้านสวนฯตัวจริง

อย่าย่อท้อกันล่ะ ....สู้ๆๆ

(ลงท้ายเหมือนซีรี่ยอดมนุษย์อุลตร้าแมน555)

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 10:12:54


ความคิดเห็นที่ 674 (1564320)

จากปัญหาเหตุการณ์ของข้อความ 656 ของพี่ตุ้ย ก่อนหน้านี้ ก้อยก็เห็นดีเห็นงามไปกับพี่ตุ้ยด้วย

เพราะคิดเหมือนกันว่าน่าจะเป็นธรรมทานให้แก่ลูกบ้านสวนฯ ที่ไม่ได้ไปในวันนั้น  และลูกบ้านสวนฯ ตัวจริงที่ไม่เคยมีโอกาสได้มาบ้านสวนฯ เลย

รู้สึกไม่สบายกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ยังไงจะพยายามเข้าใจ และใช้ปัญญาเท่าที่มีอยู่น้อยนิดพิจารณา

และจะระลึกไว้เสมอว่าเรามาบ้านสวนฯ เพื่ออะไร..

ผู้แสดงความคิดเห็น ก้อย วินิตา สุทธิวรา (pooyingnaya-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 10:32:44


ความคิดเห็นที่ 675 (1564322)

อ. อุบล: ถ้าเขียนแล้ว สักแต่ว่าเขียนล่ะเจ้าค่ะ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ: กูรู้ตั้งแต่พวกมึงคิดแล้ว...พวกมึงเห็นแก่ตัว คอยนั่งอ่าน นั่งฟัง ลุ้น สะใจ...เวลามันน้อยแล้ว ไม่มีเวลาแล้วลูกเอ๋ย พวกเจ้าคือกองกำลังของชาติ ที่นี่คือประเทศไทยจำลอง จำไว้วันนึงเจ้าจะได้ช่วยชาติแน่นอน...

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 10:36:58


ความคิดเห็นที่ 676 (1564326)
image

 มาแว้วค่ะ มาแว้ว 

ก่อนอื่นต้องกราบขอขมาท่าน อ.อุบล ด้วยค่ะ

ที่ตุ้ยได้นำข้อมูลอันล่อแหลม เผยแพร่ออกไป

โดยประมาทพลาดพลั้ง และ รู้เท่าไม่ถึงการณ์

แต่จะขอน้อมรับ และจะแก้ไขตนต่อไปค่ะ

และต้องขอขอบคุณพี่ๆ น้อง ๆ ลูกบ้านสวนทุก ๆ ท่าน

ที่ให้ข้อคิด เกร็ดธรรมมะ ที่ดีมากๆ ซาบซึ้งใจเป็นที่สุด

กับเหตุการณ์นี้ตุ้ยเองเหมือนกำลังเจอบททดสอบ

ของเรื่องความสามัคคี 

ทำให้คิดถึงสิ่งที่เบื้องบนเน้นย้ำเราเรื่องความสามัคคี และใช้ปัญญา

แบบฝึกหัดนี้ได้ครบเลยค่ะ ได้ใช้ทุกข้อที่กล่าวมา

และได้มองย้อนดูตัวเองด้วยว่า

เรายังยึดอัตตาตัวตนของเราเองอยู่

ยังมองหาว่าใครผิดใครถูก

โดยลืมไปว่าเป้าหมายอันสูงสุดของเรานั้น คืออะไร

หน้าที่ ที่เราได้รับมานั้นคืออะไร

คำตอบคือ เพื่อช่วย อ.อุบล มากอบกู้

แล้วเรื่องส่วนตัวของเราล่ะ มันเล็กน้อยมาก

วางมัน ลดอัตตาของตัวเอง 

เพราะเป้าหมายเรานั้นยิ่งใหญ่

เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เราต้องขจัดมันไปให้ได้

จึงได้เกิดปัญญาค่ะ

และต้องกราบขอขมาและขออโหสิกรรมทุกท่าน

ที่ตุ้ยได้ล่วงเกิน ด้วยกาย วาจา ใจ 

ทั้งด้วยเจตนา และไม่เจตนา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี

ขออโหสิกรรมทุกท่าน มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

แถมอีกนิดค่ะ เหมือนเรื่องนี้จะเป็น

บททดสอบที่เหมาะเจาะกับช่วงนี้มากนะคะ

เพราะตอนตุ้ยพิมพ์ข้อความ 565 และส่งไปนั้น 

กระทู้นี้ผ่านฉลุยค่ะ ไม่มีติดขัดใดๆทั้งสิ้น

อยากบอกว่า ทุกอย่างไม่มีเรื่องบังเอิญค่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 10:54:13


ความคิดเห็นที่ 677 (1564334)

ถึงน้องตุ้ย..ผู้น่ารักค่ะ

โมทนาสาธุ ในจิตที่เป็นกุศล สาธุค่ะ...

พี่สุขอให้กำลังใจนู๋ค่ะ  น้องไม่ได้ผิดน่ะค่ะ.. 

พี่ๆน้องๆเรา ยังรักและเป็นห่วงน้องเช่นเดิม..คือถ้าคนไหนเรารัก เขาก็กล้าเตือน

แต่ถ้าตรงกันข้าม เราก็จะเฉยเมย ....แต่ถ้าเราเป็นลูกบ้านสวนแล้ว ความเฉยเมยต้องไม่มี..

เป็นการบอกในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม เหมาะสม น่ะค่ะ..

...อยากให้พี่ๆน้องๆลูกบ้านสวนปรบมือดังๆๆๆๆๆๆๆๆๆให้กับน้องตุ้ยค่ะ...(ขณะที่เขียนทำไมขนแขน stand up ก็ไม่รู้ค่ะ)

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 11:29:11


ความคิดเห็นที่ 678 (1564335)

ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ

ในชีวิตไม่เคยรู้จักคำว่า จริงใจ เลย

และไม่เคยรู้ด้วยว่า ความจริงใจ ที่แท้เป็นอย่างไร

จนมาได้พบ อ.อุบล และได้มาพบบ้านสวนพีระมิด

เวปไซต์บ้านสวนพีระมิด

ถึงแม้จะเป็นความงมงาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ใครๆ เค้าว่ากัน

ลูกบ้านสวนฯมั่นคง แข็งแรง เข้มแข็ง กำลังใจเต็มเสมอ

สำหรับหนูแล้ว บ้านสวนพีระมิด เป็นบ้านที่สอนให้

ความจริงใจ ความรัก เกิดขึ้นในหัวใจอย่างแท้จริง

การยอมรับ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ลูกบ้านสวนฯ ทำได้ดีเสมอค่ะ

ขอบพระคุณอ.อุบล อ.มงคล คุณท๊อปค่ะ

ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่านค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 11:31:54


ความคิดเห็นที่ 679 (1564378)

ถึงคุณอร่ามศรีค่ะ (น่าจะเป็นน้องน่ะค่ะ)

จากข้อความ ถึงแม้จะเป็นความงมงาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ใครๆ เค้าว่ากัน..

1. เป็นเพราะคนอื่นไม่มีบุญพอที่....จะได้เข้ามาพบธรรมะ ที่เป็นธรรมะล้วนๆ ของพระพุทธเจ้า

2. คนเหล่านั้นไม่เคยเข้ามาพบบรรยากาศ ที่เสด็จพ่อท้าวเวสสุวรรณ...เมตตาให้ธรรมทาน สั่งสอน ตักเตือน

3. คนเหล่านั้นไม่เคยเข้ามาพบบรรยากาศ ที่ท่านลุงพุฒิ...เมตตาให้ธรรมทาน สั่งสอน ดุ ด่า ตักเตือน

4. คนเหล่านั้น ไม่เคยได้รับรู้ความรู้สึก ที่พวกเราปลื้มสุดๆๆ หลังจากทำการอุทิศบุญ..

5. คนเหล่านั้น ไม่เคยใช้แรงกาย ถึงมีก็น้อยมาก ในการสร้างบุญกุศล ซึ่งก่อนมาทำเราก็ตั้งใจมา..

   ขณะทำพวกเรามีความสุข...หลังทำมองดูผลงาน(บุญ)แล้วสุขยิ่งกว่าค่ะ...

6. ความจริงใจ และความสุขสร้างไม่ยากค่ะ ///ถ้าเราไม่เป็นน้ำที่ล้นแก้ว 

..เอาใจช่วยน่ะค่ะ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 14:58:35


ความคิดเห็นที่ 680 (1564382)

เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด...

ผู้แสดงความคิดเห็น ก้อย วินิตา สุทธิวรา (pooyingnaya-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 15:18:53


ความคิดเห็นที่ 681 (1564383)

ในชีวิตไม่เคยรู้จักคำว่า จริงใจ เลย

และไม่เคยรู้ด้วยว่า ความจริงใจ ที่แท้เป็นอย่างไร

จนมาได้พบ อ.อุบล และได้มาพบบ้านสวนพีระมิด

เวปไซต์บ้านสวนพีระมิด

ถึงแม้จะเป็นความงมงาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ใครๆ เค้าว่ากัน

-*-*-*-*-*-*-*-*-

อู้ฮู้..พี่ก็เป็นอีก 1 คนที่ รัก ความงมงาย

ไม่ได้เป็นแต่น้องอร่ามศรี คนเดียวที่ไหนล่ะ

Ok..ศรัทธา กับ งมงาย ต่างกันตรงไหน ?

เป็นแบบนี้ป่ะนะ

ถ้าเราเชื่อถือ เรียกว่า ศรัทธา

แต่ ถ้าคนอื่นเชื่อถือ แต่เราไม่เชื่อ เรียกว่า งมงาย

เพราะฉะนั้นคำว่า

"ศรัทธา"

จึงไม่ใข่ตัวบ่งชี้ว่า

"งมงาย หรือ ไม่งมงาย"

ตัวเรา ย่อมรู้ตัวเรา ดีที่สุดจ๊ะน้องรัก

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 15:19:53


ความคิดเห็นที่ 682 (1564393)

ขออนุโมทนาบุญค่ะ พี่แมว

ขอบคุณค่ะ นิยาม ชัดๆ สุดยอดค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 15:48:03


ความคิดเห็นที่ 683 (1564394)

ขออนุโมทนาบุญค่ะ พี่สุ

ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 15:50:21


ความคิดเห็นที่ 684 (1564395)
image

 

ป้าแมว นิยาม

ศรัทธากับงมงาย

ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งมากเลย

ขอ...คารวะ.จร้า

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 15:53:55


ความคิดเห็นที่ 685 (1564398)

ขออนุญาตนำธรรมทาน จากเวปแดนนิพพาน มาฝากพี่ๆน้องๆลูกบ้านสวนค่ะ..

       ..วิชามโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ..

คำว่าพลังจิต คือ จิตมีพลัง การที่จิตจะมีพลังได้ จิตต้องนิ่ง รวมเป็นหนึ่ง
คำว่าเพ่ง ... คือเอาความรู้สึกนึกคิดของจิตให้อยู่เหนือกสิน หรือ ธาตุต่างๆ และรวมจิตให้มีกำลังเหนือธาตุ
...การเพ่งกสินคือการทำให้จิตนิ่งจดจ่ออยู่กับรูปกสินนั้นๆ คือเอาจิตนึกถึงเพ่งจดจ่อไป

1.แรกจะเพ่งไปก็ได้สักพัก ก็เอาอารมณ์อื่นมาแทน แบบนี้ได้ไม่นานเรียกว่า ขณิกสมาธิ ...


2.พอจิตนิ่ง ก็อาจจะมีการปรุ่งแต่งบ้างแต่จะอยู่ในขอบเขตของกสินนั่นเช่น

เอาจิตเพ่งไปที่กสินคิดว่า กสินนี้มีขนาดเล็กหรือใหญ่ สีสรรวรรณะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นแบบนี้ สภาวะที่เกิดคือ จิตมี วิตก วิจาร พอนิ่งได้แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของการนึกถึงกสินนั้น สภาวะทางกายจะเกิด เรียกว่า ปิติ อารมณ์ปิติมี 5 อย่างคือ
2.1.ขนลุกขนชัน

2.2.น้ำตาไหลแบบไม่มีอะไร ระคายเคืองตา หรืออารมณ์เศร้าหมอง
2.3.ร่างกายโยกโครงไปมา คล้ายเรือกระทบคลื่น บางคนเห็นแบบนั้น ถ้าปกติแบบนั้นคงจะมึนหัวน่าดู แต่อาการแบบนี้เกิดมันสบายๆ
2.4.ร่างกายลอยเหนือพื้นที่นั่ง บางทีลอยไกลๆ ลอยสูงมาก ...อารมณ์ปิติทำให้จิตเบากายเบา เกิดความรู้สึกเหมือนว่าร่างกายมันลอยอยู่
2.5.มีอาการซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง หรือตัวพองโตขยายใหญ่

สังเกต อาการปิติ อารมณ์จิตจะชุ่มชื่นเบิกบานมองไปทางไหนก็ยิ้มข้างในแบบนี้ และการกำหนดจิตเข้าสมาธิจะเข้าง่าย คล่องทำเมื่อไหร่ เข้าสมาธิได้ทันทีได้ดั่งใจ แบบนี้เรียกว่าการ ทรงปิติ การทรงคือไม่ใช่แค่นั่งหลับตา แต่เอา อารมณ์ติดไปด้วยและอยู่กับเราในชีวิตประจำวัน



3.สุข จิตเกิดสภาวะที่สุขชุ่มชื่นเบิกบาน เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อนไม่เคยพบในอารมณ์ ของทางโลกเลย จะเอาอารมณ์ทางโลกมาเทียบไม่ได้เลย เมื่อสุขเกิด จะนั่งสมาธินานเท่าไหร่ก็ได้ โดยไม่รู้สึกปวดเมื่อยตัวเลย
และสมาธิตั่งมั่นมากขึ้น มีอารมณ์วิตก คือ อยู่ในองค์ภาวนาได้ตลอดเวลา สามารถกำหนดรู้ความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องของคำภาวนาได้ และเต็มไปด้วย ธรรมปิติชุ่มชื่นผ่องใส สุขใจมีตลอดเวลา สมาธิตั่งมั่น และสังเกตุหลับตา จะสว่างมาก เหมือนมีคนเอาสปอทไล้มาส่องตาเลยทีเดียว ...

..ขออนุโมทนาบุญ กับเวปแดนนิพพานค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 16:00:55


ความคิดเห็นที่ 686 (1564501)

อ้าว..มาดูหนัง ทันตอนจบซะงั้น...

ไม่แน่ใจว่า เรื่องราวตอนต้นเป็นยังไง

แต่ก็ดีใจที่"หนัง"เรื่องนี้ จบด้วย Happy Ending

พี่น้องรักกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ตักเตือนกัน

แล้วก็ สามัคคีกัน.. นั่้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด...


อย่างที่อาจารย์เมตตาเตือนมาแล้วว่า

ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านสวนฯ

หรือทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเว็บศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

หรือแม้แต่ทุกๆปัญหาและอุปสรรคในชีวิตเรา

ล้วนแล้วแต่เป็น "บททดสอบ" อันยิ่งใหญ่

ที่พวกเราต้องใช้"ปัญญาพิจารณา"

เพื่อก้าวข้ามมันไปให้ได้ ทั้งสิ้น

 

อนุโมทนากับทุกๆความคิดเห็นค่ะ สาธุ..

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-18 03:29:39


ความคิดเห็นที่ 687 (1564513)
image

 ขออนุโมทนากับกับความคิดแห็นของทุกท่านค่ะ

ธรรมะของพระพุทธองค์เที่ยงแท้และแน่นอนที่สุดค่ะ

ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เหมือนปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาหาเรา

ถ้าเราใช้ปัญญามองดูว่ามันก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

จิตใจก็เบิกบานค่ะ ตรงข้ามหากปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ

ด้วยความโลภ โกรธ หลง จิตเศร้าหมองเลยค่ะ

เหมือนอย่างที่ตุ้ยกำลังเจอมา

ปัญญาจริงๆ ค่ะ ที่พระพุทธองค์ให้เป็นอาวุธของพวกเรา

ขอบคุณธรรมทานพี่ๆ น้องๆ ทุกท่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-18 09:05:22


ความคิดเห็นที่ 688 (1564528)

ขออนุโมทนาค่ะ พี่สุ สาธุ

ปิติ 5 เพิ่งรู้ค่ะ

หนูตัวพอง เหมือนจะลอย ทุกทีเลยที่ฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสวนฯค่ะ

แฮะๆๆ คือ เพิ่งทราบค่ะ และก็ไม่เคยหาความรู้ที่ไหนเลย

และก็เวลาขอขมากราบเท้าอาจารย์อุบล ตัวเบาโล่งๆ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-18 11:45:53


ความคิดเห็นที่ 689 (1564534)

ขออนุโมทนากับคุณตุ้ย และทุก ๆ ท่านด้วยคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-18 12:21:10


ความคิดเห็นที่ 690 (1564563)

อนุโมทนาบุญค่ะ  น้องอร่ามศรี / น้องแหวน สาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-18 15:32:48


ความคิดเห็นที่ 691 (1565014)

กราบขอบพระคุณเสด็จพ่อท่านท้วเวสสุวรรณ  อาจารย์ อุบล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์

การอุเบกขาในความคิดอันโง่เขลาของลูกคือ การวางเฉย  ไม่ยุ่ง ไม่เดือดร้อน  ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น ไม่ไช่เรื่องของเรา

 

พูดง่ายๆว่าเห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร แต่ตอนนี้สำนึกแล้วว่าไม่ไช่

 

เราต้องมีปัญญา  มีจิตเมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา   

 

................

ทำบุญ ทำดี ขนาดนี้

 

แล้วทำไมต้อง

 

เป็นใบ้

 

นิ้วขาด มือกุด

แขนขาขาด 

 

ใครตอบได้

 

ข้าจะให้รางวัล

 

จากนิ้วกุดหลายนิ้ว

 

เหลือ กุดแค่ นิ้วเดียว

..................

เรามีมือ มีแขน ไว้ทำความดี

ตอบแทน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริ์

มีปากไว้พูดในสิ่งที่ดี

แต่ไม่พูด ไม่ทำกลับนิ่งเฉย

.......................

กราบขอบพระคุณเบื้องบนทุกพระองค์

กราบขอบพระคณอาจารย์อุบล

ที่สอนลูกให้มีดวงตาเห็นธรรม เกรงกลัว

ละอายต่อบาป

สาธุ สาธุ  สาธุ

 



 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น รุ่งสุภารัตน์ รุ่งเรือง ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-20 22:24:48


ความคิดเห็นที่ 692 (1565061)

Anumotana satu tuk tuk thum ma tan

with sisters & brothers

of Baansuanpyramid ka

ผู้แสดงความคิดเห็น Nonthaporn Steinhaus (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-21 05:06:18


ความคิดเห็นที่ 693 (1565170)

เพราะฉะนั้นคำว่า

"ศรัทธา"

จึงไม่ใข่ตัวบ่งชี้ว่า

"งมงาย หรือ ไม่งมงาย"

ตัวเรา ย่อมรู้ตัวเรา ดีที่สุดจ๊ะน้องรัก

********

ถูกต้องแล้วครับ***คุณป้าแมว

ดี***ชั่ว

อยู่ที่ตัวเรา***จริงเน้อ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-21 20:24:22


ความคิดเห็นที่ 694 (1565285)

กราบขอบพระคุณท่านท้าวเวสสุวรรณ

ท่านอาจารย์อุบลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิด

ที่ได้น้อมนำธรรมะ การวางอุเบกขา เป็นการใช้สติ ปัญญา

พื้นฐานของปัญญา คือ ทานบริสุทธิ์ ศีล ๕ บริสุทธิ์

การเจริญภาวนา ได้แก่ สมาธิและวิปัสสนากัมมัฎฐาน(การเจริญปัญญา)

อานิสงฆ์ที่ได้จะทำให้ได้สติ ปัญญา

สามารถปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่างได้ง่าย

มีจิตหยั่งรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้สำเร็จได้

ผู้ที่ เป็นใบ้  มือขาด มือกุด แขนขาขาด เพราะใช้

คำพูด ใช้มือ 

ทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือทำลายชีวิตผู้อื่น

และขออนุโมทนาบุญคุณสุรสิทธิ์ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา  และธรรมทานทุกท่านที่

เล่าประสพการณ์การฝึกมโนมยิทธิ การแสดงความเห็นต่าง ๆ  ก็ปิติ ตื้นตัน ไปด้วย

โดยเฉพาะคุณพลังบุญที่ได้กราบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พลอยขนลุกหลังไปด้วย สาธุ  สาธุ  สาธุ

จะน้อมนำไปปฏิบัติ 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ศุภรัฐ ปานธุเดช ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-22 14:45:16


ความคิดเห็นที่ 695 (1565364)
image

นมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์

องค์หลวงพ่อปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิดทุกพระองค์

องค์ดตาจินิน องค์ฟาโรห์ของอียิปต์

ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ เทพบริวาร

และท่านอาจารย์มงคล-ท่านอาจารย์อุบล

ที่เคารพอย่างสูงครับ

 **************************************************************** 

เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีการฝึกสมาธิครับ

สาเหตุประการหนึ่ง คือ

เกิดไฟ้ฟ้าดับกระทันหัน

ต้องจุดตะเกียง ฉายไฟจากรถ และไฟฉายช่วยกัน

ระหว่างที่นั่งฟังท่านอาจารย์สอบถามเรื่อง

ความก้าวหน้างานสมโภช สมเด็จองค์ปฐม ที่โรงทาน

ที่สร้างจากปัจจัยงบวงเงิน 1.5 ล้านบาท

โดยท่าน อ.อุบล ซึ่งได้รับมติจากเบื้องบนฯ

ให้เป็นผู้สร้าง

เพื่อเป็นพระชำระหนี้สงฆ์ ให้กับลูกหลาน

และได้รับความอนุเคราะห์จากคณะคุณประทีป

ที่ช่วยเป็นธุระหาแบบ จัดสร้าง นำเสด็จ

และกรุณามาร่วมงานสมโภชพระองค์ท่าน

ในงานบวงสรวง ในวันอาทิตย์ที่ 28 ส.ค. 54 นี้

ซึ่งต้องขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญเป็นอย่างยิ่ง 

พอท่านอาจารย์ทราบว่า ไฟที่ส่องสว่างให้นั้นมาจากไฟรถยนต์

 ท่านก็ขอให้ดับไฟ เพราะเปลืองแบตเตอรรี่

และที่สำคัญ

ท่านต้องการให้พวกเราอยู่กันตามความเป็นจริง

เหมือนซ้อมกันว่าจะอยู่กันได้หรือไม่

เมื่อเกิดภัยใหญ่ (ตามกำหนดการ คือ ปี 2555)

ซึ่งก็ลำบากกันน่าดู เพราะทั้งร้อน ยุงกัด

แต่ทุกคนก็อดทนสมกับเป็นลูกบ้านสวน

ลองจินตนาการกันครับ

ว่าถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จะอยู่ได้อย่างไร

ถ้าไม่เตรียมตัวเตรียมใจ

หรือคิดว่า ค่อยให้ถึงเวลาใกล้ ๆ ก่อน ค่อยหาหนทาง

อย่าลืมว่า ความเป็นจริงแล้ว

ความตายเป็นเพื่อนสนิทที่สุด

ที่แอบอยู่ข้าง ๆ เราทุกคนมาตั้งแต่เราเกิด

ขึ้นอยู่กับว่า

เค้าจะมาทักทายเราจนตกใจ (ตาย) วันไหน

พอถึงวันอาทิตย์

อาจารย์ทั้งสองท่านก็คุมงานการจัดเตรียมสถานที่ด้วยตนเอง

ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเต๊นท์ ตกแต่งสถานที่ ตัดต้นไม้ ฯ

ที่สำคัญ ที่หาโอกาสได้ยาก

อาจไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อย

คือ ท่านอาจารย์มงคล และท่านอาจารย์อุบล

ลงมือขุดกองทรายด้วยตัวท่านเอง

โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนือย

ทำให้คณะคนงานขุดทรายทั้งหญิงชายมีกำลังใจเพิ่มเท่าทวี

และนี่แหละครับ

คือ ธรรมทานจากท่านอาจารย์ทั้งสอง

ที่ผมนำมาฝากทุกท่านในวันนี้

ความตั้งใจ ที่จะถวายงานสมโภชที่ยิ่งใหญ่

ความกตัญญูกตเวทิตาต่อสมเด็จองค์ปฐม

องค์พระประธานบ้านสวนพีระมิด องค์พระกู้ชาติ

ทำทุกอย่างเพื่อกู้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

สำหรับทุกท่านที่ไม่ได้มาร่วมจัดเตรียมงาน

หรือ ไม่สามารถมาร่วมงานสมโภชฯ ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจนะครับ

เราสามารถปฏิบัติตามท่านอาจารย์ทั้งสองได้ที่บ้าน

โดยการตั้งใจ เปลี่ยนตนเป็นคนดี รู้รักสามัคคี

คิดดี ทำดี พูดดี

ไม่เห็นแก่ตัว ประโยชน์ส่วนตน แต่ทำเพื่อสังคมที่เราอยู่

ไม่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ว่าทางใด

ทำงานก็ทำโดยสุจริต ไม่โกงกินแผ่นดิน

ไม่โกงเวลางาน ไม่ทิ้งขยะ ไม่นำพากันไปในทางที่ผิด

มีศีลห้าและพรหมวิหารสี่เป็นอาวุธ

เริ่มจากตัวเราเองและครอบครัวที่เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคม

ช่วยกันบอกต่อ ๆ เป็นธรรมทานอันยิ่งใหญ่

ขยายในหมู่เพื่อนฝูง ที่ทำงาน ญาติมิตร

ทั้งในประเทศและต่างแดน ด้วยความมีสติกำกับ

เที่ยนเล่มเล็ก ๆ มีประกายน้อยนิด

หากทุกคนช่วยกันจุดต่อ ๆ กันไป

ประเทศไทยก็จะสว่างไสวขึ้นมาได้

ไม่ต้องอ้างว่า ปัญหาสังคม ผู้ร้าย ทำลายสถาบัน

เป็นปัญหาใหญ่

ไม่ต้องอ้าง "คุน-นะ-ทำ" (ก่อน)

 *************************************

ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนดี ก็เขียนไป บอกตัวเองไป

ว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ แต่ก็จะพยายามครับ

เรามาร่วมกันสร้างครอบครัว สังคม ให้น่าอยู่

เตรียมตัวรับภัยพิบัติอย่าง

เย็นใจ (แต่ไม่ใจเย็นกับการเตรียมรับภัยพิบัติ)

ด้วยธรรมะจากบ้านสวนพีระมิดครับ

อนุโมทนาสาธุการครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 00:09:55


ความคิดเห็นที่ 696 (1565390)

 อนุโมทนากับคุณโฆษิตด้วยค่ะ

สำหรับทุกท่านที่ไม่ได้มาร่วมจัดเตรียมงาน

หรือ ไม่สามารถมาร่วมงานสมโภชฯ ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจนะครับ

เราสามารถปฏิบัติตามท่านอาจารย์ทั้งสองได้ที่บ้าน

ถึงแม้ไม่ได้ไปขอส่งใจไปแทนละกันค่ะ

และปฏิบัติให้ดีที่สุดค่ะ

อนุโมทนากับอาจารย์ทั้ง 2 และญาติธรรมทุกๆคนด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 02:49:14


ความคิดเห็นที่ 697 (1565397)

อนุโมทนากับธรรมทานที่สั้น กระชับ และ

จับต้องได้จากคุณ โฆษิต ด้วยนะคะ สาธุ

 

ได้อ่านกระทู้ของคุณโฆษิต และกระทู้ต่างๆที่ท่านอ.อุบลเขียน

รวมถึงพี่น้องบ้านสวนฯท่านอื่นๆมาร่วมบรรยายแล้ว

ก็ต้องบอกว่า อ.อุบลและครอบครัว รวมถึงลูกๆบ้านสวนฯขาประจำนั้น

ทุ่มสุดตัวและสุดใจ เพื่อให้

งานสมโภชน์นี้ออกมาสมบูรณ์แบบสมพระเกียรติพระพุทธองค์ที่สุด นั่นเอง...

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 06:38:58


ความคิดเห็นที่ 698 (1565401)

ขออนุโมทนาด้วยนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 07:36:28


ความคิดเห็นที่ 699 (1565410)

Anumotana satu ka

khun Kosit

ผู้แสดงความคิดเห็น Nonthaporn Steinhaus (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 08:32:27


ความคิดเห็นที่ 700 (1565426)

ขออนุโมทนาด้วยนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 10:15:02



<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ถัดไป >>


Copyright © 2010 All Rights Reserved.