เห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายกายไม่มีในเรา ท่านละความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์บุคคลเราเขาเสียได้ โดยเห็นว่า...
..."ร่างกาย" นี้เป็นเพียงแต่ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันชั่วคราวเป็นที่อาศัยของนามธรรม คือ..
"เวทนา" ความรู้สึกสุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์คืออารมณ์วางเฉยจากอารมณ์สุขทุกข์
"สัญญา" มีความจดจำเรื่องราวที่ล่วงมาแล้ว
"สังขาร" อารมณ์ชั่วร้ายและอารมณ์เมตตาปรานีสดชื่นอันเกิดต่ออารมณ์ที่เป็นกุศลคือความดี และอารมณ์ที่เป็นอกุศลคือความชั่ว...ที่เรียกกันว่า อารมณ์เป็นบุญและอารมณ์เป็นบาปที่คอยเข้าควบคุมใจ
"วิญญาณ" คือ ความรู้ หนาว ร้อนหิวกระหายเผ็ดเปรี้ยวหวานมันเค็ม และการสัมผัสถูกต้องเป็นต้น..
วิญญาณนี้ไม่ใช่ตัวนึกคิด ตัวนึกคิดนั้นคือจิต วิญญาณกับจิตนี้คนละอัน
แต่.. นักแต่งหนังสือมักจะเอาไปเขียนเป็นอันเดียวกันทำให้เข้าใจเขว ควรจะแยกกันเสีย เพื่อความเข้าใจง่าย
อีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาอาศัยกายและไม่ตายร่วมกับร่างกาย สิ่งนั้นก็คือ.. "จิต"
"เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ ตายร่วมกับร่างกาย" คือ..กายตายก็ตายด้วย
แต่.. จิตที่เข้ามาอาศัยกายนี้ เข้ามาอาศัยชั่วคราว เมื่อกายตั้งอยู่
คือดำรงอยู่ร่วมพร้อมกับ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตก็อาศัยอยู่
แต่.. ถ้าขันธ์ ๕ มีร่างกายเป็นประธานตายแล้ว จิตก็ท่องเที่ยวไปแสวงหาที่อาศัยใหม่
คำว่า "เรา" ในที่นี้ท่านหมายเอา "จิต" ที่เข้ามาอาศัยกาย
เมื่อท่านทราบอย่างนี้ท่านจึงไม่หนักใจและ ผูกใจว่า..
ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา
"เราคือจิตที่เข้ามาอาศัยในกายคือขันธ์ ๕ นี้ "
"ขันธ์ ๕"
ถ้าทรงอยู่ได้รักษาได้ก็อาศัยต่อไป ถ้าผุพังแล้วท่านก็ไม่หนักใจ
ไม่ตกใจ ไม่เสียดายห่วงใยในขันธ์ ๕ ท่านปล่อยไปตามกฎของธรรมดา
เสมือนกับคนอาศัยรถหรือเรือโดยสารเมื่อยังไม่ถึงเวลาลงก็นั่งไป
แต่.. ถึงจุดหมายปลายทางเมื่อไรก็ลงจากรถจากเรือ
โดยไม่คิดห่วงใย เสียดายรถหรือเรือโดยสารนั้น
เพราะทราบแล้วว่ามันไม่ใช่ของเรา เขาก็ไม่ใช่เรา เราก็ไปตามทางของเรา
ส่วนรถเรือโดยสารก็ไปตามทางของเขา ต่างคนต่างไม่มีห่วงใย...
"พระอรหันต์ทั้งหลายท่านมีความรู้สึกอย่างนี้"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
ที่มา : facebook BuddhaSattha
|