ReadyPlanet.com


วิธีตอบแทนพระคุณพ่อ แม่


 

 

รวบรวมโดย........

 

พระมหาทองมั่น  สุทฺธจิตฺโต

 

" ทองคำแท้หรือไม่ ? มื่อโดนไฟก็รู้

คนดีแท้หรือไม่ ? ให้ดู

ตรงที่เลี้ยงดูพ่อ แม่

ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงดูพ่อ แม่

ถ้าไม่เลี้ยงดูแสดงว่าไม่ดีจริง

เป็นพวกทองชุบ ทองปลอม ทองเก๊ "

 

หลัก การปฏิบัติต่อ พ่อ แม่ ทางพุทธศาสนาสอนตลอดสาย ตั้งแต่มีชีวิตอยู่

จนกระทั้งท่านตายไปล้ว เราควรใช้ทรัพย์ที่หามาได้เป็น 4 อย่าง คือ

1. ใช้หนี้เก่า คือเลี้ยงดูพ่อแม่ และท่านผู้มีพระคุณต่อเรา

2. ให้เขากู้ คือเลี้ยงดู ส่งเสียลูกหลาน ให้ได้เรียนหนังสือ

3. ทิ้งลงเหว คือใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ให้ครอบครัวอยู่

เป็นสุข

4. ฝังดินไว้ คือทำบุญในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นเสบียง

ติดตัวเราไปในภพหน้า และ เอาฝากธนาคารไว้ เอาไว้ใช้

เมื่อยามเจ็บป่วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พระคุณของพ่อ แม่

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดา

มารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บน

บ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะบน

บ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง 100 ปี และปรนนิบัติท่านไป

จนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด

ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า " หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขา

พระสุเมรุแทนปากกา น้ำในมหาสมุทรแทนหมึกเขียนบรร-

ยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึก-

กร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้งก็ยังบรรยายคุณ

ของพ่อ แม่ ไม่หมด  "

บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตรสรุปโดยย่อ....

1. เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้

ของทั้งหลายในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียว

ธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำ

ให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมา เป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดิน -

เหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่น

แบบเป็นพระพุทธรูป ดินเหนียวก้อนนี้ก็จะทรงคุณค่ามาก

ยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่า คุณค่าของดิน

เหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง

ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์เช่นเป็น ช้าง ม้า วัว

ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใด ก็ไม่

สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราเกิดเป็นคน ได้

โครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำ

ความดีทุกประเภท เราจึงสามารถใช้ความรู้ความสามารถ

ประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อ แม่ เป็น

ต้นแบบทางกายให้นั่นเอง

2.  เป็นต้นแบบทางใจ คือให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก

ทะนุถนอมอบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้

ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก พระคุณของพ่อแม่ในการ

เป็นต้นแบบทากายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่ง

ท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วยก็ยิ่งมีพระ-

คุณมากเป็นอเนกอนันต์ นับประมาณมิได้

สมญานามของพ่อ แม่    

      สมญานามของพ่อ แม่นั้นกล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหม

ของลูก เป็นเทวดาคนแรกของลูก เป็นครูคนแรกของลูกเป็น

พระอรหันต์ของลูกซึ่งจะอธิบายขยายความพอให้เข้าใจได้ดังนี้

พ่อ แม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมวิหารธรรม

4 ประการได้แก่

1. มีเมตตา คือ มีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด

2. มีกรุณา คือ หวั่นใจในความทุกข์ของลูกและคอยช่วย

เหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง ไม่ว่าลูกจะเป็นคนดี หรือเป็นคนชั่ว

3. มีมุทิตา คือ เมื่อลูกมีความสุขสบาย ประสบความสำเร็จ

ทั้งการศึกษา หน้าที่ การงาน ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วย

ควมจริงใจ 

4. มีอุเบกขา คือ เมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้

แล้วก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหาก

ลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติมแต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษาให้เมื่อ

ลูกต้องการ

   พ่อ แม่ เป็นเทวดาคนแรก (บุรพเทพ) ของลูกเพราะคอย

ปกป้องคุ้มกันภัย เลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคน

อื่น ๆ

  พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูกเพราะสั่งสอนอบรมทั้งคำ

พูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่น ๆ

  พ่อแม่เป็นวิสุทธิเทพของลูก เพราะมีคุณธรรม 4 ประการ

คือ

1.ไม่ถือสาในความผิดของลูก แม้ว่าบางครั้งลูกจะพลาด

พลั้ง ล่วงเกินจนชนิดที่กฏหมายบ้านเมืองเขาลงโทษ แต่

พ่อแม่ก็ให้อภัยเสมอ

2. ปรารถนาประโยชน์แก่ลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร

ก็ยังคงปรารถนาให้ลูกได้ดี มีความสุขมีความเจริญ ไม่มี

ใครอยากให้ลูกเป็นทุกข์

3. เป็นทักขิเณยยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของลูก เป็นผู้ที่ลูก

ควรทำบุญต่อตัวท่าน ทั้งทางกาย คือไปลา มาไหว้ ทาง

วาจาพูดให้ไพเราะ ไม่พูดให้ท่านไม่สบายใจ ทางใจ รู้คุณ

ท่านอยู่เสมอ และหาทางตอบแทนอยู่

4. เป็นอาหุเนยยบุุคคล คือเป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ

และการนมัสการของลูก มีอะไรที่เราควรซื้อมาฝากท่าน

ทุกวันก็ควรทำ

 



ผู้ตั้งกระทู้ สมจิต โพธิ์นิล (shindo_ploy-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-06-08 13:17:47


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1614723)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณสมจิตด้วยค่ะ และทำให้ได้พิจารณาตัวเองว่าได้ทำหน้าที่ของลูกเต็มที่หรือยัง บุญคุณของพ่อแม่นั้นจะทดแทนอย่างไร ก็ไม่มีวันทดแทนได้หมด แต่จะทำให้ดีที่สุดค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เพ็ญศิริ บุตรมนต์ (opensirio-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 19:23:37


ความคิดเห็นที่ 2 (1614736)

 ค่ะคุณสมจิต การกตัญญูรู้คุณบิดา มารดา เป็นสิ่งที่พึงกระทำ

เมื่อทำดีแล้วผลตอบแทนก็จะทำให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองค่ะ

และตอนนี้ก็ย้อนมามองตัวเองว่าทำดีที่สุดหรือยัง

ขอบคุณธรรมทานคุณสมจิตค่ะ อ่านแล้ว

ใช้พิจารณาตัวเองว่าดีพอหรือยัง

โมทนาบุญด้วยค่ะคุณสมจิต

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ปุณญิสา พูลชื่น (Ratanapoolchuen-at-yahoo-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 21:01:42


ความคิดเห็นที่ 3 (1625542)

 คุณธรรมของลูก

มื่อพ่อ แม่ มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีกคือตอบแทนคุณท่าน ในทางพระพุทธศาสนาได้บรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้น ๆ แต่เก็บความไว้ได้อย่างครบถ้วนคือคำว่า กตัญญู กตเวที คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน 2 คำนี้

กตัญญู หมายถึง เห็นคุณค่าท่าน คือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญาว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาว ๆ ไปเท่านั้น

คุณของพ่อแม่ดูได้จาก อุปการะ คือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้าง ที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อจะอุปการะใคร เขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่า อุปการคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้น เป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใด ๆ เลย เราเองก็เกิดมาตัวเปล่า ไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็มเล่มเดียว ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่มีท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าวชวยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผลอย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณค่าของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละ เรียกว่า กตัญญู เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร แสดงว่าใจเราเริ่มใส และสว่างมากขึ้นเท่านั้น การตอบแทนพระคุณท่านซึ่งเป็นงานต่อไปก็จะง่ายเข้า 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 14:59:42


ความคิดเห็นที่ 4 (1626201)

ผู้เป็นลูกกตัญญูบำรุงธาตุขันธ์บิดามารดาด้วยปัจจัย ๔ 

แล้วอย่าลืมบำรุงจิตท่านด้วยธรรมมะนะครับ

 

ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักทาน แนะนำท่านให้รู้จักทานและการให้ทาน

ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักศีล แนะนำท่านให้รู้จักศีลและการรักษาศีล

ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักภาวนา แนะนำท่านให้รู้จักภาวนาและการภาวนา

 

ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักพระนิพพาน แนะนำท่านให้รู้จักพระนิพพาน

และพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดได้ สุดยอดของลูกกตัญญูแล้วครับ


กราบขอบพระคุณอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์

ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชุณหพงศ์ ทองศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-25 11:04:45


ความคิดเห็นที่ 5 (1636324)

 กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ 2 ประการ คือ

1. ประกาศคุณท่าน

2. ตอบแทนคุณท่าน

การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อแม่มีพระคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมาก มักจะไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเล มีพื้นที่ ที่เราจะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้คือ ........ ที่ตัวเรานี่เอง

คนเราทุกคนคือ ตัวแทนของพ่อแม่ทั้งนั้น เพราะ...... เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละจะเป็นเครื่องประกาศคุณของพ่อแม่อย่างชัดแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่หีบศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง หากพิมพ์ข้อความในหนังสือแจกว่า  คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจจะรักษา ก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อคุณแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเราผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลงกลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ ชาวบ้านว่า พ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกได้ไม่ดี

พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็จงประกาศคุณความดีของท่านประกาศด้วยความดีของตัวเราเอง ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้พ่อแม่มีความสุขใจอย่างยิ่ง ทำให้ท่านมีอายุยืน ส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่ พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ด จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร

ไม่ว่าเราจะประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่าน หรือประานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเรา ด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำ ถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้า ด้วยการกระทำตัวเป็นพาลเกเร และประพฤติต่ำทราม

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-10-24 16:31:18


ความคิดเห็นที่ 6 (1636991)

ารตอบแทนพระคุณพ่อแม่ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ.......  

1. เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอนเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่าน ให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือ เมื่อท่านเจ็บป่วย คอยรักษา พูดคุยกับท่านอยู่เสมอ

2. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ เช่น ใส่บาตรทุกวันที่พ่อแม่ตาย (7 วันหนึ่งครั้งก็ยังดี)แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ ไมใช่ทำเฉพาะวันครบรอบปีตายเท่านั้น

แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่าน ให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำตามหลักพุทธศาสนาดังนี้

1. ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านได้รักษาศีล

2. ถ้าท่านยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็ควรพยายามชักนำให้ท่านมีศรัทธา โดยวิธีเอาเทปธรรมะเปิดให้ฟัง อ่านหนังสือธรรมให้ท่านฟัง

3. ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทาน เช่น พาท่านไปทำบุญด้วย หรือบอกอานิสงส์การให้ทาน

4. ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิหรือวิปัสสนา พาท่านเข้าปฏิบัติธรรม หรือพาไปดูเขาปฏิบัติธรรม

เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การักษาศีล การทำสมาธิ ภาวนา การฟัง อ่าน ธรรมะ เป็นประโยชน์โดยตรง และเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ปฏิบัติเองทั้งในภพนี้ภพหน้า(เป็นเสบียงติดตัวไปในภพหน้าได้) และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือเป็นหนทางไปสู่นิพพาน

เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดานั้นแล บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้นี่เอง เขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกสวรรค์ 

บุคคลใดให้มารดานั่งบนบ่าข้างหนึ่ง ให้บิดานั่งบนบ่าข้างหนึ่งและบุคคลทั้งสองเป็นผู้มีอายุยืน 100 ปี ได้ทำการขัดสี การให้อาบน้ำ การบีบนวดให่แก่มารดาบิดาทั้งสอง มารดาบิดาได้ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะอยู่บนบ่าทั้งสองนั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ชื่อว่า ได้ตอบแทนพระคุณมารดาบิดาได้สิ้นสุดข้อนี้เป็นเพราะเหตุไร เพราะมาดาบิดาเป็นผู้มีคุณมาก คือเป็นผู้ทำบุตรให้เติบโต ฯลฯ ไม่สามารถชดใช้พระคุณได้หมด

ส่วนผู้ใดทำมารดาบิดาผู้ไม่ศรัทธา ให้มีศรัทธา ทำมารดาบิดาผู้ไม่มีศีล ให้มีศีลทำมารดาบิดาผู้ไม่มีการเจริญภาวนาให้ได้เจริญภาวนา ผู้นั้นได้ชื่อว่าตอบแทนคุณมารดาได้สิ้นสุด และได้ยิ่งกว่าคุณที่มารดาบิดาทำให้แก่ตน เพราะได้สร้างที่พึ่งอันประเสริฐแก่มารดา บิดา ทั้งชาตินี้และ

ชาติหน้

วันนี้.....คุณได้คุยและทักทายกับพ่อแม่แล้วหรือยัง

ถ้ายัง.......ให้รีบทำเสียวันนี้ ก่อนที่จะไม่มีพ่อแม่ให้ทักทายหรือพูดคุยด้วย

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-10-27 17:11:04


ความคิดเห็นที่ 7 (1638036)

ความหวังของพ่อ แม่

พ่อแม่ทุกคนที่เลี้ยงลูกมา ไม่เคยต้องการอะไรจากลูก ขอเพียงให้ลูกเป็นคนดี ประสบความสำเร็จในชีวิต แค่นี้......พ่อแม่ก็มีความสุขแล้ว

พ่อแม่เลี้ยงลูกทุกคนมา ไม่เคยต้องการอะไรจากลูก เป็นหัวใจบริสุทธิ์เสียสละ และมีแต่ให้ เพียงต้องการเห็นลูกได้ดี มีความสุขเท่านั้น....พอใจแล้ว

เมื่อลูก ๆ โตกันหมดแล้ว พ่อแม่ก็เริ่มแก่ชรา ในช่วงนี้พ่อแม่แอบหวังลึก ๆ ไว้ในใจอยู่ 3 ประการคือ.......

ความหวังของพ่อแม่ 3 ประการ 

ยามแก่เฒ่า หวงเจ้า เฝ้ารับใช้

ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา

เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา

หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

วังที่ 1 ยามแก่เฒ่า.........หวังเจ้า ........เฝ้ารับใช้

ตอนที่ท่านยังหนุ่มยังสาวสามารถทำงานได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่พอแก่ เคยพายเรือขายขนม เคยหาบขนมขาย ทำไม่ไหวแล้ว แขนขาก็อ่อนกำลัง ใช้งานไม่ค่อยได้ ขึ้นบันไดก็ตกบันได อาบน้ำก็ล้มในห้องน้ำ เดินก็เซช่วยตัวเองไม่ได้ พอหมดเรี่ยวหมดแรงแล้วนี่จะพึ่งใคร?....

หวังพึ่ง......ลูก ลูกที่เราเคยเลี้ยง เคยทะนุถนอม เคยเหน็ดเหนื่อย จนได้ดิบได้ดีในวันนี้ หวังให้ลูกมาช่วยประคับประคองดูแล หาอาหารให้กินเตรียมที่ให้นอน ประคองขึ้นลงบันได คนอื่นเขาเป็นคนไกล ใครเขาจะมาดูแลให้ ก็หวังแต่ลูกในไส้จะแทนคุณ รอลูกยอดกตัญญูมาดูแล ถ้ามีลูก 5 คน มาดูแลแค่คนเดียวก็พอแล้ว อีก 4 คนไม่มาไม่เป็นไร เพียงเดียวก็พอแล้ว

หวังที่ 2 ยามป่วยไข้....หวังเจ้า.....เฝ้ารักษา

คนเราทุกคนต้องป่วย แล้วพ่อแม่ที่แก่เฒ่าแล้ว เวลาเจ็บป่วย ใครเขาจะดูแล ใครจะพาไปหาหมอ ใครจะพาไปโรงพยาบาล ใครจะป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนยา คนแก่เวลาเจ็บป่วยนี่ พึ่งตัวเองไม่ได้ ขนาดมียา มีข้าวอยู่ใก้ล ๆ ยังหยิบใส่ปากเองไม่ได้เลย ต้องรอให้คนเอายา เอาน้ำ ใส่ปากให้ใคจะทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด ถ้าไม่ใช่ลูก.......?

พยาบาลเขาเป็นคนอื่น เขาก็แค่มารักษาความป่วยทางกายให้ตามหน้าที่ แล้วใคร.....จะเป็นคนดูใจของพ่อแม่? เราต้องเสียสละเวลามาทำหน้าที่นี้ ถึงจะมาไม่ตลอดก็ขอให้โทรสอบถามอาการอยู่เสมอ ให้นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก เราป่วยแล้วช่วยตัวเองไม่ได้ ใครเป็นคนป้อนข้าวป้อนน้ำ ป้อนยา และดูแลจิตใจเรา กอดเรา ปลอบโยนเรา ตอนเจ็บป่วยเป็นช่วงที่จิตใจกำลังแย่ที่สุด

พ่อแม่ เพียงแค่เห็นหน้าลูกมาเยี่ยม แม่ก็ชื่นใจแล้ว อาการเจ็บป่วยหายไปครึ่งหนึ่ง ถ้าลูกมาเฝ้าไข้ ดูแลใกล้ชิด แม่ก็ปลื้มใจ ภูมิใจ ดีใจ หายป่วยเร็วขึ้น" ลูกกตัญญูรักษาไข้ใจแม่ได้ "

หวังที่ 3 ...เมื่ถึงยาม... ต้องตาย....วายชีวา....หวังลูกยาช่วยปิดตา....เมื่อสิ้นใจ

 

นาทีใก้ลตายคือนาทีสำคัญที่สุด ลูกคนไหนบกพร่อง  ไม่แสดงความกตัญญูในนาทีนี้ก็จะไม่มีโอกาสแล้ว ตลอดชีวิตลูกคนนั้นขาดนาทีทอง  ที่จะทำให้แม่ชื่นใจ ขาดนาทีทอง  ที่จะทำให้ตัวเองภูมิใจ และเสียใจว่าไม่ได้ทำหน้าที่จนนาทีสุดท้าย 

ตอนที่พ่อแม่อาการหนัก พี่น้องจะโทรศัพท์ โทรเลขบอกให้ทุกคนมารวมกัน เพื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตา พ่อแม่จะได้ชื่นใจ แม่จะถามเสมอว่า ลูกคนนั้นยังไม่มาหรือ ลูกคนนี้ยังไม่มาหรือ ใก้ลจะขาดใจ ยังสอนลูกอีกว่าให็ลูกทุกคนรักกัน พอทุกคนรับปาก แม่ก็ชื่นใจ หลับตา จากไปอย่างสงบ ตอนนี้ให้ทุกคนทำสมาธิ สงบจิตยอมรับว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา(อย่าร้องไห้ให้พ่อแม่เห็น)

นาทีใก้ลตาย เป็นนาทีสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ว่าจิตที่กำลังจะจากไป ถ้ามีใครมาประคับประคอง ให้พ่อแม่มีจิตเป็นกุศล เอิบอิ่ม ชุ่มชื่น สบายใจ อยู่กับบุญกุศล อยู่กับความกตัญญูของลูก ๆ จิตของพ่อแม่ขณะนั้นจะไปสู่สุคติ บาปไม่มีโอกาสมารั้ง บุญดึงไปก่อน นาที่ที่สำคัญที่สุดนี้ เราต้องคิดว่า ทำอย่งไรจึงจะให้พ่อแม่มีบุญประทับใจก่อนตาย บางคนนิมนต์หลวงพ่อ พระครูหรือท่านเจ้าคุณที่พ่อแม่รู้จักศรัทธามาให้แม่กราบ พอเห็นหลวงพ่อ เห็นพระครูมาเยี่ยม แม่ก็ชื่นใจ เอาผ้าสบงใส่มือแม่ ยกมือแม่พนม ให้แม่ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วนำท่านกล่าวถวายสังฆทาน ภาพนี้จะติดตาพ่อแม่ไปยังโลกหน้า จะทำใหจิตสงบ เพราะนึกถึงแต่บุญกุศล มีที่พึ่ง

พ่อแม่บางคนสวดมนต์เก่ง ลูกจะเข้ามานั่งใก้ล ๆ บอกแม่สวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณนะ แล้วก็นำสวด แม่ก็ทำปากขมุบขมิแล้วก็เงียบไป แบบนี้คือการประคองจิตพ่อแม่ จนนาทีสุดท้ายไปสู่สุคติแน่นอน ลูก ๆ ต้องช่วยกันประคับประคองจิตใจของพ่อแม่ เล่าให้แม่ฟังว่า  แม่เคยบวชลูกชาย 2 คน จำได้ไหม? แม่อุ้มผ้าไตรด้วย แม่เคยไปทำบุญที่นั่นที่นี่ แม่พยักหน้า เห็นภาพตนเองกำลังทำบุญนั้น ๆ อยู่ อย่างนี้จิตใจเป็นกุศล ไปสู่สุคติแน่........ เพียงเท่านี้ก็พอเป็นแนวในการปิดตาพ่อแม่ก่อนตายได้แล้ว ปิดด้วยการทำให้ท่านมีความสุข สบายใจ ไม่เป็นห่วงอะไร และมีที่พึ่งในเบื้องหน้า

พ่อแม่บางคนชอบกรรมฐาน ก็บอกให้พ่อแม่กำหนดบทกรรมฐานที่ถนัด ยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งบริกรรมว่าพุทโธ ๆ จนจิตดับไป หรือกำหนดเวทนาว่า ปวดหนอ ๆๆ เจ็บหนอๆๆ ตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น โดยไม่ไปคิดกังวลอะไร (การจะบริกรรมอย่างนี้ได้ พ่อแม่ต้องเคยปฏิบัติมาก่อน ถ้ายังไม่เคยฝึก ไม่เคยปฏิบัติมาก่อนก็ทำยาก ต้องหาวิธีอื่น) ถ้าทำได้ดังกล่าว เมื่อจิตท่านดับก็ไปสู่สุคติได้ ที่สำคัญต้องฝึกให้พ่อแม่ได้ทำกรรมฐานให้เป็นตั้งแต่ยังไม่ป่วย

อานิสงค์การบำรุงบิดามารดา

1.ทำให้ป็นคนมีความอดทน

2.ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ

3.ทำให้เป็นคนมีเหตุผล

4.ทำให้พ้นทุกข์พ้นภัย

5.ทำให้ได้ลาภโดยง่าย

6.ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน มีเทวดาลงมารักษา

7.ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ มีความเจริญก้าวหน้า

8.ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี มีกตัญญู ไม่เกเร

9.ทำให้มีความสุขกาย สบายใจ ทำให้เป็นแบบอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลั

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 15:20:36


ความคิดเห็นที่ 8 (1647386)

ขอโมทนาสาธุกับคุณสมจิตนะคะ

เห็นด้วยกับทุกตัวอักษร

อยากจะเพิ่มเติมว่า

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก

ถ้าทำดีกับพ่อแม่ก็จะได้บุญมาก

ถ้าทำให้พ่อแม่เสียใจหรือทำไม่ดีกับพ่อแม่

ก็จะได้รับผลกรรมที่หนักมากเช่นกัน

ใครยังมีพ่อแม่ให้กราบไหว้อยู่

จงภูมิใจเถิดว่าท่านได้มีโอกาสสร้างบุญใหญ่ทุกวัน

ผู้แสดงความคิดเห็น ปัญจกานต์ วรรณทอง ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-12-28 05:43:12


ความคิดเห็นที่ 9 (1651308)

 ขออนุโมทนาสาธุกับคุณสมจิตด้วยค่ะ    เป็นธรรมทานที่ดีที่สุดเลย ตรงใจของดิฉันมากเลยค่ะ   ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ขณะนี้ได้รับผลกรรมที่หนัก แทบจะไม่มีสักวันที่ดิฉันไม่ทุกข์ใจ  เพราะลูกสาวของดิฉัน ได้หนีออกจากบ้าน หนีตามทอม ไม่เรียนหนังสือ สูบบุหรี่  ไม่เชื่อฟังด่าทอดิฉันเสมอ  ทั้ง ๆ ที่ดิฉันยอมให้ลูกสาวพาแฟนที่เป็นทอมมาอยู่ที่บ้านด้วยกัน ผลสุดท้ายเขาก็พากันหนีออกจากบ้านอีก เหตุเพราะว่าเมื่อก่อนตอนสาว ๆ ดิฉันเกเร ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เถียงพ่อแม่ ทำให้ท่านทั้งสองเสียใจ  หนีตามผู้ชาย ทำให้ผลกรรมที่ได้รับอยู่ในขณะนี้ เป็นเช่นเดียวกัน ตอนนี้ดิฉันพยายามทำทุก ๆ อย่างเพื่อลบล้างบาปที่เคยทำ โดยการเลี้ยงดูพ่อแม่  เชื่อฟัง ทำให้ท่านทั้งสองสบายใจ หากใครได้อ่านธรรมทานนี้  ขอให้ท่านระลึกอยู่เสมอว่า เราทำอะไร  ผลที่ได้รับจะเป็นเช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็ว   เราโชคดีแค่ไหนที่พ่อแม่ยังมีชีิวิตอยู่เพื่อให้เราได้ตอบแทนบุญคุณ ให้เราได้มีโอกาสสร้างบุญกุศล  พ่อแม่คือผุ้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่    เพราะฉะนั้นเราต้องรีบสร้างบุญก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้สร้างอีกต่อไป   ดิฉันกราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนฯ ทุก ๆ พระองค์  ที่ให้โอกาสดิฉันได้สร้างบุญต่อไป

ผู้แสดงความคิดเห็น กนกลักษณ์ บุญปถัมภ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-04 21:22:28


ความคิดเห็นที่ 10 (1657326)

 วิธีดับทุกข์เพราะพ่อแม่

พ่อ -แม่ จัดว่าเป็น "ปูชนียบุคคล" ของลูกทุกคน พระพุทธเจ้าทรงเทียบฐานะของพ่อแม่ เท่ากับเป็น "พระ" ของลูก แม้บวชอยู่ถึงจะบิณฑบาตมาเลี้ยง ก็ยังไม่มีโทษ แถมยังได้รับการยกย่องสรรเสริญ จากพระพุทธองค์อีกด้วย

ด้วยเหตุที่พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณมากล้นเช่นนี้ ผู้ที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างถูกต้อง จึงมีแต่ "สิริมงคล" เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคนดีโดยทั่วไปในทางตรงกันข้าม

ถ้าปฏิบัติกับพ่อแม่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมจะเกิด "อัปมงคล" หาควมเจริญทางจิตใจมิได้ และจะได้รับกรรมอันนี้สนองในชาตินี้เป็นส่วนมาก กล่าวคือ ลูกของเรา ก็จะทำต่อเราเช่นนี้เหมือนกัน

ดังนั้น ในฐานะลูกที่ดี จึงควรมีความกตัญญูและกตเวทีต่อพ่อแม่ของตน สนองคุณด้วยการเลี้ยงดูตามธรรม อย่าให้ท่านได้รับความทุกข์ทั้งกายและใจ และผลแห่งกุศลกรรมนี้ ก็ย่อมจะสนองเราทันตาเห็นเช่นเดียวกัน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม คือลูกหลานก็จะเลี้ยงดูปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น

เรื่องวิธีดับทุกข์ เพราะพ่อแม่เป็นเหตุนี้ อาตมาภาพหมายเอาเฉพาะพ่อแม่ที่ขาดศีลและธรรม เป็นมิจฉาทิฐิ ตกเป็นทาสของสุรา การพนัน นารี หรือ อบายมุขประเภทต่าง ๆ เป็นต้นเท่านั้น อันเป็นผลพวงที่ลูก ๆ พลอยเดือดร้อนไปด้วย ลูก ๆ ที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้จะต้อง "ทำใจ" ให้ถูกต้องและปฏิบัติตนให้สมกับเป็นลูกที่ดีอย่าได้เอา "น้ำเน่าไปล้างน้ำเน่า" เป็นอันขาด มิฉะนั้นจะได้ชื่อว่า "ลูกอกตัญญู" หรือ "ลูกเนรคุณ" ไป จะมีแต่เสนียดจัญไร เมื่อตายก็ไปเกิดในนรกแน่นอน

หลักความจริงมีอยู่ว่า "ในชาตินี้เราไม่อาจจะเลือกเกิดเป็นลูกของคนนั้นคนนี้ได้ "เพราะมันได้เกิดมาเสียแล้ว แต่เราก็สามารถเลือกเกิดในอนาคตได้ ด้วยการสร้างเหตุขึ้นมาใหม่

การที่ทุกคนได้เกิดมาแล้ว เป็นผลจากกรรมเก่าที่เราได้ทำเอาไว้เอง ส่งผลให้เรามาเกิดในฐานะเช่นนี้ เราควรยินดี และพอใจในพ่อแม่ของตนแม้จะอยู่ในภาวะเช่นใดก็ตาม (ความไม่พอใจเป็นทุกข์ ความพอใจเป็นสุข)

ถ้าเราไม่ยินดี ไม่พอใจพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดเรา ซึ่งเราก็ไม่อาจจะเลือกได้ การไม่ยินดีไม่พอใจนั้น จึงเป็นความทุกข์ประการหนึ่ง

นอกจากนั้น การคิดนึกเช่นนี้ ย่อมจะเป็น "เชื้อ" ให้เกิด "อกตัญญู" และเมื่ออกตัญญูเกิด อกตเวที และ "เนรคุณ" ก็อาจจะตามมาอีกด้วย จึงควรรีบกำจัดความคิดเช่นนี้เสียโดยเร็ว

แม้ว่าพ่อแม่ จะเป็นคนแสนเลวประการใด โหดร้ายเพียงใด ก็จะต้องถือว่าเป็น "บุคคลต้องห้าม" สำหรับลูก ที่จะเข้าไปแตะต้องด้วยอกุศลจิต ด้วยทางกาย ทางวาจา หรือแม้ทางจิต มิได้เลย

พ่อแม่เปรียบประดุจพระอรหันต์ของลูก เพราะรักลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ลูกที่มีสัมมาทิฐิ ต้องให้ความเคารพนับถือ เชื่อฟัง และตอบแทนคุณ ถ้าไม่ปฏิบัติก็จะเกิดมลทิน คือความเสร้าหมองไปชั่วชีวิต

การที่พ่อแม่ทำผิด ทำชั่ว อันเป็นผลพวงที่ตกมาถึงเรา ก็เป็นเพราะอกุศลกรรมของเราดลจิตใจให้ท่านทำเช่นนั้น เราอย่าได้เอาความชั่วไปตอบแทนพระคุณที่ท่าน ให้กำเนิดแก่เรา ให้ใช้ความอดทน อดกลั้นเต็มที่

การที่เราได้มาเกิดเป็นลูกของท่าน ก็เป็นผลแห่งบาปกรรมที่เราทำเอาไว้เองให้เป็นไป ถ้าเราไม่ต้องการจะมาเกิดเช่นนี้อีก ก็ควรเร่งทำความดีให้มากขึ้น (ยังทำดีน้อยไป) ในชาติต่อไป เราก็ย่อมพ้นจากสภาพเช่นนี้ได้

มีโยมคนหนึ่งมาหาแล้วถามว่ามีพ่อขี้เหล้า มักด่าและตบตีเป็นประจำ ส่วนแม่ก็เอาแต่เล่นไพ่ เล่นได้ก็หน้าบานใจดี วันไหนเล่นเสีย ก็พาลด่าจนเข้าหน้าไม่ติด เขาได้แนะนำให้พ่อเลิกเหล้า ให้แม่เลิกเล่นไพ่ ก็ถูกด่าเปิงแถมจะลงมือลงไม้เอาด้วย หาว่าอวดดีมาสอนพ่อแม่ มึงเป็นลูกอย่าเสือกมาสอนกู กูไม่ดีก็เลี้ยงมึงมาไม่ได้ ขอให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วย จะทำอย่างไรดี พ่อแม่จึงจะเลิกอบายมุขได้?  ได้ให้คำแนะนำเขาไปว่า.......

การที่ลูกจะแนะนำพ่อแม่ได้ พ่อแม่นั้นจะต้องมีความนับถือหรือเกรงใจลูกอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้ว การสอนพ่อแม่เป็นเรื่องทำได้ยากทั้งนี้เพราะเหตุหลายประการเช่น.....

พ่อแม่มีสำนึกอยู่ว่า "กูเป็นพ่อ กูเป็นแม่ กูอาบน้ำร้อนมาก่อน มีหน้าที่ต้องสอนลูก เลี้ยงดูลูก ลูกมีหน้าที่เชื่อฟัง และทำตามอย่างเดียวจะมาสอนพ่อแม่ไม่ได้ ถึงแม้พ่อแม่จะทำผิดทำชั่วก็ตาม"

คำแนะนำของลูกที่ถูกต้อง จึงไม่มีน้ำหนักที่จะเรียกร้องให้ยอมรับฟังหรือทำตามได้ ยกเว้นแต่พ่อแม่ที่เป็นสัมมาทิฐิ แต่ได้หลงผิดไปชั่วคราวอาจยอมรับและกลับจิต กลับใจได้ง่าย

ถ้าเป็นเช่นนี้ ทางปฏิบัติก็มีอยู่ 2 ประการ 

1. วางอุเบกขาปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของท่านเอง

2. หาผู้ที่พ่อแม่เคารพนับถือ ช่วยแนะนำตักเตือนให้ อาจจะเลิกได้ถ้าท่านเชื่อผู้นั้น ขอแต่ว่าให้เราพยายามทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ถ้าท่านไม่รีบตายจากเราไปเสียก่อน หมดเวรหมดกรรมเมื่อไร ท่านก็ต้องเลิกไปเองแหละ

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-04-25 00:32:21


ความคิดเห็นที่ 11 (1657793)

  อนุโมทนาบุญกับพี่สมจิตด้วยค่ะ

อ่านแล้วทำให้สำนึกได้ว่าควร

ทำตัวอย่างไร

เพื่่อเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน

ให้สมกับคำว่าลูกกตัญญููู

ก่อนที่่จะสายเกินไป

ผู้แสดงความคิดเห็น กาญจนา เอกปิยะกุล (กาญ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-04-29 22:29:14



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.