ReadyPlanet.com


ติดดี แก้ยากกว่า ติดชั่ว เสียอีก


 

 

"ติดดี แก้ยากกว่า ติดชั่ว"

...สาธุนี่คือเรื่องจริง


 


ครั้งหนึ่ง หลวงปู่มั่น ภูริทัตเถร
เคยให้โอวาทที่ลึกซึ้ง
แก่หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ว่า
"ติดดี แก้ยากกว่าติดชั่ว"

คำพูดนี้
อาจดูจะฝืนความรู้สึกของหลาย ๆ คน
แต่หากมีประสบการณ์มากเข้า ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในแวดวงคนเข้าวัดฝึกหัดอบรมตน
เราก็จะได้เห็นตัวอย่าง
ที่ช่วยยืนยันคำพูดของหลวงปู่มั่
ว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

โอวาทของหลวงปู่มั่นข้างต้น
จึงมีค่าอย่างเหลือล้น
เพื่อใช้เป็นสิ่งเตือนจิตเตือนใจตัวเอง
ไม่ให้หลงติดความดีที่ตัวเองบำเพ็ญ
 
ไม่หลงว่าตัวเราดีแล้ว เก่งแล้ว
บรรดาหมู่คณะ ไม่มีใครเคร่งเท่าเรา
ไม่มีใครก้าวหน้าในการปฏิบัติเท่าเรา ฯลฯ

พอความ "หลงดี" หรือ "ติดดี" เกิดมากขึ้น
ก็จะพาให้ลืมเป้าหมายการปฏิบัติ
ว่าแท้จริงแล้ว
เราทำไปก็เพื่อให้หมด "ตัวเรา"
แล้วยังจะมี "เรา" ที่เก่งกว่า ดีกว่า อีกหรือ
 
 
แล้วเจ้าตัวติดดีนี้
 
ก็จะทำให้เราเป็นชาล้นถ้วย
 
ใคร ๆ เตือนก็ไม่ฟัง
 
สำคัญว่าฉันเข้าวัดมาก่อน
 
ฉันใกล้ชิดครูบาอาจารย์มากกว่า
 
ฉันนั่งสมาธิเดินจงกรมมากกว่
 
ฉันรู้ข้อธรรมะมากกว่า ฯลฯ

เป็นเรื่องจริงว่าในระยะต้น
ของการปฏิบัติ
 
เราอาจจะปวารณาตัว
 
ขอให้หมู่คณะแนะนำตักเตือนได้
 
แต่พอถึงเวลาที่กิเลสขึ้นขี่หัว แล้ว
 
มันทำไม่ได้หรอก ใจมันไม่เปิดรับแล้ว...
 
โอ๊ย แกเป็นใคร เพิ่งจะเข้าวัด
 
จะมีปัญญาอะไรมาเตือนฉัน สอนฉัน
 
ฉันรู้มากกว่าแกตั้งเยอะ
 
ฉันเข้าวัดมากี่ปี
 
แล้วแกเพิ่งจะข้าวัดมากี่ปีเอง
 
 
 
ฉันอยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์มาตั้งนาน
 
ฉันนี่ศิษย์ก้นกุฎิตัวจริงเลยนะ ฯลฯ

แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันไ
ม่ให้เป็นคนติดดี
 
ก็คือ ให้ยึดหลักที่พระพุทธองค์และหลวงปู่มั่น
 
ที่ว่า "จงคอยเตือนตนด้วยตนเอง" อยู่เสมอ ๆ
ว่าเราปฏิบัติเพื่อละโลภ โกรธ หลง
 
การจะให้ใคร ๆ มายกย่อง
 
ว่าเราเก่งเราดี อย่าให้มีในจิตใจ
 
หากมันผุดขึ้นมา
 
ก็ให้ละมันเสียด้วยการรู้เท่าทัน
 
 
 
การมีการเป็นไม่ใช่เป้าหมาย
 
 
มุ่งละกิเลสโดยเฉพาะอย่างยิ่
 
 
 
ตัวมานะที่ชอบเปรียบเทียบกับ คนอื่น
 
จับผิดคนอื่น ออกจากจิตใจ
 
 
บอกตัวเองว่าฉันจะ ปฏิบัติอย่างคนโง่
 
ไม่สำคัญตนว่าดีแล้ว รู้แล้ว
 
ตามที่หลวงปู่มั่นแนะนำ เช่นนี้แล้ว
 
จึงจะพอมีทางให้ปฏิบัติไปได้ตลอดรอดฝั่ง
 
ผ่านพ้นภาวะติดดี
 
เพราะ ถ้าติดดีขึ้นมาแล้ว
 
มันแก้ยากกว่าติดชั่วเสียอี

ก็อปมาจาก เว็บพลังจิต



ผู้ตั้งกระทู้ ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-08-19 06:03:00


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1624847)

ชนิดาคิดว่า การติดดี

เป็นกิเลสบางๆที่อำพรางตัว

อยู่ในจิตของเราได้อย่างน่ากลัวจริงๆค่ะ

 

บางทีกว่าเราจะรู้ตัว

ก็ก้าวพลาดตกเหวไปแล้ว

 

ก็อปมาเพื่ออ่านเตือนสติตัวเอง

และพี่น้องทุกๆคน

เผื่อจะมีบางโอกาส ที่เราเผลอลืมมอง

ที่จิตของตน เพราะไปมุ่งติด

อยู่ที่เปลือกของตัวเอง มากเกินไป

 

 

ชนิดาก็ไม่อยาก

หลุดวงโคจรของความดีไป

 

และเช่นกัน

ชนิดาก็ไม่อยากเห็นพี่น้องคนใด

ต้องหลุดจากวงโคจรไปอีกแล้วเช่นกัน

 

ฉะนั้น หมั่นดูแล จิต..ใจ กันและกัน

ด้วยการ"เตือนสติ"กันและกัน

ด้วยเมตตาให้ได้....ตลอดไป นะคะ

 

(จงกล้าเตือนตรงๆ เมื่อเห็นใครทำผิด)

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 06:24:56


ความคิดเห็นที่ 2 (1624848)

ขอนุโมทนาบุญกับพี่ ชนิดาด้วยครับ

ติดดี

ง่ายๆ ก็คงหลงตัวเอง

อันนี้หละมั่งที่เค้าเรียก

โมหะ เข้าครอบงำ

สำคัญคือ ถ้าไม่ฝึกสติให้รู้เท่าทัน

หรือไม่มีครูอาจารย์ กัลญาณมิตร คอยเตือน

อาจมีนรกเป็นที่ไป

แต่อย่างว่า ถ้าเจ้าตัว มีตัวมีตน สูงอยู่ อาจยาก

อาจารย์ อุบล เลยสอนให้ลูกบ้านสวนให้เป็น คนโง่ ไว้เสมอ

เพราะถ้าคิดว่าเรายังโง่อยู่ ก็จะทำให้เราไม่กล้าอวดดี

ทั้งที่มีดีให้อวด ไม่ให้ยกตนข่มท่าน

โดยส่วนใหญ่ คนเราชินกับการใช้ความ โลภ และ โกรธ

ในการนำทางชีวิตเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด

มันเลย หลง มัวเมาเมื่อความโลภ โกรธ สามารถทำให้ชีวิตเค้าอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้

ซึ่ง

"กระแสธรรม มันจะสวนทางกับกระแสโลก"

อันนี้ก็เห็นจะจริง

(ผมอาศัยจำจากครูอาจารย์มาครับ)

ใฝ่ดีว่ายากแล้ว จะให้ดี แต่ไม่ให้หลงดี นั้นก็ยากอีก

ทุกวันนี้จะว่าไปผมก็เป็นอยู่ คิดว่าเราดีแล้ว รอดแล้ว ที่ใหนได้

ยังไม่พ้นนรกเลย

อนุโมทนาบุญด้วยครับ

ไม่มีดี

แต่อยากอวด

อิอิ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์ โพธิ์อุ่น ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 07:06:37


ความคิดเห็นที่ 3 (1624852)

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาบุญ

กับคุณชนิดา ด้วยครับ

ที่นำธรรมทาน "ติดดี แก้ยากกว่า ติดชั่ว"

ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตเถร

อ่านไปพิจารณาไป

เก็บไว้เตือนตัวเองครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พิสุทธิ์ แดงเอม ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 09:43:02


ความคิดเห็นที่ 4 (1624859)

อนุโมทนาบุญและขอบคุณ คุณชนิดา ที่ทุกคนอ่านธรรมทานแล้ว ได้เตือนสติตนเองค่ะ

ละม่อม มาเห็นบาป ความชั่ว ความทุกข์ ของตนเอง พบกับเวปไซต์บ้านสวนพีระมิด ท่านอาจารย์อุบลสอนธรรมะพระพุทธเจ้า และได้อ่านธรรมทานสมาชิกบ้านสวนพีระมิด พบกับความสุข หันมารักษาศึล 5 และเพิ่มพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา  อยากให้คนอื่นสุขด้วยค่ะ จะพยายามกล้าเตือนตรง ๆ เมื่อเห็นใครทำผิดค่ะ ขอบพระคุณ คุณชนิดาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

                                                                                           

ผู้แสดงความคิดเห็น ละม่อม ทองเจือ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 12:48:20


ความคิดเห็นที่ 5 (1624860)

 

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ

ขอบคุณคุณชนิดาที่นำมาเตือนสติกันอีกที

เคยได้ยินท่านอาจารย์อุบลสอน

เรื่อง มารยาทการไม่ล่วงละเมิดผู้อื่น

รวมถึงการอ่อนน้อม ถ่อมตน

ว่าไปแล้วก็เรื่องพื้นฐานจริงๆ

แต่เรามักจะลืม เหมือนถูกกลืนไปเลย

ส่วนนึงคือก็โทษกระแสสังคม

แต่ส่วนใหญ่คือ นิสัย

หรือสันดานของตัวเราเองนั่นแหละ

แล้วอย่างนี้จะไปโทษใคร

ก็ต้องหันมาสำรวจ และเตือนตัวเองบ่อยๆๆๆๆ

จะได้ไม่ตกขอบออกไปนอกวงโคจร

ผู้แสดงความคิดเห็น ภิญญลักษณ์ เลิศอัครศักดิ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 13:18:09


ความคิดเห็นที่ 6 (1624872)

อนุโมทนากับพี่ชนิดาด้วยนะคะ

ที่มาให้ธรรมทานในช่วงเวลานาทีสุดท้าย

ของเราทุกๆคน

ก่อนที่เราจะเผลอ ติดดี ไปมากกว่านี้

บางทีก็ลืมมองตัวเองไปจริงๆค่ะ

ว่าเรายังมีเปลือกอยู่ 

คิดได้ก็แกะได้ คิดไม่ได้เปลือกก็งอกงาม

เจริญเติบโตจนปกคลุมเนื้อในซะแล้ว

จะพยายามคอยดูตัวเอง

ทั้งเปลือก และเนื้อ จริงๆให้ได้ค่ะ

จะได้แยกแยะออก

ว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการเปลือก

ที่มาปกคลุม บดบัง จนเราลืมตัวของตัวเองไป

ว่ากำลังทำอะไรอยู่

สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น นันทนา แหกาวี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 15:51:21


ความคิดเห็นที่ 7 (1624903)

อนุโมทนาบุญกับคุณชนิดาด้วยค่ะ

ไม่น่าเชื่อว่าช่วงนี้

อ้อยกำลังมีความรู้สึกบางอย่าง

ที่ยังอธิบายออกมาไม่ได้ตะหงิดๆ ในใจ

ซึ่งพอคุณชนิดาตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา

ใช่เลย

พอเราเริ่ม ละ หรือ

พอรู้อารมณ์ความเลวของตัวเราเองแล้ว

เราก็จะเริ่มมีความรวดเร็ว

ในการจับอารมณ์ชั่ว 

มัวแต่โฟกัสที่ความชั่ว

จนอาการติดดีเริ่มก่อตัวขึ้นมา

โดยที่เราไม่มันรู้ตัว

คิดว่าเราเริ่มดี เริ่มใช้ได้แล้วนะ

อัตตาตัวตนอีกตัวก็เริ่มก่อตัว

ทำให้เราประมาทในชีวิต

กว่าจะรู้ตัวอีกทีเรา

ก็อาจพลั้งเผลอทำสิ่งที่ผิดพลาดได้

อย่างที่พวกเราหลายๆคนได้เจอมาแล้ว

  และก็ต้องหลุดออกไปจากบ้านสวนฯ

เพราะถ้าขืนอยู่ก็จะมีแต่ขาดทุน 

ทำบาป มากกว่าเพิ่มบุญ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 21:14:27


ความคิดเห็นที่ 8 (1624932)

  ขอบคุณและโมทนาบุญกับคุณชนิดานะครับที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ซึ่งนับว่ามีประโยชน์กับหลายๆ ท่านที่เผลอลืมตัวไป...บางท่านอาจจะคิดว่าตัวเองศึกษาธรรมะจนทะลุปรุโปร่ง ไปถึงขั้้นนั้นขั้นนี้ ขอให้คนอื่นจงระวังอย่าได้คิดไม่ดีกับตัวเอง ประกาศตนว่าเป็นพระอริยะบุคคลก็มี ทั้งๆ ที่ผู้ที่รู้จริงเป็นจริงไม่เคยมีใครประกาศตนเองเลย ติดอยู่ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีกว่าคนอื่น จนเกิดเป็นอัตตาตัวตนครอบงำจนลืมไปว่า เราต้องละทั้งตัวดีและตัวชั่ว

หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตัวเองเป็นผู้ทรงศีลที่สามารถให้เทพเทวาผ่านร่างตัวเอง และสั่งสอนมนุษย์ผู้มีกายหยาบได้ จนเผลอลืมตัวไปว่า การเป็นร่างทรงก็ไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์ได้

หรือการคิดว่าตัวเองคิดดีทำดี ชักชวนให้คนอื่นร่วมบุญกับตัวเองทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังเป็นทุกข์อยู่ โดยไม่หันกลับไปมองว่าคนอื่นเค้าเดือดร้อนมั้ย เค้าเต็มใจมั้ย คิดอยู่แต่ว่าตัวเองคิดดีฝ่ายเดียวจนหลงลืมไปว่า ยังขาดความรอบคอบ

เหล่านี้สามารถเตือนตัวผมเองให้กลับมาคิดทบทวน ในความมีอัตตาตัวตนของตัวเอง ที่ปล่อยจนครอบงำตัวเอง จนคิดว่าตัวเองติดอยู่ในความดีของธรรมะ ที่สามารถแยกแยะความชั่วได้อย่างชัดเจน แต่หารู้ไม่ว่าทุกอย่างไม่ว่าดีหรือชั่วก็เป็นเพียง...รอยเท้าในอากาศ...

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 22:32:14


ความคิดเห็นที่ 9 (1624954)

อนุโมทนากับพี่น้องทุกๆท่าน

ที่ยอมทิ้งเปลือกดีที่ครอบๆคลุมๆตัวอยู่

และเปิดใจเข้ามาพิจารณา

จิตตัวเองแบบเจียระไนอีกที ในกระทู้นี้นะคะ

 

เพราะตราบใดที่เรายังมีคำว่า

"หลง" หรือ "ติด" ในความดี

สิ่งนั้นย่อมเป็น กิเลส อยู่นั่นเอง

 

ฉะนั้น ต้องคอยระมัดระวัง

"ความคิด"และ"จิตใจ"ตนเองอยู่เสมอๆนะค๊า

 

ชนิดาก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ

เพราะอยู่ดีๆก็มีความรู้สึกว่า

ต้องออกมาเตือนเรื่องนี้ ซึ่งหลักๆแล้ว

ก็"เตือนใจตัวเอง"นั่นแหล่ะค่ะ

 

แต่ถ้ามันจะช่วยกระตุก

หรือดึงให้คนอื่น ให้ทันรู้ตัวได้ด้วย

ก็คงจะดี มิใช่น้อย   


ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 02:52:57


ความคิดเห็นที่ 10 (1638868)

             

 

                                   อนุโมทนาบุญกับคุณชนิดาด้วยค่ะ คนส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้นะคะ

                          อัมเองก็ต้องคอยหมั่นสำรวจตรวจตราตนเองบ่อยๆเหมือนกัน เมื่อมี

                         ผู้อื่นมาคอยชี้แนะเรา บางเรื่องที่พูดไม่ถูกใจเราก็จะรู้สึกต้านขึ้นมา

                         ทันที และมีความรู้สึกชอบไม่ชอบอีกซะด้วย และมักจะมีความคิด

                          ว่าที่เราทำนั้นถูกกว่า ดีกว่า แต่จิตก็จะแวบนึกถึงหลวงพ่อฤษีขึ้นมาถ้าคิดว่า

                          เราดีกว่าเขาแสดงว่าเรานั้นเลวกว่าเขาอยู่มา สิ่งพวกนี้นะคะเป็นเรื่องที่ทำ

                          ยากกว่าการให้ทานเสียอีก ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ง่าย แต่กลับยากแฮะสำหรับเรา 

                          เพราะอัมนั้นก็ยังติดอยู่กับตัวกู ของกูอีกมาก  โชคดีที่ได้ปฏิบัติธรรมที่บ้านสวน

                          มีอาจารย์คอยชี้แนะส่งเสริม ขัดเกลากิเลส เสริมปัญญาให้เรา โชคดีจริงๆ

                          ที่เกิดมาชาตินี้ ได้พบกับท่านอาจารย์อุบล พบบ้านสวนพีรามิด ทำให้เห็น

                          คุณค่าตัวเองจริงๆ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเห็น ที่บ้านสวนสอนทุกอย่าง

                          ไม่มี ศิษย์ก้นกุฏิ  หลงไหลในอัตตาจนลืมตัว มีแต่ ศิษย์หน้ากูติ เ่่่ััสมอภาค

                          เข้ามาถ้ายังไม่ลด ละ เลิก กระเด็นออกตามธรรมชาติทั้ง ก้นทั้งหน้า  555

                                                              

                                                              

                                                               

                                                             

                                                            

                                                             

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อัม นันท์นภัส เตชิตรดาทรัพย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-06 14:35:25


ความคิดเห็นที่ 11 (1638959)

 ขออนุโมทนากับพี่ชนิดาด้วยครับ  พอได้อ่านแล้วก็เหมือนการเตือนสติตนเอง ให้คงอยู่  เพราบางครั้งบางคราวเราอาจหลงละเมอในความคิดอย่างนั้น  อย่างคำพูดหลวงปู่เลยครับ  

ผู้แสดงความคิดเห็น ณภัทร ภิรมย์รักษ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-06 19:04:29


ความคิดเห็นที่ 12 (1639062)

 

อนุโมทนาด้วยค่ะ คุณอัม

นอกจากจะมาพิจารณาจิตตน

ให้พวกเราได้ยินได้ฟังดังๆแล้ว

ยังมีมุขฮาๆมาให้พิจารณาซะด้วย อิอิ

 

แหม่...อ่านแล้ว

ก็กลัวใจตัวเองเหมือนกันค่ะ

เพราะบางอย่าง

มันก็ลด ละ เลิก ได้ยากซะด้วยสิ

โดยเฉพาะ คุณเพ่"อัตตา"เนี่ย

เกาะกันแน๊นแน่น...

 

ถ้ามีปัญญาพอ ที่จะแกะได้หลุดเมื่อไหร่

คงจะ"โล่งอกโล่งใจ"ได้ เมื่อนั้น

...........................

อนุโมทนากับวัยรุ่นตัวอย่าง

อย่างน้องณัฐ ด้วยเช่นกันจ๊า 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-07 08:49:18


ความคิดเห็นที่ 13 (1639066)

ดีก็ให้รู้จัก ชั่วก็ให้รู้จัก

ท่านสอนไม่ให้ยึดติด เอาความดีมาฟาดฟันกัน

แต่อย่าทิ้งการทำความดีกันนะครับ

เสาะแสวงหาบุญกันแล้วอย่าลืม

เสาะแสวงหาการละบาปด้วยครับ

 

ใช่แล้วครับ...ละได้ที่ใจนี่แหละ ที่เดียวเท่านั้น ที่อื่นไม่มี


ขอกราบอนุโมทนาบุญกุศลทั้งหมดของท่านอาจารย์ อุบล

และขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ บุญ ที่เกิดขึ้นที่บ้านสวนพีระมิดด้วยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

 

แฮะๆๆ ขอขี้โกงบุญหน่อยนะครับลูกบ้านสวนทำแทบตาย

รักทุกคนครับ สู้ สู้

ชุณหพงศ์ ลูกนอกบ้าน

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชุณหพงศ์ ทองศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-07 09:12:50


ความคิดเห็นที่ 14 (1639088)

 

 

ความคิดที่เป็นพิษ ตอนที่ 1

 

        

 ความคิดมนุษย์มีทั้งดีและไม่ดี ความคิดดีจะถูกแสดงออกมาในรูปแบบ

ที่ดี เป็นความคิดเชิงบวกที่ส่งผลดีต่อทั้งผู้อื่นและต่อตัวเอง เป็นความ

คิดที่เสริมสร้าง ให้กำลังใจและสามารถปลอบโยนคนอื่นและตัวเองได้

 

 

 

           ส่วนความคิดในทางลบหรือความคิดที่เป็นพิษนั้นเป็นความคิดที่แสดงออกมาในรูปแบบที่ไม่ดี  ส่งผลเสียต่อทั้งผู้อื่นและตัวเอง นำมาซึ่งการทะเลาะวิวาทและการทำลาย เป็นความคิดที่ไร้ประโยชน์และไม่ได้เสริมสร้างแต่อย่างใด

 

 

 

           ความคิดที่เป็นพิษในตอนนี้จะกล่าวถึง ความคิดที่เป็นพิษต่อตัวเอง คือ การคิดกับตัวเองในเชิงลบ หรือมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป จนไม่แคร์ใครเลย คิดในเรื่องที่นำมาซึ่งความท้อแท้หมดกำลังใจ และไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง หรือตีค่าของตัวเองสูงเกินไป และดูถูกคนอื่น ความคิดเช่นนี้ มักจะเกิดกับบุคคลดังต่อไปนี้ คือ

 

 

บุคคลที่คิดว่าตนเองมีรูปร่างหน้าตา ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่รวย ไม่

เก่ง ไม่ฉลาด

 

 

บุคคลที่ไม่มีใครคบ หรือ รู้สึกว่าชีวิตมีข้อบกพร่องบางอย่าง

 

 

บุคคลที่อวดความร่ำรวย อวดฉลาด คิดว่าตัวเองสวย

หล่อ และตี

ค่าคนอื่นต่ำกว่าตัวเอง

 

 

บุคคลที่ไม่เด่น ไม่ดัง ภายในกลุ่ม.......

   ความคิดที่เป็นพิษนี้เกิดขึ้นกับทุกสังคม ทุกที่และรอบด้าน และหลายคนถึงขนาดที่ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานความคิดที่เป็นพิษนี้ จึงทำให้ไม่มีความสุขในการดำเนินชีวิต เพราะมัวแต่มานั่งทำให้ตัวเองมีค่าด้วยตัวช่วยมากมาย เพื่อจะให้เหนือกว่าคนอื่น มักที่จะตีค่าตัวเองโดยใช้มาตรฐานของความฉลาด ความเก่ง ความรวย ความจน ความสวยหล่อ ความไม่สวย และความมั่นใจสูงของตัวเอง และในการดำเนินชีวิต ที่ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

   ในชีวิตของแต่ละคนนั้นพระผู้เป็นเจ้าสร้างมาแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือฐานะ หรืออะไรก็ตาม แต่คุณค่านั้นเหมือนกันทุกคน ไม่ควรตีค่าตัวเองตามที่ตาเห็น หรือมุมมองของมนุษย์ การมองไปยังพระองค์และกลับมามองตัวเอง ทุกคนล้วนมีค่าใช้สติปัญญาและความยำเกรงเป็นหนทางในการดำเนินชีวิต อย่าดำเนินชีวิตตามความคิดที่เป็นพิษของตัวเองใครจะตีค่าเรายังไงไม่สำคัญ สำคัญที่เราตีค่าตัวเองต่างหาก

 จงเป็นตัว original ที่มีค่าอยู่ในตัว แต่อย่าเป็นตัว copy

ที่ต้องค้นหาตัวเองไปตลอดชีวิต

  ขอแบ่งความคิดดีๆคะคงจะให้คติข้อคิด

อีกมุมหนึ่งไม่มากก็น้อยตามสไตล์โซบิเดย์ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-07 11:15:06


ความคิดเห็นที่ 15 (1639092)

 

 

อคติสร้างความแตกแยก

 
 
 
บทความในหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่าผลการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้เรื่องอคติของมนุษย์ พบว่ามนุษย์เกือบทุกคนล้วนมีอคติ และทัศนคติเช่นนี้มีผลแม้แต่กับคนที่ต่อต้านนิสัยนี้ชนิดหัวชนฝา นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้กล่าวว่า การนับถือตนเองของพวกเรามักเกิดจากความรู้สึกที่ว่าเราดีกว่าคนอื่นในกลุ่มที่เราเป็นสมาชิกอยู่ เป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะอคติ แม้แต่ในครอบครัวที่เชื่อในพระเจ้า
 
อคติ คือ การบิดเบือนในสิ่งที่เห็น พูดแต่ความเท็จ และสร้างแต่ความเสียหาย ความแตกแยก อคติไม่สามารถทำให้มนุษย์ความสุข ไม่สามารถทำให้ผืนแผ่นดินตั้งอยู่ได้ อคติจะสร้างความแตกแยกในกลุ่มชนมากขึ้น บางครั้งอคติจะปรากฏผ่านทางคำพูดและพฤติกรรมของเรา
 
แต่ในฐานะทหารและผู้รอคอยอิมามมะฮ์ดี(อ) สิ่งที่เราควรมีต่อพี่น้องในสายธารเดียวกันควรสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ควรจะสำแดงจิตใจแห่งความเมตตา ปรานี ถ่อมตน สุภาพอ่อนน้อม และมีหัวใจที่อดทนซึ่งกันและกันให้นานที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใดต้อง "สวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์" 
 
ผู้รับใช้และผู้รอคอยอิมามมะฮ์ดี(อ) ไม่มีแบ่งแยกเชื้อชาติ สัญชาติ ไม่มีชนชั้นใดที่ดีกว่า แต่ต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความสัตย์ซื่อ ให้เกียรติ และความรัก เพราะเราต่างเป็นผู้ร่วมสายธาร มีเป้าหมายและมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
 
เราควรระลึกเสมอว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้แบ่งแยกชาติพันธุ์ เพศ และวัย จะต่ำต้อยหรือยิ่งใหญ่ ร่ำรวยหรือยากจน หรือแม้ต่างสีผิวพรรณ
 
 หมายเหตุคำว่า อิมามมะฮ์ดี(อ) ถ้าเป็นศาสนาพทุธหมายถึงพระศีรอารียะประมาณนั้นนะขอโทษถ้าความหมายคาดเคลื่อนไปบ้าง
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-07 11:34:43


ความคิดเห็นที่ 16 (1639834)

ขอบคุณคุณ โซบิเดย์นะคะ

ที่นำบทความดีๆ มาให้พวกเรา

ได้พิจารณากัน

 

อ่านแล้ว ก็นึกอยากจะรู้จังว่า

คุณโซบิเดย์

มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง

กับบทความเหล่านี้

ถ้ามีเวลาก็เข้ามาวิเคราะห์

และแบ่งปัน"ความคิดและปัญญา"

กับพวกเราบ้างนะค๊า...

 

 

สำหรับชนิดาก็คิดว่า

คนทุกคนก็มี

ความคิดทั้งส่วนที่เป็นบวก

ที่มีสรรพคุณเสมือนยาบำรุง

ร่างกายและจิตใจ

ให้เดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุข

สร้างสรรค์ และ สำเร็จ

 

ส่วนความคิดด้านลบ

ก็คงส่งผลตรงกันข้าม

เพราะทำหน้าที่เป็นเสมือนยาพิษ

ทำลายร่างกายและจิตใจ

ให้ห่อเหี่ยว ทุกข์ เศร้า ไร้พลัง

อาจจะทำให้ชีวิตล้มเหลวได้...

 

 

 

แต่การมี ความคิดในด้านลบ

ต่อตัวเองหรือผู้อื่น

กับ คำว่า

ให้พยายามมองหาความเลว ในตัวเอง นั้น

ฟังดูคล้ายๆกัน

แต่ผลของมันต่างกันลิบลับ

 

เพราะข้อแรกคงจะหนัก

ไปทางตำหนิตัวเอง ตำหนิผู้อื่น

จนเห็นอะไรก็"ไม่พอใจไปซะหมด"

แถมยังไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร

กับความคิดนี้เลย

 

แต่การมองหาความเลวในตัวเอง

ก็เหมือนกับการพยายาม

มองหาส่วนที่ไม่ดีของตัวเองแล้ว

ก็แก้ไขหรือทิ้งมันไปซะ

ซึ่งผลที่ได้ก็จะเป็นบวกกับตัวเราเอง

 

แต่คนส่วนใหญ่(รวมทั้งชนิดา)

บางที เราก็อาจจะล้ำเส้นอยู่บ่อยๆก็ได้

เพราะแทนที่จะ"มองหาความเลว"

เพื่อพัฒนาตัวเอง

 

แต่กลับไปคิดตำหนิตัวเองซะจนเกินพอดี

ก็เลยทุกข์และท้อ

ก็ต้องเรียนรู้ ผิดถูกบ้าง

เพื่อค้นหาจุดพอดี

ที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลาง

ทำให้ใจ"สบายๆ บวกๆ"

ให้ได้ตลอดเวลา

 

 

แต่การ"ติดดี" ในที่นี้

ก็คือ การเพิ่มระดับ"อีโก้"ให้สูงขึ้น

แต่ ระดับจิตกลับต่ำลง นั่นเอง ... 

 

ฉะนั้น ทางที่ดี เลิกให้ได้

ทั้งติดดี และ ติดชั่ว

แต่หันมาเกรงกลัวต่อบาป

ให้ได้ตลอดเวลา ดีฝ่า...เนอะ



ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-12 05:12:24


ความคิดเห็นที่ 17 (1639846)

โมทนาบุญกับธรรมทานของคุณชนิดาอ่านแล้วจะได้นำไปใช้เตือนสติค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-12 07:58:49


ความคิดเห็นที่ 18 (1639895)

 

แต่การมี ความคิดในด้านลบ

ต่อตัวเองหรือผู้อื่น

กับ คำว่า

ให้พยายามมองหาความเลว ในตัวเอง นั้น

ฟังดูคล้ายๆกัน

แต่ผลของมันต่างกันลิบลับ

*********************

เห็นด้วยกับคุณชนิดาค่ะ

โดยเฉพาะการตำหนิตัวเอง

อาจจะทำให้เราจิตตก เศร้า ไม่เบิกบาน

ในเมื่อเราทำผิดพลาดไปแล้ว

สิ่งที่สำคัญหลังการทำผิดคือ

รู้ตัวให้เร็ว และสำนึกผิด

แล้วจบกัน

อย่าอาลัยอาวรณ์ เฝ้าโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พวกเรามาจาก

จิตดั้งเดิมที่บริสุทธิ์

พวกเรามาเพื่อแสวงหาประสบการณ์

ถ้าไม่มีเลว แล้วจะรู้ดี ได้อย่างไร

ไม่ว่า ดี เลว   สวย ขี้เหร่   ขาว ดำ  

 เบิกบาน เศร้าหมอง

ดีใจ เสียใจ

ล้วนเป็นของที่เกิดจากการเปรียบเทียบกัน

ต้องมีสิ่งหนึ่ง ถึงจะมีสิ่งหนึ่ง

ถ้าเราไม่เคยเลว  แล้วเราจะรู้ดีได้ยังไง

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-12 13:39:49



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.