ReadyPlanet.com


ธรรมทานเรื่องคุณไสยมนต์ดำ โดยท่านอ.อุบล


แท้ที่จริงแล้ว คุณไสยมนต์ดำ คือ อะไร

................................................

 

  •  
  • Baansuanpyramid คำว่า มนต์ดำ หรือ คุณไสย์ หลายคนมักจะเข้าใจว่า เกิดขึ้นเฉพาะถูกกระทำ หรือ ลมเพลมพัดเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะนึกถึง *น้ำมันพราย *หุ่นถูกมัดหันหน้า-หันหลังชนกัน *เสกของเข้าตัว เสกของเข้าท้อง เป็นต้น
     
     
     
     
    แต่แท้จริงแล้ว มนต์ดำ หรือคุณไสย์ ก็คือ พลังงานชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่คู่กับโลกใบนี้มา ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้น และ มนุษย์ มีอารมณ์รัก อารมณ์ริษยา อารมณ์แค้น อารมณ์เกลียดชัง อารมณ์ชิงดีชิงเด่น ไม่อยากเห็นใครเกินหน้าเกินตา อารมณ์ริษยาที่เห็นเขาดีกว่าเราทุกด้าน หรือ ถ้าให้แข่งขันกันตามธรรมชาติ แพ้เขาแน่นอน
     
     
    มนุษย์จึงหาทางเอาชนะผู้อื่น ทำลายล้างผู้อื่นด้วยวิธีที่คิดว่าจะมีผลรวดเร็วที่สุด


ผู้ตั้งกระทู้ ชนิดา เชิงสะอาด กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2013-08-28 07:01:56


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1665585)

โดย ไม่สนใจว่า จะบาปหนา ต่ำช้า พาตัวตกต่ำในเวลาต่อมา ขอให้ชนะให้ได้ก่อนในเบื้องต้น อย่างอื่นไปว่ากันทีหลัง เพราะมนุษย์เหล่านี้ ไม่เคยคิดว่า จะสร้างความดี ใช้ความดี เอาชนะผู้อื่น เพราะคนทั้งหลายเหล่านี้ก็จะประเมินได้ว่า


1.ขืนมัวไปทำความดี กี่ปี กีีชาติ จะทำได้เท่าคนที่เราอิจฉาเขา 2.ไม่มีวันที่จะเป็นอย่างเขาได้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน
3.รอไม่ได้ การทำีความดี มันช้า และ ไม่ปรารถนาจะทำ
4.ต้องการชนะแบบเบ็จเสร็จ เด็ดขาด รวดเร็ว ไม่สนใจบาปกรรม หรือนรก ขอให้ชนะเป็นพอใจแล้ว

 

เมื่อ มนุษย์มีอารมณ์ดังกล่าวข้างต้น มนุษย์ จึงคิดค้นหาวิธีทำลายล้างคนที่คิดว่า เป็นศัตรูหัวใจของตนเอง สารพัดวิธี ทั้งทางคำพูดที่เชือดเฉือน ทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง รู้สึกแย่ จิตตก หดหู่ เมื่อฟังคำพูดของตน

 

คือปรารถนาจะเห็นเขามีทุกข์เพราะคำพูดของตน *ทั้งการกระทำ การแสดงออก ด้วยสีหน้า สายตา กิริยา ที่กดดันให้อีกฝ่ายหนึ่ง เสียความรู้สึก เสียใจ คือรวมความว่า ต้องการให้มีทุกข์ที่สุดนั่นเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:07:28


ความคิดเห็นที่ 2 (1665586)

*และ ที่สำคัญ คือ ทางใจ ถ้าคนนั้นเป็นคนใจร้าย ขี้อิจฉา โกรธง่าย ขี้วีน ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เหวี่ยงใส่คนรอบข้าง หรือบางคน อาจจะเสแสร้งแกล้งสร้างภาพเป็นคนดี มีเมตตา ทำเป็นพูดช้าๆ เนิบนาบ ให้ดูเป็นผู้ดี แต่จริงๆแล้ว ได้กด และ เก็บ ซ่อนอารมณ์ริษยา รุนแรงนี้ไว้ภายใน และ ปรารถนาร้ายต่อคนอื่นเสมอ

 

ผลจากการเป็นคนใจร้่ายนี้ จะส่งผลต่อ สายตา คำพูด การกระทำ ที่ปฏิบัติต่อคนรอบข้าง ให้สัมผัสถึงพลังนี้ได้ และ ดูจากสีหน้า อาการของบุคคลที่ใจร้ายนี้ได้ หรือ ฟังคำพูดเขาให้ดีๆ คนเหล่านี้ จะมีคำพูดที่แฝงไว้ด้วยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจเล็ดลอดออกมาให้เรารับรู้จนได้ ยกเว้นเราไม่เฉลียวใจ ไม่ฉุกคิดเอง

 

สรุป ว่า คนที่จะส่งมนต์ดำ คุณไสย์ หรือ คิดทำต่อผู้อื่นนั้น จะต้องเป็นคนที่มีทั้ง การกระทำ คำพูด ความคิด ที่ริษยา เร่าร้อน ต่อผู้อื่นเป็นนิสัย

 

ซึ่งจะมาจากคนที่
1.มีปมด้อยในชีวิต เช่น เป็นคนไม่สวย หรือ มีจุดด้อยในตัวเองจนตัวเองรู้สึกหดหู่


2.ขาด ความเชื่อมั่นในตัวเอง หรือ แสดงความเชื่อมั่นแบบผิดๆ ออกไปในแนวก้าวร้าว ข่มคนอื่น ซึ่งทำให้คนอื่นเข้าใจว่า นี่คือความเชื่อมั่น แต่จริงๆแล้ว หลายคนแยกไม่ออก ระหว่างก้าวร้าว กับเชื่อมั่น คนเชื่อมั่น เขาจะพูดทุกอย่าง อย่างมั่นใจ สิ่งที่พูดนั้น จะต้องจริง และ ต้องพิสูจน์ได้ และ บอกวิธีพิสูจน์ เขาจะไม่โน้มน้าว ชวนให้ใครเชื่อเขา โดนไม่ได้มีวิธีพิสูจน์ เพราะเขาพูดในสิ่งที่จริิง ที่ถูก น้ำเสียง สีหน้า แววตา กิริยา จะมั่นใจ และ พร้อมที่จะพูดต่อหน้าใคร ที่ไหน ก็ได้

 

 

ส่วนคนก้าวร้าวนั่น มักต้องการให้คนอื่นเชื่อตนเอง โดยวิธีเผด็จการ ออกคำสั่ง ข่ม กดดัน โดย ไม่ต้องมีการพิสูจน์ แต่ต้องการให้คนอื่นเชื่อตาม ทำตามเท่านั้น และ มักจะคิดว่า ถ้าแสดงกิริยา ดุ ข่มขู่แล้วอีกฝ่ายหนึ่ง จะกลัว จะเกรง จะอาย และ ยอมทำตาม

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:12:41


ความคิดเห็นที่ 3 (1665587)

มนต์ดำ หรือ คุณไสย์ นอกจากเขาจะกระทำตามที่ได้กล่าวข้างต้น และ ตามที่ท่านทั้งหลาย ได้บอกเล่ามากันนั้นแล้ว แต่ละคน ยังสร้างพลังงานเหล่านี้ขึ้นมาเอง

 

ซึ่งเป็นพลังงานที่เกิดจากจิตด้านมืดดำ ด้านลบ ด้านคิดทำลายล้างผู้อื่น และ เกิดจากการผิดศีล 5 ไม่ว่าจะข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อ หรือ ทุกข้อ****

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:14:53


ความคิดเห็นที่ 4 (1665588)

พลังงาน ที่เป็นมนต์ดำนั้น คือพลังงานชีวิต หรือ จิตวิญญาณนั่นเอง ซึ่งชีวิต หรือ วิญญาณเกิดได้หลายทาง ตามคำสอนของพระพุืทธเจ้า

1.เกิดจากท้อง เช่น คน หมา แมว

2.เกิดแล้วโตเลย หรือเรียกว่า โอปปาติกะ เช่น เทวดา พรหม

3.เกิดจากฟองไข่ เช่น ไก่ นก

4.สังเสทะชะ คือวิญญาณที่เกิดจากเหงื่อไคล และ สิ่งหมักหมม ของบูดเน่า เป็นต้น
*****

สำหรับ ข้อ 4 คือวิญญาณเกิดจากเหงื่อไคล และ สิ่งหมักหมม อันนี้แหละ คือพลังงานด้านลบ ด้านมืดดำ พระพุทธเจ้าท่านถือเป็น ธาตุดับ ที่ทำให้เกิดผลร้ายต่อชีวิตคนและ สัตว์
*****

คนที่สกปรก มักจะสร้างพลังงานมืด หรือธาตุดับนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองเสมอ

 

การ ไม่ขยันทำความสะอาดสถานที่พักอาศัย เสื้อผ้า ภาชนะ ของใช้ ร่างกาย ก็คือการสร้างพลังงานด้านลบ ด้านมืด หรือ ธาตุดับ นี้ขึ้นมาเอง กลายเป็น คนทำมนต์ดำเอง โดยทำใส่ตัวเองก่อนเป็นคนแรก โดยไม่รู้ตัว และ ไม่คาดคิด

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:18:23


ความคิดเห็นที่ 5 (1665589)

ดังนั้น แหล่งกำเนิดมนต์ดำที่แท้จริง ส่วนหนึ่ง หรือส่วนใหญ่ ก็มาจากตัวเราเอง อันนี้สำหรับคนที่ยังมีการกระทำดังกล่าวข้างต้นนะ จะไม่มีวันถอดถอนมนต์ดำได้ เพราะสร้างมันขึ้นมาเอง ไม่หยุดหย่อน ไม่เว้นแต่ละวัน จนบางครั้งมนต์ดำเหล่านี้ หรือพลังงานชีวิตที่เกิดจากเหงื่อไคลและสิ่งหมักหมมเหล่านี้ กลายเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย เช่น กลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเต่า กลิ่นน้อง กลิ่นพี่ กลิ่นตรงนั้นตรงนี้ ล้วนแต่คือพลังจากธาตุดับ ธาตุมืด ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น

 

 

นอกจากแต่ละคน จะสร้างพลังลบ หรือ ธาตุดับ ธาตุมืด ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว แต่ละคน ยังรับจากคนอื่นอีก เช่น

1.ไปมองคนคนที่มีพลังลบ มีธาตุดับ ธาตุมืด ซึ่งคนเหล่านี้ ดูไม่ยาก เช่น คนโกรธง่าย อารมณ์ร้าย หน้าบึ้งตึง หน้างอเสมอ หรือ ทำผิดศีล โดยอันนี้ก็ดูไม่ยาก ดูจากปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา เป็นผล เป็นสิ่งบอกเหตุ ว่าเขาต้องสร้างเหตุไม่ดีมา ผลจึงเป็นเช่นนี้

 

 

***การมอง***
ไม่ใช่ว่า ไปมองคนไม่ดี จะได้พลังลบเท่านั้น การมองคนดี มีพลังบวก ก็มีสิทธิ์ได้พลังลบเช่นกัน กล่าวคือ มองด้วยจิตที่คิดลบ กับคนดี เช่นมองด้วยความริษยา หมั่นใส้ เห็นเขาดีกว่า สวยกว่า สุขกว่า หรือ มองด้วยความหื่น คิดลามก หรือ คิดล่วงเกินปรามาส อันนี้ ยิ่งมอง ยิ่งสร้างพลังลบให้กับตนเอง และ เป็นการสร้างมนต์ดำ ที่เร็วที่สุด และ ไม่มีทางถอดถอนได้เลย นอกจากการขอขมาด้วยสำนึกเท่านั้น

ขอขมาแล้ว ถ้ายังทำอีก หรือ คิดอีก อันนี้ก็โดนหลายเด้งหน่อยนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:23:51


ความคิดเห็นที่ 6 (1665590)

เหมือนหนี้สงฆ์ ถ้าชำระแล้ว ทำผิดอีก 2-3 คราว ไปโลกันต์
การมองคนดี คนมีบุญก็เช่นกัน ไม่มีวันได้พลังดีไป ถ้าไม่เกิดจากความยินยอมและเต็มใจ ถือเป็นการล่วงเกินทันที มีผลกรรมมากมายมหาศาล


***ระยะ เวลา ในการมอง และ จำนวนครั้งที่มองก็มีผล อันนี้เราพิสูจน์กันมาแล้ว คนที่มองครู่เดียวครั้งเดียว ก็มีผล เช่น คนที่เจ็บป่วย ไปมองคนดี มีเมตตา อาการก็หายทันทีก็มี ดีขึ้นมากทันทีก็มี
แต่พอให้มองอีกครั้ง และ มองนานขึ้น อาการก็หายได้มากขึ้น หรือ หายทั้งหมด

ใน ทางตรงข้าม ถ้าเราไปมองคนที่ทำผิดศีล 5 บาปหนา ขี้อิจฉา ขี้โกรธ เจ้าคิดเจ้าแค้น หรือ คนสกปรกทั้งกาย ทั้งใจ พลังร้าย หรือธาตุดับนี้ ก็จะแผ่มาสู่ตัวเราได้เช่นกัน

และ จะต้องมีผลให้เรามีทุกข์ สารพัด ทั้งกาย ทั้งใจ หรือ การงาน การเงิน แล้วแต่ว่า เรามีบาปด้านไหนเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว ก็จะไปกระตุ้นให้กรรมรวมตัว ในเรื่องนั้นก่อน

 

2.การอยู่ใกล้ คลุกคลี กับคนไม่ดี คนมีพลังลบ
เรา พิสูจน์มาแล้วเช่นกัน การอยู่ใกล้คนดี คนมีบุญ ผลบุญจากคนนั้นจะแผ่มาหาตัวเราได้ อาการเจ็บป่วย หรือ มีทุกข์ ก็จะดีขึ้น หรือบางทีหายทันที

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:26:36


ความคิดเห็นที่ 7 (1665591)

ใน ทางตรงกันข้าม ถ้าเราไปอยู่ใกล้ คลุกคลีกับคนมีพลังมืด มีธาตุดับ ซึ่งก็ดูไม่ยาก คนที่ว่านี้ เขาจะมีเอกลักษณ์ที่บ่งบอก เช่น หน้าตาไร้ความสุข หรือ บางคน มีปัญหาผิวพรรณ พระพุุทธเจ้่าก็สอนไว้แล้วว่า "คนที่มักโกรธจะมีผิวพรรณทราม กรรมผิวพรรณเกิดจากกรรมโทสะ"

 

ถ้าเรามองหน้าใคร เห็นเอกลักษณ์นี้ ให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า และ ใช้ปัญญาทันทีว่า ทำไม คนนี้เป็นสิว เป็นฝ้า เป็นดวงด่าง สะเก็ดเงิน หรือ อื่นๆ นี่แหละ แหล่งพลังงานลบ ธาตุดับ ธาตุมืด หรือ เอกลักษณ์อื่นๆ เช่น เป็นคนพูดคำหยาบ ก้าวร้าว

 

แม้บางครั้งจะสร้างภาพ แต่ต้องมีโอกาส แสดงความไม่ฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ บกพร่อง ออกมาให้เราเห็นจนได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง อันนี้ เราไม่ต้องสงสัย สรุปได้เลยว่า มีพลังลบ ไม่ควรคลุกคลี ไม่ควรเข้าใกล้ ไม่ว่า จะกิน จะนอน จะเดิน หรือ ทำกิจกรรมใดด้วย ถ้าเราไม่บริสุทธิ์พอ เราจะรับพลังงานนี้ได้ทันที

 

3.การสัมผัส สิ่งของเครื่องใช้ ของผู้มีพลังลบ หรือ สัมผัสร่วมกับผู้มีพลังลบ


(ช่วย มาตอบคำถามกันหน่อยนะ ว่าใครเคยสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ของผู้มีพลังลบบ้าง ใครเคยคลุกคลีกับคนมีพลังลยบ้าง ใครเคยมองหน้า สบตาคนมีพลังลบบ้าง แล้วผลเป็นอย่างไร)


(แล้วใครเคยผ่านการพิสูจน์สิ่งเหล่านี้มาแล้วบ้างอย่างไร ไม่ว่าพลังลบ พลังบวก)

 

 

  • Thang Hwangwan ผม เคยสัมผัส คลุกคลี นั่งติดกัน ผิวหนังและตัวสัมผัสกัน ทั้งมองหน้า สบตา และทานอาหารของเขา ทานร่วมกับเขา พูดคุยกันครับ
     
    หลังจากนั้นชีวิตจมดิ่งเลยครับ พฤติกรรมตัวเองเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป มีแต่คิดว่าตัวเองปกติไม่เคยทำอะไรที่ผิดปกติ แต่คนอื่นเห็นหมดว่าเราผิดปกติไปอย่างไร ช่วงนั้นชีวิตบัดซบที่สุด มีแต่ความทุกข์สุดๆครับ
     
    พอวันหนึ่งได้มามองตาท่านอาจารย์อุบล จู่ๆก็เกิดการหลบตาท่าน จึงคิดว่าทำไมต้องกลัว ต้องหลบตาท่านด้วยล่ะ และเกิดอาการร้อนแสบท้อง ปวดต้นแขนทั้งสองข้าง จิตใจเศร้าหมอง สติปัญญาไม่เหมือนเดิม จนได้รับไฟทิพย์จากแดนนิพพาน อาการที่แสบร้อนท้องค่อยๆดีขึ้นและหายไป อาการร้อนแขนก็ดีขึ้น อาการทุกอย่างเปลี่ยนแปลงทันที
     
    ในวันนั้นจึงรู้ว่าไฟทิพย์สวดยอดดครับ และพอมองรูปท่านอาจารย์ที่ถ่านในงานค่าย14 ยิ่งมองก็ยิ่งสัมผัสพลังได้สุดๆ มีจิตวิญญาณไรไม่รู้พุ่งออกมามากมาย จึงรู้ว่าพลังงานบวกหรือบุญเข้าไปในร่างกาย พวกนี้อยู่ไม่ได้ รับบุญขึ้นไปข้างบนทันที
     
     
    เห็นได้ชัดเลยว่าพลังบวกทำให้ผมฟื้นตัวและกลับมาเป็นปกติได้อย่างน่า อัศจรรย์ ต่างจากพวกคุณไสย์มนต์ดำ ที่พาชีวิตผมตกต่ำถึงขีดสุดในช่วงที่ผ่านมา
ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:34:29


ความคิดเห็นที่ 8 (1665592)

 

  • Baansuanpyramid การ มอง หรือ เข้าใกล้ หรือ จับ แตะ หรือ ร่างกายส่วนใดของเรา สัาผัส สิ่งของเครื่องใช้ ของคนที่มีพลังลบ หรือ บวก เราจะรับสัมผัสพลังลบ หรือ บวกได้ โดย เราพิสูจน์ การมองเส้นผม การจับกระดาษทิชชู จับเสื้อ นาฺฬิกา หรือ อื่นๆมาแล้ว มีคนหายป่วยทันที ดังนั้น สิ่งนี้เป็นการยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่อง "อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร" อีกเช่นเดียวกัน เพราะพลังความชั่ว ย่อมแผ่มาถึงตัวเรา ถ้าเราไม่บริสุทธ์ิพอ
     
     

***ระยะเวลา***ในการสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ของผู้มีพลังลบ ก็มีผล ถ้ามองนาน สัมผัสนาน สัมผัสบ่อย ก็รับได้มากขึ้น มากกว่า นำความทุกข์ ความเืดือดร้อนมาให้ชีวิตเราได้มากกว่า

 

ขอให้ทุกคนลองทบทวนดูสิว่า พวกเราเคยได้รับเคราะห์กรรมใด หรือ กำลังได้รับทุกข์ใดในชีวิตอยู่ และ ลองคิดทบทวนย้อนหลังดูสิว่า เราได้เคยคลุกคลีกับใครที่มีพลังลบ มาบ้างหรือไม่

 

เราได้มองหน้า สบตา พูดคุย หรือ สัมผัสของเขา หรือ มองของเขาหรือไม่ แล้วชีวิตเราเป็นอย่างไร หลังจากเราพบเจอคนคนนี้ และ ก่อนหน้าที่เราจะสัมผัส พบเจอ ใกล้ชิดคนคนนี้ เรามีทุกข์ มีเคราะห์กรรมเช่นว่านี้หรือไม่ มันเกิดขึ้นตอนไหน เวลาไหน อย่างไร แล้วเราจะรู้คำตอบว่า มนต์ดำมันเข้าสู่กายใจเราตอนไหนบ้าง


***ส่วนการไปสัมผัส สิ่งของเครื่องใช้ของคนดี คนมีบุญ ก็จะทำให้ได้รับพลังดี ถ้าเจ้าของเค้าเต็มใจ แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจ ไม่ยินดี อันนี้กรรมหนัก บาปมหันต์ ไปโลกันต์สถานเดียว สัญญาณโลกันต์ก็คือ มีทุกข์ทั้งกายและใจ ไม่มีทางปลดเปลื้องได้เลย

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:38:52


ความคิดเห็นที่ 9 (1665593)

4.การสัมผัสเนื้อตัว คนมีพลังลบ
เราพิสูจน์เรื่องนี้ ด้วยการให้สัมผัส แตะตัวคนมีพลังบุญ พลังแสงสว่าง ปรากฏว่า อาการเจ็บป่วย หายทันที หรือ ดีขึ้นทันใด
แสดงว่า พลังการสัมผัสตัวนี้ มีผลรุนแรงมาก

***ในทางตรงกันข้าม***

ถ้า เราไปสัมผัส ถูกเนื้อตัว คนบาป คนมีพลังลบ เราก็จะรับพลังลบนั้น เข้ามาสู่ตัวเราได้อย่างง่ายดาย รวดเร็วและ รุนแรงที่สุด มีผลให้พลังงานนี้ฝังแน่นที่สุด จนแทบแก้ไขไม่ได้เลย ซึ่งมากกว่าทางอื่นทุกทางที่กล่าวมาแล้ว


***ระยะเวลา และ จำนวนครั้ง***
ใน การสัมผัสตัว ก็มีผล ต่อการรับพลังเช่นเดียวกัน 1 ครั้ง ก็มีผลในระดับหนึ่ง จากการทดลอง บางครั้งแต่ตัวผู้มีพลังบวก ครั้งเดียว เพียงไม่ถึง 1 วินาที หายป่วยได้

แสดงว่า ถ้าสัมผัสนานกว่า และบ่อยกว่า พลังจะยิ่งมากขึ้น ทำให้ชีวิตคนนั้น ดีขึ้นทุกด้านมากกว่า

 

ในทางกลับกัน ถ้าเราไปสัมผัสเนื้อตัวคนบาป คนมีพลังลบ เราต้องรับพลังนั้นมาเต็มๆ แม้เพียง 1 ครั้งก็แย่แล้ว

 

แต่ถ้ายิ่งหลายครั้ง บ่อยครั้ง และ นานกว่า อันนี้บอกได้เลยว่า ไม่ต้องปรารถนาจะถอดถอน ไม่มีโอกาสถอนได้เลย ถ้าไม่มีบุญไปพบเจอคนมีหน้าที่ มีกำลังถอน และ เจ้าตัวต้องรู้ตัว ต้องปรารถนาจะถอดถอน และ ต้องขอร้องคนที่มีความสามารถ และ ได้รับความเต็มใจเท่านั้น จึงจะมีโอกาสหลุดพ้นได้บ้าง หรือ ได้จริง
*****************

สำหรับวันนี้ ขอพูดถึงเรื่องมนต์ดำ คุณไสย์ เพียงเท่านี้ก่อน แต่เรื่องนี้ ยังไม่จบ เพราะมีรายละเอียดอีกมากมาย ที่ท่านทั้งหลายควรรับทราบ และ ควรรับรู้แนวทาง หรือ วิธีถอดถอน ป้องกันด้วยตนเอง


ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-28 07:45:37


ความคิดเห็นที่ 10 (1665644)

ขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับ

คุณชนิดา

ที่เป็นสะพานบุญให้คนทั้งหลาย

ได้มีโอกาสเข้าถึงธรรมะของท่านอาจารย์อุบล

 

ขอกราบแทบเท้าขอบคุณ

ท่านอาจารย์อุบล

ที่ได้สอนและขยายรายละเอียด

เรื่องคุณไสยมนต์ดำ


เรื่องนี้ไม่มีใครเคยพูดถึงแบบนี้มาก่อน

แพมก็ศึกษาธรรมะมาหลายสำนักและหลายปี

เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา

เนื่องจากตัวเอง

มีปัญหาอุปสรรคในชีวิตมากมาย


แต่ไม่มีท่านผู้ใด

จะพูดถึงธรรมะต่าง ๆ แบบละเอียดเข้าใจง่าย

และนำไปปฏิบัติได้จริงเหมือนท่านอาจารย์


ท่านอาจารย์

เหมือนผู้มาไขปริศนาธรรมของพระพุทธองค์

และพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของมนุษย์บนโลกนี้


แพมขอกราบน้อมรับข้อธรรมะ

ที่ท่านอาจารย์ได้แสดงในวันนี้

จะพยายามนำไปปฏิบัติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนี้จะนำไปใช้เพื่อพิจารณาตัวเอง

ในการกำจัดพลังงานมืด

ที่เป็นพลังงานลบออกจากชีวิตให้ได้มากที่สุด


จะได้มีโอกาสกลับบ้านนิพพานพร้อมกับพี่น้องคนอื่น ๆ

สาธุ สาธุ สาธุ





 

ผู้แสดงความคิดเห็น ปัญจกานต์ วรรณทอง ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-29 03:00:32


ความคิดเห็นที่ 11 (1665733)

อนุโมทนากับคุณแพมด้วยเช่นกันค่ะ

ชนิดาว่า ไม่ว่าจะชาวพุทธ ชาวไทย

หรือ ใครๆที่ได้อ่าน"ธรรมทาน"นี้แล้ว

คงต้อง"อึ้ง"กันทุกคนแน่ๆค่ะ

 

 

เพราะคงจะไม่มีใครเข้าใจ

เรื่อง คุณไสยมนต์ดำ

ในแง่มุมที่ละเอียดและล้ำลึก

เช่นนี้มาก่อนแน่ๆ

 

 

 

แต่ก็ต้องบอกว่า

เบื้องบนและท่านอาจารย์

ได้วางสเต็ปที่จะอธิบาย

ให้พวกเราเข้าใจได้ง่ายๆ

มาค่อนข้างลงตัวอยู่ก่อนแล้ว

 

 

เพราะการแสดงธรรมะบำบัดแต่ละที่

ท่านอาจารย์ก็แสดงให้พวกเรา

ได้เข้าใจและ สัมผัส หรือเห็นชัดๆว่า

 

การรับพลังบุญ

โดยการมองท่านอาจารย์

หรือ

ด้วยการสัมผัสวัตถุมงคล

แม้เพียงเสี้ยวนาที

ยังทำให้เรา"หาย"จากอาการป่วยได้เลย

 

 

ฉะนั้น ในเมื่อเราสามารถ

"รับพลังบุญ" หรือ พลังสีขาว ได้ง่ายๆ

 

ฉะนั้น มันก็คงจะไม่แปลก

ที่เราจะรับ "พลังมืด" หรือ พลังดับ

เหล่านี้ได้ง่ายๆเช่นกัน

 

 

แล้วท่านอาจารย์ก็เมตตา

สอนให้พวกเราระวังตัวเองทุกด้านเลย

 

คือ ทั้งอย่าเป็นคนสร้างมนต์ดำซะเอง

แล้วก็ไปปล่อยให้คนอื่น

รอบๆข้างต้องพลอยเครียด

หรือ พลอยมัวหมองไปด้วย

 

 

รวมถึง บอกเคล็ดวิธี

ที่จะป้องกันตัวเราจากคนมืด จิตบอด

หรือ มนต์ดำเหล่านี้อย่างละเอียดอีกด้วย

 

สรุปว่า อย่าเป็นทั้งคนรับ

และคนส่งมนต์ดำซะเอง นั่นเอง

 

 

ต้องกราบขอบพระคุณ

ในความเมตตาจากท่านอาจารย์

และเบื้องบนทุกๆพระองค์อีกครั้งด้วยค่ะ

 

 

ชนิดาว่า ธรรมทานดีๆเช่นนี้

อ่านแล้ว ก็อ่านได้อีก

หรือ อ่านซ้ำๆ ตอกย้ำ"จิต" เราทุกๆวัน

 

รับรองว่า ไม่มีมนต์ดำ ที่ไหน

มาทำร้ายทำลายเราได้แน่นอนค่ะ

 

 

 

 

และที่ตัดสินใจก็อปมาโพสต์ไว้ในเว็บนี้ด้วย

ก็เผื่อหลายๆท่านที่พลาด

การร่วมพิธีทำน้ำทิพย์ในเฟสบุ๊คเมื่อวันนั้น

 

แล้วก็เผื่ออีกหลายๆท่าน

ที่จะได้มาอ่านเจอในอนาคตด้วยค่ะ

 

เพราะกระทู้ในเฟสบุ๊ค

ถ้าเวลาผ่านเลยไป กระทู้ตกไป

 

ก็คงจะไม่มีใครไปค้นอ่าน

จากไทม์ไลน์เก่าๆแน่ๆค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-30 08:06:08


ความคิดเห็นที่ 12 (1665748)

       กราบขอบพระคุณท่าน อ.อุบล มากค่ะ

และขออนุโมทนากับคุณชนิดา คุณแพม และทุกท่านด้วยค่ะ

ที่นำคำสอนท่านอาจารย์มาแตกประเด็นให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

ทั้งทั้งที่เอ่ยถึงมนต์ดำ ก็กลัวแล้ว จึงปิดหูปิดตาไม่รับรู้และ

ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเชื่อในกฎแห่งกรรม   แต่ท่านอาจารย์

แสดงให้เห็นชัดเจน และเห็นด้วยว่ามนต์ดำ หรือกิเลสต่างๆ

เกิดจากการกระทำของตัวเราเอง โกรธ โลภ หลง

อยากมี อยากได้ใช้สารพัดวิธีเพื่อตนเองและพวกพ้อง

ไม่นึกถึงใจเขาใจเรา เป็นสาเหตุทำให้วุ่นวาย

แต่ถ้าสละเวลาหยุดคิดได้  ส่วนมากทำไม่ได้เพราะใครๆเขาก็ทำกัน

คิดเองไม่ได้ จนกระทั่งมีเหตุเจ็บป่วย ยากจน ทุกข์ ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด

พออ่านมนต์ดำที่ท่านอาจารย์ชี้แนะ ก็ตาสว่าง มันเกิดจากตัวเอง คนรอบข้าง

ซึ่งต้อง ลด ละ เลิกให้ได้ มุ่งทำความดีก็คือบุญ  

    ลูกกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะ และขอนำไปสอนลูกและบอกผู้อื่น

ในการใช้ชีวิตแต่วันให้มีความสุขคะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุระณี สิริมานุวัฒน์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-30 11:16:47


ความคิดเห็นที่ 13 (1665903)

อนุโมทนากับคุณ สุระณี ด้วยค่ะ

เพราะเห็นชัดๆเลยว่า

เมื่อเราได้อ่านธรรมทานชุดนี้แล้ว

ทำให้เราหันมามองตัวเอง

อย่างจริงๆจังๆมากขึ้น

 

 

 

แล้วทุกคนก็ได้ข้อสรุปที่ตรงกัน

รวมทั้งคุณ สุรณีด้วย

ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิด

จากตัวเราเองทั้งสิ้น

 

ไม่ว่าจะความทุกข์ ความเครียด

หรือ ปัญหาต่างๆในชีวิตที่เราประสบ

 

 

มันมีต้นเหตุมาจาก"ตัวเราเอง"แท้ๆ

แต่เราก็มักจะโทษคนอื่น

โทษสิ่งอื่นรอบๆตัว

 

แต่ไม่เคยมองย้อนมาที่"มนต์ดำ"

ที่ตัวเองสร้างขึ้นเองเลย.....

 

 

แต่ตอนนี้คงจะ"ตาสว่าง"

กันถ้วนหน้าแล้วล่ะค่ะ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-09-01 06:55:50



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.