ReadyPlanet.com


คนเก่งไทยในนาซ่า ( ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา )


 

สวัสดีค่ะ อาจารย์อุบล

ขออนุญาติ

ขอนำชีวประวัติบางส่วน

ของท่าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

มาเผยแพร่ ไว้บน

www.baansuanpyramid.com

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

วิศวกรนาซ่า

ผู้คิดค้นระบบยานลงดาวอังคาร


เช่นกัน ความน่าทึ่งที่คนไทยทั้งประเทศไม่เคยได้ยินมาก่อน

จนถึงวันนี้อาจจะมีคำถาม มากมายหลายอาชีพค้างคาใจอยู่

เหมือนไม่เชื่อฝีมือคนไทยด้วยกันว่าคนไทยทำได้จริงหรือ?

แล้วคนไทยไปอยู่ในองค์กรนาซ่าได้อย่างไร?

ด้วยแววอัจฉริยะหรือพรสวรรค์ที่ติดมากับตัวแต่เด็กของ

ดร.อาจอง วัยหนุ่มใช้ระยะเวลาเรียนปริญญาเอก 3 ปี

สาขาการสื่อสารโทรคมนาคม

จาก Imperial College of Science and Technology,

London Univer sity

ทำให้โชคชะตาชีวิตส่วนหนึ่งเข้าไปผูกพัน

โครงการส่งยานอวกาศไวกิ้งไปสำรวจดาว อังคาร

ขององค์การนาซ่าจนเป็นผลสำเร็จ

ทำให้ประเทศไทย

ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างแพร่หลายเป็นเวลานานในองค์การนาซ่า

และสถาบันสำรวจอวกาศประเทศอื่นๆ

ถ้าพลิกย้อนไป 35 ปีที่แล้ว

 ด.ช.เอ๊ะ หรือดร.อาจอง

คงไม่คิดว่าฟ้าลิขิตให้เดินเข้าไปในองค์การนาซ่า

โดยเจ้าตัวได้เล่าหนหลังให้ฟังว่า

ตลอดเวลาเกือบ 17 ปีใช้ชีวิตกินนอน

เรียนมัธยม ฝึกพลังจิต วิศวกรรมไฟฟ้าในต่างแดน

 แล้วกลับมาเมืองไทยในปี 2509

เข้ารับราชการในคณะวิศวกรรมศาสตร์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนถึงปี 2513

ตัดสินใจลาราชการเพื่อไปบวชเป็นพระระยะหนึ่ง

สึกออกมาเป็นฆราวาส และในปีนี้เองได้ตัดสินใจเดิน

ทางไปสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง

เพื่อไปหาวิชาความรู้เพิ่มเติมด้านสื่อสาร โทรคมนาคม

พร้อมหางานทำไปด้วยโชคเข้าข้าง

บริษัท Micromega ในลอสแองเจลิส

ได้ตอบรับ ดูแลฝ่ายผลิตภัณฑ์ไมโครเวฟ

และที่นี่เองเป็นเหมือนใบเบิกทางให้ก้าวไปสู่ความท้าทายครั้งใหญ่

อันถือว่าเป็นที่สุดของชีวิตที่น้อยคนนักจะไปถึง นั่นคือ

การได้ร่วมงานในโครงการอวกาศขององค์การนาซ่า


จุดเริ่มต้น เมื่อทางองค์การฯ ได้ประกาศรับสมัครผู้สนใจ

เข้าร่วมทำงานในโครงการส่งยานอวกาศไวกิ้งไปสำรวจ ดาวอังคาร

จึงได้เขียนโครงการเพื่อเสนอตัวเข้าไปในนามของบริษัท

แต่ครั้งแรกถูกปฏิเสธ

เนื่องจากกฎกติกาคนที่เข้าร่วมต้องเป็นพลเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น

เพราะเกรงว่าความลับทางเทคโนจะรั่วไหล

ไปสู่ประเทศคู่แข่งอย่างประเทศรัสเซีย ในเวลานั้น

กระนั้นก็ดีได้เข้าร่วมโครงการนี้ในเวลาต่อมา

หลังจากได้ศึกษากฎหมายของสหรัฐฯ

บอกเอาไว้ว่าสามารถอนุโลมให้คนที่ไม่ได้เป็นอเมริกัน

เข้ามาทำงานในโครงการ ลับต่างๆ ของประเทศได้

ก็ต่อเมื่อทางการไม่สามารถหาคนอเมริกันทำโครงการเหล่านี้ได้

หรือไม่มีบุคลากรที่มีความรู้เพียงพอซึ่งในอดีตสหรัฐฯ เข้าสู่ยุคอวกาศได้

ด้านหนึ่งมาจากนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติ

ที่โอนมาเป็นสัญชาติอเมริกันในภายหลัง

ดร.อาจอง เล่าว่า เราเสนอโครงการเข้าไปใหม่

แล้วก็ได้ผลเมื่อนาซ่านำประวัติและผลงานส่งต่อ ให้ FBI และ CIA

ทำการสืบค้นอย่างละเอียดนานอยู่หลายเดือน

ในที่สุดนาซ่าได้ร่อนจดหมาย ตอบรับให้เข้าร่วมในโครงการ

โดยอยู่ในส่วน Secret Clearance ที่ถือว่า

ใกล้ชิดข้อมูลความลับสุดยอดของนาซ่า

“ ช่วงนั้นอเมริกาและรัสเซียเองต่างพยายามส่งยานอวกาศไปลงบนดาวอังคาร

และดาวเคราะห์อื่น เช่น ดาวพุธ ดาวศุกร์

แต่ก็ยังไม่เคยประสบความสำเร็จในการนำยานอวกาศร่อนลงสู่พื้นผิว

ส่วนที่ร่อนลงดวงจันทร์ได้สำเร็จนั้น

คงเป็นเพราะว่านาซ่าสามารถส่งสัญญาณวิทยุจากโลก

ไปถึงดวงจันทร์ได้ภายในสอง วินาที

จึงสามารถควบคุมยานอวกาศอพอลโลร่อนลงสู้พื้นผิวได้

แต่ในกรณีของดาวอังคารนั้นอยู่ไกลจากโลก 150 ล้านไมล์

ถ้าเราส่งสัญญาณวิทยุต้องกินเวลา ประมาณ 20 นาทีกว่าจะไปถึง

แต่ตอนร่อนลงสู่พื้นผิวจะใช้เวลาเพียงแค่ 12 นาที

ดังนั้นจะต้องเป็นระบบที่สามารถร่อนลงเองได้โดยอัตโนมัติ

ซึ่งสหรัฐฯ เองยังหาวิธีไม่เจอ ผมเลยมั่นใจ ว่า

คนไทยอย่างเรามีโอกาสทำได้ ”


คนไทยผู้คิดค้นส่งสัญญาณคลื่นไมโครเวฟ

ร่ายถึงการสร้างยานอวกาศไวกิ้งว่า

โดยทั่วไปนาซ่าไม่ได้สร้างด้วยตัวเอง

เป็นเพียงทำหน้าที่กำหนดนโยบาย วางแผนโครงการ

และควบคุมยานอวกาศที่จะส่งออกไปนอกโลกเท่านั้น

แต่โครงการสร้างยานอวกาศจะทำสัญญาณว่าจ้าง

บริษัท Martin Marrietta เป็นผู้บริหาร

และในส่วนนี้ต้องมี Subcontract

ซึ่งบริษัทที่ผมทำอยู่ได้เข้าไป Sub อีกที

สมัยนั้นคอมพิวเตอร์เพิ่ง มีบทบาท การสร้างต้นแบบ(Prototype)

 จึงสร้างด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่

และเมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยก็ส่งไปให้บริษัท Martin

ทำการทดสอบด้วย เครื่องทดลองเสมือนจริง

หรือเรียกว่าเครื่อง Simulation

เพื่อจำลองการร่อนลงของยานจะปลอดภัยหรือไม่

ทดสอบและดัดแปลงแก้ไขใหม่อยู่ หลายเที่ยว

จนเวลาล่วงเลยไป 1 ปีก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผล

ทุกคนในโครงการฯ เริ่มเครียดหนัก

เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ในการคิดค้นหาวิธีลงจอดนุ่มนวลตอนนั้นผมเริ่มมองเห็นว่า

ถ้าใช้วิธีแบบอเมริกันคงจะไม่สำเร็จแน่

 จึงลองมาใช้ภูมิปัญญาไทยแบบเราร่ำเรียนมาดีกว่า

นั่นคือการฝึกสมาธิ เพราะทำให้เกิดปัญญา อยากรู้อะไร เราก็สามารถรู้ได้

จึงตัดสินใจขึ้นไปนั่งสมาธิตามลำพัง

อยู่บนยอดเขา The Big Bear ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

หลังจากปล่อยวางไม่สนใจอะไร สงบนิ่ง ทำจิตให้โปร่ง เสมือนเป็นทางสีขาว

 ที่สุดเช้าวันที่ 5 ของการฝึกสมาธิ อยู่ๆ เกิดการหยั่งรู้วิธีโดยอัตโนมัติ

คือคิดได้ว่าเมื่อเรารู้เวลาเดินทางของคลื่นไมโครเวฟ

ด้วยความเร็วแสง 3X108 m/s

เราก็สามารถหาระยะทางจากพื้นดินได้

ความคิดทั้งหมดจึงนำ ไปสร้างต้นแบบให้เค้าทดสอบในห้องทดลอง

ผลปรากฏว่ามันค่อยๆ ร่อนลงไปแตะพื้นผิวได้อย่างปลอดภัย

“ เครื่องที่ผมสร้างขึ้นนั้นจะเริ่มทำงานตั้งแต่เริ่มปล่อยเกราะยานไวกิ้ง

ปล่อยร่มชูชีพ ไปจนถึงควบคุมยานด้วยจรวด 3 ลำ

ซึ่งอยู่ใต้ตัวยาน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณคลื่นไมโครเวฟ ความถี่ 1000 MHz

จากยานไวกิ้งลงไปที่พื้นผิวของดาวอังคารและสะท้อนกลับขึ้นมา

ในที่สุดยานค่อยๆ ร่อนลงอย่างช้าๆ สามารถอยู่นิ่งและแตะพื้นผิว

ได้อย่างแผ่วเบาที่สุดเพราะยานไวกิ้งจะกระแทกพื้นผิวไม่ได้

เนื่องจากมีห้อง Lab อยู่ภายในตัวยาน

ที่จะปฏิบัติการทดลองอีกมากมายบนดาวอังคารที่สุดทำให้

วิศวกรนาซ่านับหมื่นคนต่างดีอกดีใจกับความสำเร็จในครั้งนี้

เพราะตามแผนการองค์การนาซ่าได้วางไว้ให้ยานไวกิ้งลงจอดพื้นผิวดาวอังคาร

ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2519 อันเป็นวันฉลองความยิ่งใหญ่ครบ 200 ปีของวันชาติสหรัฐฯ ”


อัจฉะริยบุคลแห่งภูมิปัญญาไทยท่านนี้

ได้เสริมรายละเอียดของการเดินทางจรวดพายานไวกิ้งอีกเล็กน้อยว่า

แม้นักวิทยาศาสตร์จะเห็นดาวอังคารอยู่ใกล้โลกมาก

แต่ความเป็นจริงดาวอังคารจะเคลื่อนตัวหนีออกจากโลกของเราไปเรื่อยๆ

เมื่อคิดคำนวณออกมาเสร็จสรรพ

ดีกว่าที่จรวดสามารถเดินทางตามไปได้ทันใน

 ตำแหน่งที่ดาวอังคารอยู่ห่างจากโลกถึง 250 ล้านไมล์

เท่ากับใช้เวลาไปทั้งสิ้น 11 เดือน

น่าเสียดาย อัจฉริยะบุคลบนทางสีขาวท่านนี้

ไม่ได้รออยู่ดูความสำเร็จด้วยตัวเองเพราะทันทีที่ปฏิบัติภารกิจเสร็จได้

ตัดสินใจที่จะเดินทางกลับเมืองไทย

เพื่อนำความรู้ที่ได้มาสอนให้กับนักศึกษาที่จุฬาฯ

นับเป็นการทำงานช่วงหนึ่งที่มีคุณค่ามากของชีวิตในองค์การนาซ่า

ปัจจุบัน ดร.อาจองสนุกกับงานที่สุดของชีวิต นั่นคือ

โรงเรียนสัตยาใส ลพบุรี ดินแดนสวรรค์ของเด็กๆ

นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาอบรมเกี่ยวกับการศึกษา

ในการสอนคุณธรรม สอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้กับเด็ก

ดังที่ท่านได้สรุปไว้

“ มนุษย์จะเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด ถ้าเรารู้จักตัวเอง

การรู้จักตัวเองนั้นต้องอาศัยการที่เราหันกลับมามองดูข้างในตัวเราเอง

ไม่ใช่ไปศึกษาจากข้างนอกตัวเรา

การฝึกสมาธิเป็นทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้เราหันกลับเข้ามองดูตัวเรา

ก็จะรู้ว่าตัวเรานั้นมีความสามารถมากมาย ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้

ที่สำคัญคือเราจะรู้ว่าทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา

ก็จะมีความรัก ความเมตตา ให้กับทุกคน ช่วยเหลือทุกคน

ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม และในที่สุดความเสียสละจะเกิดขึ้น

แล้วเราจะก้าวไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว มีคุณธรรมสูง

ในขณะเดียวกันเราสามารถประสบความสำเร็จในทางโลกได้อีกด้วย ”

จาก หนังสือ “ อัจฉริยะบนทางสีขาว : ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ”



ผู้ตั้งกระทู้ แมว โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-20 23:18:18


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1528252)

ชอบข้อความที่ท่านได้สรุปตอนท้าย...โดยเฉพาะ "เราจะรู้ว่าทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา ก็จะมีความรัก ความเมตตา ให้กับทุกคน ช่วยเหลือทุกคน "

ท่าน ดร.อาจอง เป็นผู้ที่จุดประกายให้ผมได้ติดตามอ่านเว็บบ้านสวนฯ อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ เพราะโดยพื้นฐานเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่แล้ว ประกอบกับรู้จักท่านในเรื่องของบุคคลสำคัญแห่งองค์การนาซ่า...พอเห็นท่านในเว็บบ้านสวนฯ ก็เลยอ่านไปเรื่อยๆ จนพบว่า บ้านสวนพีระมิด คือแรงผลักดันอันมหาศาลยิ่งกว่าจรวด ที่จะผลักดันให้เราขึ้นไปสุดๆ หรือลงต่ำสุดๆ...แต่เราก็จะเลือกเดินทางแบบพุ่งขึ้นไปให้ถึงที่สุดแห่งความหลุดพ้น

มองภาพท่านยิ้มแบบเมตตาแล้วสุขใจยิ่งนักครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-01-20 23:48:56


ความคิดเห็นที่ 2 (1528283)

ถือได้ว่าท่านอาจารย์ ดร.อาจอง เป็นบุคคลตัวอย่างอีกท่านหนึ่ง

ที่ ทั้งเก่ง มีเมตตาและคุณธรรมสูง ได้ฟังหรือได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับท่านทีไร

ก็ปลาบปลื้มใจและรู้สึกชื่นชมทุกๆครั้ง

ขอบคุณค่ะ และขออนุโมทนาด้วยนะคะคุณแมว

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา วันที่ตอบ 2011-01-21 04:34:27


ความคิดเห็นที่ 3 (1528296)

 

             ขอบคุณ  คุณแมวนะคะ  ที่ได้นำประวัติ  ท่าน ดร. อาจอง   มาให้พวกเราได้อ่าน

เห็นภาพท่านที่ไร  ก็มีความสุขทุกครั้ง  เป็นภาพของผู้ใหญ่ใจดี  มีรอยยิ้มอยู่ตลอด

ขออนุโมทนาบุญกับคุณแมวด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล ฉวีวรรณ นภาพรรณราย วันที่ตอบ 2011-01-21 09:11:31


ความคิดเห็นที่ 4 (1528357)

 

มีบทความนึ่ง..

ที่ไม่อยากให้มองข้าม

emotion ลองอ่านดู emotion

มีร้านค้าแห่งหนึ่ง

ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว

เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็ก ๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น

มาชมลูกสุนัขทุกวัน

แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ

เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง

วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่

กับการขายของอื่น ๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน

เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง

ก็มากระตุกชายเสื้อเขา

เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่
 

"เพื่อนของผมบอกว่า

ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย

ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว

พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว


ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ?"

เด็กบอกอย่างสุภาพ



 
 
 

"อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ" เจ้าของ

ร้านกล่าวอย่างยินดี

แล้วผิวปากเรียกสุนัขทั้งเจ็ดออกมา

เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมาทีละตัว

 เขานับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น

"ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ?" เด็กชายถาม
 

 เจ้าของร้านตอบว่า

"อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว

เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี

มันก็เลยต้องคลานออกมา
วิ่งมาพร้อมกับพี่ ๆ ของมันไม่ได้"

 
 
 

สิ้นคำเจ้าของร้าน

ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา

ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว

มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน

ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ด ๆ

เห็นได้ชัดว่ามันพยายามคลานมาหาเขา
หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊ก ๆ อยู่ตลอดเวลา

มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก

เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา

ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า "หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?"

 
"ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ" เจ้าของร้านตอบ

เด็กชายนิ่งอึ้งไปก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ

เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น

"ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้"เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ

 
 
 

 

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า "โอ๊ะ!! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ
ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรี ๆ ไปเลย"

เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า
"ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้"


"ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อม ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของมัน
และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้
ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม"


 เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า
"คุณอาดูอะไรนี่สิครับ"

 
 
 
ว่า แล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น
 เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้เล็กลีบเช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข
แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้

"คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้
อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ"
เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา

เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า

"ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ในราคาสองพันบาทเท่ากับลูกหมาตัวอื่น ๆ
แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้
เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ"

 
 
 
 

เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุด ตัวลงตรงหน้าเด็กชาย
และกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ
พลางกล่าวขอโทษขอโพยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป


เขาบอกว่าไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้
และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย
พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก
...................................................


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

อย่าตัดสินคุณค่า

จากรูปลักษณ์ภายนอก

 
 
 
 
ที่มา : นิทานสีขาว เล่าโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

 

 
 
 

 

 

 

 
 
 

 

 

 

 
 
 
 
ที่มา : นิทานสีขาว เล่าโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ผู้แสดงความคิดเห็น LAI - LA วันที่ตอบ 2011-01-21 16:00:08


ความคิดเห็นที่ 5 (1528400)

ชอบนิทานสีขาวจังเลย

 

ขอบคุณพี่ LAI-LA

ที่นำเรื่องดี ๆ มาเล่านะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน วันที่ตอบ 2011-01-21 20:25:27


ความคิดเห็นที่ 6 (1528416)

 

ขออนุญาติ

อาจารย์อุบล  อีกครั้งค่ะ

ขอนำบทสัมภาษณ์

ของท่าน ดร.อาจอง

เรื่อง

   วิทยาศาสตร์ กับ ศาสนา  

เนื่องจากอาจารย์ได้กล่าว เสมอ ๆ ว่า

คำสอนของพระพุทธองค์

คือ

วิทยาศาสตร์

พระพุทธองค์แน่นอนที่สุด

ซึ่งได้สอดคล้องเหมือนกับบทสัมภาษณ์

ด้านล่าง....ดังต่อไปนี้ค่ะ

********************************************************

สัมภาษณ์ "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา"

มีบริษัทโฆษณาเขามาติดต่อผม

เขาเพียงแต่บอกว่าเขาต้องการยกย่องคนดีในสังคม

ผมก็บอกว่าการที่จะยกย่องคนดีนั้นก็เป็นสิทธิของทุกคนอยู่แล้ว

ม่ต้องมาขออนุญาตอะไร

ผมเพียงแต่บอกว่าขออย่างเดียวอย่า

ให้เกี่ยวข้องกับการโฆษณาสินค้าอะไรต่างๆ

ก็ได้บอกเขาไว้อย่างนั้น

เขาก็สัญญาว่าในช่วงของผม

จะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์

แต่เสร็จแล้วเขาก็ไปเสริมเติมตอนท้าย

ก็เลยเป็นการทำให้คนเข้าใจว่าผมมาโฆษณาเหล้า

ซึ่งผมก็ไม่พอใจเหมือนกัน ก็เรียกเขามาคุย

เขาก็รับปากว่าจะเพิ่มเติมส่วนที่แบ่งระหว่าง

เรื่องของผมและสินค้าที่เขาโฆษณา จริงๆ

แล้วผมไม่ได้สักบาทหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นการโฆษณาอะไร

แล้วในส่วนของผลงานการคิดค้นล่ะคะ มีที่มาที่ไปอย่างไร

ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอสอนไปได้สัก 2 ปี

รู้สึกว่าวิทยาการมันก้าวล้ำไปแล้ว

ความรู้ ประสบการณ์ของเรามันล้าสมัย

ผมก็เดินทางไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วไปที่สหรัฐอเมริกา

เพื่อที่จะได้ไปหาข้อมูลเรียนรู้อะไรต่างๆ เพิ่มเติม

เพื่อกลับมาสอนนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย

ผมก็ลาราชการไป

บังเอิญเขาประกาศเกี่ยวกับยานอวกาศ

ขององค์การนาซาที่จะไปสำรวจดาวอังคาร

ก็พยายามสมัครเข้าไป คือเสนอโครงการเข้าไป

ตอนแรกๆ เขาก็จะไม่รับคนต่างชาติ

เพราะว่าเป็นความลับทางเทคโนโลยี

แต่ผมก็เห็นว่ามันมีช่องโหว่ในกฎหมาย

ที่เขาจะรับคนต่างชาติได้

โดยเฉพาะกรณีที่เขาขาดแคลนคนที่มีความรู้ทางด้านนั้น

ผมก็เลยดูว่ามีอะไรที่ทางอเมริกาเขาขาด ทำไม่สำเร็จ

ผมดูแล้วก็มีอยู่อย่างเดียว คือช่วงนั้นปี พ.ศ.1971

อเมริกาและรัสเซียก็พยายามส่งยานอวกาศไปลงที่ดาวเคราะห์

โดยเฉพาะดาวอังคาร ดาวพุธ กับดาวศุกร์

แต่ปรากฏว่าล้มเหลวทุกครั้ง พอเขาส่งไปถึงมันจะตกลงไป

มันจะกระแทกพื้นดิน พังใช้การไม่ได้

เพราะว่ามันอยู่ห่างไกลจากโลก

ไม่สามารถควบคุมการร่อนลงได้จากโลกของเรา

ฉะนั้นต้องเป็นระบบที่มันควบคุมตัวเองโดยอัตโนมัติ

ซึ่งอันนี้ทางอเมริกายังไม่ประสบผลสำเร็จ

ผมก็เลยเสนอโครงการเข้าไปว่า

ผมจะช่วยสร้างชิ้นส่วนอันหนึ่ง

ที่จะบังคับยานอวกาศให้ร่อนลงโดยอัตโนมัติ

ลงสู่พื้นดินของดาวอังคารอย่างปลอดภัย

ตรงนี้เองที่ทำให้เขาสนใจและทำให้ผมเข้าไปร่วม

ในโครงการยานอวกาศได้ โดยเริ่มไปทำงาน

ไม่ใช่กับองค์การนาซาโดยตรง

เพราะนาซาเขาจะไม่สร้างอะไรเอง

เขาจะให้บริษัทต่างๆ เป็นผู้ผลิต

ฉะนั้นผมก็ต้องไปทำงานกับบริษัทในสหรัฐอเมริกา

โดยอยู่ในโครงการอันนี้ที่ผมเสนอไป

ตอนแรกทางสหรัฐอเมริกาเขาเช็คประวัติของผม

ก่อนว่าผมมีแนวโน้มเอียงไปทางซ้ายหรือเปล่า

เขาระมัดระวังมาก เขาจะส่งคนไปสืบดูในทุกๆ

แห่งที่ผมเคยอาศัยอยู่ รวมถึงที่ปารีสซึ่งเคยอยู่ 2 ปี

ปรากฏว่าผ่านทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร

เขาเลยให้ทำงาน ทำวิจัยไปประมาณ 1 ปี

สร้างต้นแบบมาหลายต้นแบบ

แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ใช้การไม่ได้

แต่หลังจาก 1 ปี ผมก็คิดขึ้นมาว่า

วิธีการหาความรู้แบบตะวันตก มันใช้ไม่ได้

เพราะเราต้องอาศัยข้อมูลของคนอื่น

เราต้องทำวิจัย เราต้องมาเปลี่ยนแปลงวิเคราะห์

ผมคิดว่าใช้วิธีของทางตะวันออกดีกว่า

ก็คือไปนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา

ผมก็ปีนขึ้นไปอยู่บนภูเขาในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ใกล้ๆ เมืองลอสแองเจลิส และนั่งสมาธิอยู่ตามลำพัง

จนกระทั่งจิตนิ่ง สงบ ปัญญามันก็เกิด

ผมอยู่ 4 คืน 5 วัน

วันที่ 5 กำลังนั่งอยู่เฉยๆ สงบนิ่ง

ไม่คิดถึงโครงการยานอวกาศเลย

อยู่ๆ มันก็แวบเข้ามา

แล้วเราก็ได้คำตอบ

เราก็ อ๋อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว แค่นี้

คือในการฝึกสมาธิจนปัญญาเกิด

โดยที่เราไม่ต้องคิด มันจะไม่ผ่านระบบความคิดอะไร

เมื่อไม่ได้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การคิดคำนวณ แล้วนำไปสร้างได้อย่างไรคะ?

ผมสร้างต้นแบบให้เขา และเขาก็ทดสอบ

โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ สมมติตอนที่ร่อนลง

ปรากฏว่ามันค่อยๆ ร่อนลงและไปแตะพื้นดิน

ของดาวอังคารอย่างปลอดภัย เ

ขาก็ดีอกดีใจก็เลยให้ผมสร้างให้เขา 3 ชุด

ไปไว้ในยานไวกิ้ง 1 ไวกิ้ง 2 และยานไวกิ้ง 3 สามลำด้วยกัน

เขาส่งขึ้นไป 2 ลำ เดินทางไปใช้เวลา 11 เดือน

พอไปถึงดาวอังคารก็สำรวจว่าจะลงตรงไหน

แล้วก็ส่งสัญญาณไปกระตุ้นเครื่องที่ผมสร้างไว้

และมันค่อยๆ ควบคุมยานอวกาศให้ร่อนลงไป

โดยอัตโนมัติสู่พื้นดินของดาวอังคาร

ประสบความสำเร็จ

ยานทั้ง 2 ลำแตะพื้นเบาๆ ไม่มีปัญหาอะไร

และสามารถส่งข้อมูลกลับมาที่โลกของเราเป็นเวลาเกือบ 7 ปี

ถือเป็นครั้งแรก?

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

ก่อนหน้านั้นยังไม่เคยมียานอวกาศลำไหน

ลงไปบนพื้นดินของดาวเคราะห์ได้สำเร็จ

แต่ตอนนั้นได้ลงไปที่ดวงจันทร์แล้ว

แต่ดาวเคราะห์ยังไม่เคย

อาจารย์สนใจเรื่องสมาธิมาตั้งแต่ก่อนจะไปทำงานตรงนั้นหรือเปล่า?

ผมเริ่มฝึกปฏิบัติตั้งแต่อายุ 15 ปี

ตอนนั้นศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

เป็นโรงเรียนประจำ แล้วก็ฝึกมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้

ทำไมถึงได้สนใจเรื่องสมาธิ?

เหตุที่เป็นแรงจูงใจก็เพราะว่า

ช่วงนั้นผมเป็นเด็กเกเรพอสมควร

ชอบชก ชอบต่อย ชอบอาละวาด เป็นคนที่อารมณ์รุนแรง

แล้วมันเกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์กับตัวเอง

คือนอนอยู่ในห้องนอนรวม

เป็นหอพักของนักเรียน อยู่กัน 50 คน

อยู่ๆ วันหนึ่งก็ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก

เพราะเหมือนกับมีเสียงคุยกับผมอยู่

เสียงนั้นแค่เรียกชื่อผม 3 ครั้ง

อาจอง อาจอง อาจอง

ทำไมถึงทำอย่างนี้ ตั้งคำถามไว้ให้กับผม

ผมก็มานั่งคิด ตอนแรกก็ตกใจนึกว่าเป็นผีมาหลอก

ก็ไม่สนใจ นอนหลับไป

พร้อมกับเสียงนั้นมันจะมีแสงสว่างอยู่รอบๆ บริเวณนั้นด้วย

ผมมองซ้าย มองขวา ดูเพื่อน

ทุกคนก็นอนหลับไม่มีใครได้ยินอะไร

และมันก็เกิดขึ้นสามคืนติดต่อกัน

คืนที่สามก็เลยต้องมานั่งคิดใหญ่เลยว่า

เอ..มันเรื่องอะไร

คิดไปคิดมาอาจเป็นการเตือนตัวเราเองว่า

สิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้อง ก็เลยหาทางออก

พยายามคิดว่าเราจะปรับปรุงตัวอย่างไร

ตอนแรกไม่รู้จะไปปรึกษาหารือกับใคร

เลยไปปรึกษากับนักบวชในศาสนาคริสต์

ท่านก็บอกว่าให้ไปสวดมนต์ภาวนา เข้าโบสถ์ด้วยกัน

ผมก็เข้าไป แต่แล้วท่านก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับผม

ท่านบอกว่าต้องไปศึกษาพระคัมภีร์ต่อ ผมก็ไปศึกษาพระคัมภีร์

จนกระทั่งวันหนึ่งท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์

ท่านบอกว่าเมื่อสวดมนต์จะต้องมาพร้อมกัน

เปร่งเสียงดังพร้อมกัน เข้ามาอยู่ในโบสถ์พร้อมกัน

ผมเถียงท่าน บอกว่าไม่จำเป็น

เราสวดมนต์ในมุมเงียบๆ ในห้องของเราก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปสวดในโบสถ์

อันนี้ท่านโกรธมากเลย ไล่ผมออกจากห้อง ผมก็เสียใจมาก

ก็พยายามคิดว่าจะทำยังไง เลยไปเข้าห้องสมุด

แล้วบอกตัวเองว่าเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ น่าจะมีอะไรดีๆ ทางพุทธศาสนา

ก็เลยไปค้นหนังสือเจอบทความเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ

พออ่านแล้วมันประทับใจมาก

ก็เลยเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

พอฝึกไปได้เดือนหนึ่งมันรู้สึก

สงบสบาย อารมณ์โกรธ โมโห อะไรก็ค่อยๆ หายไป

เลยฝึกต่อ พอฝึกไปได้ปีหนึ่ง

ก่อนหน้านั้นเรียนหนังสือไม่ค่อยได้ดี

ปรากฏว่าความจำดีขึ้น การเรียนดีขึ้น

พอสอบปีถัดมาก็สอบได้ที่ 1 ของทุกวิชา

จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยน เป็นคนใจเย็น ความรู้เกิดขึ้น

บางครั้งเราเรียนหนังสือก็ไม่ต้องเรียนหนัก ค
วามจำดีขึ้น

ได้รับรางวัลจากประเทศอังกฤษเยอะแยะไปหมด

 ได้รับรางวัลจากนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษด้วย

ทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านศาสนา

นี่คือการทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่างพร้อมกัน

แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน?

ผมมองดูตัวเองย้อนหลังกลับไป จริงๆ

วิทยาศาตร์ กับ ศาสนา

 ไม่แตกต่างกัน

ทั้งสองอย่างพยายามแสวงหาความจริง

แต่วิทยาศาสตร์มุ่งไปในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา

แต่ศาสนามุ่งเข้าไปในตัวเรา

ฉะนั้นอันหนึ่งเป็นเรื่องภายใน อีกอันเป็นเรื่องภายนอก

สองอย่างมาประกอบกันก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบ

แล้วผมก็วิเคราะห์ดูตั้งแต่ตอนนั้นว่า

ผมจะไม่หากินกับเรื่องของจิตใจ เรื่องของการฝึกสมาธิ

ตรงนั้นจะทำอะไรก็เป็นการบริการช่วยเหลือคนอื่น

ถ้าเผื่อไปหากินก็คิดว่าใช้วิทยาศาสตร์

ผมก็เลยเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อใช้เป็นอาชีพ

ในแวดวงของคนที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์

อาจารย์คิดว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นมั้ยคะ?

คือผมเข้าใจเขา แนวความคิดของเขาเป็นอย่างไร

ขั้นตอนของการคิดแบบนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร

ทีนี้ผมพยายามดึงเขาเข้ามาให้เข้าใจด้วยว่า

เรามีญาณวิเศษอยู่ในตัวของเราทุกคน

เพราะถ้าเกิดเราย้อนหลังกลับไปดูในประวัติศาสตร์อย่าง เ

ซอร์ไอแซค นิวตัน

ซึ่งก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของโลก

ตั้งแต่เล็กๆ เขาชอบนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิลตามลำพัง

โดยที่เขาไม่คิดอะไร และเขาทำอย่างนี้เป็นประจำ

พอโตขึ้นมาเขาคิดถึงดาวหางแฮรี่

ว่ามันจะกลับมาเยี่ยมโลกทุกๆ กี่ปี

 การหาคำตอบของเขาไม่ได้จากการทดลอง

ไม่ได้จากการคำนวณ

เขาไปนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิล

พอมันตกลงมาตอนนั้นเองมันก็แวบเข้ามา

แล้วเขาก็ได้รับคำตอบ ซึ่งนอกจากจะตอบว่า

นอกจากดาวหางแฮรี่จะมาทุก 76 ปี ซึ่งก็ถูกต้อง

เขายังได้กฎเกณฑ์ของฮิวตันซึ่งเป็นพื้นฐานของ

ฟิสิกส์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้

ไอน์สไตน์ก็เหมือนกัน เขาก็บอกว่า

เขาได้อะไรต่ออะไรจากการตอนที่เขาสงบนิ่ง

แล้วเขาพูดออกมาชัดเจนเลยว่า

การหยั่งรู้ด้วยตนเองไม่ได้มาจากการศึกษา

ไม่ได้มาจากความพยายาม

แต่มันมาจากใจโดยตรง

ถ้าเราเข้าถึงใจของเราได้

สมาธิก็จะเกิด ความรู้เกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น

อธิบายสิ่งที่เรียกว่าการหยั่งรู้นี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์อย่างไรคะ?

ขอให้ดร.พักเบรกนะคะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-01-21 22:37:07


ความคิดเห็นที่ 7 (1528540)

ขอเขียนต่อค่ะ

( ไม่อ่าน..ไม่ว่ากัน  )

อธิบายสิ่งที่เรียกว่าการหยั่งรู้นี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์อย่างไรคะ?

พอเราฝึกสมาธิ

ความรู้สึกของเรามันจะขยายตัวออกไปกว้างใหญ่

พอเป็นอย่างนี้เท่ากับว่ามันขยายไปที่ไหนเราก็รู้ตรงนั้น

ถ้าเราอยากจะรู้ว่าข้างหนึ่งของโลกเรากำลังเกิดอะไรขึ้น

เรานั่งสมาธิขยายความรู้สึกของเราออกไป

มันเป็นจิตใจที่เราขยายออกไปได้ แล้วจะรู้เรื่องอะไรก็ได้

ฉะนั้นจิตเหนือสำนึกก็คือ ผู้รู้ ผู้ตื่นที่อยู่ในตัวเรา

มันไม่มีขอบเขต จิตเหนือสำนึกมันกว้างออกไป

และทำให้เราสามารถรู้เรื่องอะไรก็ได้ เกี่ยวข้องกับอะไรก็ได้

ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าอาจารย์เป็นผู้หยั่งรู้ได้มั้ยคะ?

ผมถือว่าทุกคนสามารถที่จะหยั่งรู้ได้

บางทีพวกเราสังเกตกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

อันนั้นก็เป็นการหยั่งรู้ บางทีเรามีปัญหาเยอะแยะ

เราคิดอะไรไม่ออก เรานอนหลับไป และช่วงที่เราตื่น

อ๋อ! รู้แล้ว คำตอบมันมา

เพราะระหว่างที่เรานอนหลับกับตอนที่เราตื่นตอนนั้นจิตใจเราสงบ

เรายังไม่ฟุ้งซ่าน เรายังไม่คิดอะไรมาก

พอจิตใจสงบในช่วงนั้นการหยั่งรู้ด้วยตนเองก็จะเกิดขึ้น

สภาวะจิตใจที่สงบนิ่ง ทางพุทธเราก็เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา

เมื่อเรามีศีล มีสมาธิเกิดขึ้น จิตใจมันสงบ ปัญญามันก็เกิด

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวิธีลงจอดแล้วอาจารย์ไปทำงานอะไรต่อ์?

ก็เป็นอาจารย์ต่อที่จุฬาฯ

เริ่มสอนนิสิตนักศึกษาเรื่องสมาธิ และอบรมครูในเรื่องการฝึกสมาธิ

ช่วงหนึ่งได้มีโอกาสทำงานในแวดวงการเมืองด้วย?

คือหลังจากที่เป็นอาจารย์อยู่สัก 7 ปี

มรู้สึกว่าเราน่าจะมีประสบการณ์ที่กว้างออกไป

และให้เข้ากับทุกกลุ่ม คือสังคมต่างๆ

ตอนนั้นก็ออกมาเป็นนักธุรกิจก่อน

ประสบความสำเร็จได้เป็นกรรมการผู้จัดการหลายบริษัท

พอเริ่มเข้าใจแล้วว่านักธุรกิจเป็นอย่างไรก็ตัดสินใจว่า

ถึงเวลาที่เราจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองบ้าง

เลยไปลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ประสบความสำเร็จตอนที่สังกัดพรรคพลังธรรม

ได้รับเลือก 3-4 สมัย

ตอนนั้นเข้าไปอยู่ในงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเป็นหลัก

เป็นกรรมาธิการการศึกษา

กรรมาธิการวิทยาศาสตร์

กรรมาธิการสิ่งแวดล้อม

จะมุ่งไปในทางด้านนั้น จนสุดท้ายได้เป็น

เลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

สมัยท่านประสงค์ สุ่นศิริ

ได้เดินทางไปรอบโลกพร้อมกับท่าน

ดูเหมือนอาจารย์จะมองการทำงานในตำแหน่งต่างๆ

เป็นการเรียนรู้มากกว่าการประกอบอาชีพ?

คือทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ของผม

ไม่ได้มีเป้าหมายคือ ชื่อเสียง เงินทอง หรืออำนาจ

ถ้าเราต้องการรวยมันง่ายมาก

อย่างผมไปสร้างยานอวกาศที่สหรัฐอเมริกา

เงินเดือนที่ได้รับตอนนั้นซื้อรถยนต์ได้ 1 คันต่อเดือน

คือต้องเทียบอย่างนั้น เพราะว่าเงินสมัยนั้นมันยังน้อย

เงินซื้ออะไรได้เยอะ มูลค่าสูง

พอผมสร้างเสร็จแล้วหน้าที่ของผมคือ

กลับมาเป็นอาจารย์อยู่ที่จุฬาฯ ก็บอกทางโน้นว่าขอกลับแล้ว

ตอนแรกเขาก็จะไม่ยอม เพิ่มเงินเดือนให้ผม 20 เท่า

ซื้อรถยนต์ได้ 20 คันต่อเดือน และจะโอนสัญชาติให้ผม

ผมก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

หน้าที่ของผมคือสอน ที่มาก็มาหาความรู้

ได้ประสบการณ์แล้วก็ขอกลับ ในที่สุดเขาก็ต้องยอม

ในชีวิตไม่เคยคิดอยากจะรวย ไม่เคยคิดอยากจะดังอะไร

ถ้ามันดังก็ดังโดยธรรมชาติของมันเอง

เราไม่ได้ตั้งใจว่า

จะต้องทำด้วยความดังหรือชื่อเสียง หรือความร่ำรวยอะไร

ตอนนี้ก็กลับมาอยู่ที่โรงเรียน ผมก็ปฏิเสธไม่รับเงินเดือน

เพราะว่านี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเรา เราต้องการจะให้และช่วยเด็ก

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงธุรกิจหรือการเมือง

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเต็มไปด้วยเรื่องผลประโยชน์และการต่อรอง?

อย่างผมเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง

ปกติเราต้องเลี้ยงลูกค้า เลี้ยงอาหาร เลี้ยงเหล้า อะไรต่างๆ

ผมก็บอกเขาตรงๆ ว่า ผมไม่ดื่มเหล้านะ และผมทานมังสวิรัติด้วย

เขาก็ตกใจ แปลกใจ แต่ก็บอกผมว่า

ถ้างั้นก็ทานบ้าง เป็นเพื่อนดื่มน้ำชาด้วยกัน

เสร็จแล้วก็คุยกันไปคุยกันมา ปรากฏว่าเขาไว้ใจผมมากเลย

เขาเชื่อว่าผมทำธุรกิจจะไม่มีวันเอาเปรียบเขา

ไม่มีวันที่จะโกงเขา เขาบอกเอาล่ะ

ผมพร้อมจะเซ็นสัญญาซื้อขายกับคุณ

เซ็นสัญญาทีเป็นพันล้านเพราะเขาไว้วางใจเรา

เพราะเราไม่ได้โม้อะไร ไม่ได้ไปแสดงอะไร

ไม่ได้ดื่มเหล้าเมายากับเขา ไม่ได้เลี้ยงดูปูเสื่อ

ซึ่งนักธุรกิจโดยทั่วไปเขาจะมี แต่ปรากฏว่ากลับไม่ค่อยไว้วางใจกัน

แต่นี่เขาไว้ใจเรา

เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะต้องใช้วิธีทางโลกในการค้าขาย

สู้สร้างความไว้วางใจดีกว่า

การเมืองก็เหมือนกัน

ผมก็เข้าไปในสภา เอาล่ะ ก็ยอมรับว่ามันมีผลประโยชน์ค่อนข้างจะเยอะ

แล้วก็มีคนมาเสนอผลประโยชน์ให้ผมเยอะมาก

ตอนที่เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ก็มีคนเสนอว่า

พี่ช่วยเซ็นตรงนี้หน่อย พอเซ็นแล้วผมจะได้ 150 ล้าน

ผมก็บอกว่าเรื่องอะไรล่ะ ได้เยอะแยะขนาดนี้

เขาบอกว่าเขาจะนำเข้าไม้จากพม่า

และเขาเอาหลักฐานให้ผมดูว่าเป็นไม้จากพม่า

แต่ผมดูแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นเอกสารปลอม

ผมก็เลยเอาเอกสารนี้ไปตรวจ

พม่าตรวจแล้วเขาก็บอกว่าเป็นเอกสารปลอม

ผมก็เอากลับมาแล้วบอกว่า ขอโทษนะเซ็นอันนี้ไม่ได้

เพราะว่าเป็นเอกสารปลอม ผมก็พูดตรงไปตรงมากับเขา

ใช่ ผมอาจจะไม่ร่วมมือในเรื่องบางเรื่อง

แต่ทุกคนก็ยอมรับ และก็ถือว่าผมเป็นคนที่น่าไว้วางใจ

ถึงเวลาจะมีการปฏิรูปการศึกษา

กรรมาธิการก็ให้ผมร่างในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม

ถึงเราไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาล

แต่ไปขอร้องเขา พอถึงเวลาเขาก็ยกมือให้

เขามั่นใจเรา เขารักเรา

การทำงานไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ

 อิทธิพล ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง

เราสร้างความไว้วางใจให้กับคนอื่นให้รักเรา

จริงไหมที่เขาบอกว่าคนดีๆ มักอยู่ในแวดวงการเมืองไม่ได้?

อันนี้ก็จริงเหมือนกัน

แต่ทว่าเขาเข้าใจผิด

คือยืนหยัดอยู่ในทางของตัวเองแล้วบอกคนอื่นผิดหมด

มันไม่ใช่อย่างนั้น

ไม่มีใครผิด

คือเราต้องเข้าใจว่า

ทุกคนอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อที่จะมีประสบการณ์

บางทีเราต้องหกล้มเราถึงจะรู้ว่าหกล้มแล้วมันเจ็บ

แล้วเราน่าจะเปลี่ยนวิธีการใหม่

ตลอดเวลามีการสร้างความแข็งแกร่ง

ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตให้ดีขึ้น

ฉะนั้นผมมองนักการเมืองทั้งหลายว่าเขาก็เรียนรู้อยู่

บางทีเขาทำอะไรตัวเองก็เจ็บมาก

สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ก็คือวิธีการเรียนรู้

ฉะนั้นคนดีบางคนบอกว่าตัวเองดี แล้วก็ไปชี้นิ้วว่า

ไอ้นี่มันไม่ดี ไอ้นั่นมันเลว

แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อเราชี้นิ้วไป

มันจะมีนิ้วสามนิ้วชี้กลับมาที่ตัวเราเสมอ

เราบอกว่าคนอื่นเลว

แท้ที่จริงเราต้องดูตัวเองว่าเราเลว เราไม่ดีเอง

เราคิดไม่ดีเอง

ถ้าเผื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราไม่ไปด่าใคร เราไม่ไปว่าใคร

จริงๆ แล้วการเป็นนักการเมืองก็น่าจะทำอะไรได้เยอะ

โดยเฉพาะในเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับการศึกษา

ทำไมถึงตัดสินใจออกมาล่ะคะ?

ใช่..เราปฏิรูปอะไรได้ ทำอะไรได้เยอะ

อย่างตอนนั้นเราออกกฎหมายปฏิรูปการศึกษา

ซึ่งผมเขียนเรื่องคุณธรรมใส่เข้าไป

ก็ไปโดน รสช.ยึดอำนาจพอดี

แล้วก็เกิดปัญหาพฤษภาทมิฬอะไรต่างๆ

ผมก็ดูแล้วว่าเราต้องลงไปถึงระดับรากฐานคือ

ไปลงมือสร้างเด็กขึ้นมาเองเลย

การปฏิรูปการศึกษา

จะมาสั่งคนให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้โดยอาศัยกฎหมาย

มันไม่ค่อยได้ผล เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้จะทำยังไง

ผมเลยคิดว่าเราไปสร้างตัวอย่างให้เขาเห็นดีกว่า

ไปปฏิรูปของเราเองก่อน วิธีการอย่างนี้จะขยายผลได้เร็ว

แล้วอีกอย่างผมก็คิดว่าเราสร้างอะไรต่ออะไร

สร้างยานอวกาศ สร้างโน่นสร้างนี่มาเยอะแล้ว

ตอนนี้ลองสร้างคนบ้าง

ก็เลยหันไปสู่แวดวงการศึกษาของเด็ก

ตั้งโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี

ขณะเดียวกันก็อบรมครู

ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเรียนรู้

เกี่ยวกับการศึกษา

และเดินทางไปต่างประเทศตามคำเชิญของประเทศต่างๆ

พื่อไปอบรมครู

แล้วทำไมต้องเป็นโรงเรียนแนวไสบาบา

คืออันนี้เริ่มต้นเมื่อประมาณ 23 ปีที่ผ่านมา

ตอนนั้นผมยังไม่ได้มาสนใจเรื่องการศึกษาของเด็ก

แต่ก็ได้รับแรงกระตุ้นเมื่อครั้งไปที่ประเทศอินเดีย

และไปเจอนักการศึกษา (ท่านสัตยาไสบาบา)

ท่านเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในประเทศอินเดีย

ขณะเดียวกันท่านก็สอนธรรมะ

ผมไปเจอท่าน ท่านก็มองหน้าผมสักพัก

แล้วก็บอกว่าในชีวิตที่เหลือ

ขอให้หันมาสนใจการศึกษาทั้งหมดได้ไหม

ผมก็ตอบรับทันที เพราะท่านพูดประทับใจมาก เข้าถึงใจผม

ผมก็เลยตัดสินใจว่าเราต้องหันมาทางด้านนี้

กลับมาเมืองไทย

ก็เริ่มต้นจากการทดลองสอนเด็กในแหล่งชุมชนก่อน

ดูสิว่าเราสามารถเปลี่ยนชีวิตเขาได้ไหม

ปรากฏว่าเด็กพวกนี้เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

เราก็เริ่มเห็นผล

ทีนี้ก็เลยจัดอบรมครู

พออบรมไปได้สักหมื่นห้าพันกว่าคน

ครูเหล่านี้ก็เรียกร้องว่า วิธีสอนมันดีล่ะ

แต่เขาอยากจะเห็นของจริง โรงเรียนที่ปฏิบัติอย่างนั้น

ทำอย่างนั้นจริงๆ ผมก็เลยบอกพรรคพวก

เรามาสร้างโรงเรียนกันดีกว่า เพื่อจะได้เป็นตัวอย่าง

ทุกคนก็เห็นดีด้วย ช่วยกันบริจาค

เพราะเราจะไม่เก็บค่าเล่าเรียน

ต้องการทำตัวอย่างของการให้ ให้เปล่า ให้ฟรี

ไม่ใช่ว่าจะเอากำไร โรงเรียนสัตยาไสก็เริ่มต้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว

อาจารย์ทำงานกับเด็กมาก็พอสมควร มองว่าปัญหาของเด็กยุคนี้คืออะไร?

เป็นเรื่องจริงว่าเด็กที่มีปัญหาคือ เด็กที่ขาดความรัก

ขาดความอบอุ่นในครอบครัว

พอเขาขาดก็จะพยายามแสวงหาความสนใจของคนอื่นเข้ามา

ฉะนั้นบางทีเขาก็ใช้วิธีที่เขารู้จัก

คือเกเร ทำลายโน่น ทำลายนี่ แกล้งคนโน้น คนนี้

ทันทีเลยผู้ใหญ่ก็จะมาหาเขา

จริงอยู่เขาโดนลงโทษ

แต่เขาสามารถดึงดูดคนมาหาเขา

และนั่นคือสิ่งที่เขาปรารถนา

ที่เขาเกเรทุกวันนี้เป็นเพราะเขาขาดความรัก

เขาอยากจะได้ความรักจากผู้ใหญ่

เราต้องเข้าใจ อย่าไปโทษเด็ก

มันมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เสริมเข้ามา

ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองของครู

ที่จะต้องเติมความรัก ความเมตตา และให้ภูมิคุ้มกันแก่เด็ก

ภายใต้บรรยากาศทางสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างในปัจจุบัน ยังพอมีหวังมั้ยคะ?

คือผมเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างต้องเปลี่ยน

มนุษย์เราพอมีความทุกข์มากๆ

จะรีบแก้ไข รีบเปลี่ยน รีบหนีความทุกข์

ฉะนั้นมันจะมีเหตุการณ์ที่สร้างปัญหาขึ้นมาเยอะให้กับเรา

และปัญหาเหล่านั้นก็คือบทเรียนที่เราจะได้เรียนรู้

และปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น

อย่างที่เขาบอกระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 4 เมตร

กรุงเทพฯก็หมดแล้วไม่มีเหลือ อยู่ใต้บาดาลแล้ว

ภาคกลางของประเทศไทยก็จะโดนน้ำท่วมหมด

พอถึงใกล้ๆ เวลานั้น

พวกเราจะตกอกตกใจและรีบเตือนกันอย่างรวดเร็ว

เราไม่มีทางเลือกแล้ว เราต้องเปลี่ยน

ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

จะเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม มันต้องเปลี่ยนแล้ว

คือชีวิตเราจะเปลี่ยนเร็วท่ามกลางวิกฤติต่างๆ

ถ้าไม่มีวิกฤติเราก็ไม่เปลี่ยน เราก็อยู่กันอย่างสบายๆ

 เพราะฉะนั้นช่วงนี้มันจะมีวิกฤติเกิดขึ้นเยอะ

และสร้างปัญหาให้กับเรา

ทำให้การเปลี่ยนแปลงจะเร่งและรีบด่วน

มันจะไม่ใช่ 50 ปีอย่างที่บางคนทำนายหรอก

มันจะเกิดขึ้นเร็วมาก

สมัยนี้เราอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลง เราไม่มีเวลากันแล้ว

แต่อาจารย์มองว่าวิกฤติจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี?

ผมมั่นใจว่ายุคแห่งความสงบสุขจะเกิดขึ้นในโลกของเราแล้ว

คล้ายๆ กับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องยุคพระศรีอารย์?

สาระดี ๆ แล้วจะเขียนต่อ

รอก่อนค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-01-23 13:18:22


ความคิดเห็นที่ 8 (1528564)

 พี่เบาหวิวนี่ช่างเข้าใจหาข้อมูลมาเล่าสู่ให้พวกเราชาวบ้านสวน

ได้รับรู้...ตัวเล็กต้องขอขอบคุณเวปบ้านสวน

ที่มอบสิ่งดีๆแก่พวกเราชาวบ้านสวน

ต้องขออนุโมทนากับ

พี่ท่านด้วย

ครับ..

ผู้แสดงความคิดเห็น คนขายขวด (phongdech1665-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-23 21:30:18


ความคิดเห็นที่ 9 (1528581)

คอยอ่านเรื่องเล่าสาระดีๆ ต่อค่ะ พี่แมว

อนุโมทนาสาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตฤณ นาคทุ่งเตา วันที่ตอบ 2011-01-23 23:10:45


ความคิดเห็นที่ 10 (1528584)

คุณแมว....จ๋า

วันนี้ได้ดู ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ในรายการ คุยไปแจกไปหรือเปล่าจ๊ะ

ถ้าดูเม้าท์ให้ฟังหน่อยนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล บ้านสวนพีระมิด วันที่ตอบ 2011-01-23 23:18:21


ความคิดเห็นที่ 11 (1528590)

 

ขออภัยค่ะ ..อาจารย์

วันนี้แมวไปทำงาน

ไม่มีโอกาสได้ดูเลยค่ะ.....

แต่อยากจะเล่าให้ฟังด้วยค่ะ ว่า

วันนี้..ที่ต้องไปทำงาน เนื่องจาก

แมวได้รับหน้าที่ให้ไปจัดซื้อ

แจกัน เบญจรงค์ ที่ดีแบบ 5 ดาว

จำนวน 2  คู่

เพื่อมาจัด บูชาให้กับ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

และคิดได้แล้วค่ะ ว่า

Big Boss

ทำไม ถึง รวยมาก.ก.ก.ก.ก.ก

 เพราะ  Big Boss ของแมว

รัก และ บูชา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างมาก

เห็นมานานแล้วค่ะ แต่ พึ่งคิดได้

จากคำพูด ของ อาจารย์อุบล

 ใครอยากรู้ เคล็ดลับ ความรวย

หาได้ในรายการ

คุยไป แจกไป

ขอบอก...

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-01-24 00:04:14


ความคิดเห็นที่ 12 (1528594)

ฉะนั้นคนดีบางคนบอกว่าตัวเองดี แล้วก็ไปชี้นิ้วว่า

ไอ้นี่มันไม่ดี ไอ้นั่นมันเลว

แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อเราชี้นิ้วไป

มันจะมีนิ้วสามนิ้วชี้กลับมาที่ตัวเราเสมอ

เราบอกว่าคนอื่นเลว

แท้ที่จริงเราต้องดูตัวเองว่าเราเลว เราไม่ดีเอง

เราคิดไม่ดีเอง

ถ้าเผื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราไม่ไปด่าใคร เราไม่ไปว่าใคร

ทุกคำถาม ท่านดร.อาจอง ให้คำตอบที่ตรงและชัดเจนมากๆ และจะสังเกตุได้ว่า

ท่านไม่เคยคิดว่าตัวเองดีหรือฉลาดกว่าใครเลยฉะนั้น เมื่อไม่มี"อัตตา" ก็ไม่ยึิด เมื่อไม่"ยึด"

ก็ไม่มีทุกข์ เมื่อไม่มีทุกข์ ก็เป็นตัวอย่างทีดี ที่เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างแท้จริง

ขอกราบขอบพระคุณในคำสอนแบบอ้อมๆ

แต่สื่อสารอย่างตรงๆ ของท่านอาจารย์ผู้โอบอ้อมอารีแก่คนทั้งโลกด้วยนะคะ

 

ได้ดูคลิปในงานสัมมนา เรื่องภัยพิบัิติไปนิดหน่อย พอดร.อาจอง พูดถึงโลกใบนี้ว่า

ทุกๆคนก็คือ คนในครอบครัวเดียวกัน อาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกัน เราจะมาแก่งแย่ง

ชิงดีชิงเด่นกันทำไม ได้ฟังน้ำเสียงนุ่มๆและมีเมตตาของท่านแล้ว

แทบอยากจะเดินไปกอด "ชนร่วมโลก"ทุกๆคนเลย เพราะแอบแว๊บคิดไปเหมือนกันว่า

ทุกๆคนก็คือ ญาติพี่น้องของเราทั้งนั้น

 

อนุโมทนาหลายๆครั้งเลยค่ะคุณแมว มีอะไรดีๆ ก็นำมาเสนอเลยค่ะ

เดี๋ยวแฟนๆเว็บก็จัดสรรเวลา แวะมาอ่านกันวันละเล็กวันละน้อยอยู่ดี

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา วันที่ตอบ 2011-01-24 00:40:38


ความคิดเห็นที่ 13 (1528748)

 

ขอเขียนต่อให้จบ 

คล้ายๆ กับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องยุคพระศรีอารย์?

มันก็ตรงกับศาสนาต่างๆ ที่เขาทำนายไว้ว่า

จะเกิดยุคแห่งความสงบสุขขึ้นมา

ผมดูเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วก็มุ่งไปทางนั้น

แล้วตอนนี้ก็มีคนที่เริ่มคิดในแนวใหม่ เริ่มคิดในทางที่ดี

หมอประเวศ วะสี ก็เริ่มคิดแหวกแนวออกมาแล้ว

เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมของเรา

ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นค่อนข้างจะเร็ว และ

คนจำนวนมากก็เริ่มจะคิดในแนวเดียวกันมากขึ้นๆ

กระแสจะค่อยนำพาทุกฝ่ายไปสู่โลกใหม่

โลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข

ระหว่างวิกฤติทางด้านสังคมกับสิ่งแวดล้อม

อาจารย์คิดว่าอะไรน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ?

ผมคิดว่ามันจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จากการที่

อุณหภูมิมันสูงขึ้นในโลก ดิน ฟ้า อากาศ ทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลง

ผมเพิ่งกลับมาจากอาหรับเอมิเรสต์

ปรากฏว่าฝนตกมาตลอดทั้งปี ทั้งๆ ที่ปกติเขาเป็นทะเลทราย

ผมเคยบอกเขามานานแล้วว่า

ตรงนี้ในที่สุดจะไม่ใช่ทะเลทรายแล้ว ฝนจะเริ่มตกมากขึ้นๆ

และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ทะเลทรายจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปทางเหนือมากขึ้น

อย่างประเทศสเปนจะแห้งแล้ง ทะเลทรายซาฮาราจะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ทางเหนือ

อุณหภูมิในโลกเริ่มจะสูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ

ผมไปคุยกับนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศจีน มันเกิดจากน้ำทะเล

เขายอมรับว่าทุกปีมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ

เพราะว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ก็เริ่มละลาย

ฉะนั้นจึงทำให้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง

ความรุนแรงจะเกิดมากขึ้นๆ พายุไต้ฝุ่นมากขึ้น

สึนามิก็จะมีมากขึ้น แผ่นดินไหวมากขึ้น ทุกอย่างมันมากขึ้นไปหมด

ขณะเดียวกัน มนุษย์เราก็ยังทะเลาะกัน เถียงกัน

ยังทำสงครามกัน ยังฆ่ากันอยู่

 โดยเฉพาะแถวๆ อิหร่าน ตะวันออกกลาง จะมีปัญหาอยู่เยอะ

และอีกหลายประเทศที่มีการสู้รบกัน

ลักษณะแบบนี้มันจะเร่ง ทั้งธรรมชาติ ทั้งวิกฤติ

ในระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะเป็นตัวเร่ง

ทำให้เราต้องยอมรับแล้วว่าถึงเวลาที่มนุษย์จะต้องเปลี่ยนแปลง

ชีวิตของผมเองก็เหมือนกัน

พอเป็นเด็กเกเรมากๆ ชกต่อยคนโน้น คนนี้

ตัวเราเองก็เจ็บด้วย ไม่ใช่ทำให้คนอื่นเจ็บอย่างเดียว

และนั่นคือตัวเร่งที่ทำให้ผมเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

เพราะฉะนั้นอันนี้กำลังเกิดขึ้น และผมคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด

เร็วแค่ไหนคะ ?

ผมให้เวลา 12 ปี

ทำไมถึงเป็นตัวเลข 12 ปี?

เพราะว่าตัวเร่งมันกำลังเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเร่งหมดแล้ว

เราไม่เคยมีแผ่นดินไหวที่รุนแรง จนทำให้เกิดคลื่นสึนามิ

ไม่เคยมีอย่างนี้มานานทีเดียว แต่ตอนหลังมีตั้งหลายครั้งแล้ว

และพอมันเกิดขึ้นตรงนี้ เปลือกโลกมันก็ขยับใช่ไหม

มันก็ทำให้เกิดความกดดันอีกจุดหนึ่ง

ซึ่งมันก็ต้องขยับตาม ทีนี้มันก็จะไปเรื่อยๆ

ไปรอบด้านรอบโลก ซึ่งอันนี้เป็นภัยอันตราย

ที่พวกเราต้องระมัดระวัง

แต่ถ้าพวกเราช่วยเหลือกันตั้งแต่แรก ภัยเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง

อยู่ที่ความร่วมมือของมนุษย์

สึนามิไม่จำเป็นต้องฆ่าคนจำนวนมาก

ถ้าทันทีที่เกิดขึ้นจุดใดจุดหนึ่งก็บอกต่อๆ กันไป

แล้ว 12 ปีนี่ประเมินจากอะไรคะ ?

ผมลองดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นตัวปัจจัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

 คือเราก็สังเกตทุกด้านจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก

อันแรกจากที่มนุษย์เราทะเลาะกันเอง

สร้างสงครามกัน สร้างวิกฤติของตัวเองขึ้นมา

อีกอันหนึ่งก็คือความถี่ของธรรมชาติที่มี

แผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินฟ้าอากาศที่รุนแรง

มีพวกพายุมากขึ้น เฮอร์ริเคนทางโน้น

มีไซโคลนทางนี้ มีอะไรต่างๆ ที่รุนแรงมากๆ

คือพวกนี้เราดูแล้วความถี่มันมากขึ้นๆ

ตามหลักวิทยาศาสตร์ผมก็วาดกราฟออกมา

การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแบบไหน

ผมคำนวณออกมาแล้วมันจะไม่เป็นเส้นตรง แต่มันจะค่อยๆ ขยับขึ้น

ตอนแรกมันดูเหมือนช้ามาก แต่แล้วมันจะค่อยๆ ขยับขึ้น และขึ้นเร็วมาก

ผมคำนวณดูก็เห็นว่าจุดวิกฤติต่างๆ มันจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า

หลังจากนั้นก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ทั้งทางด้านการศึกษา ทางด้านจิตใจของมนุษย์อะไรต่างๆ

เพราะคนเราจะถึงขั้นหนึ่งที่บอกว่าพอแล้ว

ไม่เอาแล้ว ความทุกข์มันพอแล้ว เลิกกันดีกว่า

เราหันหน้าเข้ามาหากัน คุยกันดีกว่า

มันจะถึงขั้นหนึ่ง มากจนต้องหยุดแล้ว

สุดท้ายอาจารย์คิดว่าอะไรจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้มนุษย์ก้าวพ้นวิกฤติเหล่านี้ไปได้ ?

มีอยู่อย่างเดียว ความรัก ความเมตตา

คนเราถ้ามีความรัก ความเมตตา ทุกอย่างก็แก้ได้หมด

เราให้อภัยซึ่งกันและกัน เราไม่มองในแง่ร้าย

มีอะไรเราช่วยเหลือเขา

เมื่อมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

เรามีอาหารเหลือเฟือ

เรามีอะไรทุกอย่างเหลือเฟือในโลกนี้

 เราไม่ต้องแย่งกันหรอก

แต่จะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบปัจจุบันไม่ได้

ระบบเศรษฐกิจต้องเปลี่ยน

จะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบนายทุนไม่ได้แล้ว

แต่เป็นเศรษฐกิจของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เ

ศรษฐกิจของในหลวง สิ่งเหล่านี้มันจะต้องเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

***************************************

กรุงเทพฯ ธุรกิจ
ฉบับที่ 306 วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2548

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-01-24 21:21:08


ความคิดเห็นที่ 14 (1528750)

คุณแมวนี่สุดยอดจริงๆ

มีความมุมานะในการพิมพ์มาก

นักสร้างธรรมทานตัวยงเลย อ.อุบล ขอเกาะบุญ

ด้วยการร่วมอนุโมทนาในเรื่องเล่า

ที่วิเศษสุดนี้  และ อยากบอก

คุณแมวว่า เรื่องทั้งหมด

ที่คุณแมวนำมา

เผยแพร่นี้

มีอยู่ในเทปบันทึก

ของ อ.อุบล ทุกอย่าง

เคยออกอากาศไปบ้าง เมื่อหลายปีที่แล้ว

แต่ยังไม่หมด สงสัยเบื้องบน

จะให้คุณแมวมาย้ำเตือน อ.อุบล ว่า ต้องเร่งเอาสิ่งที่

เก็บไว้นาน แสนนนนั้น ออกมาเผย ได้แล้ว

เดี๋ยวไม่ทันกาล

เรียกว่า มีข้อมูล เพียบ

เมื่อก่อนไม่รู้จะนำออกอากาศได้ไง

ไม่มีสถานีโทรทัศน์เอง

แต่ตอนนี้ พระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ประทานสถานี YOU TUBE มาให้แล้ว ต้องรีบนำออกอากาศ

เก็บไว้กับตัวเองคนเดียว รู้คนเดียว เต็มพุงเลย

คราวนี้คุณแมวมากระตุ้นต่อมขยันแล้ว

ขอบคุณนะคะ

 

 คุณมาร์ค+คุณเพชร

ก็กระตุ้นมาหลายรอบแล้ว

จนหลังสุดบอกคุณมาร์คมาช่วย

อาจารย์ตัดต่อ เลือกตอน หน่อยซี่

คุณมาร์คบอก ตกลงคร๊าบ งั้นเดี๋ยวได้ดูอะไรดีๆ เด็ดๆ

ชนิดที่

ไม่มีชมที่ไหนในโลก (โม้ซะ เวอร์เชียว)

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล บ้านสวนพีระมิด วันที่ตอบ 2011-01-24 21:54:45


ความคิดเห็นที่ 15 (1528757)

เมื่อวันที่ 20 ม.ค.54

ได้ไปกราบขอพรปีใหม่ และ สวัสดีปีใหม่

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

กับ อ.มงคล และ คุณมาร์ค มา

ได้คุยกับครูกุ้ง ที่เคยมาบ้านสวนกับ ดร.อาจอง

บอกข่าวดีว่า

ดร.อาจอง กำลังจะสร้างห้องพระ

ครูกุ้งอยากให้สร้างรูปทรงพีระมิด

อ.อุบล ก็เลยรีบเชียร์ ว่า ดีซี่ สร้างเลยเดี๋ยวจะร่วมบุญ

จะร่วมสร้างด้วยงบเท่าไหร่ 

ไม่ทราบค่ะ ต้องถาม ดร.อาจอง

ตอนนั้นในใจคิดว่า คำว่า ห้องพระ ก็คงเล็กๆ

กะว่าถ้าขนาดเท่า พีระมิดด้านหน้า บ้านสวนพีระมิดเรา

ก็จะรับเป็นเจ้าภาพเอง

พอ ดร.อาจอง เดินมาหา ถามท่าน

บอกห้องพระขนาดบรรจุคนได้ 500 คน (มาย ก๊อท)

ถามท่านว่า ท่านจะสร้างเป็นรูปพีระมิดไหมคะ

หนูจะร่วมทำบุญด้วย

ท่านยิ้ม  และ บอกว่า ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น

แล้วงบประมาณเท่าไหร่คะ

ประมาณ 5 ล้าน  เริ่มสร้างไปแล้ว

มีคนมาช่วยสร้าง แต่ตอนนี้หยุดพักอยู่ เพราะเจ้าภาพหมดงบ

อาจารย์คะ หนูจะเป็นอีกแรงหนึ่ง เล็กๆ นะคะ ที่จะช่วย อาจารย์สร้าง

ถ้าหนูคนเดียว หนูไม่มี่กำลังพอค่ะ แต่หนูจะเป็นสะพานให้

ผู้คนทั้งหลายที่รัก และ ศรัทธา อาจารย์

สิ่งที่ อ.ทำมาทั้งชีวิต ทำเพื่อคนอื่น หนูขออนุญาต บอกเบอร์บัญชีธนาคาร

มูลนิธิ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ในเวปไซด์ บ้านสวนพีระมิดนะคะ

เราไม่ได้เรี่ยไร (เพราะท่านไม่นิยมการเรี่ยไร ห้ามเด็ดขาด)

เราบอกบุญ ให้โอกาสบุญ

ใครอยากทำเขาก็จะโอนกันเอง คนละเล็ก คนละน้อย

ก็อาจทำให้สร้างห้องพระพีระมิด

สำหรับเด็กนักเรียน + ครู ร.ร.สัตยาไส

ซึ่งเปรียบเสมือนพระโพธิสัตย์

ใช้สวดมนต์ ทำสมาธิ ผู้สร้าง ผู้ร่วมบุญ ก็จะได้บุญมหาศาล

เป็นวิหารทาน ธรรมทาน ทำให้ร่ำรวย

มีสภาพคล่องทางการเงิน หลุดพ้นทุกข์โศกโรคภัยนานา

 

แล้ว อ.อุบล

ก็นำบุญใหญ่ มาฝาก

ด้วยการประเดิม

ทำบุญด้วยปูนอย่างดีที่สุด 10 ตัน

เป็นเงิน 24,000 แถม 1,000 รวมเป็น 25,000 บาท

คุณมาร์ค ร่วมด้วยช่วยแถม เพิ่ม เสริมส่ง อีก 1,000 บาท

 

บุญทั้งหมดนี้

ขอมอบให้ทุกท่านที่ได้มาอ่านพบ

จงได้รับอานิสงส์ เท่ากับ อ.อุบล + อ.มงคล + คุณมาร์ค นะคะ

ขอให้ร่ำรวย หายเจ็บป่วย ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวง สาธุ

 

ส่วนหมายเลขบัญชีธนาคาร

มูลนิธิ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

รบกวนคุณมาร์คใส่ให้ด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ


ขอเรียนแจ้งเบอร์บัญชีมูลนิธิ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ดังนี้ครับ

ชื่อบัญชี มูลนิธิ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาทองหล่อ
เลขที่บัญชี 042-2-46953-9
-มาร์ค-
 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล บ้านสวนพีระมิด วันที่ตอบ 2011-01-24 22:34:28


ความคิดเห็นที่ 16 (1528793)

ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์อาจอง

อาจารย์อุบล

อาจารย์มงคล

และคุณมาร์ค ด้วย

และขออนุญาติร่วมบุญด้วยนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร วันที่ตอบ 2011-01-25 06:26:06


ความคิดเห็นที่ 17 (1528801)

 อนุโมทนาบุญกับอาจารย์อุบล อาจารย์มงคล และคุณมาร์คด้วยคนครับ...รอเลขที่บัญชีครับ 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์ (สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-01-25 08:24:12


ความคิดเห็นที่ 18 (1528807)

อาจารย์ขา...

แมวต่างหาก

ที่กำลังเกาะบุญอาจารย์อย่างแรง

โดยผ่าน

www. baansuanpyramid.com

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงนะคะ

ที่อาจารย์เป็น

ผู้จุดประกายชี้แนะ

ให้แมวได้อยากศึกษา....และในการพิมพ์นี้

ก็อาศัยได้ผ่านสมองอย่างดี

อ่านไป พิมพ์ไป

ได้ประโยชน์...หลายๆ ฝ่าย ( ไม่อยากเก็บคนเดียวค่ะ )

แต่ข้อมูลด้านบน

ได้ดูในรายการ...และจำเสียง

บางช่วง  บางประโยค..ของ ดร.อาจจองได้อย่างดี

ดร.ได้พูดเสมอ ๆ ในเรื่องของ

การก้าวให้พ้นวิกฤติ...ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเรา

ขอกราบขอบพระคุณ

ดร.อาจองชุมสาย ณ.อยุธยา

คุณมาร์ค คุณเพชร

และที่สุด...แห่งเมตตาที่มีให้..ลูกบ้านสวนพิรามิด

อาจารย์อุบล ศุภาเดชาภรณ์

************

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-01-25 09:10:20


ความคิดเห็นที่ 19 (1528814)

บุญทั้งหมดนี้

ขอมอบให้ทุกท่านที่ได้มาอ่านพบ

จงได้รับอานิสงส์ เท่ากับ อ.อุบล + อ.มงคล + คุณมาร์ค นะคะ

ขอให้ร่ำรวย หายเจ็บป่วย ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวง สาธุ

********************************

ขออนุโมทนาบุญค่ะ....สาธุ...สาธุ...สาธุ

กราบขอบพระคุณ

ครอบครัวศุภาเดชาภรณ์

คุณมาร์ค  คุณเพชร

ที่เมตตานำบุญมาฝากค่ะ

*********************************

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-01-25 09:50:23


ความคิดเห็นที่ 20 (1528824)

ขอเรียนแจ้งเบอร์บัญชีมูลนิธิ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ดังนี้ครับ

ชื่อบัญชี มูลนิธิ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาทองหล่อ
เลขที่บัญชี 042-2-46953-9

ผู้แสดงความคิดเห็น เว็ปมาสเตอร์บ้านสวนพีระมิด วันที่ตอบ 2011-01-25 10:39:58


ความคิดเห็นที่ 21 (1528825)

อุ๊ย... หมายเลขบัญชี แทรกขึ้นมาแล้ว อย่างรวดเร็ว

ทันใจจริง ๆ คะ สาธุ...

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน วันที่ตอบ 2011-01-25 10:41:38


ความคิดเห็นที่ 22 (1528928)

สาธุ...สาธุ...สาธุ

ขออนุโมทนาบุญค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ วันที่ตอบ 2011-01-25 19:58:16


ความคิดเห็นที่ 23 (1529315)

ขออนุโมทนา สาธุก่อน

กับ อ.อุบล อ.มงคล และคุณมาร์ค ด้วยค่ะ

ปลาบปลื้มในบุญทุกๆ ครั้งแม้ยังไม่ได้ทำค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ วันที่ตอบ 2011-01-27 11:06:43


ความคิดเห็นที่ 24 (1529341)

น้องทรายขออนุโมทนาบุญกับ

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

และ

อาจารย์อุบล ศุภาเดชาภรณ์ค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องทราย (นางสาวลักขณา ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-01-27 13:31:35


ความคิดเห็นที่ 25 (1529344)

 

ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณ  ครอบครัวศุภาเดชาภรณ์

คุณมาร์ค  คุณเพชร

ที่เมตตานำบุญมาฝากค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล ฉวีวรรณ นภาพรรณราย วันที่ตอบ 2011-01-27 13:46:23


ความคิดเห็นที่ 26 (1529547)

 วันนี้ 28 ม.ค.2554(14:59 น.) กระผมนายสุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์...พี่เกสร ศรประสิทธิ์ และญาติธรรมจากอเมริกา ได้ร่วมสมทบทุนสร้างห้องพระกับท่านอาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เป็นจำนวน 3,000.- บาท ...และยินดีให้ทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญด้วยความเต็มใจครับผม 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์ (สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-01-28 15:04:24


ความคิดเห็นที่ 27 (1530148)

 

คุณแมว....จ๋า

วันนี้ได้ดู ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ในรายการ คุยไปแจกไปหรือเปล่าจ๊ะ

ถ้าดูเม้าท์ให้ฟังหน่อยนะ

*************************

ดูแล้วค่ะ...หลายครั้งหลายรอบ

มาก ๆ

ตอนที่ท่านดร.อาจอง...

และอาจารย์ได้

สัมผัส การเป็น พ่อ ลูก

ไม่ก็เหมือนกับ

แมว ซึ่ง แม่ไม่รัก

ต่อไปนี้ก็คงไม่ได้สัมผัส

กับอ้อมกอด

ขอแม่อีก.....ต่อไป

********************************

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-02-01 17:40:58


ความคิดเห็นที่ 28 (1530206)

 ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับ

อาจารย์อุบล 

อาจารย์มงคล

และคุณมาร์ค

ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พิสุทธิ์ แดงเอม วันที่ตอบ 2011-02-02 09:32:57


ความคิดเห็นที่ 29 (1530233)

 

 

อนุโมทนา กับ ท่านอาจารย์แม่ อุบล ครอบครัวศุภาเดชาภรณ์

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

คุณมาร์ค คุณเพชร

และทุกๆท่านค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์วิญาณ์ kuru (tata_su22-at-windowslive-dot-com)วันที่ตอบ 2011-02-02 11:43:18


ความคิดเห็นที่ 30 (1530306)

ขออนุโมทนาบุญกับ ครอบครัว อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์  / ดร.อาจอง / คุณมาร์ค+คุณเพชร และทุกๆ ท่านด้วนนะคะ  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญชลา บุตรโส (anchala-dot-boutso-at-ktb-dot-co-dot-th)วันที่ตอบ 2011-02-02 18:27:37


ความคิดเห็นที่ 31 (1530888)

ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ คนด้วยนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชุติมณฑน์ ใจดี วันที่ตอบ 2011-02-07 15:44:59


ความคิดเห็นที่ 32 (1534430)

ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่าน

และทุก ๆ บุญที่ได้ร่วมกันสร้างห้องพระ กับ

ท่านอาจารย์ ดร.อาจอง ชุมชาย ณ อยุธยา ด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องทราย (นางสาวลักขณา ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-03-04 10:10:05


ความคิดเห็นที่ 33 (1534604)

ข้ามไปข้ามมา ไม่ได้เข้ามาอ่านซักทีนฤชลนี่โง่จริงๆ อ่านแล้วอย่างตั้งใจและน้อมที่จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงกับพฤติกรรมของตัวเองอยู่ค่ะ ขออนุโมทนาสาธุ สาธุ กับธรรมทานอันยิ่งใหญ่นะคะ นฤชลขอร่วมบุญสร้างห้องพระกับท่าน ดร.อาจอง ด้วยนะคะ ตามกำลัง 100.-บาทค่ะ และสามารถโอนเข้าไปได้เรื่อยๆใช่มั้ยค่ะ เพราะมนุษย์เงินเดือนอย่างนฤชล ก็คงจะได้เดือนละครั้งค่ะ แต่ใจเต็มร้อยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นฤชล วันที่ตอบ 2011-03-05 16:59:24


ความคิดเห็นที่ 34 (1534770)

ในวันเสาร์ตอนเย็น นฤชล โอนเงินเข้าบัญชี 100.-เรียบร้อยแล้วค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นฤชล วันที่ตอบ 2011-03-07 10:50:59


ความคิดเห็นที่ 35 (1542743)

 

เท่าที่ได้พบเห็น

ท่าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ตัวจริง เสียงจริง

อึ้ม....บรรยายออกมาไม่ได้ค่ะ

สำหรับสุภาพบุรุษ 5 ส. ท่านนี้

สติเลิศ สง่างาม สุขุม สุภาพ สะอาด

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-28 17:24:57


ความคิดเห็นที่ 36 (1542804)

ขอเสริมเพิ่มเติม

จาก 5 ส.

ของคุณแมวนะจ๊ะ

คือ ท่าน

ดร.อาจอง ชุมสาย

ณ อยุธยา

เป็นราชนิกูล

ต้นสกุล ของรัชกาลที่ 3

อีกด้วยค่ะ

 

แต่วางตัว ติดดิน

น่าเคารพบูชา

ไม่วางท่าอวดเบ่ง

ไม่อวดนักเลง

แต่

อ่อนน้อม ถ่อมตน

จ้า

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-28 22:06:38


ความคิดเห็นที่ 37 (1542812)

 

เห็นด้วย

กับ

ท่านอาจารย์ อุบล

และ

พี่แมวขอรับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก/พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-28 22:21:26



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.