ReadyPlanet.com


สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนปกิณกะธรรม


จากหนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม 11)
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

    1. เรื่องทุกเรื่องในโลกล้วนแล้วแต่เป็นกฎของกรรมทั้งสิน จงอย่าวิตกให้เกินกว่าเหตุ สิ่งที่ตถาคตบอกให้พวกเจ้ารู้ รู้แล้วพึงวางเฉยกับเรื่องราวทั้งหมด อย่าตีตนไปก่อนไข้ อะไรมันจักเกิด มันก็ต้องเกิด เพราะเป็นกฎของกรรมอันฝืนไม่ได้ อันเลี่ยงไม่ได้ ไม่ควรที่จักกังวล ให้หมั่นดูแลรักษาจิตของตนเองไว้ดีกว่า

    2. เรื่องของการพ้นทุกข์อยู่ที่จิต ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย เพราะหากร่างกายนี้ไม่มีจิตอยู่แล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกแต่อย่างไร ให้พิจารณา จุดนี้ให้ดีๆ แล้วจึงจักวางอารมณ์ลงได้ด้วยเห็นกฎของความเป็นจริง และจงอย่าฝืนใจใคร ให้วางกรรมใครกรรมมันให้จงหนัก เมตตาได้เฉพาะคนที่ควรจักเมตตาเท่านั้น และควรมีการกำหนดขอบเขตของความเมตตาด้วย มิใช่เมตตาจนเป็นที่เบียดเบียนตนเอง ถ้าทำอันใดไปแล้วคิดว่าเป็นเมตตา แต่สร้างความหนักใจและทุกข์ใจให้กับตนเอง จุดนั้นไม่ใช่เมตตา จับทางปฏิบัติให้ถูกแล้วจะถึงมรรคถึงผลได้ง่าย

    3. ไม่ว่าอะไรจักเกิดขึ้นก็ไม่พ้นกฎของธรรมดาไปได้ แต่ที่ไม่เห็นก็เพราะโมหะมันบดบังจิตอยู่ จุดนี้สำคัญมาก จักต้องใช้ปัญญาจึงจักเห็นได้ชัด และเมื่อลงกฎธรรมดาได้แล้ว จิตก็จักเป็นสุขและสงบ เนื่องจากไม่ฝืนในกฎของธรรมดานั้น

    4. จงอย่าไปเดือดร้อนกับกรรมของบุคคลอื่น ให้ทำใจให้อยู่ในขอบเขตกรรมของตนเองก็พอ อะไรมันผ่านมากระทบ แล้วก็ให้มันผ่านไปเลย แยกแยะให้ออกว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องอันเป็นสาระอันพึงจักยึดถือ มิใช่เป็นปัจจัยอันนำจิตให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยการรักษากำลังใจในการทำหน้าที่ของตนให้เต็มเท่านั้น ผลจักเป็นอย่างไรได้แค่ใหนก็พอใจแค่นั้น แม้จักถูกตำหนิในบางครั้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้ มีแต่พระตถาคตเท่านั้นที่จักไม่พลาดเลย ดังนั้น เมื่อมีการผิดพลาดขึ้นครั้งใด แม้จักทำด้วยกำลังใจเต็มที่แล้ว ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหตุอันใดแก้ใขได้ก็แก้ใข แก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องแก้ ยึดเอาธรรมดาเป็นที่ตั้ง แล้วจิตจักได้เป็นสุข สงบเยือกเย็นขึ้น

    5. อะไรมันจักเกิด มันก็ต้องเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกฎของธรรมดา เรื่องภัยธรรมชาติ ภัยจากสงคราม แม้แต่เรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย กับวัด ก็ล้วนเป็นกฎของธรรมดา อย่าไปวิตกกังวล วางจิตให้ยอมรับธรรมดาก็จักไม่เป็นทุกข์ การฝืนโลกฝืนธรรมฝืนสังขารร่างกาย ล้วนเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ ทุกอย่างต้องเดินสายกลางทั้งทางโลกและทางธรรม ทำใจให้ยอมรับกฎของธรรมดา (กฎของกรรม) ตั้งใจชดใช้กรรมไปเรื่อยๆ ตายเมื่อไหร่ก็มุ่งสู่พระนิพพานเมื่อนั้น การหมดภาระของขันธ์ 5 ย่อมเป็นสุขอย่างยิ่ง ขอใหพวกเจ้ามุ่งหวังเข้าไว้ อย่าทำอารมณ์ใจให้พร่องไปกับอุปสรรคที่เข้ามาทดสอนจิตใจของแต่ละคน ให้เอาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกรรมฐาน แล้วจักเกิดประโยชน์ในการปฏิบัติ

    6. วางอารมณ์ให้เป็น ปล่อยเหตุที่ทำให้เกิดความร้อนใจทั้งหมด อย่าไปยึดเอามาเป็นทุกข์ ทุกสิ่งล้วนเป็นของธรรมดา พิจารณาด้วยปัญญาเข้าสู่มรรคผล อย่าให้เป็นโทษ ธรรมภายนอกอย่าไปแก้ แม้ร่างกายต้นเองก็แก้ไม่ได้ ให้ปล่อยวางไปตามกฎของธรรมดา ใหแก้ธรรมภายในที่จิตของตนเท่านั้น ทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยง ยึดถืออะไรเป็นที่พึ่งไม่ได้ เช่น ปล่อยวาวง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, วางกาย - เวทนา - จิต - ธรรม ซึ่งไม่เที่ยง เกิดดับๆ อยู่เป็นธรรมดา, วางอุปาทานขันธ์ 5 วางอารมณ์โลภ โกรธ หลง จุดนี้ไม่มีใครช่วยใครได้ มีแต่คำแนะนำเท่านั้นที่ให้กันได้ การตัดกิเลสจักต้องใช้กำลังใจเต็มตัด ด้วยตนเอง และตั้งใจทำจริงๆ จึงจักทำได้

    7. การกระทำทุกอย่างให้พิจารณาว่า ทำเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อพระนิพพานหรือเปล่า อย่าทำด้วยอารมณ์อยากทำอย่างเดียว จุดนั้นเป็นความเร่าร้อนของจิต เป็นกิเลส เป็นตัณหา ผิดหลักของการปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพาน อย่าลืมจักละกิเลส จักต้องรู้จักหน้าตาของกิเลสด้วย เช่น จักละ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ก็ให้รู้จักมันด้วย หรือ จักละ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ต้องให้รู้จักด้วย รู้แค่สัญญา ละไม่ได้ ต้องรู้ด้วยปัญญา จึงจักละได้

   8. การพิจารณา มรณา และอุปสมานุสสติไว้เสมอ ยังจิตให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย และหากจับกองที่ถูกกับจริตนิสัย และกรรมของตนเองมาพิจารณาแล้ว จักได้มรรคผลคืบหน้าได้ง่าย อย่าทำแบบจับจด หรืออะไรๆ ก็จำได้หมด แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียวจักไม่ได้ผล ให้กำหนดบทใดบทหนึ่งขึ้นมาที่จิตมันชอบ แล้วทำอย่างจริงๆ จังๆ จุดนั้นก็จักได้ผล และหากมีปัญญาบารมีดี ก็จักได้กองอื่นๆ หมดเช่นกัน อย่าท้อแท้ ร่างกายมันจักเป็นอย่างไรก็เรื่องของร่างกายมัน อารมณ์นี้แหละคืออารมณ์ช่างมัน หรืออุเบกขาของร่างกายในบารมี 10 ที่แท้จริง

   9. ให้เข้มแข็งและอดทน กับอุปสรรคที่เข้ามากระทบทั้งปวง และฝึกจิตของตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าท้อถอย เนื่องด้วยในโลกนี้ไม่มีใครอยู่เป็นที่พึ่งของใครได้ไปตลอดชีวิต ดังนั้นการฝึกจิตของตนเอง เพื่อไม่ให้ฝืนกฎของความเป็นจริง จักต้องพิจารณาให้จิตยอมรับกฎของความเป็นจริงอยู่เสมอ จิตจักได้เข้มแข็งไม่อ่อนแอ มีความสุขเนื่องด้วยไม่ฝืนความเป็นจริงนั้น ที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นการปฏิบัติยาก แต่จักต้องทำให้ได้ ถ้าหากมุ่งหวังจักไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

   10. หามัชฌิมาของร่างกายให้พบ กายเป็นสุข จิตผู้อาศัยอยู่ก็เป็นสุข การปฏิบัติธรรมจักต้องอาศัยทางสายกลาง จุดนี้จักต้องสำรวมกายและจิตของตนเอง โดยหาความจริงของกายและจิตให้ชัดเจน แล้วตรงจุดนั้น นั่นแหละจักควรค่าแก้การปฏิบัติอย่างยิ่ง อย่าเบียดเบียนกายและใจของตนเอง ก็จักพบความสุขของมรรคผลปฏิบัติอย่างแท้จริง

   11. ให้พยายามปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามากระทบจิตใจ คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าฝืนใจใครเพราะอยากที่จักแก้ใขบุคคลอื่นได้ และเป็นกฎของรรมดา เนื่องด้วยต่างคนต่างที่ ความคิดเป็นของตัว แล้วก็มักจักยึดความคิดเห็นของตัวเองว่าถูกต้องอยู่เสมอ ซึ่งจุดนี้เป็นเหตุของความกระทบกระทั่งจิตใจ แล้วก็เป็นการยึดมั่นถือมั่นในอัตตา คือสังขารปรุงแต่งว่าเป็นเราเป็นของเรา ซึ่งเป็นกิเลส ตัณหา อปาทาน อกุศลกรรม อันจิตของเราสร้างขึ้น พิจารณาให้รอบคอบ แล้วจักเห็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ อันเกิดจากสังขารที่ปรุงแต่งนี้ ให้ถอยออกมาพิจารณาให้ละเอียดอีกขั้นหนึ่ง แล้วจักเห็นอัตตาที่เข้าไปยึดมั่นถื่อมั่นในสังขารปรุงแต่งอย่างชัดเจน จักเห็นโทษของการยึดสังขาร (อารมณ์ปรุงแต่ง) อย่างมากมาย แล้วเมื่อจิตยอมรับ ก็จักรู้จักปล่อยวางอย่างแท้จริง

    12. การเจ็บป่วยเป็นของธรรมชาติไม่มีใครฝืนมันได้ ธรรมะของตถาคตเจ้ามีแต่ธรรมดาทั้งหมด จิตจักพ้นทุกข์ได้ก็ต้องพิจารณาถึงตัวธรรมดาให้มาก เนื่องด้วยที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะจิตไปฝืนธรรมดา ไม่อยากให้เป็นไปตามธรรมดา (ตัณหา 3 ครองโลก หรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ใจ) กฎของกรรมที่เกิดกับชีวิตของแต่ละคนทุกวันนี้ก็เช่นกัน เป็นธรรมหรือกรรมที่มาแต่เหตุทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอริยสัจไม่ควรไปฝืน พยายามสอนจิตให้ไปรับธรรมหรือกรรม จิตก็จักไม่ทุกข์ไปกับกฎของกรรมเหล่านั้น (อย่าฝืนโลก อย่าฝืนธรรมหรือกรรม) การเกิด แก่ เจ็บป่วย ความปราถนาไม่สมหวัง การพลัดพากจากของรักของชอบใจล้วนเป็นทุกข์ แม้แต่ในที่สุด ความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะจิตไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ในปัญจขันธ์นี้ (ขันธ์ 5) ไม่มีในเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นอริยสัจ ผู้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า จักยอมรับนับถือสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของจริง จิตผู้ไม่ฝืนความจริง จึงไม่ทุกข์ไปกับปัณจขันธ์ที่แปรปรวนไปตามสภาพนั้นๆ เนื่องด้วยท่านเห็นเป็นของธรรมดาเสียแล้ว จิตเป็นสุขมีพระนิพพานเป็นที่ตั้งมั่นอยู่ในจิต ตายเมื่อไรก็พ้นทุกเมื่อนั้น ให้สังเกตุจุดนี้เอาไว้ให้ดีๆ แล้วเพียรปฏิบัติตาม เพื่อจักได้พ้นทุกข์ ของปัญจขันธ์ เข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน

    13. ร่างกายของใครก็ไม่สำคัญเท่ากับร่างกายของตนเอง ให้พิจารณาร่างกายของตนเองเป็นหลักใหญ่ จักได้รู้ความจริงของร่างกาย แล้วจักเห็นชัดว่า ความโลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นก็เนื่องจากการมีร่างกายนี้ ค่อยๆ คิดพิจารณาให้เห็นชัดเจน แล้วจักผ่อนคลายการติดในร่างกายลงได้

    14. จงอดทนต่ออุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิต ย่อมมีแพ้บ้าง ชนะบ้างเป็นธรรมดา จงอย่ากังวลใจ ผิดพลาดไปบ้างก็เป็นธรรมดา จำไว้ความสุขของใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ร่างกายจักเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องธรรมดาของร่างกายมัน ห้ามไม่ให้แก่ ไม่ให้ป่วยไม่ได้ แล้วที่สุดร่างกายนี้ก็ต้องตายเป็นธรรมดา การรักษาใจต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้ผ่องใสอยู่เสมอ

   15. อย่ากังวลใจกับเหตุการณ์ใดๆ ทั้งปวง ให้รักษาอารมณ์อย่าให้ดิ้นร้นเร่าร้อน จงพอใจ หรือมีความพอดีกับสถานการณ์ทุกๆ อย่าง ไม่ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จักมีผลบวกหรือผลลบก็ตาม จงอย่าได้เดือดร้อนใจไปตาม ให้ค้นหาเหตุให้พบ (ให้ใช้อริยสัจ) จิตจักต้องรู้เท่าทันกฎของกรรมทุกเมื่อ แล้วจิตก็จักไม่ดิ้นร้นเร่าร้อนไปกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ การติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ กับข่าวต่างประเทศ ก็จักเห็นความไม่เที่ยง แปรปรวน รุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ ของสภาวะของดิน - น้ำ - ลม - ไฟ และอารมณ์อันไม่เที่ยงของผู้นำประเทศต่างๆ มากมาย อันเป็นฉนวนการนำไปสู่สงครามใหญ่ได้ทั้งสิน จึงควรหมั่นดูแลรักษาสุขภาพของร่างกายให้ดีด้วย เพราะร่างกายนี้ประกอบด้วยดิน - น้ำ - ลม - ไฟ ซึ่งไม่เที่ยง แปรปรวนอยู่เสมอเหมือนกับโลก จงอย่าประมาทในชีวิต ซึ่งสั้นลงทุกขณะจิต ให้หมั่นซ้อมตายและพร้อมตายไว้เสมอ กายพังเมื่อไหร่ จิตก็พร้อมไปนิพพานเมื่อนั้น

   16. อย่าท้อแท้ในผลของการปฏิบัติ ถึงแม้บางครั้งอารมณ์จักเฉื่อยชาไปบ้าง ก็ถือว่าเป็นของธรรมดา เพราะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านหมดอารมณ์ขี้เกียจ ซึ่งเป็นอารมณ์หลงละเอียด พระระดับต่ำกว่านั้นยังมีอารมณ์ขี้เกียจ จักมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการรักษากำลังใจ หรือดูบารมี 10 ด้วยความขยันหมั่นตรวจสอบ ข้อใหนบกพร่องก็เพียรทำข้อนั้นให้เต็ม และหากท้อถอยเมื่อไหร่ ก็พึงยกเอา มรณานุสสติขึ้นมาเตือนจิต พิจารณาให้เห็นชีวิตของร่างกายนั้นก้าวไปสู้ความตายทุกๆ ขณะจิต ความประมาทในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์จักน้อยลงไปได้ ทุกคนที่เห็นทุกข์แล้วย่อมปราถนาเพื่อจักพ้นทุกข์ แต่สำหรับความตายไม่ต้องปราถนา ชีวิตก็ล่วงเข้าไปสู่ความตายทุกรูปทุกนาม สำคัญว่าจิตจักพ้นทุกข์ได้ก่อนร่างกายตายหรือไม่ ให้ดูความโลภ - โกรธ - หลง ที่เกาะจิตอยู่นั้นมันลดน้อยลงหรือยัง กิเลสในใจตน จงอย่าไปถามคนอื่น ตนย่อมต้องโจทย์จิตของตนเองอยู่เสมอหากยังมีอยู่ครบ แล้วขยันหมั่นเพียรเอากรรมฐานมาแก้อารมณ์จิตหรือเปล่า ถ้ายังเพียรทำอยู่ ก็ได้ชื่อว่า ไม่อยู่รอความตายโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าหากไม่ได้ทำก็ประมาทอย่างยิ่ง ให้คิดไว้เสมอว่าขณะนี้ใกล้ตายแล้ว ถ้าหากตายในขณะนี้ ใครที่ใหนเล่าจักช่วยเราได้ จงจดจำคำสอนของตถาคตเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก การปฏิบัติอยู่ที่ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนโดยแท้จริง ให้พิจารณาจุดนี้เข้าไว้ เพียรหรือไม่เพียรก็อยู่ที่พวกเจ้าพึงจักปฏิบัติกันเอาเอง ตามแนวทางแก้กิเลสที่พระตถาคตเจ้าสอนไว้ ให้เลือกมากมายตั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ชอบใจบทไหน ให้จับบทนั้นจนถึงที่สุด แล้วจักเป็นมรรคผลได้เร็ว

   17. จิตมีอารมณ์ ก็จักต้องหาสาเหตุให้พบ ปล่อยวางที่ต้นเหตุแล้วจักพ้นทุกข์จากจุดนั้นไปได้ การตรวจสอบจิตจักต้องมีอยู่เสมอ แล้วจงอย่าสนใจกับจริยาของบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลนั้นจักเป็นที่พอใจ หรือไม่พอใจก็ดี ให้ปล่อยวางบุคคลอื่นออกไปจากจิตเสียก่อน ทางนี้เป็นทางของบุคคลผู้เดียว ใครที่ใหนอื่นใดไม่สำคัญเท่ากับจิตของตนเอง รักษาความดีให้ขังอยู่ในจิตให้ได้ ปล่อยวางความชั่วอย่าให้ขังอยู่ในจิตนาน อย่าขาดทุนให้มากนัก เจริญพระกรรมฐานทั่งที ให้รู้จักเก็งกำไรเอาไว้ด้วย

   18. ร่างกายจักเป็นอย่างไร ก็ห้ามมันไม่ได้ การให้ปัจจัย 4 แก่ร่างกาย เป็นเพียงการระงับเวทนาชั่วคราวเท่านั้น ปัจจัยใดๆ ก็ไม่สามารถห้ามความแก่ - ความป่วย - ความตายได้ พิจารณาให้จิตยอมรับความจริงของร่างกาย และทราบชัดว่าเราคือจิต จึงจำเป็นต้องรักษาจิตให้ดี ให้จิตอดทนต่อสิ่งที่มากระทบ เพราะกฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ กรรมใดที่เราไม่เคยทำไว้ วิบากกรรมนั้นย่อมไม่เกิดกับเราอย่างแน่นอน อย่าเอาความเลวไปแก้เลวของผู้อื่น ให้คิดว่าไม่ช้าต่างคนต่างก็ตายแล้ว หันกลับมารักษาอารมณ์จิตของตนเองดีกว่า โดยฝึกจิตให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเคารพในกฎของกรรม ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน จำไว้อย่าไปแก้ไขผู้อื่น ให้แกที่ใจของตนเอง ให้พิจารณาถึงกฎของกรรมให้มากๆ แล้วสรุปลงว่า ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว เหตุการณ์กระทบกระเทือนใจเหล่านี้ก็ไม่มี มีแดนเดียวที่พ้นทุกข์ได้อย่างถาวร คือ พระนิพพาน ให้ตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้เสมอ แล้วจักไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง

   19. พิจารณากรรมฐานให้ระมัดระวังมารหลอก มารแปลว่าผู้ฆ่าความดี จิตจักถูกดลให้คิดผิด - เห็นผิด ขาดความยับยั้งชั่งใจ ยังอุปทานให้เกิดไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งผิด จึงต้องสังเกตุอารมณ์จิตให้ดีๆ รู้ขั้นตอนของการทำงานของจิต รู้ขั้นตอนของกิเลสที่เกิดขึ้นในอารมณ์ แล้วจักมีหนทางแก้ใขในเหตุที่เกิดนั้นๆ เห็นจิต - มองจิต - พิจารณาจิต ย่อมรู้ในเหตุที่ทำให้จิตมีความเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้ง

   20. ในคนๆ หนึ่งย่อมมีการกระทำได้ทั้งดีและเลว กรรมคือการกระทำทั้งกาย - วาจา - ใจ จัดเป็นกรรมทั้งสิ้น คนเลวหมดตลอดชีวิตไม่มี คนดีหมดตลอดชีวิตก็ไม่มี คนๆ หนึ่งจึงทำกรรม 2 ประเภทนี้ขึ้นมา บัญชีบุญและบัญชีบาปจึงแยกออกจากกัน ไม่ปนกัน มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านหมดแล้ว ท่านเคารพในกฎของกรรม ใครดีท่านรู้แต่ไม่สนใจ หรือข้องแวะในกรรมของเขา ใครเลวท่านก้รู้ แต่ไม่สนใจ กรรมใครกรรมมัน พระอรหันต์ท่านวางหมด ยกเว้นแต่ผู้ที่มีกรรมผูกพันอยู่กับท่าน ท่านก็ต้องสอน - อบรม - ชี้แนะทางให้ตามหน้าที่ แต่จักทำได้หรือไม่ได้ ก็เป็นเรื่องของเขา ท่านไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อนไปในกรรมใดๆ ทั้งปวง เห็นเป็นธรรมดาของโลก มีแต่พระนิพพานเท่านั้นที่คนเลวไม่มีอยู่เลย ที่ตรัสมานี้เพื่อให้สังเกตอารมณ์ของใจคน มักโจทย์เลวมากกว่าโจทย์ดี ใครทำอะไรไม่ดี ใจมัน ปากมัน ทั้งจำ ทั้งพูด ไม่รู้จักลืม มันเป็นความเลวของจิตที่ จำเอาแต่อกุศลกรรม สำหรับเรื่องความดี คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ ไม่รู้จักทำ ให้มันเกิดมรรคเกิดผลเสียบ้าง ใจมันมักลืมดี แต่จำเลว ต่อไปให้รู้จักแก้ใจเสียบ้าง จำดีแล้วลืมเลวเข้าไว้บ้าง จึงจะพอเริ่มดีกับเขาได้บ้าง สรุปว่า พระอรหันต์ท่านมี พุทธานุสสติและอุปสมานุสสติเป็น เอกัตคตารมณ์พอๆ กับการไม่ลืมขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่มีในเรา และมีอริยสัจ 4 พร้อมอยู่ในจิต เห็นทุกข์ - สมุทัย - นิโรธ - มรรคพร้อมอยู่ตลอดเวลา เหล่านี้เป็นองค์ของพระอรหันต์

จากหนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม 11)
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน



ผู้ตั้งกระทู้ จรัล โพธิ์อุ่น โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-03-09 19:47:02


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1535173)

ขออนุโมทนาบุญสำหรับธรรมทานที่เป็นข้อคิดที่ดีมาก ๆค่ะ

คุณจรัส โพธิ์อุ่น

สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

(นั่งพิมพ์เหนื่อยหรือเปล่าค่ะเพราะว่ายาวมาก)

แต่เนื้อหาดีมาก ๆ ค่ะ

น้องทรายจะพยายามบังคับใจตัวเองให้ตั้งมั่นใน

คำสอนของพระพุทธองค์ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องทราย (นางสาวลักขณา ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-03-09 20:44:46


ความคิดเห็นที่ 2 (1535195)

 ขออนุโมทนาบุญกับคุณจรัส โพธิ์อุ่น นะครับ...ที่นำธรรมทานอันเป็นมงคลสูงสุดในชาติเกิดของเราทุกคนมาให้อ่านทบทวนกัน ซึ่งคำตรัสนั้นก็มาจากการปฏิบัติธรรมล้วนๆ ทำให้เกิดรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมอันเป็นธรรมดาของปุถุชนคนบาปหนา

อ่านแล้วก็ขนลุกไปหลายๆ รอบ...เพราะซาบซึ้งเข้าไปถึงใจส่วนลึก ที่กิเลสมันบังอยู่เสมอ เมื่อธรรมะจากการปฏิบัติแทรกเข้ามาในจิต สิ่งอันเป็นอกุศลทั้งหลายทั้งปวงในจิตก็ย่อมหลีกทางให้กับคำสอนขององค์ตถาคต เว้นเสียแต่ว่าผู้นั้นถูกกิเลสครอบงำเสียจนมองไม่เห็นธรรม

ขออนุญาติยกบางประโยคสั้นๆ เพื่อทบทวนให้กับตัวผมเองนะครับ 


- เรื่องทุกเรื่องในโลกล้วนแล้วแต่เป็นกฎของกรรมทั้งสิน

- เรื่องของการพ้นทุกข์อยู่ที่จิต

- จงอย่าไปเดือดร้อนกับกรรมของบุคคลอื่น

- เอาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกรรมฐาน แล้วจักเกิดประโยชน์ในการปฏิบัติ

- ให้แก้ธรรมภายในที่จิตของตนเท่านั้น 

- การกระทำทุกอย่างให้พิจารณาว่า ทำเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อพระนิพพานหรือเปล่า

- จิตจักต้องรู้เท่าทันกฎของกรรมทุกเมื่อ

- ให้หมั่นซ้อมตายและพร้อมตายไว้เสมอ กายพังเมื่อไหร่ จิตก็พร้อมไปนิพพานเมื่อนั้น

- หากท้อถอยเมื่อไหร่ ก็พึงยกเอา มรณานุสสติขึ้นมาเตือนจิต

- ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว เหตุการณ์กระทบกระเทือนใจเหล่านี้ก็ไม่มี

- เห็นจิต - มองจิต - พิจารณาจิต ย่อมรู้ในเหตุที่ทำให้จิตมีความเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้ง


และที่สำคัญคือ....ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก การปฏิบัติอยู่ที่ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนโดยแท้จริง

...สาธุ สาธุ สาธุ...ครับ 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์ (สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-03-09 22:00:27


ความคิดเห็นที่ 3 (1535196)

 เพิ่มเติม บารมี 10...

ทานบารมี จิตพร้อมในการให้ทานเป็นปกติ
ศีลบารมี จิตพร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ
เนกขัมมะบารมี จิตพร้อมในการถือบวชเป็นปกติ ในที่นี้หมายถึงบวชใจ
ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหารอุปาทานให้พังพินาศไป
วิริยะบารมี มีความเพียรในทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
ขันติบารมี มีความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งอันเป็นปฏิปักษ์
สัจจะบารมี ทรงตัวไว้ว่าเราจะทำจริงทุกอย่างในด้านของการทำความดี ไม่มีคำไม่จริงสำหรับใจเรา
อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
อุเบกขาบารมี การวางเฉยในกาย เมื่อมันไม่ทรงตัว

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์ (สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-03-09 22:04:23


ความคิดเห็นที่ 4 (1535200)

ขออนุโมทนาด้วยนะค่ะ

คุณ จรัส โพธิ์อุ่นและ คุณสิทธิ์

สวดบทบารมี ๑o ทัศ ไพเราะมากค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ๊กตาฝน (tee-ged-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-03-09 22:21:33


ความคิดเห็นที่ 5 (1535231)

อนุโมทนาค่ะคุณจรัล ที่นำธรรมะขั้นสูงสุดมาให้พวกเราได้พิจารณากันแบบเต็มๆ

ส่วนจะได้ผลอย่างไรก็คงขึ้นอยู่กับผู้อ่านเองว่า จะน้อมนำไปปฏิบัิติได้มากน้อยเพียงใด

เพราะอย่างที่พี่มหาช่วยสรุปลงท้ายให้เห็นชัดๆกันอีกรอบว่า

"ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก การปฏิบัติอยู่ที่ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนโดยแท้จริง" 

 

ขอเป็นกำัลังใจให้กับผู้ปฏิบัติทุกๆท่านนะคะ ว่าเราจะท้อไม่ได้โดยเด็ดขาด

แต่ถ้าท้อขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็พึงระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ดังนี้

 

"อย่าท้อแท้ในผลของการปฏิบัติ ถึงแม้บางครั้งอารมณ์จักเฉื่อยชาไปบ้าง

ก็ถือว่าเป็นของธรรมดา เพราะ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านหมดอารมณ์ขี้เกียจ

ซึ่งเป็นอารมณ์หลงละเอียด พระระดับต่ำกว่านั้นยังมีอารมณ์ขี้เกียจ 

จักมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการ รักษากำลังใจ หรือดูบารมี 10

ด้วยความขยันหมั่นตรวจสอบ ข้อใหนบกพร่องก็เพียรทำข้อนั้นให้เต็ม และ

หากท้อถอยเมื่อไหร่ ก็พึงยกเอา มรณานุสสติขึ้นมาเตือนจิต 

พิจารณาให้เห็นชีวิตของร่างกายนั้นก้าวไปสู้ความตายทุกๆ ขณะจิต

ความประมาทในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ จักน้อยลงไปได้"

 

ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา วันที่ตอบ 2011-03-10 05:11:30


ความคิดเห็นที่ 6 (1535299)

ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น เพ็ญศิริ วันที่ตอบ 2011-03-10 13:59:52


ความคิดเห็นที่ 7 (1535307)

 

 

ขออนุโมทนาบุญในธรรมทาน และจิตอันเป็นกุศล ของทุกๆท่านด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์วิญาณ์ (tata_su22-at-windowslive-dot-com)วันที่ตอบ 2011-03-10 14:25:22


ความคิดเห็นที่ 8 (1535335)

ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ กับธรรมทานค่ะ คุณจรัล สาธุ สาธุ

เหมือนติวข้อสอบแบบเข้มเลยค่ะ วันนี้ขออ่านก่อน 7 ข้อนะคะ แล้วจะเข้ามาอ่านในวันต่อไปค่ะ สาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นฤชล วันที่ตอบ 2011-03-10 16:48:16


ความคิดเห็นที่ 9 (1535439)

สาธุกับธรรมทาน สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนปกิณกะ สาธุ

กินใจมากค่ะ

จำเอาแต่  อกุศลกรรม  สำหรับเรื่องความดี ( คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนเท่าไหร่

ก็ไม่รู้จักจำ  ไม่รู้จักทำ)  ให้มันเกิด มรรค เกิด ผล เสียบ้าง (ใจมันมักลืมดี แต่จำเลว)

ต่อไปให้รู้จักแก้ใจเสียบ้าง  จำดีแล้วลืมเลว  เข้าไว้บ้าง

จึงจะพอเริ่มดีกับเขาได้บ้าง     สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๊อด วันที่ตอบ 2011-03-11 11:47:49


ความคิดเห็นที่ 10 (1535515)

ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานและความคิดเห็นในบุญของทุกท่าน  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น นก(ฐิตาภรณ์) วันที่ตอบ 2011-03-11 21:38:04


ความคิดเห็นที่ 11 (1535547)

อนุโมทนาบุญกับธรรมทานทุกท่านด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตฤณ วันที่ตอบ 2011-03-12 08:05:29



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.