ReadyPlanet.com


พระอานนท์บรรยายธรรม


user image

 
พระอานนท์บรรยายธรรม
แจ้งลบกระทู้


 

พระอานนท์
เธอมาปฏิบัติแล้วดีหรือไม่ดี ดียังงัย? ไม่ดียังงัย?
ตอบ การปฏิบัติแล้วทำให้รู้สึกว่าเบา รู้สึกเบาในด้านจิตใจ ความอยากได้ อยากรู้ อยากเป็น เบาบางลง
พระอานนท์ : พวกเธอมาปฎิบัติธรรมนานหรือยัง เริ่มปฎิบัติกันตั้งแต่เมื่อไหร่ 
ตอบ : เดือนมีนาคม 2552  2 ปี ครับ
พระอานนท์ : ก่อนหน้านี้ปฎิบัติมั้ย
ตอบ : ไม่ได้ปฎิบัติครับ เหมือคนทั่วๆไป เพราะศีลห้าไม่ครบ
พระอานนท์ : ทำไมถึงมาปฎิบัติธรรม
ตอบ : เรื่องทางโลก เพื่อความก้าวหน้าทางโลก  นั้นคือจุดเริ่มต้นการปฎิบัติครับ
พระอานนท์ : มาปฏิบัติแล้วมีดีไม่ดีอย่างไรบ้าง?
ตอบ : การปฎิบัติธรรมแล้วทำให้รู้สึกเบาบาง รู้สึกเบาขึ้นทางจิตใจ ในความทะเยอทะยานอยากได้อยากรู้อยากเป็นเบาบางลง การปฏิบัติตนทางโลกลดน้อยถอยลง โดยเน้นไปทางธรรมะมากขึ้น การที่ไม่เคยคิดไม่เคยหวังถึงเรื่องความตาย ตายแล้วว่าไปไหนไม่รู้ ไม่เคยตามดู เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วทำให้รู้ว่าหลังจากจบจากภพนี้แล้ว ภพหน้าเรามีที่ไป ตามกรอบที่เราวางไว้ ไปตามจุดที่ดีกว่าภพนี้ เรามีโอกาสที่ดีกว่า
พระอานนท์ : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตใจของเรา เจริญแล้วหรือยังไม่เจริญ 
ตอบ : ดูจากอารมณ์ที่เกิดขึ้น เราจะสามารถสงบจากอารมณ์ได้หรือไม่ บางครั้งอาจะเป็นอารมณ์โกรธ โทสะ ราคะหรืออารมณ์ใดก็ตามที่เป็นอารมณ์ของมนุษย์ เมื่อมันเกิดขึ้น เราก็สามารถที่จะควบคุมได้เอง โดยไม่ปล่อยให้มันยืดเยื้อต่อไปอีก สามารถรู้เท่าทันและยุติลงได้ครับ
พระอานนท์ : ดี สมควรแล้วที่จะเป็นบุตรของพระโพธิสัตว์กวนอิม
ตอบ : สาธุ สาธุ สาธุ
พระอานนท์ : พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมท่านทรงเป็นพระมหาแม่ ผู้ทรงเปี่ยมด้วย เมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นบุตรชายและบุตรสาว ของพระองค์ ท่านจะไม่ทรงปล่อยให้หลุดพ้นไปตกสู่อบายภูมิทั้งสี่ได้ ดังนั้นถือว่าพวกเธอโชคดีที่มีบุญมหาสัมพันธ์กับองค์พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมได้เรียนรู้จากธรรม และถูกปัดเป่าความโง่ให้ออกไป จึงพบความสว่าง ได้พบพระอริยะสงฆ์ และพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าผู้สูงสุด ก็ด้วยบารมี ของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมทั้งสิ้น การที่พวกเธอได้รับบุญบารมีครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากบุญเก่าของพวกเธอเองทั้งสิ้น ที่ได้สะสมมา นำมารวมกับบารมีของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม ที่แผ่มาปกป้องให้เธอได้รับรสพระธรรมได้ใกล้ชิดกับพระเบื้องบน ดังนั้นเธอจงดูจิตของเธอเองด้วย  และตัวของเธอเองทำอย่างไรให้สมกับเป็นบุตรของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม ด้วยให้สมกับเป็นบริวารของท่าน ผู้ที่สมกับการเป็นลูกของพระโพธิสัตว์กวนอิมนั้น ย่อมเฝ้าดูตามจิตใจของตนเอง มีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ คือ  เสียสละเวลาหน้าที่ การงาน การเงิน เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ ทำให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยให้พี่น้องได้เห็นแสงแห่งบุญ ที่เราได้เห็นบ้าง ที่เรามาในวันนี้ เพื่อเตือนสติเท่านั้น เพราะภายภาคหน้าสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็น แต่ถ้าเธอฝึกทิพยจักษุญาณ  เธอจะรู้ว่าภายภาคหน้าจะมีคนเข้ามาอีกเยอะ เธอจะได้ช่วยเหลือเขา แต่ตัวของเธอเองนั้นพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นแล้วหรือยัง เราต้องมีความเพียร และปัญญาไว้เป็นอาวุธ เพื่อฝ่าฟันและรื้อถอนกิเลส ภายในจิตใจ หน้าที่ของเราก็คือ รื้อถอนกิเลสที่อยู่ในจิตใจอันล้ำลึกนั้น ที่ฝังลึกอยู่นานแสนนาน   กิเลส คือ ตัวตัณหาความอยาก ที่ไม่รู้จักจบสิ้น ความทะยานอยากเหล่านี้ ที่รั ด อยู่มานาน ฝังรากอยู่นาน ไม่เคยขุดไม่เคยรื้อถอน ตัดแต่ยอดข้างบน โดยที่ไม่รู้ ว่ารากนั้นได้ก่อเป็นลำต้นขึ้นมาใหม่ แล้วผู้ที่รื้อถอนกิเลสได้ ถือว่ามีจิตกล้า จิตของแนวหน้านักรบ คือ จิตตภาวนา คือ ผู้ที่ไม่ทิ้งการภาวนา ไม่ทิ้งสติ มีความเพียรเป็นสติ และผู้ที่มีสติ เป็นผู้มีความเพียรจะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ตลอดเวลา และผู้ที่ขาดสติ ประมาท แม้อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเลย การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ใช่การเดินเข้ามาต่อหน้าพระองค์ และเดินกลับออกไป อย่างนั้นไม่ใช่เรียกการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านั้นก็คือ การที่เธอทั้งหลายเอาจิตมีสติ ไม่ประมาท ไม่ทิ้งความเพียร ต่อสู้เอาชนะ เพื่อให้รู้จักเท่าทันในรูปขันธ์ทั้ง 5 ได้  
     การเรียนของโลกนี้ จะจบชั้นอะไรก็ตาม อะไรสูงสุดในโลกแล้วก็ตาม ก็ยังไม่จบไม่สิ้น ไม่มีความพอ ไม่สามารถหยุดได้ ไม่สามารถนำกลับมาใช้ ปรับปรุงกับงานที่ทำอยู่ได้สักอย่างเดียว เพราะอะไร ก็เพราะว่าคนที่ทำงานนั้น ไม่ได้เอาธรรมมาเป็นเครื่องปรับใช้ และไม่ได้เอาธรรมเข้าไปใช้ในงานนั้น การเรียน การทำงานที่แสวงหา มันไม่มีคำว่าจบสิ้น เพราะไม่รู้จักคำว่าพอ แต่การเรียนที่รู้จักขันธ์ห้า โดยแท้โดยรู้เท่าทันของการดับของขันธ์ห้า หากเรียนจบได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถือว่าเรียจบหมดสิ้น ทีนี้เราจะเรียนอย่างไรให้จบให้สิ้นในขันธ์ทั้งห้า สิ่งเดียวที่ทำให้เราฉลาดหลุดพ้น นั้นก็คือการเรียนรู้ใน สติปัฏฐานสูตร ขันธ์ทั้งห้ามีอะไรบ้าง ให้ฟังและคิดตาม หากไม่เอาอาวุธชิ้นนี้กลับไป ก็อย่าถือว่าเราได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเลย  แสดงว่าเราไม่เคยถืออะไรกัน ขันธ์ทั้งห้าก็คือการมีรูปขันธ์
รูปขันธ์ คือกายที่เราเห็นอยู่  สิ่งนี้คือ รูปขันธ์
เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึกต่างๆ จากความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดี ความทุกข์ทรมานก็ดี จากความเจ็บปวดจากสิ่งต่างๆที่มากระทบร่างกายก็ดี
สัญญาขันธ์ คือ ความจำ ในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น
สังขารขันธ์ คือ การปรุงแต่ง การคิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว อนาคตที่มาไม่ถึง หรือคิดไปเรื่องต่างๆนานา คิดเพ้อเจ้อเหลวไหลทั้งหมด ปรุงแต่งนานา
วิญญาณขันธ์ คือการรับรู้ ในขณะที่มีสิ่งที่มากระทบ และจบสิ้นไปตอนนั้น ต่างจากสัญญาขันธ์ สัญญา คือ จดจำ แต่วิญญาณขันธ์นั้นรู้ขณะนั้นและเมื่อมันดับก็จบลงแค่ตรงนั้น นั่นคือ วิญญาณขันธ์ 
ขันธ์ทั้งห้านี้เราไม่เคยที่จะเรียนรู้ ไม่เตยสนใจ เอาจิตออกนอกใจ ออกนอกกายไปนั่งดูเรื่องอื่น ดูเรื่องผู้อื่น จริยาผู้อื่น สนใจแต่เรื่องอื่นๆ ไม่สนใจในขันธ์ทั้งห้านี้ ถ้าเราหันมาสนใจขันธ์ห้านี้ เราก็จะตัดกายได้ รู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากมันป่วยไข้ไม่สบายกาย ก็ให้รู้ว่าเป็นเวทนาขันธ์ ไม่เอาใจไปจดจ่อกับความเจ็บปวดนั้น แต่ดูให้รู้เท่าทันว่า กายนี้กำลังเป็นอะไร ความแตกดับเช่นไร และความเจ็บป่วยเกิดมาจากอะไร เราต้องดูให้รู้ถึงที่มา ต้องไม่กลัว ไม่เอาใจไปผูกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กับขันธ์ห้า ต่างๆ หากปรุงแต่งก็ให้เอาใจไปอยู่กับ สังขารขันธ์ สิ่งเหล่านี้เราต้องให้รู้เท่าทัน ทั้งหมด โดยไม่ทิ้งความเพียร คือ สติ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับขันธ์ห้า ให้สติเกิดขึ้นเป็นตัวรู้ เพียรอยู่เสมอให้รู้สติ ไม่ทิ้งสติ อย่างนี้เป็นการปฎิบัติบูชา เหมือนกับว่าเธอทั้งหลายได้กำลังเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดทุกเวลาและนาที เพราะพระพุทธเจ้าจะอยู่กับเธอ ไกลหรือไกล้ มันอยู่ที่ความเพียรของสติของพวกเธอทั้งนั้น หากเธอเพียรมาก มีสติอยู่ตลอด รู้เท่าทันตลอด ก็จะรู้แจ้งเห็นจริงทะลุปรุโปร่ง ก็จะรู้ว่าทุกอย่างเป็นความว่าง ธรรมะว่างทั้งหมด เหมือนกับนิพพานที่ว่างทั้งหมด ดับจากความต้องการ กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ความโง่เง่าของจิต ที่เป็นรากฝังลึกลงในจิตใจ ในกิเลสต่างๆที่พัวพันมานาน หลายแสนกัปหลายอสงไขย ให้ตัดขาดให้หมดในชาตินี้ อะไรเกิดขึ้นอย่าปล่อยให้จิตติดกับสิ่งนั้น แต่จงรู้เท่าทัน ถ้าเธอรู้เท่าทัน ขันธ์ทั้งห้า มีสติเป็นความเพียรอย่างนี้ ความผูกพันที่จะเอาขันธ์อื่นมาเกี่ยวข้องก็ไม่มีเกิดขึ้น แค่ขันธ์เดียวก็เหนี่อยแสนเหนื่อย สองขันธ์สามขันธ์สี่ขันธ์ห้าขันธ์ นี่ต้องแบกถึงห้าขันธ์ ที่ต้องเรียนรู้จักให้ครบให้หมด การเกิดที่จะมีความอยาก เอาขันธ์อีกห้าขันธ์คือกายของผู้อื่นมาเป็นของเราก็จะไม่เกิดขึ้นแล้ว เพราะห้าขันธ์ที่จะเรียนรู้นี้ก็แสนยากและเหนื่อยเต็มที อย่างนี้การเข้าถึงพระนิพพานเห็นพระพุทธเจ้าก็ใกล้เข้ามามากขึ้น จากที่เห็นพระพุทธเจ้าอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เมื่อเธอเรียนรู้เข้าใจในขันธ์ทั้งห้าได้ก็เท่ากับว่าเธอได้เข้าใกล้ไปอีกครึ่งทาง ในเมื่อเธอเห็นถึงความว่างของธรรมะ เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะยึดได้เกาะได้ร่างกายนี้ก็เป็นเพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เข้ามารวมกันเท่านั้น ท้ายสุดแตกสลาย คนละอย่างกับจิตของเรา คนละอย่าง เมื่อรู้เท่าทันอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเธอได้อยู่ใกล้พระพุทธเจ้าห่างกันแค่ฝ่ามือ แล้วเมื่อเธอรู้เท่าทันอย่างนี้ แล้วตัดได้ขาดหมดสิ้นไม่เหลือกิเลสภายในจิตใจ ที่เป็นรากขังมานาน และก็ลึกมานาน ไม่ต้องหาป่าช้ามาเป็นที่อยู่และเป็นที่ไปใหม่ ไม่หาขันธ์อย่างนี้มาเป็นที่อยู่อีก ก็เท่ากับว่าเธอได้อยู่กับพระพุทธเจ้าติดกับพระพุทธเจ้าอย่างนี้เท่ากับว่าเธอเห็นนิพพานแล้ว สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้กลับสู่พระนิพพาน
     ดังนั้นหน้าที่ของพวกเธอทุกคน จงเพียรในสติ และศึกษาขันธ์ห้า ทั้งห้าอย่างนี้เป็นงานที่หนัก ในช่วงแรก ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องใครอื่นอีก แค่ขันธ์ทั้งห้านี้การศึกษาก็ใช้เวลานาน เพราะการถอนกิเลสที่เป็นรากลึกพันแน่นอยู่นั้น กว่าจะถอนออกมาหมดก็ต้องใช้เวลา เราจะเสียเวลายุ่งในเรื่องคนอื่นว่าใครจะเป็นยังงัย ใครจะสบายดีมั้ย ใครจะนินทาเรา ใครจะชอบเรา ไม่ชอบเรา เขาจะดีกว่าเราไม่ดีกว่าเราก็ไม่ต้องไปสนใจแล้ว แค่งานเรางานเดียวก็ไม่รู้ว่าจะทำสักเท่าไหร่กว่าจะขุดรื้อถอนได้หมดสิ้น เพียรอยู่ในเรื่องของตนเอง แล้วพอถึงเวลา เราก็จะรู้ว่าลูกก็ไม่เอา หลานก็ไม่เอา ญาติก็ไม่เอา ทรัพย์สินใดๆเราก็ไม่เอาแล้ว อย่างนี้เธอก็จะเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าเธอ และจะเข้าใจพระธรรมได้มากขึ้น วันนี้ทิ้งท้ายไว้ทบทวนในขันธ์ทั้งห้าให้ดี รื้อถอดกิเลสนี้ให้หมดสิ้น การเรียนทางโลกเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ไม่เคยจบ ไม่เคยสิ้น ยังต้องเรียนต้องศึกษากันไป แต่ถ้าพวกลูกทั้งหลายเรียนเรื่องขันธ์ห้าให้จบสิ้น เรื่องอื่นก็ไม่ต้องเรียนแล้วก็จะรู้เท่าทันทั้งหมด วันนี้ดีใจที่ได้มาพบบุตรของพระแม่กวนอิมทุกคน ขอลูกทุกคนจงสำเร็จในธรรม เจอมรรค และเห็นผล ผลก็มาจากการปฏิบัติของลูกเอง พบตถาคตก็คือพระนิพพานโดยเร็ว
เจริญพรทุกคน

 

 

ขอบคุณที่มา  http://www.abhinyayai.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=

1&Category=abhinyayaicom&thispage=1&No=1392045
 

ผู้ตั้งกระทู้ จิตทิพย์ นิพพาน :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-15 13:21:40 IP : 223.204.230.181



ผู้ตั้งกระทู้ นายคมกริช นามมงคุณ (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-24 09:20:25


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1541905)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณคมกริช และเจ้าของข้อความด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปูค่ะ (kajadu-at-sanook-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-24 10:45:40


ความคิดเห็นที่ 2 (1541938)

ขออนุโมทนาสาธุกับคุณคมกริชที่นำมาเผยแพร่เป็นธรรมะทานในครั้งนี้

สาธุสาธุสาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ดวงบ้านตาก (duang2543-at-mail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-24 16:20:35


ความคิดเห็นที่ 3 (1541991)

อนุโมทนากับน้องเบลล์และผู้ถ่ายทอดข้อความด้วยนะคะ..

กราบขอบพระคุณในคำสอนแห่งพระอานนท์ด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ..

 

จะถอดรากกิเลสให้สิ้นซาก ต้องเพียรศึกษาขันธ์ห้าของตนให้ถ่องแท้เสียก่อน

ที่จะส่ง"จิต"ไปส่องขันธ์ห้าของผู้อื่น สาธุ..

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-25 04:48:05


ความคิดเห็นที่ 4 (1542107)

 โมทนาบุญกับน้องเบลล์ครับ ที่นำมาให้อ่านเป็นธรรมทาน...

ทุกอย่างอยู่ในตัวเรา แม้แต่ นิพพาน ก็เช่นกัน ขอเพียงแต่พิจารณากายในกาย...สาธุ สาธุ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-25 20:29:18


ความคิดเห็นที่ 5 (1542143)

 อนุโมทนากับทุกท่านครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น นายคมกริช นามมงคุณ (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-25 22:53:43



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.