ReadyPlanet.com


สนธนาธรรมตามอัธยาศัย ในคืนวันที่ 1 มกราคม 2554 ณ บ้านสวนพีระมิด


ขอบารมีพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์แห่งบ้านสวนพีระมิด บารมีอาจารย์อุบล ผู้ซึ่งเป็นที่รัพเคารพของลูกบ้านสวนพีระมิดทุกคน ได้นำกระแสจิตของผม ให้ได้จดจำและบอกเล่าเรื่องราวการสนทนาธรรมตามอัธยาศัย หรืออย่างน้อยก็ขอให้ครบใจความสำคัญของแต่ละข้อถามตอบ หรือแม้ว่าผู้ถามซึ่งเป็นผู้จดจำข้อถามของตนได้ดีกว่าผมก็ขอให้ได้มาเพิ่มเติมบอกเล่าเรื่องราว ในค่ำคืนดังกล่าวให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมในวงสนทนาธรรมได้ร่วมอนุโมทนากัน ด้วยเทอญ

   คำถาม 1 คุณกัญ ถามว่า คุณกัญเคยปฏบัติกรรมฐานโดยการกำหนดจิตดูลมหายใจ แต่การปฏิบัติที่อาจารย์อุบลได้สอนให้ลูกบ้านสวนฯ คือวิธีการทำกสิณ คุณกัญควรจะใช้วิธีไหน ในการปฏิบัติ และปฏิบัติอย่างไรให้เกิดการพัฒนาต่อจิตใจ

   อาจารย์อุบล ตอบว่า กรรมฐานมี 40 กอง การปฏิบัติของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับจริตของผู้นั้น ดังนั้นอาจารย์ฯ ก็จะไม่กำหนดว่าต้องทำอย่างนั้นหรือวิธีนี้  แต่สำหรับอาจารย์ฯ การใช้วิธีการทำกสิณนั้นเป็นวิธีที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้แนะนำว่า ภายในเวลาที่จำกัด(ก่อนเกิดภิบัติภัยธรรมชาติ) หรือที่อาจารย์ได้ปฏิบัติมา และเห็นผลแล้วก็ดี  เป็นวิธีการปฏิบัติที่ให้ได้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธองค์  และยกตัวอย่างการเดินทางไปเชียงใหม่อาจารย์ฯ จะเดินทางด้วยเครื่องบิน แต่ใครต้องการที่จะปั่นจักรยานไปอาจารย์ฯก็ไม่ว่าอะไร และสิ่งสำคัญของการปฏิบัติ เพื่อให้พัฒนาจิตของตนได้ดีนั้น ควรที่จะต้องครบ ทาน ศีล และสมาธิ(ภาวนา)

   คำถามที่ 2 คุณวี ถามว่า ถ้ามีผู้มาต่อ ว่าเรา โกรธเรา เราควรจะวางจิตอย่างไร

   อาจารย์อุบล ตอบว่า ก็ ให้อุเบกขา วางเฉย และพิจารณาว่าผู้นั้นกำลังมีโทสะครอบงำ และคนที่มีโทสะครอบงำ ก็คือคนที่ตกอยู่ในนรก  ดังนั้นถ้าหากเราไปตอบโต้เขา นั้นก็หมายความว่าเราได้ตกไปอยู่ในนรกเช่นเดียวกับเขา  แต่หากเราใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว นึกอโหสิกรรม เป็นอภัยทาน แผ่บุญกุศลส่งกลับไปให้เทวดาประจำตัวของผู้ที่โกรธหรือด่าว่าเรา  แล้วเราจะยิ่งได้สร้างกุศลเป็น 2 ต่อ คือได้ อุเบกขาบารมี และทานบารมี(อภัยทาน)  เทวดาประจำตัวเขาก็จะมีฤทธิ์และดลจิตดลใจจากที่เขาเห็นผิดให้กับเป็นถูก และเลิกโกรธเราไปเอง

   คำถามที่ 3 คุณชัช ถามว่าบ่อยครั้งที่จิตเผลอคิดสงสัยต่ออาจารย์ฯ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่ตนก็มีความศรัทธา เคารพนับถืออาจารย์ฯ คุณชัชควรจะต้องใช้ธรรมะข้อไหนมาแก้ไขมโนกรรมของตน

   อาจารย์อุบล ตอบว่า ก็ให้หยุดคิดซิ และแซวคุณชัชว่า ระหว่างหยุดคิดกับเดินทางจาก กทม.มาบ้านสวนฯ เพื่อขอขมาอาจารย์ฯ อย่างไหนง่ายกว่ากัน คุณชัชตอบว่า เดินทางจาก กทม.มาบ้านสวนฯ ง่ายกว่า(แสดงถึงความศรัทธาที่มีอยู่ว่า แม้จะเพียงแค่ผิดในมโนกรรมต่ออาจารย์ฯ ลูกบ้านสวนผู้นี้ก็ขอที่จะเดินทางไกลมาขอขมาต่ออาจารย์ฯ)

   แต่สิ่งที่อาจารย์ฯ ตั้งคำถามกับคุณชัชก็ได้แฝงไว้ด้วยข้อธรรมะ ที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้เลยก็คือ หยุดคิดในทางลบ ให้หันกลับมาบอกตน ให้คิดในทางบวก และสร้างสรร เพราะการกระทำโดยมโนกรรม เช่น สงสัย คิดลบ หรือแม้ปรามาสในใจ  เพียงกับบุคคลทั่วไปนั้น ก็มีผลต่อความเศร้าหมองต่อจิตใจของเราเองแล้ว   แล้วยิ่งสร้างมโนกรรม ต่อผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในศีลธรรม มีคุณธรรมครอบกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อุบล(ความเห็นผู้ตั้งกระทู้) พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ดี หรือแม้แต่พระพุทธองค์ก็ดี ผู้ที่คิดก็อาจจะได้รับผลของอกุศลกรรม หนักกว่าที่ได้สร้างมโนกรรมต่อบุคคลผู้ไม่มีศีล

   คำถามที่ 4 ลูกชายคุณสุเมธ(ขออภัยจำชื่อได้แต่ไม่แน่ใจเลยขอเรียกลูกชายคุณสุเมธนะครับเผื่อจำผิด) ถามว่า น้องเค้าจะมีวิธีไหนบ้างที่จะเสริมพลังปราณมโนธาตุ เข้าสู่ร่างกาย (ดูความคิดเด็กสมัยนี้ซิ คิดดีจนผู้ใหญ่หลายหลายคนต่ออายเลย)

   อาจารย์อุบล ตอบว่า ก่อนจะตอบคำถามนี้อาจารย์ฯขอเล่าให้ฟังว่าช่วงวันที่อาจารย์ไม่มีเสียง(หลายท่านคงจำได้) อาจารย์ฯ ได้นั่งกรรมฐาน(ผู้ตั้งกระทู้ไม่แน่ใจว่าอาจารย์นั่งในพีระมิดหรือที่ใด) แต่อาจารย์ฯ ได้คำตอบจากพระพุทธองค์เกี่ยวกับการระบายอากาศภายในองค์พีระมิดองค์ใหญ่ ว่า อาจารย์ฯ ควรใช้วิธีการพัดลมดูดอากาศดูดอากาศเสียภายในออกจากองค์พีระมิด แล้วให้อากาศดีจากภายนอกเข้ามาทางหน้าต่างดี หรือจะดูดอากาศดีจากภายนอกเข้าทางพัดลมดูดอากาศ แล้วระบายอากาศเสียออกทางหน้าต่างดี  อาจารย์ฯ ก็ได้คำตอบของคำถามที่กล่าวมา จากพระพุทธองค์ว่า  ให้อากาศทั้งดีและเสีย ถ่ายเทได้ด้วยทางต่างๆ ได้หลายๆ ทาง (ลูกฯ ต้องขอขมาโทษที่จำข้อนี้ได้ไม่ครบทั้งที่อาจารย์ฯ ได้ถามย้ำโดยตรงว่าตามทันใช่ไหม ลูกฯ ก็ตอบว่าทัน ทั้งที่จิตยังมัวปีติกับข้อ ธรรมะ ถามตอบ 1 และ 2 อยู่)

   แล้วอาจารย์ฯ ก็เข้าเรื่องที่ลูกชายคุณสุเมธถาม ว่าเพราะฉะนั้น ในร่างกายของคนเราก็สามารถที่จะ รับพลังปราณ มโนธาตุ เข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น ทางลมหายใจ ทางการกินอาหารที่เป็นธาตุขาว(มีประโยชน์ต่อร่างกาย) ทางผิวหนัง และทางจิตที่คิดในทางกุศล  แล้วขับไล่ธาตุความไม่ดีที่สะสมในร่างกายให้ออกไป  ถ้าทำได้ดังที่กล่าวมาบุคคลผู้นั้นก็จะมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้น โดยฉับพลัน รวมไปถึงคนรอบข้าง ก็จะค่อยๆ ซึมซับพลังแล้วพากันเปลี่ยนแปลงไปสู่ส่งที่ดีดี  ยกตัวอย่างว่าทำไมหลายคนที่มาบ้านสวนพีระมิดแล้วเพียงเข้าเขตบ้านสวนฯ ก็จะพบกับความสุขทางใจ หรือแม้แต่มีความเจ็บป่วยใดมาก็จะรู้สึกว่าทุเลาลงทั้งที่ยังไม่ได้รับการบำบัดใดใด หรือบ้างคนก็ให้ได้ในทันทีหากเจ้ากรรมนายเวรที่ติดตัว เป็นอกุศลกรรมเบา

   คำถามที่ 5 น้องป้อม(ขออภัยหากจำชื่อผิด) ถามว่า ศีลข้อมุสาวาทาฯ นั้นสำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ยังต้องประกอบหน้าที่การงานภายใต้กฎเกณฑ์ทางโลกอยู่  จะรักษาศีลข้อนี้ให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร ยกตัวอย่าง (ผู้ตั้งกระทู้เป็นคนยก)

   ลูกค้าโทรศัพท์ตามงาน หรือว่าจะขอคุยกับหัวหน้าของเราแต่น้องป้อมเป็นผู้รับโทรศัพท์ แล้วหัวหน้าก็ส่งซิกว่าให้บอกลูกค้าไปว่าหัวหน้าติดประชุมทั้งที่ความเป็นจริงต้องการเลื่อนนัดงานจากลูกค้า

   อาจารย์อุบล ตอบว่า ควรแนะนำให้หัวหน้าดูรายการของบ้านสวนพีระมิด เพื่อชี้ทางออกจากนรก(จากการผิดศีลข้อ4) ให้หัวหน้าหรือผู้ที่ออกคำสั่งให้เราต้องทำผิดศีล  ศีลของเราก็จะบริสุทธิ์และได้ชี้ทางออกจากนรกให้หัวหน้า เป็นธรรมทานอีกด้วย

   การผิดศีลจะครบองค์ประกอบของการทำผิดอย่างสมบูรณ์แน่นอนหากมีผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการที่เราผิดศีล  และจากตัวอย่างที่ยกมาลูกค้าก็ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากเขาต้องการคำตอบจากงานที่เขาตาม  แต่ยังมิได้รับคำตอบเรื่องงานแต่ได้คำมุสาวาท จากเราไปแทน

   แล้วอาจารย์ก็ยกตัวอย่างหมอฟันที่มาพบอาจารย์ฯ และได้ถามอาจารย์ว่าตนผิดศีลข้อมุสาฯ หรือไม่เพราะมีลูกค้ามาถามทุวันว่า ลูกค้าปากเหม็นหรือไม่ ซึ่งหมอฟันผู้นี้ก็ตอบลูกค้าแบบถนอมน้ำใจไปว่าไม่เหม็น ทั้งที่ในความเป็นจริงลูกค้าต้องการคำแนะนำจากหมอฟันไปสำหรับการปฏิบัติเพื่อให้ตัวเองปากไม่เหม็น เนื่องจากทราบมาจากเพื่อนของเขาว่าตัวเขามีกลิ่นปาก  และหวังจะได้คำแนะนำในการรักษาสุขภาพปากจากหมอฟันกับได้คำตอบแบบมุสาวาท  ดังนั้นอาจารย์ฯ จึงตอบหมอฟันผู้นี้ไปทั้นนี้ว่าเขาผิดศีลข้อ4

   คำถามที่ 6 คุณสิทธิ์ ถามว่า การปฏิบัติของพระกรรมฐาน สายวัดป่า สอนไม่ให้ยึด นิมิตต่างๆ  ที่เกิดขึ้นขณะที่นั่งกรรมฐาน แต่การทำกสิณจะให้อารมณ์ของจิตเกาะเกี่ยวอยู่กับนิมิตต่างๆ เช่น กสิณไฟ ก็จะอยู่กับนิมิต เปลวเทียน เปลวไฟ เป็นต้น

   อาจารย์อุบล ตอบว่า การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางของพระพุทธองค์ทั้ง 40 กองนั้น มีข้อดีต่างๆ กันไปในแต่ละกองกรรมฐาน แต่อาจารย์ฯ เน้นว่าวิธีการทำกสิณนี้จะใช้เวลาในการเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ได้ไว้ หากผู้นั้นมีการปฏิบัติที่บริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ  ในการบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา

   และหากผู้ใดที่สามารถที่จะปฏิบัติเรียนรู้ได้ทุกกองกรรมฐาน ก็จะยิ่งเป็นการดี แต่จะต้องเลือกว่าเวลาไหนควรใช้กรรมฐานกองใด เช่น เดียวกับการทานอาหาร เรามิได้มีกับข้าวเพียงอย่างเดียว แต่แม้จะมีกับข้าวอยู่หลายอย่างในการทานอาหาร เราก็จะไม่ตักกับข้าวหลายอย่างข้าวปากพร้อมกัน  เพราะจะทำให้เสียรสชาดของอาหาร เช่น คงไม่ตักแกงส้มในขณะเดียวกันก็เอาช้อนที่มีแกงส้มอยู่แล้วไปตักน้ำพริก แล้วจึงนำเข้าปาก แต่ต้องตักแกงส้มข้าวปาก แล้วค่อยไปตักน้ำพริก ฉันใดก็ฉันนั้น การฝึกปฏิบัติของเราก็ขึ้นอยู่โอกาสที่เหมาะแก่การปฏิบัติแบบใดแบบใด

   และสำหรับอาจารย์ฯ ทุกโอกาส การปฏิบัติกิจวัตรของอาจารย์ฯ ก็จะกำหนดสติ พิจารณา เป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่เสมอเสมอ เพื่อฝึกฝนสติอยู่ตลอดเวลา

   คำถามที่ 7 คุณอมร ถามว่า ตนเคยฝันเมื่อ 5 ปีก่อน ว่ามีชายกางเกงแดงมาหาแล้วบอกว่าจะมาเอาชีวิตของเขาไป  ซึ่งก่อนจะไปคุณอมรขอกราบพระพุทธองค์งามๆ  ปรากฏว่าหลังจากกราบพระพุทธองค์งามงามแล้ว ชายกางเกงแดง 2 คน ก็เปลี่ยนใจไม่เอาชีวิตเขาไป และให้เวลาเขาอยู่ต่อ หลังจากนั้นมีเหตุการณ์การเดินทางของเขาโดยรถยนต์ส่วนตัววันหนึ่งขณะอยู่บนถนนสองเลน มีรถบัสสวนมา และเข้ามาในเลนของเขา เขาจึงตัดสินใจหลบเข้าจอดข้างทาง และนึกถึงพระพุทธองค์ เหตุการณ์ที่เฉียดฉิว ก็ผ่านไปด้วยดี  และผ่านมาจนถึงปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในความทรงจำตลอดมาว่าเวลาที่ยังเหลืออยู่ ณ วันนี้ 1/1/54 ตามที่ชายกางเกงแดงได้ยืดเวลาให้เหลืออีกเพียง 6 เดือน จึงได้ถามอาจารย์ว่าเขาควรทำอย่างไร

   อาจารย์อุบล ตอบโดยการตั้งคำถามกลับว่าแล้วคุณอมรต้องการอยู่ต่อหรือไม่ คุณอมรต้องการอยู่ต่อ ดังนั้นอาจารย์จึงได้ขอบารมีพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์แห่งบ้านสวนพีระมิด ท่านท้าวเวสสุวรรณ ได้โปรดเมตตาให้คุณอมร ได้อยู่ต่อ เพื่อสร้างความดี ดังต่อไปนี้ ........................... (ขอให้คุณอมรเป็นผู้เล่าเองดีกว่าครับ)  และอาจารย์ฯ บอกว่าให้คุณอมรมาบ้านสวนฯ อีกครั้งในวันเสาร์อาทิตย์หลังจากวันนั้น คุณอมรก็ตอบรับและการอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ฯ ในขณะนั้น คุณอมรก็สัมผัสรับรู้ได้ ถึงการอธิษฐาน หรือแม้แต่ผู้ตั้งกระทู้ก็รับรู้ได้เนื่องจากผมก็อธิษฐานจะสร้างความดีเช่นเดียวกับคุณอมร

ความคิดเห็นเพิ่มเติมของผู้ตั้งกระทู้ที่ได้ร่วมอยู่ในวงสนทนาฯ

   ผมคิดว่าเป็นการสนทนาธรรมตามอัธยาศัย ที่นับว่าเป็นโอกาสดียิ่ง สำหรับผู้ที่ได้ร่วมในวงสนทนาฯ วันนั้น จริงๆ

   คำถามแต่ละคำถามได้ ธรรมะในคำตอบมากกว่า 3 ธรรมะเป็นคำตอบที่ ผมยิ่งหมดความสงสัยในอาจารย์ฯ(หมดอยู่แล้วแต่หมดยิ่งขึ้น และเคยสงสัยว่าอาจารย์เอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติธรรม)  ได้ความเข้าใจว่าทำไม พระพุทธองค์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านท้าวเวสสุวรรณ จึงได้เลือกอาจารย์อุบล

   อาจารย์ฯ ได้ตอบคำถามชนิดที่แสดงออกถึงปัญญา ในทางธรรมจริงจริง ข้อบางข้อทำให้รู้เลยว่า เพศบรรชิตบางรูปยังตอบได้ไม่ลึกซึ้งเท่าอาจารย์ฯ อันเกิดขึ้นเนื่องจากการที่อาจารย์ฯ ได้ปฏิบัติมาแล้ว และใช้วิธีปฏิบัติธรรมที่ชาญฉลาด ตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  และการฟังธรรมะ ที่อาจารย์ยกมาตอบภายในเวลาไม่มาก ไม่ต่างกันเลยกับการฟังธรรมะ จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งมีภูมิธรรมในการตอบคำถามญาติโยม โดยออกมาจากปัญญา ดังที่เราเคยได้เห็นมา  แต่อาจารย์มีข้อได้เปรียบกว่าเพศบรรชิต อยู่มากตรงที่ไม่ถูกจำกัด รูปแบบ ในการนำเสนอ วิธีการอบรมสั่งสอน ข้อธรรมะของพระพุทธองค์

   เพราะฉะนั้นบรรดาสาธุชนทั้งหลาย  ผู้ที่สงสัยหรือไม่สงสัยในบ้านสวนฯ แต่ยังไม่เคยไปบ้านสวนฯ ก็ดี  ผู้ที่สงสัยหรือไม่สงสัยในบ้านสวนฯ ซึ่งเคยไปบ้านสวนฯ แล้วและไม่คิดจะไปอีกก็ดี  ผู้ที่สงสัยหรือไม่สงสัยในบ้านสวนฯ ซึ่งยังไปบ้านสวนฯ ตามโอกาสของตนอยู่ก็ดี ผู้ที่หมดความสงสัยในบ้านสวนพีระมิดแล้วก็ดี

   ผมขอท่านได้นำธรรมะของพระพุทธองค์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกท่าน ทุกพระองค์ ที่ส่งผ่านมาทางอาจารย์อุบล มาปฏิบัติตน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้นำไปปฏิบัติก็ดี  นำไปปฏิบัติแล้วท้อแล้วก็ดี  นำไปปฏิบัติแล้วเห็นตามแล้วก็ดี  ให้ได้มีการปฏิบัติที่เจริญยิ่งขึ้นไปเทอญ

   ปล.ขออภัยเจ้าของคำถาม และขอขมาโทษต่ออาจารย์อุบลหากผมได้ใส่ความเห็นส่วนตัวที่ไม่ใช้เนื่อหาหลักสำคัญของคำถามคำตอบ  แต่ด้วยคำสัตย์จริงที่อยากจะขอมีส่วนในการบอกเล่าจนอดใจที่จะรอเจ้าของคำถามต่ออาจารย์ มาเป็นผู้ตั้งกระทู้ไม่ไว้  จึงขออนุญาตตั้งกระทู้นี้มาเพื่อให้ผู้ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาธรรมตามอัธยาศัยในวันนั้นได้ร่วมอนุโมทนากัน

   ขอบคุณครับ



ผู้ตั้งกระทู้ เอกไชย ทรงประไพ (ekachai_sh-at-hotmail-dot-com) โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-02 18:50:30


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1524848)

คุณเอกคะ

ขอเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่

และ

ให้ผู้สูงอายุอ่านได้

โดยง่าย

ได้ไหมคะ

ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล บ้านสวนพีระมิด วันที่ตอบ 2011-01-02 20:01:45


ความคิดเห็นที่ 2 (1524850)

                 อนุโมทนากับคุณเอกด้วยที่เอาเรื่องราววันที่1มกราคมมาสู่กันฟังได้ความรู้ดีสาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น วี วันที่ตอบ 2011-01-02 20:19:59


ความคิดเห็นที่ 3 (1524853)

ขอร่วมยินดีในบุญของคุณเอกที่ได้ตั้งกระทู้เป็นธรรมทานแด่ทุกๆ ท่านครับ...สาธุ สาธุ สาธุ

ผมเองก็เสียดายที่ไม่ได้เตรียมคำถามไปมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่อ.อุบล ก็บอกให้เตรียมเขียนมาจากบ้าน แต่ด้วยความโง่เขลาของตัวเองที่ไม่รู้ว่าจะตั้งคำถามลักษณะไหน พยายามนึกคำถามในขณะนั้น แต่ก็นึกไม่ออกเพราะจิตใจยังอิ่มเอิบและปิติในคำตอบที่ทรงคุณค่าอันมหาศาลอย่างที่คุณเอกได้สรุปในตอนท้ายทุกครั้งว่า "สุดยอด" จนต้องถาม อ.อุบล อีกครั้งว่า อาจารย์จะให้โอกาสเปิดบ้านสวนฯ ในลักษณะนี้อีกครั้งเมื่อไหร่ครับ ผมจะลงชื่อเป็นคนแรกเลยทีเดียว

เปรียบเสมือนได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์เลยทีเดียว(เคยฟังธรรมลักษณะนี้จากพ่อแม่ครูอาจารย์สายวัดป่า) อาจารย์ก็บอกว่า อาจารย์ไม่ได้กล่าวเองแต่เป็นเมตตาจากพระพุทธองค์และหลวงพ่อฤาษีลิงดำคอยกำกับอีกที

คืนนั้นหลังจากแยกย้ายกันไป ผมก็ได้นั่งสนทนาธรรมกับพี่อมรรอบกองไฟในอากาศที่หนาวพอสมควรจนเกือบประมาณตีสองกว่าๆ ยิ่งซาบซึ้งในรสพระธรรมและปิติสุขในคำตอบของ อ.อุบล และผมจะรักษาศีลให้มั่นคง พร้อมทั้งมีใจเป็นกุศลตลอดไป

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-01-02 21:12:54


ความคิดเห็นที่ 4 (1524866)

ขออนุโมทนากับจิตอันเป็นกุศลและบริสุทธิ์ของคุณเอกด้วยนะคะ

ที่กรุณาตั้งกระทู้นี้ขี้นมา เพื่อหลายๆคนที่ไม่ได้มีโอกาสได้ไปสนทนาธรรมในวันนั้น

บอกได้เลยว่าถึงแม้ไม่ได้ไปเอง แต่ก็ได้รับการถ่ายทอดธรรมะอันลึกซึ้ง ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว....


ทุกคำถามและ ทุกคำตอบอันลึกล้ำ ล้วนแล้วเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทั้งสิ้น

อนุโมทนากับทุกๆท่านอีกครั้ง โดยเฉพาะท่านอ.อุบลและอ.มงคล แห่งบ้านสวนพีระมิด สาธุ สาธุ ค่ะ...

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา วันที่ตอบ 2011-01-02 21:41:55


ความคิดเห็นที่ 5 (1524874)

ขออนุญาตขยายตัวอักษร  แก้คำสะกดผิด  และเพิ่มคำที่เนื้อหาไม่สมบูรณ์ครับ

ขอบารมีพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์แห่งบ้านสวนพีระมิด บารมีอาจารย์อุบล ผู้ซึ่งเป็นที่รักเคารพของลูกบ้านสวนพีระมิดทุกคน ได้นำกระแสจิตของผม ให้ได้จดจำและบอกเล่าเรื่องราวการสนทนาธรรมตามอัธยาศัย หรืออย่างน้อยก็ขอให้ครบใจความสำคัญของแต่ละข้อถามตอบ หรือแม้ว่าผู้ถามซึ่งเป็นผู้จดจำข้อถามของตนได้ดีกว่าผมก็ขอให้ได้มาเพิ่มเติมบอกเล่าเรื่องราว ในค่ำคืนดังกล่าวให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมในวงสนทนาธรรมได้ร่วมอนุโมทนากัน ด้วยเทอญ

   คำถาม 1 คุณกัญ ถามว่า คุณกัญเคยปฏบัติกรรมฐานโดยการกำหนดจิตดูลมหายใจ แต่การปฏิบัติที่อาจารย์อุบลได้สอนให้ลูกบ้านสวนฯ คือวิธีการทำกสิณ คุณกัญควรจะใช้วิธีไหน ในการปฏิบัติ และปฏิบัติอย่างไรให้เกิดการพัฒนาต่อจิตใจ

   อาจารย์อุบล ตอบว่า กรรมฐานมี 40 กอง การปฏิบัติของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับจริตของผู้นั้น ดังนั้นอาจารย์ฯ ก็จะไม่กำหนดว่าต้องทำอย่างนั้นหรือวิธีนี้  แต่สำหรับอาจารย์ฯ การใช้วิธีการทำกสิณนั้นเป็นวิธีที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้แนะนำว่า ภายในเวลาที่จำกัด(ก่อนเกิดภิบัติภัยธรรมชาติ) หรือที่อาจารย์ได้ปฏิบัติมา และเห็นผลมาแล้วก็ดี  เป็นวิธีการปฏิบัติที่ให้ได้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธองค์  และยกตัวอย่างการเดินทางไปเชียงใหม่อาจารย์ฯ เลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน แต่ใครต้องการที่จะปั่นจักรยานไปอาจารย์ฯก็ไม่ว่าอะไร และสิ่งสำคัญของการปฏิบัติ เพื่อให้พัฒนาจิตของตนได้ดีนั้น ควรที่จะต้องสมบูรณ์ด้วย ทาน ศีล และสมาธิ(ภาวนา)

   คำถามที่ 2 คุณวี ถามว่า ถ้ามีผู้มาต่อ ว่าเรา โกรธเรา เราควรจะวางจิตอย่างไร

   อาจารย์อุบล ตอบว่า ก็ ให้อุเบกขา วางเฉย และพิจารณาว่าผู้นั้นกำลังมีโทสะครอบงำ และคนที่มีโทสะครอบงำ ก็คือคนที่ตกอยู่ในภูมินรก  ดังนั้นถ้าหากเราไปตอบโต้เขา นั้นก็หมายความว่าเราได้ตกไปอยู่ในภูมินรกเช่นเดียวกับเขา  แต่หากเราใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว นึกอโหสิกรรม เป็นอภัยทาน แผ่บุญกุศลส่งกลับไปให้เทวดาประจำตัวของผู้ที่โกรธหรือด่าว่าเราแล้ว  เราจะยิ่งได้สร้างกุศลเป็น 2 ต่อ คือได้ อุเบกขาบารมี และทานบารมี(อภัยทาน)  เทวดาประจำตัวเขาก็จะมีฤทธิ์เพิ่มขึ้น  และดลจิตดลใจจากที่เขาเห็นผิดให้กับเป็นเห็นในทางที่ถูก และเลิกโกรธเราไปเอง

   คำถามที่ 3 คุณชัช ถามว่าบ่อยครั้งที่จิตเผลอคิดสงสัยต่ออาจารย์ฯ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่ตนก็มีความศรัทธา เคารพนับถืออาจารย์ฯ คุณชัชควรจะต้องใช้ธรรมะข้อไหนมาแก้ไขมโนกรรมของตน

   อาจารย์อุบล ตอบว่า ก็ให้หยุดคิดซิ และแซวคุณชัชว่า ระหว่างหยุดคิดกับเดินทางจาก กทม.มาบ้านสวนฯ เพื่อขอขมาอาจารย์ฯ อย่างไหนง่ายกว่ากัน คุณชัชตอบว่า เดินทางจาก กทม.มาบ้านสวนฯ ง่ายกว่า(แสดงถึงความศรัทธาที่มีอยู่ว่า แม้จะเพียงแค่ผิดในมโนกรรมต่ออาจารย์ฯ ลูกบ้านสวนผู้นี้ก็ขอที่จะเดินทางไกลมาขอขมาต่ออาจารย์ฯ)

   แต่สิ่งที่อาจารย์ฯ ตั้งคำถามกับคุณชัชก็ได้แฝงไว้ด้วยข้อธรรมะ ที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้เลยก็คือ หยุดคิดในทางลบ ให้หันกลับมาบอกตน ให้คิดในทางบวก และสร้างสรร เพราะการกระทำโดยมโนกรรม เช่น สงสัย คิดลบ หรือแม้ปรามาสในใจ  เพียงกับบุคคลทั่วไปนั้น ก็มีผลต่อความเศร้าหมองต่อจิตใจของเราเองแล้ว   แล้วยิ่งสร้างมโนกรรม ต่อผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในศีลธรรม มีคุณธรรมครอบกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อุบล(ความเห็นผู้ตั้งกระทู้) พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ดี หรือแม้แต่พระพุทธองค์ก็ดี ผู้ที่คิดก็อาจจะได้รับผลของอกุศลกรรม หนักกว่าที่ได้สร้างมโนกรรมต่อบุคคลผู้ไม่มีศีล

   คำถามที่ 4 ลูกชายคุณสุเมธ(ขออภัยจำชื่อได้แต่ไม่แน่ใจเลยขอเรียกลูกชายคุณสุเมธนะครับเผื่อจำผิด) ถามว่า น้องเค้าจะมีวิธีไหนบ้างที่จะเสริมพลังปราณมโนธาตุ เข้าสู่ร่างกาย (ดูความคิดเด็กสมัยนี้ซิ คิดดีจนผู้ใหญ่หลายหลายคนต้องอายเลย)

   อาจารย์อุบล ตอบว่า ก่อนจะตอบคำถามนี้อาจารย์ฯขอเล่าให้ฟังว่าช่วงวันที่อาจารย์ไม่มีเสียง(หลายท่านคงจำได้) อาจารย์ฯ ได้นั่งกรรมฐาน(ผู้ตั้งกระทู้ไม่แน่ใจว่าอาจารย์นั่งในพีระมิดหรือที่ใด) แต่อาจารย์ฯ ได้คำตอบจากพระพุทธองค์เกี่ยวกับการระบายอากาศภายในองค์พีระมิดองค์ใหญ่ ว่า อาจารย์ฯ ควรใช้วิธีการพัดลมดูดอากาศดูดอากาศเสียภายในออกจากองค์พีระมิด แล้วให้อากาศดีจากภายนอกเข้ามาทางหน้าต่างดี หรือจะดูดอากาศดีจากภายนอกเข้าทางพัดลมดูดอากาศ แล้วระบายอากาศเสียออกทางหน้าต่างดี  อาจารย์ฯ ก็ได้คำตอบของคำถามที่กล่าวมา จากพระพุทธองค์ว่า  ให้อากาศทั้งดีและเสีย ถ่ายเทได้ด้วยทางต่างๆ ได้หลายๆ ทาง (ลูกฯ ต้องขอขมาโทษที่จำข้อนี้ได้ไม่ครบทั้งที่อาจารย์ฯ ได้ถามย้ำโดยตรงว่าตามทันใช่ไหม ลูกฯ ก็ตอบว่าทัน เพราะจิตยังมัวปีติกับข้อ ธรรมะ ถาม/ตอบ 1 - 3 อยู่)

   แล้วอาจารย์ฯ ก็เข้าเรื่องที่ลูกชายคุณสุเมธถาม ว่าเพราะฉะนั้น ในร่างกายของคนเราก็สามารถที่จะรับพลังปราณ มโนธาตุ เข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น ทางลมหายใจ ทางการกินอาหารที่เป็นธาตุสว่าง(มีประโยชน์ต่อร่างกาย) ทางผิวหนัง และทางจิตที่คิดในทางกุศล  แล้วขับไล่ธาตุมืด(ส่งที่เป็นโทษต่อร่างกาย)ที่สะสมในร่างกายให้ออกไป  ถ้าทำได้ดังที่กล่าวมาบุคคลผู้นั้นก็จะมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้น โดยฉับพลัน รวมไปถึงคนรอบข้าง ก็จะค่อยๆ ซึมซับพลังแล้วพากันเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีดี  ยกตัวอย่างว่าทำไมหลายคนที่มาบ้านสวนพีระมิดแล้วเพียงเข้าเขตบ้านสวนฯ ก็จะพบกับความสุขทางใจ หรือแม้แต่มีความเจ็บป่วยใดมาก็จะรู้สึกว่าทุเลาลงทั้งที่ยังไม่ได้รับการบำบัดใดใด หรือบ้างคนก็หายได้ในทันทีหากเจ้ากรรมนายเวรที่ติดตัว เป็นอกุศลกรรมเบา

   คำถามที่ 5 น้องป้อม(ขออภัยหากจำชื่อผิด) ถามว่า ศีลข้อมุสาวาทาฯ นั้นสำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ยังต้องประกอบหน้าที่การงานภายใต้กฎเกณฑ์ทางโลกอยู่  จะรักษาศีลข้อนี้ให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร ยกตัวอย่าง (ผู้ตั้งกระทู้เป็นคนยก)

   ลูกค้าโทรศัพท์ตามงาน หรือว่าจะขอคุยกับหัวหน้าของเราแต่น้องป้อมเป็นผู้รับโทรศัพท์ แล้วหัวหน้าก็ส่งซิกว่าให้บอกลูกค้าไปว่าหัวหน้าติดประชุมทั้งที่ความเป็นจริงต้องการเลื่อนนัดงานจากลูกค้า

   อาจารย์อุบล ตอบว่า ควรแนะนำให้หัวหน้าดูรายการของบ้านสวนพีระมิด เพื่อชี้ทางออกจากนรก(จากการผิดศีลข้อ4) ให้หัวหน้าหรือผู้ที่ออกคำสั่งให้เราต้องทำผิดศีล  ศีลของเราก็จะได้บริสุทธิ์และเป็นการชี้ทางออกจากนรกให้หัวหน้า เป็นธรรมทานอีกด้วย

   การผิดศีลจะครบองค์ประกอบของการทำผิดอย่างสมบูรณ์แน่นอนหากมีผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการที่เราผิดศีล  และจากตัวอย่างที่ยกมาลูกค้าก็ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากเขาต้องการคำตอบจากงานที่เขาตาม  แต่ยังมิได้รับคำตอบเรื่องงานแต่ได้คำมุสาวาท จากเราไปแทน

   แล้วอาจารย์ก็ยกตัวอย่างหมอฟันที่มาพบอาจารย์ฯ และได้ถามอาจารย์ว่าตนผิดศีลข้อมุสาฯ หรือไม่เพราะมีลูกค้ามาถามทุกวันว่า ลูกค้าปากเหม็นหรือไม่ ซึ่งหมอฟันผู้นี้ก็ตอบลูกค้าแบบถนอมน้ำใจไปว่าไม่เหม็น ทั้งที่ในความเป็นจริงลูกค้าต้องการคำแนะนำจากหมอฟันไปสำหรับการปฏิบัติเพื่อให้ตัวเองปากไม่เหม็น เนื่องจากทราบมาจากเพื่อนของเขาว่าตัวเขามีกลิ่นปาก  และหวังจะได้คำแนะนำในการรักษาสุขภาพปากจากหมอฟันกับได้คำตอบแบบมุสาวาท  ดังนั้นอาจารย์ฯ จึงตอบหมอฟันผู้นี้ไปทันทีว่าเขาผิดศีลข้อ4 แน่นอน

   คำถามที่ 6 คุณสิทธิ์ ถามว่า การปฏิบัติของพระกรรมฐาน สายวัดป่า สอนไม่ให้ยึด นิมิตต่างๆ  ที่เกิดขึ้นขณะที่นั่งกรรมฐาน แต่การทำกสิณจะให้อารมณ์ของจิตเกาะเกี่ยวอยู่กับนิมิตต่างๆ เช่น กสิณไฟ ก็จะอยู่กับนิมิต เปลวเทียน เปลวไฟ เป็นต้น

   อาจารย์อุบล ตอบว่า การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางของพระพุทธองค์ทั้ง 40 กองนั้น มีข้อดีต่างๆ กันไปในแต่ละกองกรรมฐาน   แต่อาจารย์ฯ เน้นว่าวิธีการทำกสิณนี้จะใช้เวลาในการเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ได้ไว หากผู้นั้นมีการปฏิบัติที่บริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ  ในการบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา

   และหากผู้ใดที่สามารถที่จะปฏิบัติเรียนรู้ได้ทุกกองกรรมฐาน ก็จะยิ่งเป็นการดี แต่จะต้องเลือกว่าเวลาไหนควรใช้กรรมฐานกองใด เช่น เดียวกับการทานอาหาร เรามิได้มีกับข้าวเพียงอย่างเดียว แต่แม้จะมีกับข้าวอยู่หลายอย่างในการทานอาหาร เราก็จะไม่ตักกับข้าวหลายอย่างข้าวปากพร้อมกัน  เพราะจะทำให้เสียรสชาดของอาหาร เช่น คงไม่ตักแกงส้มแล้ว  ในขณะเดียวกันก็เอาช้อนที่มีแกงส้มอยู่ไปตักน้ำพริก  แล้วจึงนำเข้าปาก แต่ต้องตักแกงส้มเข้าปาก แล้วค่อยไปตักน้ำพริก ฉันใดก็ฉันนั้น การฝึกปฏิบัติของเราก็ขึ้นอยู่กับโอกาสที่เหมาะแก่การปฏิบัติแบบใดแบบใด

   และสำหรับอาจารย์ฯ ทุกโอกาส การปฏิบัติกิจวัตรของอาจารย์ฯ ก็จะกำหนดสติ พิจารณา เป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่เสมอเสมอ เพื่อฝึกฝนสติอยู่ตลอดเวลา

   คำถามที่ 7 คุณอมร ถามว่า ตนเคยฝันเมื่อ 5 ปีก่อน ว่ามีชายกางเกงแดงมาหาแล้วบอกว่าจะมาเอาชีวิตของเขาไป  ซึ่งก่อนจะไปคุณอมรขอกราบพระพุทธองค์งามๆ  ปรากฏว่าหลังจากกราบพระพุทธองค์งามๆ แล้ว ชายกางเกงแดง 2 คน ก็เปลี่ยนใจไม่เอาชีวิตเขาไป และให้เวลาเขาอยู่ต่อ หลังจากนั้นมีเหตุการณ์การเดินทางของเขาโดยรถยนต์ส่วนตัววันหนึ่งขณะอยู่บนถนนสองเลน มีรถบัสสวนมา และเข้ามาในเลนของเขา เขาจึงตัดสินใจหลบเข้าจอดข้างทาง และนึกถึงพระพุทธองค์ เหตุการณ์ที่เฉียดฉิว ก็ผ่านไปด้วยดี  และผ่านมาจนถึงปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในความทรงจำตลอดมาว่าเวลาที่ยังเหลืออยู่ ณ วันนี้ 1/1/54 ตามที่ชายกางเกงแดงได้ยืดเวลาให้เหลืออีกเพียง 6 เดือน จึงได้ถามอาจารย์ว่าเขาควรทำอย่างไร

   อาจารย์อุบล ตอบโดยการตั้งคำถามกลับว่าแล้วคุณอมรต้องการอยู่ต่อหรือไม่ คุณอมรตอบว่าต้องการอยู่ต่อ ดังนั้นอาจารย์จึงได้ขอบารมีพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์แห่งบ้านสวนพีระมิด ท่านท้าวเวสสุวรรณ ได้โปรดเมตตาให้คุณอมร ได้อยู่ต่อ เพื่อสร้างความดี ดังต่อไปนี้ ........................... (ขอให้คุณอมรเป็นผู้เล่าเองดีกว่าครับ)  และอาจารย์ฯ บอกว่าให้คุณอมรมาบ้านสวนฯ อีกครั้งในวันเสาร์อาทิตย์หลังจากวันนั้น คุณอมรก็ตอบรับและการอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ฯ ในขณะนั้น คุณอมรก็สัมผัสรับรู้ได้ ถึงการอธิษฐาน หรือแม้แต่ผู้ตั้งกระทู้ก็รับรู้ได้เนื่องจากผมก็อธิษฐานจะสร้างความดีเช่นเดียวกับคุณอมร

ความคิดเห็นเพิ่มเติมของผู้ตั้งกระทู้ที่ได้ร่วมอยู่ในวงสนทนาฯ

   ผมคิดว่าเป็นการสนทนาธรรมตามอัธยาศัย ที่นับว่าเป็นโอกาสดียิ่ง สำหรับผู้ที่ได้ร่วมในวงสนทนาฯ วันนั้น จริงๆ

   คำถามแต่ละคำถาม  ได้ธรรมะในคำตอบมากกว่า 3 ข้อ เป็นคำตอบที่  ผมยิ่งหมดความสงสัยในอาจารย์ฯ(หมดอยู่แล้วแต่หมดยิ่งขึ้น)  เพราะเคยสงสัยว่าอาจารย์เอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติธรรม  ก็ได้เข้าใจตามคำถาม/ตอบ 6  ได้ความเข้าใจว่าทำไม พระพุทธองค์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านท้าวเวสสุวรรณ จึงได้เลือกอาจารย์อุบล

   อาจารย์ฯ ได้ตอบคำถามชนิดที่แสดงออกถึงปัญญา ในทางธรรมจริงจริง ข้อบางข้อทำให้รู้เลยว่า เพศบรรชิตบางรูปยังตอบได้ไม่ลึกซึ้งเท่าอาจารย์ฯ อันเกิดขึ้นเนื่องจากการที่อาจารย์ฯ ได้ปฏิบัติมาแล้ว และใช้วิธีปฏิบัติธรรมที่ชาญฉลาด ตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  และการฟังธรรมะ ที่อาจารย์ยกมาตอบภายในเวลาไม่มาก ไม่ต่างกันเลยกับการฟังธรรมะ จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งมีภูมิธรรมในการตอบคำถามญาติโยม โดยออกมาจากปัญญา ดังที่เราเคยได้เห็นมา  แต่อาจารย์มีข้อได้เปรียบกว่าเพศบรรชิตอยู่มาก ตรงที่ไม่ถูกจำกัด รูปแบบ ในการนำเสนอ วิธีการอบรมสั่งสอน ข้อธรรมะของพระพุทธองค์

   เพราะฉะนั้นบรรดาสาธุชนทั้งหลาย  ผู้ที่สงสัยหรือไม่สงสัยในบ้านสวนฯ แต่ยังไม่เคยไปบ้านสวนฯ ก็ดี  ผู้ที่สงสัยหรือไม่สงสัยในบ้านสวนฯ ซึ่งเคยไปบ้านสวนฯ แล้วและไม่คิดจะไปอีกก็ดี  ผู้ที่สงสัยหรือไม่สงสัยในบ้านสวนฯ ซึ่งยังไปบ้านสวนฯ ตามโอกาสของตนอยู่ก็ดี ผู้ที่หมดความสงสัยในบ้านสวนพีระมิดแล้วก็ดี

   ผมขอท่านได้นำธรรมะของพระพุทธองค์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกท่าน ทุกพระองค์ ที่ส่งผ่านมาทางอาจารย์อุบล มาปฏิบัติตน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้นำไปปฏิบัติก็ดี  นำไปปฏิบัติแล้วท้อแล้วก็ดี  นำไปปฏิบัติแล้วเห็นตามแล้วก็ดี  ให้ได้มีการปฏิบัติที่เจริญยิ่งยิ่งขึ้นไปเทอญ

   ปล.ขออภัยเจ้าของคำถาม และขอขมาโทษต่ออาจารย์อุบลหากผมได้ใส่ความเห็นส่วนตัวที่ไม่ใช้เนื้อหาหลักสำคัญของคำถามคำตอบ  แต่ด้วยคำสัตย์จริงที่อยากจะขอมีส่วนในการบอกเล่า จนอดใจที่จะรอเจ้าของคำถามต่ออาจารย์ มาเป็นผู้ตั้งกระทู้ไม่ไว้  จึงขออนุญาตตั้งกระทู้นี้มาเพื่อให้ผู้ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาธรรมตามอัธยาศัยในวันนั้นได้ร่วมอนุโมทนาโดยทั่วกัน เทอญ

   ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เอกไชย ทรงประไพ (ekachai_sh-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-02 22:29:47


ความคิดเห็นที่ 6 (1524887)

     ขออนุโมทนาบุญกับกระทู้ดังกล่าวของคุณ

เอกไชย  ชัดเจนและได้ใจความดีมาก

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก (phongdech1665-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-02 23:25:17


ความคิดเห็นที่ 7 (1524889)

ขอร่วมอนุโมทนา

สำหรับกระทู้ของคุณเอกไชยค่ะ

แม้ไม่มีโอกาสไปร่วม COUNTDOWN

แต่เมื่อได้อ่านกระทู้นี้

ทำให้รู้สึกปิติในธรรมทานนี้เป็นล้นพ้นค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อุไรวรรณ อติโพธิ วันที่ตอบ 2011-01-02 23:34:26


ความคิดเห็นที่ 8 (1524891)

คุณตัวเล็ก เชื่อผมไหมล่ะ ว่าชัดเจนและได้ใจความ ยังไง นะ ผมก้อต้องขอบอกว่า  ยังไม่เท่ากับความอิ่มเอิบและปีติ เหมือนขณะอยู่ในวงสนทนาธรรมวันนั้นเลย  จริงไหมครับคุณสิทธิ์

ผู้แสดงความคิดเห็น เอกไชย ทรงประไพ (ekachai_sh-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-02 23:40:27


ความคิดเห็นที่ 9 (1524902)

นั่งสมาธิเสร็จ...แว็บมาเปิดเว็บบ้านสวนฯ ก่อนนอน...

ครับคุณเอก...ขนลุกแบบไม่ใช่อากาศหนาวไม่รู้กี่รอบ...พิจารณาสุขหนอแทบไม่ทันเลยทีเดียว

จะมีอะไรให้สงสัยในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกเหรอครับ...หมดสิ้นความสงสัยทั้งปวง เหลือแต่การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเท่านั้นที่ต้องพยายามให้ถึงที่สุด 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์ (สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-01-03 00:48:05


ความคิดเห็นที่ 10 (1524904)

ขออนุโมทนาบุญ กับ คุณเอก ค่ะ

ที่ได้เล่าเรื่อง..การสนทนาธรรม กับ อาจารย์อุบล

ให้ได้อ่านกัน  เพราะพี่..ก็เสียดายโอกาสค่ะที่ไม่ได้อยู่ร่วม

ขอขอบคุณทุกท่าน...ที่ได้ตั้งคำถามและร่วมเล่าประสบการณ์

ให้กับผู้ที่ไม่มีโอกาส...ได้...มีโอกาส ..ค่ะ

กรุณาเล่าต่อ...เพิ่มเติมหลาย ๆ ท่านนะคะ

รออ่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-01-03 01:09:05


ความคิดเห็นที่ 11 (1524907)

ขออนุโมทนากับคุณเอกด้วยค่ะ ได้ใจความครบถ้วนมากๆค่ะ

วันนั้นได้คำตอบหลายๆข้อที่สงสัยอยู่ในใจ อย่างกระจ่างแจ้งแบบที่ไม่เคยมีใครมาเปิดบอกขนาดนี้มาก่อน อิ่มเอิบและตื้นตันใจมากเลยค่ะ

ถือว่าปีนี้ เป็นปีใหม่ที่ดีที่สุดในชีวิต (ใน 25 ปีที่ผ่าน) เลยค่ะ

ตรงนี้ป้อมขอเสริมอีกนิดน่ะค่ะ

ในวันนั้น ป้อมได้สรุปคร่าวๆ ไป ก่อนที่จะถามอาจารย์ต่อค่ะ ว่า

โดยรวมแล้ว สิ่งที่บุคคลควรทำ ก็คือ ทาน ศีล สมาธิ (หรือ ภาวนา) ตามหลักคำสอนใช่ หรือไม่

 ท่านอาจารย์ ได้ตอบว่า ใช่

ศีลที่บุคคล ควรรักษาขั้นต่ำคือ ศีล 5 แล้วขั้นสูงสุดคืออะไร

ท่านอาจารย์ ก็ตอบว่า เอาศีล 5 ให้รอดก่อน แค่นี้ก็ไม่ค่อยจะรอดแล้วไม่ใช่หรือ

แล้วป้อมถึงได้ถามเรื่องข้อมุสาวาทาค่ะ

เมื่อรวมคำตอบทั้งหมด สิ่งที่ป้อมคิดได้จากคำถามของป้อมและคำถามอื่นๆน่ะค่ะ สรุปรวม ได้น่ะค่ะว่า

1. บุคคลควรให้ทาน อย่างสม่ำเสมอ เพื่อฝึกพื้นฐานจิตให้มีพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา) เป็นการเอาปราณดี เข้ากายและจิตเรา ขจัดเอาปราณดำออกค่ะ

2. บุคคลควรรักษาศีลให้บริสุทธิอยู่เสมอ ทำได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะเหตุที่ผิดศีลไปนั้นจะก่อให้เกิดความเดือนร้อนทั้งแก่ตนเองและคนอื่น ผู้ที่รักษาศีลได้ก็จะรักษาปราณดีของตนเองไว้ได้ ป้องกันปราณดำที่จะเกิดขึ้นใหม่ ทำให้จิตเราบริสุทธิขึ้น เท่าทัน ความคิดมากขึ้น (ปัญหาแบบพี่ชัชและน้องป้อม ก็จะเกิดน้อยลง)

3. บุคคลควรฝึกปัญญา คือ การภาวนา เพื่อฝึกจิตให้เท่าทันความคิด ขจัดเอาปราณดำออกจากตัวเรา สร้างสมปราณดีขึ้นในตัว ในตอนแรกที่ฝึกก็จะฟุ่งซ่าน แต่ให้ทำต่อไปเรื่อย และไม่ทำเพียงเมื่อนั่งสมาธิเท่านั้น ต้องทำทุกขณะจิต เมื่อแรกอาจทำไม่ได้ แต่ฝึกไปเรื่อยจะทำได้ทุกขณะจิตเอง (ตอนนี้นึกถึงที่อาจารย์บอกว่า อาจารย์เองก็ฝึกกสินตอนเดินอยู่) ปัญหาต่างๆก็จะหมดลงเอง เพราะรู้ว่าสิ่งใดดี ควรทำ และสิ่งใดไม่ดี ไม่ควรทำ เพราะเห็นถึงเหตุ และผลของกรรมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ผู้รักษาศีลจะมีเทวดารักษา สามารถทำสมาธิได้ดี ฝึกมโนฯได้ หากเป็นผู้ทุศีล เทวดาจะไม่รักษา และการฝึกมโนฯจะเพี้ยนจากเรื่องจริงไป

ทั้งหมดนี้ป้อมสรุปเองน่ะค่ะ พี่ๆว่าอย่างไรบ้างค่ะ ช่วยชี้แนะด้วยน่ะค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องป้อม น้องอู วันที่ตอบ 2011-01-03 01:36:52


ความคิดเห็นที่ 12 (1524912)

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความชื่นชม หนุ่มสาวทันสมัย(น้องป้อม น้องอู) น้องทั้งคู่มาถูกทางแล้วล่ะครับ หันเข้าหาธรรมะกันตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่  จะได้ไม่ต้องนึกเสียดายที่หลัง  เหมือนละครธรรมะ ที่ได้แสดงเป็นธรรมทาน ให้เพื่อนพี่น้องบ้านสวนพีระมิด ได้รับทราบกัน 

และขอเสริมให้นิดนึง ว่า

- ที่อาจารย์อุบล บอกน้องป้อมว่า เอาศีล 5 ให้รอดก่อนนั้น มีธรรมะแฝงอยู่ในนี้ด้วย  คือ  ผู้ที่ปฏิบัติมากระทั่งเข้าถึงธรรมะของพระพุทธองค์แล้ว อย่างเช่นอาจารย์ฯ หรือพระอริยะสงฆ์หลายรูป มักจะพูดกับญาติโยมตรงกันว่ารักษาศีล 5 ก็พอแล้ว เพราะท่านรู้ด้วยปัญญาว่าหลักใหญ่ของศีล ก็อยู่ที่ศีล 5 ข้อนี่แหละ อันเนื่องจากว่าการผิดศีล 5 ข้อจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน แต่การผิดศีลข้อ 6 วิกาละฯ 7 ณัจจะคีตะวาฯ 8 อุจจาสะยะนะฯ และเปลี่ยนจาก 3 กาเมสุมิจฉาฯ เป็น อพรัมจริยาฯ หากเราผิดนั้นคือการผิดสัจจะเนื่องจากเรารับศีล แต่จะสังเกตุได้ว่าถ้าเรากินข้าวหลังเที่ยง,ดูละคร,นอนฟูกสูง ไม่มีผู้เดือดร้อน หรือแม้แต่เราไม่รักษา อพรัมจริยาฯ แต่เรายังรักษา กาเมสุมิจฉาฯ ก็ยังไม่มีผู้เดือดร้อน  แต่อย่างไรก็ตามการรักษาศีล 8 นั้นก็จะช่วยให้ผู้ใหม่ได้เกิดความสงบต่อจิตใจได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องห่วงเรื่องกินหลังเที่ยง จิตฝักใฝ่ในละคร หรือนอนสบายไม่อยากตื่นอยู่บนที่นอนนุ่มๆ  เพราะนั้นรู้อย่างนี้แล้วเราก็อาจใช้วิธีการรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ แล้วอย่าเอาจิตไปฝักใฝ่กับการกิน ดูละคร นอนฟูกสูง แค่นี้พี่ว่าก็สุดยอดแล้ว สำหรับคนรุ่นใหม่วัยประมาณนี้  แต่ถ้ายังไงก็ยังอยากจะขัดเกลากิเลสให้ยิ่งยิ่ง ก็ต้องขออนุโมทนาด้วยครับ (แต่ตัวพี่ก็ถือศีล 8 ทุกวันพระเหมือนกันนั่นแหละ เพราะอายุมันเยอะแล้วต้องรีบขัดเกลากิเลสให้ยิ่งยิ่ง)

ผู้แสดงความคิดเห็น เอกไชย ทรงประไพ (ekachai_sh-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-03 02:34:03


ความคิดเห็นที่ 13 (1524914)

สาธุครับ พิมพ์เองได้ยาวขนาดนี้ ความจำดีจังเลยครับ ผมยังจำได้ไม่หมดเลย

สาธุที่นำมาลงครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้อง ธต (superclever1-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-03 03:01:15


ความคิดเห็นที่ 14 (1524922)

 

ตลอดชีวิตไม่เคยมีคำสอนใดก้องอยู่ในจิตทุกขณะเท่าคำสอนของอาจารย์ ถึงแม้จะรู้ถึงผิดชอบชั่วดีแต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราเอาชนะกิเลสของตัวเองได้พอรู้จักอาจารย์ แม้จะยังละความชั่วต่างๆยังไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ความตั้งใจที่จะลด ละ เลิกมีมากขึ้นๆทุกวัน ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เพ็ญศิริ (opensirio -at-hot mail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-03 08:05:02


ความคิดเห็นที่ 15 (1524924)

เสียดายจัง ไม่ได้อยู่ฟัง เพราะภาระทางโลกมันหนักอึ้งเช่นนี้นี่เอง ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ทำไงได้แพ้กิเลสไปแล้ว ก็ต้องมีหน้าที่ใช้หนี้กันไป หมดภาระเมื่อไร ก็จะจรลีไปหาทางพ้นโลกชมภูนี้ดีกว่า ไปโลกพุธก็ยังดี แต่ไม่ไปอยู่กับลุงพุฒ นะจ้ะ ใครไม่รู้จักลุงพุฒไปหาอ่านในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานนะจ้ะ รู้จักลุงพุฒได้แต่อย่าหาทางไปอยู่กับลุงพุฒนะจ้ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-03 08:15:24


ความคิดเห็นที่ 16 (1524925)

ขออนุโมทนาบุญ ที่ลูกบ้านสวนฯ ทุกท่านได้ช่วยกันนำมาลงไว้เป็นธรรมทานในกระทู้นี้ ขอให้มีความสุข ความเจริญ คิดสิ่งใดที่ชอบประกอบด้วยธรรม ขอให้สมหวังทุกประการ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-03 08:18:04


ความคิดเห็นที่ 17 (1524933)

 

   ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ  ท่าน  ที่ได้นำการสนทนาธรรม 

     จากบ้านสวนฯ มาเผยแพร่  เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้ไปร่วมสนทนาด้วย 

      ได้รับทราบข้อธรรมะ  ในครั้งนี้ด้วย

                     สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล วันที่ตอบ 2011-01-03 10:37:31


ความคิดเห็นที่ 18 (1524943)

ขออนุึโมทนาบุญกับทุกท่านที่ำ่ได้อยู่สนทนาธรรม ค่ะ.......สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น นางสาวกุลภัค ชาครประดิษฐ์ วันที่ตอบ 2011-01-03 11:42:31


ความคิดเห็นที่ 19 (1524945)

ขออนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านที่ได้นำข้อสนทนาธรรมะมาเผยแพร่เป็นธรรมทานในครั้งนี้ด้วยค่ะ

และขออนุโมทนา กับทุกท่านที่ได้ร่วมสนทนาธรรม ในครั้งนี้ด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตฤณ วันที่ตอบ 2011-01-03 12:56:23


ความคิดเห็นที่ 20 (1524968)

ตลอดชีวิตไม่เคยมีคำสอนใดก้องอยู่ในจิตทุกขณะเท่าคำสอนของอาจารย์ ถึงแม้จะรู้ถึงผิดชอบชั่วดีแต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราเอาชนะกิเลสของตัวเองได้พอรู้จักอาจารย์ แม้จะยังละความชั่วต่างๆยังไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ความตั้งใจที่จะลด ละ เลิกมีมากขึ้นๆทุกวัน ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ

คุณอ๋อย เพ็ญศิริ ชั่งเลือกคำมาเปรียบเทียบธรรมะของอาจารย์อุบล จนผมอดนึกถึงความว่า

"สุดยอด"

ไม่ได้เลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เอกไชย ทรงประไพ (ekachai_sh-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-03 16:00:40


ความคิดเห็นที่ 21 (1524969)

กราบอาจารย์อุบล

     และ  สวัสดีเพื่อนๆ พี่ ๆ ครับ

                              ขอขอบพระคุณอาจารย์อุบล ที่มีความเมตตาจัดให้มีการสนทนาธรรม ครับ เป็นคำถามและ คำตอบที่ดีมากๆ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างแท้จริงครับ

                   ขออนุโมทนาบุญ กับ คุณเอกไชย ครับ ที่นำ คำถามและคำตอบ มาเผยแผ่ในเวปบ้านสวนพีระมิดครับ

                   และ ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้ไปร่วมงานสนทนาธรรม ครับ 

ผู้แสดงความคิดเห็น กร(ลำปาง) วันที่ตอบ 2011-01-03 16:03:05


ความคิดเห็นที่ 22 (1525032)

ขอบคุณคุณเอก ผู้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา มาก ๆ คะ

รู้สึกดีใจ ที่ได้อ่านธรรมะดี ๆ เหมือนได้ไปนั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยคะ

ขอบคุณทุกท่าน และอนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ดี ๆ เช่นนี้คะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน วันที่ตอบ 2011-01-03 21:07:56


ความคิดเห็นที่ 23 (1525128)

ขออนุโมทนากับคุณเอกที่นำเรื่องราวบ้านสวนฯมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ขวัญ วันที่ตอบ 2011-01-04 11:15:53


ความคิดเห็นที่ 24 (1525157)

 

             ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง  สาธุ  สาธุ   สาธุ

                                     

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-04 13:37:12


ความคิดเห็นที่ 25 (1525167)

ขออนุโมทนาบุญสำหรับผู้โชคดีทุกท่านที่ได้ไปสนทนาธรรมกับ             อาจารย์อุบลแม่พระของพวกเราทุกคนชาวบ้านสวนนะค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องทราย (lukkana_1234-at-windowslive-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-04 14:12:40


ความคิดเห็นที่ 26 (1525196)

 

น้องธต น้าว่าน่าจะเป็นเพราะบารมีขอพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งบ้านสวนพีระมิด และบารมีอาจารย์อุบล  มากกว่า  ที่ทำให้จำเรื่องราวมาเล่า ให้เพื่อน พี่ น้อง ชาวบ้านสวนพีระมิดได้ฟังกัน  ไม่ใช่ ว่าน้าความจำดีอย่างที่น้องธต ว่าหรอก  และถ้าใครสังเกต จะเห็น ว่า ทุกคำถามคำตอบ อาจารย์ฯ ได้มอง มาที่น้า และถามว่าตามทันหรือเปล่า  ประหนึ่งว่าสิ่งศักดิ์แห่งบ้านสวนพีระมิด มีความประสงค์ให้ช่วยนำเรื่องราวข้อธรรมะต่างๆ นี้ มาเผยแพร่ ให้ทุกท่านที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หรือแม้แต่อยู่ในเหตุการณ์ก็ให้ได้รำลึกถึงเหตุการณ์นั้น ไว้นานนาน

ปล.นึกขอบคุณผมก็อย่างลืม นึกขอบคุณคุณมาร์ค คุณเพชร ด้วยนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เอกไชย ทรงประไพ (ekachai_sh-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-04 16:51:31


ความคิดเห็นที่ 27 (1525328)

 

ขออนุโมทนากับคุณเอกด้วยนะครับ    

 

 

อ.อุบล กล่าวว่าควรสวมใส่เส้อผ้าที่ทำจากhandmade(ทำจากมือ)   จะดีมาก   และควรเว้นเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์-หนังสัตว์  เช่น  หนังงู  เป็นต้น

(แต่ผมจำไม่ได้ว่าอ.อุบลกล่าวในช่วงเวลาใด  ขอโทษด้วยครับ)

ความคิดเห็นของผม

ของที่ทำจากหนังสัตว์ ก็แพง  แถมต้องแลกด้วยชีวิตของสัตว์  ความทรมาน

 

น้องเจส (หลานคุณยาย(ที่สวยที่สุด))

ผู้แสดงความคิดเห็น หลานคนเล็ก วันที่ตอบ 2011-01-04 19:00:49


ความคิดเห็นที่ 28 (1525329)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณเอกด้วยนะค่ะ  สาธุ สาธุ

 

คุณเอกเขียนได้ครบถ้วน มีประโยชน์ต่อตัวดิฉันอย่างมากเพราะความจำสั้นค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ลูกสาวท่านแม่ วันที่ตอบ 2011-01-04 19:06:32


ความคิดเห็นที่ 29 (1525488)

    ขออนุโมทนาสาธุ วันนี้ได้ธรรมทานเพิ่มเติม ชัดเจนค่ะ ขอบคุณคุณเอกมากค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ณัฐธิญาณ์ อนุรักษ์ วันที่ตอบ 2011-01-05 14:29:09


ความคิดเห็นที่ 30 (1525712)

 

ขออนุโมทนา และชื่นชม

คุณเอกไชย ด้วยความจริงใจ

ทึ่่ง มากๆๆ ที่จดจำการสนทนาธรรม

ได้..อย่างดีเยี่ยมและนำกลับมาเขียน.. กระทู้

อีกครั้ง สุดยอดจริงๆๆค่ะ

อนุโมทนา

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์วิญาณ์ (tata_su1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-06 18:36:52


ความคิดเห็นที่ 31 (1526007)

ขอขอบคุณทุกท่านจริงๆ ที่เยอญยอกันจะลอยเอาจริงจริง แต่อย่างที่บอกไว้ที่ความคิดเห็น 26 แหละครับ มิใช้ความจำดีอะไรหรอกครับ (ความอัศจรรย์ใจในเรื่องนี้ลูกบ้านสวนพีระมิดน่าจะได้พบกับตนเองมากันบ้างแล้วไม่มากก็น้อยกะมังครับ)

ผู้แสดงความคิดเห็น เอกไชย ทรงประไพ (ekachai_sh-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-08 15:37:20


ความคิดเห็นที่ 32 (1526269)

ขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์แม่อุบล  คุณเอก และทุกท่าน

       และขอเพิ่มเติมขอความที่อาจารย์บรรยายธรรมที่ประทับใจมากเพราะตนเองความจำไม่ค่อยดี(เพราะผิดศีลข้อ 5 ปัจจุบันเลิกแล้ว ) อาจารย์แนะนำว่า พรหมวิหาร 4  ง่ายง่ายสั้นสั้น ช่างมัน    ทางสว่างมาเลย   และการไปนอนในพีระมิดน่าจะช่วยขับพลังงานลบออกจากร่างกายเช่นกัน  สาธุ

ขอบุญบารมีและความเมตตาของพระพุทธองค์ช่วยควบคุมกาย วาจา และใจของลูกและครอบครัวของลูกทุกคนให้อยู่ในศีล 5 นะเจ้าคะ

ถ้ามีความคิดเห็นใดไม่ถูกต้องลูกขอขมาพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์และทุกท่านนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น kroonok วันที่ตอบ 2011-01-10 15:19:14


ความคิดเห็นที่ 33 (1528079)

ก่อนอื่นก็ขอโมทนา กับคุณเอกด้วยนะครับ(มาช้ายังดีกว่าไม่มานะ)

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ตั้งใจรักษาศีลห้าให้ครบ และศีลที่ผมว่ายากที่สุดก็คือ มุสาวาทาเวรมณี เพระคำพูดของคนเรานั้นสามารถทำให้ผิดศีลได้ทุกข้อและทำผิดได้ตลอดเวลาและทำได้ในทุกๆที่ ทำผิดได้วันละหลายๆรอบ มาพูดถึงการักษาศีลกันต่อ เพื่อนผมได้บอกว่าการตั้งใจถือศีลก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งแต่ก็เป็นกิเลสในทางที่ดี เพระเมื่อเราตั้งใจถือศีลนั้นเริ่มต้นนั้นเป็นกิเลสเพราะมีตำว่าตั้งใจ จากนั้นเมื่อเราตั้งใจทำอย่างสม่ำเสมอก็จะกลายเป็นปกติและคำว่าตั้งใจก็จะหายไปเพราะเราถือศีลเป็นปกติโดยไม่ต้องไปยึดว่าเรากำลังถือศีลอยู่ มันเป็นปกติไปแล้วเรียกว่าเป็นอาจิณตกรรม ซึ่งก็เป็นการป้องกันการตกนรก ส่วนศีลแปดนั้น เป็นการป้องกันความหลง หลงในกิเลส และกามราคะ ซึ่งศีลแปดนั้นครูบาอาจารย์ได้กล่าวว่ามันจะเกิดขึ้นเองเมื่อถึงเวลา ขณะที่เรายังดำรงอาชีพและอยู่ในสังคมนั้น ศีลห้าก็เพียงพอ แต่ถ้าอยากถือศีลห้าให้ละเอียดนั้นก็ให้เพิ่มกรรมบท 10 เข้าไปส่วนกรรมบท 10 นั้นมีอะไรบ้างก็ลองค้นหาเองนะครับเพราะผมครามจำไม่ดีเนื่องจากผิดศีลข้อ ห้า มาก่อนครับ(ปัจจุบันเลิกนานแล้ว)ส่วนการซื้อสุราเป็นของขวัญให้คนอื่นก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนให้ผู้อื่นดื่มก็เท่ากับเราผิดศีลข้อ ห้า เหมือนกันนะครับ แต่ตัวผมเองก็ได้ถือศีลแปดบ้าง ซึ่งการถือศีลแปดนั้น ช่วงที่ถือใหม่(เฉพาะวันพระแบบคุณเอก) รู้สึกว่าอึดอัดมาก เพราะคอยดูแต่เวลาว่าใกล้เที่ยงแล้วหรือยัง ถ้าใกล้เที่ยงต้องรีบหาข้าวกินก่อน ซึ่งทำให้เกิดการหงุดหงิดแทนที่จะได้บุญกลับเป็นการทำจิตให้เศร้าหมอง และตัวกิเลสก็วิ่งใส่ตัวเราเต็มที่ไม่ยั้งเลย ฉะนั้นเพื่อนๆ ญาติธรรมก็ลองพิจารณาดูนะครับว่าจะถือศีลห้าหรือศีลแปด ก็ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ตั้งใจที่จะถือศีลนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ช้างเอราวัณ วันที่ตอบ 2011-01-20 03:05:30



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.