ReadyPlanet.com


พระตกนรก


พระตกนรก


พระเรานี่มีอะไรเป็นพิเศษนอกเหนือจากชาวบ้านเขาอยู่อย่า งหนึ่งคือจะกระทำสิ่งใดก็ตามจะต้องให้อยู่ในระเบียบว ินัยขนบธรรมเนียมประเพณี และอยู่ในกฎเกณฑ์ของคณะสงฆ์ จะผิดเพี้ยนจากนี้ไม่ได้ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าชาว บ้านเขาให้ความเคารพนับถือยกย่องว่าเป็น ปูชนียบุคคล คือบุคคลที่ควรบูชา

คำว่า พระ แปลว่า ประเสริฐ และก็ประเสริฐอย่างไม่มีที่ติ หรืออีกนัยหนึ่งเขาเรียกว่า สมณะ ซึ่งหมายถึงผู้สงบหรือผู้ที่มีบาปอันลอยแล้ว ถ้าหากว่าพระเรามีอารมณ์ไม่สงบ มีกำลังใจไม่สงบก็ไม่ใช่พระ เป็นอะไรก็ไม่รู้

ทีนี้พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา อันดับแรกจะต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการให้ได้เสียก่อน จึงจะเรียกว่า “เนกขัมมะบารมี” เมื่อระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้แล้วก็จะต้องรักษาศีล ๒๒๗ ให้ครบถ้วน พยายามรักษามันให้ครบ ถ้าไม่ครบ มันพลาดสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งก็ตาม ให้หวังได้เลยว่าเราตกนรกแน่นอน อันนี้ไม่ได้ขู่ เคยมีตัวอย่างมาแล้ว ซึ่งประสบมาเองก็จะขอเล่าให้ฟังเพื่อจะได้เป็นคติเตื อนใจ จะได้มีจิตตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

มีพระองค์หนึ่งท่านตกนรก พระองค์นั้นเป็นเจ้าคณะอำเภอ ตายเมื่ออายุ ๗๒ ปี รูปร่างหน้าตาดีมาก หนุ่ม ๆ คงรูปหล่อ สาวรักมาก ตายแล้วเลยตกนรก

คืนนั้นฉันนอนเล่น ๆ ใกล้เวลา ๒ ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาเจริญพระกรรมฐาน ก็เห็นเทวดาองค์หนึ่ง ท่านมายืนอยู่ข้างหน้า พอเหลียวไปดูท่าน ๆ ก็นั่งคุกเข่ายกมือพนม เลยถามว่า

“มาทำไม” ท่านบอกว่า

“ท่านใหญ่ให้มานิมนต์ครับ”

คำว่าท่านใหญ่นี่เราทราบเลยว่าต้องเป็นพระยายม พระยายมนี่เป็นพรหมนะ ไม่ใช่เป็นพวกนรก อย่าเข้าใจผิด เขาอยู่แดนสวรรค์ สำนักพระยายมนี่ไม่ใช่แดนรก แต่มันอยู่ใกล้แดนนรกมีหน้าที่กันคนลงนรก ก็เลยบอกว่าไป เขาก็นำไป พอไปถึงสำนักของพระยายมก็ถามท่านว่า

“ลุงมีธุระอะไร...?”

“ไม่มีธุระอะไรมากหรอก เพื่อนท่านน่ะซิ เขามาหนึ่งแล้ว”

ก็เป็นอันรู้กันว่า ถ้าพระไปล่ะเป็นต้องไปตาม ท่านบอกว่า

“เพื่อนท่านเขามาหนึ่งแล้ว ไปเยี่ยมเขาหน่อยซิ” ก็เลยถามว่า

“อยู่ที่ไหนล่ะ...?” ท่านบอกว่า

“อยู่โน้น ขุมที่ ๗”

แหม...ดีจัง ขุมที่ ๗ นี่มีอายุครึ่งกัปไอ้ขุมที่ ๗ นี่คือ มหาตาปะนรก มันร้องไม่ออก ร้องเสียงดังแต่มันดังไม่ได้ ไปถึงก็เห็นเขากำลังลงโทษ แต่ว่าถ้าเราจะเข้าไปพูดเองพวกนั้นเขาไม่ยอม นายนิรยบาลนี่ถ้าเราไปตามลำพังแล้วไปบอกให้เขาเอาคนน ั้นขึ้นมาที คนนี้ขึ้นมาที เขาจะไม่พูดด้วย เราต้องเอาคนของสำนักพระยายมไปคนหนึ่งเขาถึงจะยอม วันนั้นพระยายมท่านไปเอง พอไปแล้วท่านก็เลยบอกว่า

“นี่ เอาคนนั้นขึ้นมา”

พอบอกว่าเอาคนนั้นขึ้นมา คนนั้นก็เลยหลุดจากเครื่องพันธนาการ เขาก็ขึ้นมาจากขุมนรก พอขึ้นมาแล้วก็แต่งตัวเป็นพระ แหม...พวกฉันจริง ๆ แฮะ แต่ฉัน ๒ พรรษา องค์นั้นเขา ๕๒ พรรษา เรามันเท่าเศษเขาพอดี ขึ้นมาแล้วก็เลยถามว่า

“บวชอายุเท่าไหร่ ตายอายุเท่าไหร่...?” เขาตอบว่า

“บวชเมื่ออายุ ๒๐ ปีเศษ ตายเมื่ออายุ ๗๒ ย่าง ๗๓” เลยถามว่า

“บวชตั้ง ๕๒ พรรษาแล้วมีตำแหน่งอะไร...?”

“ผมเป็นเจ้าอาวาส เป็ฯเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าคณะอำเภอ แล้วก็เป็นอุปัชฌาย์”

“ทำไมถึงตกนรก...?”

เขาบอกว่า “ตอนบวชนั้นผมเป็นสมมติสงฆ์จริง ๆ อยู่ ๒ พรรษา”

ไอ้คำว่าสมมติสงฆ์นะยังเกรงใจพระวินัย ก็มีบกพร่องบ้าง อะไรบ้าง แต่ยังรู้สึกว่ายังเกรงใจพระวินัยอยู่แค่ ๒ พรรษานะ นอกนั้นก็หมดจากความเป็นพระ หมดจากความเป็นพระแล้ว แต่ก็ยังครองผ้าเหลืองอยู่ กรรมมันเลยหนักก็เลยถามว่า

“หมดจากความเป็นพระประเภทนี้มันน่าจะลงอเวจี เราทำไมจึงไม่ลง...?”

เขาบอกว่า “ผมมารู้สึกตัวตอนใกล้ ๆ จะตายสัก ๒ ปี ก็พยายามทำความดีทุกอย่างแต่มันคืนไม่ได้”

ก็ยังดีไม่ลงอเวจี ลงแค่ขุมที่ ๗ แต่ว่าอีกนาน พวกเราตายอีกร้อยครั้ง องค์นั้นไม่ขึ้นเลย เพราะขุมนี้มีอายุตั้งครึ่งกัป แต่ว่าอย่าลืมนะขุมใหญ่มีอายุครึ่งกัปและยังมีโทษอะไ รอีก ถ้ามีโทษอะไรอีกก็จะต้องมาไล่เบี้ยขุมใหญ่อีกคือ

เมื่อออกจากขุมที่ ๗ ก็จะต้องผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุมแต่ละขุมมีอายุไม่แน่นอน เขาจะกักไว้กี่ร้อยกัปก็ได้ นอกจากนรกบริวาร ๔ ขุมแล้ว ถ้ามีโทษอย่างอื่นอีก ก็จะต้องไปตามนรกขุมใหญ่อีกออกจากที่นั้นก็ต้องตกนรก บริวารอีก ๔ ขุม เป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะหมดเขตเขา

อีกตอนหมดเขตของเขาแล้ว ยังต้องไปตก ยมโลกียนรก อีก ๑๐ ขุม แล้วยมโลกียนรกนี่มันก็อายุไม่เหมือนกัน ไม่บอกเวลาแน่นอน และการตกนรกขุมนี้เขาจะไล่เบี้ยตั้งแต่ปาณาติบาตไปเร ื่อยจนครบทั้ง ๕ ข้อ

นอกจากนั้นถ้ายังมีคนโกงจัด คคโกงจากการเรี่ยไร เมียซ้อมผัว ผัวซ้อมเมีย ด่าพ่อตีแม่อีก อย่างนี้เขาเก็บหมดเลย เก็บหมดนี่แล้วฉันยังไม่รู้เลยว่ามันใช้เวลาทั้งหมดก ี่ร้อยกัป

หลังจากนั้นก็จะต้องมาเป็น เปรต เปรตมี ๑๒ ระดับกว่าจะพ้นแต่ละระดับก็แสนจะยาก จากเปรตก็มาเป็น อสุรกาย จากอสุรกายก็ต้องมาเป็น สัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานจะไปเป็นคนหรือเทวดาได้ด้วยบุญเดิม ก็จะต้องเป็นสัตว์ที่มีความรู้มาก ต้องมีคนเมตตา

สัตว์ที่จะพ้นจากความเป็นสัตว์ได้นี่สังเกตไม่ยาก พวกนี้เขาจะได้รับความเมตตาจากคน ถ้ายังไม่มีใครเมตตาเพียงใด พวกนั้นก็ยังไม่พ้นจากความเป็นสัตว์

แหม...มันน่าหนักใจเหมือนกัน แต่ถ้าคิดดูอีกทีหนึ่งในเมื่อเราตั้งใจบวชเข้ามาเพื่ อปฏิบัติความดีก็ไม่น่าหนักใจ ต้องคิดว่าพระอรหันต์ทุกองค์ ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่กำเนิด ท่านก็ประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นแบบเดียวกับเรานี่แหละ ทำไปแก้ข้อบกพร่องไปเรื่อย ๆ มีความพากเพียรเป็นปกติ มี อิทธิบาท ๔ ครบถ้วน จะทำสิ่งใดมันก็ต้องสำเร็จจนได้ มันก็สำเร็จทุกอย่าง
ฉะนั้นในเมื่อเราบวชมาแล้วเขาเรียกว่า เราว่า พระ สึกไปแล้วก็ควรจะเป็นพระต่อไป พระที่นุ่งผ้าเหลืองหรือไม่นุ่งผ้าเหลืองไม่มีความหม าย ความหมายมันอยู่ที่ว่าเราเป็น พระอริยเจ้า หรือเปล่า

ถ้าเรานุ่งผ้าเหลืองอยู่จิต แต่จิตของเราไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ก็เป็นได้แค่ สมมติสงฆ์ เราก็ยังเป็นเหยื่อของนรกอยู่ตลอดเวลา การบวชไม่มีความหมาย บวชก็ถือเพศของการบวชเฉย ๆ ประโยชน์ของการบวชไม่มีเลย

ในเมื่อมาบวชแล้ว ก็ตัดนรกมันตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันสึก ถ้าสึกแล้วก็ควรตัดตลอดไปจนกว่าจะถึงวันตาย นั่นคือ คุมอารมณ์ของพระโสดาบันไว้ อารมณ์ของพระโสดาบันไม่มีอะไรมาก มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อันนี้เรามีกันอยู่แล้ว

ต่อไปก็ดูสิกขาบท ศีลทุกสิกขาบทพยายามรักษาไว้ให้ได้ อย่าให้บกพร่องและส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ อารมณ์พระนิพพาน เราจะทำงานทำการอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นการให้ทานแก่สัตว์ก็ดี ให้ทานแก่คนก็ดี ทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วมก็ดี รักษาความสะอาดบริเวณวัดก็ดี ทำดีทุกอย่างเราไม่ต้องการผลตอบแทนเป็นอย่างอื่น สิ่งที่เราทำไปแล้วนี้ เราทำเพื่อ พระนิพพานอย่างเดียว

ถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เป็นปรกติ และพยายามรักษากำลังใจแบบนี้ไว้ได้อยู่เสมอ เราก็จะสามารถที่จะตัดนรกออกไปได้ไม่มีปัญหา



ผู้ตั้งกระทู้ ณี โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-02-13 21:38:35


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1531902)

ลืมลงที่มาค่ะ

จากเว็ปพลังจิต

ผู้แสดงความคิดเห็น ณี วันที่ตอบ 2011-02-14 16:04:47



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.