|
ฝึกมโนมยิทธิเมื่อวานนี้ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เมื่อวานนี้ เลยลองถามเรื่องภัยพิบัติ ท่านแต่ผมก็ไม่อยากถามมาก เพราะเป็นเรื่อง ของอนาคต หลวงพ่อฤาษี ท่านว่าปีหน้า จะรุนแรงมากกว่านี้ ช่วงต้นปี
วันอาทิดตย์ ที่ผ่านมา หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน บอกว่า ปีหน้าฤกษ์เป่ายันต์เกราะเพชร มาเร็ว คือ เดือน มกราคม ในวันที่ 28 ม.ค. 2555 ท่านว่า เบื้องบน จัดมาเร็ว แสดงว่า เหตุการ์ น่าจะหนักพอสมควร
( คำพูดของหลวงพี่เล็ก)
หลวงพี่เล็ก พูดว่า พวกเราส่วนใหญ่ ลงมาเกิดก่อน เวลา ดังนั้น ก่อนจะลงก็ต้องไปขออนุญาต ผู้ใหญ่ก่อน
คือ ท่านปู่พระอินทร์ และท่านย่า
เมื่อลงมาเกิดก่อน ก็ต้องมีคนคอยคุม
เช่น อายุ เท่านี้ จะต้องเจอ อย่างนี้ ไปสถานที่นี้ ได้อ่านเจอหนังสือ เล่มนี้ ธรรมะหัวข้อนั้น เจอครูบาอาจารย์คนนั้น หรือ มีบางคน ที่ได้รับหน้าที่ให้ลงมาเกิด เช่น พวกที่เก่งอภิญญา มาช่วยงานพระศาสนา ช่วยเวลาเกิดภัยพิบัติ พวกเราส่วนใหญ่ อย่างน้อยเคยรบในสงครามกับหลวงพ่อฤาษี ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ทำให้ ต้องเจออะไร หนักพอสมควร
หลายคน ก็ปรารถนาพุทธภูมิ ส่วนใหญ่มาก่อน
พระสายหลวงพ่อฤาษี ท่านจึงไม่เน้นทำด้าน อยู่ยงคงกระพัน เพราะถ้าทำ กำลังใจของพวกเรา จะลุย ถ้าเดียว ไม่กลัวใคร
ถ้าทำรุ่นคงกระพันออกมา อย่างน้อย จะให้มีจุดอ่อน 2 ที่ คือ ข้อมือ และข้อ เท้า
ตัวอาตมา (หลวงพี่เล็ก) หลวงพ่อฤาษี บอกว่า เล็ก เอ็ง เป็นทหารมา ทุกชาติ ฆ่าเค้าไว้เยอะ
ให้ไปปล่อยสัตว์ที่จะถูกฆ่า ปล่อยปลา อย่างน้อย เดือนละ1-2 ตัว
อาตมา ก็ทำตามที่ท่านสั่ง ทุกเดือน กะว่าจะไปซื้อมาปล่อยซัก 1-2 ตัว แต่พอไปถึง เจอปลามันทำตาปลิบๆ ก็ต้องเหมาทั้งกะลังมัง ปล่อยแต่ละที แทบจะเหมาทั้งตลาด ( หัวเราะ)
ปล่อยมาทุกเดือน ได้ 18 ปี พึ่งจะมาเจอ ยาดี หมอดี ฉนั่น เราทำอะไรๆ ก็ต้องทำจริงจัง สม่ำเสมอ ทุกเวลาและวาระมาถึง ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
ประเทศไทย จะเริ่มดีขึ้น ตอนปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป
แต่ จะดีขึ้น แบบเข็นครกขึ้นภูเขา ราชวงศ์จักรี จะไม่มีถึงแค่รัชกาลที่10 หรอก ราชวงศ์นี้
จะมีหลายรัชกาลยาวนานนะ ถ้าไม่เชื่อก็ ลงมาเกิดอีกรอบดู
จนหลายประเทศ เห็นแบบอย่างในการปกครอง โดยธรรม ทศพิธราชธรรม จึงเอาเป็นแบบอย่างบ้าง
ท่านที่ภาวนาคาถาเงินล้าน อย่างต่ำให้เอา 108 จบ เป็นเกณฑ์
เพราะ เศรษฐกิจ ไม่ได้แย่แค่ประเทศไทย แต่เป็นทั้งโลก
เวลาภาวนา ก็ ทำด้วยความเคารพ ทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
ไม่ใช่ กูจะต้องรวย กูจะเอานั่นเอานี่ ทำช้าๆ ไม่ใช่ จ้ำเอาๆ ให้จบไวๆ
เน้นที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ
เรื่องของคาถาต่างๆ เป็นบาทของอภิญญา ถ้าจะให้เห็นผล ต้องทำให้จริงจัง และสม่ำเสมอ
เน้น จริงจังและสม่ำเสมอ
( เดี๋ยว จะมา อัพข้อมูลเพิ่ม ครั้งต่อไป นะครับบบ ^ ^ )
ผมได้ถวาย องค์พีระมิดจำลองรุ่นบุปผามาลี ซึ่งมี อยู่ แค่องค์เดียว กับหลวงพี่เล็ก ไว้ในที่บ้านวิริยะบารมี เพื่อให้เกิดประโยชน์ ต่อส่วนรวม
เลยลองถามท่าน เพื่อให้เป็นธรรมาทานกับคนอื่นๆ ว่า พีระมิดองค์นี้จะมีประโยชน์ มากมั้ย ครับ
ท่านตอบ ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ต้องทำ เท่าโบสถ์ แล้วให้ญาติโยม ไปอยู่ข้างใน ทำกรรมฐาน แล้วท่านก็หัวเราะ .....
เมื่อวานที่ฝึกมโนมยิทธิ เลยลองถามเรื่อง พระศรีอารย์ กับหลวงพ่อฤาษี เชิญท่านท้าวเวสสุวรรณมาข้างๆ ด้วย
เลยขออนุญาต ถามหลวงพ่อ ว่า เรื่องนี้ บางทีอาจไม่เหมาะสม ยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้ แต่ เห็นท่านท้าวเวสสุวรรณ บอกให้ตามหาพระศรีอารย์ เพื่อจะเกิดประโยชน์ ต่อส่วนรวม ลูกขอขมาจริงๆ และขออนุญาตถาม ครับ แล้วแต่หลวงพ่อจะสงเคราะห์
ท่านว่า บอกไม่ได้ เป็นความลับสุดยอดดดดดดดดด ผมเลย แอบถามน้องๆว่า
ท่านลงมาเกิดแล้ว ใช่มั้ย
น้องๆ บอกว่า ใช่
เป็น ผู้หญิง รึ ชาย น้องๆตอบบ ผู้หญิง
ผมเลยถาม ว่า ใคร บอกได้มั้ย
น้องๆ บอกว่า เป็นความลับสุดยอดด (ผมพาน้องฝึก แต่ น้องๆ2คน ยังเด็กเลยได้มโนมแจ่มใส )
ผมเลยลองแกล้งถาม ว่า พี่เจอท่านรึยัง
น้องๆ ว่า เจอแล้ว
ท่านเกี่ยวกับพีระมิด ที่พี่ไปบูชามาใช่มะ น้องๆว่า ใช่
พีระมิดจำลองนี้มี พลังมากมั้ย น้องว่า มากกก
แล้วถ้าเป็นรุ่นองค์สมเด็จองค์ปฐมล่ะ น้องๆว่า พลังมหาศาลลล ผมเลยย ยิ้มม มมมมม ว่า เป็น......... รึเปล่า น้องๆ บอกว่า ใช่
ผมว่า เอ้า ในว่าเป็นความลับไง ทำไม หลุดปากมาแล้ว 555+ น้อง2คน เลยบอก เอ้าา เผลอ หลุด
ตอนนั้น หลวงพ่อฤาษี ท่านเลยหัวเราะ
ผมพูดกับตัวเอง ว่า กูไปเล่น โดนของสูง ซะแล้ววว ( คิดในใจ)
เลยถามว่า ที่พี่ถามอย่างนี้ จะเกิดโทษ มากมั้ยครับ หลวงพ่อ
เพราะเป็นเรื่องความลับสุดยอด จะบาปมากมั้ย
หลวงพ่อว่า ไม่ เพราะ สงสัย ก็ต้องถาม
เลยถามว่า ถ้ามีคนเรียก อ. อุบล ช่วยด้วย ท่านมาช่วยมั้ย
น้องตอบ มา ใครมาช่วยบ้าง น้องๆ ตอบ มาหมดเลยย ทั้งนิพพาน และทุกๆพระองค์ทั่วจักรวาลลลลล เลยถามต่อ เอ้า ถ้า ลองเรียกสมเด็จพ่อ (องค์ปฐม) ท่านมาช่วย หมดมั้ย น้องก็บอกว่า มาหมดเหมือนกันนน
และก็เลย ลองถามเรื่องการสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ
เพราะจะไปทำบุญ ร่วมสร้าง ตอนเย็นนี้
พระที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะมีประโยชน์มากมั้ย
ท่านว่า มากกก
สร้างเสร็จแล้ว จะเกิดผลมากมั้ยครับ ท่านว่า ที่สุดดดดดดดดด
( ผมเลยคิดในใจว่า พระใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อสร้างเสร็จผลก็ ต้องที่สุด เหมือนกัน) เลยถามต่อว่า จะเสร็จทันเวลาตามที่กำหนดมั้ยยย หลวงพ่อ
ตอบ ทัน
( เรื่องโครงการสร้างพระ มีหลายที่ทั่วประเทศไทย และประเทศอื่นๆ
ที่เป็นพุทธประสงค์ ให้ช่วยสร้างเพื่อ บรรเทาภัยพิบัติ ครับ ติดตามได้ดูในกระทู้เรื่อง โครงการสร้างพระต่างๆ ที่โพสต์ไว้แล้ว)
ผมเลยถามว่า ถ้าไปช่วยสร้าง ก็จะเกิดผลประโยชน? มากใช่มั้ย หลวงพ่อ
หลวงพ่อ ตอบ ใช่ ( เหมือนท่านตอบเรามาว่า อะไรที่ดีๆ ก็ทำเถอะลูก)
และก็เรื่องอื่นๆ เล็กน้อยๆ จำไม่ได้แล้ว ครับ เราไม่กล้าถามมากก เกรงใจจ อาย +กลัว ด้วยยยย เพราะเรื่องบางอย่างยัง ไม่เหมาะที่จะถามเท่าไหร่ ตอนที่ ฝึกให้น้อง ครั้งแรก ถามสมเด็จองค์ปฐม หลายเรื่อง
รู้สึกจะเป็นเรื่องส่วนตัว เยอะ เราถามให้คนอื่น เพื่อให้เค้าเกิด ศรัทธาและเปลี่ยนตัวเอง สมเด็จท่านเลยฝากน้องบอกว่า พี่วันนี้ ถามมากไปแล้วนะ
( เอาเวลาถาม ไปปฏิบัติ ดีกว่า)
หลังจาก ครั้งนั้น มีเวลาขึ้นไปได้ เลยไม่กล้าถามท่านมาก
จะถามเฉพาะเรื่องความบกพร่องของแต่ละคน เรื่องถ้าจะมา
นิพพานชาตินี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง
สมเด็จ ท่านก็เมตตาตอบ ให้ทีละคน แต่รวมๆเนื่องจากน้องๆยังเด็ก เลยไม่เข้าใจภาษาทางธรรมเท่าไหร่
แต่รวมๆ ท่านให้ ทำดี ทั้งทางกาย วาใจ และใจ ไม่ทำชั่วอีก
ทาน ศีล(ท่านเน้นเรื่องนี้) ภาวนา สมาธิ ปัญญา คือ ทำดีให้ หมดทุกอย่างลูก และก็มีอธิษฐานที่มั่นคง คือ นิพพานชาตินี้ที่เดียว ส่วนถามเรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรมากครับ เสร็จแล้วก็ กราบขอขมา ทุกๆพระองค์ และขอบคุณท่าน และอุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่ทำให้ทุกๆพระองค์ โมทนาและเป็นสักขีพยาน
และ ปักใจมานิพพาน ที่เดียว ทุกๆพระองค์ท่านก็ยิ้ม และยกมือสาธุ
blockquote{
border:1px solid #d3d3d3;
padding: 5px;
}
สาธุ ขออนุโมทนาครับ ผมเลยลองแกล้งถาม ว่า พี่เจอท่านรึยัง น้องๆ ว่า เจอแล้ว ท่านเกี่ยวกับพีระมิด ที่พี่ไปบูชามาใช่มะ น้องๆว่า ใช่ -*--*-*-*-*-*-*-*-- พระศรีอารียเมตตรัย กราบ ๆ ๆ เจ้าค่ะ อนุโมทนาสาธุ กับธรรมทานในครั้งนี้ ขออนุโมทนาด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ กุหลาบ รักสนิท ขออนุโมทนาสาธุค่ะสำหรับธรรมทาน ขอโมทนาบุญ ในความรู้นี้ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ อย่ามาทำพูดเป็นนัยๆ ให้คนสงสัย อ.อุบล นะจ๊ะ นรกกินหัวแน่ๆ เลย ยิ่งไม่อยาก เกา อยู่ด้วยนะ...ขอบอก ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานของคุณทศวรรษด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ คิด อยู่หลายรอบว่า จะมาลงดี รึ เปล่า เลยให้น้องๆ ถามหลวงพ่อฤาษี ท่านดู สรุป คือ ให้ ลงได้ แต่ ไม่ต้อง บอกหมด ประมาณนั้นๆ ครับ ไม่ได้ มีเจตนาแอบอ้างใคร เป็นใครทังนั้น ครับ อ.อุบล อิอิ เป็นเรื่องที่ได้ถามมา ลองเอามาลง ให้อ่านเล่นๆกัน ครับ แต่ ท่าน เป็นผู้หญิง และมีความเกี่ยวข้องกับองค์พีระมิด ^^ ( ถึงเวลา คงจะได้รู้กัน ล่ะเนอะ คร๊าบบบ ) อนุโมทนาบุญ กับธรรมทานของคุณ ทศวรรษ ฉิมวงศ์ ด้วยคะ สาธุ สาธุ สาธุ แก้ไข กระทู้เพิ่มเติม ไม่ได้ ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ จะมาอัพเพิ่ม ( จะไปใช้คอม บ้าน้อง ครับ) อดใจรอ นิสนึง นะคร๊าบบบ ^ ^ แต่ เห็นท่านท้าวเวสสุวรรณ บอกให้ตามหาพระศรีอารย์ เพื่อจะเกิดประโยชน์ ต่อส่วนรวม *********** สาธุ ขออนุโมทนาบุญสำหรับธรรมทานค่ะ คุณทศวรรษ เป็น ผู้หญิง รึ ชาย น้องๆตอบบ ผู้หญิง ผมเลยถาม ว่า ใคร บอกได้มั้ย น้องๆ บอกว่า เป็นความลับสุดยอดด (ผมพาน้องฝึก แต่ น้องๆ2คน ยังเด็กเลยได้มโนมแจ่มใส ) ผมเลยลองแกล้งถาม ว่า พี่เจอท่านรึยัง น้องๆ ว่า เจอแล้ว ท่านเกี่ยวกับพีระมิด ที่พี่ไปบูชามาใช่มะ น้องๆว่า ใช่ ***************** อนุโมทนาด้วยค่ะคุณทศวรรษ แค่อ่านก็ขนลุก น้ำตาซึมแล้วววววว ขอกราบแทบพระบาทพระพุทธองค์ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาค่ะคุณ ทศวรรษ แหม่...คนเรา มีอะไรดีๆ แถมรู้อะไรดีๆ ก็เยอะ แต่กลับ"กั๊ก"ไว้ซะตั้งนาน ปล่อยให้คนที่ใช้แต่มโนนึกเอาอย่างเรา เดานั่นเดานี่อยู่ได้ ฮ่า ฮ่า งั้นดีเลย ต่อไปห้ามอู้ เข้ามาเขียนเยอะๆด้วยเน้อ.. ว่าแล้วก็มารออ่านต่อเหมือนกัลล์ จ๊า.. ไม่ได้รู้ อะไรเยอะหรอกคับบ เรื่องส่วนใหญ่ ที่จริงก็อยากรู้รายละเอียด มากกว่า เช่น พวกภัยพิบัติต ่างๆ แต่ ก็ไม่กล้าถาม เท่าไหร่ เพราะเป็นเรื่องของ อนาคต ต่อให้รู้ได้ด้วยความเป็นทิพย์ หลวงพี่เล็ก ก็บอกว่า เหตุการณ์ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงเฉพาะ ตรงหน้านั่น ได้ และที่สำคัญ หลวงพี่ท่านว่า ยิ่งรู้ ยิ่งเห็น ชัดเจน เท่าไหร่ ยิ่งถูกหลอกได้ง่ายยย ครั้งแรกถ้าถูก อย่าพึ่งเชื่อ ครั้งที่2 3 4 5 ถูก ก็อย่าพึ่งเชื่อ เลยกลัว ตรงนี้มากครับ สมเด็จ ท่าน ก็ ให้เน้นอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่กับธรรมปัจจุบัน พวกเรื่องนี้ ท่านไม่อยากให้เรายุ่งเท่าไหร่ ผมเอง ก็ยังปฏิบัติ ไม่ถึงไหน เลยพยายามมุ่งทำให้มากกว่านี้ แต่พอมาเห็น เรื่องต่างๆในบ้านสวน เราพอรู้อะไรมาเลย เอามาบอกบ้าง อ่ะครับ สมเด็จท่าน เคยบอกในหนังสือธรรมเพื่อความหลุดพ้น ว่า ทำอะไรทุกอย่าง อย่าให้เกินบารมีของตัวเอง เอาตัวเองให้ รอดก่อน ถึงมาช่วยคนอื่น ( ท่านเน้นผู้ที่จะไปนิพพานชาตินี้) แต่ ถ้าเป็นกำลังใจของ พระโพธิสัตว์ ท่านจะทำเพื่อส่วนรวม มากกว่าตัวเอง ครับ ตัวเองยอมทุกข์ ยอมตกนรก เพื่อให้คนอื่นมีความสุข ผมก็เลย ช่วงนี้ ก็พยายามทำ ช่วยในสิ่งที่ทำได้ ถึงเวลา ผมก็ต้องพยายามเอาตัวเองให้รอด จากวัฏฏสงสาร เหมือนกัล ครับ ^ ^! สำหรับ ผม เลยไม่ค่อยถามเรื่องอื่นๆ เท่าไหร่ นอกจากเรื่องข้อ บกพร่องของตนเอง จะถามพระองค์ ท่านเรื่องที่ธรรมะ หรือ บางอย่างที่เราสงสัย อ่าคับ ทุกอย่าง บุญ กรรม กำหนดไว้หมดแล้ว ครับ สัญญาเดิม ก่อนลง มาเกิด พอถึงเวลาเราจะรู้เอง ว่า เรามีหน้าที่อะไร ต้องทำอะไร รึเปล่า อย่าง หลวงพ่อฤาาษี สัญญา ก่อนลง ท่านจะมาช่วยคน 4 แสน คน ให้พ้น อบายภูมิ พระศรีอารย์ ท่านก็มาฝาก คนของท่านไว้ 3 แสน ให้เข้าถึงไตรสรณคมณ์ คือ ถึงซึ่งความมีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง และ พอถึงเวลาก็มีเหตุให้หลวงพ่อฤาษีท่าน ลาพุทธภูมิ ถ้าท่านไม่ลา ก็จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 22 ต่อจากพระศรีอารย์ ครับ มีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธอริยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ^ ^
พระท่านตรัสว่า ในเรื่องของภัยธรรมชาติต่างๆ นั้น บุคคลที่ต้องมีผลกระทบ ส่วนใหญ่เคยสร้าง
กรรมหนักเอาไว้ โดยเฉพาะพวกเราเคยเป็นทหารป้องกันประเทศชาติมา ไปตีบ้านทำลายเมือง
ของเขาไว้มาก เมื่อกรรมนี้ตามมาทัน เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ เกิดขึ้น ก็จะทำให้บ้านเรือนเสียหาย
ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทำให้เสียชีวิต เราจะไม่ยอมรับเลยก็เป็นการฝืนกฎของกรรม
ธรรมชาติหนักขนาดไหนก็ตาม เต็มที่ก็ให้แค่ทรัพย์สินเสียหาย แต่ชีวิตจะปลอดภัย
องค์ ตามที่ท่านต้องการ ส่วนที่เหลือเอาไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมในงานปิดทองฝังลูกนิมิตของวัดท่าน
จึงเหลืออยู่ที่วัดท่าขนุนเพียงไม่กี่องค์
ว่านก็ราคา ๒๐๐ บาท มีโยมอยู่ท่านหนึ่งศรัทธาสูงมากตั้งแต่แรก จะเหมาไปเป็นร้อยองค์แทบทุกเดือน
ว่า ถ้าคิดอย่างนั้นประมาทเกินไปความตายมาถึงเราได้ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเรามัวแต่ไปรอ พ.ศ.
๒๐๑๒ เราอาจจะตายเสียก่อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว..!
แต่ถ้ากำลังใจมั่นคง มีการยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัยอย่างเที่ยงแท้ ก็สามารถที่จะหนีกรรมได้ชั่วคราว ไม่ได้
พ้นจากกรรมไปเลย แต่กำลังความดีสูงกว่า ทำให้หนีกรรมนั้นได้ชั่วคราว
"ชีวิตนี้น้อยนัก" ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ
ปริณายก พระองค์ท่านบอกว่า กฎแห่งกรรมไล่ตะครุบเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเราสร้างกรรมดีก็
จะหนีได้ทัน ถ้าสร้างกรรมดีไว้น้อย โดนกฎของกรรมไล่ตะครุบตัวได้ ก็จะเกิดความลำบากเดือด
ร้อนในชีวิตของตน พระท่านตรัสว่า ในเรื่องของภัยธรรมชาติต่างๆ นั้น บุคคลที่ต้องมีผลกระทบ ส่วนใหญ่เคยสร้าง กรรมหนักเอาไว้ โดยเฉพาะพวกเราเคยเป็นทหารป้องกันประเทศชาติมา ไปตีบ้านทำลายเมือง ของเขาไว้มาก เมื่อกรรมนี้ตามมาทัน เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ เกิดขึ้น ก็จะทำให้บ้านเรือนเสียหาย ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทำให้เสียชีวิต เราจะไม่ยอมรับเลยก็เป็นการฝืนกฎของกรรม ธรรมชาติหนักขนาดไหนก็ตาม เต็มที่ก็ให้แค่ทรัพย์สินเสียหาย แต่ชีวิตจะปลอดภัย องค์ ตามที่ท่านต้องการ ส่วนที่เหลือเอาไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมในงานปิดทองฝังลูกนิมิตของวัดท่าน จึงเหลืออยู่ที่วัดท่าขนุนเพียงไม่กี่องค์ ว่านก็ราคา ๒๐๐ บาท มีโยมอยู่ท่านหนึ่งศรัทธาสูงมากตั้งแต่แรก จะเหมาไปเป็นร้อยองค์แทบทุกเดือน ว่า ถ้าคิดอย่างนั้นประมาทเกินไปความตายมาถึงเราได้ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเรามัวแต่ไปรอ พ.ศ. ๒๐๑๒ เราอาจจะตายเสียก่อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว..! แต่ถ้ากำลังใจมั่นคง มีการยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัยอย่างเที่ยงแท้ ก็สามารถที่จะหนีกรรมได้ชั่วคราว ไม่ได้ พ้นจากกรรมไปเลย แต่กำลังความดีสูงกว่า ทำให้หนีกรรมนั้นได้ชั่วคราว "ชีวิตนี้น้อยนัก" ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก พระองค์ท่านบอกว่า กฎแห่งกรรมไล่ตะครุบเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเราสร้างกรรมดีก็ จะหนีได้ทัน ถ้าสร้างกรรมดีไว้น้อย โดนกฎของกรรมไล่ตะครุบตัวได้ ก็จะเกิดความลำบากเดือด ร้อนในชีวิตของตน ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานด้วยค่ะ สาธุ จะเป็นช่วงรอยต่อของกรรม เพราะฉะนั้น..ช่วงนั้นถ้ามีอะไรดี หรือร้ายเข้ามา จะหนักกว่าเวลาอื่น เขาให้ทำบุญกันเอาไว้ก่อน ออกพ้นไปจากราศีเกิด ก็ไปปล่อยนกส่งท่าน แล้วต้องไปปล่อย ที่วัดเชียงมั่นด้วยนะ ที่อื่นไม่ปล่อย เพราะสนิทกับคนขายที่นั่น การปล่อยนกมีอานิสงส์ป้องกันของหายได้ การปล่อยปลาจึงมีอานิสงส์ต่อชีวิต ส่วนนกนี่เขาไม่ฆ่าหรอก เขาเก็บไว้ให้เราปล่อย แต่ว่าถ้าเป็นปลาเขาตั้งใจเอามาขายให้เราปล่อยนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง "อาจารย์เล็ก..ปล่อยปลาด้วยกันไหม ?" อาตมาบอกว่า "ไม่ เอาหรอก..ปล่อยอย่างคุณจะไปได้อะไร เล่นไปสั่งเขาตีอวน มาที ๓ - ๔ ตัน ปลาอยู่ในบ่อยังสบายกว่าโดนเขาลากขึ้นมาตั้ง เยอะ" แต่ว่าไปแล้วทำอย่างท่านอาจารย์วิโรจน์นั้น จะมีอานิสงส์ได้บริวารมาก หลวงปู่วัยสอนวิธีถอนพิษจากยาฆ่าแมลง หลวงปู่วัยท่านมาสงเคราะห์เพื่อนผมว่าเอ็งเคยเห็นหมาโดนยาเบื่อไหม คนเลี้ยงหมาเขาเอาไข่ขาวดิบๆ กรอกปากหมา เพื่อให้หมาอาเจียนเอาสารพิษนั้นออกมา ยาฆ่าแมลงที่เอ็งกินเข้าไปพิษน้อยกว่ายาเบื่อหมาให้ตาย กินไข่ขาวเข้าไปซิ ถ้าหากสารพิษตกค้างมากก็จะอาเจียน แต่ถ้าหากไม่มากก็จะขับออกทางปัสสาวะ - อุจจาระหรือทางเหงื่อได้ในที่สุดถ้าไม่แน่ใจ ๑๐ วัน ก็กินไข่ขาวเสียทีหนึ่งก็ได้ เพื่อน ผมก็ลองกินไขขาวดิบๆ เข้าไปประมาณ ๑ ชั่วโมง ต่อมาก็รู้สึกขย้อน แต่ไม่อาเจียน ปัสสาวะบ่อย ตกเย็นก็ผายลมถี่ๆ (ตด) ซึ่งปกติไม่ค่อยจะตดกับใครนัก หลวงปู่วัยท่านมาบอกว่าในไข่ขาวมีสารชนิดหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ท่านบอกเป็นภาษาอังกฤษสามารถกวาดล้างสารพิษ ทำให้อาเจียนออกมาได้ทรง ตรัสว่าสถานการณ์ของโลกจักเลวร้ายลงทุกวัน รวมทั้งชีวิตจิตใจของปุถุชน จักเห็นแก่ตัวมากขึ้น การคำนึงถึงบุคคลอื่นจักมีน้อย เอาแต่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ ดัง นั้นเจ้าจึงพึงตระหนักถึงสภาวะอันนี้เอาไว้ให้ดี แต่ก็จงเห็นเป็นธรรมดาร การป้องกันสารพิษย่อมเป็นไปได้ยากมาก นอกเสียจากต้องพิจารณาและดูแลอย่างรอบคอบตอนนี้เจ้าเห็นประโยชน์ของการปลูกผักกินเองแล้วหรือยัง (ก็รับว่าเห็นแล้ว) ต่อ ไปของข้างนาก็กินไม่ได้ หมายถึงผักบุ้ง - ตำลึงที่อยู่ข้างนา จักมีสารยาฆ่าแมลงปนเปื้อนอยู่ ยังไม่ต้องถึงมีสงครามใหญ่เกิด อันทำให้เกิดสารกัมมันตภาพรังสีจากการสู้รบ แต่ความเห็นแก่ตัวของคนก็ทำให้เกิดสารพิษปนเปื้อนเสียก่อน แม้แต่ผัก - ผลไม้นอกฤดูกาล ก็เต็มไปด้วยสารพิษปนเปื้อน ของนอกประเทศหรือในประเทศก็พอกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะกฎของกรรมบังคับให้คนต้องเป็นอย่างนี้หายนะครั้งยิ่งใหญ่กำลังเยือนโลกแต่จงเห็นเป็นกฎของกรรม อันไม่มีใครที่จักฝืนได้ โลกนี้เป็นทุกข์โลกนี้ไม่เที่ยง โลกนี้เป็นอนัตตาไปในที่สุด โลกเป็นปกติธรรมอยู่อย่างนี้ จงทำจิตให้อยู่เหนือโลก มุ่งพระนิพพานเป็นที่ไป หลวงปู่วัย สอนวิธีรักษาโรคปวดข้อมือ ข้อนิ้วมือเรื้อรัง หลวงปู่วัย สอนวิธีคลายเส้น แผลพุพองตามใบหน้า แคลเซียมไม่ควรกินตอนกลางคืน ข) โซดาจืด ช่วยทำให้หายสะอึกได้ ช่วยแก้ท้องอืด-ท้องเฟ้อ แต่อย่ากินบ่อยจะเป็นโทษ ถ้าใช้เป็น ช่วยได้หลายอย่างช่วยล้างปอด-ตับ-ไตได้ด้วยในปริมาณที่สมควร อย่ากินติดต่อกันหลายวัน แค่ ๗ วันก็ควรจะเลิกได้ เรื่องโดย ย่อมีอยู่ว่า เพื่อนผมไปเยี่ยมหลวงพี่องค์หนึ่งซึ่งบวชอยู่วัดท่าซุง ซึ่งนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล "จิระประวัติ" เป็นโรงพยาบาลของทหารบก ท่านเป็นโรคภูมิบกพร่อง อาการเริ่มจากมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง ค่อยๆหมดกำลังจนห่มจีวรไม่ไหว ที่สุดเดินไม่ได้ ฉันอาหารไม่รู้รส พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าสาเหตุ มาจากฉันอาหารไม่ถูกสุขลักษณะด้วย และอาหารที่ฉันก็ไม่เป็นประโยชน์กับร่างกายด้วย ประการสำคัญคือที่อยู่อาศัยไม่มีความสะอาดเพียงพอ จีวรเครื่องนุ่งห่ม เครื่องนอนมีความอับชื้น เป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อโรคเป็นไวรัสและแบคทีเรียขึ้น โดยก่อให้เกิดจุลชีพตัวเล็กๆ เกิดขึ้นในที่นั้นอย่างมากมาย ทรงให้เห็นภาพสัตว์ตัวเล็กๆ กลมๆ มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น ถ้าหากกวาดมารวมๆกันเป็นกองจะเห็นด้วยตาเปล่า เคลื่อนไหวไปมาได้ (ภาษา แพทย์เรียกว่าไมท์ หรือตัวเลน ตัวไร ซึ่งอยู่ตามผ้าปูที่นอน หมอน เสื่อ พรม ในที่อับชื้น เสื้อผ้าที่ใส่เหงื่อออก แล้วไม่ซัก ไม่ล้าง ไม่ตากแดด) ทรง ตรัสว่า จุลชีพพวกนี้เวลาหายใจก็จะเข้าไปสู่ปอด เมื่อตัวมันตายจากความร้อนของร่างกาย สารพิษที่มีอยู่ในตัวก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตไปทั่วร่างกาย เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภูมิบกพร่องขึ้นมา ทางแพทย์เรียกพวกนี้ว่า ไรฝุ่น เข้าสู่ร่างกายทางลมหายใจ พอมันตายพิษจากตัวมัน ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ อนุโมทนาสาธุกับทุกธรรมทานค่ะ ๑๐. พิษ-ภัยของผงชูรสในอาหารและอาหารรสเค็มจัด เรื่องโดยย่อมีอยู่ว่า พยาบาลคนหนึ่งเป็นโรคปอดชื้น หมอหาสาเหตุไม่พบ คือพยายามหาตัวเชื้อโรคแต่ไม่พบ เพื่อนผมก็ถามพระ พระบอกว่า หาไปให้ตายก็ไม่พบเชื้อน้ำท่วมปอดเป็นปลายเหตุ ต้นเหตุจริง ๆ คือไตวายกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุพยาบาลคนนี้ชอบกินอาหารรสจัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งรสเค็ม ยิ่งในร่างกายที่เกิดผิดปกติขึ้นมาได้ก็เพราะไตมันทำงานไม่ปกติ จึงทำให้การระบายน้ำออกมาไม่ดี อุปมา เช่น น้ำเคยไหลออกสู่ปากอ่าวได้คล่อง พอมีเขื่อนกั้นขึ้นมา น้ำก็ถูกปิดให้ชะงักไป แต่น้ำไหลเข้ายังคงมี น้ำก็เต็มเขื่อนได้ฉันใด ภาวะไตวายก็สามารถทำให้น้ำท่วมปอด ท่วมหัวใจได้ฉันนั้น จุดนี้เป็นกฎของกรรมเพราะ กรรมนี้เกิดจากการกระทำของตนเอง กรรมปัจจุบันก็ดี กรรมอดีตก็ดี กรรมอนาคตก็ดี ย่อมเกิดขึ้นเพราะตนเองเป็นปัจจัย หรือต้นเหตุทั้งสิ้นอย่าง ท่านพระสุรจิต เรื่องอาหารในอดีตที่บริโภคมาก็ส่งผลให้ไตย่ำแย่มาก่อน พอมาผ่าตัดหัวใจเข้า มีการสวนทวารหนัก ทวารเบาก่อนผ่าตัด เป็นการบังคับให้น้ำและอุจจาระออกมาโดยไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นการบังคับของยาสวนทวาร จุดนี้เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งที่ทำให้ไตซึ่งแย่อยู่แล้ว ทำงานหนักกว่าปกติ ต่อ มาเมื่อเข้ารับการผ่าตัด ในขณะที่ผ่าตัด มีการรมยา (ดมยาให้สลบ) ภาวะที่สลบอยู่นั้น ไตทำงานน้อยลง จึงเป็นเหตุให้ไตมีกำลังอ่อนตัวลงเกือบจะไม่ทำงาน จึงทำให้เกิดน้ำท่วมปอดขึ้นโดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนปัจจุบันนิยมกินมาม่ากัน ในนั้นมีผงชูรสเป็นตัวอันตรายที่สูงสุดยิ่ง กินมากยิ่งสะสมให้โทษอยู่ในร่างกายมาก ร้านค้าทั่วไปเขาผัดราดหน้า หรือผัดซีอิ้วก็ใช้มาม่ากัน เพราะสะดวก และเส้นออกมาอร่อย ถูกปากคนกิน เพราะมาม่ามีราคาไม่แพง คนชอบกิน ไม่ใช่แค่เครื่องปรุงที่มีผงชูรส แม้แต่ในเส้นของมาม่าก็ผสมไปด้วยชูรสและอาหารที่เขาขายทั่วไปก็มีชูรสเป็นหลักเรื่องการรักษาเจ้าจงอย่าเอากรรมของคนอื่นมาแบก แม้จักค้นยาไทยได้ ก็ใช่ว่าเขาจักเชื่อถือก็หาไม่ ให้วางภาระนี้เสีย ปล่อยให้เขารักษาตามแผนปัจจุบันไปตามเรื่อง วางใจให้เยือกเย็น เคารพในกฎของกรรมเข้าไว้ โลกนี้ไม่มีใครดีไปกว่าใคร เพราะล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของธรรมดาทั้งสิ้นทุกคนเกิดแล้วต้องแก่-ต้องเจ็บ-ต้องตายเป็นของธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นกฎของกรรมไปได้ เรื่องโลหิตเป็นพิษจากการติดในรสของอาหาร เรื่องสรรพคุณของน้ำมันยาง ใช้รักษารังสีจากปรมาณูได้ คนมาฝึกมโนมยิทธิ ก็ยังมีกิเลส แล้วไปเห็นไตรภพและพระนิพพานได้อย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อย่าพูดว่าหลวงพ่อท่านตาย ไอ้จิตหรืออาทิสมานกายของหลวงพ่อ จริงๆ มันเคยตายเสียเมื่อไหร่กันล่ะจิตไม่เคยตาย รูปของจิตต่างหากที่ไปเกิดสู่ภพ - ชาติ ต่างๆ ตามกรรมที่จิตทำไว้ยึดไว้ ในเมื่อจิตไม่ยึดติดสมมุติธรรมทางโลกทั้งสามแล้ว จิตก็วิมุติหลุดพ้นจากโลกทั้งสาม (มนุษยโลก, เทวโลก, พรหมโลก) เข้าสู่แดนพระ นิพพาน หลวงพ่อท่านถามว่าในเมื่อหลวงพ่อยังไม่ใช่คนตาย แล้วหลวงพ่อมีความรู้สึก ไหม? ก็ตอบว่าคงจะมีหลวงพ่อว่า “ไม่ ใช่คงจะมี มีหมดทั้งรูป - เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ แต่ไม่มีอุปาทานขันธ์ แล้วคนธรรมดาหรือแม้แต่พระอริยเจ้าที่ยังตัด กิเลสไม่ได้หมด เวทนาหรือความรู้สึกก็มีทั้งความสุขและความทุกข์ แต่พระอรหันต์มี อารมณ์เดียว คือ ไม่สุข - ไม่ทุกข์ เป็นอัพยากฤตในสังขารุเบกขาญาณ เมื่อรู้ว่าจิตนี้ไม่เคยตายก็อุปมาดั่งกับในชีวิตของเราที่อุบัติขึ้นมานี้ เรามีเงินพอซื้อบ้าน ได้เรื่อยมา ๑๓ หลังบ้าน ๑๓ หลังอยู่ในที่ต่างๆ ไม่ใช่ท้องถิ่นเดียวกัน อาจจักอยู่ภาคเหนือ - ภาคกลาง - ภาคตะวันออก - ภาคใต้ได้ทั้งนั้น แล้วสภาพของมันแต่ละหลังก็ย่อมแตก ต่างกัน ด้วยการก่อสร้างในแต่ละแบบ ด้วยกำลังทรัพย์หรือเงินทองในขณะนั้นๆ หรือ บางครั้งอาจจักยากจนหน่อย ก็มีบ้านเช่าทรุดโทรม เช่าอยู่อาศัยก่อนจักมีเงินซื้อบ้าน หรือปลูกบ้านอีก ๑๓ หลังก็ได้ ต่อมาเมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันเรา นั่งอยู่ตรงนี้ เราคิดถึงบ้านเช่ากับบ้านปลูก - บ้านซื้ออีก ๑๓ หลังก็ได้ เราก็จะนึกถึงบ้าน เหล่านั้นได้ โดยที่ตัวเราเองไม่ต้องเดินทางไปหาบ้านเหล่านั้น การระลึกชาติเห็นรูปของ จิตก็เช่นเดียวกัน นั่งอยู่ตรงนี้ก็เห็นภพ - เห็นชาติ ไปเห็นอาทิสมานกายของภาพชาติ นั้นๆ ไป ดั่งที่อุปมาเรื่องบ้านนั่นแหละ (เพื่อนผมท่านอุทานว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก) ทรงตรัสว่า “ไม่อัศจรรย์หรอกเจ้า เป็นเพราะอาสวะกิเลสสิ้นไปแล้วตัณหา ๓ สิ้นไปแล้ว สภาวธรรมก็บังเกิดให้เห็นตามความเป็นจริง เพราะจิตวิมุติแล้วจึงไม่มีอะไรมาปิดกั้น ให้เกิดเป็นอุปทานอีก” ทรงตรัสว่าให้หวนนึกถึงความเป็นจริงว่า บุคคลที่มาฝึก แม้เป็นบุคคลที่หนาแน่นอยู่ ด้วยกิเลสก็ตาม แต่ ที่เข้ามาฝึกกรรมฐานหมวดนี้แล้วได้เห็นธรรม คือในขณะนั้นตั้งใจ สมาทานศีล มีศีลบริสุทธิ์ในขณะที่ฝึกนั้น ๆ มีความเคารพในพระรัตนตรัย สมาทาน พระกรรมฐานด้วยความเคารพ และฟังหลวงพ่อหรือครูฝึกสอนแนะนำให้ตัดขันธ์ ๕ คือร่างกาย ส่วนใหญ่ก็พูดถึงให้ยอมรับความตาย และทุกข์ของขันธ์ ๕ หรือร่างกาย จนผู้ฝึกเข้าถึงธรรมในขณะนั้น คือ ไม่อยากจักมีร่างกาย ยอมรับความตาย และไม่ต้องการ กลับมาเกิดให้มีความทุกข์อีก อารมณ์ในขณะนั้นจึงตัดกิเลสได้ชั่วคราวมีความบริสุทธิ์ ชั่วขณะจิตหนึ่ง จึงทำให้ผู้ฝึกเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติอยู่ได้โดยง่าย บวกกับบางบุคคลเป็นผู้ เคยได้แล้วมาแต่กาลก่อน คือในอดีตชาติเคยเจริญพระกรรมฐานในหมวดนี้มา พอจิตเข้าถึงจุดนี้ก็ได้โดยง่าย แต่พอออกจากกรรมาฐานแล้ว ความทรงตัวไม่เคยมีเนื่อง จากไม่จำอารมณ์เดิม คือ ในขณะนั้นรักษาศีล สมาทานพระกรรมฐานด้วยความเคารพ ในพระรัตนตรัย และที่สำคัญอย่งยิ่งคือ อารมณ์ที่ตัดขันธ์ ๕ เลิกแล้วปล่อยให้ กิเลส-ตัณหา-อุปาทานและอกุศลกรรมเข้าครอบงำจิต จึงล้มเหลวในการเจริญพระกรรมฐาน พระวิสุทธิเทพ ขึ้นกราบพระได้ที่พระนิพพานนั้นเป็นอย่างไรทรงตรัสว่า เรื่องนี้เป็นพุทโธอัปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ พระองค์เป็นเพียงผู้เดียวที่รู้จริต - นิสัย และกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งทำกันมาในอดีตแตกต่างกัน และรู้อย่างหาที่สุดมิได้ การ สอนจึงเน้นให้เหมาะสมกับจริต - นิสัยและกรรมของแต่ละบุคคลเช่นกัน สำหรับรายนี้ ทรงตรัสว่า บุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นการยืนยันภพชาติต่างๆ ทั้งหลาย มีจริง ประการหนึ่ง จุตูปปาตญาณ รู้กฎของกรรมของสัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน ก่อนเกิดมา จากไหน ด้วยกฎของกรรมอันใดประการหนึ่ง เป็นการให้ผู้ปฏิบัติได้รู้ว่า กฎของกรรม ดี-กรรมชั่วเป็นกฎตายตัวหนึ่งสำหรับการไปได้ถึงซึ่งพระนิพพานเป็นการยืนยันว่า ดิน แดนพระนิพพานมีจริง รูปของจิต หรืออาทิสมานกายมีจริงและเป็นการยืนยันว่าถ้าผู้ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ ก็จักมีโอกาสที่ธาตุ ๔ ตายแล้ว ไปถึงซึ่งพระนิพพานได้ จริง และมีรูปของจิต คือ อาทิสมานกายเป็นพระวิสุทธิเทพจริง สรุปว่าในขณะนั้นผู้ฝึก ระงับกิเลสได้ชั่วคราว (ระงับนิวรณ์ ๕ ได้ชั่วคราว) จิตก็บริสุทธิ์ชั่วคราว พระท่านก็ เมตตาสงเคราะห์ให้เห็นว่า ที่สุดของความดีในพระพุทธศาสนาก็คือแดนพระนิพพาน ทรงตรัสว่า แต่คนเรามีสัญญา อนิจจา มักจักไม่จำอารมณ์ที่ไปพระนิพพานได้เป็นอย่าง ไร การปฏิบัติจึงไม่ค่อยจักอยู่กับร่องกับรอย ปัญญาจึงไม่เกิด มาดูตรงนี้กันอธิบายกันก่อน ที่ท่านสัมภเกสี (หลวงพ่อฤๅษี) เทศน์เอาไว้ว่า รู้แค่ วิญญาณก็พูดคุยกันไม่ได้วิญญาณในที่นี้คือประสาท หรืออายตนะสัมผัส ในหมวดหนึ่งของอรูปฌาน วิญญานัญจายตนฌาน มีวิญญาณคือความรู้สึกทางระบบ ประสาท ก็ทำความรู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีความรู้สึก ด้วยอำนาจของการกำหนดอรูป ฌาน ซึ่งก็เป็นกำลังของอานาปา ทำให้เข้าถึงฌาน ๔ สักเพียงแต่ว่า ถ้าถือรูปเป็นอารมณ์ ก็เป็นรูปฌาน แต่อรูปพรหม ถือความไม่มีรูปเป็นอารมณ์ ก็เป็นอรูปฌาน กำลังจริงๆ ริเริ่มตั้งแต่สมาธิ คือ ความ ตั้งใจมั่นในการกำหนดลมหายใจเข้าออก บวกกับอารมณ์ที่ตั้งมั่นในอรูปฌาน อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนั้นๆ จิตก็ทรงสมาธิอยู่เป็นปฐมฌาน - ทุติยฌาน - ตติย ฌาน แล้วก็เป็นจตุตฌาน พอจิตเข้าถึงฌาน ๔ ในสมาธิที่ตั้งมั่นอยู่ในอรูปฌาน เวลานั้น จิตก็ห่างจากประสาทสัมผัส จึงเรียกว่าเข้าถึงซึ่งเต็มกำลังอรูปฌาน ตรงนี้ก็ให้เจ้าเข้าใจ ว่า ทำไมรู้แต่วิญญาณก็พูดคุยกันไม่ได้จึงเป็นเช่นนี้ เมื่ออรูปฌานคือชินในการไม่มีรูป คนเหล่านี้จึงมีแต่ดวงจิตที่เป็นสมาธิอยู่ในอรูปฌานรูปแตกดับไปแล้วจึงไปสู่อรูปพรหม เป็นพรหมที่ไม่มีรูป ไม่มีอายตนะที่จักรับสัมผัสใดๆ ทั้งสิ้น แต่ดวงจิตนั้นก็อยู่ด้วยความ สุขของกำลังของอรูปฌาน หมดกำลังฌานเมื่อไหร่ ก็จุติเมื่อนั้น (ให้ย้อนกลับไปดู เรื่องอรูปพรหมในข้อที่ ๙ ประกอบ ก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น) แดน ของอรูปพรหมนั้น กว้าง ใหญ่ไพศาล เวิ้งว้าง ไม่มีอะไร มีแต่ดวงจิตกลมๆ สีขาวๆ เหมือนแสงไฟนีออน ไม่สว่าง ใสเป็นแก้วประกายพรึก ดวงจิตของอรูปพรหมที่ลอยอยู่นั้น นับประมาณไม่ได้ ทรงตรัสว่า “นั่นแหละเจ้าคือดวงจิตที่ไม่มีรูปอรูปพรหมไม่มีอาทิสมานกาย จึงไม่มี อายตนะสัมผัส ตถาคตจึงตรัสว่าเป็นผู้ฉิบหายจากความดี เมื่อรู้ว่าสภาวะจิตล้วนๆ เป็น อย่างนี้เป็นจิตที่ไม่มีรูปผู้รู้แต่จิตอย่างเดียว จึงพูดคุยกันไม่ได้ คราวนี้มารู้เรื่องของ อาทิสมานกาย หรือรูปของจิตกันต่อไป ขอยืนยันในไตรภพนี้หรือพระนิพพาน ยกเว้นอรูปพรหม ดูอาทิสมานกายของสัตว์นรกมาแล้ว กายนั้นแม้เป็นกายทิพย์ คือไม่มีธาตุ ๔ แต่กายนั้น มีอาการ ๓๒ จักเห็นได้ว่า สัตว์นรกบางขุมถูกทัณฑ์ทรมานจนเลือดตกยางออก บางขุม ถูกไฟไหม้จนกระดูกแดงฉาน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นก็เนื่องด้วยจิตยังไม่ละจากอุปาทาน ขันธ์ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในรูป - เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ ยึดธาตุ ๔ ยึด อาการ ๓๒ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา แม้กายเนื้อหรือธาตุ ๔ อาการ ๓๒ แตกดับไปแล้ว เมื่อจิตไป จุติในนรก อาทิสมานกายก็ยังมีเลือด มีเนื้อ มีกระดูก มีอาการ ๓๒ ตามอุปาทานที่ยึดมั่นถือมั่นนั้น นรก แม้บางประเภทจักถูกหอกทิ่ม - ดาบฟันอย่างกากะเปรตก็ตาม แต่บางประเภทก็ โทษน้อย บางประเภทมีแต่โหยหิวแสวงหาอาหาร ไม่ถูกทัณฑ์ทรมานก็มี ก็ล้วนแล้วแต่ยังยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์อยู่ดี ธาตุ ๔ อาการ ๓๒ นี้ จิตก็ยังติดอยู่กับอุปาทานขันธ์อย่างเหนี่ยวแน่น จนกว่าจักถึงไตรส รณคมน์ แล้วมุ่งปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า จึงจักค่อยชำระจิตให้หลุดพ้นจากการเกาะติดอยู่กับอุปาทานขันธ์ เทวดา นางฟ้าก็ยังมี ไปพรหมที่มีรูป ก็ยังไม่หมดอุปาทานขันธ์ยิ่งไปจากกำลังของฌานก็ยังได้ชื่อว่าติดอยู่ในอานาปา คือ ธาตุลม ซึ่งเป็นส่วนประกอบของธาตุ ๔ อันเป็นร่างกาย จึงยังไม่สิ้นจากกิเลส เจ้าจักเห็นว่าเทวดา นางฟ้าร่างกายละเอียดก็จริงอยู่ ก็ยังดูหนาทึบกว่าพรหม หรือพรหมแต่ละชั้นก็มีกายละเอียดไม่เท่ากัน อาทิสมานกายหรือรูปของจิตโปร่งใสเป็นแก้วประกายพรึก ตับ - ไต - ปอด อาการ ๓๒ ไม่มี สภาวะธาตุ ๔ ไม่มี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็เพราะพระอรหันต์หรือ ตถาคตเจ้า ต่างก็พิจารณาธาตุ ๔ อาการ ๓๒ นี้ไม่ใช่เรา ไม่มีในเรา จึงมีการวางเฉยในรูป และมีการวางเฉยในนาม คือ เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ มีอารมณ์สังขารุเบกขา ญาณ จึงเป็นเหตุให้เมื่อกายเนื้อ คือธาตุ ๔ อาการ ๓๒ แตกดับแล้ว รูปของจิตคืออาทิ สมานกายจึงบริสุทธิ์เป็นวิสุทธิเทพ เพราะไม่มีอุปาทานยึดธาตุ ๔ และอาการ ๓๒ ว่า เป็นเรา เป็นของเราดังนี้ จิตกับรูปของจิตจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่ จักแสดงให้เห็น ได้เป็นจิตอย่างเดียว กลมใสเป็นประกายพรึกหมดทั้งดวงก็ได้ และจักแสดงเป็นรูปของ จิต คืออาทิสมานกายที่ใสเป็นแก้วประกายพรึกก็ได้ สุดแล้วแต่จักให้เห็น พระ ตถาคตเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เมื่อพิจารณารูป - เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ ท่านวางอารมณ์ลงในสังขารุเบกขาญาณได้ เนื่องจากเห็นความปกติธรรมของ ขันธ์ ๕ จิตท่านเมื่อถึงจุดนี้ก็เห็นธรรมดาของขันธ์ ๕ไม่ยึดมั่นถือมั่น ความรังเกียจก็ไม่ มี คือความไม่พอใจก็ไม่มีแต่อรูปพรหมรังเกียจรูป ไม่พอใจในรูป ไม่ต้องการในรูป พระตถาคตเจ้าหรือพระอรหันต์ท่านตัดตัวนี้มาแล้ว ตั้งแต่สังโยชน์ ๔ และ ๕ คือราคะและ ปฏิฆะ พอใจก็ไม่มี ไม่พอใจก็ไม่มี นี่เป็นการชี้ตัวอย่างให้เห็นถึงหลักการปฏิบัติที่จักวัด กำลังของจิตที่จักตัดกิเลสให้ถูกทาง พอไปถึงอรูปราคะ รูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เมื่อเข้าใจในฌานเป็นกำลังของอานาปา เป็นธาตุลมในธาตุ ๔ ไม่ใช่เรา มีอยู่แต่ไม่หลง คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ตัวถือตัวถือตน ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ อายตนะไม่มีในเรา ไม่ใช่เราจักไป ถืออะไรอุทธัจจะการปรุงแต่งธรรมไม่มี เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงแล้ว จักไปหลง ติดอยู่กับอะไร ก็จักมาเห็นตรงนี้ว่า พระอรหันต์หรือพระตถาคตเจ้า รู้ตามความเป็น จริงของรูป ไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูปแม้มีชีวิตร่างกาย-ธาตุ ๔ อาการ ๓๒ ก็ยอมรับว่ารูป เป็นเช่นนี้ มีนาม เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ก็เป็นเช่นนี้ ขันธ์ ๕ เป็นเช่นนี้มีเกิด - มีดับเป็นปกติธรรม จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา อุปาทานขันธ์ไม่มีการรังเกียจ รูปอย่างไม่ต้องการรูปอย่างอรูปพรหมก็ไม่มี จึงเป็นเหตุให้เมื่อกายเนื้อตายแล้ว รูปของจิตก็จึงยังมีเวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณก็ยังมี แต่ไม่มีอุปาทานขันธ์ แล้ว รูปนี้เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณนี้เป็นไปเพื่อวิมุติทั้งสิ้นแล้ว คำว่าเสวย ทุกขเวทนา เสวยสุขเวทนาอย่างไตรภาพทั้งปวงนั้นไม่มี อนึ่ง เจ้าเข้าใจเรื่องวิมานวัตถุ แล้ว พรหม - เทวดา - นางฟ้ามีวิมานอันเกิดจากการถวายวิหารทานในพระพุทธศาสนา แล้วใครจักไปโจทย์กล่าวว่าพระนิพพานไม่มี วิมานไม่มีก็ช่างเขาเถิดนะ ถ้ารู้จักใช้ ปัญญานิดเดียว พรหม - เทวดา - นางฟ้ายังมีวิมาน แล้ว ตถาคตเจ้าหรือพระอรหันต์ทุกองค์ล้วนแต่เคย บำเพ็ญทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิหารทานมาในเขตพระพุทธศาสนา มีหรือที่จักไม่มี วิมานเป็นสถานที่อยู่ เมื่อเห็นร่างกายเป็นธาตุ ๔ อาการ ๓๒ เกลือกกลั้วกับสิ่งปฏิกูล และเห็นเป็น อสุภกรรมฐานความไม่สวย ไม่งาม โสโครก น่ารังเกียจจากการเห็นร่างกายตามความ เป็นจริงนี้ จิตก็คลายความกำหนัด ไม่มีความต้องการรางกายของตนเอง หรือร่างกาย ของใครอีก และเมื่อจิตถึงคำว่าเห็นธรรมดาของร่างกาย จึงรู้ปกติธรรมของร่ากาย อารมณ์ก็เข้าสู่สังขารุเบกขาญาณจิตไม่ข้องติดอยู่ในร่างกาย พอธาตุ ๔ หรือกายเนื้อนี้ แตกดับแล้ว จิตก็ได้รูปของจิตหรืออาทิสมานกายที่สะอาดบริสุทธิ์ มีผลจากการ พิจารณาอสุภกรรมฐานเช่นกัน พระนิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง จิตนี้รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ใช่เราเรา คือจิต ไม่เคยตายเป็นอมตะ ให้เห็น ทุกอย่างเป็นธรรมดา อย่ายุ่งกับกรรมของผู้อื่น อย่าหวั่นไหวไปกับโลกธรรม อย่ากังวลใดๆ ทั้งหมด ให้ยอมรับกฎธรรมดาของกาย อย่าทุกข์ตามกาย พูดน้อยผิดน้อยภัยก็น้อย พระนิพพานเป็นธรรม ว่างอย่างยิ่ง อารมณ์อรหันต์ชั่วคราว เพียรมากพัก น้อย ผลก็ได้เร็ว กายป่วยให้รักษาตามหน้าที่ อย่า โทษใคร อย่าแก้ใคร ให้โทษและแก้ที่ใจตนเอง และจงอย่าทิ้งการพิจารณาอารมณ์ เป็นต้น อย่าอยากได้ความคล่องตัวในการทำงาน จิตเป็น ทุกข์แล้ว ทำใจให้สบาย ทำงานให้จิตเป็นสุข อย่า ได้มีความทุกข์ เพราะความปรารถนาไม่สมหวังในการทำงาน ให้ปล่อยวางมันเสีย กายอย่าถือเวลาเป็นสรณะ อย่า คิดว่าพักผ่อนน้อย จนเกินไป แม้จักพักผ่อนน้อยก็จริงอยู่ แต่ถ้าคิดด้วย ความอึดอัดขัดข้องใจว่าพักผ่อนไม่พอ หงุดหงิดใน อารมณ์เรียกว่าขาดทุนแก้ไขไม่ตรงจุด ถ้าจักให้ตรง ก็ต้องพยายามหาทางพักผ่อนให้แก่ร่างกาย ไม่ใช่ มาหงุดหงิดในอารมณ์ เป็นการไม่ถูก ธรรมปฏิบัติใน ขณะที่นอนหลับ อย่าปล่อยใจให้มากจนเกินไปหลับ เพลินไป ไม่ทรงจิตอยู่ในความดี จงอย่าประมาทใน ชีวิตให้ระลึกไว้เสมอว่า แม้ในขณะหลับก็ตายได้ ฝึกฝนตนเองเสียใหม่ จักได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานมากขึ้น ๓.ให้เห็นธรรมดาให้มากๆจุดนี้มีความสำคัญมาก เพราะต้องใช้ตั้งแต่พระอริยเจ้าเบื้องต้นไปจนถึงเบื้องปลายการเห็นธรรมดาจิตจักไม่เร่าร้อน เห็นสิ่งดีก็ไม่เร่าร้อน เพราะเห็นเป็นธรรมดา เห็นสิ่งไม่ดีก็ไม่เร่าร้อน เพราะเห็นเป็นธรรมดา จิตจักคลายจากความเกาะ ความติดในสิ่งที่มากระทบทั้งหมด แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ทำกำลังใจให้มั่นคงอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ แล้วจักละทุกสิ่งทุกอย่างได้ในที่สุด ๕. อย่าไปกังวลกับเรื่องความประพฤติของบุคคลอื่นถ้าหากรู้ว่าคนๆ นี้เป็นเช่นนี้ ก็ให้เลี่ยงการคบค้าเสียจักเป็นดี และให้เห็นการถูกนินทา ปะสังสา เป็นเรื่องโลกธรรมดาวาง มันทิ้งไป ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน ก็จงทำเพื่อปล่อยวาง อย่าทำเพื่อความเกาะยึด รักษากำลังใจเข้าไว้ อย่าท้อถอยด้วยกรณีใดๆ ทั้งปวง ๗. อากาศหนาวขึ้นให้ระวังสุขภาพเอาไว้ให้ดี จงอย่าประมาทในชีวิตการ ทรงอยู่ของร่างกายในวัยเสื่อม ย่อมเป็นไปด้วยความลำบากของขันธ์ ๕ ให้พยายามพิจารณายอมรับนับถือตามความเป็นจริงให้มากๆ แล้วจิตจักไม่เดือดร้อน ถ้าหากเข้าถึงอริยสัจอย่างจริงจัง อาทิ ร่างกายทรุดโทรมก็ให้หาเวลาพักผ่อนให้กับร่างกายด้วย ก่อนที่จักสายเกินไป อย่ามุ่งการทำงานให้มากจนเกินไป ๙. รักษากำลังใจให้เห็นปกติธรรมของร่างกาย ให้เห็นปกติธรรมของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแล้วจิตจักเป็นสุข ไม่ดิ้นรนให้เดือดร้อนมากจนเกินไป รักษากำลังใจ พิจารณาอยู่อย่างนี้ให้เป็นปกติ จิตจักเข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย ๑๑. เมื่อสุขภาพร่างกายดีขึ้น ก็เห็นอารมณ์จิตมันยินดีด้วยกับร่างกาย อารมณ์นี้ไม่ใช่อารมณ์พระอริยะเจ้าขั้นสูงจิตจึงมีอาการไหวขึ้น-ไหวลงยังไม่มีความก้าวหน้าของจิต การ รักษาอารมณ์ให้อยู่ในความสุข-สงบ-ไม่หวั่นไหว ไม่ใช่เป็นอารมณ์บังคับ เป็นอารมณ์ปล่อยวางที่รู้เท่าทันขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ๑๓. อารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ คือในขณะที่กำหนดภาพพระอยู่ ก็พิจารณาอารมณ์ของจิตไปด้วย ให้ลงตรงว่าสัพเพ ธัมมาอนันตตาติ พระนิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่งจิตนี้ต้องดูอารมณ์ให้ว่างจากกิเลส เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกพังหมด ขันธ์ ๕ ของเราก็พัง โลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรเหลือ ชำระจิตให้อย่ายึดเกาะ ไม่ว่าขันธ์ ๕ หรืออายตนะสัมผัส โดยฝึกจิตให้ยอมรับสภาวะธรรมดาตามความเป็นจริง จนจิตโล่งโปร่งเบา ไม่มีอารมณ์กังวลใจใดๆ ทั้งหมดจิตตั้งอยู่ในธรรมว่างอย่างนี้ คือว่างจากกิเลสทั้งปวงเรียกว่าจิตนี้รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้จึง จักเป็นของจริงไม่ใช่กำหนดแต่รักภาพพระนิพพานเป็นอารมณ์แต่ใน ขณะเดียวกัน นิวรณ์เข้ามาเต็มอยู่ในอารมณ์เหมือนกัน อย่างนั้นใช้ไม่ได้หากทำได้ก็เป็นเอกัตคตารมณ์ ถ้าทรงได้ขณะจิตหนึ่งก็เป็นพระ อรหันต์ชั่วคราวถ้าทรงได้ตลอดไปก็เป็นพระอรหันต์ตลอดชีวิต เป็นอันว่าวันนี้จะขอย้ำเรื่อง เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน สักนึดหนึ่งคือในเรื่อง เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน นี่เป็นเรื่อง ของจิตโดยตรง การเจริญพระกรรมฐาน เราฝึกกันที่จิต ฉะนั้นสำนักของเรานี่ย่อมเป็นที่รังเกียจของสำนักบางสำนัก ที่สำนักนั้นชอบฝึกกาย ใช่ไหม แล้วเวลาจะทำก็ต้องทำเครียด ต้องทำกันนับชั่วโมง แต่ทว่าขอพวกเราอย่าไปติสำนักนั้นๆ ว่า ท่านทำไม่ถูกการฝึกอารมณ์ของจิตก็สุดแล้วแต่กำลังใจของคน อย่างหนึ่ง หรือว่าจริยาตามปกติตามภาคพื้น โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง อาตมาถือกลุ่มเดินเป็นสำคัญ คำว่ากลุ่มเดิมนี่ก็หมายความ ว่า เป็นคนที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาตั้งแต่อดีตชาติ ถ้าจะนับเป็น ชาติๆ นี่นับไม่ถ้วน เอ พวกที่นั่งป๋อหลออยู่นี่ 99 เปอร์เซ็นต์นี่ ทีนี้อีกเปอร์เซ็นต์ไม่แน่ ใช่ไหม แล้วทำไมเป็นอย่างนั้น เอาอย่างนี้ไหม พูดกันตรงๆ ดีกว่าไหม พูดกันแบบตรงไปตรงมา ชาติ ระยำมาเท่าไร ดีมาเท่าไร ฉันนี่ระยำมาก แล้วคนเรากว่าจะ เดินเข้าไปหาความดีได้ มันต้องคบกับความชั่วก่อน ใช่ไหม กว่าจะรู้ความดี รู้ผลของความดีก็ต้องแวะเข้าไปคุยกับความชั่ว ก่อน แล้วจนกว่าจะเข้าเขตพระพุทธพยากรณ์ กว่าจะเข้าเขต พระพุทธพยากรณ์ได้ก็ไม่รู้ว่าผ่านมาเท่าไร พอหลังจากได้รับ เขตพุทธพยากรณ์แล้ว ก็ผ่าน 16 อสงไขยกันแสนกัป เล่นนับกัน เป็นอสงไขยกันนะ อสงไขยแปลว่านับไม่ได้ แล้วก็เอาหน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน แล้วก็เติมศูนย์ท่านเรียกว่าโกฏิ เติม ไปอีกสามศูนย์ เรียกว่า อสงไขยกับแสนกัป นับ ชาติชาติซิพวก คุณ ตั้งแต่รัตน์โกสินทร์นี้ ฉันตะบันเกิดมาแล้วตั้งสี่หนนะ นี่ชาติ นี่ นี่พระพุทธกาลนี่ แค่หลังๆ นี่ สมัยพุทธกาลตั้งแต่สมัยเชียง แสน สุโขทัย อยุธยา แล้ว รัตนโกสินทร์นี่สี่ครั้ง นี่มันยังไม่ถึงอีก เขตหนึ่งของกัป มันไม่ใช่ในสิบของกัป เพราะเกิดขึ้นขึ้นมาตั้ง สิบกว่าครั้ง นี่ถ้ากัปหนึ่งเราเกิดเท่าไร เรานับเป็นอสงไขยกัป มันเกิดกันเท่าไรไหวไหมช่วยคิดที ไม่คิดดีกว่าปวดหัว นับไม่ถ้วนแล้ว พวกนั้นขี้ขลาด สู้พวกเราไม่ได้ มีตัวอย่างที่ไหน วิ่งกันพรึ่บๆๆ ไอ้เรานี้ต้องมาตกระกำลำบาก มาช่วยคนโน้น ช่วยนี่ วิ่งนี่วิ่งนั้น เราจะกินยังเข้าไปก็ไม่ค่อยจะมี แต่ก็ยัง พยายามหาเลี้ยงคนอื่นใช่ไหม พวกนั้นไม่ได้ความ สู้เรา ไม่ได้นะ ไอ้เรามายกย่องตัวเองนะ เขารอให้ชาวบ้านเขายกเมื่อ ไรจะได้ยกย่องได้ยก ใช่ไหม ไม่ชมตัวเองรอชาวบ้านชม เมื่อ ไรจะได้ยกย่อง ใช่ไหม ไม่ชมตัวเองรอชาวบ้านชม เมื่อไรจะได้ ชมก็ชมมันซะเองก็หมดเรื่อง นี่เจ้าบ้านบอกไอ้หมาขี้ ไม่มีใคร ไปยกหาง ไม่ตรง เวลานี้จะขี้มันบอกอะไร เหอะ ยกหางดีไม่ดีก็ เปื้อน นี่เป็นอันว่า ท่านที่ไปนิพพานนับไม่ถ้วน คณะ สายของข้าพระ พุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี 37 สาย ถามสายหนึ่งระยะยาวเท่าไร ท่านก็บอกสองแสนโยชน์ หรือสี่แสนโยนช์ สายน่ะมันมี 37 สาย แล้วก็ไปดูวิมานไอ้นี่สาย พระนิพพาน แล้วไปนี่เขาตั้งเต็มไปหมด แล้วพวกนี้จะไปอยู่ไหน ไม่รู้ ไม่มีที่ซิ นี้ใครอยากไปอยู่ก็มาจองไว้ จัดสรร คิดไร่ละ เท่าไรก็ว่ากันไป ใช่ไหม ประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของ เรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้าน ใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระ นิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระ อะไร กกุสันโธ ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลังพระ โกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้าง หน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุด หนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม( องค์ปัจจุบัน) ก็ตั้งจุดหนึ่ง ตอนนี้ของ อาตมามันก็เป็นจุดแปลก จุดที่แปลกไอ้วิมานมาตั้งอยู่ในเกณฑ์ เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่ คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เพราะ ฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมา สิ้นระยะเวลา 16 อสงไขยกับแสนกัปพอดี แต่ว่าแสนกัปนี่ถ้าทน ไม่ไหวเลยเลยไม่เกิด เอามันแค่นี้พอ ใช่ไหม ถ้ารออีกอีก 7 ครั้ง ในกัปนี้แหละ ไม่ต้องรอ แล้วก็ต้องรอเป็นองค์ที่ 22 หลังจากพระ ศรีอริย์ โฮ้ ไปนั่งบี้ตะโพนอยู่นั้น ไม่เอาเปิดดีกว่า อีโธ่ ถ้าไม่ไหว กลืนไม่ลงนะ ถามเท่าไหร่ ยี่สิบสอง เฮอะ ยี่สิบสองไปนั่งเป่าปี่อยู่ โน้น ชั้นดุสิต ตั้งยี่สิบสององค์ เมื่อไรไม่รู้ ไอ้ที่เขาคอยตั้งนาน บอกฉันหลีกทางให้เปิดดีกว่า เป็นอันว่าหาจุดพร่องไม่ได้ ตาม สายของพวกเรา แต่ว่าหาจุดพร่องไม่มี แต่ ความจริงวิมานสวย ไม่เต็มที่มีอยู่มากพอสำควรแต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานไม่สวยมาก เพราะจิตของบุคคลใดถ้ารักนิพพานวิมานจะปรากฏที่นั้น แต่ ทว่าจิตใจของท่านผู้นั่นยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใดวิมานจะไม่ สวยเต็มที่ ไอ้จิตกะวิมานมันสวยเท่ากัน ใช่ไหม เดินไปนี่จะรู้ พุทธภูมิ อันนี้คณะที่ร่วมปฏิบัติกันมาในกาลก่อนร่วมกันมา ปรารถนาที่จะเป็นสาวกในสมัย นั้นในเมื่อหัวเรือใหญ่เลี้ยวเข้า ตามตรอกไปเสียแล้วเข้าคลองเล็ก บรรดาเรือทั้งหลายมันก็ต้อง เลี้ยวตาม ถ้าขืนวิ่งไปคนเดียวหลงแน่ เป็นอันว่า ฉะนั้นวิมานมัน ตั้งอยู่เต็ม เป็นอันว่าคนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพานนะ แต่ว่าพลาดในชาตินี้ ชาตินี้พลาดก็ไปจั้งโน้นศาสนา พระศรีอาริย์ นะไม่เหลือ เพราะโยมท่านคอยอยู่ โยมท่านดัก ไม่ยอมให้ไปไหนแน่ ของกรรมขณะใดที่กรรมที่เป็นกุศลให้ผล ขณะนั้นจิตเราก็จะ เป็นสุข บางครั้งกรรมที่เป็นอกุศลมันตามมาให้ผล มันก็มีความ วุ่นวาย แต่เรื่องนี้ เราจะแพ้มันในระยะเวลาตายไม่มี ไม่มีทาง เรา จะให้มันเฉพาะในระหว่างที่มีชีวิตมันจะทรงอยู่เท่านั้น
ถ้าใกล้จะตายจริงๆ อาตมารับรองว่าทุกคนไม่ไร้สติ แล้วก็ไม่ไร้ ความดีที่ปฏิบัติ เพราะอะไร ไปตรวจบ้านหมดแล้ว วันนี้ สบาย กลับมาตีหุ่ย เลยไม่กลับเลย ดีใจ กลับขึ้นไปนอน ความจริงนอน ไม่ได้ มีงานทำต่อ เพราะอะไรเพราะว่าเริ่มจะพักเลยไม่ได้พัก อาบน้ำเสร็จ ฉันยาเสร็จ นึกว่าจะพักสักหน่อยพอนั่ง นอนปุ๊บลง ไป ก็เจอะพระ แฮะ โมทนาบุญค่ะสาธุๆๆ
ผมเลยลองแกล้งถาม ว่า พี่เจอท่านรึยัง น้องๆ ว่า เจอแล้ว ท่านเกี่ยวกับพีระมิด ที่พี่ไปบูชามาใช่มะ น้องๆว่า ใช่ -*--*-*-*-*-*-*-*-- พระศรีอาริย์ กราบ กราบ กราบ สาธุ โมทนาจ๊ะน้อง ทศวรรษ หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ท่านว่า พวกเราหลายคน ส่วนใหญ่ ลงมาเกิดก่อนเวลา เมื่อจะลงมา ก็ต้องขออนุญาต ผู้ใหญ่ คือ ท่านปู่พระอินทร์ และท่านย่า ท่านปู่ท่านย่าที่เป็นพระอินทร์นี้ ในอดีต สมัยเชียงแสน เคยเป็นพ่อเป็นแม่ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำอยู่ ท่านปู่คือ พระเจ้าพังคราช ท่านย่าก็คือพระนางพังครานี ส่วนท่านแม่เกิดเป็นคู่บารมีหลวงพ่อ เรียกสั้นๆ ว่า แม่ศรี ส่วนท่านมเหสักข์ ก็พี่ชายพวกเราเอง ปัจจุบันท่านรับตำแหน่งเป็นพระนารายณ์ นอกจากมีอาชีพเป็น พระนารายณ์ให้พวกฮินดูกราบไหว้บูชา ก็อำนวยความสะดวกให้ เขาแล้ว ยังรับหน้าที่เฝ้าปากทางเข้าพระจุฬามณีด้วย ใครฝึกมโนมยิทธิ ก่อนเข้าไปประตูพระจุฬามณี จะเจอท่านพี่ยืนเฝ้าอยู่ ท่านมีฤทธิ์มาก สังเกตุ ได้เลยว่า ใคร เจอปัญหา ต่างๆ ในชีวิต แสดงว่า ท่านจัดให้ พวกเรา ถ้าตั้งใจไปนิพพาน ก็ต้องเห็นทุกข์ ให้พอ เมื่อยังไม่เข็ด ก็ต้อง เกิดอีกนานนนนนน ท่าน จึง จัดดดให้ เจอปัญหาต่างๆ ในชีวิต โดย เฉพาะ โรคมะเร็ง ทำให้ เห็นทุกข์ได้ดีนัก ฉนั้น ใครไม่อยากเจอตรงนนี้มาก ก็ต้องพิจารณาทุกข์ให้มาก ต้องวิ่งเข้าหา ทุกข์ ถ้าไม่วิ่ง ทุกข์จะมาหาเอง จาก แรงกรรม ด้วย + เบื้องบนท่านจัดให้ บางคน ขึ้นไปถามท่านแม่ศรี ( แม่ใหญ่) ( คู่บารมีหลวงพ่อฤาษี มี3 องค์) คือ แม่ใหญ่ แม่กลาง แม่เล็ก มีคนถามแม่ศรีว่า ผมทำทานบารมีมามาก สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิยังน้อยกว่า เลย ทำไม ตอนนี้ ไม่ได้ เท่าที่ทำมา ท่านแม่ เลยว่า ถ้าแกรวย แล้ว จะสนใจเข้าหาธรรมะ เร๊อะ ( ประมานว่า ถ้า พวกเรา ร่ำรวย มีความสุข สุขภาพร่างกาย แข็งแรง ชีวิตเจอแต่เรื่องที่ดีๆ เพรียบพร้อม มีความสุข ทุกอย่าง พวกเราจะมาสนใจธรรมะ หรือ จะมาหันเข้าวัดกันหรออ) ทุกอย่างเป็น ธรรมะจัดสรร ( กฎของกรรม ด้วย) ท่านว่า ถ้าอยากได้ของเก่าที่ทำไว้ ให้ทำตัวเป็นพระอริยเจ้าให้ได้ แล้วของเก่าจะมาเอง ^ ^ พญามาร ในความเป็นจริง จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน หลวงพ่อฤมหาวีระ วัดท่าซุง (ฤาษีลิงดำ) "..พระยามารที่เรียกกันว่า พระยามาราธิราช ท่านเป็นหัวหน้าเทวดา สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ชาวสวรรค์เรียกท่านว่า ท้าวมาลัย ความจริงเวลานี้ท่านไม่ได้เป็นมารแล้ว อาตมาเคยพบกับท่าน ท่านคุยสนุกสนาน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ความเป็นมารของท่าน ที่จะเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า ก็เพราะในสมัยตอนที่พระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีใหม่ๆ เพื่อปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระยามาราธิราชกับ พระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างเลี้ยงม้าเหมือนกัน วันหนึ่งก็ไป เกี่ยวหญ้าให้ม้าด้วยกัน ท่านพระยามาราธิราชก็เกี่ยวแยกออกไป ต่างคนต่างเกี่ยวแยกคนละทาง วันนั้นบังเอิญมีพระปัจเจกพุทธเจ้า องค์หนึ่งผ่านมาต้องการหญ้า ก็มายืนที่พระพุทธเจ้าเกี่ยวหญ้า พระพุทธเจ้าถวายหญ้าท่านฟ่อนหนึ่ง แล้วท่านก็เหาะไป ครั้นจะเอาของเพื่อนให้ไปด้วยก็เกรงว่าเพื่อนจะไม่มีความเลื่อมใสจะ ว่าเอาเลยไม่ให้ไป ตอนเย็นเก็บหญ้ามารวม พระพุทธเจ้าก็บอกกับ ท่านพระยามาราธิราชว่า วันนี้พระมาบิณฑบาตหญ้าเรา เราเอาของ เราให้ไปแต่ว่าของเพื่อนเราไม่ได้ให้ไปเพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่ เลื่อมใส เท่านั้นแหละท่านพระยามาราธิราชสมัยเป็นเพื่อนก็เจ็บใจ หาว่าพระพุทธเจ้าเอาดีคนเดียว เลยจองล้างไว้ว่าถ้าหากแกจะเป็น พระพุทธเจ้าเมื่อไรก็ตาม หรือก่อนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ข้าจะคอย ขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของแกตลอดไป ทั้งนี้เพราะว่าท่านเองก็ ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน ท่านเล่าให้อาตมาฟังว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ที่ท่าน เคยขัดขวางไม่ใช่อะไรเป็นความโง่ของท่านเอง ท่านคิดเกรงว่าพระ พุทธเจ้าจะเทศน์สอนคนไปพระนิพพานเสียหมด แล้วเวลาท่านเป็น พระพุทธเจ้าจะไม่มีคนรับฟังการเทศน์ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่ น่าจะโง่แบบนั้น ที่โง่ก็เป็นเพราะกรรมที่จองล้างจองผลาญกันไว้ รู้สึกเสียใจเหมือนกันว่าไม่น่าจะทำ ต่อมาเมื่อ พระอุปคุต ทรมานเสีย จนหมดฤทธิ์เพราะเป็นคู่ปรับกัน จึงมาคิดได้ว่าเราโง่เกินไป เป็นอันว่า ท่านพระยามาราธิราช บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ไม่ต้องกลัวท่าน ควรจะดีใจถ้าท่านมาหาเมื่อไรมีความสุขเมื่อ นั้น และก็เลิกเรียกชื่อพระยามาราธิราชได้แล้ว เรียกว่า ท่านท้าวมาลัย ก็แล้วกัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์.." มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้น อาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่ คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า "ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" อาตมาตอบว่า "รู้" เขาถามว่า "เคยคุยไหม" ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน" จึงถามเขาว่า "แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ไม่รู้" ถามว่า "เคยเห็นไหม" เขาตอบว่า "ไม่เคยเห็น" เขาเลยถามว่า "ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป นี้เหรอ" ท่านบอกว่า "ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต" คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่ว แล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผล มันหายหรือ" ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการ สารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก
ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่ง ของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดา ไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า "ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้อง ลงอบายภูมิ" นั่น เขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่ เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิต เศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิด เดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน.." ขอโมทนากับธรรมทานของคุณทศวรรษ และทุกๆท่านด้วยนะคะ ถาม : พระอัลเลาะห์ ? ในพระพุทธศาสนา แต่ตอนหลังคนนับถือไปนับถือมาจนเพี้ยน เพราะว่ารอจนกระทั่งประมาณ ๑,๒๐๐ ปีแล้ว ถึงมาเริ่มฟื้นฟูกันใหม่ จะมีแถวที่เขาเรียกแบกเทรีย ที่เป็นอาณาจักรโบราณ แล้วก็มีทาริม ปัจจุบันสถานที่พวกนี้อยู่ในประเทศที่ลงด้วยคำว่า "สถาน" เยอะแยะไปหมด เช่น อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กิสถาน ฯลฯ เขาออกเสียงได้แค่นั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไหว้พระอัลเลาะห์ ถูกตัวจริง ๆ ก็จะเป็นพระอรหันต์ คือพระโยนกธรรมรักขิตตะ คนจะหลุดพ้นยาก เหมือนกับบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่ แต่ยังยืนกอดเสาอยู่ แล้วจะไปได้ไหมเล่า ? นั่นจริง ๆ เป็นเจตนาที่ดีมาก ๆ เลย ที่มา เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือน กันยายน 2554 หน้า3 หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ตัวการเข้าสู่มรรคผลนิพพานจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องได้อภิญญา ไม่จำเป็นต้องได้ วิชชาสอง ไม่จำเป็นต้องได้สมาบัติแปด หากแต่ท่านบอกว่าให้เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ คิดว่าตายเมื่อไหร่่จะไปนิพพาน มีข้อไหนล่ะที่บอกว่าต้องได้ การปฏิบัตินะ อภิญญา แปลว่า รู้ยิ่ง อภิ-ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ไม่มีอะไรรู้ยิ่งกว่า การ ตัดกิเลส อดีต...มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก เพราะฉะนั้น อดีตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ อนาคตัง สญาณ มันไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ ทุกชาติที่เกิดมารวยที่สุด ก็รวยมาแล้ว จนที่สุดก็จนมาแล้ว มีอำนาจที่สุดก็มีมาแล้ว ด้อยวาสนาที่สุดก็เป็นมาแล้ว มีชาติไหนที่พาให้เราพ้นทุกข์ได้? จุตูปปาตญาณ คนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราทำดีเราได้ดีแน่นอนถ้าเราทำชั่วเราได้ชั่วแน่นอนไม่จำเป็น ต้องรู้ก็ได้ เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่น ไอ้นั่นแหละตัวระยำเลย สำหรับคนใช้ผิด ดูมัน ต้องดูใจตัวเอง แก้ต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปเที่ยวดูคนอื่น ตำหนิ คนอื่น ให้บอกสิว่าผมคิดอะไร ไม่ถีบให้ก็บุญแล้วนะน่ะ อยากจะบอกกับเขาให้ชัด ๆ ว่าใจของ กูยังดูไม่ไหวเลย กูจะเสียเวลาไปดูใจมึงทำไม (หัวเราะ) คราวนี้ชัดมั๊ย? ปกติไม่ค่อย พูด นะ แต่บทจะพูดแล้วไม่ค่อยยั้ง สำคัญที่สุดก็คือดูใจตัวเอง ใจของเรามีความชั่วมั๊ย ถ้ามีไล่มันออกไประมัดระวังไว้อย่าให้มันเข้ามาอีก ใจของเรามีความดีอยู่มั๊ย? ถ้าไม่มี สร้างมันขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่คือตัวเจโตปริยญาณที่สำคัญที่สุด แต่ละวันดูสีดูจิตของตัวเองมันผ่องใสมั๊ย ถ้าไม่ผ่องใสเร่งทำความดีขับจิตให้ผ่องใสที่ สุดเ่ท่าที่จะพึงทำได้ แล้วก็รักษามันไว้อย่าให้มันขุ่นมัวอีก บางคนมาถึงก็ แหม...หลวงพี่พูดเหมือนตาเห็นเลย อาจารย์พูดเหมือนตาเห็นเลย หลวงพ่อพูดเหมือนตาเห็นเลย ไม่อยากจะเห็นหรอก แต่บางทีถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันก็ ไม่เชื่อ พอเห็นเสร็จก็เลิกดู ไม่รู้จะดูต่อไปทำไมมันไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าทั้งหมดก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์ ดูความทุกข์ของตัวเองก็ดูไม่ไหวแล้ว ดูใจของตัวเองก็ระวังไม่ไหวยังไปดูเขาอีก ใช้ให้ถูกนะ ยถากัมมุตาญาณ รู้กรรมของ คนและสัตว์ ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ ตกลงญาณ ๘ ต้องใช้มั๊ย? ...เออ ไม่ต้อง อภิญญา อภิ-ยิ่งกว่า , อัญญา-ความรู้ ไม่มี อะไรรู้เกินกว่าการตัดสินกิเลส อย่างต่ำ ๆ ให้รู้ว่าพระโสดาบันมีคุณสมบัติอย่างไรแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำในคุณสมบัตินั้นไป นั่นแหละถึงจะเป็นลูกที่ดี ถึงจะเป็นลูกที่แท้จริงของ หลวงพ่อ ถึงจะพูดได้อย่างเต็มคำว่าเราเป็นศิษย์วัดท่าซุง เราเป็นศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ถ้าเราดูใจตัวเองเป็น สังเกตใจตัวเองเป็นจะรู้ว่า ราคะ-อารมรณ์ระหว่างเพศก็ดี โทสะ-อารมรณ์โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ก็ดี โลภะ-อารมณ์ความโลภอยากได้ ใคร่มีก็ดี โมหะ-อารมณ์ความหลงก็ดี มันเป็นคุณสมบัติของร่างกายนี้ ถ้าหากว่าจิตใจ ของเราไม่ไปปรุงไปแต่งกับมันด้วย มันก็ไม่สามารถทำอันตรายเราได้ มโนมายิทธิใช้อารมรณ์ของอภิญญาพุ่งจิตขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน หน้าด้านเข้าไว้ กำลังของสมาธิของเราเข้มแข็งพอ ถ้ารู้ระวังตัวอยู่มันมาเราเผ่นพรวดหนีไปเลย ไปอยู่ข้างบนโน่น โกรธขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน โลภขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน หลงขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน ไปอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ร่างกายเมื่อไม่มีจิตใจคอย ปรุงแต่งอยู่ มันก็เหมือนกินอาหารไม่ได้ใส่เกลือไม่ได้ใส่น้ำปลาไม่ได้ใส่น้ำส้มไม่ได้ใส่ น้ำตาล มันไม่มีรสไม่มีชาติมันจืดชืดไม่เป็นท่า มันเซ็งมัน ไม่มีใครไปปรุงแต่งให้ อารมณ์จิตมันตั้งอยู่เดี๋ยวเดียวความชั่วเหล่านั้นมันก็สลายไป เพราะว่าความชั่วเหล่า นั้นเป็นสมบัติของร่างกายไม่ใช่สมบัติของใจ ของเรา นั่นแหละ คือการใช้มโนมยิทธิที่ถูกต้องอย่างที่หลวงพ่อต้องการ เพราะว่ามันจะไม่พลาดไปไหน อย่างไร ๆ เราก็อยู่ตรงนั้นแล้ว มันเป็นการตัดกิเลสที่ อัตโนมัติที่สุด เราอยู่ตรงนั้นให้ชินกับอารมณ์ละเอียด อารมณ์สงบ อารมณ์เยือกเย็นของพระนิพพานอันนั้น พอจิตใจมันชินรับอารมณ์นั้นมาเต็มที่แล้ว ประคับประคองให้ดี ส่วนใหญ่ลุกปั๊บเลิกเลย ต้องรู้็จักรักษาประคับประคองระมัดระวัง สภาพจิตใจของเราให้ทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ได้ครึ่งชั่วโมง ให้ได้หนึ่งชั่วโมง สามชั่วโมง ครึ่งวัน วันหนึ่ง สามวัน อาทิตย์หนึ่ง สิบวัน ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง ...ว่าไปเลย ยิ่งนานเท่าไรกิเลสยิ่งกินใจเราได้น้อยลง ๆ เวลา ก็เหมือนกับหินที่ทับหญ้า ทับไปนาน ๆ หญ้ามันตายหมด นี่คือตัวมโนมยิทธิที่ หลวงพ่อต้องการให้พวกเราปฏิบัติที่หลวงพ่อเคี่ยวเข็ญ สั่งสอนเรามากี่ปีต่อกี่ปี การใช้ที่ถูกต้องใช้กันอย่างนี้ เ่ท่าที่อาตมาดูมาส่วนใหญ่ใช้ผิดหมด ในเมื่อใช้ผิด มันก็จะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ทั้งนั้น แทนที่จะรู้เพื่อละก็รู้เพื่อหลง เพื่อยึดเพื่อ ติด แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เรารู้เป็นการรู้ในปัจุบัน อนาคตสิ่งเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงตามไป ตามปัจจัยเฉพาะหน้า ดังนั้น คำทำนายหลาย ๆ อย่างเมื่อถึงวาระ ถึงเวลา เมื่อมีปัจจัยเฉพาะหน้ามาให้เปลี่ยนแปลง อย่างเช่น บอกว่าเมื่อเดือนมิถุนายนมันจะดี แต่ถ้าหากว่าทั้งหมดรามือเสียจากการทำดี ปล่อยให้ความชั่วเข้ามาครอบงำ จิตใจกำลังของความชั่วมีสูงกว่าถึงวาระถึงเวลามันก็ไม่ดีไปตามนั้นดังนั้น กระทั่งความเป็นทิพย์ ความรู้ เหล่านี้ มันก็ยังไม่เที่ยง เพียงแต่เอาเป็นแนวทางไว้คอยระมัดระวังเท่านั้น รู้ ต้องรู้อย่างคนมีสติ ใช้ต้องใช้อย่างคนมีปัญญา สติกับปัญญาเป็นของคู่กัน ถ้าสติเกินปัญญา จะเป็นคนไม่กล้าทำอะไรจด ๆ จ้อง ๆ ขี้กลัว ขี้ระวังจนเกินไป ถ้าปัญญาเกินสติก็จะ บุ่มบ่าม โฉ่งฉ่างจนกระทั่งพลาดได้ง่าย สติกับปัญญาจะต้องไปพร้อม ๆ กัน ไปเท่า ๆ กันธรรมะจึงจะเจริญ พูดมากมั๊ย? นาน ๆ ด่าทีว่าจนคุ้ม ปีหนึ่ง ๆ อาตมาก็มีเวลาพูดได้อย่างนี้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ใครเก็บอะไรไปได้ก็เก็บไป รวมเวลา ๒๕-๒๖ ปีที่ผ่านมาที่อาตมามอบกายถวายชีวิตอยู่รองพระบาทของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมา ทั้งหมดที่เก็บมาได้ไม่เคยปิดบังใคร มีอะไรให้แค่หมด เพราะว่าพ่อก็ไม่เคยหวงวิชา ก็อยากให้ญาติโยมมีความสุขเช่นนั้นบ้าง สิ่งที่เราทำได้ ทำอะไรทำง่าย ๆ สำเร็จลงง่าย ๆ ก็อยากให้ทุกท่านได้อย่างนั้นบ้าง ก็พยายามเคี่ยวเข็ญกัน แต่เพียงแต่ว่าอาตมามีเวลาเคี่ยวเข็ญพวกเราน้อยมาก เนื่องจากว่าภาระต่าง ๆ มันมากเหลือเกิน บวชมาแค่ ๑๐ กว่าพรรษามีแต่คนมาขอความเช่วยเหลือ มีแต่คนมาขอพึ่งพิง ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ทั้งเอกชน ทั้งหน่วยราชการ ทั้ งในและต่างประเทศ แต่อาตมาเองมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อ เป็นที่พึ่ง มีญาติโยมทั้งหลายเป็นผู้สนับสนุน จนกระทั่งเขาถามว่าทำไมถึงทำอะไรง่าย ๆ ทำอะไรไม่เคยลำบากกับใคร อยากจะบอกว่าถ้าบารมีเต็ม บารมี คือ กำลังใจ ถ้าบารมีเต็มบุคคลจะทำอะไรได้ ไม่มีคำว่ายาก อาตมาเองน่ะไม่เต็มหรอก แต่อาศัยพระพุทธเจ้าท่านเป็นหลัก ขึ้นชื่อคำว่าพระแล้วคำว่าไม่เต็มนั้น ไม่มี มีแต่ล้นจนเผื่อแผ่ถึงอาตมาและญาติโยมทั้งหลาย ถาม : พอดีดูละคร เขาให้....(ถามเกี่ยวกับลุงพุฒ) ? ตอบ : พวกนั้นเข้าใจผิดกันเยอะเลย บางคนเข้าใจว่าพระยายมราช คือ ท้าวเวสสุวรรณซะด้วยซ้ำ เขาจะเข้าใจผิดกันเยอะมาก? ลุงพุฒ จริง ๆ ก็คือพระยายมราช ท่าน พระยาวสวัตตีมาราธิราชองค์ก่อนคือท่านท้าวมาลัย ซึ่งเคยปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าและจะตรัสรู้ในกัปเดียวกับ พระราม แต่ว่าปัจจุบันนี้ท่านลาพุทธภูมิขอไปนิพพานแทนแล้ว ไม่เอาแล้วเหนื่อย วสวัตตีมาราธิราชนี่เหมือนกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พอนายกคนหนึ่งพ้นตำแหน่งไปอีกคนหนึ่งก็ขึ้นมาแทนไปเรื่อย ๆ เพราะว่าฝ่ายมารก็เยอะ ถามว่าทำไมถึงเกิดเป็นมาร ท่านทั้งหลายเหล่านั้นปกติแล้วมีจิตเป็นมิจฉาทิฐิอยู่แต่ว่าได้ทำบุญใหญ่ ไว้ ผลบุญนั้นก็เลยส่งผลให้ไปอยู่สวรรค์ชั้นสูงสุด กามาวจรสวรรค์ชั้นสูงสุด คือชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี ชั้นที่6 จะแบ่งเขตกับเทวดาคนละครึ่ง มารอยู่ครึ่งหนึ่งเทวดาอยู่ครึ่งหนึ่ง หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน จากหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับ 19 หน้า1 เดือน พ.ย. 2554 ถาม : เห็นเป็นตัวเป็นตนเลยนะครับ ตอบ : ทุกคนสามารถเห็นได้เพียงแต่ว่าเขาทอดทิ้งการกระทำอันนั้นเสีย เพราะว่าขาดความอดทน ถ้าหากว่ามีความอดทนเพียงพอตั้งใจปฏิบัติมันได้ทุกคน แหละ โอกาสที่มันจะเข็นยากเต็มที่น่ะไม่มีหรอก เพราะว่าขนาดเนยยะก็คือประเภท ที่ต้องเคี่ยวเข็นกันพระพุทธเจ้าท่านยังบอกว่าโอกาสที่จะเข้าถึงไตรสรณคมน์ของเขา ก็มี พอเข้าถึงไตรสรณคมน์นี่สวรรค์เปิดโล่งอยู่แล้วล่ะไปได้สบาย ๆ ด้วยบทบาท พวกนี้ฉลาดเกินไปชอบเถียงครู มันเก่ง ปทปรมะที่บอกว่าสอนไม่ได้ นี่ไม่ใช่ว่าเขาโง่ หากแต่มันไม่ฟังใคร ยึดความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ ตะแบงข้าง หรือไม่ก็ที่เขาเรียกว่าคนขวางโลกอะไรพวกนั้น มันเลยเป้า เราต้องการแค่หัวมัน เอื้อมมือเลยหัวทุกที อันนั้นเจตนาขวางพระพุทธเจ้าเลยเพราะว่ากลัวว่าพระพุทธเจ้ามาจะเอาบริวารตัวเอง ไปหมด พระโพธิสัตว์เขาต้องมีบริวาร โตไทยพราหมณ์ จริง ๆ ก็คือคนไทย โต-ไทย?ยะ-พราหมณ์ =พราหมณ์คนไทยชื่อนายโต สมัยก่อนเขาไม่มีนามสกุล เขาก็เลยต้องมีฉายาต่อท้าย สมัยก่อนเขาใช้ฉายากันใช่ไหม ภัททิยะศากยราชา ก็จะได้รู้ว่า ภัททิยะที่เป็นราชาของเหล่าศากยะเขา เพราะ่ว่าชื่อภัททิยะเขามีเยอะ อลกุณฑกะภัททิยะ ภัททิยะที่เป็นคนเนี้ย,คนค่อมน่ะ เขาบอกเอาไว้ชัด ๆ ไม่งั้นชื่อซ้ำกันจะแยกไม่ออกว่าเป็นคนไหน ว่าจะเอาลูกศิษย์เขาไปหมด เลยไปยืนลำเลิกเบิกประจานด่าพระพุทธเจ้าไล่ให้ออกไป จากเขต ตายตอนนั้นยังไม่ลงนรกนะ กลายเป็นหมา เกิดเป็นลูกหมาก่อน เกิดเป็นลูก หมาอยู่ในบ้านตัวเอง พระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตมาเห่าอีก พอมาเห่าไล่พระพุทธเจ้า ก็บอกว่า โตไทยพราหมณ์สมัยเธอเป็นคนอยู่ก็ขวางทางตถาคตแล้ว เกิดเป็นหมาแล้ว ยังจะทำอย่างนี้อีกหรือ โตไทยพราหมณ์ก็ตกใจ เอ๊ะ สมณโคดมรู้ด้วยว่าเราเป็นใคร ก็เลยเสียใจไปนอนซุกกองขี้เถ้าไม่ยอมกินอะไร บรรดาคนใช้เขาได้ยินเขาก็ไปฟ้อง เจ้านาย ไปฟ้องสุภมานพ ที่เป็นลูกของโตไทยพราหมณ์ บอกว่าสมณโคดมประจาน ตระกูลนี้ว่าโตไทยพราหมณ์ที่จะต้องเกิดเป็นพรหมแน่ตามความเชื่อของเขาน่ะ เกิดเป็นเดรัจฉาน สุภมานพก็เลือดขึ้นหน้ากะว่าจะบุกไปโซ้ยพระพุทธเจ้าถึงเชตวันเลย พาบริวารพาอะไรไปพอไปถึงก็ว่า ถ้าหากว่าพระสมณโคดมพิสูจน์ไม่ได้ว่าลูกสุนัขตัวนี้ เป็นบิดาของเรา เราก็จะประจานสมณโคดมต่อหน้ามหาชน เขาตั้งความคิดไว้อย่างนั้นเลย ให้เอาลูกสุนัขนั้นมาอาบน้ำทำความสะอาดให้ดีหาอาหารให้กิน พอเขากินอิ่ม แล้วกระซิบตรงข้างหูว่า สมบัติอะไรที่พ่อยังไม่ได้บอกแก่ลูกขอให้ช่วยบอกด้วย สุภมานพก็เอา ไอ้เรื่องแค่นี้มันพอทำได้ก็ทำดู ถ้าไม่ได้อย่างนั้นจริง ๆ แล้วค่อยกลับมา ด่าใหม่ ก็ไป พอทำอย่างนั้นปุ๊บโตไทยพราหมณ์ได้ยินลูกพูดอย่างนั้นก็ความลับแตก แล้วน่ะ ก็เลยพาไป ตะกุยดินตรงไหนสุภมานพก็ขุดตรงนั้นได้มาลัยทองราคาตั้ง แสนกหาปณะ ได้ถาดทองราคาตั้งแสนกหาปณะ อะไรขึ้นมาบานเบิกเลย สุภมานพก็ อ๋อ พระพุทธเจ้าท่านตรัสจริง ก็เลยเลื่อมใสนับถือพระพุทธเจ้า ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ แต่โตไทยพราหมณ์เขาใช้คำว่าอกแตกตาย ก็คงหัวใจสลายน่ะนะ คนอื่นรู้ความลับตัวเองหมดทั้ง ๆ ที่คิดว่าพราหมณ์เป็นตระกูลที่ สูงมากอย่างไร ก็ต้องเกิดเป็นพรหมมันกลับไปเกิดเป็นลูกหมาซะได้ ตายในขณะที่จิต เศร้าหมองคราวนี้ลงอเวจีไปเลย ส่วนใหญ่แล้วก็ไปแค่หมา แต่ไอ้ส่วนน้อยมันมีอยู่อาจจะเปอร์เซ็นต์เดียว แล้วไอ้เปอร์เซ็นต์เดียวมันดันลงไปให้เห็นชัด ๆ ซะด้วย ถาม : ทำไมเรียกภัทรกัปล่ะครับ ? มัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ วรกัป มีพระพุทธเจ้า ๓ องค์ สารมัณฑกัปมีพระพุทธเจ้า ๔ องค์ และภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า ๕ องค์ คราวนี้มันจะมีพวกสุญกัป อันตรายกัป ที่ว่างจากพระพุทธเจ้ามีแต่สิ่งชั่วร้าย อะไรต่าง ๆ เยอะแยะไปหมดนาน ๆ ถึงจะมีกัปที่มีพระพุทธเจ้าขึ้นมาทีหนึ่ง แต่ปรากฏว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ฟลุคที่สุดเป็นภัทรกัป ๒ กัปติดกัน มีพระพุทธเจ้าได้ ๑๐ องค์ ใครเกิดช่วงนี้เฮงที่สุดแล้วก็ซวยที่สุด เฮงที่สุดก็คือทำความดีไม่ต้องมากหรอกขึ้นไปได้แค่ สวรรค์น่ะ พระศรีอาริยเมตไตรย์ขึ้นไปตรัส โดยเฉพาะพวกเรายึดในทานศีลภาวนาอยู่ รับรองว่า ตอนนั้นสวรรค์ร้าง ท่านคงกวาดไปหมด แต่ถ้าพลาดลงนรกนี่เอาแค่ขุมตื้น ๆ เท่านั้นนะ ผ่านไป ๑๐ องค์นี่ ยังไม่ทันได้โผล่หรอก เพราะฉะนั้นเฮงที่สุดแล้วก็ซวยที่สุดในเวลาเดียวกัน สุภมานพตรัสรู้ก่อน สุภมานพจะเป็นสมเด็จพระพุทธเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า โตไทยพราหมณ์จะเป็นสมเด็จพระพุทธนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อไปทีหลังลูก ลูกได้ก่อน คำพยากรณ์เขาพยากรณ์แน่นอนอยู่แล้ว อาจจะป็นไปได้ด้วยว่าช่วงนี้ท่านลงกว่าจะขึ้นมาก็เลยไปทีหลังลูกก็ได้ พระที่รู้แน่ ๆ ก็คือพระยามาราธิราชลาใช่ไหม ในอนาคตวงศ์เขาเริ่มพระศรีอาริยเมตไตรย์องค์ที่ ๑ ช้างปาลิไลยกะองค์ที่ ๑๐ แต่ว่าเราต้องการแค่ ๖ เพราะฉะนั้นต้องลาอย่างน้อย ๔ องค์ พระยามาราธิราชลาไปแล้วก็เหลืออีก ๓ องค์ ก็ดูว่าใครจะสละสิทธิ์ พระราม จะเป็น สมเด็จพระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศล จะเป็น สมเด็จพระพุทธธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พระยามาราธิราช(พญามารครั้งพุทธกาล) ถ้าไม่ลาซะก่อนจะเกิด เป็นสมเด็จพระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า อสุรินทราหู(พระราหู) ถ้าหากว่าไม่ลาก็จะเกิดเป็น สมเด็จพระพุทธนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า คนมันลือกันไปเอง (หัวเราะ) ก็พระพุทธรูปจะมีอยู่ปางหนึ่งปางไสยยาสน์น่ะ ไสยยาสน์พระบาทเสมอเป็นปรินิพพาน ถ้าหากว่าไสยยาสน์พระบาท ซ้อนเหลื่อมก็จะเตรียมตัวลุก แต่มีปางไสยยาสน์อยู่อันหนึ่ง เขาเรียกว่าไสยยาสน์ลืมเนตร ไม่ได้หลับตา อันนั้นเขาเรียกว่าปางโปรดอสุรินทราหู ไปโปรดพระราหูเพราะพระราหูนี่ท่านคิดว่าตัวท่านใหญ่มาก ตามในบาลีเขาบอกว่ารอยต่อระหว่างคิ้วนี่โยชน์หนึ่ง ๑๖ กิโลเนี่ย ของเรามันได้ ๒ นิ้วมือหรือเปล่าก็ไม่รู้ คราวนี้ตัวท่านใหญ่ขนาดนั้น ก็เลยว่าจะไปกราบพระพุทธเจ้าแต่กลัวว่าจะเป็นการไม่เคารพ เพราะว่าตัวใหญ่ต้องก้มลงดูพระพุทธเจ้า อยากจะไปแต่ไม่ได้ไปกลัวจะ เป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเลยเสด็จไปโปรด ปรากฏว่าพระพุทธเจ้านอนตัวใหญ่กว่าราหู (หัวเราะ) ปางนั้นแหละเขาเรียกว่าไสย ยาสน์ลืมเนตร-ปางโปรดอสุรินทราหู แต่ว่าต่อมาหลัง ๆ มันมีเฝือเยอะ ถ้าอธิบายพระไตรปิฎกลงมาเป็นอรรถกถานี่โอเคล่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณไม่ใช่ส่วนใหญ่ล่ะทุกองค์ แต่อรรถกถามาฎีกา ฎีกามาเป็นอนุฎีกา อนุฎีกามาเป็นเกจิอาจารย์นี่ไม่ไหวแล้ว ชักจะเลอะ ก็เลยกลายเป็นว่าเพิ่มอะไรขึ้นมาเยอะเกินไป มันเฝือ ทีนี้ถัดจาก อสุรินทราหูก็เป็นโสณพราหมณ์ จะเป็นสมเด็จพระพุทธรังสีมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นสุภมานพเป็นสมเด็จพระพุทธเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า โตไทยพราหมณ์ เป็นสมเด็จพระนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ช้างนาฬาคิรี ที่เทวทัตปล่อยไปจะเหยียบพระพุทธเจ้าน่ะ จะเป็นสมเด็จพระพุทธติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วช้างปาลิโลยกะ ที่อุปฐากพระพุทธเจ้าตอนที่อยู่ป่าเลไลย์น่ะ ตอนหนีภิกษุโกสัมพีที่ทะเลาะกัน นั่นจะเป็นองค์สุดท้าย จะเป็นสมเด็จพระพุทธสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องมีอย่างน้อย ๆ อีก ๔ องค์ที่จะลา เรารู้แน่ ๆ คือท้าวมาลัย ท้าวมาราธิราช ลาแล้ว ที่เหลือท่านไม่ได้พยากรณ์มิบังอาจบอก ลาก็คือลา ไปแทรกคิวเขาไม่ได้เดี๋ยวโดนดีเขี้ยวมันยาวจัด (หัวเราะ) ต้องชมบรรดาพระโพธิสัตว์ว่ากำลังใจท่านทรงตัวจริง ๆ กำลังใจท่านทรงตัวมาก อย่างพลตรีศรีพันธ์ วิชชุพันธุ์ น่ะ หลวงพ่อท่านถาม ? ไอ้แดง ของเอ็งน่ะอีก ๘๑ กัปนะ สู้ไหม? ?สู้ครับ? ๘๑ กัปนะ ไม่ใช่ ๘๑ องค์ แต่ละกัปอาจจะเกิดหลายองค์ก็ได้ สู้ครับ มันไม่ถอยน่ะ กำลังใจของพระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่แล้วเข้มแข็งมาก เรื่องลำบากไม่กลัว พยากรณ์ว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แบบเดียวกับพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมมุตรพยากรณ์...ญาติพระเจ้าพิมพิสาร ? อีก ๙๑ กัปญาติของเธอจะเกิดเป็นพระราชานามว่าพิมพิสาร (ท่านท้าวเวสสุวรรณองค์ปัจจุบัน) ถึงเวลานั้นแล้วเธอจะได้ส่วนบุญ? ดีใจแทบตาย ๙๑ กัป สำหรับหลวงพ่อฤาษีเองท่านบอกว่าถ้าไม่ลาซะก่อนอีก ถัดจากพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปอีก ๒๒ องค์ จะมีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธอริยมุนี สัมมาสมัพุทธเจ้า รอกันอ่วมเลยท่านบอกรอไม่ไหว ไปดีกว่า พวกที่หมดเรื่องแล้วรอได้ ไอ้ที่มีเรื่องต้องลงเรื่อย ที่ว่า หนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน (ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) สาธุ โมทนากับธรรมทานคุณทศวรรษค่ะ ขออนุโมทนา กับ คุณทศวรรษ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ กราบพระบาท พระศรีอาริย์เมตไตร ด้วยเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ขอร่วมอนุโมทนาด้วยนะคะ..ยังอ่านไม่ครบ แต่จะมาอ่านเป็นประจำค่ะ ขอบคุณค่ะ ขออนุโมทนา กับ คุณทศวรรษ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ***** ขอทักทายคุณน้องด้วยค่ะ หายหน้าหายตาไปนาน คิดถึงนะคะ สาธุ ๆ ๆ ขอบพระคุณที่นำมาให้อ่านคะ ดีมาก ๆ เลย อนุโมทนาด้วยนะคะ สนทนากับสมเด็จองค์ปฐม (พระพุทธเจ้าพระองค์แรก) เรื่องภัยพิบัติ เพราะฝนขาดความเข้าใจเรื่องภัยพิบัติที่ท่านว่าจะเกิดขึ้น พ่อเห็นว่าจิตเจ้าไม่สะทกสะท้านเหมือนคนอื่นเค้า เพราะเจ้าไม่เข้าใจว่า จะให้เจ้าช่วยอะไร ยังไง พ่อจะเล่าให้เจ้าฟังว่าเรื่องมันใหญ่กว่าที่เจ้าคิด สาวกที่ได้ญานการรู้ล่วงหน้าเเห่งเหตุของอนาคตนั้น ท่านรู้เรื่องนี้ทุกองค์ พ่อจะยกตัวอย่างให้เจ้าดูถึงเกาะฮาวาย เจ้าเห็นภาพคลื่นที่สูงท่วมตึกระฟ้า ไหม คลื่นสูงขนาดนี้นะลูก ภัยพิบัติไม่ได้เกิดพร้อมกันทั้งโลกในเวลาเดียวกัน มันเกิดทีละจุดๆ เเต่ละจุดก็จะมีเรื่องราวที่ไม่เหมือนกัน เเต่รวมๆกันหลายๆจุด มันก็เกือบทั้งโลก สาวก พรหม เทวดาทั้งหลายท่านได้เตรียมการรับมือไว้ โดยการเตรียมคนที่ได้อภิญญามาเเล้วในอดีตชาติ เลือกคนที่เก่งเลยล่ะ เเละต้องมีคุณธรรมควบคู่กันไป เพื่อมาช่วยตรงส่วนนี้ ปัญหามันเกิดเยอะนะ ลูก ยิ่งคนเยอะก็จะช่วยเเบ่งเบาภาระไปได้เยอะ สวดมนต์ นั่งสมาธิ อีกอย่างเราไม่ได้ช่วยเฉพาะคนที่นับถือศาสนาพุทธนะลูก คนที่ปฏิบัติดีในศาสนาอื่นเราก็ช่วย ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้า เป็นคนของศาสนาพุทธก็ช่วยเหลือเเต่คนในประเทศที่นับถือ ศาสนาพุทธ ภารกิจนี้เราช่วยเหลือ คนทั่วโลกตามจุดต่างๆที่เค้ามีปัญหา เช่น ยังมีคนดีๆที่นับถือศาสนา คริสต์เข้า โบสถ์สวดมนต์ คนเเบบนี้เราถือว่าเค้าเป็นคนดี เราก็ต้องช่วยเค้า ดังนั้นเราควรจะช่วยเหลือลูกหลานของเราให้รอดจากภัยพิบัตินี้ เพื่อให้ฟื้นตัวอย่างไม่ลำบากนักหลังจากที่เรื่องราวเหล่านี้ผ่านพ้นไป ล่วงหน้าทำให้สามารถป้องกันความเลวร้ายของเหตุการณ์ได้ในระดับหนึ่ง คนที่มีความสามารถพิเศษ เช่น เห็นว่าสถานที่นี้มีความขาดเเคลนน้ำเค้าก็ สามารถอธิษฐานให้ดินกลายเป็นบ่อน้ำให้คนได้กินได้ใช้ดื่มได้ เเต่ไม่ใช่ว่าคนไม่ดีจะตายกันทั้งหมด คนพวกนี้ก็ยังเหลือนะลูกเพราะ กรรมเค้ายังไม่หมด ยมบาลยังไม่รับไปลงโทษ เเต่บทบาทหน้าที่เค้าจะลดลง พ่อไม่อยากให้ใครต้องตระหนกตกใจ กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ในวันนี้ให้ดีที่สุด เรื่องราวภัยพิบัติครั้งนี้ก็เป็นเหมือนกระชอนกรอง คนดีออก จากคนไม่ดี คนดีเทวดาย่อมคุ้มครอง เข้าใจใช่ไหมลูก มีเเต่อย่างใด ฝนเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดบทความเท่านั้น อย่ามาถือเอาความกับฝนนะคะ ขออนุโมทนากับคุณทศวรรษ ด้วยค่ะ สาธุ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริงๆ เหมือนกับเชือกเส้นหนึ่ง ที่ประกอบจากเชือกเล้นเล็กอีก 3 เส้น ควั่นเกลียวกันขึ้นมา พระพุทธเจ้ามาจากพระธรรม เมื่อรู้ธรรมแล้วนำไปสั่งสอนผู้ปฏิบัติธรรมเป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์คือ สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ดำเนินตามรอยพระธรรมที่ท่านตรัส สั่งสอนมา จริงๆแล้ว 3 อย่างนี้ อันใดอันหนึ่งทิ้งกันไม่ได้ แต่เนื่องจาก ถ้าหากแยกแยะละเอียดแล้ว มีทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าหากว่าปฏิบัติในพุทธานุสติ จะเข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายที่สุด ที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด คือ พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน ถ้าใจเราเกาะท่าน ก็คือ เราเกาะพระนิพพาน แต่ต้องคิดให้เป็นนะ...! ถ้าคิดไม่เป็นก็พระพุทธเจ้าอยู่ในโบสถ์ พระพุทธเจ้าอยู่บนหิ้งใช่ไหม? ต้องพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน..... ที่มา จากหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ 85 เดือน มี.ค. 2554 หน้า39 บรรทัดที่4 หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ขออนุโมทนาค่ะ น้องทศวรรษ สาธุ ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรมจริงค่ะ ตอนมีความสุข มัวแต่สุข ไม่สนใจปฏิบัติธรรมบำรุงศาสนา ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร ตอนได้รับทุกข์สาหัส จึงหันหน้าเข้าหาธรรม ประจำใจ ถ้าเราใจเกาะพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเกาะพระนิพพาน ง่ายๆ แต่ได้ครบถ้วน ค่ะ คนที่ยังไม่ได้อภิญญาเค้าก็ช่วยกันทางอื่นได้ เช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ อีกอย่างเราไม่ได้ช่วยเฉพาะคนที่นับถือศาสนาพุทธนะลูก คนที่ปฏิบัติดีในศาสนาอื่นเราก็ช่วย ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้า เป็นคนของศาสนาพุทธก็ช่วยเหลือเเต่คนในประเทศที่นับถือ ศาสนาพุทธ ............................................................................... สาธุ คะ ไม่ได้อภิญญาอะไรเหมือนกัน ขอสวดมนต์ นั่งสมาธิ และเผยแผ่สิ่งดี ๆ ช่วยก่อนนะคะ ช่วยทั้งโลก ไม่มีอะไรมาแบ่งแยกคะ สาธุ .................................................................... ขออนุโมทนากับคุณ ทศวรรษ และคุณน้ำฝน ผู้ถ่ายทอดบทความ (ผู้น่ารักและมีจิตเป็นทิพย์ด้วยคะ) สมเด็จองค์ปฐม จากหนังสือธรรมเพื่อความหลุดพ้น เล่ม 9 ผู้จักไปพระนิพพานในชาตินี้ ย่อมถูกกรรมเก่าทวงเป็นธรรมดา ๑. เรื่องที่คุณหมอในขณะนี้ ที่ประสบเคราะห์กรรมให้เสียทรัพย์สินบ่อยๆ แม้กระทั่งมีปัญหาทางครอบครัว ก็เป็นผลจากกฎของกรรมในอดีตทั้งสิ้น เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า บุคคลใดที่ต้องการจักไปพระนิพพานในชาตินี้ บรรดาเจ้าหนี้เก่าๆ ก็จักตามทวงตามเล่นงานอย่างไม่ลดละ เพื่อทดสอบกำลังของจิตว่า จักทนทานกับการเล่นงานอย่างนี้ได้สักแค่ไหน ๒. ถ้าวางอารมณ์ลงตัวกฎของกรรมเป็นธรรมดาไม่ได้ บุคคลผู้นั้น ก็จักพ่ายแพ้แก่การต่อสู้กับอุปสรรคที่กฎของกรรมส่งผลอย่างสิ้นเชิง อารมณ์ที่จักละกิเลสไปพระนิพพาน ก็จักคลายความเข้มแข็งลง นี่ต้องให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่จักเข้าพระนิพพาน ๓. แต่ถ้าบุคคลนั้นพ่ายแพ้บ้าง แต่ไม่ยอมท้อถอยต่อสู้กับ อุปสรรค คือยอมรับในกฎของกรรมโดยดุษฎี จิตก็จักไม่ดิ้นรนมาก ชดใช้กฎของกรรมไปโดยดี ไม่ช้าไม่นานกฎของกรรมก็จักคลายตัวไป ในกรณีของคุณหมอก็เช่นกัน จักยอมแพ้หรือจักอดทนก็สุดแล้วแต่จักตัดสินใจ เอาเอง เพราะกฎของกรรมมันเที่ยงเสมอ ถ้าเราไม่เคยทำ กรรมเหล่านี้จักถึงเราไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น พึงพิจารณากฎของกรรม ให้รอบคอบ นี่เป็นเพียงเศษของกรรมเท่านั้นนะ กรรมใหญ่ๆ ได้รับการผ่อนหนักให้เป็นเบาก็มากแล้ว ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทาน คุณทศวรรษ นะคะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ ขออนุโมทนากับคุณ ทศวรรษ ด้วย ครับ ที่นำธรรมมะ ดีดี มาแบ่งปันครับ อนุโมทนากับคุณ ทษวรรษ ด้วยค่ะ ที่นำธรรมทานดีๆมาให้อ่าน ทั้งสาระทางธรรมและมีเกร็ดความรู้ เรื่องการรักษาโรคมาเสนอให้อีกด้วย ช่างเป็นแหล่งความรู้ที่อุดมสมบูรณ์จริงๆ ..หากผู้ใด รู้จักศีล เพียรรักษาศีลแล้ว แม้เพียงบางส่วน ...จะอยากสร้างทาน ธรรมะ จะเข้าถึงได้ ต้องเกิดจากการศึกษา-ปฎิบัติด้วยตนเอง แต่เพียงประการเดียวเท่านั้น การฟัง การอ่าน การดูผู้อื่น หรือคอยผลจากผู้อื่น จะไม่มีโอกาสเข้าถึงธรรมะได้เลย ตามศิลาจารึก เรื่อง "พุทธทำนาย" ที่ พระเชตวันมหาวิหาร ประเทศอินเดีย ท่านหยุดทำปาบหรือยัง *** ทุกอย่างเป็นไปตาม หลักสัจจะธรรม **** ท่านจันทนา วีระผล
เข้าถึงพระนิพพานได้ด้วยทานบารมีเต็ม ๑. ที่พวกเจ้าเข้าใจว่า พระจันทนา วีระผล นั้น เข้าถึงพระนิพพานปรมัตถ์ได้ด้วยอาศัยจาคะเป็นเหตุนั้นถูกต้อง เพราะท่านผู้นี้มีกำลังใจเต็มอยู่เสมอที่จักสละทานการให้อยู่เป็นปกติ ไม่ว่าทรัพย์ภายนอกหรือทรัพย์ภายใน สละได้โดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่เป็นนิจ ๒. ทรัพย์ภายนอกได้แก่ทรัพย์สินเงินทองนี้มีอยู่ ท่านสละได้โดยไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น จิตใจไม่โลภแม้กระทั่งหวังได้ผลบุญมากตอบแทนก็ไม่มีอยู่ในจิต จิตจึงผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ทรัพย์ภายในคือท่านหมั่นสละอารมณ์โลภ - โกรธ - หลง ที่เกาะอยู่ในจิตอันอาศัยขันธ์ ๕ เป็นเหตุอยู่นี้ เพียรละอยู่ตลอดเวลา จึงมีความผ่องใสของจิตเพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับ การสละจาคะอยู่อย่างนี้ท่านทำอยู่เป็นปกติในที่สุดก็จึงมีกำลังใจเต็ม สละร่างกายได้ในวาระที่มีโอกาสที่จักไปพระนิพพานได้ ๓. ท่านผู้นี้ ถ้าไม่ทิ้งขันธ์ ๕ ในขณะนั้น ก็จักอยู่ต่อไปได้อีก ๑๒ ปี ในอารมณ์ของจิตที่อยู่ในระดับพระอรหัตมรรค เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านผู้นี้ จึงได้ชื่อว่าตัดตรงมาทางสายตรง มิใช่มาทางลัดเยี่ยงบุคคลอื่นๆ ในบรรดาลูกศิษย์ของท่านฤๅษี จึงจัดได้ว่ามีส่วนทำมาทางสายตรง เช่นเดียวกับพระท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เพราะฉะนั้นพวกเจ้าพึงดูตัวอย่างท่านเหล่านี้ รักษากำลังใจปฏิบัติตามให้มั่นคง แล้วในที่สุดแห่งชีวิตก็จักได้เข้าถึงมรรคผลนิพพานอย่างแน่นอน ธัมมวิจัย เกี่ยวกับคำตรัสที่ว่า ท่านพระจันทนาฯ เข้าถึงพระนิพพานปรมัตถ์ได้นั้น หมายความว่าท่านตัดสังโยชน์ได้ครบทั้ง ๑๐ ข้อแล้ว ในระดับอรหัตมรรค ส่วนพวกเราซึ่งส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดๆ ว่าตนเองเข้าถึงพระนิพพานได้แล้วด้วยวิชามโนมยิทธิ แต่ไม่ใช่ปรมัตถ์ เพราะส่วนใหญ่ยังตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ข้อยังไม่ได้ จิตก็ยังไม่พ้นนรก ไม่พ้นอบายภูมิ ๔ ส่วนน้อยที่พ้นนรกแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ปรมัตถ์ เพราะอยู่แค่พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ส่วนน้อยเข้าอนาคามีมรรคและอนาคามีผล ซึ่งก็ยังไม่ใช่ปรมัตถ์อยู่ดี พวกหลังไม่ต้องห่วงท่าน เพราะท่านพ้นนรกแล้วอย่างถาวร ส่วนพวกแรกนั้นล้วนแต่ยังเป็นลูกผีลูกคนอยู่ หาความแน่นอนยังไม่ได้ แล้วยังประมาทหลงคิดว่าตนพ้นนรกแล้วอีก ความจริงทุกๆ ท่านล้วนสัมผัสพระนิพพานได้เท่านั้นเอง แต่ยังไม่มีสิทธิเข้าไปอยู่ในแดนพระนิพพานปรมัตถ์ได้ เพราะสังโยชน์ ๑๐ ข้อ ยังตัดไม่ได้หมดจริง เป็นพระเมตตาของพระพุทธเจ้าท่านเท่านั้น ซึ่งทำให้พวกเราสัมผัสแดนพระนิพพานได้ด้วย พุทโธอัปมาโณ ขออนุโมทนามหาธรรมทานของคุณทศวรรษ มากๆๆเลยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ ช่วยให้คนที่โง่ เขลา เบาปัญญาอย่างมิ้มได้กระจ่างขึ้นมากในหลายเรื่อง ทั้งเรื่อง พระศรีอาริยเมตไตรย์ การรักษาโรค ภัยพิบัติ และธรรมต่างๆ ขออนุโมทนาสาูธุ สาธุ สาธุค่ะ นำธรรมทานดีๆๆอย่างนี้ลงมาให้อ่านอีกเยอะๆนะคะ สาธุค่ะ ถ้ามีโอกาส นะครับ พี่มิ้ม ส่วนมาก ก็นำมาจาก เว็ปวัดท่า ขนุน และเว็ป ทางนิพพานครับ
สามารถ ติดตามได้เรื่อยๆ โมทนาบุญกุศลทั้งหมดตั้งแต่ต้น จนถึงนิพพาน เช่นกัน ครับ ^^ คาถา ขอลาภ และคาถาขับมาร คาถาขอลาภเป็นคำแปลกๆ หน่อย ฟังทันไหม ? จะจดก็ได้นะ คาถาขอลาภเขาว่าอย่างนี้ ให้กลั้นใจท่องคาถาในใจว่า " ฮัดนิกุดกัดกา กากิกูสูจิ " กลั้นใจว่า ๙ จบ คาถานี้เป็นของหลวงพ่อซ่วน เขาใช้แล้วได้ผลอัศจรรย์ดี มีคนเอาไปใช้กันหลายคน ท่านให้ว่าคาถา พร้อมทั้งโบกมือไล่ทั้ง ๔ ทิศ เพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือว่าเวลาจะ เจริญกรรมฐาน ท่านให้ว่าคาถานี้แล้วโบกมือไล่ทั้ง ๔ ทิศ ท่านบอกว่าป้องกันมารเข้ามา แทรก ทำให้เราไขว้เขว เสียผลในการปฏิบัติ ก่อกวนเราด้วย คาถาว่า " ตะรังเม ยาจามิ " ว่าเสร็จก็โบกมือไปทีหนึ่ง จนครบ ๔ ทิศ คำว่าทิศไม่จำเป็นต้องเหนือ ใต้ ออก ตก แต่ให้ใช้ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ของเราเอง ตั้งเป้าหมายว่าตายแล้วจะไปไหน ถาม : ช่วงนี้ถ้าทำวิปัสสนาให้กายว่าง แต่ทำไม่ค่อยบ่อยนะคะ นาน ๆ จะจับลมหายใจ ส่วนมากจะจับตอนนอน แล้วช่วงกลางวันนึกถึงความตายบ้าง วันหนึ่งประมาณครั้งเดียว ? ขออนุโมทนาบุญกับคุณ ทศวรรษ และทุกๆ ท่านด้วยครับ คาถาหยุดน้ำมี่ไหมค่ะน้อง..เกียรติศักด์ พีอยากได้เอามาอุดน้ำกรุงเทพหน่อย..... ตอนนี้น้ำท่วมมาก.....? บ้านสวนพีระมิด คือ บ้านส่วนตัว อ.อุบล ที่ยินดี ให้ลูกในใส้ ไปพึ่งพิง อาศัย ได้เมื่อ มีภัย ไปได้ตั้งแต่บัดนี้ แม้ไม่มีสิ่งใดติดตัวไป ก็ให้เอาชีวิต ร่างกาย ใจที่เต็มร้อยไป ถ้าจะอยู่ กทม. ต้องยอมรับ น้ำเน่า โรคระบาด ขาดอาหาร น้ำสะอาด ตัดขาดโลกภายนอก 2-3 เดือนนะ อย่าลืม เตรียม อาหาร เสื้อผ้ากันหนาว ยารักษาโรค ของใช้จำเป็น เผื่อไว้สำหรับเวลาที่ ออกไปไหนไม่ได้ + นกหวีด อย่าลืมนะ(ลืมแล้ว) ไอ้ที่ฝึก ที่ซ้อม ที่เคี่ยวเข็ญกันมา เลิกทำกันหรือยังจ๊ะ เหยียบเท้าสฟิงซ์ ก็ฝึกแล้ว ฝึกตาย ก็ฝึกแล้ว ฝึกเตรียมเสบียง ก็ฝึกแล้ว เวลา ที่จะมีภัย รูปแบบของภัยพิบัติ ก็รู้หมดแล้ว อารมณ์ ก่อนตาย (ฌาน 4) ก็ฝึกแล้ว อารมณ์ นรก สวรรค์ ก็ฝึกแล้ว จบหลักสูตรสูงสุดแล้ว คือ นิพพาน แล้วยังต้องการอะไรกันอีกจ๊ะ อย่าห่วง กทม. กันเลย ดร.จุ๋ม + ดร.จิ๋ม รู้จัก อ.อุบล + บ้านสวนพีระมิด ทีหลังพวกเรา แต่ ตัดสินใจ เตรียมพร้อม ก่อนพวกเรา เชื่อ ตั้งแต่ดูเทปแรก ไปหาซื้อบ้านที่นครนายกเลย ตอนนี้เลยสบายไป สบายกว่าใคร พ่อแม่ก็ยอมไปอยู่ด้วยแล้ว สาธุ แล้วพวกเราล่ะ ที่บอกว่าเชื่อ + ศรัทธา อ.อุบล ทำอะไรกันบ้างจ๊ะ ตอนนี้ เรื่องการก่อสร้าง (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่ม 3 หน้า 1-2 บันทึกโดย พระปลัดวิรัช โอภาโส) หลวงพ่อ เคยปรารภไว้ว่า…. ใคร่ครวญ ทำให้บารมีเต็มเร็ว หลวงพ่อ พูดว่า “มาคิดว่าสมัยหนุ่ม ๆ บวชแล้ว มัวแต่สร้างวัดมากมาย คิดแล้วเสียเวลา มาคิดว่า รู้อย่างนี้ไม่สร้างก็ดี เสียเวลา เอาเวลามานั่ง ชำระจิต ตัดกิเลสอย่างเดียว ให้จบ ๆ ไป จะดีกว่า” ปรากฏว่า…. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ตรัสกับองค์หลวงพ่อว่า “ไม่มีทาง…. ถ้าไม่ทำอย่างนี้ บารมีไม่เต็ม เมื่อบารมีไม่เต็ม การตัด กิเลสก็ไม่มีผล” ดังนั้น.. จริงจัง นั่นแหละ งานคันถธุระ ถ้าไม่เจอปัญหา จะมานั่งปฏิบัติอย่างเดียว บารมีไม่เต็ม เจอปัญหามาก ๆ มันตัดของมันเอง แล้วจะเบา การสร้างวัด ต้องเอาใจคนหลายประเภท บารมีเต็มเร็ว การทำงานในวัด เป็นการตัดหวง ตัดนิวรณ์ เป็นกรรมฐาน เป็นสมาธิขั้นฌาน การทำงานเป็นพุทธานุสสติ เป็นธัมมานุสสติ เป็นสังฆานุสสติ เป็นการทำงานเพื่อพระพุทธเจ้า และเพื่อการสงเคราะห์คนมาพัก ฆราวาส ถ้าเขาเข้ามาพักวัด เพื่อทาน เรา ก็ได้บุญ 1 ขั้น ถ้าเขามาพักเยอะ เราได้เยอะ เขามาปฏิบัติ 3 อย่าง เราก็ได้ 3 ขั้น มาเยอะได้เยอะ คนบารมีเต็มจริง มันไม่กลัวอุปสรรค สู้ทุกอย่างไม่ท้อถอย คนเบื่อร่างกาย ไม่ตัดกังวล ไปนิพพานไม่ได้ คาถาขอให้แม่ธรณีช่วย หลวงพ่อฤาษีท่านเข้ามาหอสมุดแห่งชาติ ค้นกันหูดับตับไหม้จน กระทั่งเจอ แล้วท่านก็เอามาบอกต่อพวกเรา ท่านบอกว่า ฤกษ์นี้ถ้าเอาไปทำงานทำการอะไรก็ตาม จะมีความเจริญคล่องตัว มาก เรียกว่า ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ก็คือฤกษ์ที่พระพรหมท่านให้มา
มีอารมณ์กังวลอยู่ อารมณ์กังวลอยู่ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวเนื่องด้วยการเกาะติดขันธ์ ๕ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งอารมณ์จิตติด กังวลเกี่ยวกับอาการป่วยไข้ไม่สบาย นี่เพราะจิตไม่ยอมรับนับถือกฎของกรรม” ธรรมดา การรักษาโรคก็พึงมีไป ตามหน้าที่ แต่โรคจักหายหรือไม่นั้น เป็นเรื่องกฎของกรรมทั้งสิ้น ให้หมั่นพิจารณาลงตัว ธรรมดาเข้าไว้ จิตจักได้ไม่กังวลดิ้นรนในการห่วงขันธ์ ๕ มากจนเกินไป” อย่างนี้แหละ ถ้าจิตมัวแต่ กังวลดิ้นรนเดือดร้อน ไม่ปล่อยวาง แล้วเมื่อไหร่จึงจักพ้นทุกข์วาง ภาระจากขันธ์ ๕ ไปได้ เล่า พึงพิจารณาจุดนี้ให้มาก จักได้คลายการเกาะติดขันธ์ ๕ ลงได้บ้าง” ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙ จิตมันฟุ้งอยู่ในสัญญา จำแต่ความเลวของผู้อื่นไม่ยอมวาง แล้วเก็บเอามาสร้างเป็น ธรรมารมณ์ อันเป็นพิษภัยทำร้ายจิตของตนเองให้เศร้าหมอง เพราะ มัวไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น คิดถึงเรื่องคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย จัดว่าขาด พรหมวิหาร ๔ สองข้อแรกคือ เมตตากับกรุณาจิตตนเอง การ ที่ จิตของเอ็งไม่รวมตัวเป็นสมาธิได้ เพราะไม่ใช้กายวิเวก วจีวิเวก จิตวิเวก รวมตัวให้เป็นหนึ่ง (เอโกธัมโม) จึงจะเกิดสมาธิได้ ความจริงแล้วที่ พึ่ง อันสุดท้ายก็คือตัวเราเอง เราเป็นคน ๆ เดียวจริง ๆ กายเรา ปาก เรา จิตเราทำความสงบรวมให้เป็นหนึ่งก็อยู่ที่เราคนเดียว จึงจะ เจริญพระกรรมฐานได้ผล” ทั้งสิ้น จัดเป็นอารมณ์หลง ฟุ้งเลวออกนอกตัว เป็นธัมเมา (ยังไม่ทันเสพของมึนเมา จิตก็เมาเสียแล้ว) จิตเลยไม่รวมตัวเป็น สมาธิ สาเหตุก็เพราะอ่อนอานาปานุสติ ลืมกำหนดรู้ลมหายใจ เข้า-ออก ซึ่งเป็นคาถาเรียกจิต ทำจิตให้รวมตัวอยู่กับตัวได้ตลอดเวลา จิตก็สงบเย็นเป็นสุขได้” สติ-สัมปชัญญะไม่ต่อเนื่อง พิจารณาอะไรก็ไม่ได้นาน ก็เลย ฟุ้งซ่านออกนอกตัว ไปคิดเรื่องอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การ ปฏิบัติธรรม จัดว่าเป็นคนใจร้อน ขาดเมตตาบารมี ชอบจุดไฟเผา ตนเองอยู่เสมอ และขาดขันติบารมีด้วย เพราะมีอะไรมากระทบ เพียงเล็กน้อย (มีอุปสรรคเล็กน้อย) จิตก็หวั่นไหวไปตามสิ่งกระทบนั้น (ขาดการสำรวมอายตนะหรืออินทรีย์สังวรณ์) ท่านก็บอกว่า “เอ็งนี่ไม่ได้ เรื่องจริง ๆ เพราะขาดสมาธิ แล้วเรื่องที่คิดอยู่ในขณะนี้ พอมันผ่านไป แล้ว เอ็งรู้เรื่องหรือไม่” (เพื่อนของผมตอบว่า ยังรู้เรื่องอยู่) ท่านว่า “นั่น ซิ แล้วจะมาบอกว่าไม่มีสมาธิได้อย่างไร” (เพื่อนผมก็ยอมรับ) สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ มีความสำคัญดังนี้ ตาย จิตออกจากร่างด้วยกำลังแรงสูง พุ่งออกจากกายเร็วมากจนนึกกลัว แต่พอตั้งสติได้ก็คิดว่า ช่างมันกายตายแล้ว เราก็ไปพระนิพพานดีกว่า จิตผ่านสถานที่ต่าง ๆ มากมาย แต่ไม่ยักถึงพระนิพพานเสียที จะได้ไปกราบพระพุทธเจ้า เมื่อไม่ถึงเสียทีก็คิดว่าช่างมัน ฉันต้องการไปพระนิพพานจุดเดียวก็แล้วกัน แล้วก็ตัดหลับไป เมื่อตื่น ขึ้นกวาดวัดตามปกติ ก็เอาความฝันมาพิจารณาเป็นธรรมว่า ความตายอยู่ จิตชอบทิ้งภาพพระนิพพาน จัดว่าเป็นผู้ประมาทในอุปสมานุสติด้วย ตัวเป็นฌาณ นิวรณ์ ๕ ก็ยังรบกวนจิตเรา ทำปัญญาให้ถอยหลัง คือชอบโง่นั่นเอง หากอานาปาฯ เข้มแข็ง นิวรณ์ถูกระงับ จิตก็ เป็นฌาณ จิตก็บริสุทธิ์ชั่วคราว จิตเป็นทิพย์ได้ในขณะนั้น ก็เป็นเพราะยังอ่อนมรณานุสติ มีความประมาทในชีวิตอยู่มากนั่นเอง” ไม่เที่ยงอยู่เสมอ ความประมาทในชีวิตก็จักน้อยลงไปตามลำดับ สติ-สัมปชัญญะก็จักสมบูรณ์ยิ่งขึ้น” หนึ่งความสำเร็จจักเป็นของพวกเจ้า” อารมณ์กลัวจะไม่มีกิน(กลัวอด) มากวาดวัดเป็นปกติ ทำ งานซ่อมโบสถ์ วิหาร เจดีย์เก่าของวัดมา หลายปี โดยไม่เคยได้รับเงินจากวัดเลย แต่สิ่งที่ท่านได้คือ อริยทรัพย์ หรือโลกุตรทรัพย์ซึ่งสามารถเอาติดใจไปได้เมื่อกาย ตายแล้ว ทุกสิ่งที่ท่านทำนั้นล้วนเป็นวิหารทาน กับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง ท่านอยู่มาได้ทุกวันนี้ก็เพราะคนอื่นช่วย สงเคราะห์ทั้งสิ้น และ รู้ด้วยว่าการกระทำหรือกรรมที่ตนทำอยู่นี้ เป็นการลดละสักกายทิฐิได้อย่างดี ส่วนการบ่นนั้นทำจิตตนเองให้ เศร้าหมอง เป็นการเพิ่มสักกายทิฐิ กรรมนี้ขาดทุน ทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ ก็ยัง อดบ่นในใจไม่ได้ เลยชักกลุ้มใจกลัวว่าจะไม่มีกิน ถ้าต่ำกว่านั้นตัดไม่ได้ เพียงแต่ระงับได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีความทรงตัว” ธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่ต้องคิดว่าอารมณ์ที่ติดอยู่นั้นเป็นของเลว จริง ๆ แล้วมันเป็นของธรรมดา” อารมณ์กามฉันทะและปฏิฆะให้สิ้นซากไปเสียดีกว่า” บ้าง” (ตอบว่า ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังตัดอารมณ์ทางเพศไม่ได้) ทรงตรัส “ก็เป็นธรรมดาอีก เพราะยังไม่ใช่พระอนาคามีผล น้ำอสุจิหรือระดูอัน มาจากฮอร์โมนเพศยังไม่เหือดแห้งไป ร่างกายก็ต้องมีอาการ กำหนัดเป็นธรรมดา” ทำลายอาการกายกำหนัดนั้น ทำได้ถูกต้องแล้ว เพราะเนื้อไม่มี ระบบประสาทก็ไม่มี จักเอาอาการกำหนัดของกายมาจากไหน แต่พึงต้องเจริญอสุภะนี้ให้ต่อเนื่องกันไป อย่าวางอารมณ์ของ การปฏิบัติเป็นอันขาด” คาถาเรียกจิต ควรจักให้เขาใช้คาถาเรียกจิตประกอบไปด้วย คือ อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง” ทุกครั้งก่อนสวด แม้เจ้าเองและคุณหมอก็ควรจักทำเพื่อทบทวนธรรมะ เก่า ๆ ที่ผ่านมา เพื่อยังจิตให้เจริญธรรมในธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป” กฎของกรรมคืออริยสัจ จากความเป็นอาภัสสราพรหม ก็ทำบุญทำบาปกันเรื่อย ๆ มา แต่กำลัง ของบุญมีน้อยกว่ากำลังของบาปมาก นับแสนอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน เกิดตาย ๆ เวียนว่ายอยู่ในกระแสของกรรม” กรรม แปลว่าการกระทำ ไม่ว่าทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางใดทางหนึ่ง เมื่อกระทำขึ้นมาก็เป็นกรรมทั้งสิ้น ดังนั้นทุก ๆ ชาติที่ยังอัตภาพให้เกิด ขึ้นมา ก็ย่อมหนีการเจ็บป่วยไปไม่พ้น เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องเสวยผล แห่งกรรมที่ตนกระทำเอาไว้นั้น ไม่มีใครหนีกฎของกรรมได้พ้น” ของรักของชอบใจ การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ความปรารถนาไม่สมหวังนั้น เป็นเรื่องของกฎธรรมดา ไม่มีใครที่ จักหลีกเลี่ยงไปได้” เราเอาไว้เอง แม้องค์สมเด็จปัจจุบันทรงปรินิพพาน ๘๐ พรรษา เพราะ กรรมปาณาติบาตฆ่ารากษสตายตอนอายุ ๘๐ ปี กฎของกรรมอันนี้ถ้า พระพุทธองค์หนีโดยใช้อิทธิบาท ๔ ครบ บารมี ๑๐ พร้อม ก็สามารถ อธิษฐานกายให้อยู่ไปตลอดพุทธันดรได้ แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทำเพราะ เคารพในกฎของกรรมที่พระองค์ทำไว้นั้น” ก็เพราะเคารพในกฎของกรรมเช่นกัน” กฎของกรรม เพราะกฎของกรรมคืออริยสัจ กฎของกรรมคือ ของจริง เป็น สิ่งที่พระอริยเจ้าทั้งหลายยอมรับ แต่มีกำลังใจยอมรับแค่ ไหนนั้น ก็สุดแล้วแต่บารมีธรรมของจิตจักเจริญขึ้นมาได้แค่ไหน ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้สำรวมอารมณ์เอาไว้ให้ดี เตือนจิตตน เข้าไว้ อย่าสร้างกรรมที่เป็นอกุศลให้เกิดเป็นโทษทั้งกาย วาจา ใจอีก พยายามตัดกรรมเข้าไว้” พระตถาคตเจ้าทั้งหลายสอนให้เห็นทุกข์ จักได้วางทุกข์ ปลด ทุกข์ ละทุกข์เสียได้ จึงจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน” หาสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย ให้ เห็นตามความเป็นจริง อย่าให้สภาวะ ของจิตมันบิดเบือนความจริง เพราะตัวธรรมล้วน ๆ ไม่มีการปรุง แต่ง มันเกิด เสื่อม ดับ อยู่เป็นปกติตามหลักของมหาสติปัฏฐาน ๔ คือ มีสติกำหนดรู้อยู่เสมอว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนเกิดดับ ๆ อยู่เป็นปกติธรรม จิตของเราเป็นผู้ไปรู้ธรรมนั้น ๆ ผู้ใดไปยึด ไปฝืนกฎธรรมดาเข้าก็เป็นทุกข์ จง อย่าให้จิตของเรามีอุปาทาน หลอกตัวเองปรุงแต่งธรรม ว่าดี ว่าเลว ว่าผิด ว่าถูก มองให้ลึก ๆ ลงไป มันเป็นสภาวะธรรมอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมดา” พระตถาคตเจ้าจักตรัสสอนอย่างไรอีกกี่แสนครั้งก็ไม่พ้นจากอริยสัจ การสอนของพระองค์ก็มุ่งเน้นอยู่ที่อริยสัจหรือกฎของกรรมทั้งสิ้น” โรคกลัวตายหรือโรคปอดแหก เสาร์ แต่เกิดอารมณ์กลัวตายขึ้นมาว่ารถอาจเกิดอุบัติเหตุ หลวงพ่อ ฤๅษีท่านก็เมตตามาสอนว่า “เอ็งกลัวตายใช่ไหม ไอ้ขี้หมา” (ก็รับสารภาพว่า กลัว) แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก คิดเอาไว้สิว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความ ตายเป็นของเที่ยง ถ้าตายคราวนี้เราก็ขอไปพระนิพพาน” (ก็จะพยายามคิดตามนั้น) ถึงกลัวตาย คนจะไปพระนิพพานได้อย่างถาวรก็เพราะไอ้ร่างกายตัวนี้ มันตายแล้วต่างหาก แล้วเอ็งจะมานั่งกลัวตายทำไม” (ก็ต้องยิ้มแหย ๆ ไว้ก่อน เพราะจริงของท่าน) ได้อย่างไร โง่ตรงนี้แหละ คนกลัวตายก็คือคนหลง มีอวิชชาคือห่วง ร่างกาย กลัวว่ามันจะตายทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันต้องตายอยู่ทุกวันยังค่ำคืนยันรุ่ง อย่างนี้โง่หรือไม่โง่ล่ะ” (ก็ยอมรับว่า โง่) ท้าววิรูปักษ์ ท้าววิรุฬหก ท้าวเวสสุวัณ อินทกะและบริวาร ช่วยเปิดทาง โคจรให้สะดวกปลอดภัยในทุกเส้นทางที่ไปและกลับ ก่อนบอกให้ขอ บารมีพระพุทธเจ้าเสียก่อน อย่าใช้บารมีของตนเอง ขอบารมีพระ พุทธเจ้า กรุณาให้ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ อินทกะและบริวารช่วย สงเคราะห์ เพราะการไปกึ่งกิจส่วนตัว กึ่งกิจพระพุทธศาสนา ขอให้ท่านเมตตาตลอดทุกเส้นทางด้วย ถ้าใช้บารมีตนเองมันไม่ได้ผล หรอก มันจิ๊บจ๊อย” การหลับอย่างผู้ไม่ประมาท สอนเพื่อนของผมในเรื่องนี้ความว่า (ตอบว่า ไม่เสียดาย) “แต่ตอนไปกรรมฐานเที่ยง เจ้านั่งหลับ เพราะร่างกายมันเพลียมา ๒ วันแล้ว จิตเจ้าช่างไม่มีสติเอาเสียเลย” (ตอบว่า ฝืนไว้ไม่อยู่) ทรงตรัสว่า “หากร่างกายเจ้าตายลงใน ขณะนั้น จิตเจ้าจักไปไหน” (ตอบว่า ไม่ทราบ) ทรงตรัสว่า “ร่างกายต้องการพักผ่อน ประสาททุกส่วนเสื่อมหมด จิตไม่มี กำลังที่จะแข็งขืนปฏิกิริยาของร่างกายได้ มันเป็นธรรมดาที่จิต พลอยอยากพักผ่อน หรืออยากหลับไปด้วย” จงปลงมรณาควบอุปสมานุสติให้ตั้งมั่น พยายามระเบิดกายหยาบ ทิ้งไป ให้เห็นกายในนั่งหลับอยู่บนพระนิพพาน หรือไม่ก็ ปลงอสุภะ จนกายหยาบละลายไป กลายเป็นกายนิพพานขึ้นแทน กำหนดนั่งหลับอยู่บนพระนิพพานต่อหน้าพระก็ได้” (ก็คิดว่า ส่วนใหญ่จะหลับตอนฟังคำสอนของหลวงพ่อยังไม่ทันจบ) เอาขณะนั่งลงไปยังวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ได้ โดยเห็นจิตหรืออาทิ สมานกาย นั่งอยู่บนวิมานที่พระนิพพานแทน” ก็ถือว่าจิตนั้นถูกเบียดเบียนให้ตกอยู่ภายใต้ความประมาท และ ขณะใดร่างกายตกอยู่ภายใต้อาการของความเสื่อม ทุกข์อันเป็น ปกติของร่างกายก็สร้างความเบียดเบียนให้เกิดแก่อารมณ์ของ จิต ก็ถือว่าจิตนั้นถูกเบียดเบียนให้ตกอยู่ภายใต้ความประมาท เช่นกัน” เบียน จึงเท่ากับมีความประมาทในธรรม อารมณ์ย่อมตกเป็นทาส ของขันธมาร และกิเลสมารอยู่เป็นธรรมดาไม่มากก็น้อย เจ้าจง หมั่นละความประมาทลงด้วยประการ ฉะนี้เถิด” สาธุ ๆ ๆ กราบขอบพระคุณคะ ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทาน ของทศวรรษ ฉิมวงศ์ นักศึกษา ม.บูรพา(ศึกษาศาสตร์) นะคะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ สาธุ ขออนุโมทนา กับคุณทศวรรษ ที่นำความประสบการณ์ดีๆ มาเผยแพร่ค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ การฝึกมโนยิทธิ ยากไหมค่ะ ต้องเริ่มอย่างไร ขอความกรุณาช่วยบอกวิธีการด้วยค่ะ เพื่อเป็นธรรมทานให้แก่ผู้ที่มีความรู้ทางด้านธรรมอันน้อยนิดจ้า แต่มีจิตเกิน 100% ที่พร้อมที่จะน้อมรับคำแนะนำ จากผู้มีความรู้ทางธรรมทุกท่านค่ะ อัญเห็นว่า กระทู้นี้ก็น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับพระศรีอาริยเมตไตรย์ และแนวคำสอนที่น่าสนใจ อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำธรรมทานมาแบ่งปันด้วยค่ะ โอ้ คุณอัญ ช่างไปหาเจอเน๊าะ ***** การขึ้นไปบน นิพพาน ได้ อย่าคิดว่าตัววิเศษนะ (หลวงพ่อบอกนะ) การไปได้ ไปได้ 2 แบบ 1.ด้วยเป็นพระอริยเจ้า 2.ด้วยฌานโลกีย์ ของพ่อทศวรรษ ที่ขึ้นไปถาม นิพพานมัว มโนมัว อาศัยเด็ก ที่เรียกน้อง เค้าก็ไปด้วย ฌานโลกีย์ ไปถามพระ ถามหลวงพ่อได้ ใครอยากรู้ ก็มาถาม หรือ รู้แล้วก็มาช่วยกัน บอก เป็นธรรมทานด้วยนะ ว่า ไปแบบพระอริยเจ้า เป็นไง ไปแบบ ฌานโลกีย์ เป็นไง ถ้าเฉยๆ แปลว่า ไม่สนใจ ในพระศรีอาริย์ ก็ต้องการ ให้ภัยพิบัติเกิด ไปตามวาระ นั่นเอง
ไปแบบพระอริยเจ้า เป็นไง ไปแบบ ฌานโลกีย์ เป็นไง รอฟัง คำตอบ ครับ ^ ^ ไปแบบพระอริยเจ้า เป็นไง ไปแบบ ฌานโลกีย์ เป็นไง +++++++++++++++++++++++++++++++++ กราบท่านอาจารย์นะครับ ขออนุญาติตอบตามความคิด และสมองน้อยๆของเบสนะครับ โดยการไปนิพพานแบบพระอริยเจ้านั้นเบสคิดว่าคือการไปแล้วอยู่ได้ตลอด โดยอาศัย ฌานโลกุตระ โลกุตระ หมายความว่า ความเป็นพระอริยเจ้า แต่การไปแบบฌานโลกีย์นั้นเหมือนกับการไปเที่ยว คือไปได้แต่ไม่สามารถอยู่ได้ตลอด ยังต้องกลับครับ
แม่นแล้ว เบสเอ๋ย แหม พุทธ ต้องให้ อิสลาม อย่างน้องเบส สอนให้ เชียว นะเนี่ย ไปแบบพระอริยเจ้า เป็นไง ไปแบบ ฌานโลกีย์ เป็นไง -------------------- แหม ทีแบบนี้ทำไมน้องทศถึงได้กล้าถามล่ะ เห็นตอนอยู่บ้านสวนฯไม่ยักกะเป็นแบบนี้ เห็นเที่ยวบอก อวดมโนมยิทธิกับคนไปทั่ว การงานไม่ค่อยทำ มีการจะสอนคนนั้นคนนี้ด้วย ขอตอบตามความเห็นและสิ่งที่เคยได้ศึกษามาบ้างตามภูมิปัญญาน้อยนิดนะครับ ฌาณโลกีย์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า แบบโลกๆเขาเป็นกัน คือเต็มไปด้วยความอยาก อยากมี อยากได้ ที่สำคัญคือ ศีลกระพร่องกระแพร่ง รักษาได้บ้างไม่ได้บ้าง จิตยังไม่ยึดหรือมั่นคงในความดี หรือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่าที่ควร เอาดีตอนนั่งสมาธิหรือมโนมยิทธินี่แหละครับ ที่ศีลไม่ขาด ดังนั้นมโนมยิทธิที่เป็นแบบโลกียะ จึงเชื่อถือไม่ค่อยได้นัก เพราะศีลไม่บริสุทธิ์ เพราะความอยาก เช่น อยากรู้ อยากเห็นเจือปนอยู่ บางครั้งจึงกลายเป็นตัวเองหลอกตัวเองไป ที่สำคัญคือการได้มโนมยิทธิแบบฌาณโลกีย์ ผู้ได้มักจะหลงตัวเอง คิดว่าวิเศษ เที่ยวไปทัก ไปสอน ไปดูดวงคนนั้นคนนี้ และนำไปสู่คำตอบที่สำคัญคือ การได้มโนมยิทธิแบบฌาณโลกีย์ยังคงต้องตกนรกอยู่ เพราะศีลไม่บริสุทธิ์ จิตใจเต็มด้วยกิเลสเช่นเดิม การไปแบบพระอริยะ นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมเพิ่งอ่านธรรมะของหลวงพ่อฯเร็วๆนี้เรื่องนี้ว่า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปซึ่งท่านจะมีศีลบริสุทธิ์ คิดว่าตนเองต้องตายแน่ๆ และรักพระนิพพานอย่างแน่นอน ท่านจะมีฌานโลกุตระที่เห็นพระนิพพานได้อย่างชัดไม่ต้องสงสัย แต่ว่าท่านจะยังพักอยู่บนพระนิพพานไม่ได้ ยกเว้นหากเป็นพระอรหันต์แล้วสามารถขึ้นไปพักผ่อนบนวิมานของตนเองได้ตลอด ดังนั้นการไปแบบพระอริยะนั้น ย่อมมีความสมบูรณ์ของญาณทัศนะที่ได้สัมผัส รู้เห็น และท่านจะรู้กฏแห่งกรรม อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวด และที่สำคัญหากเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านจะไม่ตกนรกอย่างแน่นอนที่สุด ของพ่อทศวรรษ ที่ขึ้นไปถาม นิพพานมัว มโนมัว ผมขออนุญาติออกความเห็นในเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าน่าสนใจมั่ก ท่านอาจารย์เคยเมตตาบอกเรื่องนี้เช่นกันว่า กรณีของน้องทศนั้น หลวงพ่อฯเมตตาสอนว่า มโนมยิทธิแบบฌาณโลกีย์ของน้องทศ ยังต้องไปนรก ซึ่งผมเคยได้รู้จักคนที่ได้มโนมยิทธิหลายคน ที่ใช้วิชาของพระพุทธเจ้าไปหากิน เป็นหมอดู มีความมั่นใจในตัวเองสูง คิดว่าตนเองรู้กว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น เที่ยวไปจับยามสามตาดูดวงคนนั้นคนนี้ไปทั่ว สุดท้ายที่เห็นก็เสื่อมกันทุกราย แต่คนเหล่านี้มั่นใจในตัวเองมาก ไม่รู้ตัวเอง คิดว่ารู้ธรรมะเยอะ กรณีของน้องทศที่ผ่านมานั้น ตอนอยู่บ้านสวนฯ เข้ามาแล้วทำเหมือนไม่เห็นท่านอาจารย์อุบล ไม่พูดไม่ทักทายท่านทั้งๆที่ท่านเป็นเจ้าของบ้าน ทั้งๆที่ก่อนมาดูเหมือนว่าจะเคารพท่านมาก แต่พอมากลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่ค่อยทำงาน แต่ใช้เวลาไปกับการพูดเรื่องมโนมยิทธิที่ตนเองมี อยากสอนคนอื่น อาสาสอนมโนฯ สอนธรรมะคนอื่นๆจนคนไม่กล้าลุกหนีไปไหน จนพวกผมต้องช่วยๆกันแยกวงให้ 555 มีเหตุผลสารพัดมาอ้าง ชอบหลอกใช้แรงงานเด็ก ทำงานเบาๆ ท่านอาจารย์เตือนเล่าเตือนอีกก็ไม่นำพา จนท่านต้องก้มลงกราบน้องเขา ก็ยังไม่สำนึก เวลาเข้ามาเขียนในกระทู้เรื่องการใช้รหัสจักรวาล ลองไปอ่านดูสิครับ ว่ามีกี่ครั้งที่น้องเขาเขียนกล่าวขอบคุณท่านอาจารย์อุบลและครอบครัว นอกจากขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ทั้งๆที่คนอื่นๆเข้ามาเขียนธรรมทานเตือนเขามากมาย แต่ดูเหมือนว่าน้องเขาไม่สนใจอะไรเลย มีหลังๆเริ่มมีเขียนขอบคุณท่านอาจารย์บ้างเป็นบางครั้ง และไม่เคยเขียนแสดงความรู้สึกผิดหรือสำนึก ขอโทษ อย่างเป็นทางการเลย นอกจากเขียนอ้อมแอ้มไปมาเท่านั้น สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดนั้นไม่ได้ต้องการประจานเลย แต่ต้องการให้เห็นว่า สิ่งที่น้องทศทำมาทั้งหมดนี้ ขาดปัญญา สิ่งที่พระพุทธองค์สอนและท่านอาจารย์นำมาเน้นย้ำเสมอๆให้เราได้ทบทวนตัวเองคือ ปัญญา จะเกิดได้ต้องมี ศีล เกื้อหนุนกัน หากศีลไม่บริสุทธิ์ ปัญญาก็ไม่เกิด ไม่มี สิ่งที่น้องทศทำนั้น หากคนมีปัญญาก็จะไม่ทำเช่นนี้ คนมีปัญญาก็จะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มาบ้านท่าน ก็จะเคารพ คารวะ ทักทายท่าน ขยันทำงาน รู้จักสำนึกบุญคุณ กตัญญู ดังนั้นศีลไม่บริสุทธิ์ หรือปัญญาไม่เกิด การฝึกมโนมยิทธิก็ย่อมไปได้แบบไม่แน่นอน ไม่ชัดเจน และอาจโดนตัวเองหลอกตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาผมเคยเตือนน้องเขาว่าฝึกแบบนี้ ด้วยความอยากระวังจะโดนหลอก แต่น้องเขากลับไม่เข้าใจ ไม่ได้พิจารณาศีลตัวเอง หรืออื่นๆ กลับเลิกจับภาพพระไปเลยตอนนั้น ทั้งๆที่การจับภาพพระเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด จิตเกาะเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า แสดงว่าน้องไม่ใช้ปัญญาในการพิจารณาเลย และกลับคิดว่าคำเตือนคนอื่นทำให้ตนเองเขว 555 ขอให้น้องทศพิจารณาธรรมทานต่างๆที่ทุกๆคนเคยเขียนให้กับน้องไว้ในกระทู้ รหัสอาจารย์อุบช่วยด้วย อยากเห็นน้องมีความสุข และเข้าใจสิ่งที่ตนเองทำอยู่และสิ่งที่ท่านอาจารย์อุบลเมตตาสั่งสอนเพื่อปิดทางนรกให้กับน้องและทุกคน และนำไปสู่พระนิพพานในที่สุด
|