ReadyPlanet.com


ธรรมะปกิณกะ และเรื่องเล่าของหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง....


 

ลูกขอกราบพระบาทพระพทุธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพทุธเจ้าทุกๆพระองค์
พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั่งหลาย กราบหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษา ท่านพ่อมหาราชทั่งสี่พระองค์ ท่านพ่อเวสสุวรรณ เทพ พรหม ทวดา
ลูกกราบขออนุญาติเอาธรรมะ บทความต่างๆ เพื่อมาเขียนเป็นธรรมทาน แม้หากมีความผิดผลาดประการใด ลูกกราบขอขมา และอดโทษให้แก่ลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ

แม้ผลบุญในการเขียนครั่งนี้จะพึงบังเกิดแก่ลูกเพียงใด ขอถวายผลบุญทั่งหมดนี้ แด่ทุกๆพระองค์ และเทวดาที่รักษา อาจารย์ อุบล ทุกๆพระองค์เจ้าค่ะ

ตายจากความเป็นมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านท้าวมหาราช
บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
หรือที่เรียกว่าท้าวจาตุโลกบาล

ท่านท้าวมหาราชทั่ง ๔ เขาเรียกว่า ท้าวจาตุโลกบาล มีหน้าที่คุ้มครองชาวมนุษย์โลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกันช่วยเหลือ จะส่งเทวดาไปอารักขา ถ้าสร้างความชั่วก็สุดวิสัยที่จะช่วยก็อดใจไว้ และมีหน้าที่บันทึกความดีความชั่วของคนทั่งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชอยู่กึ่งกลางเขาพระสุเมรุ คนที่ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ต้องเคยได้ฌานสมาบัติ แต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ถ้าขณะที่ตายเข้าฌานตาย ก็จะไปเกิดเป็นพรหม
ท่านท้าวมหาราชทั่ง ๔ คือ

๑) ท่านท้าวเวสสุวัณ คุมด้านทิศเหนือ
๒) ท่านท้าววิรุฬหก คุมด้านทิศใต้
๓) ท่านท้าวธตรฐ คุมด้านทิศตะวันออก
๔) ท่านท้าววิรูปักข์
   คุมด้านทิศตะวันตก

 

 

 

 



ผู้ตั้งกระทู้ นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-06-08 06:00:54


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1614590)

อนุโมทนาด้วยนะคะ พี่นนนี่

แล้วก็รอติดตามต่อ ยู่นะค๊า

 

แต่วันนี้ ต้องไปคร๊อกฟรี้..ก่อนนะจ๊ะ

ไนท์ ไนท์ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 06:25:35


ความคิดเห็นที่ 2 (1614593)

 

ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ และเป็นประทานของท้าวมหาราชทั่ง ๔ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
ก่อนที่ท่านจะมาเป็นท่านท้าวมหาราช ถอยหลังไป๑ชาติในตอนต้นเลยทีเดียวยังไม่มีพระพุทธศาสนา มีแต่ศาสนาพราหมณ์ ท่านมีนามว่า "กุเวรพรามหณ์" เป็นชื่อเดิม ต่อมาท่านเป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์มหานคร ทรงพระนามว่า "พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์" ท่านเกิดรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารครองกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งต่อมาทรงออกผนวชบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระสมณโคดม"
ท่านมีพระสหาย ๒ องค์คือ " พระเจ้าปเสนทิโกศลครองกรุงสาวัตถี (สว่นมากลูกศิษย์ลูกหลานจะรู้ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็คือหลวงพ่อฤาษีของเรานั้นเอง)
และก็ท่านพันธุรเสนา รวมเป็น ๔ องค์เป็นเพื่อนรักกันมาก ต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์ สมัยนั้นไปเรียนหนังสือที่เมืองตักศิลาด้วยกัน
ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ พระเจ้าพิมพิสารทรงคิดว่ามีเรื่องราวกับใคร จึงนิมนต์ให้เข้าประทับในเมือง จะมอบอำนาจให้ครึ่งหนึ่งและสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ให้เป็นมหาอุปราช พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า "ไม่ได้หนีใคร"
ทรงเบื่อความเกิด แก่ เจ็บตาย ต้องการ แสวงหาโมกขธรรม คือธรรมอันหลุดพ้นจากความตาย และต้องการเอาธรรมนั้นมาสอนคนอื่น
พระเจ้าพิมพิสาร จึงบอกว่า "ถ้าพระองค์ทรงบัรรลุเมื่อไร ขอมาโปรดท่านกอ่น"
พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วก็ทรงสอนคนมาตามทาง จนกระทั่งถึงกรุงราชคฤห์มหานคร พบพระเจ้าพิมพิสาร พร้อมด้วยบริวาร ก็ทรงเทศท์  พอเทศท์จบปรากฎว่า พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันพร้อมกับคนจำนวนมาก หลังจากนั้นก็ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าประทับในพระเวฬุวันมหาวิหาร ( เวฬุวัน แปลว่าป่าไผ่ )

ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 07:00:27


ความคิดเห็นที่ 3 (1614595)

อานิสงส์ของการถวายทาน

ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่นั้น พระเจ้าพิมพิสารไปเฝ้าทุกวัน ได้ถวายทานทุกวัน ฟังเทศทุกวัน จึงมีอานิสงส์ดังนี้
การถวายทาน เป็นปัจใจให้ได้ทิพยสมบัติ
การถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร เป้นเหตุให้ได้วิมานสวยงาม
กำลังความเป็นพระโสดาบันและทรงณานสมาบัติด้วย เป็นเหตุให้มีกำลัง เมื่อเป็นเทวดาก็ทรงอำนาจมาก
เวลาที่ท่านจะตาย ท่านถูกลูกชาย คือพระเจ้าอชาติศตรู ทรมาน คือพระเจ้าอชาตศตรูเป็นกบฎทรยศต่อพ่อ แย่งราชสมบัติแล้วทรมานพ่อ โดยจับขังคุก ต่อมาให้อดข้าว เมื่อท่านยังเดินจงกรมได้ ท่านอยู่ด้วยธรรมปิติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผอ่งใส ในที่สุดเขาก็เฉือนเท้าไม่ให้เดิน ท่านก็มีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจก็นึกถึงสมเด็จพระจอมไตร ท่านก็มีจิตใจชุ่มชื่น ปวดนะปวด แต่ท่านก็ยอมรับนับถือกฏของธรรมดาว่า คนเราที่เกิดมาทุกคน แม้ฐานะจะต่างกันแต่สภาพจริงๆ มันเหมือนกันทุกคน มันเหมือนกันคือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นและก้เดินเข้าไปหาความแก่ มีทุกขเวทนา มีการทรมานจากร่างกาย และก็ตายในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ จะเป็นเศรษฐี คหบดี หรือคนยากจนก็ตาม มีสภาพเหมือนกันไม่อะไรแตกต่าง
พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ท่านเป็นพระโสดาบันขฯะที่ท่านยังทรงชีวิตอยู่ เวลาตายท่านออกด้วยกำลังณาน ๔ จะต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่พอจิตแยกออกจากกายแล้วท่านมีความรู้สึกด้วยอำนาจกำลังจิตที่เป็นทิพย์ว่า กอ่นจะมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสารท่านเคยเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชมาก่อน ท่านก็เลยไม่ไปอยู่พรหม มาอยู่ชั้นจาตุมหาราชที่เดิม เมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว
ท่านก็ฝึกฝนจนเป็นพระอนาคามี และท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
 
(กราบเท้าเสด็จพ่อเจ้าค่ะ ลูกจะระลึกไว้เสมอว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย)

ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 07:45:21


ความคิดเห็นที่ 4 (1614604)

ท้าววิรุฬหกท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้

ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหารราช
ในเมืองมนุษย์มักเข้าใจว่า ท่านท้าววิรุฬหกและบริวารของท่านเป็น กุมภัณฑ์
"กุมภะ" แปลว่า "หม้อ" ท่านจึงแสดงรูปร่างอ้วนให่ญเหมือนับพอ้มใส่ข้าว ผิวดำปี๋ พุงก็ปลิ้น คอก็สั้น หัวก็โต ฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้วออกจากปาก มีริมฝีปากหนานูนๆ ตาให่ญมาก สว่างแวววาวเหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไปส่ายมา ทำให้น่ากลัว แต่ความจริงท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมาบอกอาตมาว่า(หลวงพ่อ) ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ อาชีพของท่านเป็นคนมีเงินเดือน เป็นหัวหน้าคนกลุ่มให่ญมีคนใต้บังคับบัญชานับพันคน ท่านบอก ท่านมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูงและกับคนทุกชั้น เพราะท่านมีเมตตาคามรัก กรุณาความสงสาร ท่านถือว่าทุกคนฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น นอกจากนั้นท่านมีความตอ้งการหนัวเหนียวยิงไม่ออก แค้ลวคลาดจกาอาวุธ และสามารถแสดงฤทธิ์ ท่านมีอาจารย์เป็นพระและฆราวาสก็มี ท่านมีความดีเป็นกรณีพีเศษ การทำให้หนังเหนียวต้องใช้คาถา กอ่นที่จะใช้คาถาทั่งหมด ท่านต้องมีความเคารพพระพทุธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพในพระธรรมคำสอน และเคารพในพระสงฆ์ที่เป็นคูรบาอาจารย์ หลังจากนั้นต้องทำให้จิตมั่นคง โดยภาวนาให้จิตทรงตัว ก็คือจิตเป็นสมาธินั้นเอง ถ้าจิตมีสมาธิสูงกำลังอานุภาพที่ต้องการก็มีอาณุภาพมาก ถ้าสมาธิตํ่าของที่เรียนมาก็ีอาณุภาพตํ่า การทอ่งคาถาอาคม การปลุกตัว การปลุกของ ตอ้งทำทุกวันเพื่อความมั่นคง จิตตอ้งเข้าถึงณานสมาบัติ
แต่เวลาที่ท่านตาย ท่านไม่ได้เข้าณานตาย เมื่อตายแล้วท่านไปเกิดเป้นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ต่อมาก็ขึ้นเป็น เป็นเทวดาชั้นอินทกะ (คำว่า "อินทกะ" แปลว่า "ผู้เป็นให่ญ" คือเป็นรองท่านท้าวมหาราช อินทกะนี้มีได้ทิศละพันองค์  พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชได้ตามความสามารถและวาสนาบารมี ในเมื่อทา้วมหาราชไปจากชั้นนี้ คือจากชั้นจาตุมหาราชไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงบ้าง หรือไปเป้นพรหมบ้าง หรือมาเกิดเป้นมนุษย์ก็ตาม
      จากอินทกะท่านก็เป้นท้าวมหาราช คือท่านท้าววิรุฬหกในปัจจุบัน

ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ เป็นผู้มีบารมี มาก ผุ้คนก็ยังกราบไห้ว
นับถือท่านมากๆๆ แม้ทุกวันนี้
(บอกใบ้ให้ก้ได้ค่ะ รูปปั้นของท่านมีอยู่ที่ " สัตหีบ"  และที่ปากนํ้าหลังสวน

จังหวัด "ชุมพร" ค่ะ)

กราบแทบเท้าท่านพ่อวิรุฬหกเจ้าค่ะ แม้ผลบุญใดที่ลูกได้ทำมาแล้ว ตั่งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันนี้ ลูกขอน้อมบุญนี้ถวายแด่ท่านพ่อทั่งหมดเจ้าค่ะ
สาธุ สาธุ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 09:01:02


ความคิดเห็นที่ 5 (1614610)

  ท่านท้าววิรุฬหก องค์ปัจจุบัน

หลวงพ่อบอกว่า ท่านคือ เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพร ^^

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 09:27:18


ความคิดเห็นที่ 6 (1614612)

 

ธรรมทาน เหนือการให้ทั้งปวง เพราะเป็นต้นกำเนิดของทาน และความดีทั้งปวง

 

...ธรรมทานนี้มีอานิสงส์มาก ดังที่มีการพรรณนาคุณไว้ใน อรรถกถาธรรมบท ว่า...

     - แม้ทายกจะถวายจีวรอย่างดีที่สุด แด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ที่นั่งติดๆ กันเต็มห้องจักรวาลนี้ก็ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าการอนุโมทนาของพระพุทธเจ้า ด้วยพระคาถา(๒) เพียง ๔ บาท และจีวรทานนั้นมีค่าไม่ถึงเศษส่วน ๑๖ แห่งพระคาถาที่พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา

     - แม้ทายกจะถวายโภชนะข้าวสาลี กอปร ด้วยสูปะพยัญชนะอันประณีต เป็นต้น ให้เต็มบาตรพระพุทธเจ้าก็ดี จะถวายเภสัชทาน มี เนยใส เนยเหลว น้ำผึ้ง เป็นต้น ให้เต็มบาตรพระพุทธเจ้าที่นั่งติดๆ เต็มห้องจักรวาลก็ดี ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าธรรมทานที่พระพุทธเจ้า อนุโมทนาด้วยพระคาถาเพียง ๔ บาท

     - อนึ่ง ทายกจะถวายเสนาสนะ มีมหาวิหาร หรือโลหปราสาทหลายแสนหลัง ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าธรรมทานที่พระพุทธเจ้า อนุโมทนาด้วยพระคาถาเพียง ๔ บาท

     - การแสดงธรรม การบอกธรรม การฟังธรรม มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่และประเสริฐกว่าจีวรทาน บิณฑบาตทาน เสนาสนทาน ทุกอย่าง เพราะว่าชนทั้งหลายจะทำบุญมากมายขนาด นั้นได้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ถ้าไม่ได้ฟังธรรมมีศรัทธาแล้ว จะถวายข้าวสวยสักทัพพี ข้าวต้มสักกระบวยก็ยังยาก แม้บุคคลสำเร็จมรรคผล จะสำเร็จอัครสาวกภูมิ ก็ต้องอาศัยการฟังธรรม

     - อีกประการหนึ่ง ยกเว้นพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว แม้พระสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตร เป็นต้น ผู้เป็นเลิศด้วยปัญญาญาณ สามารถนับเม็ดฝนที่ตกอยู่ตลอดกัปได้ ก็ยังไม่สามารถจะบรรลุอริยผล มีโสดาปัตติผล เป็นต้น โดยลำพังตนเองได้ ต่อเมื่อได้ฟังธรรม จากพระอัสสชิเป็นต้นแล้ว จึงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล และบรรลุธรรมสูงสุด ด้วยพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา เพราะเหตุนี้ "ธรรมทานจึงประเสริฐที่สุด" ดังเรื่องปัญหาของท้าวสักกเทวราช (๓)

     ในสมัยหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชพร้อมด้วยเทวดาหมื่นจักรวาลมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นถึงแล้วจึงน้อมนมัสการทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
 
          "การให้อะไร ชนะการให้ทั้งปวง รสแห่งอะไร ชนะรสทั้งปวง ความยินดีในอะไร ชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งอะไร ชนะทุกข์ทั้งปวง"

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า

     สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
     สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
    
     การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
     รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
     ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
     ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
     ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 09:29:56


ความคิดเห็นที่ 7 (1614616)

 พุทธานุสติ มีแต่กำไร

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนเมื่อตื่นใหม่ๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ถ้านึกไม่ไหวเอาพระที่คอนี่แหละ จะเป็น พระคำข้าว พระหางหมาก จะเป็นพระวัดไหนก็ตาม เขาทำเหมือนกันหมดแทนพระพุทธเจ้าเหมือนกันนะ อาราธนาท่าน 

 
     อันดับแรกตั้ง นะโม แสดงความเคารพด้วยความจริงใจ หลังจากนั้นอธิษฐานตามความชอบใจ ต้องการซื้อง่ายขายคล่องก็ได้ รับราชการก็ได้ตามใจชอบ อย่าลืมว่า นั่นคือนึกถึง พระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นบันใดขั้นแรกที่เราจะไปพระนิพพาน และนอกจากนั้นเราตั้งใจคิดไว้ว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่ขอไปนิพพานเมื่อนั้น เอาแค่นี้นะ
  
     ถ้ากลุ่มอื่นตาย กำลังใจมันไม่ถึงนิพพานใช่ไหม อย่างเลวก็ไปค้างบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกอาจสูงกว่านั้นก็ได้นะ แล้วเวลาที่ตาย ใจมันไป ร่างกายมันอยู่ ใจที่อยากจะไปนิพพานนี่มันจะยังมีอารมณ์อยู่ ถ้าฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเพียงแค่จบเดียว อย่างน้อยก็เป็นพระ ไม่ใช่พระโสดาบันอย่างมัฏฐกุณฑลี เพราะของเราดีกว่า เรานึกถึงทุกวันใช่ไหม บุญทุกอย่างเราทำแล้ว นี่ถือว่าเป็นที่พักขั้น แรกของเรา หรือว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน
 
     ถ้าหากว่านึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย นึกถึงพระที่คอด้วย ขอลาภสักการะจากท่าน แล้วพร้อมกันนั้นเราคิดว่า
ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์มาจากไหน มาจากการมีร่างกาย
ถ้าเราไม่มีร่างกายอย่างนี้ เราก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆ อย่างนี้จะไม่ขอมีอีกต่อไป เมื่อตายจากนี้แล้วขอไปนิพพาน

ถ้าคิดอย่างนี้ทุกวันมันมีการสะสมตัว ถ้าตายวันไหนวันนั้นจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานทันที
นี่เวิธีใช้ง่ายๆ แบบนี้ญาติ หรือว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าหากว่านึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย นึกถึงพระที่คอด้วยขอลาภสักการะจากท่านแล้วพร้อมกันนั้นเราคิดว่า
ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ขึ้นชื่อว่าความทุกข์มาจากไหน มาจากการมีร่างกาย ถ้าเราไม่มีร่างกายอย่างนี้เราก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้ 
 
(คัดจากหนังสือ ธรรมปฏบัติ เล่ม ๙ โดยพระราชพรหมยาน หน้า ๗๘)
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 09:39:52


ความคิดเห็นที่ 8 (1614621)

ท่านท้าวธตรฐท่านเป็นท้าวมาราชคุมด้านทิศตะวันออก

วันที่ ๖ พฤจิกายน พ ศ ๒๕๓๑ เห้นท่านท้าวมหาราชมานั่งอยู่ องค์หนึ่งมาตัวสูงเท่ายอดตาล จึงหันไปถามว่า "ใคร" ท่านท้าววิรุฬหกตอบว่า "ท่านธตรฐครับ"
พอท่านเข้ามาใก้ลก็เลยถามว่า "ทำไมสูงเหมือนเปรตแบบนี้หละ" ท่านตอบว่า "อย่างนี้เขาเรียกสูงแบบเทวดา ไม่ใช่สูงแบบเปรต ถามท่านท้าวธตรฐว่า "อดีตของท่านเคยเป็นอะไรมาตอนเป็นมนุษย์" ท่านตอบว่า "อดีตผมเป็นพระราชาเมืองพาราณสีครับ" ก็เลยถามท่านว่า "เวลานั้นไม่มีพระพทุธศาสนาเป็นเทวดาได้อย่างไร"  ท่านตอบว่า เทวดาหรือพรหมไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาเสมอไป พราหมณ์ ก็เป็นเทวดาหรือพรหมได้ เวลานี้ท่านเป็นพระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง ท่านไม่กลับลงมาเกิดอีกแล้ว

สมัยหลวงพ่อยังทรงชีวิตอยู่ เวลาบวงสรวงจะมีหัวหมูดว้ย แต่องค์ท่านพ่อ
ธตรฐ ต้องถวายไก่ต้มแทน คิดว่าบริวารท่านเกิดเมืองแขก ก็เลยใช้หัวหมู ๓ หัวไก่ต้ม ๑ ตัว

ลูกกราบถวายบุญกุศลที่บำเพ็ญมาแล้ว ทุกภพ ทุกชาติ แด่ท่านพ่อ ธตรฐ และบริวารของท่านทั่งหมดเจ้าค่ะ
 สาธุ สาธุ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 09:50:03


ความคิดเห็นที่ 9 (1614636)

ท่านท้าววิรูปักษืท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันตก

ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ ศ ๒๕๓๑ วันเดียวกันนั้นอาตมาได้หันไปถาม(หลวงพ่อ)
ท่านวิรูปักษ์ ว่า "อดีตท่านเป็นอะไร" ท่านตอบว่า "อดีตผมอยู่ปักใต้ ประเทสไทยนี้เอง เป็นผู้ชายไทย ฐานะสูงมากสมัยรัชการที่ ๕ ได้ณานสมาบัติ แต่เวลาตายไม่ได้เข้าณานตาย ตายแล้วไปเป็น อินทกะเลย เมื่อท่านวิรูปักษ์ องค์เก่าขึ้นไปเป็นพรหม ท่านก็ขึ้นเป็นแทน ท่านเก่งมาก
เป็นอันว่าก็ทราบประวัตของท่านท้าวมหาราชทั่ง ๔ แล้วใครเป็นใคร ทำให้ทราบว่าการเป็นเทวดาก็ไม่หนักสำหรับพวกเรา การเป็นพรหมก็ไม่หนัก การไปนิพพานก็ไม่หนัก การไปนรกก็ไม่หนัก ชอบท่งไหนก็ไปทางนั้น"
(หลวงพ่อท่านว่าไว้ค่ะ)

กราบแทบเท้าท่านพ่อมหาราชทั่ง ๔ พระองค์ เจ้าค่ะ ลูกขอเบิกบุญ ศีล ทาน ภาวนา ตั่งแต่อดีต จนถึงปัจจุนี้ ถวายแด่ท่านพ่อมหาราชทั่ง ๔ พระองค์ และ บริวารของท่านทุกๆองค์เจ้าค่ะ
สาธุ สาธุ

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 10:32:51


ความคิดเห็นที่ 10 (1614639)

อนุโมทนาบุญกับธรรมทานดีๆของพี่นนทพรด้วยครับ สาธุ

บางครั้งผมเองมักจะจำตำแหน่ง ชื่อ หน้าที่หรือทิศที่แต่ละพระองค์ดูแลไม่ค่อยแม่นนัก ดีจังครับ จะได้มีโอกาสอ่านทบทวนและสำนึกในพระเมตตาของทุกพระองค์เรื่อยๆก๊าบ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 10:40:43


ความคิดเห็นที่ 11 (1614641)

 

 

 เดี๋ยวกลับมาเขียนต่อนะค่ะ เรื่อง
 
พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาน
จึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


สวัสดีค่ะ น้องชนิดา ดึกแล้วคุณขา ขอ ไนท์ ไนท์ เช่นกันค่ะ พิมพ์ อยู่ ๕-๖ ซ ม ได้แค่นี้แหละค้าา

โมทนากับคุณนอ้งธนาเช่นกันค่ะ ที่เขียนธรรมทาน ได้ เปรี้ยว หวาน มัน เค็มดีจริงๆ ค้าา

ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 10:50:51


ความคิดเห็นที่ 12 (1614788)

พระศรีอาริยเมตไรยปรารถนาพระโพธิณาน
จึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

"พระศีรอาริยเมตไรย ในสมัยพระพทุธเจ้าบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมที เดิมทีท่านเป็นลูกศิษของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบรมี ต่อมาเมื่อ
พระนางกีสาโคตมี ได้ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพทุธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพทุธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพทุธเจ้า พระพทุธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรส่งให้พระโมคคัลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปจนถึงองค์สุดท้าย คือท่านอชิตภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุดเป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสาโคตมีก็เสียใจว่าอุตส่าห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเพื่อถวายพระพทุธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกับไปให้พระที่ไม่ได้แม้แต่ณานสมาบัติ  คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา องค์สมเด็จพระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตภิกขุ ผู้นี้ ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพทุธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า
"สมเด็จพระศีรอริยเมตไตรต"

   
ปัจจุบันี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผอ่งใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ. ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั่งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์ แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโธิญาณเป็นพระพทุธเจ้า ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทางทิศเหนือของพม่า
แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้

(หลวงพ่อเล่าไว้ จากหนังสือไตรภูมิ หน้า ๑๗๔)

ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-09 04:57:20



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.