|
เด็กอภิญญา สมัยหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ | |
เด็กอภิญญา สมัยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไปเจอใน YOUTude เลยนำมาให้ดูกัน มีทั่งหมด 8 ตอน http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=wY--Q1fDnkM | |
ผู้ตั้งกระทู้ โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2012-06-09 17:12:33 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1614861) | |
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ow085k6XAKo
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 17:22:59 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1614864) | |
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=s65MXG1KTHk http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=W3aJCJ4ppGg | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 17:25:04 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1614865) | |
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ZNZEaMpPvxw http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=vXU4yl_gnT8 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 17:27:12 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1614866) | |
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=nVCjO1SX0Ss http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=oVHkXWeSsZE | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 17:28:40 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1614868) | |
ประวัติ หลวงปู่ปาน http://www.youtube.com/watch?v=gmf1R_ddxDo&feature=related
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 17:41:10 |
ความคิดเห็นที่ 6 (1614883) | |
ประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
สารบัญ 1 เมื่อข้าพเจ้าตาย 2 เขียนเรื่องตัวเอง 3 ตายครั้งที่ 1 4 ความตายปรากฏ 5 ผลของความตายครั้งที่ 1 6 ท่องนรก 7 พระใหญ่ลงอเวจี 8 ปฏิปทาของฉันเมื่อเด็ก 9 เข้าเขตกาสาวพัสตร์ 10 ซักซ้อมความเข้าใจ 11 แนะนำเรื่องการปฏิบัติ 12 ผลที่จะได้รับเมื่อปฏิบัติจริง 13 เมื่อถึงวันบวช 14 อาชีพป่าช้า 15 ผีสาวอาละวาด 16 จิตเข้าสู่ฌาน 17 อารมณ์ฌาน 18 พระและชาวบ้านเจ้าของถิ่น 19 ท่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 20 ปฏิปทาของหลวงพ่อปาน 21 หลวงพ่อเป็นพระทรงอภิญญา 22 อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน 23 โลกียอภิญญา 24 ชื่ออภิญญาโลกีย์ 25 วิธีฝึก 26 ธุดงค์ 27 ปฏิปทาในยามอยู่ป่า 28 หลวงพ่อเมตตา 29 หลวงพ่อปานออกธุดงค์ 30 ฝันรอบแรก 31 ฝันรอบ 2 32 พบโขลงช้างที่สระบุรี 33 หลวงพ่อปานไหว้พระพุทธบาท
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 19:17:14 |
ความคิดเห็นที่ 7 (1614884) | |
เมื่อข้าพเจ้าตาย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 19:18:05 |
ความคิดเห็นที่ 8 (1614885) | |
เขียนเรื่องตัวเอง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 19:20:26 |
ความคิดเห็นที่ 9 (1614886) | |
ตายครั้งที่ 1 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-09 19:23:10 |
ความคิดเห็นที่ 10 (1614895) | |
อนุโมทนากับคุณ โซบิเดย์ ด้วยนะคะ เพิ่งได้ทราบประวัติเต็มๆ ของ ท่านหลวงปู่ปาน จากคลิปสารคดี ที่คุณ โซบิเดย์นำมาฝากนี่เอง
ได้ชมแล้วต้องบอกว่า จริยวัตรของท่านหลวงพ่อปาน ไม่แตกต่างเลยกับท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จนมาถึง ท่านอ.อุบล แห่งบ้านสวนพีระมิด
เพราะทั้งท่านหลวงปู่ปาน ท่านหลวงพ่อฤาษีฯ และท่านอาจารย์ ก็ต่างมาเพื่อ"ให้" และ แสดงความรักแบบไร้เงื่อนไข ต่อทุกสรรพสัตว์จริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ ................. ว่าแล้วก็รออ่านเรื่องราวในบทต่อๆไป ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อปานอยู่นะคะ
แล้วก็"อายจัง" เรียกตัวเองซะเต็มปาก ว่าเป็น"ลูกหลาน" ของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทั้งๆรู้ประวัติเกี่ยวกับท่าน..น้อยมั่กๆ.. | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA วันที่ตอบ 2012-06-09 20:53:18 |
ความคิดเห็นที่ 11 (1614954) | |
...... ก่อนอื่นต้องขอขอบ คุณ คุณชนิดามากที่เสียสละมาก ในการมานั่งอ่านกระทู้ นี้เพราะรู้ว่าบ้างคนไม่ชอบอ่าน เรื่องที่มันยาวมาก นอกจากคนที่ชอบอ่าน หนังสือจริงๆ จึงจะอ่าน แต่ถ้าบุคคลใดชอบอ่านก็จะรู้ว่ามันมี ประโยนช์ต่อตนเองอย่างมหาศาล และจะเข้าใจในการนำไปปัฎฎิบัติ อยากถูกทีถูกทาง และเข้าอกเข้าใจ เพราะโซบิเดย์ก็ใช้ หลักการอ่านนี้ละ และนำมาใช้ประโยนช์ต่อตัวเอง ผสมผสานกับหลักการอิสลาม และตีความจนเข้าใจว่าความเป็นหนึ่งเดียวกัน คือหลักความดีและปัฎฎิบัติเป็นสากลของคำว่าธรรมะ หรือธรรมชาติ อยู่ที่เราควรจัดการชีวิตเราแบบไหน ให้ไปถึงหลักธรรมที่แท้จริง ไม่มีของเค้าของเรา มี่แต่ตัวตนที่แท้จริง เหมือนเช่น อ จ. อุบล ที่นำหลักคำสอนของท่านมัน เป็นตัวตนที่แท้จริงของท่านจริงๆ และเหตุและผลที่ตรงไปตรงมา ง่ายๆแบบชาวบ้านก็ทำได้ ไม่ถือยศไม่ถือศักคิ์ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ใครจะมาก็มาใครไม่มาก็ชั่ง แต่ฉันจริงใจ ให้ด้วยรักจริง นี้ละอจ.แม่ ขอบคุณคะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-10 15:27:06 |
ความคิดเห็นที่ 12 (1614955) | |
ความตายปรากฏ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-10 15:34:28 |
ความคิดเห็นที่ 13 (1614956) | |
เราถามอย่างหนึ่ง แต่ทำอย่างหนึ่ง ดีละ พวกแกปกปิดฉัน ฉันก็มีมือมีเท้า ฉันจะต้องรู้ว่าพวกแกเดินขบวนไปทางไหนกัน เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตร ก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือ ไปไม่ได้ไกลนักก็เข้าป่าไผ่ ทีทางเล็กๆ เดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามทาง แล้วมีเขาต่ำๆ ขวางทางเป็นระยะๆ ข้ามเขาลงเขาไปประมาณ ๑๐ ลูก ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมาก มันยาวเพียงใดไม่ทราบ ด้วยมันยาวและสูงมากเสียอีกด้วย หัวหน้าเขาขึ้นไป เมื่อถึงยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-10 15:36:48 |
ความคิดเห็นที่ 14 (1614957) | |
เมื่อออกปากอยากดูการลงโทษ แกบอกว่าได้ แกถามว่าอยากดูนรกขุมไหน ถามแกว่านรกมีกี่ขุม แกตอบว่าขุมใหญ่มี ๘ ขุม นรกบริวารมีอีกขุมละ ๑๖ ขุม ยมโลกียนรกมีอีก ๑๐ ขุม บอกแกว่าอยากดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร แกชี้มือบอกว่านรกขุมที่ ๑ อยู่ตรงนี้ พอแกชี้ก็เห็นชัดเหมือนกับยืนดูอยู่ที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนในทะเลเพลิงไฟสูงกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพาวุธนานาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้ อาวุธก็ประหาร ตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก ๓-๔ เล่ม แทงทะลุพรุนไปหมด ไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาดมันก็กลับติดกันทันที ไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ ชมพอเห็นพอที่จะคุยกับนักปราชญ์ประเภทดี แต่สอนชาวบ้านได้นิดหน่อย ตาหัวหน้าหมู่ก็บอกว่า หมดเวลาแล้ว ทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้ว หลานต้องรีบกลับ แกบอกให้กลับก็เกิดจำทางเดิมไม่ได้ ตาลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง แกคงโมโหที่ทำให้แกลำบาก แกจับขา ๒ ขา เอาตัวเหวี่ยงขึ้นบ่าแก แกพาแบกวิ่งขึ้นเขาลงเขา พอมาถึงหน้าบ้าน เห็นประตูบ้านแกเสือกหัวเข้าประตู พร้อมกับด่าว่า เอ้า...อ้ายห่า เข้าไป เสือกตามไปทำไมก็ไม่รู้ พากูลำบากด้วย แล้วแกก็หายไป พอตาลุงเสือกหัวเข้าประตูบ้านก็มีความรู้สึกทางร่างกาย ลืมตาขึ้น เห็นคนเต็มบ้าน รู้สึกกระหายน้ำจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ ๓๐ ปีมานั่งมองอยู่ข้างๆ ได้ออกปากขอความกรุณาแกเพื่อให้แกหาน้ำให้สักขัน แกคงฟังไม่ถนัด แกก้มลงเอาหูมาใกล้ปาก ก็ออกปากขออีกครั้งว่า น้าครับ ขอน้ำผมสักขันเถอะครับ พอแกได้ยินเข้าเท่านั้น แทนที่จะไปหาน้ำมาให้ แกโดดผลุงข้ามตัวไปสัก ๑ วา แกร้องเสียงดังว่า ผีหลอก ดูเถอะท่านผู้อ่าน มนุษย์มันเป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้างๆตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี เรื่องของคนนี่มันสับสนบอกไม่ถูก เมื่อทุกคนเขาได้ยินเจ้าทิดหัวเหม่งขี้ขลาดเกินคนร้องว่าผีหลอก ทุกคนก็เข้าใจว่าฟื้นแล้ว ด้วยเมื่อหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมพิเศษได้ฌานสมาบัติท่านมา ท่านมีศักดิ์เป็นลุง ท่านห้ามทุกคนทำกิจทุกอย่างแก่ร่างกาย ท่านบอกให้ปล่อยไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้น เขาอยากเห็นการฟื้น รวมทั้งเจ้าทิดจอมขี้ขลาดตาขาวคนนั้นด้วย ต่างก็ล้อมวงกันเข้ามาตามธรรมเนียมของไทยมุง ท่านลุงเป็นพระมีคำสั่งให้เอาน้ำสะอาด สมัยนั้นก็นำฝนเป็นน้ำสะอาดอันดับ ๑ เอามาให้ ๑ ขันขนาดใหญ่ ฉันก็กินเสียจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุกขึ้นคุยตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น อาการป่วยที่เป็นเมื่อก่อนตายไม่มีอาการปรากฏเลย ไม่ทราบว่ามันหายไปทางไหน ร่างกายสบาย ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่าเรียนมาจากไหน ท่านแม่ก็บอกว่า เรียนมาจากหลวงพ่อปาน วันนั้นท่านแม่เองก็ต้องบรรยายเรื่องภาวนาเสียจนเหนื่อย วันต่อมาพวกกลัวตายพากันมาเรียนเป็นการใหญ่ แต่ใครจะได้อะไรไปบ้างเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ส่วนฉันไปแล้วเขาไม่ให้นรก เมื่อฟื้นแล้วความชินของอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ก็เป็นเรื่องแปลก เมื่ออยากเห็นท่านคราวไร เป็นเห็นท่านชัดเจนทุกครั้ง และการไปนรกฉันไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย อยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ไปทุกที ฉันไม่รู้ว่าเข้าฌานกันอย่างไร พออยากไปนรก ฉันจำได้ว่าก่อนเห็นนรกฉันเห็นพระองค์นั้นก่อน แล้วฉันก็กลายเป็นคนมีตัว ๒ ตัว แล้วฉันก็ไปนรกได้ ฉันจำได้และก็ปฏิบัติตามนั้นเป็นปกติตลอดมาจนบวชพระ คือ ทุกครั้งที่ฉันอยากไปนรกฉันก็นึกถึงพระองค์นั้นก่อน เมื่อเห็นท่านก็บอกว่าฉันจะไปเที่ยวนรก พอท่านยิ้มฉันก็ไปปรากฏตัวที่เมืองนรกทุกคราว ไม่เห็นต้องตั้งท่าตั้งทางทำพิธีรีตองอะไรเลย การไปนรกเป็นปกติของฉันทำให้ฉันเป็นคนเลว เพราะเมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์ พระมาเทศน์ ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์ เมื่อเทศน์จบแล้ว ถาม ท่านว่าท่านเคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ท่านบอกว่าไม่เคยเห็น ถามท่านว่าเมื่อไม่เคยเห็นแล้วท่านเอาอะไรมาเทศน์ ท่านบอกว่าอ่านจากตำรา เมื่อพูดเรื่องที่ไปเห็นมา ท่านหาว่าโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี่หลอกลวงชาวบ้านหากิน ไม่เห็นมีอะไรดีสักนิด คุยเป็นผู้รู้เอาเปรียบชาวบ้าน ไม่ทำมาหากิน แล้วมานั่งโกหกชาวบ้านว่าตนเป็นผู้วิเศษ เล่าเรื่องสวรรค์นรกให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นมากลับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยทำให้เกลียดพระ ไม่อยากไหว้พระ ตามความรู้สึกขณะนั้นคิดว่า เอาอาหารให้พระพวกนี้ให้หมาที่บ้านดีกว่า มันช่วยเป็นยาม พระก็แล้วก็ไป เวลาจะให้ก็ต้องประเคน ต้องไหว้ กินเสียของแล้วหาคุณประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เลยไม่อยากไหว้พระ ส่วนพระพุทธรูปไหว้ พระที่ลุงท่านรู้สวรรค์นรก องค์นี้ไหว้ องค์ไหนก็ตามถ้ามาที่บ้านต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็นไม่ยอมไหว้เด็ดขาด ของที่เขาจัดถวายก็ไม่ยอมประเคน ใครจะประเคนก็ตามใจ แต่ฉันไม่ยอมประเคนเด็ดขาด ต่อมาเมื่อพบคู่ปรับ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางโคนม อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์นี้ไหว้ได้สุดตัว เพราะจะเอาอะไรก็ได้ นรก สวรรค์ หรือนิพพาน ท่านกล้ายืนยันทุกประตูเรื่องที่ไปเห็นมาท่านพูดถูกหมด แล้วยังท้าทายทุกอย่าง อย่างไหนท่านก็ทำได้ อยากจะเรียนไปสวรรค์ พรหม หรือระดับนิพพาน ท่านบอกว่าท่านมีครบทุกอย่าง พระดีท่านมี แต่พระประเภทหากินหลอกชาวบ้านก็มี ฉันมันเลวเองที่ไปหาว่าพระท่านไม่ดี ไม่อยากไหว้พระ ปฏิปทานี้อย่าเอาไปปฏิบัติตาม ปล่อยให้ฉันระยำไปคนเดียวก็แล้วกัน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-10 15:37:48 |
ความคิดเห็นที่ 15 (1614958) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-10 15:41:29 |
ความคิดเห็นที่ 16 (1614959) | |
อ่านไป โพล์ไปสนุกมากๆ เดียวค่อยมาลงให้ใหม่คะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-10 15:44:13 |
ความคิดเห็นที่ 17 (1615004) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-10 21:49:02 |
ความคิดเห็นที่ 18 (1615009) | |
ขออนุโมทนากับธรรมทานจากคุณ โซบิเดย์ด้วยนะครับ เพิ่งกลับมาจากบ้านสวน ขอเอาบุญแรงกายมาฝากนะครับ เคยได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงปู่ปาน เมื่อครั้งยังเด็กๆ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้รู้จัก หลวงพ่อฤาษีฯ เลยครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-10 22:56:51 |
ความคิดเห็นที่ 19 (1615034) | |
เหมือนเช่น อ จ. อุบล ที่นำหลักคำสอนของท่านมัน เป็นตัวตนที่แท้จริงของท่านจริงๆ และเหตุและผลที่ตรงไปตรงมา ง่ายๆแบบชาวบ้านก็ทำได้ ไม่ถือยศไม่ถือศักคิ์ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ใครจะมาก็มาใครไม่มาก็ชั่ง แต่ฉันจริงใจ ให้ด้วยรักจริง นี้ละอจ.แม่ ขอบคุณคะ ................................. จริงค่ะ ตัวตนจริงๆของท่านอ.อุบล คือทำความดีเป็นธรรมชาติ ก็เลยทำได้อย่างเป็นสุขและตลอดเวลา
....................... ขอบคุณ คุณโซบิเดย์ อีกครั้งค่ะ ที่ำนำเรื่องเล่าสนุกๆมาให้อ่าน
ว่าแต่หลวงพ่อฤาษีท่าน ทรงฌาณ เห็นพระพุทธองค์ เห็นนรก ตั้งแต่อายุ12เลยนะคะเนี่ย..
ธรรมะจัดสรรจริงๆเลยนะคะ แบบว่า ของเก่า ท่านเย๊อะ... | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA วันที่ตอบ 2012-06-11 03:42:41 |
ความคิดเห็นที่ 20 (1615052) | |
พระใหญ่ลงอเวจี | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-11 09:04:26 |
ความคิดเห็นที่ 21 (1615053) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-11 09:05:38 |
ความคิดเห็นที่ 22 (1615299) | |
ปฏิปทาของฉันเมื่อเด็ก ท่านอาจจะสงสัยว่าเรื่องของฌานสมาบัติต้องมีศีลดี ก็เมื่อเป็นเด็กจะมีศีลวิเศษขนาดไหน เรื่องนี้ฉันยอมรับว่าที่ฉันไปนรกได้ฉันไม่เข้าใจว่าเป็นฌานหรือเปล่า ฉันตายไปแล้ว เมื่อฟื้นขึ้นมาฉันก็ไปตามที่ฉันตายไป มันจะเป็นฌานหรือเป็นระเบียงบ้าน เรื่องนี้ฉันไม่เข้าใจ แต่ทว่าเมื่อฉันเป็นเด็กสิ่งที่ฉั้นปฏิบัติเป็นปกติจนถึงวันบวชพระก็คือ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ จำได้ว่าเคยฆ่าปลาไม่เกิน ๖ ตัว เพราะผู้ใหญ่บังคับ ต่อมาไม่ยอมฆ่าอีกตลอดมาจนถึงวันบวช เว้นไว้แต่ที่คนข่มเหงฉัน หรือผู้ร้ายที่ปล้นขาวบ้าน ถ้าฉันเลี่ยงไม่พ้นฉันยิง และตายไปประมาณ ๓๐ คนเศษ คนเลวฉันคิดไปว่าไม่บาปเป็นความคิดสมัยก่อนบวช ๒. ไม่ลักของใคร ๓. ไม่เป็นชู้ภรรยาใคร แต่ลูกเขานี่ซิคิดว่าไม่ผิดศีล เมื่อเขาเมตตาก็ต้องรับความปรานี อย่างนี้บาปหรือเปล่าใจตอนนั้นคิดว่าไม่บาปและไม่ได้ฝืนใจใคร ทุกคนสมัครใจร่วมกัน คงไม่เป็นไรมาก ๔. เรื่องโกหก ถ้าจะเอาบ้างแต่ก็ไม่ร้ายแรง ที่โกหกมากก็คือพวกสาว ๆ เพราะไม่โกหกแกไม่เชื่อ เลยต้องโกหก ตามใจคนรักคงไม่บาป ๕. เรื่องของคนเมาหรือการพนัน ปลอดแน่ นอกจากจะลองทดสอบความเมากับน้าคราวเดียว คือ น้าเป็นนายตำรวจจับคนเมามาได้ แกก็บอกว่าที่แกด่าอาละวาดขาวบ้านแกเมาแกไม่รู้เรื่อง เพื่อทดสอบให้แน่ใจว่าคนเมาพูดเองและฟังคนอื่นพูดรู้เรื่องหรือเปล่า สองคนน้าหลานว่าน้ำตาลเมาเขามา ๑ ไหครึ่ง เห็นรู้เรื่องทุกอย่าง พูดเองก็รู้ คนอื่นพูดก็รู้ ต่อไปเมื่อจับคนเมามาได้และถ้าแกแก้ว่าทำไปเพราะเมา แกไม่รู้เรื่อง ฯลฯ ถามแกว่าแกชอบเมาอะไร สุราชนิดไหน น้ำตาลเมา น้ำขาว อุ หรือเบียร์ เป็นต้น เมื่อแกบอกว่าแกเมาอะไรก็ไปหามาให้แก เมื่อแกกินเมาแล้วก็ซ้อมด้วยไม้กระบอง ตีเสียช่ำมือทุกราย ถ้าแกบอกว่าเจ็บก็ไม่ยอมเลิกตี บอกแกว่าคนเมาไม่รู้เรื่องไม่เจ็บ ล่อเสียอานไปหลายรายการ เพียงรายสองรายก็ปรากฏว่าในเขตของน้าหาคนเมาทำยายากเต็มทน ที่ชอบเมาจริง ๆ ก็พยายามเมาในมุ้ง เป็นการปราบที่มีผลมาก ชาวบ้านสบายใจไปตาม ๆ กัน นอกจากนี้แล้ว ขณะที่เป็นเด็กและฆราวาสมีอารมณ์แปลก คือ มีความรู้ที่เกิดเอง คือ ที่ไหนก็ตามมีอะไรเป็นพิเศษ เช่น คนตาย ของดีกว่าปกติ เมื่อไปนอนคืนเดียวก็ปรากฏว่ารู้หมด ว่าที่บ้านนี้หรือตรงนี้มีคนตายแล้วกี่คน อายุ รูปร่าง อากาป่วยเมื่อจะตาย ตายแล้วไปไหน มันเห็นเองรู้เอง ไม่ได้ทำอะไร เพียงไปนอนเท่านั้น ถ้าไม่เห็นก่อนหลับก็ตอนตื่นใหม่ ๆ คนตายจะมาเล่าเรื่องของตนให้ฟังจนหมด เมื่อสว่างแล้วถามเจ้าของบ้านทุกบ้านพากันยอมรับว่าจริง ปฏิปทาก่อนบวชมีเท่านี้ มันจะเป็นฌานเป็นสมาบัติ หรือเรื่องที่รู้มันรู้ได้อย่างไร อ่านตำราแล้วไม่เข้าใจ ถ้าถามพระท่านบอกว่าของเก่าตามมา เป็นอันว่า เรื่องเมื่อฟื้นจากตายความจริงมีเรื่องมากมาย เขียนสักพันหน้าก็ไม่จบ มันจะมีประโยชน์อะไร เขียนไปเขียนมาก็คุยกับตาลุง ไปสวรรค์ก็ไม่กล้าไป เขียนไปก็เปลืองสายตาคนอ่าน เลิกเขียนดีกว่า เอาเวลาเขียนไว้ตอนเข้าอุปสมบทต่อไป ตอนนี้ขอเอวังเพียงนี้ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน นี้เวลาว่างหายาก ก็ขอพักตอนที่สองไว้เพียงเท่านี้
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-12 10:40:29 |
ความคิดเห็นที่ 23 (1615300) | |
เข้าเขตกาสาวพัสตร์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-12 10:41:58 |
ความคิดเห็นที่ 24 (1615301) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-12 10:42:45 |
ความคิดเห็นที่ 25 (1615304) | |
ซักซ้อมความเข้าใจ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2480 ก็ไปหาหลวงพ่อปาน ท่านซักซ้อมความจำในกรรมฐาน 40 กองใน วิสุทธิมรรค ท่านบอกว่ากรรมฐาน 40 กอง ในวิสุทธิมรรคมีความจำเป็นต้องใช้ทั้งหมด เพราะเราจะปฏิบัติเอาดีกัน ถ้าปฏิบัติอวดชาวบ้านก็ไม่ต้องเรียนมาก ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์ก็ได้ ทำนั่งหลับตาหลอกชาวบ้านไปสักพัก คนที่บ้าพระหลับตาก็จะมาเป็นแถว เวลาเขามาก็ทำท่าสงบเสงี่ยม พูดน้อย ลืมตาน้อย เท่านี้ ลอกหนังหัวชาวบ้านกินสบาย เพราะชาวบ้านคลั่งพระหลับตามีมาก แต่ทว่าการทำอย่างนั้นพระมีหวังลงอเวจีไม่ยาก มันเป็นมายา เธอบวชแล้วจงอย่าทำอย่างนั้น เมื่อมายามี กิเลสก็มี ความดีจะไม่ปรากฏ เมื่อบวชแล้วจงเป็นคนปล่อย อย่าปกปิดความเลว อย่าอวดความดีที่ตนยังไม่มี ดีหรือเลวเท่าไรให้ชาวบ้านเขาเห็นสบาย ๆ จงอย่าหวังการกราบไหว้ของคนอื่น เขาไหว้หรือไม่ไหว้จงอย่าเห็นเป็นสาระ เราบวชเพื่อละ ทำแค่ดี อย่าหวังให้ชาวบ้านชมว่าดี ด้วยชาวบ้านนิยมของปลอม ถ้าหวังคำชมเราก็ต้องทำตนเป็นพระปลอม เวลาตกนรกไม่มีใครช่วยเรา ท่านพูดเท่านี้ก็นึกถึงท่านเจ้าคุณนรกได้ คิดว่าชาตินั้นทั้งชาติจะไม่ยอมรับตราตั้งจากใคร ด้วยเกรงว่าถ้าลงไปนรก ดีไม่ดีเจ้าคุณนรกแกไปอยู่ก่อนเกิดมีพวก แกอาจนำพวกมาซ้อมเอาก็ได้ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-12 11:01:31 |
ความคิดเห็นที่ 26 (1615679) | |
ขอบคุณมากๆนะคะที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่าน เพิ่งมีโอกาสได้อ่านในกระทู้นี้ละค่ะ ทำให้อยากอ่านแบบฉบับเต็ม ขออนุโมทนาบุญนะคะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น อรศรี ชุติเนตร (aurasri05-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-13 23:28:15 |
ความคิดเห็นที่ 27 (1615692) | |
อนุโมทนากับคุณโซบิเดย์ด้วยนะคะ ที่นำประวัติมาให้พวกเราอ่านอีกครั้ง เมื่อก่อนก็ชอบเข้าไปอ่านประวัติหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อฤาษีในเวปพลังจิต เพราะเห็นว่ามีคนเอามาลงเยอะดี บางตอนก็เคยอ่านมาบ้างแล้ว แต่บางตอนก็ยังไม่เคยได้อ่านเลย จะพยายามเข้ามาอ่านเรื่อยๆนะคะ อ่านแล้วเหมือนได้ลับสมองไปในตัวเลย ชอบปฏิปทาการสอนของหลวงพ่อค่ะ เหมือนอ.แม่ ไม่มีผิดเลย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น นันทนา แหกาวี วันที่ตอบ 2012-06-14 04:01:53 |
ความคิดเห็นที่ 28 (1615700) | |
ถ้ามีเวลา ก็โพสต์มา ได้เรื่อยๆเลยนะค๊า..คุณโซบิเดย์
เดี๋ยวช่วงวันหยุด มีเวลามากกว่านี้ จะเข้ามาอ่านให้หมด
ขอบคุณล่วงหน้า และกับที่ผ่านมาด้วยจ๊า | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA วันที่ตอบ 2012-06-14 05:32:28 |
ความคิดเห็นที่ 29 (1615723) | |
แนะนำเรื่องการปฏิบัติ ท่านบอกว่าในหนังสือวิสุทธิมรรค ท่านแนะแนวปฏิบัติไว้ตรงตามพระพุทธพจน์ (พระดำรัสของพระพุทธเจ้า) เรื่องอารมณ์พระกรรมฐานแต่ละกองต้องจำให้ขึ้นใจ นิมิตแต่ละกองต้องจำให้ได้ เคล็ดลับในการดูวิสุทธิมรรคท่านสอนต่อไปว่า พวกเธอทั้ง 4 ต่างมีบารมีสั่งสมมาจากชาติก่อนมาก ท่านหันมาทางฉัน ท่านบอกว่า เธอปรารถนาพุทธภูมิไว้ และบารมีก็ใกล้จะจบเต็มที เธอต้องศึกษาให้มาก ต้องจำและทำทุกด้านของพระกรรมฐาน เพราะพุทธภูมิต้องเป็นครูเขา ครูถ้ามีความรู้ไม่ครบถ้วนจะทำให้ศิษย์เสียผล อุปนิสัยของคนไม่เสมอกัน ฌานทั้ง 8 ต้องศึกษาให้ครบ เมื่อดูพระกรรมฐานในวิสุทธิมรรค ก่อนอ่านควรจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธเจ้าและอธิษฐานว่า กรรมฐานกองใดบ้างที่ข้าพเจ้าเคยเจริญมาและได้ผลมาแล้วในชาติอดีต ขอให้มีใจรักกรรมฐานกองนั้น เมื่อดูไปเกิดความพอใจกองใดบ้างจงทำเครื่องหมายไว้ เมื่อดูตลอดแล้วจะเห็นว่าเรารักหลายกอง แล้วกลับดูใหม่ดูเฉพาะกองที่เรารัก ก่อนดูให้อธิษฐานว่ากรรมฐานกองไหนถ้าจะปฏิบัติได้ผลเร็วขอให้รักกองนั้นมากกว่ากองอื่น เมื่อรักกองไหนมาก ทำกองนั้นจะมีผลไม่เกิน 15 วันเป็นอย่างช้า เมื่อขณะเจริญพระกรรมฐานที่เรารัก จงจำนิมิตกรรมฐานทุกกองพร้อมทั้งอารมณ์ไว้ให้แม่น เมื่อกรรมฐานกองต้นถึงที่สุด นิมิตกรรมฐานเก่าที่เราเคยได้จะปรากฏ จงยึดเอากรรมฐานกองนั้นทำต่อไปไม่เกิน 7 วัน กรรมฐานกองนั้นก็จะถึงที่สุด เมื่อมีนิมิตกรรมฐานกองใดเกิดขึ้น ก็จงทำอย่างนั้นต่อไป การเจริญพระกรรมฐานจะมีผลเกินกว่าที่เธอตั้งใจ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-14 09:52:23 |
ความคิดเห็นที่ 30 (1615724) | |
ผลที่จะได้รับเมื่อปฏิบัติจริง ตามคำแนะนำของหลวงพ่อเป็นความจริงทุกอย่าง เพื่อน 2 องค์เมื่อทำกรรมฐานกองต้นจบ แกมีนิมิตกสิณเกิดติดต่อกันหมดทั้ง 10 กอง แกเลยได้อภิญญาไป ส่วนฉันเมื่อกรรมฐานกองต้นจบ นิมิตเตโชกสิณก็ปรากฏ พบกสิณ 7 กอง ต่อไปกสิณก็ไม่มาอีก กลายเป็นอสุภบ้าง อนุสสติบ้าง เลยเล่นอภิญญากับเขาไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องด๊อกแด๊ก ๆ อยู่กับชาวบ้านจนจะแก่ตายอยู่แล้ว และกำลังทำท่าจะตายจะเข้าป่า หลวงพ่อท่านก็ว่าแกมีหนี้มากต้องใช้หนี้กรรมไปก่อน หมดนี้กรรมแล้วไปได้ น่ากลัวป่าที่จะไปคงไม่ใช่ป่าชัฏ อาจจะเป็นป่าช้ามากกว่า เวลานี้ก็เตรียมป่าช้าไว้ในกุฏิแล้ว เห็นป่าคราวใดสบายใจมาก มันสุขใจเหลือเกินที่เห็นป่าช้า
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-14 09:53:14 |
ความคิดเห็นที่ 31 (1615725) | |
เมื่อถึงวันบวช เมื่อบวช มีท่านพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อปานและหลวงพ่อเล็กเป็นคู่สวด ขณะเข้าบวช หลวงพ่อปานท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย ท่านอุปัชฌาย์ท่านเป็นพระทรงธรรมเหมือนหลวงพ่อ หลวงพ่อเล็กก็เหมือนกัน ท่านอุปัชฌาย์ท่านยิ้มแล้วท่านพูดว่า 3 องค์นี้ไม่สึก อีกองค์ต้องสึกเพราะมีลูก เมื่อจะสึกไม่ต้องเสียดายนะลูก เกษียณแล้วบวชใหม่มีผลสมบูรณ์เหมือนกัน 2 องค์นี้พอครบ 10 พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ท่านองค์นี้ หมายถึงฉัน จงเข้าป่าไปกับเขาแต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมากต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ 20 พรรษา จงออกจากสำนักเดิมเจ้าจะได้ดี จงไปตามทางของเธอ ฉันบวชพระมามากแล้วไม่อิ่มใจเท่าบวชพวกเธอ ฟังดูเถอะ พระแกมีลูกยอแจกเหมือนกัน แล้วพวกฉันก็บ้ายอ พอดีกัน
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-14 09:54:00 |
ความคิดเห็นที่ 32 (1615727) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-14 09:54:51 |
ความคิดเห็นที่ 33 (1615861) | |
ผีสาวอาละวาด | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-15 00:26:23 |
ความคิดเห็นที่ 34 (1615862) | |
จิตเข้าสู่ฌาน เมื่อวันที่ 24-27 ฉันมีธุระเกี่ยวแก่การตอบจดหมายเสีย ไม่มีโอกาสคุยกับลูกหลาน วันนี้พอว่าง วันที่ 27 พ.ย. 2514 อากาศมันหนาวเย็นเหลือเกิน ฉันเป็นคนแก่ไม่ชอบความหนาว แต่ฉันคิดว่าฉันจะทนหนาวไปชั่วคราว โดยไม่ทำใจให้ลำบากเพราะความหนาว จนกว่าจะสิ้นลมปราณ เมื่อฉันตายแล้วฉันก็จะไม่หนาว เพราะบ้านที่ฉันจะไปอยู่ใหม่ไม่มีหนาว ไม่มีร้อน มันเย็นพอสบาย บ้านก็สวยตระการตาน่าอยู่จริง ๆ หาความลำบากไม่ได้เลย ฉันอยากไปอยู่บ้านหลังนั้นเร็ว ๆ จะได้มีความสุข แต่ทว่าฉันจะรีบไปก่อนกำหนดเวลาไม่ได้ ด้วยฉันสร้างความชั่วไว้มากในอดีต ฉันต้องชดใช้กรรมไปจนกว่าจะหมดโทษตามกำหนดของกรรม ฉันไม่หนักใจเรื่องใช้กรรม เพราะฉันหวังความสุขข้างหน้า เรื่องของกรรมงดไว้เท่านี้ เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเห็นด้วย จะพูดให้ฟังเรื่องบวชเลยทีเดียวก็เสียดายความฝัน คนแก่ชอบนอนฝัน เมื่อฝันได้ตามความตั้งใจแล้วมันมีความสุข เมื่อวันที่ 27 เดือนนี้ ได้ยินข่าวเขาปฏิวัติกัน ฉันคิดถึงลูกหลานว่าทุกคนเขาอยู่ในเขตปฏิบัติจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ก็เลยอยากฝัน เมื่อนอนหลับฝันว่าทุกคนไม่มีใครเดือดร้อน เพราะคณะปฏิบัติเป็นคนไทยและรักคนไทย ตั้งใจเขี่ยไทยที่เอาใจออกห่างออกนอกวงการ ฉันตื่นแล้วฉันก็สบายใจ เมื่อคืนวันที่ 28 ฉันฝันอีก คราวนี้ฝันว่าฉันออกจากตัวไปที่พระจุฬามณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไปถึงเชิงจุฬามณี ที่ตรงนั้นฉันเคยพบพรหมและเทวดามากมาย แต่วันนี้เงียบเชียบเหลือเกิน หาใครสักคนก็ไม่ได้ ฉันเดินเข้าไปใกล้ประตูด้านทิศตะวันตกของจุฬามณี เห็นท่านมเหสักขา ท่านเป็นเทวดายามอยู่ที่หน้าประตู ท่านยกมือไหว้แล้วท่านรายงานว่า วันนี้พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์ จึงไม่ใคร่มีใครเดินหรือยืนให้เห็น ฉันรีบเข้าไปเห็นพรหม เทวดา พระ นั่งกันสงัดเต็มจุฬามณี แยกเป็นพวก ๆ พรหมแยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ พรหมโลกีย์นั่งอยู่พวก 1 พรหมอริยะนั่งอยู่พวก 1 เทวดาก็เหมือนกัน พวกที่ได้ญาณแต่ยัง ไม่ตายเห็นไปนั่งอยู่พวก 1 ฉันเดินหลังต่ำ (ก้มหลัง) เข้าไปนั่งรวมกับพระที่ไม่อยากเกิด ได้ยินเสียงเทศน์ว่าคนที่ละขันธ์ 5 ได้แล้วมีความสุขกว่าพวกทรงขันธ์ 5 มาก เช่น เทวดาหรือพรหมก็ตามที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างก็ละขันธ์ 5 มาแล้ว ลูกหลานก็คงจะเข้าใจแล้วว่าขันธ์ 5 คืออะไร เพื่อความแน่ใจหลวงตา คือฉันจะย้ำสักหน่อย เพื่อความมั่นใจ คำว่าขันธ์ 5 พวกนักธรรมที่ชอบคุย เขาชอบโม้เป็นคุ้งเป็นแควว่ามันมีรูปกับนาม ฟังน่าเบื่อหู แล้วเขาว่าต่อไปอีกว่ารูป ได้แก่ รูป คือสิ่งที่เห็นด้วยตาและมีการสัมผัสรู้สึก มีตัวตน เนื้อหนัง เป็นรูป ส่วนนามนั้นได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาว่าอย่างนี้ ลูกหลานฟังรู้เรื่องไหม ฟังได้ก็ฟังไป ฟังไม่ได้เขาก็พยายามพูดให้ฟังน่ารำคาญ ฉันว่าพูดอย่างนี้ดีกว่า เอาภาษาชาวบ้านมาใช้ดีกว่า ฉันแม้จะบวชเป็นหลวงตาแก่ แต่ฉันเป็นลูกชาวบ้าน ฉันชอบภาษาชาวบ้าน รู้เรื่องง่ายไม่ต้องแปลไม่ต้องขยายความ ฉันว่าขันธ์ 5 ก็คือร่างกายของเรา มันจะมีอะไรบ้างก็ช่างหัวมัน ไม่ต้องแยก เพราะเราไม่ต้องโม้ เมื่อเรามีร่างกาย ท่านว่าอย่างนั้น มันก็ปวดเมื่อย หนาว ร้อน หิว มีความป่วยไข้ไม่สบาย และมีเรื่องยุ่งจิปาถะ อยากสวย อยากดี อยากรวย อยากมีอำนาจ อยากเก่ง อยากเด่น ไม่อยากหนาว ไม่อยากร้อน ไม่อยากหิว ไม่อยากกระหาย ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย ดังนี้เป็นต้น ดูขันธ์ 5 แล้วเหมือนคนบ้าที่มันบ้าฝืนอารมณ์เราทุกอย่าง หรือว่าเราบ้าฝืนกฎที่มันต้องเดินไป ช่วยกันคิดดูก็แล้วกัน เราบ้า หรือขันธ์ 5 มันบ้า เรื่องนี้ปล่อยไป มาว่ากันตามที่ท่านเทศน์ ท่านเทศน์สั้น ๆ ว่า พรหมและเทวดาเมื่อละขันธ์ 5 มาแล้วมีความสุข เพราะไม่ต้องหนาว ไม่ต้องร้อน ไม่หิว ไม่ป่วย ไม่เมื่อย ไม่มีความลำบาก จากเหตุที่เกิดจากกายคือขันธ์ 5 ดีกว่าเกิดเป็นมนุษย์มาก ฉันนั่งฟังแล้วฉันก็สบายใจ ฉันเห็นว่าท่านเทศน์ถูก เทศน์ตรงตามความเป็นจริง ท่านเทศน์ต่อไปว่า การละขันธ์ 5 มาเป็นเทวดาหรือพรหมก็ตามยังเอาสุขแท้แน่นอน ไม่ได้ เพราะเทวดาหรือพรหมที่ได้บรรลุมรรคผลถึงระดับสกิทาคามีขึ้น หรือถึงอนาคามีแล้วก็ตาม ต่างก็ยังมีกังวล ยังมีภาระที่ต้องทำ และยังมีความหนักใจ คือเทวดาที่ได้อริยะต่ำกว่าสกิทาคามีต้องลงไปเกิดอีก จะต้องมีขันธ์ 5 จะต้องลำบาก ต้องมีทุกข์ เทวดาหรือพรหมที่ได้อริยะตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไป ก็ยังมีภาระที่ต้องปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ สู้ละขันธ์ 5 แล้วเข้านิพพานเลยไม่ได้ ท่านเทศน์เท่านี้แล้วท่านก็หยุด ฉันเห็นมีโอกาส ฉันกราบท่านแล้วทูลถามท่านว่า คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญอย่างไรจึงจะง่ายและสั้นที่สุด ท่านตรัสว่า เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูก หลาน เหลนก็ไม่มี แม้ร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้ว เราจะไปพระนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า ภาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชินจะเห็น เหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายแล้วก็จะเข้านิพพานได้ทัน พอท่านพูดจบฉันก็ตื่นจากหลับ ฉันฝัน อย่างนี้คิดว่าเป็นเรื่องของพระแก่ฝัน จะจริงเท็จอย่างไรจงใคร่ครวญเอาเอง ชอบใจก็เอาไปใช้ ไม่ชอบใจก็วางไว้ อย่าเอาอารมณ์เข้าไปเกาะมันจะเป็นกังวล ต่อไปนี้มาเรื่องเดิมกันต่อไปดีกว่า
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-15 00:27:15 |
ความคิดเห็นที่ 35 (1615863) | |
อารมณ์ฌาน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-15 00:28:21 |
ความคิดเห็นที่ 36 (1616127) | |
พระและชาวบ้านเจ้าของถิ่น | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 09:53:40 |
ความคิดเห็นที่ 37 (1616128) | |
ท่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 09:54:46 |
ความคิดเห็นที่ 38 (1616129) | |
พอเข้าไปในห้องน้ำอาศัยไอน้ำทำให้เกิดความเย็น มีความสบายเกิดขึ้น คิดจะอาบน้ำทันทีก็เกรงว่าจะเป็นไข้ เพราะกำลังร้อนจัด อารมณ์ก็จับนิมิตไว้เป็นปกติ ใจคิดว่าถ้าเราไปได้เราจะไปชั้นดาวดึงส์ก่อน เพราะชั้นนั้นเขาว่ามีนางฟ้ามากเหลือเกิน และเป็นเทวสถานของพระอินทร์ อยากจะเห็นพระอินทร์ อยากเห็นจุฬามณี อยากเห็นสวนดอกไม้บนเมืองสวรรค์ เมื่อคิดแล้วก็ปล่อยอารมณ์คิดเสีย ด้วยเกรงว่าอารมณ์จะ ฟุ้งซ่านเกินไป ถ้าหลวงพ่อท่านมา หากทรงฌานไม่ทันท่านจะหาว่าขัดคำสั่ง เมื่อปล่อยอารมณ์แล้วก็คิดว่าจะพักในห้องน้ำแล้วจึงจะอาบน้ำ จึงนั่งพิงตุ่มน้ำ ตุ่มที่มีน้ำมี ความเย็นกำลังสบาย จิตที่ทรงสมาธิตลอด เมื่อวันมีความสบายเกิดขึ้น ไม่มีอารมณ์เครียดทางกาย ใจว่างจากความอยาก อารมณ์เกิดเป็นเอกัคตารมณ์มาทันที อารมณ์ดับวูบแล้วก็มีความรู้ตัวขึ้นคล้ายตื่นจากหลับ มันไม่ได้ตื่นที่ตุ่มน้ำ มันไปตื่นที่ไหนก็ไม่รู้ เห็นตัวเองยืนอยู่มีอาการคล้ายตายวาระแรก คือ พอเพลินมีอารมณ์วูบแล้วเห็นตัวเองยืนอยู่ข้างร่างเดิม แต่คราวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น มีความรู้สึกว่าตัวเองมายืนอยู่ข้างสวนดอกไม้ สวนนี้ช่างสวยเหลือเกิน มีไม้ดอกล้วน ๆ ปลูกไว้เป็นระเบียบ แต่ละสีไม่ปะปนกัน เป็นแถวยาวเหยียด ไม้ดอกแต่ละต้นมีสภาพเหมือนแก้วแพรวพรายไปทั้งต้น ไม้และดอกก็เป็นแก้วไปทั้งหมด มันสวยบอกไม่ถูกจริง ๆ สถานที่นั้นเงียบสงัดไม่มีใครเลย ยืนแปลกใจสงสัยอยู่ครู่หนึ่งได้ยินเสียงแจ๋ว ๆ ฟังเพราะจับใจ ไม่แหบ ไม่เครือ เสียงมีกังวาน แจ่มใสดังมาข้างหลัง เสียงนั้นเป็นเสียงหญิง ได้ยินเธอพูดว่า โอ้โฮ! พระคุณเจ้ามาโปรดชาวสวรรค์หรือเจ้าคะ พวกดิฉันขอฟังเทศน์เจ้าค่ะ พวกเรา พระท่านมาโปรดแล้ว มาฟังเทศน์กันเร็ว เธอพูดเอาเองตามประสาผู้หญิง ไม่เคยให้ฉันตอบเลย พอเหลียวไปมองดูเธอ เห็นหญิงร่างอรชรอ้อนแอ้นเอวเล็กเอวบาง ร่างสมส่วนสมทรงทุกอย่าง เครื่องแต่งตัวสีเขียวอ่อนมองเย็นตา นุ่งผ้าจีบคล้ายละคร มีเนื้อบาง ๆ แต่มองไม่เห็นเนื้อ เป็นเสื้อแขนสั้น มีผ้าสไบเฉียงเหมือนมหาอุบาสิกาสมัยโบราณ ผ้าทั้งหมดเป็นสีเดียวกัน เครื่องประดับแพรวพราวบอกไม่ถูก มองดูระยับไปทั้งร่าง คิดในใจว่าเธอนี่ช่างสวยและร่ำรวยเสียจริง ๆ เป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน เมื่อเธอเรียกพวกเธอ พอสิ้นเสียงปรากฏร่างสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกันนับร้อยแต่งตัวเหมือนกันหมด สวยเหมือนกัน รูปทรงไม่ต่างกันเลย ผิวพรรณหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันมาก มานั่งพับเพียบพนมมือเป็นแถว กะประมาณพวกเธอเห็นจะเกินกว่าทหาร 5 กองพันเป็นไหน ๆ แต่ไม่เห็นมี ผู้ชายเลย ครั้นก้มลงมองดูตัวเองกลับมีสภาพเหมือนอสรกุ๊ย เพราะหัวโล้นนุ่งผ้าลอยชาย และมีผ้าคล้องคออีก 1 ผืน รู้สึกอายใจมาก ถามเธอว่าที่นี่เขาเรียกเมืองอะไร เธอตอบว่าเมื่อก่อนจะมาพระคุณเจ้าว่าจะไปเมืองไหน ตอบเธอว่าฉันอยากเห็นดาวดึงส์ อยากเห็นสวนดอกไม้ เธอตอบว่าที่นี่เขาเรียกว่าดาวดึงส์เจ้าค่ะ สวนนี้เขาเรียกว่าสวนจิตรลดาวัลย์ เป็นสวนของพระอินทร์ ขอพระคุณเจ้ากรุณาเทศน์โปรดพวกฉันเป็นการเสริมสร้างบารมีสักกัณฑ์เถิดเจ้าค่ะ พอทราบว่าเป็นดาวดึงส์ก็ตกใจ คิดว่ามาได้อย่างไร และแม่พวกนี้ทราบความคิดของเราได้อย่างไร จึงถามเธอว่า เธอทราบได้อย่างไรว่าฉันคิดจะมาดาวดึงส์ เธอตอบว่าเทวดาทราบความคิดของคนเจ้าค่ะ มนุษย์คิดเทวดาทราบแล้ว และที่พระคุณเจ้าคิดอยากแต่งงานกับนางฟ้า พระอินทร์ท่านก็ทราบแล้ว ถ้าหากพระคุณเจ้ายังมีความประสงค์อย่างนั้นไม่มีทางมาดาวดึงส์หรือสวรรค์ชั้นใดได้เลย ตอนนี้พระคุณเจ้ามีอารมณ์ชั่วระงับแล้ว ทรงสมาธิสมบูรณ์มาได้ พอเธอพูดตรงใจเลวเข้าชักอายบอกไม่ถูกเลย และเรื่องที่เธอขอให้เทศน์จะเอาอะไรมาเทศน์ด้วยไม่เคยเรียนเทศน์ พอบวชก็มุ่งปฏิบัติ ตอบเธอว่าฉันบวชใหม่เทศน์ไม่เป็น ขออย่าให้เทศน์เลย เธอตอบว่าเทศน์ตามที่ทราบก็แล้วกันเจ้าค่ะ คำสองคำก็พอแล้ว ที่นี่พระมาโปรดยาก อยากฟังเทศน์ก็ไม่ใคร่ได้ฟัง นาน ๆ จะมีพระทรงคุณวิเศษมา สักครั้ง เธอยิ่งพูดฉันยิ่งอาย อารมณ์ที่คิดอยากจะเป็นผัวนางฟ้าไม่มีเลย ด้วยพวกเธอเห็นพระแล้วไม่ทำท่าเหมือนสาว ๆ เมืองมนุษย์ สาวเมืองมนุษย์ยังมีการพูดหยอกเย้าล้อเลียน พวกนางฟ้านี่จะฟังแต่เทศน์อย่างเดียว แล้วพวกเธอก็สวยเสียจนไม่อยากรัก เพราะคิดว่าถ้าขืนรักเธอคงไม่ตกลงด้วยแน่ เมื่อทราบว่าเขา ไม่ตกลงด้วยก็ไม่คิดรัก เลยสบายใจดีกว่าเยอะ เมื่อทนอายไม่ไหวก็ขอร้องเธอว่า ฉันแต่งตัวไม่เป็นปริมณฑล คือ ไม่ถูกต้องตามระเบียบของพระ ยังเทศน์ไม่ได้ ขอให้กลับไปแต่งตัวใหม่ก่อน แม่นางฟ้าก็จอมตื๊อเหลือเกิน แกบอกว่าพวกแกไม่ต้องการเครื่องแต่งตัว พวกเธอต้องการแต่ธรรมเท่านั้น แม่ตื๊อสะเด็ดเลย ในที่สุดก็ตัดบทว่ารอก่อน ฉันยังแต่งตัวไม่เป็นปริมณฑลเพียงใดฉันก็จะไม่เทศน์ ขอให้ฉันกลับลงไป แต่งตัวใหม่ก่อน พวกเธอเห็นหลวงตาเฒ่าหัวงูไม่ยอมแน่ เธอก็ยอมตกลง เมื่อคิดว่าจะกลับมันก็ไม่มีอะไรมาก ปรากฏว่ารู้สึกตัวมีอาการคล้ายหลับแล้วตื่นขึ้น นึกถึงสัญญาไม่ใช่นึกถึงความงามของนางฟ้า เรื่องอยากได้นางฟ้าขอยกยอดทิ้งไป รูปร่างอย่างเจ้าหัวโล้นโกนหัวห่มเหลือง ใครเขาเลวอย่างนี้บ้าง กำเริบอยากจะเป็นผัวนางฟ้า มันบ้าเกินไปแล้ว ฉันมีอารมณ์เลว ๆ พอที่จะอวดได้เยอะ ถ้าให้คนอื่นเขาเขียน อาการเลว ๆ อย่างนี้ไม่มีใครเขียน เขาก็เขียนยกย่องให้ฉันเป็นเทวดาไปเท่านั้นเอง ปฏิปทาสัตว์นรกอย่างนี้รับรองว่าไม่มีใครเขาเขียนให้ฉันแน่ เมื่อหาคนอื่นเขียนให้ไม่ได้ ฉันเขียนของฉันเอง ชาวบ้านเขามีดีจะอวดและก็อวดดีกันมาก แต่ฉันมีเลวอวด คนบวม ๆ อย่างฉันยังมีอีก ขณะนี้ยังไม่มีใครโผล่หัวออกมาจากโปง เมื่อมีคนเปิดโปงโผล่หัวให้เห็นสักคน คิดว่าไม่ช้าคงโผล่หัวเป็นแถว แล้วพวกเธอทั้งหลายจะได้รับทราบความเลวที่ชาวบ้านชอบปกปิด แต่พวกบวมผิดปกติชอบเปิด มันก็จะเป็นเรื่องชวนสนุกไม่น้อยเลย เมื่อความรู้สึกปรากฏ ฉันแน่ใจว่าฉันไม่ได้นั่งหลับฝัน ไปปักใจเอาเองว่าเป็นผลของสมาธิ จึงเดินเข้ากระท่อมนุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิ ว่ากันเต็มยศ แต่ทว่าเลยเต็มไปหน่อย เพราะอาศัยที่ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติมาก่อน ตอนบวชฉันเห็นหนังสือเล่มหนึ่งเขาเขียนภาพพระมาลัยตอนที่ท่านไปเที่ยวสวรรค์และนรก ท่านมีรองเท้า มีไม้เท่า มีย่าม มีบาตร ฉันเห็นภาพนั้นฉันก็คิดว่าจะไปสวรรค์ต้องมีเครื่องครบตามพระมาลัย ฉันเลยเสริมเครื่องยศเลยพระวินัยเข้าให้ คือพระวินัยมีแต่สบง จีวร สังฆาฏิ ฉันเติมรองเท้า ไม้เท้า ความจริงไม้เท้าไม่มี ฉันเลยเอาไม้ท่อน เป็นไม้ไผ่ขนาดย่อม โตกว่าแขนนิดหน่อย ยาวประมาณ 1 เมตรเศษ เอามาแทนไม้เท้า มีย่ามมีบาตรสะพายไหล่เสร็จ ทีนี้ตอนที่จะออกไปสวรรค์ จะไปตรงไหน จะนั่งในกระท่อมเกรงว่าจะไปไม่ได้ ต้องไปนั่งในห้องน้ำ เพราะไปที่ตรงนั้นจึงไปได้ ความคิดเช่นนี้เป็นความโง่ของฉัน เพราะโทษของการที่ไม่ได้ศึกษามาก่อน แต่ท่านที่ศึกษามาก ๆ ฝ่ายปริยัติเวลาท่านไปกัน ท่านไปแบบไหนไม่เคยถามท่าน ท่านคงไปได้แน่เพราะท่านไม่โง่เท่าฉัน เมื่อทรงเครื่องเสร็จก็ยุรยาตรเข้าห้องอาบน้ำ ไม่มีส้วมรวมอยู่ด้วย พอนั่งก้นถึงพื้นรู้สึกว่าไปป๋ออยู่ที่เดิม ไม่ต้องตั้งท่าอะไรเลย ง่ายเหลือเกิน พอขึ้นไปที่เดิมไม่เห็นมีใครสักคน นางฟ้าหรือแม้แต่เงานางฟ้าก็ไม่มี พิจารณาดูตัวเองมันช่างรุงรังเต็มทน คิดว่าเป็นระเบียบจะต้องทำเลยจำใจทำ ยืนเก้ ๆ กัง ๆ สักประเดี๋ยวเดียว คราวนี้ปรากฏเทวดาผู้ชายองค์หนึ่งมาหา ไม่สวมชฎา แต่เครื่องแต่งตัวแพรวพราวไปหมด เสื้อแขนยาว ผ้านุ่งยกสวย มีเพชรประดับเต็มเสื้อผ้าไปหมด มาถึงมายกมือไหว้บอกว่า พระอินทร์ท่านให้นิมนต์ไปที่เทวสภา ตอนนี้ชักยุ่ง คิดว่าเพียงเทศน์ให้นางฟ้าก็จะพอเทศน์บุ้ยใบ้อะไรก็ได้ คราวนี้เกิดมีเทวดาทั้งดาวดึงส์ดันมาฟังหมด แถมมีพระอินทร์รวมอยู่ด้วย คงจะแย่แล้วตาเถรมาลัยปลอม แต่ว่าเมื่อเป็นเทวบัญชามา ยากจะขัด พอเดินออกนอกที่เดิมไปทางทิศตะวันตกไม่ไกลก็ถึงเทวสภา อาคารหลังนี้สวยระยับจับตาจริง ๆ เขาไม่ได้ใช้หินอ่อนอย่างสภาผู้แทน ของเขาเป็นแก้วหลายสีแพรวพราวระยับตา เป็นแก้วล้วน ๆ ไม่มีหินปนสักนิด มีเทวดานางฟ้านั่งเต็มอาคาร และดูสวยจริง ๆ วิมานหรืออาคารก็เป็นแก้ว คนก็มีแก้วประดับแลดูรัศมีกายรัศมีแก้วสว่างช่วงโชติสวยงามพรรณนาไม่ไหว ใครอยากเห็นก็ไปดูเอาเอง พอเดินเข้าไปใกล้ มีเทวดาองค์หนึ่ง เทวดานี่สวยทุกองค์ นางฟ้าก็สวยทุกคน อย่าพรรณนาเลย ท่านเดินเข้ามาใกล้ ท่านไม่ได้สวมชฎา แต่ในใจมีความรู้สึกว่าท่านเป็นพระอินทร์ ตัวท่านไม่เขียว ผิวค่อนข้างเหลือง ทรวดทรงสวย เทวดาแก่ไม่มี หนุ่มสาวทั้งหมด ท่านออกมาหา ท่านพูดว่า คุณเอาบาตรส่งมาให้โยม บนสวรรค์ไม่มีใครเขาใส่บาตรหรอก ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว คุณจะบิณฑบาตเอาไปไหน บอกท่านว่าเห็นเขาเขียนภาพพระมาลัยไว้อย่างนั้น คิดมาสวรรค์ต้องเตรียมพร้อมจึงแต่งมาอย่างนี้ ท่านยิ้มแล้วก็ตอบว่าคราวต่อไปไม่ต้องเอามา ภาพนั้นคนเขียนภาพเขาไม่เคยเห็นพระมาลัยเวลาไปสวรรค์ เขาคิดเอาเอง เขียนตามความคิดเห็น มันไม่ถูกต้องอะไร ไม้เท้า ย่ามรองเท้าก็เหมือนกัน ทีหลังไม่ต้องเอามา อายท่านเสียเกือบแย่ เมื่อเข้าไปในเทวสภา ท่านก็แนะนำเทวดาหลายร้อยองค์ว่าเป็นพ่อเป็นแม่บ้าง เคยเป็นญาติบ้าง เป็นลูกพี่ลูกน้อง บริวาร ผู้บังคับบัญชา และภรรยา พวกภรรยานี่เกินกว่า 200 คน แกไปแออัดอยู่บนนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ท่านบอกว่าเป็นภรรยาเอกที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายแสนชาติ คนนี้ชื่อว่า พรรณวดีศรีโสภาค คุณเรียกแกสั้น ๆ ว่าแม่ศรี แกเข้ามาหา แกแต่งตัวสวยกว่านางฟ้าอื่นทั้งหมด ทรวดทรงสวยมาก ท่าทางมีอำนาจ ท่านบอกว่าเขามีอำนาจควบคุมเวชยันต์วิมานของโยม ท่านแนะนำตัว ท่านว่าท่านเคยเป็นพ่อฉันมาหลายแสนชาติ ท่านออกปากอนุญาตในการทัศนาจรดาวดึงส์ บอกว่ามาเมื่อไรก็ได้ โยมอนุญาตทุกสถานที่ ท่านแม่ศรีแกก็บอกว่าลูกแกลงมาเกิด 2 องค์ ให้ฉันติดตามสอนจะได้กลับมาที่เดิมหรืออาจไปสูงกว่าเดิม พระอินทร์ท่านเตือนแม่ศรีว่า พระยังหนุ่มอยู่ยัง ไม่ควรพบลูก รอเมื่อถึงกาลอันสมควรจะพบกันเอง เมื่อท่านแนะนำแล้วก็ถามแม่ศรีว่าเธอทำไมไม่มาเกิด เธอตอบว่าท่านจะลงไปบวช ถ้าฉันไปเกิดด้วยท่านก็ทนบวชไม่ไหว ฉันทราบว่าท่านจะบวชฉันจึงไม่ไปเกิด เมื่อมีโอกาสคุย ใจชักกล้า พอได้เวลาท่านให้ขึ้นแท่นสูงเป็นแก้วเก้าสี ท่านให้เทศน์ ไม่รู้จะเทศน์อะไรเลยเทศน์เรื่องที่ปฏิบัติมา พวกเทวาชอบใจมาก เทศน์เดี๋ยวเดียวก็เลิก พระอินทร์ท่านบอกว่าข้างล่างเกือบสว่างแล้ว นิมนต์กลับก่อน วันต่อไปนิมนต์มาตามสบาย คุณจะมาก็มาได้นานแล้ว คุณไม่ปล่อยอารมณ์ ถ้าปล่อยอารมณ์หรือฉลาดพอ คุณมาได้ตั้งแต่ก่อนบวชแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ลาท่านมา ปรากฏว่าเมื่อ รู้สึกตัวเวลาเลย 2 น. ของวันใหม่ เจ้าสามเพื่อนกับหลวงพ่อปานมายืนคุมอยู่หน้าห้องน้ำ เจ้าเพื่อนโพธิวัตรมันว่า เฮ้ย บิณฑบาตเมืองสวรรค์ได้อะไรบ้าง มาแบ่งกันกินบ้างสิวะ เลยเอามือเขกหัวมันโป๊กถนัด มัน ไม่ว่าอะไร ที่เอาเรื่องนี้มาเขียน ไม่ใช่ว่าอวดความสามารถ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนักปฏิบัติตาม พระพุทธโอวาท เอามาเขียนเพื่อให้ทราบว่าเมื่อจิตยังมีกังวล การปฏิบัติสมาธิไม่มีผล ถ้าตัดกังวลได้แล้วจะพบผลมหาศาล หลวงพ่อท่านพูดว่า คุณ ฉันทราบว่าคุณไปได้ตั้งแต่เด็ก แต่คุณไม่ฉลาด เมื่อฉันเห็นคุณโง่ก็อยากให้คลายโง่ด้วยตนเอง ต่อไปนี้จะไปไหนก็ได้ตามใจชอบ แต่อย่าลืมทรงสมาธิ อ่านแล้วก็คิดเอาเอง สำหรับวันนี้ขอพักเท่านี้ วันหน้าคุยใหม่
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 09:55:49 |
ความคิดเห็นที่ 39 (1616130) | |
ปฏิปทาของหลวงพ่อปาน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 09:56:38 |
ความคิดเห็นที่ 40 (1616131) | |
หลวงพ่อเป็นพระทรงอภิญญา | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 09:57:31 |
ความคิดเห็นที่ 41 (1616132) | |
หลวงพ่อเป็นพระทรงอภิญญา | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 09:58:25 |
ความคิดเห็นที่ 42 (1616133) | |
โลกียอภิญญา โลกียอภิญญานี้ท่านแยกเรียกว่าวิชชา 8 ก็มี อภิญญา 5 ก็มี จะเอามารวมไว้ที่เดียวกัน และบอกวิธีปฏิบัติโดยย่อไว้ด้วย ใครอยากได้ เดินไปหาอาจารย์ที่ทำได้แล้วก็เรียนแล้วกัน คนที่อ่านหนังสือจำได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าไปขอเรียน จะพากันเลอะใหญ่ ฉันเคยเป็นนักเทศน์สอนคนจนตัวฉันเกือบลงนรกมา หลายที ทั้งนี้เพราะตีความหมายของตำราไม่ตรง เมื่อทราบแล้วต้องกลับไปเทศน์แก้ใหม่เกือบแย่ อยากหุงข้าวเป็นก็ไปเรียนกับพ่อครัว อย่าไปเรียนกับลิงที่ไม่มีวิชาความรู้เรื่องหุงข้าว อยากเดินป่า จงอย่าเอาปลาในทะเลเป็นครู อยากได้อภิญญา ถ้าไปหาคนที่ไม่ได้ จะเอาอะไรมาสอน ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ จะเสียเวลาเปล่า ชื่ออภิญญาโลกีย์ 1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ 2. ทิพยโสตญาณ มีประสาทหูเป็นทิพย์ 3. มโนยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ ถอดกายใจออกท่องเที่ยวได้ 4. ทิพยจักษุญาณ มีอารมณ์เป็นทิพย์ คล้ายตาทิพย์ 5. จุตูปปาตญาณ รู้สัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์มาเกิดนี้มาจากไหน 6. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์ใจของคนและสัตว์ 7. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วได้ตามความต้องการ 8. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว 9. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวที่ยังไม่ได้เกิด 10. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เรื่องราวในปัจจุบันที่ปรากฎขึ้นในที่ไกลหรือโลกอื่น 11. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฎของกรรม วิธีฝึก อิทธิฤทธิ์ฝึกด้วยการทรงกสิณ 10 อย่างครบถ้วน นอกนั้นทรงกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นบาท แล้วก็สามารถทำให้เกิดได้ไม่ยากเลย ที่ทราบว่าหลวงพ่อปานท่านเป็นพระทรงอภิญญา ในอันแรกทราบจากทานรู้อารมณ์คิด คิดว่าจะทำอะไร ผิดหรือถูก ท่านทราบก่อนเสมอ ตามที่ลูกหลานฟังมาแล้วใน ตอนต้น จะเห็นว่าท่านรู้ก่อนบอกเสมอ แถมรู้ก่อนฉันเกิดด้วย ที่ท่านกล้าบอกว่า พวกแกบำเพ็ญบารมีด้านพุทธภูมิกันมาคนละมาก ๆ แล้ว อันนี้ท่านรู้ก่อนฉันเกิด ท่านจะพูดตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ช่าง แต่ที่พบในปัจจุบันท่านพูดตรงทุกอย่าง ฉันเชื่อว่าท่านทรงอภิญญา คำว่าอภิญญา แปลว่า รู้ยิ่งกว่าความรู้ปกติ ความรู้ปกติจะรู้อารมณ์คิดโดยตรงไม่ได้นอกจากเดาจากอาการ มันก็ไม่แน่นักว่าจะถูกเสมอไป เท่าที่ท่านใช้ ส่วนใหญ่ท่านใช้เจโตปริยญาณได้คล่องมาก พวกฉันตั้งอารมณ์กรรมฐานอยู่ในป่าผิด ไม่มีใครพูด บอกใคร พอพบท่านตอนเช้าท่านเตือนทันทีว่า ตั้งอารมณ์ผิดควรแก้ไข เป็นอย่างไรก็บอกกันเลย ไม่ใช่มานั่งสอบอารมณ์ศิษย์ ปล่อยหรือหัดศิษย์เป็นคนชอบโกหกครู ตามที่พระองค์หนึ่งห่มจีวรคร่ำหาว่าฉันเป็นเถรส่งบาตร ทำตามแบบเก่าไม่ทันสมัย ท่านเองปล่อยให้ศิษย์โกหกเล่นตามสบายใจ ทำกันไม่เท่าไรก็สำเร็จ อย่างนี้พุทธสาวกท่านไม่ใช่ ครูกรรมฐานถ้าไม่ได้เจโตปริยญาณ ฉันคิดว่ามีผลแก่ศิษย์น้อยเหลือเกิน เรื่องนี้ขอพักไว้เท่านี้ มาพูดกันถึงปฏิปทาของหลวงพ่อปานต่อไป คำว่าปฏิปทาแปลว่าความประพฤติ คนอื่นเขาแปลว่าอย่างไรช่างเขา ฉันพอใจแปลอย่างนี้ มันฟังง่ายดี
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 09:59:20 |
ความคิดเห็นที่ 43 (1616134) | |
ธุดงค์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:01:14 |
ความคิดเห็นที่ 44 (1616135) | |
ธุดงค์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:01:15 |
ความคิดเห็นที่ 45 (1616136) | |
ปฏิปทาในยามอยู่ป่า | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:02:04 |
ความคิดเห็นที่ 46 (1616137) | |
หลวงพ่อเมตตา | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:03:09 |
ความคิดเห็นที่ 47 (1616138) | |
หลวงพ่อปานออกธุดงค์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:04:03 |
ความคิดเห็นที่ 48 (1616139) | |||
| |||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:05:35 |
ความคิดเห็นที่ 49 (1616140) | |
พบโขลงช้างที่สระบุรี | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:06:40 |
ความคิดเห็นที่ 50 (1616141) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:07:40 |
ความคิดเห็นที่ 51 (1616142) | |
วันนี้วันหยุดเลยลงประวัติหลวงปู่ปานมากเป็นพิเศษ หวังว่าคนที่ชอบอ่านคงได้อ่านจนจุใจคะกำลังสนุกเลยตอนต่อไปดูตามสารบัญได้คะ................ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:12:15 |
ความคิดเห็นที่ 52 (1616144) | |
ประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-16 10:13:30 |
ความคิดเห็นที่ 53 (1617050) | |
ปาฏิหาริย์พระบรมธาตุ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:16:18 |
ความคิดเห็นที่ 54 (1617051) | |
ลูกหลานทั้งหลาย พระที่ไปคราวนั้นแต่ละท่านบอกว่าเกิดธรรมปีติบอกไม่ถูก ตลอดคืนไม่มีใครหลับ อารมณ์โพลงตลอดคืน อารมณ์สมถะและภาวนาแจ่มใสกว่าที่เคยทำมาแล้วหลายเท่า เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างไม่มีอะไรสงสัย เชื่อมั่นในหลวงพ่อปานว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีแก่กล้าจริง ความเชื่อ 2 ประการนี้เป็นผลใหญ่ ทำให้ไม่มีใครหลับ เมื่อไม่หลับก็ต้องออกเที่ยวเป็นการสร้างความเพลิดเพลินให้แก่อารมณ์ การเที่ยวไม่ได้เที่ยวป่า ด้วยเกรงว่าเสือจะอ้วนเร็วเกินไป สถานที่เที่ยวก็คือกามาวจรทุกชั้น พรหมโลกทุกชั้น และไปหยุดเอาที่นิพพานที่พวกนักธรรมว่าสูญ ไปไหนมีเจ้าถิ่นต้อนรับด้วยดีอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์แจ่มใส ร่างที่ออกไปใสกว่าเดิมหลายเท่า เรื่องคบอาจารย์ชั้นจานแก้วนี่ดีนัก ดีกว่าคบจานถ้วยเพราะแตกง่าย จานกะละมังก็มีกระเทาะ จาน 2 อย่าง ความสวยสดสะอาดน้อยกว่าจานแก้ว จานแก้วสะอาดกว่ามาก ศักดิ์ศรีก็ดีกว่าเยอะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:17:04 |
ความคิดเห็นที่ 55 (1617052) | |
นมัสการพระพุทธฉาย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:18:02 |
ความคิดเห็นที่ 56 (1617053) | |
พอผลงานปรากฏต่างก็ถวายอักษรสาร แต่ไม่ใช่ตราตั้ง เป็นสารผลงาน หลวงพ่อตรวจแล้วท่านชมว่าดี แต่ยังมีผลน้อยไป ควรรู้มากกว่านี้ แล้วท่านก็ว่าดีแล้ว พวกแกเอาตัวรอดได้ เดินห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว ระวังให้ดีนะ ถ้าเผลออาจลงนรกได้ไม่ยาก ทำเกือบตายท่านว่าห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว แล้วก็พวกที่เขาว่าเป็นฝ่ายคามวาสี อรัญวาสี แกบวชของแกยังไง อุปัชฌาย์ไหนบวชให้ ไม่สั่งสอนกันเสียบ้างเลย ได้เงินค่าจ้าง บวชแล้วก็หายไปหมด แบบเต่าใหญ่ไข่กลบ ไม่โผล่หน้าโผล่ตามาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาเสียบ้างเลย ปล่อยให้พระในพุทธศาสนาขายหน้าไปตาม ๆ กัน พูดกับเขาได้ว่าตนเป็นฝ่ายคามวาสี พวกอยู่ในบ้านในเมืองเจริญสมถภาวนาไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ พวกที่เจริญสมถภาวนาต้องเป็นอรัญวาสี พวกอยู่ป่า | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:18:49 |
ความคิดเห็นที่ 57 (1617054) | |
ไปเขาวงพระจันทร์ ลูกหลานที่น่ารักทุกคนที่กำลังฟังฉันเล่าเรื่องธุดงค์ของหลวงพ่อปานมาหลายวันแล้ว วันนี้วันที่ 1 ธ.ค. 2514เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปเป็นเรื่องเข้าสู่เขาวงพระจันทร์ เขต จ.ลพบุรี เรื่องนี้มีเรื่องประกอบหลายประการ อาจจะเล่าให้ฟังวันเดียวไม่จบ เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน เหนื่อยเมื่อไรก็พักเล่าให้ฟัง วันต่อไปพูดกันใหม่ ตกลงตามนี้นะ เข้าเรื่องกันเลยนะ เมื่อออกจากเขตพระพุทธฉายต่างก็มุ่งเข้าเขตลพบุรี สมัยเดินนี่นะจะเอาอย่างสมัยรถอย่างปัจจุบันไม่ได้ เดินกันตามอารมณ์ เดินมาพักแรมกันมา เมื่อถึงเขตแต่ละเขตที่พัก หลวงพ่อปานท่านไม่ยอมให้พวกเรามีเวลานั่งนอนได้ตามสบาย คือคอยควบคุมอารมณ์ไว้เสมอ วิธีคุมอารมณ์ของท่านก็มีบัญชาให้คณะธุดงค์ใช้วิชชา 2 ในวิชชา 3 1. ให้ตรวจตราสถานที่ที่พักและผ่านมาว่า มีสถานที่ใดเคยตั้งบ้านตั้งเมืองบ้างไหม มีอะไรสำคัญ เมื่อตรวจตราแล้วก็ทำรายงานถวายด้วยสมุดปกแข็งที่ชาวบ้านซื้อมาถวาย ความจริงสมุดที่เขาถวายนี้มาคิดเดี๋ยวนี้เองว่าราคาแพงมาก เพราะเป็นบันทึกของคณะธุดงค์ ธรรมดาของพระโบราณ ที่พวกนักเทศน์นักธรรมสมัยใหม่ว่าครึเต็มทน แม้คนสมัยใหม่เขาก็หาว่าไร้เหตุไร้ผล แต่ทุกท่านต่างคนต่างเขียน มันเกิดมีข้อความที่สำคัญตรงกัน เช่นที่ตรงไหนเคยตั้งบ้านตั้งเมือง บ้านเมืองเขาสร้างด้วยอะไร ใครเป็นคนสำคัญของบ้านเมืองนั้น เขามีจริยาเป็นประการใด ขณะนี้เขาอยู่ในนรก สวรรค์ หรือพรหมโลก หรือเขาหายสาบสูญไปจากอำนาจกิเลสตัณหาแล้ว งานที่ทำต่างก็บันทึกต่อหน้า ท่านห้ามปรึกษาหารือกัน ในบางขณะท่านจะชี้จุดที่ดินที่ใดที่หนึ่ง แล้วถามว่าตรงนี้เคยมีความสำคัญอะไรบ้าง เมื่อท่านถามแล้วท่านให้คณะธุดงค์เขียน ทันที นั่งห่างกัน ต่างคนต่างเขียน เมื่อเขียนแล้วเอามาถวายท่าน มันเป็นการบังคับการควบคุมฌานและญาณกันตรง ๆ อย่างนี้ท่านเรียกว่ากีฬาสมาธิ มันเพลิดเพลินมีอารมณ์สบาย ต้องอยู่ในฌานตลอดวัน ด้วยเกรงว่าจะมีบัญชาให้ตรวจอะไร เมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าสั่งแล้วทำยืดยาดก็จะได้ฟังเทศน์มหาชาตินอกแบบ (ถูกหาว่าประมาทเกินไป) เมื่ออารมณ์ทรงฌาน นิวรณ์คือเหยื่อความชั่วของจิตก็เข้าใกล้จิตไม่ได้ แต่ถ้าเอาแต่ฌานอย่างเดียว การรู้เห็นอะไรก็ไม่แจ่มใส มันมืดชอบกล ต้องอาศัยอารมณ์วิปัสสนาคอยเป่าฝุ่นคือละอองกิเลสที่คอยเข้ามาทำจิตให้มัวหมอง จะได้รู้เห็นเหตุที่จะพึงรู้ได้แจ่มใสชัดเจน จัดว่าท่านฉลาดฝึกศิษย์ของท่าน คณะธุดงค์คณะนี้เป็นคณะพิเศษของท่านกระมัง ท่านจึงสั่งตามที่ท่านต้องการได้เสมอ การปฏิบัติตนอย่างนี้มีผลเพียงใดลูกหลานคิดเอา ฉันคิดว่าผลที่พึงได้ในญาณต้นนี้คือ ทิพยจักษุญาณ ที่แยกตัวออกได้เท่าใด ก็ได้บอกไว้แล้วในวันก่อน หวังว่าลูกหลานที่น่ารักทุกคนคงจำได้ เอาผลตามญาณนี้คือ ก. รักษาอารมณ์สมาธิเป็นอธิจิตสิกขา ด้วยอาศัยที่มีศีลสิกขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว สามารถกีดกันนิวรณ์อารมณ์ชั่วไม่ให้เข้ามาพัวพันกับจิตใจได้ จนเห็นเนกขัมมบารมีที่แท้ที่บวชกันแล้วปล่อยนิวรณ์ครอบงำจิตได้นั้น ท่านไม่ถือว่าเป็นเนกขัมมะคือการถือบวช ท่านถือว่า หลอกลวงชาวบ้าน เอาเปรียบชาวบ้าน และเป็นมารสังคมต่างหาก ทำตัวเป็นผู้ดี แต่เนื้อแท้เป็นผู้รายที่ปล้นชาวบ้านได้อย่างกฎหมายไม่กล้าลงโทษ ข. มีผลในการคล่องในการใช้ญาณ มีความเพลิดเพลินบันเทิงใจ มีความรู้เรื่องที่คิดว่าจะไม่รู้ เป็นกำไรชีวิตมหาศาล ค. ได้เห็นตามความเป็นจริง ตามอารมณ์วิปัสสนาญาณตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ว่าอะไรมันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง มีทุกข์ และมีการสลายตัวในที่สุด บ้านเมือง คน สัตว์ที่พบ มันไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ซากก็ไม่มี มันไม่เป็นอนัตตา มันจะเป็นอะไร เป็นอันว่าเขาถึงวิปัสสนาด้วยอารมณ์รื่นเริง ไม่ต้องมานั่งจับเจ่าในห้องในกุฏิให้โรคประสาทรบกวน ดีไม่ดีก็เกิดพองไม่ยุบ หรือยุบไม่พองอย่างคุณแม่เขียน อนันตวงษ์ ท่านบอกให้ฟังว่า ฉันเข้ากุฏิ 3 เดือน เกิดพองไม่ยุบ คือไม่ได้เดินไปไหนเกิดบวมขึ้นมาเลยพอง ไม่ยุบ วิชชานั้นไม่ใช่เป็นวิชชาที่ใช้ไม่ได้ ดีเหมือนกันถ้าใช้ถูกแบบ แต่คนใช้เกิดใช้เลยแบบหรือไม่ถึงแบบก็เลยมีผลอย่างนั้น 2..ญาณที่ 2 ที่ท่านสั่งก็คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ใช้ญาณนี้ระลึกชาติของตนเอง ถอยหลังเข้าไปตามกำลังของตน ให้ทราบว่าสถานที่นี้ตนเองเคยมีความเกี่ยวพันอะไรมาด้วยบ้าง วิชชานี้มีผลไม่น้อย เมื่อพบภาพของตนและทราบว่ามีความสุขความทุกข์อะไรเนื่องด้วยสถานที่นั้น แล้วก็ตายด้วยอาการอย่างไร มีเมีย มีลูก มีทรัพย์สิน พวกนั้นหายไปไหน ตัวตนขณะนั้นบางรายทำท่าเบ่งเป็นพ่อบ้านพ่อเมือง แล้วเจ้าคนนั้นมันหายไปไหน ตามภาพไป มันตายแล้ว ไปนรกบ้างไปสวรรค์บ้าง จากคนรวยไปเกิดเป็นคนจนบ้าง ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง ในที่สุดก็มาปรากฎเป็นคณะลิงหน้าพลับพลา มองดูแล้วก็สบายใจที่ทราบ แต่ก็สลดใจที่เมาเกิด เมาสมบัติ เมาเมีย เมาลูก เมาอำนาจ เมาทรงอยู่ ในสุดก็เอาอะไรไว้ไม่ได้เลย เลยพากันเบื่อเกิดต่อไป นอกจากเพลิดเพลินแล้วก็ยังมีผลในด้านวิปัสสนาญาณ จัดว่าท่านฉลาดไม่น้อยเลย แต่ถ้าท่านโง่กว่านั้นก็คงปราบพวกลิงหน้าพลับพลาไม่อยู่ ด้วยแต่ละตัวเป็นลิงเปรียวทั้งนั้น ไม่เปรียวอย่างเดียว เป็นลิงจอมดื้อ จอมพิสูจน์ทั้งหมด ถ้าสงสัยอะไรสักนิด คณะลิงหน้าพลับพลาจะต้องค้นคว้าหาความจริงให้ได้ ถ้าไม่สามารถจะหาได้จะยอมตายดีกว่าที่จะยอมแพ้ ท่านรู้นิสัยคณะลิงหน้าพลับพลาดี เมื่ออยู่วัดก็ไม่เห็นแสดงอะไร พอออกป่าเท่านั้นเอง ท่านแสดงความสามารถออกมาอย่างคนละองค์เลย ไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อ เพราะลิงทั้งหลายประสบมาเอง เสียดายที่ลูกหลานไม่มีโอกาสพบท่านนะ ถ้าได้พบท่านจะลืมพัดยอดแหลมไปตาม ๆ กัน นี่ฉันพูดอะไรไปบ้าง เวลาเลยมานานแล้วคงไปไม่ถึงไหน เพราะคนแก่ แถมหัวล้านเสียด้วย พูดไปพูดมาชักเหงื่อหัวล้านจะเริ่มซึมออกมาแล้ว เวลาจะเอวังมันก็ใกล้เข้ามา ๆ เดินต่อไปกันดีกว่า เมื่อออกจากพระพุทธฉายก็มุ่งมาเขาวงพระจันทร์ ระหว่างทางยังไม่คุยนะ เพราะเกริ่นไว้วานนี้ว่าจะเล่าเรื่องพระได้อภิญญาถูกวัวเขาอ่อนขวิด หลาน ๆ คงคงไม่รู้จักวัวเขาอ่อนกระมัง ประเดี๋ยวก็รู้จัก ฟังต่อไปจะเล่าให้ฟังแบบลัด เพราะมันเริ่มเหนื่อย ขืนอ้อมไปมากเหงื่อหัวล้านจะไหลมาก เป็นอันว่าระหว่างทางจากพระพุทธฉายมาพระพุทธบาทไม่มีอะไรมากนัก เมื่อเลยพระพุทธบาทมาเข้าเขตลพบุรี หลวงพ่อท่านบอกคณะลิงทั้งหลายไม่มีใครรู้จักทางและไม่ทราบเขตแดน หลวงพ่อท่านชำนาญ ท่านพาเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง อยู่ในถ้ำองค์เดียว ไม่ทราบว่าเขาเรียกว่าถ้ำอะไร ด้วยไม่ได้ถามท่าน สถานที่นี้ไม่มีบ้านเลย แม้เสียงสุนัขชาวบ้านก็ไม่เคยได้ยิน มันไกลบ้านจริง ๆ เมื่อแวะเข้าไปปรากฏว่าพระองค์นั้นท่านต้อนรับหลวงพ่อด้วยดี รู้จักกันมานาน ท่านแนะนำพวกคณะลิงหน้าพลับพลาว่า ท่านองค์นี้ทรงอภิญญาโลกีย์สมาบัติ ชำนาญในการเนรมิต พวกลิงไหว้ท่านก็รับไหว้ด้วยดี ท่านคุยกัน 2 องค์สนุกสนาน คุยเรื่องที่ลิงไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ในที่สุด หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ที่พาคณะศิษย์ชุดนี้มาก็เพราะอยากให้เขาเห็นของจริง ของจริงของพระพุทธศาสนานำออกในบ้านในเมืองไม่ได้ เพราะพวกเดียวกันคอยลิดรอน เมื่อพระด้วยกันว่าไม่มี ทำไม่ได้เสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็เชื่อ เมื่อเขาเชื่อพระใหญ่หรือพระหมู่มาก พวกเราเป็นพระเล็กที่ไม่มีเครื่องหมายยศให้ ชาวบ้านนับถือ ไปทำอะไรเข้าเขาก็พากันประณาม คณะศิษย์ผมเขาอยากเห็นของจริงชอบค้นคว้า ชอบฝึกทุกอย่างที่มีในหลักสูตร เมื่ออยู่ในวัดก็ได้แต่บอกหรืออย่างมากก็ใช้เจโตปริยญาณเป็นคราวๆ เพื่อให้สนใจเป็นอัศจรรย์บ้าง แต่พอออกป่าก็ออกท่าได้เต็มที่ เขาจะได้ทราบว่าความรู้ทุกอย่างในพระพุทธศาสนาแม้แต่อรหัตผลก็ยังไม่คลายตัว นักปราชญ์ท่านเขียนไว้อย่างนั้นเองว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้ว ท่านกลัวคนจะตกใจว่าเมื่อพระอรหันต์ยังมี คนที่มีเมียแล้วถ้าจะบวชเกรงว่าเมียจะคิดว่าถ้าผัวเป็นพระอรหันต์แล้วตัวจะเป็นม่าย จะไม่อนุญาตให้ผัวบวช ท่านเลยเขียนเสือหลอกวัวไว้ให้ ท่านพูดแล้วท่านก็ชวนกันหัวเราะ ฟังท่านคุยกันแล้วไม่รู้เรื่อง ต่อมาท่านเจ้าของถิ่นหันมาคุยว่า ผมเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพียงแต่ได้ฌานโลกีย์ ที่ออกจากหมู่คนก็เพราะยังไม่แน่ใจตนเองและประสงค์อรหัตผล ฟังแล้วสบายใจดีแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อยามค่ำก็นอนในห้องของท่าน ถ้ำนั้นกว้างขวางมาก สมัยนี้ที่เขาเรียกว่าถ้าคูหาสวรรค์จะใช่หรือไม่ใช่ไม่เคยไปดูอีกเลย พอรุ่งเช้าท่านทั้งสองนั่งคุยกันอีก วันนี้หลวงพ่อไม่สั่งให้บิณฑบาต เมื่อท่านไม่สั่งคณะธุดงค์ก็ ไม่เตรียมตัว เมื่อท่านคุยกันสักครู่ ท่านเจ้าของถิ่นถามหลวงพ่อว่า ที่นี่กับข้าวก็หายากแต่บอนใกล้ถ้ำในบึงเล็ก ๆ มีมาก ท่านถามว่าฉันแกงบอนไหม หลวงพ่อบอกว่าฉัน เมื่อถามกันแล้วท่านเจ้าของถิ่นก็ไปตัดบอนมา 1 ต้น มาถึงก็ไม่ปอกเปลือก หั่นตามแบบแกง แล้วก็เอาหม้อดินใหม่เอี่ยมมา 1 ลูก หั่นออกใส่ แล้วก็เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาหม้อปิด แล้วเอาข้าวสารหยิบมือหนึ่งใส่ในหม้อดินอีกลูกหนึ่ง เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาปิด เอาหม้อทั้งสองลูกวางไว้ข้างหน้า ไม่เห็นตั้งเตา วางไว้กับพื้นเฉย ๆ นั่งคุยกันไปสักครู่หนึ่ง เวลาประมาณ 8 น. ท่านเจ้าของถิ่นถามว่าหิวหรือยัง หลวงพ่อท่านตอบว่าหิวแล้ว ท่านเจ้าของถิ่นท่านตอบว่าหิวก็ฉันได้แล้วนี่ ข้าวแกงสุกนานแล้ว ว่าแล้วท่านก็เปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกง ปรากฏว่าข้าวสุกเต็มหม้อถึงฝาละมี มีควันคลุ้งเหมือนเอาลงจากเตาใหม่ ๆ แกงก็เต็มหม้อ มีควันขึ้น กลิ่นหอมเหมือนแกงบอนปกติ แถมมีเนื้อปลาในแกง หม้อทั้งสองลูกดูแล้วเห็นว่าจุข้าวไม่ถึงจาน เพราะมันลูกเล็กนิดเดียว ท่านให้ล้อมวงกันฉัน แต่ตัวท่านเองไม่ฉัน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ฉันมาหลายปีแล้ว พวกคณะลิงหน้าพลับพลาสงสัย ถามท่านว่าท่านไม่หิวหรือ ท่านบอกว่าอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่หิวและมีกำลังเป็นปกติ คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุขต่างก็ล้อมวงกันฉัน แต่ละองค์ฉันจนเต็มอัตราศึก ข้าวสุกกับแกงที่คิดว่าแม้องค์เดียวก็ไม่ได้ตึงท้อง มันแปลกเมื่อยังไม่มีใครอิ่ม ตักออกมาเท่าไรก็ไม่หมด รสก็อร่อยดีกว่าพ่อครัวแม่ครัวชั้นเลิศแกงกว่าไหน ๆ แต่พอทั้งหมดอิ่มพร้อมกันแล้ว หาข้าวสุกสักเม็ด น้ำแกงสักหยดก็ไม่มี หลวงพ่อท่านรู้ใจศิษย์ท่าน ท่านรีบบอกว่าข้าวแกงอย่างนี้เรียกว่าอาหารอภิญญา คือเกิดได้จากการเนรมิต คำว่าเนรมิตหรือนิรมิตแปลเหมือนกัน นิรมิตเป็นศัพท์เดิมที่ยังไม่แปลง ท่านแปลงสระอิเป็นสระเอตามแบบของภาษาบาลี มีความหมายอย่างเดียวกัน เมื่อฉันเสร็จแล้วก็พักกับท่าน 3 วัน ท่านก็สอนวิชาอภิญญากับคณะธุดงค์ เมื่อครบ 3 วันแล้วก็ลาท่านเดินทางต่อไป | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:19:43 |
ความคิดเห็นที่ 58 (1617055) | |
ไปเขาวงพระจันทร์ ลูกหลานที่น่ารักทุกคนที่กำลังฟังฉันเล่าเรื่องธุดงค์ของหลวงพ่อปานมาหลายวันแล้ว วันนี้วันที่ 1 ธ.ค. 2514เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปเป็นเรื่องเข้าสู่เขาวงพระจันทร์ เขต จ.ลพบุรี เรื่องนี้มีเรื่องประกอบหลายประการ อาจจะเล่าให้ฟังวันเดียวไม่จบ เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน เหนื่อยเมื่อไรก็พักเล่าให้ฟัง วันต่อไปพูดกันใหม่ ตกลงตามนี้นะ เข้าเรื่องกันเลยนะ เมื่อออกจากเขตพระพุทธฉายต่างก็มุ่งเข้าเขตลพบุรี สมัยเดินนี่นะจะเอาอย่างสมัยรถอย่างปัจจุบันไม่ได้ เดินกันตามอารมณ์ เดินมาพักแรมกันมา เมื่อถึงเขตแต่ละเขตที่พัก หลวงพ่อปานท่านไม่ยอมให้พวกเรามีเวลานั่งนอนได้ตามสบาย คือคอยควบคุมอารมณ์ไว้เสมอ วิธีคุมอารมณ์ของท่านก็มีบัญชาให้คณะธุดงค์ใช้วิชชา 2 ในวิชชา 3 1. ให้ตรวจตราสถานที่ที่พักและผ่านมาว่า มีสถานที่ใดเคยตั้งบ้านตั้งเมืองบ้างไหม มีอะไรสำคัญ เมื่อตรวจตราแล้วก็ทำรายงานถวายด้วยสมุดปกแข็งที่ชาวบ้านซื้อมาถวาย ความจริงสมุดที่เขาถวายนี้มาคิดเดี๋ยวนี้เองว่าราคาแพงมาก เพราะเป็นบันทึกของคณะธุดงค์ ธรรมดาของพระโบราณ ที่พวกนักเทศน์นักธรรมสมัยใหม่ว่าครึเต็มทน แม้คนสมัยใหม่เขาก็หาว่าไร้เหตุไร้ผล แต่ทุกท่านต่างคนต่างเขียน มันเกิดมีข้อความที่สำคัญตรงกัน เช่นที่ตรงไหนเคยตั้งบ้านตั้งเมือง บ้านเมืองเขาสร้างด้วยอะไร ใครเป็นคนสำคัญของบ้านเมืองนั้น เขามีจริยาเป็นประการใด ขณะนี้เขาอยู่ในนรก สวรรค์ หรือพรหมโลก หรือเขาหายสาบสูญไปจากอำนาจกิเลสตัณหาแล้ว งานที่ทำต่างก็บันทึกต่อหน้า ท่านห้ามปรึกษาหารือกัน ในบางขณะท่านจะชี้จุดที่ดินที่ใดที่หนึ่ง แล้วถามว่าตรงนี้เคยมีความสำคัญอะไรบ้าง เมื่อท่านถามแล้วท่านให้คณะธุดงค์เขียน ทันที นั่งห่างกัน ต่างคนต่างเขียน เมื่อเขียนแล้วเอามาถวายท่าน มันเป็นการบังคับการควบคุมฌานและญาณกันตรง ๆ อย่างนี้ท่านเรียกว่ากีฬาสมาธิ มันเพลิดเพลินมีอารมณ์สบาย ต้องอยู่ในฌานตลอดวัน ด้วยเกรงว่าจะมีบัญชาให้ตรวจอะไร เมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าสั่งแล้วทำยืดยาดก็จะได้ฟังเทศน์มหาชาตินอกแบบ (ถูกหาว่าประมาทเกินไป) เมื่ออารมณ์ทรงฌาน นิวรณ์คือเหยื่อความชั่วของจิตก็เข้าใกล้จิตไม่ได้ แต่ถ้าเอาแต่ฌานอย่างเดียว การรู้เห็นอะไรก็ไม่แจ่มใส มันมืดชอบกล ต้องอาศัยอารมณ์วิปัสสนาคอยเป่าฝุ่นคือละอองกิเลสที่คอยเข้ามาทำจิตให้มัวหมอง จะได้รู้เห็นเหตุที่จะพึงรู้ได้แจ่มใสชัดเจน จัดว่าท่านฉลาดฝึกศิษย์ของท่าน คณะธุดงค์คณะนี้เป็นคณะพิเศษของท่านกระมัง ท่านจึงสั่งตามที่ท่านต้องการได้เสมอ การปฏิบัติตนอย่างนี้มีผลเพียงใดลูกหลานคิดเอา ฉันคิดว่าผลที่พึงได้ในญาณต้นนี้คือ ทิพยจักษุญาณ ที่แยกตัวออกได้เท่าใด ก็ได้บอกไว้แล้วในวันก่อน หวังว่าลูกหลานที่น่ารักทุกคนคงจำได้ เอาผลตามญาณนี้คือ ก. รักษาอารมณ์สมาธิเป็นอธิจิตสิกขา ด้วยอาศัยที่มีศีลสิกขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว สามารถกีดกันนิวรณ์อารมณ์ชั่วไม่ให้เข้ามาพัวพันกับจิตใจได้ จนเห็นเนกขัมมบารมีที่แท้ที่บวชกันแล้วปล่อยนิวรณ์ครอบงำจิตได้นั้น ท่านไม่ถือว่าเป็นเนกขัมมะคือการถือบวช ท่านถือว่า หลอกลวงชาวบ้าน เอาเปรียบชาวบ้าน และเป็นมารสังคมต่างหาก ทำตัวเป็นผู้ดี แต่เนื้อแท้เป็นผู้รายที่ปล้นชาวบ้านได้อย่างกฎหมายไม่กล้าลงโทษ ข. มีผลในการคล่องในการใช้ญาณ มีความเพลิดเพลินบันเทิงใจ มีความรู้เรื่องที่คิดว่าจะไม่รู้ เป็นกำไรชีวิตมหาศาล ค. ได้เห็นตามความเป็นจริง ตามอารมณ์วิปัสสนาญาณตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ว่าอะไรมันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง มีทุกข์ และมีการสลายตัวในที่สุด บ้านเมือง คน สัตว์ที่พบ มันไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ซากก็ไม่มี มันไม่เป็นอนัตตา มันจะเป็นอะไร เป็นอันว่าเขาถึงวิปัสสนาด้วยอารมณ์รื่นเริง ไม่ต้องมานั่งจับเจ่าในห้องในกุฏิให้โรคประสาทรบกวน ดีไม่ดีก็เกิดพองไม่ยุบ หรือยุบไม่พองอย่างคุณแม่เขียน อนันตวงษ์ ท่านบอกให้ฟังว่า ฉันเข้ากุฏิ 3 เดือน เกิดพองไม่ยุบ คือไม่ได้เดินไปไหนเกิดบวมขึ้นมาเลยพอง ไม่ยุบ วิชชานั้นไม่ใช่เป็นวิชชาที่ใช้ไม่ได้ ดีเหมือนกันถ้าใช้ถูกแบบ แต่คนใช้เกิดใช้เลยแบบหรือไม่ถึงแบบก็เลยมีผลอย่างนั้น 2..ญาณที่ 2 ที่ท่านสั่งก็คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ใช้ญาณนี้ระลึกชาติของตนเอง ถอยหลังเข้าไปตามกำลังของตน ให้ทราบว่าสถานที่นี้ตนเองเคยมีความเกี่ยวพันอะไรมาด้วยบ้าง วิชชานี้มีผลไม่น้อย เมื่อพบภาพของตนและทราบว่ามีความสุขความทุกข์อะไรเนื่องด้วยสถานที่นั้น แล้วก็ตายด้วยอาการอย่างไร มีเมีย มีลูก มีทรัพย์สิน พวกนั้นหายไปไหน ตัวตนขณะนั้นบางรายทำท่าเบ่งเป็นพ่อบ้านพ่อเมือง แล้วเจ้าคนนั้นมันหายไปไหน ตามภาพไป มันตายแล้ว ไปนรกบ้างไปสวรรค์บ้าง จากคนรวยไปเกิดเป็นคนจนบ้าง ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง ในที่สุดก็มาปรากฎเป็นคณะลิงหน้าพลับพลา มองดูแล้วก็สบายใจที่ทราบ แต่ก็สลดใจที่เมาเกิด เมาสมบัติ เมาเมีย เมาลูก เมาอำนาจ เมาทรงอยู่ ในสุดก็เอาอะไรไว้ไม่ได้เลย เลยพากันเบื่อเกิดต่อไป นอกจากเพลิดเพลินแล้วก็ยังมีผลในด้านวิปัสสนาญาณ จัดว่าท่านฉลาดไม่น้อยเลย แต่ถ้าท่านโง่กว่านั้นก็คงปราบพวกลิงหน้าพลับพลาไม่อยู่ ด้วยแต่ละตัวเป็นลิงเปรียวทั้งนั้น ไม่เปรียวอย่างเดียว เป็นลิงจอมดื้อ จอมพิสูจน์ทั้งหมด ถ้าสงสัยอะไรสักนิด คณะลิงหน้าพลับพลาจะต้องค้นคว้าหาความจริงให้ได้ ถ้าไม่สามารถจะหาได้จะยอมตายดีกว่าที่จะยอมแพ้ ท่านรู้นิสัยคณะลิงหน้าพลับพลาดี เมื่ออยู่วัดก็ไม่เห็นแสดงอะไร พอออกป่าเท่านั้นเอง ท่านแสดงความสามารถออกมาอย่างคนละองค์เลย ไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อ เพราะลิงทั้งหลายประสบมาเอง เสียดายที่ลูกหลานไม่มีโอกาสพบท่านนะ ถ้าได้พบท่านจะลืมพัดยอดแหลมไปตาม ๆ กัน นี่ฉันพูดอะไรไปบ้าง เวลาเลยมานานแล้วคงไปไม่ถึงไหน เพราะคนแก่ แถมหัวล้านเสียด้วย พูดไปพูดมาชักเหงื่อหัวล้านจะเริ่มซึมออกมาแล้ว เวลาจะเอวังมันก็ใกล้เข้ามา ๆ เดินต่อไปกันดีกว่า เมื่อออกจากพระพุทธฉายก็มุ่งมาเขาวงพระจันทร์ ระหว่างทางยังไม่คุยนะ เพราะเกริ่นไว้วานนี้ว่าจะเล่าเรื่องพระได้อภิญญาถูกวัวเขาอ่อนขวิด หลาน ๆ คงคงไม่รู้จักวัวเขาอ่อนกระมัง ประเดี๋ยวก็รู้จัก ฟังต่อไปจะเล่าให้ฟังแบบลัด เพราะมันเริ่มเหนื่อย ขืนอ้อมไปมากเหงื่อหัวล้านจะไหลมาก เป็นอันว่าระหว่างทางจากพระพุทธฉายมาพระพุทธบาทไม่มีอะไรมากนัก เมื่อเลยพระพุทธบาทมาเข้าเขตลพบุรี หลวงพ่อท่านบอกคณะลิงทั้งหลายไม่มีใครรู้จักทางและไม่ทราบเขตแดน หลวงพ่อท่านชำนาญ ท่านพาเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง อยู่ในถ้ำองค์เดียว ไม่ทราบว่าเขาเรียกว่าถ้ำอะไร ด้วยไม่ได้ถามท่าน สถานที่นี้ไม่มีบ้านเลย แม้เสียงสุนัขชาวบ้านก็ไม่เคยได้ยิน มันไกลบ้านจริง ๆ เมื่อแวะเข้าไปปรากฏว่าพระองค์นั้นท่านต้อนรับหลวงพ่อด้วยดี รู้จักกันมานาน ท่านแนะนำพวกคณะลิงหน้าพลับพลาว่า ท่านองค์นี้ทรงอภิญญาโลกีย์สมาบัติ ชำนาญในการเนรมิต พวกลิงไหว้ท่านก็รับไหว้ด้วยดี ท่านคุยกัน 2 องค์สนุกสนาน คุยเรื่องที่ลิงไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ในที่สุด หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ที่พาคณะศิษย์ชุดนี้มาก็เพราะอยากให้เขาเห็นของจริง ของจริงของพระพุทธศาสนานำออกในบ้านในเมืองไม่ได้ เพราะพวกเดียวกันคอยลิดรอน เมื่อพระด้วยกันว่าไม่มี ทำไม่ได้เสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็เชื่อ เมื่อเขาเชื่อพระใหญ่หรือพระหมู่มาก พวกเราเป็นพระเล็กที่ไม่มีเครื่องหมายยศให้ ชาวบ้านนับถือ ไปทำอะไรเข้าเขาก็พากันประณาม คณะศิษย์ผมเขาอยากเห็นของจริงชอบค้นคว้า ชอบฝึกทุกอย่างที่มีในหลักสูตร เมื่ออยู่ในวัดก็ได้แต่บอกหรืออย่างมากก็ใช้เจโตปริยญาณเป็นคราวๆ เพื่อให้สนใจเป็นอัศจรรย์บ้าง แต่พอออกป่าก็ออกท่าได้เต็มที่ เขาจะได้ทราบว่าความรู้ทุกอย่างในพระพุทธศาสนาแม้แต่อรหัตผลก็ยังไม่คลายตัว นักปราชญ์ท่านเขียนไว้อย่างนั้นเองว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้ว ท่านกลัวคนจะตกใจว่าเมื่อพระอรหันต์ยังมี คนที่มีเมียแล้วถ้าจะบวชเกรงว่าเมียจะคิดว่าถ้าผัวเป็นพระอรหันต์แล้วตัวจะเป็นม่าย จะไม่อนุญาตให้ผัวบวช ท่านเลยเขียนเสือหลอกวัวไว้ให้ ท่านพูดแล้วท่านก็ชวนกันหัวเราะ ฟังท่านคุยกันแล้วไม่รู้เรื่อง ต่อมาท่านเจ้าของถิ่นหันมาคุยว่า ผมเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพียงแต่ได้ฌานโลกีย์ ที่ออกจากหมู่คนก็เพราะยังไม่แน่ใจตนเองและประสงค์อรหัตผล ฟังแล้วสบายใจดีแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อยามค่ำก็นอนในห้องของท่าน ถ้ำนั้นกว้างขวางมาก สมัยนี้ที่เขาเรียกว่าถ้าคูหาสวรรค์จะใช่หรือไม่ใช่ไม่เคยไปดูอีกเลย พอรุ่งเช้าท่านทั้งสองนั่งคุยกันอีก วันนี้หลวงพ่อไม่สั่งให้บิณฑบาต เมื่อท่านไม่สั่งคณะธุดงค์ก็ ไม่เตรียมตัว เมื่อท่านคุยกันสักครู่ ท่านเจ้าของถิ่นถามหลวงพ่อว่า ที่นี่กับข้าวก็หายากแต่บอนใกล้ถ้ำในบึงเล็ก ๆ มีมาก ท่านถามว่าฉันแกงบอนไหม หลวงพ่อบอกว่าฉัน เมื่อถามกันแล้วท่านเจ้าของถิ่นก็ไปตัดบอนมา 1 ต้น มาถึงก็ไม่ปอกเปลือก หั่นตามแบบแกง แล้วก็เอาหม้อดินใหม่เอี่ยมมา 1 ลูก หั่นออกใส่ แล้วก็เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาหม้อปิด แล้วเอาข้าวสารหยิบมือหนึ่งใส่ในหม้อดินอีกลูกหนึ่ง เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาปิด เอาหม้อทั้งสองลูกวางไว้ข้างหน้า ไม่เห็นตั้งเตา วางไว้กับพื้นเฉย ๆ นั่งคุยกันไปสักครู่หนึ่ง เวลาประมาณ 8 น. ท่านเจ้าของถิ่นถามว่าหิวหรือยัง หลวงพ่อท่านตอบว่าหิวแล้ว ท่านเจ้าของถิ่นท่านตอบว่าหิวก็ฉันได้แล้วนี่ ข้าวแกงสุกนานแล้ว ว่าแล้วท่านก็เปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกง ปรากฏว่าข้าวสุกเต็มหม้อถึงฝาละมี มีควันคลุ้งเหมือนเอาลงจากเตาใหม่ ๆ แกงก็เต็มหม้อ มีควันขึ้น กลิ่นหอมเหมือนแกงบอนปกติ แถมมีเนื้อปลาในแกง หม้อทั้งสองลูกดูแล้วเห็นว่าจุข้าวไม่ถึงจาน เพราะมันลูกเล็กนิดเดียว ท่านให้ล้อมวงกันฉัน แต่ตัวท่านเองไม่ฉัน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ฉันมาหลายปีแล้ว พวกคณะลิงหน้าพลับพลาสงสัย ถามท่านว่าท่านไม่หิวหรือ ท่านบอกว่าอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่หิวและมีกำลังเป็นปกติ คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุขต่างก็ล้อมวงกันฉัน แต่ละองค์ฉันจนเต็มอัตราศึก ข้าวสุกกับแกงที่คิดว่าแม้องค์เดียวก็ไม่ได้ตึงท้อง มันแปลกเมื่อยังไม่มีใครอิ่ม ตักออกมาเท่าไรก็ไม่หมด รสก็อร่อยดีกว่าพ่อครัวแม่ครัวชั้นเลิศแกงกว่าไหน ๆ แต่พอทั้งหมดอิ่มพร้อมกันแล้ว หาข้าวสุกสักเม็ด น้ำแกงสักหยดก็ไม่มี หลวงพ่อท่านรู้ใจศิษย์ท่าน ท่านรีบบอกว่าข้าวแกงอย่างนี้เรียกว่าอาหารอภิญญา คือเกิดได้จากการเนรมิต คำว่าเนรมิตหรือนิรมิตแปลเหมือนกัน นิรมิตเป็นศัพท์เดิมที่ยังไม่แปลง ท่านแปลงสระอิเป็นสระเอตามแบบของภาษาบาลี มีความหมายอย่างเดียวกัน เมื่อฉันเสร็จแล้วก็พักกับท่าน 3 วัน ท่านก็สอนวิชาอภิญญากับคณะธุดงค์ เมื่อครบ 3 วันแล้วก็ลาท่านเดินทางต่อไป | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:19:43 |
ความคิดเห็นที่ 59 (1617056) | |
ท่านเจ้าของอาหารพบวัวเขาอ่อน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:20:53 |
ความคิดเห็นที่ 60 (1617057) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:21:42 |
ความคิดเห็นที่ 61 (1617058) | |
พบลาวเก่งวิชา | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-21 23:22:51 |
ความคิดเห็นที่ 62 (1617070) | |
อนุโมทนาสาธุบุญธรรมทานด้วยค่ะ คุณ โซบิเดย์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2012-06-22 03:36:24 |
ความคิดเห็นที่ 63 (1627142) | |
ขอร่วมโมทนาสาธุกับธรรมทานประวัติ ของพระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อปานด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น อาจินต์ ภิรมย์รักษ์ วันที่ตอบ 2012-08-30 16:56:23 |
ความคิดเห็นที่ 64 (1628033) | |
อนุโมทนาบุญกับธรรมทานประวัติหลวงพ่อปาน จากคุณโซบิเดย์ด้วยค่ะ พิมพ์เก่งมากเลย เพิ่งได้เข้ามาอ่านวันนี้เอง เคยอ่านมาแล้วสนุกมากๆ ได้มาตามอ่านในกระทู้นี้อีกครั้ง เหมือนได้หยิบเล่มเดิมมาอ่านทบทวนใหม่เลยค่ะ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช พงษ์ดี วันที่ตอบ 2012-09-06 01:08:15 |
ความคิดเห็นที่ 65 (1628035) | |
ไม่ได้เข้ากระทู้มาหลายวันแฟนๆถามหาต้องขอบอกว่าขอบคุณที่ อนุโมทนามา ทุกท่านเลยนะค่ะก็ขอต่อที่ลงค้างไว้นะค่ะ
เจ้าพ่อขุนด่าน
วันนี้วันที่ 3 ธันวาคม 2514 เมื่อวานนี้ฉันพูดถึงเรื่องเจ้าพ่อขุนด่าน ท่านใช้บาทากระทบ เจ้าลาวอันธพาลคนนั้นเข้า จนเจ้าลาวเจ็บและบวมไปทั้งตัว ในที่สุดพระองค์ปากเสียก็ต้องเป็นเจ้าภาพนำส่งหลวงพ่อปาน คนที่จัดรายการนี้ก็คือเจ้าลิงขาวเขาเป็นผู้สั่ง เพราะเขามีฐานะเป็นผู้รักษาความปลอดภัย ที่เขาสั่งอย่างนั้นก็ประสงค์ให้ทั้งสองฝ่ายเลิกอาฆาตมาดร้ายกันเสีย เมื่อเจ้าลาวอันธพาลไปพบหลวงพ่อปาน ท่านขอให้ขมาพระรัตนตรัย ด้วยทำกับพระที่ช่วยเสริมสร้างพระศาสนา เป็นการทำลายความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล ความเห็นของท่านเป็นอย่างนี้ เมื่อหายแล้วจะบวชมันก็ยอมรับ เพราะถ้าไม่ยอมรับท่านไม่รักษาให้ เมื่อมันยอมรับแล้วท่านทำน้ำมนต์ให้กิน เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมันก็หายเป็นปกติ ลูกหลานอาจจะสงสัยว่าน้ำมนต์วิเศษอย่างไรจึงแก้โรคได้ชะงัดนักและหายรวดเร็ว เรื่องนี้จงทราบว่าไม่ใช่โรคธรรมดาที่เกิดกับร่างกาย มันเป็นโรคบาทากระทบและเกิดจากบาทาของผี นี่ว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้าพูดตามภาษาพระที่พอจะเอาแบบเอาแผนตามพระพุทธเจ้าสักหน่อย ไม่มาก ก็เพียงใช้ฌานโลกีย์ ก็ต้องพูดว่าโรคเกิดจากบาทาเทวดาหรือบาทายักษ์ คำว่ายักษ์ จงทราบไว้ด้วยว่าไม่ใช่ยักษ์ในแบบเรื่องรามเกียรติ์ เพราะยักษ์พวกนั้นพระที่ทรงฌานไม่รู้จัก ยักษ์ที่กล่าวนี้เป็นชื่อของเทวดาพวกหนึ่งที่มีอานุภาพมาก ตายจากมนุษย์ที่ทรงฌาน แต่ทว่าเวลาตาย ๆ นอกฌาน ไม่ได้เข้าฌานตาย ไปเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวัณ ท่านเรียกว่ายักษ์ แปลว่าผู้ที่คนควรบูชา ไม่ใช่ยักษ์อันธพาลอย่างพวกยักษ์ทศกัณฐ์ ความจริงยักษ์พวกทศกัณฐ์จะหาว่าเป็นอันธพาลก็อาจจะบาปเกินไปสำหรับคนพูด ด้วยยักษ์พวกนี้มีจริงหรือไม่ ไม่มีใครรับรอง หาเหตุหาผลกันยากเต็มที ถ้ามี ฉันก็คิดว่าคงจะไม่น่ากลัวเท่ายักษ์อีกพวกหนึ่ง ยักษ์พวกนี้มีตื่นในสมัยปัจจุบัน มีทั้งที่ตัวเราเอง ที่ลูก ที่เมีย ที่บริวาร แม้ในวงราชการก็ได้ยินข่าวว่ายักษ์พวกนี้เข้าสิงอยู่หมด เห็นวิทยุออกข่าวว่าอย่างนั้น ทางหนังสือพิมพ์เขาก็ลงข่าวว่ายักษ์พวกนี้ แม้ชาวบ้านชาวเมืองชาวราชการเขาก็พูดกันว่ายักษ์พวกนี้มีมาก มันมีอำนาจมากด้วย ไม่เกรงกลัวใคร แม้พวกทหาร ตำรวจที่ถืออาวุธ เจ้ายักษ์พวกนี้ก็ไม่กลัว ยักษ์พวกนี้เวลาเขียนหนังสือไม่ต้องใช้ตัว ข หรือตัว ษ การันต์ ด้วยมันเป็นยักพิเศษ ลูกหลานที่รักรู้จักยักพวกนี้ไหม ลองนั่งนึกสักครู่ นึกออกไหม ถ้านึกไม่ออกจะบอกให้ เจ้ายักพวกนี้เราเรียกชื่อเต็มเขาว่ายักยอก เมื่อรู้จักชื่อแล้วลองช่วยกันใคร่ครวญกันดูทีหรือว่ามันร้ายแรงมากไหม มันยักไม่เลือกที่ ไม่เลือกบุคคล ยักดะไปหมด ยักผัว ยักเมีย ยักลูก ยักหลาน ยักญาติ ยักราชการ มันยักได้ทุกสถานที่ แม้ตัวเราเองที่คบมันไว้ มันก็ยัก จะสมมติให้เห็นอาการที่มันยักตัวเราเองก็คือ สมมติว่าลูกหลานทำงานรับจ้าง นายจ้างจะเป็นรัฐหรือบุคคลก็ตาม ตามระเบียบงานเขาว่าเขาจะให้เงินเดือนเพื่อเลี้ยงตัว เวลาที่เราจะทำงานเราก็ว่าจะเอาเงินมาเลี้ยงตัว จะจ่ายในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พอได้เงินเข้าจริง ๆ เจ้ายักพวกนี้มันก็สอนให้เราเป็นยักษ์ คือ ยักเงินค่าอาหารประจำวัน ค่าเล่าเรียนของลูก ค่ากระโปรงเมีย ค่ากางเกงตนเอง เอาไปซื้อเหล้าเมายาเสีย บางรายก็ยักเมีย ได้รับเงินมามากบอกเมียว่าได้น้อย แอบไปหาความสำราญนอกบ้าน ฯลฯ เอากันเท่านี้พอ เห็นหรือยังว่าเจ้ายักพวกนี้มีความร้ายแรงกว่ายักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์มาก เรื่องยักษ์พักกันดีกว่า มาว่ากันถึงเรื่องท่านเจ้าพ่อขุนด่านต่อไป ว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกฉัน หมายถึงพระทุกองค์อย่างไร และรู้ได้อย่างไรว่าบาทาที่กระทบเจ้าลาวอันธพาลนั้นเป็นบาทาท่านเจ้าพ่อขุนด่าน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:35:32 |
ความคิดเห็นที่ 66 (1628036) | |
อานุภาพท่านเจ้าพ่อขุนด่าน ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องรู้จักท่านเจ้าพ่อขุนด่าน มาพูดถึงเรื่องอานุภาพท่านสักหน่อย ลูกหลานจะได้ไม่สงสัย หรือใครจะสงสัยก็ตามใจ ไม่ว่าอะไร ถ้าสงสัยก็จงหัดขยันทำสมาธิตัดความชั่วทางใจที่อยากสนใจเรื่องของชาวบ้าน ใครเขาจะดีจะชั่วช่างเขา ถ้าเป็นคนที่เนื่องกับเราก็ตักเตือนโดยธรรม เมื่อเขาไม่รับฟังก็ตัดหางปล่อย ไม่สนใจกับเขาต่อไป ไม่ข่มขู่ใคร ไม่อวดว่าเราดีกว่าใคร สนใจแต่รักษาอารมณ์ของเราเป็นสำคัญ อารมณ์ที่ควรรักษาก็คือ ไม่มีอารมณ์โหดร้ายฆ่าใคร ทำร้ายใคร ไม่ลักเล็กขโมยน้อยใคร ไม่โกหกมดเท็จใคร ไม่ย้อมใจด้วยน้ำเมาแม้แต่หยดเดียวก็ไม่เอา ต่อไปก็ตัดอารมณ์อยากเสียชั่วคราว คือ อยากเป็นผัวเป็นเมียใคร แม้ชั่วขณะก็ไม่อยาก ไม่อยากฆ่าใคร กลั่นแกล้งใคร มีอารมณ์จับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออกจริง ๆ วันละ 10 นาที ไม่ต้องมาก ไม่ปล่อยอารมณ์ให้ง่วงเคลิบเคลิ้มเมื่อนั่งจับ คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่สงสัยผลที่รู้ลมหายใจเข้าออกว่าจะไม่เป็นผล ให้รู้จักฝึก ต่อไปก็รักษาอารมณ์ใจให้สดชื่นด้วยความเมตตาปรานี อยากสงเคราะห์คนและสัตว์ที่มีทุกข์ มีอารมณ์สดชื่น ไม่คิดว่าใครเป็นศัตรูกับเรา ไม่ริษยาใคร เมื่อเขาได้รับรางวัลจากใครก็ช่าง หรือจากผลงานของเขาเองก็ช่าง วางอารมณ์เฉยไม่ซ้ำเติมเมื่อคนอื่นถึงความวิบัติ หัดไว้เท่านี้ทุกวัน ใช้เวลารักษาอารมณ์อย่างนี้เพียงวันละ 10 นาที ถ้าทำได้เรื่องผีเรื่องเทวดาเรื่องเล็กเหลือเกิน รู้ได้กระทั่งว่าเราตายแล้วจะไปไหน เมื่อก่อนเกิดมาจากไหน ไม่มีอะไรยากเลย ทำได้ไหมจ๊ะ ถ้าทำได้ก็รู้เองได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ฟังฤาษีหัวล้านเล่าเรื่องนี้เป็นนิทานต่อไป ฟังแล้วอย่าเชื่อ ใครเชื่อก็เป็นคนโง่ เมื่อฟังแล้วปฏิเสธว่าไม่มี ไม่จริง โดยที่ตนเองไม่พยายามทำตาม ฉันก็ว่ายิ่งโง่มากกกว่าพวกที่เชื่อเฉย ๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าบรมโง่ ทั้งนี้เพราะนิทานที่เล่าให้ฟังเป็นนิทานมีแบบปฏิบัติ ว่ากันต่อไป เมื่อรักษาอารมณ์ดีแล้วก็หัดฝึกอารมณ์รักษานิมิต ปล่อยนิมิต ตามแบบฝึกวิชชา 3 ตามที่ท่านผู้รู้เขียนไว้ในหนังสือฝึกสมาธิ หรือคู่มือนักปฏิบัติกรรมฐาน หรือในวิสุทธิมรรคเผด็จ 6 เล่ม ที่ท่านเอาเป็นหลักสูตรประโยค 8 ของพระก็ดี ฝึกตามนั้นง่ายนิดเดียว เดี๋ยวก็เห็นหมด หมดสงสัย คนที่ไม่ยอมโง่เขาทำกันอย่างนี้ ไม่ใช่มานั่งอวดเป็นนักปราชญ์ออกอากาศสอนชาวบ้าน แล้วก็คัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หาว่าเรื่องภาณยักษ์ ภาณพระเป็นเรื่องของพราหมณ์ ในพระพุทธศาสนาไม่มี ท้าวมหาราชทั้งสี่ คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวกุเวร หรือที่เรียกว่าท้าวเวสสุวัณ ไม่มีในพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่พราหมณ์แต่งขึ้น พูดอย่างนี้รู้มากไป อายท่านผู้พูด อายุเท่าไร ทำไมแอบไปรู้เรื่องก่อนพระพุทธศาสนาเกิด และท่านอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวไว้ แสดงว่าท่านติดตามพระพุทธเจ้ามาทุกระยะ เป็นอันว่าท่านเกิดก่อนพระพุทธเจ้าเสียอีก เกิดก่อนต้นตระกูลศาสนาพราหมณ์ถึงได้ทราบว่าพราหมณ์บัญญัติขึ้น และท่านติดตามพระพุทธเจ้าตลอดมา พระพุทธเจ้าได้ไปเทศน์ที่ไหน พูดกับใคร ท่านคอยฟังตลอดเวลา ความจำท่านเองก็ดีมาก จำได้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยพูดกับใครเรื่องนี้ ท่านเองก็มีอายุยืนมาก ท่านมีชีวิตได้ถึงวันนี้ วันที่ 3 ธันวาคม 2517 แสดงว่าท่านมีอายุหลายพันปี ท่านเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามาก ท่านคงจะเป็นญาติกับท่านเทวทัต มันแน่นักหรือนายที่ออกข่าวมาอย่างนั้น การพูดที่คิดเอาเองไม่ใคร่ครวญให้ดี ไม่มีเครื่องมือพิสูจน์ เที่ยวรื้อโบสถ์รื้อศาลา รื้อประเพณีที่ดีงาม ถึงแม้ว่าจะพลาดเป้าไปบ้าง ถ้าไม่มีภัยควรแล้วหรือที่จะไปรื้อของเขา ความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านสร้างอารมณ์ทรงไว้ได้หมดแล้วหรือ หรือว่าเพียงแต่อ่านผ่านไป ท่านทรงปฏิสัมภิทาแล้วหรือยัง แม้แต่พระที่ทรงปฏิบัติสัมภิทายังมีโง่ตั้งเยอะ โดนพระพุทธเจ้าถามสิ่งที่ไม่ใช่วิสัยยังเป็นไก่ตาแตก คลำหาคำตอบไม่ได้ เพื่อนเอ๊ยไหน ๆ ก็อาศัยพระพุทธบารมีสร้างวาสนาบารมีจนมีชื่อเสียงโด่งดัง อย่าสมัครไปอยู่กับเทวทัตเลย ลูกหลานเอ๋ย นี่ฉันพล่ามมากไปกระมัง ที่พูดนี้บังเอิญฟังวิทยุได้ยินนักปราชญ์ท่านปฏิเสธเรื่องภาณยักษ์ ภาณพระ เรื่องท้าวมหาราชไม่มีตัวตน แม้ฉันอยู่ในป่าที่ไกลเมืองหลายร้อยกิโลเมตร ฉันก็มีวิทยุฟัง เพราะลูกอัศนียา อนันตวงษ์ เธอให้ไว้ 1 เครื่อง ใช้ถ่านไฟฉาย 2 ลำโพง มีเครื่องเล่นจานเสียงด้วย แต่ฉันก็ใช้ฟังน้อยเหลือเกิน ด้วยฤาษีมีเวลาว่างยาก เกรงว่าเจ้าเสือร้ายในป่ากิเลส มันจะทำอันตราย เลยต้องระวังตัวเสมอ เพื่อนรัก ขอพูดกับนักปราชญ์อีกนิด ตั้งตัวเสียใหม่เถิดเพื่อน ฟังเพื่อนพูดแล้วแสดงว่าเพื่อนไม่มีเลยแม้แต่ฌานโลกีย์ เพื่อนกลับตัวเสียใหม่นะ อายุเพื่อนคงไม่มากนัก เพื่อนคงมีอายุไม่ถึงหมื่นปี ฉันคิดว่าเพื่อนเป็นเด็กไม่เกิน 70 ฝนเป็นอย่างมาก เพื่อนอย่าคะนองปากนักซิ ฝึกฝนอารมณ์ตนตามพุทธวัจนะเสียบ้าง จะได้เลิกพูดแบบนี้ ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้สาระน้อยไปหน่อยนะ เพราะมัวไปทะเลาะกับท่านนักปราชญ์เพลินไป มาพูดกันถึงอานุภาพท่านขุนด่านอีกหน่อย เพราะชักเหนื่อยแล้ว ท่านขุนด่านเป็นเทวดาของท่านท้าวเวสสุวัณ มีเครื่องทรงประจำสีแดง คือ นุ่งห่มสีแดง และโพกผ้าก็สีแดงเหมือนกัน ท่านที่ทรงเครื่องแดงนี้จัดเป็นเทวดามีอานุภาพมาก สมัยที่เขาวงพระจันทร์ยังมีสถานที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างปัจจุบัน หลวงพ่อปานท่านกำลังสร้างมณฑปและบันไดขึ้นเขา มีพระองค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของหลวงพ่อปาน ชื่อท่านสำราญ ชาวบ้านเรียกว่าอาจารย์สำราญ ขณะนี้สำราญอยู่เมืองผีนานแล้ว เพราะท่านแก่กว่าฉันมาก สมัยฉันอายุ 20 ปีเศษ ท่านมีอายุเกือบ 40 ปีแล้ว ท่านอยู่ประจำที่เขาวงพระจันทร์ เป็นเขตอารักขาของท่านขุนด่าน หลวงพ่อปานท่านสั่งไว้เสมอว่า อย่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับผี ควรทำตนเป็นมิตรกับผีจะได้อยู่เป็นสุขเพราะผีไม่ใช่คน ถ้าเป็นศัตรูกัน เวลาที่เขามาทำอันตรายไม่มีนิมิตปรากฏ ท่านก็ไม่เชื่อ ปกติท่านสวดบทวิปัสสิทธิ์เสมอเพื่อไล่ผี คาถาบทนี้เป็นคาถาในบทภาณยักษ์และภาณพระ คำว่า ภาณยักษ์ แปลว่า ยักษ์พูด คำว่า ภาณ แปลว่า พูด เป็นคาถาที่ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านประชุมกันร้อยกรองขึ้น เมื่อร้อยกรองเสร็จท่านก็ประชุมผีทั้งหมด ท่านสั่งว่าใครเขาสวดคาถาบทนี้อยู่ห้ามทำอันตราย ถ้าใครไม่เชื่อจะลงโทษฐานกบฏ มาตรนี้มีโทษรุนแรงมาก เมื่อประกาศแล้วท่านจึงเรียกว่าภาณยักษ์ ตอนที่ท้าวเวสสุวัณพูด แปลว่ายักษ์พูด เมื่อท้าวเวสสุวัณกราบทูลถวายกับพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลมีใจความว่า พวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค และบริวารส่วนอื่นของข้าพระพุทธเจ้าที่ไม่เลื่อมใสในพระองค์มีมาก เมื่อบรรดาพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ไปทำสมณธรรมคือชำระอารมณ์ให้หมดจากกิเลส พวกนี้มักจะกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัว เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์มาก คำว่าพรหมจรรย์ ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ไม่เคยผ่านใครมาเลย นั่นยังไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ ควรเรียกว่าคนยังไม่เคย ส่วนพรหมจรรย์แปลว่าประพฤติประเสริฐ คือไม่เป็นอันตรายแก่ใคร ได้แก่คนมีพรหมวิหาร 4 นั่นเอง พวกที่ไม่เคยผ่านการร่วมรัก อาจจะเคยลักขโมย ฆ่าสัตว์ โกหกมดเท็จ กินเหล้าเมาสุราบ้างก็ได้ เรียกว่าพรหมจรรย์จึงไม่ตรงเป้าหมาย ส่วนพรหมจรรย์แท้ท่านหมายเอามีความประพฤติอย่างประเสริฐ คือ มีอารมณ์เหมือนพรหม มีศีลบริสุทธิ์ มีเมตตาปรานี มีฌานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เป็นพรหมจรรย์อันดับปฐม พรหมจรรย์อย่างมัธยม ก็ต้องตัดกิเลสสิ้นไปเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกพรหมจรรย์ระดับมัธยม หรือเรียกดุษฎีบัณฑิต เป็นอันว่ารู้กันนะว่าพรหมจรรย์หมายความว่าอย่างไร เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทของพระองค์ไปเจริญสมธรรมในป่าในรกที่สงัด ถ้าเกรงว่าบรรดาผีอันธพาลทั้งหลายจะรบกวน ให้เขาสวดคาถาบทนี้ผีจะไม่ทำอันตราย เมื่อท่านอธิบายแล้วก็ถวายคาถา จึงเรียกว่าภาณยักษ์ เพราะเป็นตอนยักษ์พูด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านรับไว้แล้ว ท่านมหาราชกลับแล้ว ท่านเรียกประชุมพุทธบริษัท ท่านก็ให้บริษัทเรียนและอธิบายตามนั้น ตอนนี้ในตำนานท่านกล่าวว่า พระพูด เรียกว่าภาณพระ ท่านสำราญท่านถือคาถานี้เป็นสำคัญ ท่านไม่ได้ทำดีคือสมณธรรม ท่านถือว่าท่านเก่ง พ่อสวดมนต์บทนี้ไล่ผีทุกวัน ผิดระเบียบพระที่ดี ไม่ทำดีแต่เอาอาวุธของคนดีมาใช้ก็เลยไม่มีผล พอเผลอท่านขุนด่านเลยจัดการเสียตามระเบียบ คือเวลาประมาณ 17 น. โดยประมาณ อาจจะไม่ตรงเผง ฉันและเพื่อนได้ยินเสียงท่านสำราญร้องโอย ๆ เสียงดังมาก ก็พากันวิ่งไปดู คิดว่าใครทำอันตรายท่าน ไม่ได้คิดว่าผีทำ คิดว่าคน คือพวกของเจ้าลาวอันธพาล เมื่อวิ่งไปถึงปรากฏแก่ตาของพระทุกองค์ เห็นคนนุ่งแดง ใส่เสื้อแดง ผ้าโพกหัวแดง ถือหวายขนาดใหญ่ กำลังหวดซ้ายป่ายขวาท่านสำราญ ๆ ลงไปนอนบิดไปบิดมาอย่างสำราญอยู่กับพื้น เจ้าสองลิงคือเจ้าลิงขาวกับเจ้าลิงเล็กวิ่งเข้าไปร้องขอว่าท่านขุนด่าน ขอทีเถอะ หยุดลงโทษเสียทีเท่านี้พอแล้ว แกหันมามอง ตาแดงก่ำ แดงเป็นสีตายักษ์ แกยิ้ม แต่ทว่ายิ้มของแกไม่น่ารักเลย มันน่ากลัวมากกว่า พระที่วิ่งไปด้วยเห็นยิ้มของแกเข้าหลบก้มหน้าลงดินเป็นแถว ที่ยืนปกติมีฉันกับเจ้า 2 ลิง เมื่อแกเลิกยิ้มแกบอกว่า เจ้านี่อวดดีนัก เอาคาถาท่านมหาราชมาขับเทวดาขับผี เขาให้ไว้สำหรับคนดี ไม่ใช่ธุระของคนอันธพาลจะนำมาใช้ เลยจัดการเสียนิดหน่อย คราวต่อไปทำอย่างนี้อีกจะลงโทษให้หนักกว่านี้ แล้วแกก็ก้าวขึ้นขื่อหายไป พระทุกองค์ที่ไปเห็นและได้ยินเหมือนกัน นับแต่นั้นมา ท่านสำราญท่านเห็นว่าที่เขาวงพระจันทร์สำราญเกินไป ท่านทนความสำราญไม่ไหวเลยลาไปสำราญที่อื่น พวกฉันเห็นได้ท่าก็เลยหันมาสำทับพวกเดียวกัน บอกว่าที่นี่เจ้าที่ดุ ต่อไปจงระมัดระวังความประพฤติ ถ้าใครทำชั่วไม่มีใครช่วยใครได้ อาจจะต้องมีโทษมากกว่านี้ เรื่องวัวเขาอ่อนเป็นเหตุ ถ้ายุ่งมากอาจจะถึงตาย และความประพฤติส่วนอื่นก็เหมือนกัน จงระงับเสีย อย่าเอาชั่วมาใช้ เรามาทำบุญกัน อย่าเอาบาปกลับวัด เป็นเรื่องน่าประหลาด เมื่อฉันและเพื่อนเตือนพระเย็นวันนั้น พอเช้าก็มีพระทุกองค์มารายงานว่าเมื่อคืนนี้ทุกองค์เห็นท่านขุนด่าน ท่านมาคาดโทษว่า ถ้าท่านใดทำเลวปล่อยใจอย่างฆราวาส ท่านจะจัดการยิ่งกว่าท่านสำราญ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระที่อยู่ร่วมกันสำรวมเรียบร้อยดีทุกองค์ ไม่มีใครสนใจกับแม่วัวเขาอ่อน จะรักจะชอบก็ไม่กล้าแสดงออก ลูกหลานที่รัก นึกว่าปลอดแล้วหรือที่พลพรรคของฉันจะไม่ถูกรุกรานจากวัวเขาอ่อน เปล่าเลย ยิ่งเฉยยิ่งเรียบร้อย ก็เกิดมีวัวตัวแปลก ๆ ปรากฏมากขึ้น ดูเหมือนจะเป็นวัวพันธ์ดีกว่าที่เคยเห็นมา เมื่องานเสร็จงวดจากหน้าที่ของท่านเหล่านั้น แทนที่ท่านจะกลับภูมิลำเนาเดิม ต่างก็เดินเข้าคอกวัวกันเป็นแถว แม่วัวเขาอ่อนนี้ช่างมีอานุภาพมากจริง ไม่รู่ว่าย่องไปตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเธอมาไม่เห็นพูดอะไรกัน ต่างก็วางท่าวางทางสงบเสงี่ยม แต่หลังจากพ่อวัวเหลืองสลัดหนังเดิมออกกลายเป็นควายเปลี่ยวไปแล้ว และเดินเข้าคอกวัวเขาอ่อนไป พวกเราก็พบจดหมายรักที่ที่นอนของพ่อวัวเหลืองเป็นปึก ๆ เป็นจดหมายตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงอวสาน คือตกลงแต่งงานตามคำขอร้อง และช่วยเป็นภาระธุระด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าเรื่องอานุภาพของท่านขุนด่านตอนนี้ก็หยุดเพียงเท่านี้นะ เพราะถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ ขอลูกหลานทุกคนจงมีอารมณ์สบาย ทรงฌาน ทรงญาณ และเข้าถึงวิปัสสนาญาณโดยทั่วกันทุกคนนะ สวัสดี | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:37:10 |
ความคิดเห็นที่ 67 (1628037) | |
บวงสรวง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:38:22 |
ความคิดเห็นที่ 68 (1628038) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:39:45 |
ความคิดเห็นที่ 69 (1628039) | |
เขาวงพระจันทร์ ฉันเป็นคนแก่ทะเล้นไม่ใคร่จะเดินตรงทาง จะเล่าเรื่องเขาวงพระจันทร์ก็แอบเอาอะไรต่อ มิอะไรมาแทรกเสียหลายวัน ลูกหลานรำคาญไหมจ๊ะ ถ้ารำคาญก็ไม่ต้องแก้อารมณ์ ปล่อยให้มันรำคาญไป และก็คิดเสียด้วยว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง เพียงแต่ตาฤาษีหัวล้านเล่านิทานยังเอาเที่ยงไม่ได้ แกว่าแกจะพูดตรงนี้แกก็ไพล่เอาอะไรมาว่าแทนเสียเป็นคุ้งเป็นแคว เสียเวลาอย่าบูชาความไม่เที่ยงเลย คิดไว้อย่างนี้จะคิดได้นาน จำได้นาน หรือคิดแล้วลืมเลยก็ช่าง คิดไว้เสมอ ๆ เถอะ ทันศาสนาพระศรีอาริย์แน่ ทีนี้มาว่ากันเรื่องเขาวงพระจันทร์ เมื่อผ่านแดนวัดเขาสะพานนาคเข้าไปแล้วก็ขึ้นยอดเขา ทางมันไม่ใกล้เลย ฉัน ไต่เดาะ ๆ แดะ ๆ ตามภาษาลิง ก็บอกว่า ตรงนี้เมื่อฉันมาธุดงค์มาครั้งแรก ขอเห็นสิ่งอัศจรรย์ ฉันพบพระบรมสารีริกธาตุตรงนี้ ท่านชี้สถานที่ให้ดู และในกาลต่อมาท่านสร้างมณฑปครอบไว้และสร้างบันไดขึ้นเขาไว้ ปรากฏมีอยู่ในปัจจุบัน ถึงเวลากลางคืนก็พิสูจน์ตามเดิม ฉันไม่ได้พูดอะไรมาก พวกฤาษีทั้งหลายที่คิดตามท่านต่างก็พบเหมือนกัน คือ ปรากฏเห็นพระพุทธปาฏิหาริย์ในเวลาค่ำ มีแสงดาวปรากฏ 3 ดวงขนาดใหญ่ เห็นทั้งหลับตาและลืมตา พอรุ่งเช้าท่านก็แนะนำว่า การนับถือพระพุทธศาสนา พวกเธออย่าติดในเนื้อหนังและวัตถุ การที่ฉันพาพวกเธอมาธุดงค์ ไม่ใช่ให้มาติดตามสถานที่ คือเวลาจะเอาบุญก็ต้องไป พระบาท ไปพระฉาย มาเขาวงฯ ไปพระแท่นดงรัง ศิลาอาสน์ เป็นต้น บุญจริงอยู่ที่ตัวปฏิบัติ อยู่วัดเราก็ทำได้ดี จงรักพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติตาม ทาน ศีล ภาวนา 3 อย่างให้ครบ อารมณ์ซื่อถือความจริง คือไม่คด ไม่โกง ความจริงยอมรับว่าสิ่งที่เกิดมี มันเก่า แก่ คร่ำคร่าจริง มันเปลี่ยนแปลงจริง มันมีอันที่จะสลายตัวในที่สุดจริง เท่านี้พอแล้ว พอดีที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตะเกียกตะกายมาก ต่อมาท่านก็พาเดินชมบริเวณ ท่านพาไปด้านตะวันตกของเขา ท่านชี้สถานที่ ๆ หนึ่งให้ดู ท่านบอกว่าตรงนี้ฉันเคยพบฤาษีคนนุ่งขาวห่มขาว นั่งภาวนาอยู่คนเดียวตรงนี้ แกปลูกศาลาเล็ก ๆ อยู่คนเดียว ถามท่านว่านานหรือยัง ท่านบอกว่าก่อนพวกเธอบวช 20 ปี ถามท่านว่าท่านคุยกับฤาษีองค์นั้นหรือเปล่า ท่านบอกว่าคุย ได้ความว่าเป็นฤาษีผี มานั่งดักทางท่านอยู่ และบอกว่าที่ตรงนี้คือยอดเขา มีพระบรมสารีริกธาตุ ท่านจึงอธิษฐานถาม ก็ปรากฏเป็นพระพุทธปาฏิหาริย์ตามที่พวกเธอเห็นแล้วเมื่อคืนนี้ ฉันจึงสร้างมณฑปทับที่ ๆ เห็น พระบรมธาตุปรากฏขึ้นมา ท่านพาเดินต่อไป ไม่ไกลนัก ท่านบอกว่า ตรงนี้ฉันพบชีในการมาคราวเดียวกัน แม่ชีอยู่คนเดียว มีศาลาเล็ก ๆ หลังหนึ่งเป็นที่อาศัย ท่านฤาษีธุดงค์องค์หนึ่งถามท่านว่าแม่ชีผีหรือคนขอรับ ท่านยิ้มแล้วตอบว่า ชีผี แต่แกทำเป็นคนเรา ๆ นี้เองแบบฤาษี อีกท่านหนึ่งถามว่านางสาววงพระจันทร์ ใช่ไหมครับ ท่านตอบว่า ถ้าใช่ก็คงไม่ใช่ลูกสาวท้าวกกขนาก คงเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีอานุภาพมาก เมื่อท่านพบเป็นแม่ชี ประมาณตามรูป เทียบอายุคนปัจจุบัน ประมาณอายุ 30 ปี แกนั่งอยู่คนเดียว ฉันเดินผ่านฤาษีผีมาแล้วก็มาพบแม่ชีผีเข้า แม่ชีมีลีลาไม่เหมือนท่านฤาษี ท่านฤาษีมีแต่แนะนำว่ามีพระบรมธาตุ และแนะนำวิธีปฏิบัติธรรม และทราบว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ แล้วบอกด้วยว่า ท่าน หมายถึงหลวงพ่อปาน อายุ 40 ปี กรรมฐานได้เท่าไรจะไม่ได้ดีเกินกว่านั้นอีก ถามท่านว่าขณะนั้นหลวงพ่ออายุเท่าไร ท่านบอกว่า ฉันเกือบ 40 ปีแล้ว ขาดอยู่ปีหรือสองปีเท่านั้น ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อพบแม่ชีแล้ว แม่ชีก็นิมนต์ท่านนั่งบนศาลา ท่านบอกว่าอยากจะเดินชมสถานที่ แม่ชีรับอาสาเป็นมัคคุเทศก์คนนำทาง เดินไปประมาณ 10 วาก็พบบ่อน้ำบ่อหนึ่ง มีน้ำใสสะอาดมาก แม่ชีบอกว่าน้ำบ่อนี้เป็นน้ำทิพย์ ใครได้กินแม้แต่อึกเดียวก็จะไม่ตายตลอดกาล ร่างกายจะทรงความหนุ่มสาวขึ้นมาทันที คนที่ตายแล้วไม่นานเกินไป คือ ถ้ายังไม่เน่า เอาน้ำนี้ไปรดจะฟื้นคืนชีพทันที ว่าแล้วแม่ชีก็จับแมวมา 1 ตัว แกเอาหัวแมวฟาดหิน เจ้าแมวตัวนั้นตายสนิท เมื่อพิสูจน์ด้วยกันทั้งสองท่านว่าตายแน่แล้ว ก็เอาแมวโยนลงไปในบ่อ เจ้าแมวตัวนั้นพอตัวกระทบน้ำก็กลับฟื้น วิ่งอ้าว แม่ชีถามท่านว่าดีไหม ท่านตอบว่าดี แล้วแม่ชีก็พาไปพบน้ำอีกบ่อหนึ่ง ใสสะอาดมากเหมือนกัน ห่างกันไม่ไกล ไม่เกิน 10 วา ท่านชี้ให้ดูว่าอยู่ตรงนี้ แม่ชีอธิบายว่า น้ำบ่อนี้เป็นบ่อน้ำตาทิพย์ เมื่อทาตาแล้วเห็นอะไรได้ทุกอย่างตามต้องการ แล้วแม่ชีก็เอาน้ำมานิดหนึ่งให้ท่านทาตา ถามท่านว่าต้องการเห็นอะไร ท่านบอกว่าต้องการเห็นปลาไหลใต้ดิน แม่ชีบอกว่านึกเอา แล้วเอาน้ำแตะตาแบบล้างหน้า ไม่ใช่ต้องหยอดเข้าไปที่ใส่ลูกตา ท่านมองเห็นปลาไหลใต้ดินจริง ๆ และต้องการเห็นอะไรก็ได้ ดูมาทางวัดก็เห็นหมด ใครทำอะไรเวลานั้น เห็นและจำได้ เมื่อกลับมาวัดฉันถาม เขารับตามความจริงทุกอย่าง นอกจากตาดีแล้ว เอาทาหู หูก็ดีเสียอีกด้วย ถามท่านว่า หลวงพ่อเก็บไว้บ้างหรือเปล่าครับ ท่านยิ้มแล้วบอกว่าเรื่องของฉัน พวกเธออย่าสนใจ ตั้งใจทำความดีต่อไปดีกว่า ท่านไม่ตอบตรง ๆ เข้าใจว่าคงได้ไว้ ถึงโกหกอะไร ไม่ได้เลย ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อแม่ชีจะให้น้ำทิพย์ ท่านไม่ยอมรับน้ำทิพย์บ่อแรก แม่ชีถามว่า ทำไมไม่เอา มันไม่แก่ ไม่ตายดีนะ ท่านบอกว่าไม่ต้องการตามนั้น และไม่อยากได้น้ำทิพย์แบบไม่แก่ไม่ตาย ตลอดจนตายแล้วทำให้ฟื้นก็ไม่ต้องการ แม่ชีพูดว่า พระบ้าอะไรอย่างนี้ พบของดีแล้วไม่เอา ท่านก็เลยตอบว่า ชีนั่นแหละบ้า จะพยายามฝืนกฎธรรมดา เป็นการถ่วงคนและสัตว์ให้ทุกข์ตลอดกาล ด้วยไม่รู้จักตาย แม่ชีเมื่อถูกศอกกลับแทนที่แกจะโกรธ แกกลับยิ้มยกมือไหว้ บอกว่าเห็นพระมานานแล้วเพิ่งพบพระแท้วันนี้เอง ผีก็มีลูกยอ ใครว่าลูกยอมีแต่เมืองคนรึ เมืองผียังมีเลย ท่านพูดเรื่องน้ำทิพย์บ่อเดียว อีกบ่อท่านไม่พูด พวกที่ไป คนที่สนใจมากที่สุดก็คือพระเขียน แกใกล้จะตาย แต่ไม่ใช่เอาไปแก้ไม่ให้ตาย แกอยากได้เอาไปให้ญาติโยมแก คงจะอยากเล่นโปก็ไม่ทราบ ด้วยเมื่อมองอะไรที่ไหนก็เห็น โปก็ต้องมองเห็นลิ้นที่จะแทงให้ได้เงิน ท่านอาจจะติดอย่างนั้น หลวงพ่อท่านพูดลอย ๆ ว่า เขียนเอ๋ย เรื่องเล่นโปเป็นกรรมชั่วนะลูกนะ เราควรช่วยพ่อแม่ด้วยให้ทำความดี ไม่ใช่จะมาขอน้ำทิพย์เทวดาไปให้พ่อแม่เล่นโป จะลงนรกนะลูก เพราะเป็นการปล้นทรัพย์สินชาวบ้านโดยเจตนา เป็นอทินนาทานตรงเผงทีเดียว พระเขียนอายเกือบตาย เรื่องกิเลส มันไม่ย่อย ตัวจะตายอยู่แล้วไม่ห่วงตัว มันแกล้งสอนให้ห่วงพ่อห่วงแม่ มันแน่จริง ๆ อยากเห็นฤาษีและแม่ชี บรรดาฤาษีทั้งหลาย ฤาษีปลอมที่เคยใช้นามว่า ลิงหน้าพลับพลา ตอนนี้มาเรียกฤาษีปลอม พวกลูกหลานจะแปลกใจ คิดว่าคนละพวก คือ คณะธุดงค์ เรียกอย่างไรก็ได้ แต่อย่าไปเรียกโยคีอย่างสำนักปฏิบัติเลย มันขัดหูอย่างไรชอบกล เมื่อทุกคนทราบเรื่องต่างก็อยากพบฤาษีและแม่ชี หลวงพ่อบอกว่า เดี๋ยวก่อน ถามเขาก่อน ท่านยืนก้มหน้า แต่ไม่หลับตา สัก 2 นาที ท่านบอกว่า เขาให้พบได้ แต่พวกแกอย่าโลภนะ ถ้าโลภจะมีอันตราย คณะธุดงค์ต่างก็รับคำ และกำหนดอารมณ์ไม่อยากได้ไว้ หลวงพ่อท่านสวดอะไรไม่ทราบ ฟังไม่ชัด ท่านว่าเบา ๆ หรือบ่นก็ไม่รู้ พอท่านบ่นเสร็จก็ปรากฏศาลาแม่ชี ห่างไปอีกหน่อยหนึ่งมีศาลาฤาษี แม่ชีและฤาษีเห็นบรรดาลิงหน้าพลับพลาเข้าต่างก็ยิ้มให้ ท่านฤาษีมาพบ บรรดาฤาษีลิงทั้งหลายเข้าวิ่งเข้ากอดทันที ท่านถามว่าจำกันได้ไหมเพื่อน เล่นเอาบรรดาลิงหน้าพลับพลาทำหน้า ล่อกแล่กเป็นลิงจริง ๆ ไปตาม ๆ กัน ต่างก็สงสัย เสียงหลวงพ่อปานร้องมาว่าใช้อตีตังสญาณซิลูก ทุกท่านต่างองค์ต่างก็ใช้ญาณทันที ไม่มีเวลาที่จะต้องเสีย เพราะเขาคล่องกันแล้ว พอนึกก็ใช้ได้ ไม่อธิบายเรื่องฌานและญาณนะ เพราะหนังสือคู่มือมีแล้ว ใครไม่มีก็หาเอาเอง มัวอธิบายช้า ความรู้จริงก็ปรากฏ ท่านฤาษีองค์นั้นก็คือเพื่อนเก่าของบรรดาลิงหน้าพลับพลาในชาติอดีตนั่นเอง ขณะนี้เป็นพรหมอยู่ชั้นที่ 8 เพิ่งรู้เรื่องคราวนี้เอง ลิงกับพรหมหรือลิงอดีตพรหมกับพรหมปัจจุบัน ต่างก็คุยกันจ้อเลย ไม่ได้คิดว่าเพื่อนเป็นผี เมื่อมองมาดูแม่ชี ต่างก็ทราบว่าแม่ชีคืออดีตญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ หรือผู้ใหญ่ที่เคยอุปถัมภ์มาก่อนนั่นเอง เมื่อคุยกันพอควรก็ถามถึงภาวะพรหม ไม่ใช่คุยเรื่องรัก โรงแรม โรงสุรา คุยกันตามภาษาพระที่ประสงค์สุข เมื่อคุยเสร็จ หมดเรื่องหรือไม่หมดก็ตาม หลวงพ่อท่านเตือนว่าจะค่ำแล้ว เลิกคุยกันเสียที เมื่ออยากคุยก็เข้าฌานไปคุยกัน ท่านเพื่อนก่อนจะลาลิงอดีตพรหมก็ตักเตือนเรื่องข้อวัตรปฏิบัติหลายอย่าง แล้วก็ชี้มาที่หลวงพ่อปานว่า องค์นี้มีบุญมาก จะหมดเขตปฏิบัติอยู่แล้ว ต่อไปจะได้พักรอการบรรจุเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป แกพูดแล้วแกก็ยกมือไหว้หลวงพ่ออย่างนอบน้อม พวกเราก็พลอยกราบหลวงพ่อกันอีก เรียกว่ากราบตามช้าง แต่มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ใช่ตามแกเพราะเห็นแกกราบ เมื่อทราบความจริงที่ไม่เคยทราบมาว่า หลวงพ่อจะหมดกิจ มันหาที่ฟังยากจริง ๆ ความดีใจก็คล้ายคนถูกหวย ไม่คิดว่าจะรวย พอมารวบปุปปัปเข้าอย่างไม่รู้ตัว มันก็ต้องดีใจมากเป็นธรรมดา ดีไม่ดีเกิดคิดว่าตัวเป็นเทวดาเอาอย่างไม่ยาก เรื่องความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นในตัวหลวงพ่อก็เหมือนกัน เมื่ออยู่วัดคิดว่าท่านเท่านี้ พอออกป่ากับท่านก็พบท่านเข้าอีกจังหวะหนึ่ง ชักเอะใจมาคราวหนึ่งแล้ว เมื่อมาพบท่านพรหมบอกเข้าอย่างนั้นก็เกิดดีใจจนบอกไม่ถูก ต่างก็กราบกันด้วยความเลื่อมใสแท้ไม่ใช่ขี้ตามช้าง คือ กราบตามพรหม ฝ่ายแม่ชีก็บอกว่าเสียใจนะคุณที่ถวายน้ำทิพย์ไม่ได้ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา ถามว่าเมื่อไรจะถึง อีกกี่ปี แกตอบว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตทุกองค์ไม่ต้องหวัง เพราะเป็นของเฉพาะพระโพธิสัตว์ผู้มีบารมี สมบูรณ์ในการฝึกฝน คนอื่นเอาไปจะลำบาก ชาวบ้านชาวเมือง แต่ทว่าแกเมตตา ทาตาให้ทุกองค์ บอกว่าระยะเดินทางธุดงค์จนถึงกลับวัด จะได้ผลตลอดเวลา เมื่อกลับถึงวัดแล้วจะหมดอำนาจความเป็นทิพย์ แต่จะแบ่งโอกาสใช้ได้คือ เวลาไหนจะใช้ญาณ เวลาไหนจะใช้น้ำทิพย์ จงอย่าใช้น้ำทิพย์เสมอไป ญาณจะเสื่อม ถ้าสงสัยญาณจงนึกถึงน้ำทิพย์ น้ำทิพย์จะช่วยบอกให้หายสงสัย เป็นอันว่าคณะลิงหน้าพลับพลามีโชคมาก ในระยะธุดงค์มีกำลังการเห็นได้ดี ใช้คู่ไปเสมอ พยายามใช้ญาณให้มาก แล้วสอบด้วยการระลึกถึงน้ำทิพย์ ถ้าเมื่อใช้น้ำทิพย์เห็นว่าญาณพลาด เป้าหมาย ก็ใช้สมาธิในอาโลกกสิณให้หนัก ใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณช่วยให้หนัก เป็นอันว่ามีเครื่องมือทดสอบดีมาก อะไรก็ได้ ใกล้หรือไกล ตายแล้วหรือยังไม่เกิด เรื่องของตนเองหรือคนอื่น คน สัตว์หรือสถานที่ นรก สวรรค์ พรหม หรืออะไรดีเอ่ยที่อารมณ์วิปัสสนาช่วยไปไม่ได้ ก็ดูได้หมด ดีจริง ๆ เล่นเอาคณะลิงหน้าพลับพลามีกำลังฌานและญาณแก่กล้าขึ้นไม่น้อยเลย เมื่อสั่งเสียกันเสร็จ สองผีก็หายไป คณะธุดงค์ต่างก็กลับเข้ากลด เรื่องเขาวงพระจันทร์ตอนนี้ก็พักเสียที ด้วยเหนื่อยแล้ว วันต่อไปถ้าลูกหลานยัง ไม่เบื่อ ฟังกันใหม่ ขอลูกหลานทุกคนจงเป็นผู้มีโชคดี มีวาสนาบารมี มีความสุข ทันศาสนาพระศรีอาริย์ด้วยกันทุกคนเถิด สวัสดี วันนี้ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม 2514 วันนี้ฉันมาสายไป ด้วยร่างกายฉันมันไม่ดี ความจริงมันก็เป็นไปตามสภาพของมันเอง มันขึ้นแล้วก็ลง และพยายามลงเรื่อย ๆ ไปจนไม่มีที่ลง คือตาย ฉันมันยุ่งไปเอง คิดว่าจะงดคุยกับลูกหลานสักวัน ก็เป็นห่วงเรื่องที่พูดไว้เมื่อวันที่ 5 มันมีเรื่องคลุมเครืออยู่ คือเรื่อง น้ำยาทำให้ตาทิพย์ ฉันคิดว่าลูกหลานที่รับฟังคงจะสงสัยว่าเขาทำด้วยอะไร ฉันเองฉันก็สงสัยเหมือนกัน ฉันก็ถามหลวงพ่อปานท่านว่าเรื่องน้ำยาทำให้ตาทิพย์นั้นเขาเอาอะไรมาผสมครับ เวลานี้มีเหลือบ้างไหม กระผมอยากได้ไว้ใช้บ้าง หลวงพ่อท่านหัวเราะชอบใจ ท่านพูดว่า เจ้าลิงดำ เอ็งเป็นลิงตลอดกาล เมื่อมาเกิดเป็นคนแล้วทิ้งความเป็นลิงมาหลายร้อยชาติแล้วก็ยังไม่ทิ้งนิสัยลิง เอ็งสงสัยข้าจะบอกให้ ส่วนผสม น้ำยาทำให้ตาทิพย์ก็คือ ตอนนี้ลูกหลานตั้งใจฟังให้ดี จะได้น้ำยาตาทิพย์กันแล้วจำไว้ ใครไม่แน่ใจว่าจะจำได้จงจดไว้กลับไปที่พักรีบหาสมุนไพรมาผสมรีบทำ จะได้มีตาเป็นทิพย์ ยาขนานนี้มีส่วนผสม 2 อย่างคือ อย่างธรรมดา และอย่างพิเศษ อย่างธรรมดาเห็นไม่ใคร่ถนัด อย่างพิเศษใช้งานได้ดีมาก แต่ราคาแพงหน่อย คอยฟังนะจะบอกให้ จดและจำไว้ จดแล้วจำรีบปรุง จะได้ใช้ทันที ส่วนผสมน้ำยาที่ทำให้ตาทิพย์ขนาดปกติ 1. ระงับอารมณ์ที่กังวลเสียให้หมด 2. รักษาศีลให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา 3. ระงับอารมณ์ให้ว่างจากนิวรณ์ 5 คือ ไม่สนใจกับรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่ติดใจ นี้เป็นประการที่ 1 ประการที่ 2 ไม่จองล้างจองผลาญใคร คือไม่ขังอารมณ์ไม่พอใจไว้ ให้อภัยเสมอ ประการที่ 3 ไม่ปล่อยอารมณ์ให้ง่วงเหงาเคลิบเคลิ้มเมื่อทำสมาธิ ประการที่ 4 รักษาอารมณ์ที่คิดว่าจะรักษาไว้เพียงอย่างเดียว ไม่ปล่อยให้อารมณ์อื่นมารบกวน ประการที่ 5 ไม่สงสัยผลในการปฏิบัติอย่างนี้ว่าจะมีผลหรือไม่มี ทำตามท่านว่า ก็เชื่อว่ามีผล 4. ต่อไป ทำใจให้คุ้นเคยกับพรหมวิหาร 4 รักษาอารมณ์ให้อยู่ในพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ 5. นำกสิณ 3 อย่าง เอาอย่างเดียวใน 3 อย่าง คือเตโชกสิณ เพ่งไฟ โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง เอามาเพ่งตามแบบ จนนับนิมิตได้ในระดับดี ดูคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานหรือวิสุทธิมรรคประกอบ เมื่อได้นิมิตแล้วก็คลายนิมิตกำหนดใจเพื่อเห็น (เห็นทางใจ) คือมีความรู้สึกเหมือนเห็น จะเห็นอะไรก็ได้ขอเห็นแทนนิมิต ห้าอย่างนี้เป็นเครื่องสมุนไพรที่เอามาผสมเป็นยาทาตาให้มีตาทิพย์ เรียกว่ายาธรรมดา ใคร ๆ ก็หาใช้ได้
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:42:50 |
ความคิดเห็นที่ 70 (1628040) | |
ยาตาทิพย์ขนานพิเศษ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:44:37 |
ความคิดเห็นที่ 71 (1628041) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:45:37 |
ความคิดเห็นที่ 72 (1628042) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:46:47 |
ความคิดเห็นที่ 73 (1628043) | |
หลวงพ่อปานเมื่อเด็ก | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-06 01:47:49 |
ความคิดเห็นที่ 74 (1628974) | |
หลวงพ่อปานเมื่อเป็นหนุ่ม | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-12 18:56:15 |
ความคิดเห็นที่ 75 (1628977) | |||||
| |||||
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-09-12 18:57:35 |
ความคิดเห็นที่ 76 (1628979) | |||||||||||
หลวงพ่อปานเรียนหมอ |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1449465 |