ReadyPlanet.com


แอตแลนติสดินแดนพิศวง


 อาจ จะมีพวกเราหลายคนที่ยังไม่ทราบว่า โลกเรานี้เคยมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ดำรงอยู่ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนและเป็นอารยธรรมแรกสุดของมุนษย์ ทีเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมรุ่นหลังๆ ที่พวกเรารู้จักกันดี แต่อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งแรกของโลกใบนี้หรือ ดินแอนแอตแลนติส แห่งนี้กลับต้องล่มสลายจมหายไปใต้ มหาสมุทรภายในวันเดียวคืนเดียวเท่านั้น อันเกิดจากภัยธรรมชาติที่มาจากแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด และลมพายุไต้ฝุ่น ( น้ำท่วม ) ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน

เรื่องราวของแอตแลนติส ได้ถูกทำให้แพร่หลายสู่วงกว้าง ตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีก่อนก็เพราะพลาโตนักปราชญ์ ชาวกรีกได้บันทึกเอาไว้ โดยพลาโตได้ทราบเรื่องราวของ แอตแลนติสมาจากครีเทอัสผู้เป็นลุงของพลาโตอีกทีหนึ่ง ครีเอทัสได้เล่าเรื่องราวอันแปลกแต่จริงให้พลาโตฟัง เกี่ยวกับการเกินทางของโซลอน นักปราชญ์และพ่อค้านักผจญภัย ชาวเอเธนส์ ซึ่งได้เคยเดินทางไปอียิปต์มาแล้ว เมื่อปี 571 ก่อนคริสต์กาล และที่อียิปต์นี้เองที่โซลอนได้รับรู้ เรื่องราวอันแสนประหลาดจากนักบวชแห่งเมืองซาอิส แถบบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์อีกทีว่า เมื่อประมาณ 2-3 หมื่นปีมาแล้วมีเกาะถวีปแห่งหนึ่ง ถัดจาก เสาค้ำฟ้าของเฮอร์คิวลิส ( ชื่อของช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบัน ) เกาะแห่งนี้มีชื่อว่าแอตแลนติส เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักร อันยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองซึ่งเต็มไปด้วยประชาชน ผู้มั่งคั่งและมีอารยธรรมอันสูงส่ง ทั้งเมืองเต็มไปด้วย ทองคำเหลืองอร่าม เกาะแอตแลนติสสามารถติดต่อ กับแผ่นดินอื่นๆได้ทางเรือ ด้วยอานุภาพของกองทัพเรือ อันยิ่งใหญ่ ทำให้อาณาจักรนี้สามารถขยายอำนาจ และอิทธิพลแผ่ขยายไปจนถึงลิเบีย อาณาเขตตอนเหนือ ของอียิปต์และไกลออกไปถึงยุโรปจรดกับกับ ดินแดนเทอรีเนีย ( ตอนเหนือของอิตาลี่ในปัจจุบัน ) แต่แล้วจู่ๆ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ก็กลับจมหายไปใต้ พื้นทะเลลึกเพียงชั่ววันและคืนเดียวเท่านั้น โดยมีสาเหตุ มาจากการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและอุทกภัย ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกทำให้กลุ่มชนชาติแอตแลนติส ถูกกลืนชีวิตไปจนเกือบหมดสิ้น กล่าวกันว่าชาวแอตแลนติสจำนวนน้อยที่สามารถ รอดชีวิตจากภัยพิบัติไปได้อย่างหวุดหวิด และได้อพยพ ไปอยู่ที่อื่นส่วนที่มุ่งสู่ ดินแดนตะวันตกกลายมาเป็น บรรพบุรุษของพวกอินเดียน ชาวอินคา และชาวมายา เป็นต้น ส่วนที่มุ่งสู่ดินแดนทิศตะวันออกก็กลายมา เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เผ่าโครมันยองซึ่งมีร่างกาย สูงใหญ่ บึกบึน กระดูกข้อมือข้อเท้าใหญ่ มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงทุกประการ มิหนำซ้ำ คนเหล่านี้ที่ต่างเคยอาศัย อยู่คนละฟากฟ้า แต่ต่างก็มีตำนานเล่าสืบต่อกันมา เหมือนๆกันว่าเคยมีดินแดนแห่งหนึ่ง ทีเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาเกิดภัยธรรมชาติทำลายจนย่อยยับ

นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าชนชาติต่างๆ มักมีตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วม เหมือนๆกัน และส่วนใหญ่ มักจะเล่าคล้ายๆกันว่ามีผู้รอดชีวิตเป็นผู้เริ่มต้นออกไป แยกย้ายสร้างอาณาจักรใหม่แทนเดิมที่ถูกทำลายไป ชาวแอตแลนติสเดี๋ยวนี้ก็มาเกิดกันเป็นพวก นักวิทยาศาสตร์ที่วิวัฒาการสมัยใหม่ ที่เขาเกิดขึ้นใหม่นี้เขาก็ยังมี ความทรงจำในอดีตอันไกลโพ้นอยู่ ..ในแอตแลนติสสมัยนั้นมี ความเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้กับสมัยปัจจุบันนี้ แต่ว่าวิวัฒนาการ ของมนุษย์นี่เมื่อมาถึงจุดสุดยอดก็เอาวิวัฒนาการมาทำลายกัน เมื่อวิวัฒนาการถูกทำลาย ความสูงของมนุษย์ก็ดับลงไป วิวัฒนาการสูงสุดของมนุษย์คือการได้ค้นพบเรื่องแสง เมื่อค้นพบก็นำมาทำลายกัน แสงนี้เป็นต้นกำเนิดของวัตถุ ---ร่างกายเราก็ดี----หรือวัตถุในโลก มันล้วนกำเนิดมาจากแสงทั้งสิ้น ถ้าเมื่อใดมนุษย์นี้สามารถไปรู้ความจริงขอนี้ในเรื่องแสง ก็จะนำมาทำลาย มนุษย์มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เลยเอาตัวโทสะมาทำลายกัน เมื่อทำลายแล้ว ความเสื่อม ก็จะเกิดขึ้น

อย่างที่เกิดขึ้นในสมัยแอตแลนติสนั้น ตอนนั้นมนุษย์ก็มีความก้าวหน้า ทางวิวัฒนาการมากจนสามารถคิดค้นเรื่องแสงได้แล้ว ทีนี้ตอนแรกก็ใช้แสงให้เกิดประโยชน์ แต่พอนานๆเข้า ก็มี ชาวแอตแลนติสบางกลุ่มนำมาใช้เป็นอาวุธ ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณจนรู้เรื่องอนาคตที่จะเกิด

พอถึงเวลาพลบค่ำ หายนะของเกาะแอตแลนติสก็เกิดขึ้น พวกเขาเอาแสงไปทำลายกันเอง เสร็จแล้วก็เกิดแผ่นดินไหวแยก แล้วภูเขาไฟก็ระเบิด อะไรต่างๆก็จมน้ำไป แล้วที้ทวีปนี้ก็เคลื่อน มาชนกัน แต่แผ่นดินมันเคลื่อนตัว มันแยกแล้วมาชนกับภูเขาหิมาลัย ซึ่งรอยต่อของมันหลังจากภูเขาหิมาลัยนี่มันจะมีรอยแยกพากผ่าน กาญจนบุรีถ้าเกิดมีการเคลื่อนตัวอีก ก็จะเป็นอันตรายในไทยด้วย

พวกแอตแลนติสส่วนใหญ่เสียชีวิตหมดตอนที่เกาะจมน้ำ และวิวัฒนาการต่างๆก็พลอยล่มสลายไปด้วย พวกที่รอดออกไป ส่วนมากก็ไม่ได้เอาอะไรออกมา แต่ความรู้พวกเขามีก็เอามาสร้าง พีระมิดบ้าง สฟิงค์บ้าง แต่ชาวแอตแลนติสที่ออกมาส่วนใหญ่ จะศึกษาเรื่องจิต เมื่อเขาออกมาลูกหลานพวกเขาไปแต่งงาน กับคนพื้นเมือง ความรู้ศาสตร์เกี่ยวกับทางจิตวิญญาณของพวกเขา นี่ก็ลดต่ำจนกลายเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ยังมีเหลือนิดๆหน่อยๆ ประเด็นที่เกี่ยวกับสาเหตุและสภาพการณ์ในขณะที่เกาะ แอตแลนติสล่มสลายนั้น ได้พบคำอธิบาย 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรกเป็นคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ เซ็มยาเซ ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่ผู้ติดต่อชาวโลกที่ชื่อ ไมเยอร์ อย่างที่สองเป็นคำอธิบายของ แฟรงค์ อัลเปอร์ ผู้รักษาโรค ด้วยพลังจิตและเป็น คนทรงเจ้า ผู้อ่านอย่าเพิ่งปฏิเสธว่า เป็นเรื่องเหลวไหล ที่ต้องพึ่งแหล่งข้อมูล จากมนุษย์ต่างดาวกับคนทรงเจ้า เพราะเรากำลังพูดถึงเรื่องราว ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน โดยไม่มีหลักฐานทีเป็นเอกสารใดๆ หลงเหลือจะเริ่มจากคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อว่า

เซ็มยาเซ(แถวบ้านผมเรียก เซ็มเจส) มาจากกลุ่มดาวพลีอาเดี้ยนและเป็นสตรีเพศ เธอมาเยือน ไมเยอร์ ครั้งแรกในวันที่ 28 มกราคม 1975 นับเป็นมนุษย์ต่างดาว คนที่ 3 ที่มาติดต่อกับไมเยอร์ คนแรกชื่อ สุฟาตะ แอสเกต และ เซ็มยาเซ ไมเยอร์ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้นี้ราวๆ 200 ครั้ง มีถึง 115 ครั้ง ที่มีการบันทึกสนทนาไว้ เซ็มยาเซได้เล่าเรื่องของแอตแลนติสให้ไมเยอร์ฟังว่า

มื่อสี่หมื่นปีที่แล้ว พวกลูกหลานของมนุษย์ต่างดาว ( แต่คนโบราณเข้าใจผิดไปเรียกว่า เทพเจ้า ) ได้กลับมาเยือน โลกและปกครองโลกในนาม เทพเจ้า อีกครั้ง นามของผู้ปรกครองคือ แอตแลนโตภรรยาของผู้ปกครองคือ คาเรียทีด บิดาของนางชื่อ มูราส แอตแลนโตได้สร้างเมืองแอตแลนติสขึ้นที่เกาะแอตแลนติส ใหญ่ขณะที่มูราสได้สร้างเมืองมูขึ้นมาที่แอตแลนติสเล็ก เมืองแอตแลนติสเล็ก และมู เป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์ 2-3 คน ที่จะตกเป็นทาส ของกิเลสบ้าอำนาจจึงคิดการใหญ่ แต่ชาวเมืองทั้งสองนคร ไม่ยอม ลุกขึ้นต่อต้านนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นให้จำต้องลี้ภัยไป อยู่นอกสุริยะพวกนักวิทยาศาสตร์หลบไปอยู่ที่นอกระบบสุริยะ จักรวาลประมาณ สองพันปี ได้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค จนมีความมั่นใจว่าจะมาบุกโลกแก้แค้นได้สำเร็จ แล้วก็ได้สงพวกตนภายในการนำของ เอาลาส จำนวนสองร้อยคนนั่งยานอวกาศ มายึดครองพื้นที่แถบฟลอริดา เอาลาส ผู้นี้แหละ ทีเป็นผู้ยุแหย่ให้ชาวเมืองแอตแลนติสกับชาวเมืองมู บาดหมางกัน จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุด



ผู้ตั้งกระทู้ เกรียงศักดิ์ สกุลคลานุวัฒน์(เบน) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-09-21 03:20:12


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1630279)

ที่ตั้งของนครมู อยู่ตรงมะเลทรายโกบี ที่ตั้งของแอคแลนติสเป็น เกาะใหญ่อยู่ระหว่างทวีปอเมริกา กับ แอฟริกา กำลังรบของทั้งสอง ฝ่ายก็ยิ่งใหญ่พอๆกัน และก็มีเทคโนโลยีขั้นสุดยอมเหมือนกัน กองทัพแอตแลนติสมีกำลังทหารสี่ล้านแปดแสนคน มียานอาวุธ ติดอาวุธแสงมหาปะลัย ( เว่อร์ไปนิด ) มีเรื่อรบประจัญบาน หนึ่งแสนสองหมื่นสามพันลำกับเรือเร็วติดอาวุธแสงอีก

ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายมู จึงคิดค้นเทคโนโลยิ ที่จะนำเอาดาวพระเคราะห์ดวงเล็กๆ มาทำให้เป็นเหมือนกระสุน โดยพวกเขาได้นั่งยานอวกาศออกไปจนเลยวงโคจรของดาวอังคาร เพื่อเสาะแสวงหาดาวพระเคราะห์ดวงเล็กๆ ที่เหมาะสม ในที่สุด พวกเขาก็พบดาวเล็กๆ ดวงหนึ่งซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง หลายกิโลเมตรพวกเขาได้ใช้พลังงานจากอะตอมและอิเล็กทรอนิกส์ ผลักดันให้ดาวเล็กๆดวงนั้น หลุดจากโคจรเดิม และเคลื่อนย้าย เข้ามาสู่วงโคจรของโลก การหมุนรอบตัวเองของดาวดวงนี้ ถูกทำให้หยุดชะงัก และพวกมูได้นำเอาเครื่องมือขนาดยักษ์เข้าไปติด ทำให้ดาวดวงนี้กลายเป็นกระสุนปืนใหญ่จักรวาลที่สามารถบังคับ ให้ขับเคลื่อนได้โดยคลื่นซูเปอร์โซนิค พวกมูสร้างอาวุธนี้ ช้าไปก่อนหน้านั้น กองทัพแอตแลนติสได้ยกพลเข้ามาถล่มนครมู จนพินาศย่อยยับ แต่ตอนนั้นเครื่องยนต์กระสุนปืนใหญ่ได้งานแล้ว ชาวแอตแลนติสนึกว่าชนะสงคราม ก็หลงระเริงอยู่ในชัยชนะของตน กระสุนปืนใหญ่ก็ระเบิดกลางเวหา ในตำแหน่งสูง 172 KM จากดิน ส่วนหนึ่งกลายเป็นลูกอุกกาบาต ตกลงมาถล่มแอตแลนติสจนย่อยยับ ส่วนดาวเล้กๆที่เหลืออีกสองในสามตกลงบนทะเลทะลุพื้นโลก ทำให้เกิดความร้อนใต้พื้นโลกที่เป็นแมกมาพุ่งทะลักออกมา ขณะเดียวกันก็เกิดเป็นคลื่นทะเลยักษ์สูงถึงสองพันสามร้อยเมตร และกลืนนครแอตแลนติสจมลงใต้ทะเลในที่สุด
คำ อธิบายของบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่าง แฟรงค์ อัลเปอร์นั้น ไม่ค่อยเน้นเรื่องสาเหตุและ สภาพการณ์ในขณะล่มสลายของเมืองแอตแลนติสเท่าไรนัก
คำบอกเล่าจากชาวแอตแลนติสที่ชื่อ สโตเลนส์ที่มาเข้าทรง เราจะเริ่มจากเรื่องราวของทวีปเรมูเลียหรือ ทวีปมู อารยธรรมของทวีปมูนี้ดำรงยาวนานกว่าหนึ่งแสนปี ชาวมูแบ่งออกได้เป็นสองพวก พวกหนึ่งรักสันติอีก พวกหนึ่งชอบทำสงคราม ทั้งสองพวกนี้ต่างมีวิทยาการที่ ก้าวหน้าในระดับที่สูงมาก พวกที่รักสันติมักให้ความสนใจ กับเรื่องความรู้ความเจริญและพระเจ้า แต่พวกที่กระหาย สงครามมักให้ความสนใจในเรื่องพลัง และทำลาย แอตแลนติสเกิดหลังทวีปมูราวๆ 20000 ปี คือ เมื่อแปดหมื่นเก้าพันปีก่อนคริสตกาล ในหมู่แอตแลนติส ไม่มีพวกกระหายสงครามอยู่เลย เมื่ออารยธรรมแอตแลนติส เจริญรุ่งเรืองพวกกระหายสงครามของฝ่ายมูได้ตัดสินใจ ขยายอิทธิพลมาถึงแอตแลนติส พวกมูได้เเอบขุดอุโมงค์ ใต้ดินที่เชื่อมทั้งสองแห่งไว้ด้วยกัน เพราะความพยายาม ที่จะยึดครองแอตแลนติสของพวกมูได้นำไปสู่ภาวะ สงครามระหว่างเมืองสองเมืองนี้ และดำรงความขัดแย้ง มานานถึงห้าหมื่นปี ในตอนแรกเป็นการปะทะสู้รบกัน ในระดับเล็กย่อย แต่ครั้นเวลาผ่านไปความรุนแรงในการ สู้รบของทั้งสองฝ่ายหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็นำมาซึ่งการล่มสลายของทั้งสองฝ่ายและทวีปมูและ แอตแลนทะเลคราวที่เกิดการขยับตัว ของเปลือกโลกครุ้งใหญ่ เมื่อ แปดหมื่นห้าพันปี ติสต่างจมลงสู่ก้น


   

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เกรียงศักดิ์ สกุลคลานุวัฒน์(เบน) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-09-21 03:23:34


ความคิดเห็นที่ 2 (1630280)


คำบอกเล่าของชาวแอตแลนติสชื่อ อะดามิส แอตแลนติสถูกสร้างขึ้นบนโลกโดยมนุษย์ต่างดาว ในฐานะที่เป็นอารยธรรมทดลอง โดยมีเป้าหมายเพื่อ ถ่ายทอดวิทยาการที่ล้ำยุคให้แก่ชาวโลกในอนาคต ได้ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะต่อวิวัฒนาการของมนุษย์

สาเหตุหลักที่ทำให้แอตแลนติสล่มสลายนั้นมาจาก การเปลี่ยนแปลงแห่งคลื่นของโลกใบนี้ การล่มสลายของแอตแลนติสเกิดจากหลายสาเหตุ ด้วยกันสาเหตุอันหนึ่งก็คือชาวแอตแลนติสจำนวนมาก ที่มุ่งขยายความเป็นอัตตาของตัวเองมากไปจนถึงขีด จำกัดในการเจริญเติบโตของมัน ถ้าพวกเขาพอใจที่ จะหยุดอยู่แค่ระดับการเจริญเติบโตและพลังที่ควบคุม ได้ที่ตนเองไปถึง การล่มสลายก็คงไม่เกิดขึ้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่นิ่งไม่ได้ กฎของจักรวาลได้ บังคับให้มนุษย์ต้องเคลื่อนไหวไปไม่ทิศทางใดก็ ทิศทางหนึ่ง และทิศทางที่ชาวแอตแลนติสเลือกเดิน ต่อไปอีกนั้นเป็นทิศทางทีเป็นลบ ระแวงสงสัย อัตตา แรงกล้าและหลงตัวเองจึงนำไปสู่ จุดจบ

    ถ้า จะสรุป จุดร่วม ในคำอธิบายเกี่ยวกับแอตแลนติส ของ เซ็มยาเซ และ แฟรงค์ อัลเปอร์ ก็คงจะได้แก่ ความขัดแย้งจนถึงขั้นทำสงครามกันด้วยอาวุธมหาประลัย อย่างอาวุธแสง พลาโตได้เขียนไว้ว่า การล่มสลายของ แอตแลนติสเกิดจาก ภัยธรรมชาติ แต่ถ้าฟังจาก 2 ท่านนี้ เราจะได้ข้อสรุปว่า ภัยสงครามล้างโลก

คำอธิบายของใครน่าเชื่อถือที่สุด ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ของแต่ละบุคคล...

ผู้แสดงความคิดเห็น เกรียงศักดิ์ สกุลคลานุวัฒน์(เบน) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-09-21 03:32:01


ความคิดเห็นที่ 3 (1630283)

เรื่องราวในอดีตของอาณาจักร

แอตแลนติสที่ยิ่งใหญ่นี้

คงจะสอนใจคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

ในเรื่องความเชื่อเรื่อง ภัยพิบัติที่ใกล้จะถึงนี้

 

เพราะจะเห็นว่า

คนที่รอดในยุคนั้น

ก็เป็นเพียงคนส่วนน้อยที่เชื่อว่า

แอตแลนติสจะถึงคราหายนะ

แล้วก็ออกเดินเรือไปยังดินแดนใหม่

 

สร้างสังคมและอารยธรรมใหม่ๆขึ้นมาแทน

และสืบทอดองค์ความรู้ต่างๆ จนมาถึงปัจจุบันนี้ 


ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-09-21 05:05:35


ความคิดเห็นที่ 4 (1630704)

อัตตา

ตัวเดียว

ละ เลิก

ไม่ได้มีภัยมหันต์นะครับ

สาธุ

  ธรรมทานของคุณเบนครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น พงษ์เดช ชาวไทย(ตัวเล็ก) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-09-24 22:56:08



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.