ReadyPlanet.com


องค์ความรู้ต่างๆ เพื่อการเตรียมตัวสู่ยุคใหม่ ยุคศิวิไลซ์


ผมเห็นว่าองค์ความรู้นี้ค่อนข้างดี และน่าจะเป็นพื้นฐานให้กับหลายๆท่านที่ยังไม่ทราบในบางแง่มุมได้รู้กัน แม้ว่าบางสิ่งท่านอาจเคยได้รู้มาบ้างแล้ว และหลายๆอย่างกำลังเปิดเผยความจริงบางอย่างที่หลายท่านอ่านแล้วต้องร้อง อ๋อ!! เพราะว่าไม่ได้อยู่ไกลตัวเราเลย และทุกอย่างมีครบที่บ้านสวนพีระมิดแห่งนี้ ที่ซึ่งเป็นพระนิพพานบนดิน ดั่งที่พระเบื้องบนสูงสุดพระองค์หนึ่งเคยตรัสแก่ลูกหลานบ้านสวนฯ

ต้องขอโทษทีนะครับที่ผมไม่ทราบชื่อผู้รวบรวมแหล่งความรู้นี้ ขอความดีนี้ยกแก่ท่านผู้ค้นพบ และผู้รวบรวมองค์ความรู้นี้นะครับ สาธุ



ผู้ตั้งกระทู้ ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-09-14 22:54:23


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1570579)

เรื่อง "ความลับของพีระมิด"

 
พีระมิดทั้ง 3 องค์ได้สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของโลก พีระมิดแต่ละองค์ตั้งอยู่ในระยะที่ห่างเท่าๆกัน และทุกองค์มีขนาดเดียวกัน โดยพีระมิดองค์ที่สร้างอยู่ตรงกลางจะสร้างคร่อมศูนย์กลางของโลกซึ่งมีลักษณะเป็นโพรง หรือหลุมพลังงานลึกลงไปใต้โลก ซึ่งท่านรตะได้ใช้พลังจิตวางแผ่นหินใหญ่สีดำที่เป็นแร่มโนธาตุ ปิดหลุมพลังงานเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านรตะกลับมาเปิดแผ่นหินใหญ่นี้ด้วยตนเองในอนาคต และภายในพีระมิดอีก 2 องค์ ได้ขุดเป็นโพรงเชื่อมไปถึงหลุมพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง และมีองค์สฟิงซ์ทอดลำตัวยาวไปทางทิศตะวันตกและหันใบหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยองค์สฟิงซ์และองค์พีระมิดกลางได้ถูกสร้างให้อยู่ในแนวที่ตรงกัน

ก้อนหินแต่ละก้อนที่ใช้สร้างพีระมิดทั้ง 3 องค์ล้วนที่ขนาดใหญ่มากเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะยกวางได้ วิธีการหรือเทคนิคของการสร้างในครั้งนั้น คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุจากหินก้อนใหญ่ให้เป็นพลังงานแสงก่อน และนำพลังงานแสงนั้นมาจัดวางลงในรูปแบบที่ต้องการ แล้วจึงค่อยใช้พลังจิตเปลี่ยนพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุคือก้อนหินอีกครั้ง สำหรับองค์สฟิงซ์ที่มีขนาดใหญ่มากได้สร้างขึ้นจากก้อนหินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว สิ่งที่พิเศษที่สุด คือ ใบหน้าขององค์สฟิงซ์ที่มีลักษณะเหมือนใบหน้าของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากการแกะสลักลงบนหินแต่อย่างใด แต่เป็นผลงานการใช้พลังจิตกดประทับรูปหยาบของใบหน้าองค์ประมุขของชาวดาวอังคารลงไปบนก้อนหิน องค์สฟิงซ์ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 2 อย่าง คือ

1. กระแสลมปราณจากดาวอังคารจะถูกเชื่อมไว้กับจมูกขององค์สฟิงซ์ เพื่อให้ชาวดาวอังคารได้ใช้ใน

ระหว่างที่มาอยู่บนดาวเคราะห์โลก

2. จมูกขององค์สฟิงซ์เปรียบเหมือนเป็นประตูกล ประตูแรกที่ใช้สำหรับไขปริศนาความลับของทฤษฎีพีระมิดแอดแลนติก

พีระมิดและองค์สฟิงซ์ที่ท่านรตะและชาวดาวอังคารช่วยกันสร้างขึ้นในครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา มีจุดประสงค์

เพื่อใช้เป็นตัวกลไกเชื่อมโยงการทำงานของพลังจิต พลังพีระมิด พลังงานในโลกและพลังงานของดวงดาว เมื่อถึงเวลาครบรอบ 10,000 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง

ปล.หลักฐานเรื่องนี้มีแน่นอน ชาวดาวอังคารก็ได้สรางพีรามิดและองสฟิงไว้ที่ดาวอังคารเช่นกัน ที่จิงทางนาซาไม่น่าปิดบังเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีข่าวรั่วไหลออกมาบ้าง และในอนาคตคงจะมีการไปพิสูจนครใต้พื้นดาวอังคารซึ่งบริเวณทางเข้าที่จิงทางนาซาก็ไก้เห็นแล้วเช่นกัน
แนวความคิดและความเชื่อในพลังของพีระมิดในยุค 5,000 ปีของอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นความเชื่อในสิ่งชีวิตหลังความตายว่า พวกเขาจะได้ไปอยู่ในเมืองที่มีความศิวิไลซ์มากที่สุด เส้นทางที่จะพาพวกเขาไป คือ โพรงพลังงานที่เป็นศูนย์กลางของโลกตั้งอยู่ภายในพีระมิดองค์กลาง ฉะนั้นพวกเขาจึงนำศพและสมบัติไปเก็บไว้ในห้องโถงพีระมิดให้ปลอดจากกการทำลายของพลังงานแม่เหล็กโลก ศพจึงไม่เน่าเปื่อยและรอวันที่จะมีชีวิตคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้นพีระมิดทั้ง 3 องค์ได้ถูกสร้างเพิ่มเติมจนกลายเป็นมหาพีระมิดที่มีขนาดแตกต่างกันเป็นองค์ใหญ่ องค์กลาง และองค์เล็ก ตามลำดับ ดังที่ปรากฎอยู่ที่อียิปในปัจจุบันนี้

องค์สฟิงซ์และพีระมิดทั้ง 3 องค์มีความสัมพันธ์ มีความหมายซึ่งกันและกันเป็นอย่างยิ่ง ลึกลงไปใต้พื้นดินของเท้าคู่หน้าข้างขวาขององค์สฟิงซ์ จะเป็นแร่มโนธาตุสีดำชนิดเดียวกับที่เป็นแผ่นหินที่ใหญ่สีดำที่ปิดทับส่วนที่เป็นโพรงพลังงานภายในพีระมิดองค์กลางซึ่งกลไกของการทำงานจะเกิดขึ้นเมื่อครบวาระ 10,000 ปี และผู้ทรงพลังจิตให้กลับมาเกิดใหม่ เพื่อทำหน้าที่ตามสัจจะที่เคยให้ไว้ โดยการใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณจากดาวอังคารมาที่จมูกของสฟิงซ์เท่ากับเป็นการปลุกหรือสร้างความมีชีวิตใหม่ให้แก่องค์สฟิงซ์พลังกระแสลมปราณจะพุ่งลงไปหาแร่มโนธาตุสีดำ ที่อยู่ใต้เท้าขวาข้างหน้า พลังมโนธาตุและพลังกระแสลมปราณจะพุ่งต่อไปยังโพรงพลังงานศูนย์กลางของโลกซึ่งอยู่ใต้พีระมิดองค์กลาง และดันแผ่นหินสีดำเผยออก และ “ลม” หรือพลังงานยังถูกดันต่อไปถึงศูนย์กลางของพีระมิดอีก 2 องค์ จนในที่สุด “ลม” หรือ “พลังงาน” นั้นถูกดันไปจนถึงอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ฝังตัวนิ่งสงบอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก (สามเหลี่ยมเบอมิวด้า)


( ท่านรตะ น่าจะหมายถึงพระอาจารย์รัตน์ ดอยเกิ้งนี่ล่ะ   ท่านกลับมาทำภาระกิจให้ลุล่วงตามสัจจะ )


อาจารย์พูดถึงเรื่องพลังปิรามิด สุขภาพกายและจิตวิญญาณ อาจารย์โยงไปถึงการฝึกพลังจักรวาล (Cosmic Energy) ซึ่งมีตำแหน่งจักระซึ่งเป็นประตู วงล้อสำหรับพลังงานเข้าออก ฐานพลังหล่อเลี้ยงชีวิต ถ้าหากเราดูดซับเข้ามามากๆร่างกายจะแข็งแรงกว่าปกติ (แบบพระวัดเส้าหลิน)สามารถปรับเปลื่ยนร่างกายให้แข็งแกร่งได้ และตำแหน่งจักระที่ 3 บริเวณท้องนั้นเป็นที่เก็บพลังงาน ซึ่งความสูงก็มีความสัมพันธ์กันกับตำแหน่งของห้องพระศพภายในปิรามิดพอดี (1ใน3 ของความสูงทั้งหมด) อาจารย์พูดถึงสมาธิหมุน (ซึ่งไปตรงกับเเนวของพระอาจารย์รัตน์) จากการกระแทกของพลังงานภายในท่อของจักระที่เหวี่ยงตัวออกมา จนตัวต้องโยกตาม(vibration) แรงเหวี่ยงหมุนที่เกิดขึ้นทำให้ใจสงบลงได้ และเหวี่ยงเอาสิ่งไม่ดีออกไปด้วย แต่อาจารย์บอกว่าเทคนิคสมาธิเป็นเรื่องของจริตแต่ละคน แต่ในที่สุดก็จะพบเคล็ดลับว่าความบริสุทธิ์และความรักในจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด..ความรู้จะหลั่งไหลเข้ามาเองโดยอัตโนมัติ เราสามารถนำพลังเหล่านี้ไปใช้ในการรักษาบำบัดเยียวยาอาการเจ็บป่วยได้อย่างน่าอัศจรรย์ (ผู้ฝึกใช้ต้องไม่หวังผลตอบแทนใดๆด้วย) การเรียนในระดับลึกๆมีให้เรียนรู้กันต่อไปครับ

บุญฤทธิ์: ราบเรียบ---ปล่อยวาง
อิทธฤทธิ์ :รับรู้--คุมอยู่--ใช้เป็น
 

 
อาจารย์บอกว่ากลุ่มปิรามิดที่อียิปต์นั้นถูกสร้างขึ้นในสมัยแอตแลนตีสมาก่อน ในยุคนั้นสามารถผ่าตัดด้วยลำแสงจากหินคริสตัน และหินควอทซ์..
เป็นที่เก็บข้อมูลสำคัญหลายอย่างเก็บเป็นพลังงานต้องใช้จิตอ่าน และปิรามิดนี้ถูกสร้างครอบไว้อีกชั้นในเวลาต่อมา
จากคนกลุ่มหนึ่งที่รู้ตัวว่าเมืองจะล่มสลาย..อารยธรรมที่เหลือรอดจากแอตแลนตีสจึงไปสู่อียิปต์ เปรู แม็คซิโก รวมทั้งเอเซีย

ปิรามิดถูกสร้างขึ้นตรงกับเส้นละติจูดที่ 30 องศา ลองติจูด 30 องศาพอดี..คนโบราณวัดได้อย่างไร? สร้างตรงกับตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้า

หลักฐานล่าสุดทางการอียิปยืนยันว่าปิรามิดนั้นสร้างเสร็จภายในเวลา 9 เดือนด้วยวิทยาการอันทันสมัย จากหินจำนวน 2ล้าน3แสนก้อนแต่ละก้อนหนัก 9-15ตัน และมีอายุหลายหมื่นปี ตามที่เคยคาดการณ์ไว้แต่ก่อนเพียงห้าพันปี ..และได้พบห้องลับใต้ขาของสฟิงซ์จากการตรวจด้วยคลื่นอินฟาเรดจากดาวเทียม

มีปิรามิดที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังด้านมืดก็มีครับ เช่นในประเทศจีนเป็นกลุ่มพลังมืดสร้างขึ้น รวมถึงความไขว้เขวในพิธีกรรมความเชื่อของมายัน ที่จับคนมาบูชายันควักหัวใจบนยอดปิรามิด จากคำพูดที่ว่า บูชาพระเจ้าด้วยหัวใจ
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 22:57:30


ความคิดเห็นที่ 2 (1570580)

อาจารย์จิตรา องค์ปรีดาเทพ สุรทิณฑ์


พูดถึงเรื่องภัยพิบัติ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูดสุดแจ้งข่าวมา

ภัยพิบัติเกิดขึ้นแน่ เป็นภ้ยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นรุนแรงเช่นนี้มาก่อนนับแต่มีโลกขึ้นมา อันเกิดจากพลังงานกรรมของมนุษย์ที่สร้างสมกันขึ้นไว้เองและถึงเวลาต้องสะสางให้สะอาดบริสุทธิ์ดังเดิม อาจารย์บอกว่าถ้าเกิดภัยพิบัติคราวนี้ คนไทยจะเหลือไม่ถึง 1 % ถ้าเป็นเมื่อก่อนเหลือเยอะกว่านี้ ช่วงนี้เลยเวลาที่จะพลิกตัวกลับกันแล้ว เพราะมนุษย์พิพากษาตัวเองว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง เวลาที่เลื่อนให้ไม่มีประโยชน์สำหรับมนุษย์ที่จะแก้ไขเปลื่ยนแปลงจิตสำนึกเลย ถ้าหากคนไทยทุกคนช่วยกันพลิกจิตสำนึกใหม่ได้กันทั้งประเทศ จะช่วยโลกได้เป็นอย่างมาก

ข่าวดีของประเทศไทย คือประเทศไทยจะถูก Plan ให้เป็นผู้นำในโลกยุคใหม่ แต่ในทางกลับกันฝ่ายเทวทัต (ฝ่ายดำ) ก็รู้แผนการณ์นี้เช่นกัน จึงสร้างเหตุการณ์ต่างๆให้ไทยเกิดมีปัญหาอย่างหนักตามไปด้วยเช่นกัน ผู้ที่จะรอด 1 % ส่วนหนึ่งคือผู้ที่ตระหนักในหน้าที่และมีสัจจะ+มีปณิธาน อีกส่วนหนึ่งคือชนทั่วไปผู้จิตใจดีมีเมตตา มีความรักเป็นอารมณ์อยู่เสมอ และพวกเศรษฐีใจบุญทั้งหลาย

เมื่อเร็วๆนี้องค์การอวกาศ NASA ได้ถ่ายภาพดาวเคราะห์ใหม่แห่งหนึ่งมีบรรยากาศเหมือนโลกทุกประการ แต่มีขนาดใหญ่กว่าโลกมาก นักวิทยาศาสตร์พากันงงที่จู่ๆก็มาปรากฎขึ้นให้สังเกตเห็น อาจารย์บอกว่านั่นคือสัญญาณบอกใบ้บางอย่างกับมนุษย์ จะมีใครดูออกบ้างว่า..
ณ ดาวดวงนั้นจะเป็นที่สำหรับการถ่ายโอนมนุษย์และสัตว์โลกในเร็วๆนี้ ด้วยวิธีพิเศษสุด...(ลองเดากันดูครับว่าวิธีไหน?) เบื้องบนเตรียมไว้ให้แล้ว.สำหรับมนุษย์ที่ถูกคัดเลือก

อาจารย์ยืนยันว่า พระผู้กอบกู้โลกพระเมสิอาร์ พระศรีอารีย์ท่านได้มาเกิดบนโลกนี้แล้ว..ในช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติใหญ่นี้..(แต่ไม่ต้องไปตามหากัน) ท่านจะมาทั้งธรรมฤทธิ์และอิทธฤทธิ์..(แต่ให้ระวังคนแอบอ้างให้ดี) ท่านจะเข้ามาช่วยกอบกู้แก้ไขปัญหาต่างๆของโลกให้ลุล่วง และพร้อมดำเนินไปสู่โลกใหม่ที่สดใส และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของมนุษย์ต่อไปสู่แนวทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น..    เน้นย้ำไม่ต้องไปตามหากันเน้อ อิอิ

วันเวลาที่จะเกิดนั้นเร็วกว่าที่ ดร.อาจองท่านเคยบอกไว้..ข้างบนเค้าประชุมลับไม่อาจมีใครล่วงรู้วันเวลาได้แน่นอน ช่วงนี้มนุษย์ควรกำหนดจิตให้อยู่บนเส้นทางหรือปรับแนวทางให้ถูกต้อง กล่อมเกลาจิต ปลีกวิเวกอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มากขึ้น
จิตสำนึกที่พลิกกลับไปทางด้านบวกคือ ทางรอดของมนุษย์

วิชาหรือความรู้เหล่านี้เป็นทางผ่านเท่านั้นเองครับ เรียนให้รู้แต่ไม่ได้ยีดติด จะหลุดพ้นหรือไม่ เป็นสิ่งที่ตัวเราเลือกเดินและจะไม่หลงทางครับ จะเชื่อมโยงความรู้ทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวกันในที่สุด
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:02:55


ความคิดเห็นที่ 3 (1570581)
image

เห็นนิตยสารต๋วยตูน ฉบับล่าสุด เห็นมีเขียนถึงห้องลับใต้สฟิงซ์ด้วย

 

นับเป็นความรู้ที่ไม่ต้องเสียเวลาไปเสาะหาเอง
และได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

นับเป็นความรู้ที่ไม่ต้องเสียเวลาไปเสาะหาเอง
และได้ประโยชน์อย่างยิ่ง


 
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:05:34


ความคิดเห็นที่ 4 (1570583)
image

รูปจาก Google และภาพจำลองห้องลับใต้ดิน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:10:23


ความคิดเห็นที่ 5 (1570584)
image

การฝึกพลังมีสองสายใหญ่

๑. พวกที่ดึงพลังจากภายนอก มาใช้ เช่นพลังจักรวาล และพวกที่ดูดพลัง(ชาวบ้าน)
๒. พวกที่ฝึกขึ้นเองจากพลังชีวิตของตนเอง เช่น การฝึกชีกง การนั่งสมาธิสายต่างๆ

ผู้ที่ฝึกสายใดอย่างหนึ่งแล้ว และได้ไปฝึกอีกสายหนึ่ง โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยบังเอิญ หรือโดยจงใจก็ตาม ในขณะฝึกวิชาที่สองอยู่ จิตที่ชินอยู่กับวิชาเดิม ก็อดเผลอนำเอาวิชาสองสายมาผสมปนเปกันไม่ได้ ซึ่งครูอาจารย์ของแต่ละสายก็ต่างบอกว่าฝึกด้วยกันไม่ได้ ในระยะยาวจะมีปัญหา แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดไว้

ในสายที่ฝึกขึ้นเอง เช่น ชี้กง ฯลฯ การฝึกจะฝึกสร้างพลังขึ้นเองอย่างช้าๆ ก่อนเลิกฝึกจะมีการเก็บพลังเข้าสะสมที่จุดเก็บพลัง เช่นที่จุดตันเถียน ทีละเล็กทีละน้อย ร่างกายจะค่อยๆสะสม ค่อยๆปรับตัวแข็งแรงขึ้น ทนต่อภาวะของพลังที่สะสมได้
แต่หากไปดึงพลังภายนอกเข้ามาเป็นจำนวนมากเกิน และพยายามเก็บเข้าจุดเก็บพลัง คิดดูเอง ทำบ่อยๆเข้าจะเป็นอย่างไร

หมายเหตุ
ตันเถียนมี 3 จุด ตันเถียนล่าง(ใต้สะดือ) ตันเถียนกลาง(ประมาณอกลิ้นปี่) ตันเถียนบน(ประมาณคอหอย)

แต่ในสายดึงพลังจากภายนอก เช่นพลังจักรวาล จะดึงพลังจากภายนอกผ่านจักระ แล้วจึงนำมาใช้ ส่วนหนึ่งจะเก็บสะสมไว้ เพียงเพื่อใช้ดึงพลังจากภายนอกมาใช้ได้ ดังนั้นพลังในกายที่สะสมไม่จำเป็นต้องมีมาก(ค่อยๆเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ฝึกเช่นกัน)
การเปิดจักระเป็นการให้(ยืม)พลังส่วนหนึ่ง เพื่อให้สามารถดึงพลังจากภายนอกได้

พลังที่ดึงเข้ามา ในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน มีทั้งพลังดี และพลังร้าย ปกติระบบร่างกายเราจะมีระบบกรองและขจัดทิ้งโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้ามากเกินขจัดไม่หมด และสะสมไว้ คิดเอาเองก็แล้วกันว่านานไปจะเป็นเช่นไร

ถ้าไม่ประมาท รู้วิธีขจัด ทำเป็นประจำก็รอด แต่เท่าที่เห็นเท่าที่พบเท่าที่สัมผัสมา แต่ละท่านล้วนประมาทเป็นส่วนใหญ่
รักษาโรคให้ชาวบ้านเขาแล้วไม่รู้จักล้างตัวเอง หรือล้างแต่ไม่หมดค่อยๆสะสมไว้ โดยเฉพาะโรคที่มีเจ้าของ
สุดท้ายเสร็จ พระเอกเป็นเอง แล้วใครเล่าจะมาช่วยท่านได้

ยังมีอีกพวก พวกชอบแอบดูดพลังชาวบ้าน พวกนี้จะมีวิธีดึงและประสานพลังเข้ามาเป็นของตัวเอง

ปกติพลังในกายมนุษย์ที่แข็งแรงจะมีแต่พลังดี พวกแอบดูดจะได้แต่พลังดี
แต่ถ้าไม่ระวังไปแอบดูดพวกเป็นโรคร้ายเรื้อรังเข้าละก็(เช่นเอด) ไม่รอด
หรือตะกละดูดเข้ามากเกิน ก็จะมีอาการเช่นเดียวกันกับท่านๆทั้งหลาย

ทำอย่างไร จึงจะประสานพลังทั้งภายในที่ฝึกขึ้นเอง และพลังภายนอกที่ดึงเข้ามา

ให้ประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว

และทำอย่างไรจึงจะกระจายพลังทั้งหลายให้หมุนเวียนไปทั่วร่าง ไม่ไปกระจุกอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ให้เป็นโทษแก่ร่างกาย

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:12:50


ความคิดเห็นที่ 6 (1570585)
image

 

ภาพนี้เรียกว่า เทวีนัท หรือ เทวีนุท (Nut) เทพมารดา...ผู้ค้อมพระวรกายเหนือพื้นโลกคอยคุ้มครองและปกป้องคุ้มครองมนุษย์ในโลกและทุกสรรพสิ่งบนโลก
 
เรื่องของเรื่องคือเราทุกคนมีพลังชิวิตในร่างกายที่มีเอาไว้ใช้งานและสร้างขึ้นเองอยู่ในระดับหนึ่งที่จำกัดแต่ก็พอเพียงสำหรับการดำรงชีวิตในยามปกติ...แต่ยังไม่พอสำหรับการช่วยฟึ้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นพอจะช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้เท่าที่ควร เนื่องจากภูมิคุ้มกันของมนุษย์กำลังถูกคุกคามจากเขื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ๆที่พัฒนาจนมีอันตรายกว่ายุคก่อนๆมาก จึงมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่วิชาสำคัญนี้ต้องกลับมาช่วยเหลือมนุษย์ในช่วงปลายยุค
การรับพลังจากเอกภพ พลัง Cosmic พลังจักรวาล คือพลังงานที่มีอยู่แล้วรอบๆตัว มนุษย์สามารถดึงลงมาเพิ่มเติมได้เสมอ ถ้ารู้เทคนิคพื้นฐานง่ายๆดังนี้ครับ...

วืธีฝึก
การจัดท่าจะอยู่ในท่ายีนหรือท่านั่งก็ได้ จะนั่งเก้าอี้หรือนั่งสมาธิที่บ้าน ที่ทำงาน อยู่บนรถไฟฟ้าก็ทำได้ เมื่อเริ่มให้สูดลมหายใจเข้ายาวๆ...ค่อยๆพ่นลมออกทางปากเบาๆ 3 ครั้ง จากนั้นหลับตา...ผ่อนคลาย.. นั่งหลังตรง (อย่าพิงเก้าอื้) ทำจิตให้นิ่ง ว่างไม่ต้องคิดเรื่องใดๆ กำหนดนึกถึงจักระที่ 7 (กลางกระหม่อม) ไม่ต้องเพ่งชนิดเอาเป็นเอาตาย หายใจเข้า-ออก ไปตามธรรมชาติ สบายๆ เบาๆ  จิดถ้าชอบวกไปคิดเรื่องอื่นๆ ให้ใช้สติไปตามกลับมาอยู่ที่เดิมให้ได้ทุกครั้ง (จักระ7) เมื่อครบกำหนดเวลาให้สูดลมหายใจเข้ายาวๆ...ค่อยๆพ่นลมออกทางปากเบาๆ 3 ครั้ง

ถ้าไม่ชินกับการกำหนดจักระที่ 7 ให้ลองเอายาหม่องทาศรีษะดู..ให้รู้สึกชิน หรือกำหนดเป็นลำแสงสีขาวส่องลงมาที่กลางกระหม่อมก็ได้ ประมาณ 5-15 นาทีต่อครั้ง วันนึงไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง..ที่ไหนก็ได้ที่บ้าน ในถ้ำ กลางแจ้ง กลางวัน-กลางคืนได้หมดทุกเวลาครับ.. ไปลองทำกันดู สำหรับผู้หัดใหม่หากกลัวว่าจะไปชนกับวิชาที่ตนเคยปฎิบัติอยู่แล้ว ให้แบ่งแยกกันไปคนละเวลาครับ และวันหนึ่งเมื่อปฎิบัติจนคุ้นเคยแล้วก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันได้ในที่สุดครับ เป็นการรับพลังจากพระสูงสุด..ต้นกำเนิดแห่งจิตวิญญาณของเรา

อาจารย์เน้นว่าเคล็กลับอยู่ที่ เมตตา+ความรัก (ใช้ปัญญาอย่างมีสติ) คือกุญแจไขสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้มากมายจะหลั่งไหลเข้ามาโดยอัตโนมัติ
 
อย่าลืมที่ อาจารย์กิติชัย แนะนำ ให้ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน นะครับ สามารถชำระล้างสิ่งตกค้างในร่างกายที่ไม่พึงปรารถนาได้    ให้ดื่มวันละลูก ติดกันสัก 2 สัปดาห์ แล้วจะปลอดโปร่งโล่งสบายครับ

อาจารย์ให้ดื่มน้ำมะพร้าวในช่วงก่อนนอน เพื่อที่จะช่วยล้างสิ่งตกค้างและขับถ่ายออกมาในตอนเช้า ซึ่งอาจารย์ให้สังเกตสีของสิ่งที่ขับถ่ายออกมาในช่วงแรกๆ จะมีสีดำคล้ำ ซึ่งก็คือสิ่งตกค้างในร่างกายของเรา นั่นเอง......

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:16:52


ความคิดเห็นที่ 7 (1570588)

อาจารย์จิตรา บอกว่ายุคต่อจากนี้ไปจะเป็นยุคของ"โยคีฆราวาส "[Household Yogi] คือไม่ต้องบวชพระก็ปฎิบัติธรรมได้และสามารถบรรลุเป้าหมายทางจิตได้เช่นกัน (ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องออกบวช อันนี้แล้วแต่..) เพราะยุคนี้ทุกคนมีหน้าที่ ไม่อาจละทิ้งภาระครอบครัว พ่อ-แม่ ได้เหมือนก่อน ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นแลเห็นจนขยายวงแห่งความดีงามออกไปให้มากที่สุด..โดยเริ่มที่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

ประเทศไทยถูกเบื้องบนแปลนไว้ว่า จะเป็นเสาหลักของโลกในยุคนี้จนอนาคตจากนี้ไป ผู้คนจะหลั่งไหลเข้าหาประเทศไทยเพื่อศึกษาวิทยาการและภูมิปัญญาของเรา (และมีปัจจัยอื่นๆอีกมากอย่างไม่นึกไม่ฝัน)
แม้ว่าช่วงนี้จะเห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้ก็ตาม เพราะฝ่ายพลังลบ เค้ารู้แผนการณ์นี้เช่นกัน จึงเข้ามาทำลายล้างตามหน้าที่ของเค้า..แต่ในที่สุดเค้าก็จะถูกชำระจิตใจเช่นกัน

ส่วนภาคต่างๆของไทย...มีผลกรรมเฉพาะพื้นที่กำกับไว้ เช่น..
ภาคใต้ การแย่งชิงดินแดน ยึดล่าอานิคม ข่มเหงกัน จนถึงการประมงล่าสัตว์ คือผลกรรมหลักๆของที่นั่น ภาคใต้พื้นดินจะจมลงหายไปหลายส่วน..เหลือเป็นเกาะตามที่หลายๆคนทราบกันดี
ภาคเหนือ ผมกรรมจากการประพฤติผิดด้านกามารมณ์ การล่วงประเวณี จากความเชื่อผิดๆ กรรมดั้งเดิมจะส่งผลให้พบ ภัยจากน้ำและธรณีสูบ เป็นต้น

เวลา: เหลือน้อยมาก ให้โอกาสมาหลายครั้งก็ไม่เปลี่ยนแปลง แก้ไขให้ดีขึ้น จนตอนนี้สายไปแล้ว ประเทศไทยจะพบกับเหตุการณ์ที่หนักที่สุดก่อน..ตอนนี้เริ่มแล้วกำลังจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น...พวกเราทำได้อย่างเดียวคือทำตัวเองให้ดี รับรู้ดูเห็นเหตุการณ์ก็แค่ให้รู้ไว้พอแล้ว เรื่องเวลาที่จะเกิดภ้ยใหญ่นั้นย่อมไม่มีใครล่วงรู้ ถึงรู้ก็ไม่มีตรง จะเป็นวันที่รวดเร็วและตั้งตัวไม่ทัน

คุณสมบัติของผู้ที่จะรอด: เตรียมจิตของตัวเองให้ดีที่สุด รอดก็รอดที่จิตตัวเองเท่านั้น ตัวเราเลือกเองตัดสินไว้เองทั้งสิ้น คนที่อื่นก็รอด ชาวนาที่จิตใจดีงามบริสุทธิ์รอดเยอะเพราะเค้ามีหน้าที่สำคัญด้านเกษตร ผู้มีหน้าที่สำคัญด้านต่างๆก็จำเป็นต้องรอดทุกวิชาชีพ เพื่อการพัฒนาการในยุคต่อไป

อาจารย์ดาสิรา นาราดา ฝากมาบอกว่าให้พวกเราเก็บหนังสือต่างๆที่มีประโยชน์ไว้ให้ดีๆทั้งบันทึกประวัตศาสตร์ ภูมิปัญญา เทคนิคการเพาะปลูก ปศุสัตว์ ฯลฯ เก็บไว้ให้ปลอดภัยเพราะจะมาค่ายิ่งกว่าอะไร แม้แต่การจุดไฟอย่างง่ายๆก็ตาม

อาจารย์ยังหวังว่าจะไม่ถึงขั้นเปลื่ยนโลกใหม่..หรือเปลี่ยนมิติไปอยู่อีกที่หนึ่งโดยไม่จำเป็น เพราะการกำเนิดของมนุษย์โลกต้องมานับหนึ่งใหม่โดยเสียไปเปล่าๆ สู้คัดเลือกเฟ้นหาเมล็ดพันธุ์มนุษย์ที่จิตใจดีงามพร้อมไปสร้างโลกใหม่จำนวนนึงบนโลกใบเดิมดีที่สุด..

อาจารย์จิตราท่านบอกว่าอย่าวางพระเจ้า พระพุทธเจ้า และศาสดาของศาสนาต่าง ๆ  ไว้อย่างสูงสุดจนเรามีความรู้สึกว่าเอื้อมไม่ถึง แต่ให้ระลึกว่าท่านเป็นครู เป็นคุรุที่มาถ่ายทอดวิชาความรู้ ให้รู้จักขอ เพราะถ้าท่านไม่ขอ พระองค์ก็ไม่รู้จะถ่ายทอดให้อย่างไรดี เพราะสรรพวิชาความรู้ต่าง ๆ มีมากมาย การขอต้องรู้จักขอ ไม่ใช่ขอแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ให้ขอในสิ่งที่สามารถสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวม แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลก

เรื่องภัยพิบัติต่าง ๆ นั้นเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้วันที่แน่นอนเท่านั้น เหมือน เราอยู่บนภูเขาไฟที่กำลังรอวันระเบิดนั้นแหละ เพราะฉะนั้นก่อนที่ท่านจะพึงช่วยเหลือใคร   ให้เริ่มต้นที่ตัวท่านเองก่อน ท่านจะต้องขัดเกลาจิตใจ จิตวิญญาณของท่านให้เป็นผู้ที่คิดดี ทำดี ลดละกิเลสลงไปทีละน้อย ทีละน้อย จนในที่สุดท่านสามารถปล่อยวางได้ หลังจากตัวท่านแล้ว ก็เริ่มไปที่ครอบครัว จากสามี หรือภรรยา ลูก พ่อ แม่ พี่ น้อง และทุก ๆ คนในครอบครัว หลังจากนั้นแต่ละคนก็จะแตกยอดออกไปกับคนใกล้ชิด ไปยังเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง เริ่มจากครอบครัว ไปสู่สังคมเล็ก ๆ และก็จะก้าวไปสู่สังคมใหญ่ และคนทั้งโลกนั่นเอง อย่าหวาดกลัวว่าภัยพิบัติจะเกิดหรือไม่เกิด แต่ให้หวาดกลัวความชั่ว   กิเลสต่าง ๆ   ทุก ๆ คนสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้
ถ้าทุกคนพบ ธรรมะในใจตน อย่าคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ลองไปศึกษาดูว่าพระพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ ท่านเกิดมากี่ภพกี่ชาติ ใช้เวรใช้กรรมจนแม้กระทั่งชาติสุดท้าย เพราะฉะนั้นอย่าละความพยายามในการทำความดี อย่าละโมบโลภมาก ขัดเกลากิเลสนิสัย ของตนแล้วท่านจะพบแสงสว่างอันเป็นหนทางไปสู่ธรรมะอันประเสริฐสุด
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:20:58


ความคิดเห็นที่ 8 (1570589)

อย่างเพิ่งเบื่อซะก่อนนะครับ ค่อยๆอ่าน รับรองครับ มีองค์ความรู้ดีๆอีกมากมายที่จะช่วยเราให้เข้าใจ ความจริงของชีวิต จักรวาล และการที่จะอยู่ต่อในยุคใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ วันนี้ขอแค่นี้ก่อนเน้อ ไว้พรุ่งนี้จะทะยอยลงให้อ่านนะครับ

โดยเฉพาะความเร้นลับของฟาโรห์ และอียิปต์ และเกี่ยวไรกับหลายๆอย่างในจักรวาลเรา และแน่นอน รวมทั้ง พลังพีระมิดอันยิ่งใหญ่ ที่บ้านสวน กำลังมอบแก่ชาวไทยและชาวโลกในขณะนี้ด้วย  

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:25:17


ความคิดเห็นที่ 9 (1570605)

ขอบคุณมากค่ะคุณธนา

อ่านแล้วได้ความกระจ่างขึ้นอีกเยอะ

ต้องกลับมาอ่านอีกรอบ  ค่ะ

สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล (ฉวีวรรณ นภาพรรณราย) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:59:50


ความคิดเห็นที่ 10 (1570627)

ขอบพระคุณ

มากค่ะ พี่ธนา มีความรู้เพิ่มขึ้นมาก

จะรออ่านนะค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา กะตะศิลา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 00:39:23


ความคิดเห็นที่ 11 (1570661)

โอ้วว..มีแต่เรื่องที่น่าสนใจทั้งนั้นเลยพ่อใหญ่ธนา

ทั้งเรื่องการชาร์จพลัง

การทำดีท๊อกซ์ด้วยน้ำมะพร้าวอ่อน

ฯลฯ

งั้นก็ ได้โปรดเอามาลงให้พวกเราได้อ่านแบบไม่ต้องยั้งมือเลยนะค๊า..

อนุโมทนาค่ะ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 06:47:35


ความคิดเห็นที่ 12 (1570671)

อนุโมทนาคะ

ขอบพระคุณมาก ๆ ที่นำมาให้อ่านกัน

อ่านแล้วได้ความรู้มาก ๆ และทำให้รู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว

และดีใจที่ได้รู้จัก อ.อุบล มาก ๆ เลยคะ

ได้โปรดเอามาลงให้พวกเราได้อ่านแบบไม่ต้องยั้งมือเลยนะค๊า..

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 09:46:14


ความคิดเห็นที่ 13 (1570718)

 ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนาด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 14:16:52


ความคิดเห็นที่ 14 (1570768)

อนุโมทนาบุญด้วยค่ะพี่ธนา

รออ่านตอนต่อไปอยู่น้า.......

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 17:42:06


ความคิดเห็นที่ 15 (1570772)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนา ที่ให้ธรรมะเป็นธรรมทานในครั้งนี้.....เวลาเหลือน้อยมาก........อ่านแล้วความรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปในกาย  แล้วจะรอติดตามตอนต่อไปค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น รมภ์รวินท์ กระสวย (som1932-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 17:46:30


ความคิดเห็นที่ 16 (1570773)

อาจารย์ยืนยันว่า พระผู้กอบกู้โลกพระเมสิอาร์ พระศรีอารีย์ท่านได้มาเกิดบนโลกนี้แล้ว..ในช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติใหญ่นี้..(แต่ไม่ต้องไปตามหากัน) ท่านจะมาทั้งธรรมฤทธิ์และอิทธฤทธิ์..(แต่ให้ระวังคนแอบอ้างให้ดี) ท่านจะเข้ามาช่วยกอบกู้แก้ไขปัญหาต่างๆของโลกให้ลุล่วง และพร้อมดำเนินไปสู่โลกใหม่ที่สดใส และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของมนุษย์ต่อไปสู่แนวทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น..    เน้นย้ำไม่ต้องไปตามหากันเน้อ อิอิ

ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-14 23:25:17

 

 

ไม่ต้องไปตามหา

 

แปลว่าอะไรคุณธนา

 

เราจะเจอท่านเอง

หรือว่า

ท่านจะมาหาเราเอง

 

ท่านก็น่าจะแย้มๆ หน่อยนะ

 

ว่ารูปร่างหน้าตา-บุคลิกภาพ

แบบไหน อายุสักเท่าไหร่

 

อยู่แถวๆ ไหน

 

แต่ที่แน่ๆ

 

ต้องเป็นชาย

เพราะ

ใช้คำว่า

 

พระ

ศรีอาริย์

 

พวกเราจะมีโอกาส

ได้พบท่านกันใช่ไหม

 

 

แสดงว่า

ท่านต้องไม่ใช่เด็กแดง

 

ดร.อาจอง

ก็พูดถึง ผู้นำ คือ

พระศรีอาริย์

เหมือนกัน และ จะมาใน

ช่วงยุคศิวิไลซ์

 

ซึ่งก็ใกล้แล้ว

 

ถ้าท่านพึ่งเกิด

ท่านจะมีวุฒิภาวะที่จะ

ทำหน้าที่

ได้ทันที ทันใดหรือเปล่า

 

หรือว่า

ท่านเกิดนานแล้ว

แต่ท่านอยู่ในถ้ำ ในป่า ในเขา

เราเลยไม่มีโอกาสรู้จัก

แล้วมีสัญญลักษณ์

อะไรไหมที่จะ

ให้เรารู้ได้

 

ตอน อ.อุบล

ไปพบ ดร.จิตรานะ

ท่านก็บอกแบบนี้เหมือนกัน

 

แต่ตอนนั้น

ท่านไม่ได้พูดว่าเป็น

พระศรีอาริย์

 

แต่ท่านพูดว่า

เป็นผู้หญิง

ซึ่งพวกเราก็ทายกันไป

 

แต่ตอนนี้

เราก็ได้นายกหญิงนะ

 

ชักมีเค้านะ

 

แต่ก็มาแปลกใจ

คำว่า พระ ศรี อาริย์

 

คุณธนา

อ.อุบล ไม่ได้ตามหา

พระศรีอาริย์นะ

แต่อยากรู้ว่า

 

พระศรีอาริย์ที่ว่า

มาเกิดแล้วนั้น

 

มีลักษณะอย่างไร

 

ให้พวกเราพอจะสังเกตได้

บ้างจ๊ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 17:49:33


ความคิดเห็นที่ 17 (1570941)

 

คุณธนาช่างสรรหาเรื่องมาให้พิศวงอยู่เรื่อย รออ่านตอนต่อไปอยู่ค้า

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 20:34:03


ความคิดเห็นที่ 18 (1570981)

ขอโมทนาสาธุด้วยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธรรมนูญ นาคสุข (naksuk4-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 20:57:25


ความคิดเห็นที่ 19 (1571062)

ท่านจะมาทั้งธรรมฤทธิ์และอิทธฤทธิ์

 

อยากรู้เหมือนกันคะ ใครนะ มีทั้งธรรมฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์

รอคุณธนามาบอกด้วยคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 21:34:55


ความคิดเห็นที่ 20 (1571143)

พระเจ้าอยู่หัวของเราหรือเปล่าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อมรา อุตม์ทอง (ammara_ut-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 22:35:11


ความคิดเห็นที่ 21 (1571144)

กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผม สำหรับผมแล้ว พระศรีอาริย์คือพระนามของพระองค์ท่าน และไม่ว่าใครจะเรียกชื่อท่านว่าอย่างไรก็ตามแต่ ตัวผมเองมั่นใจแล้วว่าท่านมาเกิดแน่นอนแล้ว และด้วยสมองขี้เลื่อยนี้ ผมประมวลเหตุการณ์หลายๆอย่างแล้ว ก็เลยเกริ่นไว้ในกระทู้#1ว่า ทุกอย่างที่จะลงในเพื่อนๆได้อ่าน ไม่ได้อยู่ไกลตัวเราเลย และทุกอย่างมีครบที่บ้านสวนพีระมิดแห่งนี้

ผู้มาทำหน้าที่หลังกึ่งพุทธกาลนี้ ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นชัดเจน และช่วงเวลานี้ก็เป็นเวลาที่ท่านผู้นี้กำลังหน้าที่ปรับเปลี่ยนจิตใจของผู้คนเพื่อนำผู้คนกอบกู้ชาติ บ้านเมืองและเยียวยาปัญหาต่างๆของประเทศไทยและของโลกใบนี้สู่สมดุล และอาจใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อดึงจิตใจผู้คนทั้งโลกให้ตื่นขึ้นมา เพราะจุดหมายของท่านผู้นี้มิใช่แค่ประเทศไทย แต่เป็นทั้งโลก นั่นหมายถึง มหาจักรวาล ทั้งหมด หากประเทศไทยพัง โลกใบนี้ก็พัง และทั้งมหาจักรวาลก็จะพังทั้งหมดด้วย

หากญาติธรรมทุกๆท่านสังเกตดีๆว่าธรรมทานจากบ้านสวนที่เบื้องบนหรือเพื่อนต่างดาวมาสื่อพักหลังๆนี้ ที่เพื่อนๆเคยลงไว้ให้อ่านหลังจากฝึกสมาธิคืนวันเสาร์ต่างๆ บอกนัยยะทุกอย่างไว้หมดแล้ว ว่าตอนนี้ทุกดวงดาวที่มาช่วยกอบกู้โลกใบนี้ได้มาประจำการที่บ้านสวนฯ นั่นคือศูนย์บัญชาการใหญ่ที่สุดของจักรวาลอยู่ที่บ้านสวนฯ และจะมีผู้ทำหน้าที่อันสำคัญที่สุดของมหาจักรวาลในห้วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่นี้คอยอยู่ ท่านผู้นี้ก็คือผู้ที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของคนทั้งโลกในเวลาต่อมา ซึ่งเบื้องบนเคยสื่อไว้ก่อนหน้านี้แล้วประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ที่ผ่านมา

ดังนั้นในความเห็นส่วนตัวผม ที่ผมเขียนตัวหนังสือสีแดงๆไว้ว่า ไม่ต้องไปตามหากันเน้อ อิอิ เพราะไม่ต้องจริงๆ ผมมั่นใจเหลือเกินว่าท่านผู้นี้ไม่ใช่ พระ แต่เป็นผู้หญิงครับ และต้องเป็นผู้หญิงที่มีความเกี่ยวพันธ์กับอียิปต์ พีระมิด และองค์เทพสฟริงซ์ เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาล

และตอนค่ำๆหลังจากที่ได้อ่านกระทู้ของท่านอาจารย์ที่ถามแล้ว ผมก็ลองกำหนดจิตส่งขึ้นไปถามขึ้นมาว่า ท่านผู้ทำหน้าที่นี้ ที่เขาจะเรียกกันอย่างไรก็ตามแต่ ใช่.....หรือไม่ ก็มีเสียงตอบเข้ามาในจิตทันทีว่า ใช่แล้วลูกเอ๋ย ท่านผู้นี้แหละจะเป็นผู้นำเจ้าและทุกคนสู่โลกใหม่ ยุคใหม่  สาธุ 

อิอิ ดังนั้นส่วนตัวผมเอง ทุกอย่างมีครบถ้วนแล้วที่บ้านสวนพีระมิดแห่งนี้ หลายๆอย่างที่คนทั้งโลกค้นหากัน ตั้งตารอคอยกัน ผมว่าอยู่ไม่ไกลพวกเราเลย... สาธุ 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 22:35:19


ความคิดเห็นที่ 22 (1571151)

ต่อจากเมื่อวานนะครับ

มีหลายคนมักจะพูดเสมอว่า ไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อน
ไม่เคยมีพลังจิตอะไรเลย สัมผัสอะไรก็ไม่ได้ คำพูดเหล่านี้ เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้ตนเอง ไม่สามารถก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ มีสภาวะ เป็น 0 ศูนย์ ตลอดเวลา

ที่จริงแล้วเราลืมคิดไปว่า ในอดีตชาติที่เราได้ผ่านพ้นมาแล้ว
นับหมื่นแสนพันล้านชาติ เราเคยเป็นผู้มีความสามารถ ในแขนงวิชาต่างๆ แทบเรียกได้ว่า เกือบทุกแขนงวิชา ที่มีอยู่บนโลกใบนี้
เราเคยเรียนรู้มาแล้วทั้งสิ้น แต่ที่เราระลึกรู้ไม่ได้เพราะการเกิดนั้นในแต่ละชาติ มีแต่ทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
ความทุกข์จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตชาติได้

ดังนั้น คนที่เคยพูดท้อแท้ ว่าตนไม่เคยรู้เรื่องพลังจิต
ไม่เคยฝึกสมาธิ จึงเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

ขอให้ตั้งต้นคิดใหม่ว่า เราเคยเป็นผู้มีพลังจิตมาก่อน (ไม่ต้องไปรู้ว่าชาติไหน) เคยฝึกสมาธิจนช่ำชอง ก่อให้เกิด อภิญญา ญาณปัญญา

ณ บัดนี้ ขอให้พลังจิต พลังสมาธิ ที่เคยเรียนรู้มา จงมาบังเกิด ณ กายจิตชีวิตปัจจุบันของข้าพเจ้า ๆๆๆๆๆๆๆ

เมื่อได้ปรับสภาพแห่งการรับรู้วิชาที่เคยเรียนมาในอดีตภพภูมิ
มาสู่กายจิต ปัจจุบันแล้ว การจะเรียนต่อความรู้ทางศาสตร์แห่งพลัง การสัมผัสต่างๆด้วยประสาทสัมผัสที่หก ก็จะได้ผลอย่างรวดเร็ว ขอให้กระทำให้ได้ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด จากนั้นให้ลองสังเกตุดู ว่าผลที่ได้นั้นเป็นอย่างไร

ข้อสำคัญ อย่าปฏิเสธ ความสามารถที่เราเคยมีมา แม้ว่าเราจะระลึกรู้ไม่ได้ก็ตาม การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) จนช่ำชองเคยชิน ทำให้เราไม่มีโอกาสได้ใช้สัมผัสที่หก คือจิตวิญญาณ ทำให้สัมผัสที่หก ของเราอ่อนแอ

เราต้องตั้งสติเสียใหม่ ถ้าอยากเรียนรู้และสัมผัสเรื่องจิตวิญญาณ ของเราในต่างภพภูมิ ทุกอย่างจะต้องไม่มีข้อจำกัด
ของช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา

เมื่อรู้สึกเช่นนั้นได้ เราก็จะสามารถดึงความสามารถพิเศษที่เราเคยมี มาใช้กับปัจจุบัน และต่อยอดองค์ความรู้ทางจิตได้มากยิ่งขึ้น

จะเรียกว่า เป็นการนึกคิดจินตนาการก็ได้ แต่สิ่งที่เรานึกคิดจินตนาการ จดจ่ออยู่นี้ มันย่อมเกิดขึ้นเป็นจริงได้ในที่สุด

(ประกอบองค์ความรู้สื่อผ่านนักเขียน ของท่าน โนวา อนาลัย)

เคล็ดลับมันซ่อนอยู่ตรงนี้เอง ไม่ลองก็ไม่รู้

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 22:57:58


ความคิดเห็นที่ 23 (1571152)

พลังจักรวาล ก็ไปเหมือนหลาย ๆ วิชา เช่น โยคะ กำลังภายใน ลองคิดตามหนังจีนก็คงจะรู้จักกันดีครับ หรือปราณ หยิน-หยางของจีน และฤาษีดัดตนของไทยด้วยครับ รวมถึงพลังจิตแต่ต่างอยู่ที่ พลังจักรวาล เป็นพลังจากนอกโลกควบคุมการดำเนินของโลก แต่ พลังจิต นั้นอยู่ภายในตัวเรา ซึ่งคุณสมบัติของวิชาพลังจักรวาลเกิดจากแห่งพลังงานที่ไม่เสื่อมสลายในจักรวาล จะเปรียบเทียบก็คือ พลังดึงดูดของแม่เหล็กที่ไม่เสื่อมสลายเป็นพลังงานที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ แต่พลังงานนั้นจะมีกำลังสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของวัสดุที่ถูกสร้างขึ้น ส่วน พลังจักรวาลนั้นมาจากบ่อพลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างอนันต์ และมีพลังงานอย่างไร้ขอบเขต

พลังงานจักรวาล ควบคุมการทำงานของชีวิต จะมี ประตู อยู่ 7 ประตู เรียกว่า จักระ เอาไว้เปิดรับพลัง ส่วนใหญ่คนจะปิด ร่ายกายจึงไม่สามารถรับพลังงานใหม่เข้าไปได้ ร่างกายเรามีพลังงานห่อหุ้ม หลายคนคงรู้จัก ออร่า กันดีครับ บางคนเรียกว่า กายทิพย์ ซึ่งสามารถแยกสีออกไป แต่ละบุคคล

พลังจักรวาล ช่วยให้ร่ายกายของเราสามารถเดินพลังที่บกพร่องหรืออุดตัน ให้ปรอดโปร่ง และควบคุมระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้เป็นปกติได้ จนทำให้อาการบาดเจ็บหรือเจ็บปวด หายไปได้ น่าสนใจทีเดียว

จักระ ทั้ง 7 นี้ทำหน้าที่ควบคุม จิต จิตใต้สำนึก อารมณ์ ปัญญา เป็นต้น เซลล์พิเศษของสมอง เรียกว่า ไมโครเซลล์ ไมโครเซลล์นี้ จะฉายแสงสีเหลืองเป็นประกายและสั่นไหวอย่างรุนแรง เป็นหลักการสั่นไหว เมื่อผู้ฝึกสมาธิ และจะสั่นไหวแรงขึ้น เมื่อ ฝึกในระดับที่สูงขึ้น จนขยายไปทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายในทั่วร่าง และถ้าหากผู้ฝึกสามารถสั่งสมเพิ่มพลังงานให้มากขึ้น ไมโครเซลล์เหล่านี้ จะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า กายทิพย์ และกายทิพย์นี้ เป็นเหมือนเครื่องมืออเนกประสงค์เลยทีเดียว บางที่อาจสร้างความมหัศจรรย์ของมนุษย์ได้ครับ

จากหลัก การสั่นไหว มากับพลังจักรวาล มาอีกหลักหนึ่งคือ การหมุน หรือการเคลื่อนไหวเป็นทรงกลม ดูดพลังจักรวาล เข้ามาเพื่อเป็นกลไกการทำงาน คนโบราณได้ค้นพบว่า รูปทรงต่าง ๆ บางรูปเปล่งหรือปล่อยพลังจักรวาลออกมาเองโดยอัตโนมัติ และแรงกว่าธรรมดา ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังจักรวาลเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก และเป็นทรงกลมที่หมุนอยู่ตลอดเวลา เมื่ออนุภาคมาเกาะตัวกันมันก็หมุน โดยเคลื่อนไหวของอนุภาคเหล่านี้ก็จะเกิดการถ่ายเทพลังงาน และนำไปสู่รูปทรงที่ต่างกันย่อมก่อให้เกิดคลื่น ของจักรวาลที่ต่างกันออกไป

ปราณ เป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งในจักรวาล ดังนั้น ย่อมสามารถนำมันมาใช้เพื่อการพัฒนาชีวิตและจิตวิญญาณของคนได้แน่นอนครับ

การหมุน การหมุน จะถ่ายเทพลังงานตามหลักการสั่นไหวร่วมกัน เห็นได้ชัด ตามตัวอย่างทั่วไป ก็คือ พายุ ไต้ฝุ่น ซึ่งหมุนซ้ายทวนเข็มนาฬิกา และเวลาผ่านไป มันจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การหมุนนี้ ก็คล้ายกับวิชาอื่น ก็คือ ไทเก็ก และ ฝ่ามือมังกรแปดทิศ ก็มีการเคลื่อนไหว เป็นวงกลม และถ้ายิ่งฝึกวิชามังกรแปดทิศ พลัง รวมถึง ดูดซับพลังจักรวาลด้วยแล้ว พลังก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณเลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:01:15


ความคิดเห็นที่ 24 (1571156)
image

พลังจักรวาล หัวใจก็คือเรื่อง จักระ แปลว่า วงล้อหรือธรรมจักรที่เราได้ยินกัน จักระนี้มีอยู่ 7 จุดด้วยกันครับ

 

จักระที่ 1 ตั้งอยู่ระหว่างทวารหนักและอวัยวะสืบพันธุ์ มี สัญลักษณ์เป็นดอกบัว 4 กลีบ มีชื่อว่า มูละธารณะ จักระนี้แสดถึงรากฐานของตนเอง สัญชาติญาณแห่งการอยู่รอด ความคิดสร้างสรรค์ และการมองโลกในแง่ดี


จักระที่ 2 ตั้งอยู่ ที่ปลายกระดูกก้นกบชิ้นสุดท้าย มี สัญลักษณ์เป็นดอกบัว 6 กลีบ ชื่อว่า สวาธิษฐานะ จักระนี้แสดงถึงความต้องการที่แรงกล้า การสืบเผ่าพันธุ์

จักระที่ 3 อยูที่ กระดูกสันหลังระดับเอวที่ตรงข้ามกับสะดือ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 10 กลีบ มีชื่อว่า มณีปุระ จักระนี้ แสดงออกถึงพลังอำนาจและความมีสติ

จักระที่ 4 อยู่ที่ กระดูกสันหลัง ระดับเดียวกับหัวใจ มีสัญลักษณ์ เป็นดอกบัว 11 กลีบ ชื่อว่า อะนาหตะ จักระนี้แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือความรักความเมตตา

จักระที่ 5 ตั้งอยู่บน กระดูกสันหลังบริเวณต้นคอ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 16 กลีบ ชื่อว่า วิศทะ จักระนี้แสดงถึงความรัก ความสมดุล ของสติปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ

จักระที่ 6 อยู่ตรงกลางหน้าผาก เหนือหว่างคิ้ว มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 2 กลีบใหญ่ และกลีบย่อยอีก 100 กลีบ ชื่อว่า อะชะ จักระนี้แสดงถึงการพัฒนาจิตระดับที่สูง ความมีสติ ความรู้แจ้ง จุดนี้ เปรียบเสมือนเป็นตาที่ 3 หรือตาทิพย์ ของมนุษย์และเป็นจุดเดียวกับต่อมไพนิล

จักระที่ 7 อยู่จุดที่สูงที่สุดของศีรษะ สัญลักษณ์ดอกบัว 1,000 กลีบ ชื่อว่า สหสราระ แสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัว และการหมดกิเลส จักระที่ 7 หรือ จักระ มงกุฎ อยู่ส่วนบนของสมองเรียกว่า คาเวอร์เนียส เพลกซัส ณ ตำแหน่งนี้ ชื่อว่าทำให้เกิดปัญญาความรอบรู้ หน้าทำหลักของจุดนี้ ระบบประสาทศูนย์กลางบัญชาการใหญ่ในการสั่งการของร่างกายทุกชนิด

เทคนิคการดูดซับพลังจักรวาล ทุกคนคงรู้จักปิรามิดเป็นอย่างดีครับ บ้างก็รู้จักพลังปิรามิดอยู่บ้าง ปิรามิดมีพลังเหมือนลึกลับและซ่อนเร้นแฝงอยู่ ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรยฺ์ที่สุดของโลกมีผู้ทดลองเกี่ยวกับมันมาตลอด ร่างกายมนุษย์ก็มีหลักการใช้นำพลังมาใช้ไม่แตกต่างจากรูปทรงปิรามิดเช่นกัน เช่น การรับพลังจากยอดบนสุด (จักระที่7) การเก็บสะสมพลังณ.ความสูง 1 ใน 3 ของปิรามิด (จักระที่ 3 ในท่านั่งสมาธิ) เป็นต้น

ปิรามิด นอกจากเป็นสถานที่เพิ่มพูนพลังจักรวาลให้กับโลกแล้ว ยังช่วยทำให้ส่งเสริมพลังภายในให้กับสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ซึ่งปิรามิดนี้มีหน้าที่เปรียบเสมือนเลนส์ รับเอาพลังจักรวาล ทั้งภายนอกโลก และพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกด้วย

ตำแหน่งของจักระเป็นเพียงจุดอ้างอิงตามแนวกระดูกสันหลังเท่านั้นครับ จริงๆมีอีกหลายหมื่นจุด ตามฝ่ามือตามนิ้วอีกมากมายอาจารย์กิติชัยบอกว่ามีถึง 80,000 จุดตามร่างกายของเรา
พลังจิต และ พลังจักรวาล ล้วนสัมพันธ์เชื่อมโยงและเป็นหนึ่งเดียวกัน

 
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:06:48


ความคิดเห็นที่ 25 (1571157)
image

การรับพลังจักรวาล ก็คือการรับเอาอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เข้ามาในร่างกายเรานั่นเอง..

นักปราชญ์จีน ค้นพบว่าการทำงานในร่างกายคนเรานั้นเป็นดั่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิตแบบธรรมชาติที่ยอดเยี่ยม มีพลังหมุนเวียนในร่างกายในลักษณะ หยิน-หยาง

เมื่อเราหายใจลึกๆยาวๆ พลังงานจะผ่านเข้าสู่ร่างกายโดยจะเริ่มต้นที่หน้าผาก ลงมาสู่จมูก สู่ปลายคาง ลงสู่ลำคอ ผ่านกลางหน้าอกสู่หน้าท้อง สะดือลงสู่อวัยวะเพศ จากนั้น พลังหยินเริ่มไหลย้อนกลับ ขึ้นสู่ด้านหลัง ผ่านก้นกบ สู่กระดูกสันหลังขึ้นสู่ท้ายทอย ผ่านหลังไปสุดที่กระหม่อม พลังหยิน-หยาง ไหลวนเป็นวงกลมครบวงจรเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าสถิตให้กับร่างกายมนุษย์ทุกคน

ในอดีตเหล่านักพรต ที่มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุความเป็นเซียน ต้องฝึกวิชากำลังภายในที่ล้วนต้องเริ่มต้นด้วยการ ฝึกการหายใจเข้า-ออก เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการหมุนเวียนลมปราณเหมือนสายพานวิ่งจากด้านหน้ากลับขึ้นสู่ด้านหลัง

เมื่อใดที่ร่างกายจิตใจสมดุลที่สุด จิตวิญญาณที่ละเอียดก็สามารถเหนี่ยวนำพลังงานต่างๆไหลผ่านตัวหรือสื่อสารกันได้ทันที โดยมี"สนามแม่เหล็กโลก" อยู่ตรงกลาง เพื่อชี้ทิศทางของพลังงานต่างๆ จากดวงอาทิตย์ ดวงดาวบนท้องฟ้า จากทุกๆจุดทุกๆดวงสัมพันธ์กัน และยังมี"ดาวหาง"ทำหน้าที่เป็นสื่อนำ"พลังประจุ หยิน-หยาง"มาถ่ายเทให้ตามวงโคจรอีกด้วย...

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:09:01


ความคิดเห็นที่ 26 (1571158)

 พระศรีอาริย์ที่ว่า

มาเกิดแล้วนั้น

 

มีลักษณะอย่างไร

 

ให้พวกเราพอจะสังเกตได้

บ้างจ๊ะ

999999999999999999999999999

อาจารย์ขา หนูไอซ์คิดว่าหนูพบท่านแล้วนะคะ

ท่านมีเมตตามากและท่านแสดงธรรมฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์

ปรากฏให้เห็นเสมอๆ

ไม่ต้องตามให้ที่ไหนแล้วค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:09:52


ความคิดเห็นที่ 27 (1571161)
image

ร่างกายมนุษย์ทุกอณูได้รับการออกแบบ และผ่านการ Q.C.จากสวรรค์

มนุษย์บนโลกนี้มิใช่เหตุบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นหญิง เป็นชายเราต่างเป็นผลิตผลของการแปรรูปพลังงาน แต่หญิงนั้นเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุด พัฒนาสูงกว่าชาย 1รุ่น

ฟันของมนุษย์ถูกถอดแบบมาจากวงแหวนสนามแม่เหล็กโลก (Van allen Belt) ที่มีประจุขั้วบวก-ลบ วิ่งสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เป็นต้นแบบฟันในปากของมนุษย์ ซึ่งมีฟัน 32 ซี่ บน 16 ล่าง16 ดั่งเครื่องยนต์ 32 วาวล์ การถอนฟันซี่ใดซี่หนึ่งออกเป็นการทำลายระบบกระแสแม่เหล็กทั้งระบบ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานไม่เต็มสูบ

 
โครงกระดูกเราถูกกำหนดโดยสภาวะสนามแม่เหล็กโลก (magnetosphere) กับแรงลมสุริยะ (Solar wind) ประกอบกับแรงเหวี่ยงหมุนออกจากศูนย์กลางแก่นโลกที่หมุนรอบตัวเอง ก่อรวมตัวกับมวลสารโลหะธาตุลึกใต้ศูนย์กลางแก่นของโลก

ดวงตาของเรา ถอดแบบมาสภาวะของแสงดวงอาทิตย์ ทุกครั้งที่เราหลับตาภาพปรากฎในหนังตาใน ก็คือ ระบบสภาวะของดวงอาทิตย์ต้นแบบ

ระบบมดลูกมารดาถอดแบบมาจากสนามแม่เหล็กโลกเช่นกัน มนุษย์อยู่ในครรภ์มารดา 280 วันจนคลอดจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวคือ ตัวอสุจิ มนุษย์ได้ย่อระยะเวลาลงเท่ากับเวลาวิวัฒนาการในอดีต 1 วันในครรภ์=10 ล้านปีบนโลก เป็นผลจากธรรมชาติที่ย่อส่วน และบรรจุข้อมูลพื้นฐานของการแปรรูปทุกขั้นตอน (โอกาสของมนุษย์ที่จะกลับคืนสู่สวรรค์ชั้นสูงสุดนับว่ายากมาก หนึ่งในร้อยล้าน ยากพอๆกับอสุจินับล้านที่จะผ่านเข้าสู่มดลูกเพื่อปฎิสนธิเพียงหนึ่งเดียว)

"ธรรมชาติ" ได้ให้อุปกรณ์สำคัญที่สุดกับมนุษย์ก็คือ "สมอง" ด้วยระบบสมองนี้เราสามารถพัฒนาสติปัญญาขณะอยู่บนโลก ให้เข้าใจต้นกำเนิดที่แท้ของเรา ที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆไม่สามารถทำหรือศึกษาได้
มนุษย์เท่านั้นที่มีมันสมองสูงสุดที่ค้นหาคำตอบ และเข้าใจที่มาที่ไปของตนเอง ซึ่งเป็นภาระกิจสูงสุดเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิต เพื่อจะได้เข้าใจรู้แจ้งในเจตนารมณ์ของการได้เกิดเป็นมนุษย์
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:11:24


ความคิดเห็นที่ 28 (1571163)
image

 

เอกภพและจักรวาล ท้องฟ้า ความมืด ความว่าง ล้วนเป็นที่มาของเรา เป็นต้นตระกูลแห่งคลื่นความถี่ คือผู้กำหนดต้นแบบของคลื่นจิต คลื่นสมอง และคลื่นจิตวิญญาณ ที่ถูกห่อหุ้มด้วยร่างกายทำให้เรามีองค์ประกอบบริบูรณ์ในความเป็นมนุษย์

แต่เดิมเมื่อเรายังเป็น"พลังงาน"อยู่บนท้องฟ้านั้น คลื่นกระแสความถี่ทุกระดับ ล้วนบริสุทธิ์ ไร้ข้อมูล ไร้เนื้อหา ไร้การบันทึกรหัส มีคุณสมบัติเป็นกลาง ไร้ดี-ไร้ชั่ว ไร้ชื่อ ไร้สังกัด ไร้พรมแดน...

ต่อเมื่อเริ่มจุติเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายในวินาทีแรก ของการปฎิสนธิ คลื่นไร้สังกัดนี้เริ่มจุติร่วมกับปัจจัยของการเกิด พัฒนาตนเองหมุนย้อนกลับ นับหนึ่งใหม่ทันที นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางโคจรเข้าสู่ความเป็น"คน" กลายเป็นที่มาแห่งวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่งขึ้นมา

ร่างกายเราได้รับโครงสร้างโดยปฎิกริยาของสนามแม่เหล็กบรรจบกับลมสุริยะบนท้องฟ้า ทำให้สัดส่วนร่างกายเราได้ 1:7 ความกว้างต่อความสูง หรือขนาดฝ่าเท้า 1คูณ 7 เท่ากับความสูงของคนเรา

เราได้รับอิทธิพลจากดวงจันทร์ ด้วยแรงดึงดูดต่อระบบหมุนเวียนโลหิต และเหนือขึ้นไปเราได้รับอิทธิพลของดาวนพเคราะห์ทั้งหมดในระบบสุริยะจักวาลโดยเป็นปัจจัยกำหนดสภาวะรูปแบบของจิตใจ และวงโคจรของดวงดวงต่างๆ เป็นผู้กำหนดรหัสเซลล์ประจำตัว DNA ของแต่ละคน ตามวัน เดือน ปีเกิด เพราะ "ดาวต่างๆทำมุมองศา" ทำให้เกิดคุณสมบัติของสนามแม่เหล็กเฉพาะตัวขึ้น

จากนั้นเรายังได้รับอิทธิพลจาดดวงอาทิตย์ในรูปของกระแสแม่เหล็กจากจุดดับบนดวงอาทิตย์ประจำปีเกิด ที่กำหนดคลื่นความถี่ลงในธาตุ ในลักษณะของจุดเด่น พรสวรรค์ต่างๆ ตามลักษณะราศี ที่โหราศาสตร์เรียกกล่าว

พลังที่ละเอียดเหนือสุริยะจักรวาลขึ้นไปเป็นพลัง รังสีคอสมิก ซึ่งละเอียดมากที่สุดเป็นรังสีที่กำหนดระบบจุดพลังในร่างกาย เป็นผู้วางโครงร่างของวงจรประจุแม่เหล็กไฟฟ้า ในอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ตับไต กระเพาะ หัวใจ กล้ามเนื้อต่างๆ (สัมพันธ์กับจักระทั้ง 7 ในร่างกาย)

สรรพสิ่งบนท้องฟ้า ต่างล้วนแฝงจุติรวมอยู่ในกาย ฉะนั้น เมื่อเวลาขากลับ คลื่นกระแสจิตวิญญาณควรจะกลับไปในสภาวะบริสุทธิ์อีกครั้งเช่นกัน แหล่งพลังงานบนท้องฟ้าที่กระจายลงมาสู่มนุษย์บนโลก เราเรียกว่าเป็นพลัง "หยิน" หรือสภาวะไร้รูป พลัง หยิน-หยาง ทำงานเป็นคู่และสมดุลกันเสมอ
(ปรัญญาสำคัญของจีน รูปร่างเป็นพลัง "หยาง" พลังหล่อเลี้ยงเป็น "หยิน")
 
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:14:41


ความคิดเห็นที่ 29 (1571165)
image

ลองดูภาพนี้ครับ แรงดันของลมสุริยะ (Solar Wind) กระทำต่อสนามแม่เหล็กโลก (Magnetosphere) พร้อมกับแรงหมุนรอบตัวเองของโลก จะได้สัดส่วนราว 1:7 พอดี (ส่วนหัว 1ส่วน ส่วนลำตัวอีก 7 ส่วน) เหมือนรูปร่างมนุษย์ทีเดียวเชียวครับ.. มนุษย์ : คือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ตอนที่เรามาเกิดก็พุ่งหัวลงมาสู่ในครรภ์มารดาแบบนี้เลยครับ

ถ้าเป็นดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ โครงสร้างแบบนี้ก็จะต่างออกไปอีกครับ.. ยกตัวอย่างเช่นที่"ดาวพฤหัส"ครับ..  เมื่อใดที่พลังสนามแม่เหล็กแรงเท่ากับ Solar Wind หรือ เท่ากับ 1:1เมื่อนั้นรูปร่างเรา ก็จะเป็นคล้ายรูปสัตว์เลี้อยคลานสี่เท้า แบบรูปข้างล่างนี้ล่ะครับ! ถ้ามีสิ่งมีชีวิตคาดว่าอยู่อาจจะมีจะมีรูปร่างเช่นนั้นด้วยครับ..
 

ถ้าเป็นดาวพุธ (Mercury) ก็จะมีลักษณะคล้ายแมลงทับ แมลงสาบ บางข้อมูลทราบว่า ดางจันทร์จะบอกความสมดุลตามธรรมชาติแห่งการกำเนิดด้วย เช่นดาวดวงใดมีบริวารดวงจันทร์มากหรือน้อย สิ่งมีชีวิตนั้นๆจะมีลูกเท่านั้น เช่นโลก จะมีลูกหรือบริวารเพียงหนึ่งเดียว ดาวบางดวงสิ่งมีชีวิตด้อยพัฒนาจะมีลูกหลายๆตัวพร้อมกัน
 
คัมภีร์ อิ- ชิง ของจีนกล่าวว่า ระบบสุริยะ...

ที่แท้ต้องคำนึงทั้งระบบครบวงจร ดวาทุกดวงสำคัญมีความเท่ากันหมด

ดาวพูลโต โคจรเข้าวงในสู่..

ดาวเนปจูน (Neptune)ทำให้พลังโคจรกระเถิบเข้าเข้าหาศูนย์กลางมากขึ้น และอัดกระแสแม่เหล็กเพิ่มขึ้นสู่ ดาวยูเรนัส (Uranus) แนวโคจรบีบตัวยิ่งขึ้น

กระแสโคจรผ่านเข้าสู่ ดาวเสาร์ (Saturn) รูปร่างดาวเสาร์มีวงแหวนจากอิทธิพลการดูด กลั่นกรองสะเก็ดสนามแม่เหล็ก ให้มีความถี่ละเอียดและสมดุลขึ้น

จากนั้นกระแสแม่เหล็กขาผ่านเข้าสู่ ดาวพฤหัส (Jupitor) ซึ่งเป็นส่วนกลั่นกรอง มีดวงจันทร์บริวารมากมายที่โคจร ผลจากการกรองส่วนเกินนี้ จึงปรากฎเป็นรูปวงแหวนอ่อนๆ รอบดาวพฤหัส ถัดมาเป็นแนวดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt) ด่านนี้เป็นดังตะแกรงกรองเศษมวลสารอีกครั้ง

ดาวเคราะที่อยู่บริเวณนี้จะสลัดดวงจันทร์บริวารที่อ่อนแอออกไป ดาวอังคาร (Mars) อยู่ในบริเวณนี้ ถัดจากแนวนี้จะบังคับให้วงโคจร ได้แนวระนาบราบเรียบมากขึ้น กระแสแม่เหล็ก 2 มิติ แปรเปลี่ยนเป็นกระแสแม่เหล็ก 3มิติ

เมื่อกระแสเหล่านั้นมาถึง"โลก"ก็จะได้ความสมดุลของ หยิน-หยาง พอเหมาะพอดี (7:1) โลกเราจึงมีบรรยากาศและสภาวะที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ มีปัจจัยเอื้อให้ได้รับพลังหยิน(ขาเข้า) และพลังหยาง(ขาออก)จากศูนย์กลางคือดวงอาทิตย์ โดยมี"ดวงจันทร์"เป็นตัวถ่วงดุลปรับพลัง หยิน-หยาง ไม่ให้กระแสเข้ามากเกิน

ดาวศุกร์และดาวพุธ เป็นคลังเชื้อเพลิงช่วยเสริมเติมพลังเร่ง ระบบการเผาไหม้ (Combustion) ขั้นสุดท้าย ที่มี"ดวงอาทิตย์"เป็นเตาใหญ่สันดาป ดวงอาทิตย์จึงทำงานสองหน้าที่ เป็นทั้งผู้รับพลังขาเข้า และแปรรูปเป็นพลังขาออก แผ่รังสี (Radiation) 7ระดับ (Fision) กลับกระจายไปหล่อเลี้ยงระบบสุริยะอีกครั้ง ในแง่วิทยาศาสตร์

ดาวหางคือ ตัวอิเลคตรอน (Electron) ที่โคจรรอบนอกรวมพลังสะสมแปรรูปสู่ดาวเคราะห์ต่างๆ ส่งเสริมกัน เพื่อการดำรงอยู่โดยขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้

ในอนาคตอันใกล้นี้โลกก็จะโคจรเคลื่อนตัวเข้าสู่พลังงานระบบใหม่ทำให้ดุลหยิน-หยาง มากเกินพอดี สรรพสิ่งก็จะแปรเปลี่ยนไปตามวาระ ไม่มีใครได้รับการยกเว้น..
(Pluto) เป็นด่านแรกที่พลังปฐมภูมิละเอียด (Cosmic Ray)จากภายนอกรวมตัวเข้ามาจุติเป็นรูปมวลสาร เปรียบดังปลั๊กไฟที่เสียบออกมาจากต้นกำเนิด กระแสจะถูกส่งเข้าด้านใน
เริ่มต้นที่
 

เรื่องพลังจักรวาลนี่ มีที่มาที่ไปเกี่ยวข้องกันเป็นระบบจริงๆครับ พลังงานที่ลงมาในโลกก็ยังมากำหนดพื้นฐานสังคมให้อีก อ่านแล้วจะเห็นภาพ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:20:16


ความคิดเห็นที่ 30 (1571167)

การฝึกเรื่องการหายใจแบบสฟิงคซ์

ดึงลมหายใจเข้ายาว ช้าๆ อ่อนนุ่ม 15 วินาที คลายลมหายใจออกช้าๆ นุ่มนวล 15 วินาที หลายคนปอดไม่เคยรับลมมากมายขนาดนี้ เกรงว่าจะเกิดอาการปอดแหก เสียก่อน เลยต้องค่อยเป็นค่อยไป บางคนหน้าแดงกล่ำ ก็มี

การหายใจแบบนี้ทำให้ได้พลังงานถึง 1,200 แคลอรี่ ขณะที่การขึ้นลงบันได ได้ 600 เท่านั้น ประโยชน์คือสมองสามารถรับออกซิเจน ได้เพิ่มมากขึ้น เกิดอาการใสปิ๊ง ขึ้นมาได้ และช่วยในคนที่เป็นภูมิแพ้ /ไซนัส ให้หายไปได้ในที่สุด

เรื่องสำคัญอีกเรื่อง คือการกำหนด ดึง stem cell ออกใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งทุกคนก็ได้ทดลองปฏิบัติกัน stem cell สามารถคืนพลังชีวิตให้กับอวัยวะที่สึกหรอ และทำให้ชีวิตยืนยาวนาน คงสภาพความเป็นหนุ่มเป็นสาว ให้ยืนยาวนานไปได้อีกมากมาย จนลืมแก่(ผมว่าเอง)

ช่วงก่อนจะจบการบรรยาย/ปฏิบัติ   อาจารย์ได้มองออกไปทางหน้าต่าง มีลมแรงและฝนได้ตกลงมา และบอกพวกเราว่าภัยพิบัติอันดับแรกที่จะมาก่อน คือภัยจากลมให้พวกเราสังเกตุท้องฟ้า และระมัดระวังกัน
 

มีเรื่องมาเล่าครับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาอาจารย์บอกว่าถ้าโดนมีดบาดไม่ต้องกดที่แผลให้แค่แตะเบาก็พอ ขอยืนยันว่าจริงครับ เหตุเกิดเมื่อวานตอนเย็นผมปลอกผลไม้ลูกแรกตรงขั้วมีก้านต้องกดแรง พอลูกที่สองก็กดมีดแรงขึ้นกับเข้าง่ายนิ้วกลางหลบไม่ทันโดนเข้าปลายนิ้วระหว่างข้อที่หนึ่งและข้อที่สองเลือดออกทันที แต่มีสตินึกถึงคำสอนของอาจารย์ กำหนดจิตขอพลังที่จักรเจ็ดเอามือแตะเบาๆที่เหนือแผลประมาณไม่ถีงนาทีเลือดก็หยุด แผลติดเองไม่ได้กดที่แผลเลยถูกน้ำก็ไม่แสบ ตื่นมาตอนเช้าเห็นแค่เป็นเส้นแดงๆเครื่องหมายถูกด้านยาว 1.5 ซม ด้านสั้น0.4ซม แปลกมากครับหายเร็วจริงๆ สิ่งที่อาจารย์สอนจริงแท้แน่นอน ใครยังสงสัยลองดูได้นะครับ ฝึกหายใจเข้า 15 วินาที ออก 15 วินาที (เป็นมาตรฐาน) ไม่จำเป็นต้องหายใจเข้าถึง 30 วินาที หายใจออก 30 วินาที เพราะจะทำให้เหนื่อยมากเกินไป ควรฝึกหายใจอย่างน้อยต่อเนื่องกันอย่างน้อย วันละ 5-10 นาที (ไม่นับรวมกับการทำสมาธิ
 
ขอให้พยายามฝึกให้บ่อยๆ ลมหายใจจะนิ่ง สติจะตั้งมั่นและรวมสมาธิได้เร็ว วิชานี้มีอยู่ด้วยกันหลายขั้นตอน ส่วนสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติ ไม่ใช่การมานั่งเรียน จดและฟังบรรยายเหมือนที่ผ่านมา
 
ทบทวนวิธีปฏิบัติ
1. พยายามไล่ลมออกจากท้อง ด้วยการหายใจออกจนท้องแฝบ
2. เริ่มหายใจเข้าช้าๆ เนิบนาบ นุ่มนวล ดึงลมหายใจเข้าทีละน้อย จนสุดลมแล้วหยุดไว้นิดหนึ่ง
3. ต่อจากนั้นหายใจออกช้าๆ ทำเหมือนตอนหายใจเข้า
4. ไม่มีการกลั้นลมหายใจ (อาจเริ่มต้นหายใจเข้า 10 วินาที / หายใจออก 10 วินาที)
5. เมื่อทำบ่อยเข้าร่างกายจะเริ่มปรับสภาพ การหายใจทั้งเข้าและออกที่ถูกต้อง จะเบาสบาย ไม่มีอาการเกร็งลม
6. ทำเช่นนี้ไปประมาณ 5-10 นาที ทั้งนี้แล้วแต่ความสามารถในการกักลมในปอดของแต่ละท่าน บางท่านก็ไม่สามารถสูดหายใจได้ลึก (ทำเท่าที่ทำได้)
7. สามารถทำในท่านอนได้ จะเกิดผลดีกับร่างกายของท่าน หากหลับไปกับลมหายใจยาว
8. ฝึกทำบ่อยๆ เท่าที่ต้องการ เริ่มหัดทำใหม่ๆ ควรทำวันละหลายๆ ครั้ง
 
สายวิชาพลังเอกภพ ศึกษา ฝึกฝน เพื่อสัมผัสกับพลังครูบาอาจารย์สูงสุด เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะรู้ได้ด้วยตนเอง บางครั้งสิ่งที่เห็นด้วยตาเนื้อ เข้าใจด้วยจิตอันเป็นสามัญมนุษย์   ก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นอย่างที่เข้าใจ จนกว่าการฝึกฝนของเราจะสมบูรณ์ตามระบบที่วางไว้ เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ต้องมีใครมาบอก ก็ย่อมเข้าใจได้ด้วยตนเอง ด้วยตาในและจิตอันพิสุทธิ์แล้ว
 
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:26:36


ความคิดเห็นที่ 31 (1571169)
image

ตัวอักษรอียิปต์แต่ละตัวสวยมาก อาจมีบางคนอ่านได้ ลองระลึกชาติกันดูครับ.. เชื่อว่าแต่ละท่านที่สนใจ อาจเกี่ยวพันยุคสมัยนั้นมาไม่มากก็น้อยล่ะครับ

การได้มาพบกัน หรือได้พบกับครูบาอาจารย์ในวันนี้..จึงไม่บังเอิญครับ

มาทำชื่อของตัวเองให้เป็นภาษาอียิปต์โบราณกันดีกว่า

วิธีทำ...

-ใส่ชื่อช่องที่ 1 เป็นภาษาอังกฤษ เช่น OAT ( ต้องภาษาอังกฤษเท่านั้น )
- คลิก inscribe แล้วรอ
จะปรากฏภาพภาษาอียิปต์โบราณขึ้น เป็นชื่อของคุณเอง... สามารถเซฟรูปเก็บไว้ได้
 
เข้าไปทำตามลิงค์นี้ครับ
http://www.upennmuseum.com/hieroglyphsreal.cgi/
อันนี้ชื่อกับนามสกุล ได้จากอีกเวป http://www.iconsfree.org/free-icons/...-egyptian.html

เมื่อคืนลองฝึกลมหายใจสฟิงคซ์จนหลับไป รู้สึกจิตเกาะอยู่กับกาย ได้พลังชีวิต ดีมากครับ เช้าตื่นขึ้นมาท้องฟ้ายังไม่สว่าง รู้สึกสดชื่น   เลยขึ้นไปกราบพระที่ห้องพระข้างบน    แล้วนั่งสมาธิหายใจแบบสฟิงคซ์ เห็นผู้ชายคนหนึ่งครึ่งตัวหันหลังให้ ดูเหมือนเพิ่งตัดผมมาใหม่ๆรองทรง   คลับคล้ายคลับคลา เหมือนอาจารย์กิติชัยมาก

ความรู้สึกแปลออกมาว่า   ครูอยู่ข้างหน้าพวกเธอ มองเห็นหนทางที่ปลอดภัย ในการที่จะพาพวกเธอไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้ แม้เธอจะเห็นเพียงหลังของครู ก็อย่าได้หวั่นไหว   ครูจะปกป้องสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามา และพาพวกเธอให้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวง   แต่ชีวิตและจิตวิญญาณของพวกเธอ   พวกเธอต้องฝึกและพัฒนากันเอง.
 
เมื่อวานได้คุยกับครู คุยกันนานครับ แต่มีช่วงหนึ่งใกล้เคียงกับพี่เมาท์ มากคือ ครูได้เตือนมา(ผมขอสรุปๆตามความเข้าใจของผมนะครับ อาจจะไม่ตรงทั้งหมด)ว่าให้พวกเราระวังๆตัวกันหน่อย พยายามตั้งมั่นในใจให้ได้  มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่จะเข้ามาหาเราได้ง่ายเมื่อเราชอบออกไปแสวงหาสิ่งต่างๆ บางครั้งคนเราชอบแสวงหาทางใหม่ๆหรือหาไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่มีทางที่ดีที่ถูกอยู่แล้ว ซึ่งทำให้การเดินทางของเรายาวขึ้น และอาจมีอุปสรรคหรืออุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้ หลายๆคนมีศักยภาพที่ดี อีกฝ่ายเขาก็ต้องการตัวดึงไปอยู่หรือทำให้หลงทางได้ ขอให้ยึดพระพุทธเจ้าเป็นหลักชัยครับ  สำหรับการเรียนในระดับที่สูงๆขึ้นไปต้องเน้นการปฎิบัติครับ เปรียบเหมือน ยังฝึกโหนบาร์ด้วยมือสองข้างยัง หล่นตุ๊บๆ อยู่เลยจะไปเรียนโหนบาร์มือเดียว ออกท่าทางพิเศษได้อย่างไร ข้ามขั้นไปครับ พวกเรายังโชคดีที่มีครูมีอาจารย์คอยสอนคอยแนะนำ ให้คำปรึกษา ขอให้ขยันๆฝึกกันนะครับ
 
ขอขอบคุณอาจารย์กิตติชัยมาก ๆ เลยค่ะ ที่คอยติดตามดูแลพวกเราอย่างใกล้ชิด.. และคอยย้ำเตือนจิตวิญญาณของพวกเราไม่ให้หลงทางด้วยความรักและห่วงใยอย่างแท้จริง..

เมื่อเราพบความบริสุทธิ์ ที่สูงสุดแล้ว ควรยึดให้มั่น นำมาเป็นแก่นแท้ หรือเสาหลักให้ได้ และควรรักษาเสาหลักของเราให้แน่นอยู่ตลอด ทุกๆวินาที เพราะยังมีพลังแฝงอื่นๆ ที่จะเข้ามาทำให้เสาหลักของเรานั้นคลอนได้

ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเรื่องลมหายใจสฟิงคซ์ เน้นทำให้บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลานอน เพื่อฝึกการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง จะได้เข้าตนเองและรู้จักตัวตนได้ชัดเจนขึ้น
 
ผมเข้ามาสังเกตุว่ามีใครบ้างที่จะพูดถึงคำพูดของอจ.กิตติชัยที่ท่านย้ำให้เราทุกคนคำนึงถึงคำๆ นี้ "พลังฐานชีวิตและจิตวิญญาณ" แต่ผ่านมาถึง 2 อาทิตย์แล้วก็ยังไม่มีใครที่จะเน้นคำนี้กันเลย อิอิ ไง...ผมรบกวนฝากอธิบายหน่อยนะครับ(คนที่ไม่ได้ไปคราวที่แล้วกัน) แต่เห็นพูดเรื่องของการฝึกลมหายใจสฟิคซ์กันซะส่วนใหญ่ ลองหันมาดูพื้นฐานของชีวิตแต่ละคนก่อนนะครับว่าแต่ละคนมีความสามารถหรือการปฏิบัติในแต่ละวันไม่เหมือนกัน...อย่างที่อจ.กิตติชัยและอจ.จิตราบอกอะครับว่า ในที่นี้ไม่มีคนวิเศษหรือคนพิเศษอะไร แต่พื้นฐานชีวิตและจิตวิญญาณของแต่ละคนต่างกันๆๆ..(จงสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาตัวเองให้มากก่อน พร้อมกับนึกถึงสิ่งสูงสุดที่เราเคารพและนับถือ) สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ....สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆครับ
 
และตลอดไป...."พลังเอกภพยูเรอัส พลังฐานชีวิตและจิตวิญญาณ" เป็นรากเง้าของการปฏิบัติในหน้าที่ของแต่ละคน ที่มนุษย์ทุกคนพึงมี พึงสังวร พึงปฏิบัติ กับตัวเองและต่อผู้อื่น ซึ่งทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ ดูเหมือนว่าไปเน้นในสิ่งที่ไกลตัว วิ่งหากันให้วุ่น ไม่ว่าวิชาความรู้ หรือสิ่งวิเศษศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตาม จนลืมมองว่าแท้จริงแล้วอยู่ใกล้ที่สุด .... ขอให้ทุกท่านจงปฏิบัติในหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ที่สุดตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ 
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:32:54


ความคิดเห็นที่ 32 (1571170)
image

อันนี้เป็นตัวอย่างสัญลักษณ์ของอียิปต์ที่เป็นชื่อ นามสกุล ผมเองก๊าบบ ทำได้แต่ม่ายรู้ว่าแปลว่าไรหว่า 555

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 23:37:09


ความคิดเห็นที่ 33 (1571201)

 ขอบพระคุณพี่ธนามากๆค่ะ

ที่นำข้อมูลความรู้มาให้อ่านกัน

งั้นพระศรีอาริย์ก็คงอยู่ใกล้พวกเราตลอดมาเลยนะคะ

แต่ไม่เคยรู้เอง

พระองค์ท่านช่างใจดี มีเมตตา หาที่สุดมิได้จริงๆค่ะ

เจอแว้วๆๆๆค่า เย้ๆๆๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 04:00:33


ความคิดเห็นที่ 34 (1571243)

ขอบคุณ คุณธนา คะ

ได้แอบลองแปลชื่อภาษาอียิป เหมือนกัน อิอิ

เค้าบอกให้อ่านจากขวามาซ้ายใช่มั้ยคะ แต่ก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฮ่าๆๆ

PATTEERA WANGKAWANMONTIAN

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 10:10:46


ความคิดเห็นที่ 35 (1571270)

โมทนาบุญกับคุณธนาค่ะพี่จะฝึกตามนะค่ะมีคนเคยบอกว่าพี่มีสัมผัสที่ 6 แล้วพี่เคยเห็นคนคอขาดตอนอยู่ป.5 พอตกเย็นคนนั้นก็ตายถูกตัดคอฝังที่ถนนเอเชียระหว่างจ.สุราษฎร์กับจ.นครศรีฯพี่ชอบศึกษาเรื่องอย่างนี้พี่ชอบมากเลยหวังว่าจะมีบุญสัมพันธ์กับบ้านสวนพีระมิดและกัณลยาณมิตรทุกๆท่านพี่ย้ายตามสามีไปจ.ไหนเขาจะว่าพี่บ้าพี่คุยกับใครไม่สนุกเพราะเขาไม่รู้ว่าคุยอะไรเขาไม่รู้เรื่องเซ็ง..คิดว่าหาที่หายอยากจะรู้เจอแล้วค่ะที่คุณธนากล่าวมาพี่เคยสัมผัสมาเกือบหมดแล้วยิ่งพลังจักรวาลเคยรักษาโรคที่เชียงใหม่ ส่วนจี้กง+ไทเก็กก็เคยเรียนที่อยู่ที่จ.สุโขทัยและรู้จักธรรมะที่นี้แหละได้เป็นผู้นำในการปฎิบัติธรรมโดยการเช่าบ้านฝึกทำความดีกันตอนนี้ยังทำกันอยู่เลยมีเพื่อนทำหน้าที่อยู่ค่ะพี่ก็มีที่คิดไว้นานแล้วว่าจะสร้างสถานปฎิบัติธรรมแต่ยังไม่มีงบประมาณส่วนสามีบอกว่าให้สร้างที่ปลายนาหลังบ้าน  สาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 11:22:44


ความคิดเห็นที่ 36 (1571280)

ขออนุโมทนากับพี่ธนา ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 11:50:27


ความคิดเห็นที่ 37 (1571283)

 พระผู้กอบกู้โลก พระเมลิอาร์ พระศรีอาริย์

 ท่านมาเกิดบนโลกนี้แล้ว เป็นผู้หญิง

 ท่านมาเพื่อภาระกิจ

กอบกู้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

มั่นใจ 1000 %

พวกเราได้พบท่านแล้ว

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล (shindo_ploy-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 12:05:20


ความคิดเห็นที่ 38 (1571364)

ขอขยายทวีปแอตแลนติส ด้วยกระทู้ของพี่ชนิดาด้วยนะคะ

มีความรู้มากมายจริงๆ

ขออนุโมทนาบุญกับพี่ชนิดาด้วยค่ะ

http://www.baansuanpyramid.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=baansuanpyramidcom&thispage=7&No=1387868

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 16:41:13


ความคิดเห็นที่ 39 (1571368)

ขออนุโมทนาบุญค่ะ พี่ธนา

โชคดีของเราที่ได้พบก่อนค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น แอ๊ด อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 17:08:28


ความคิดเห็นที่ 40 (1571370)

 อนุโมทนาสาธุกับธรรมทานทั้งหมดของทุกท่านนะครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 17:27:14


ความคิดเห็นที่ 41 (1571737)

 ยุคต่อจากนี้ไปจะเป็นยุคของ"โยคีฆราวาส "

คือไม่ต้องบวชพระก็ปฎิบัติธรรมได้และสามารถบรรลุเป้าหมายทางจิตได้เช่นกัน

 

เพราะยุคนี้ทุกคนมีหน้าที่ ไม่อาจละทิ้งภาระครอบครัว พ่อ-แม่ ได้เหมือนก่อน

 ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นแลเห็นจนขยายวงแห่งความดีงามออกไปให้มากที่สุด

โดยเริ่มที่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก


พระผู้กอบกู้โลกพระเมสิอาร์ พระศรีอารีย์ท่านได้มาเกิดบนโลกนี้แล้ว

ท่านจะมาทั้งธรรมฤทธิ์และอิทธฤทธิ์..

ท่านจะเข้ามาช่วยกอบกู้แก้ไขปัญหาต่างๆของโลกให้ลุล่วง และพร้อมดำเนินไปสู่โลกใหม่ที่สดใส และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของมนุษย์ต่อไปสู่แนวทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น

เน้นย้ำไม่ต้องไปตามหากันเน้อ อิอิ

 

ตอนนี้ทุกดวงดาวที่มาช่วยกอบกู้โลกใบนี้ได้มาประจำการที่บ้านสวนฯ นั่นคือ

ศูนย์บัญชาการใหญ่ที่สุดของจักรวาลอยู่ที่บ้านสวนฯ 

จะมีผู้ทำหน้าที่อันสำคัญที่สุดของมหาจักรวาลในห้วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่นี้คอยอยู่

 


 

ตอน อ.อุบล

ไปพบ ดร.จิตรานะ

ท่านก็บอกแบบนี้เหมือนกัน

 

แต่ตอนนั้น

ท่านไม่ได้พูดว่าเป็น

พระศรีอาริย์

 

แต่ท่านพูดว่า

เป็นผู้หญิง

 

ไม่ต้องไปตามหากันเน้อ อิอิ เพราะไม่ต้องจริงๆ

 

 

ผมมั่นใจเหลือเกินว่าท่านผู้นี้ไม่ใช่ พระ

 แต่เป็นผู้หญิงครับ

และต้องเป็นผู้หญิงที่มีความเกี่ยวพันธ์กับอียิปต์ พีระมิด และองค์เทพสฟริงซ์ เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาล

 

และตอนค่ำๆหลังจากที่ได้อ่านกระทู้ของท่านอาจารย์ที่ถามแล้ว ผมก็ลองกำหนดจิตส่งขึ้นไปถามขึ้นมาว่า ท่านผู้ทำหน้าที่นี้ ที่เขาจะเรียกกันอย่างไรก็ตามแต่ ใช่.....หรือไม่ ก็มีเสียงตอบเข้ามาในจิตทันทีว่า ใช่แล้วลูกเอ๋ย ท่านผู้นี้แหละจะเป็นผู้นำเจ้าและทุกคนสู่โลกใหม่ ยุคใหม่  สาธุ 

อิอิ ดังนั้นส่วนตัวผมเอง ทุกอย่างมีครบถ้วนแล้วที่บ้านสวนพีระมิดแห่งนี้ หลายๆอย่างที่คนทั้งโลกค้นหากัน ตั้งตารอคอยกัน ผมว่าอยู่ไม่ไกลพวกเราเลย... สาธุ 

 

 

****************************************************

 

อนุโมทนาสาธุกับคุณธนาด้วยค่ะ

หนูมั่นใจค่ะอาจารย์ว่าหนูพบท่านแล้ว

ไม่ต้องไปตามหาที่อื่น

 ท่านมีเมตตา มีทั้งธรรมฤทธิ์และอิทธิ์ฤทธิ์ให้เห็นอยู่เสมอค่ะ

 

ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นแลเห็นโดยเริ่มที่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

 

 คือไม่ต้องบวชพระก็ปฎิบัติธรรมได้และสามารถบรรลุเป้าหมายทางจิตได้เช่นกัน

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประภาสิริ ถาวร (มิ้ม) (prapasiri_mim-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 23:42:22


ความคิดเห็นที่ 42 (1571753)

ขออนุโมทนากับคุณธนาด้วยนะค่ะ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รุ่งสุภารัตน์ รุ่งเรือง(ภา) (parungrueang-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-17 01:05:28


ความคิดเห็นที่ 43 (1572205)

อนุโมทนาธรรมทานจากคุณธนาค่ะ

ดิฉันพึ่งฝันเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 15

ว่าตัวเองได้ปีนตึกเพื่อไปดูพระรูปหนึ่ง

แต่เป็นตึก 4ชั่น ปันไดมีคนเบียดกัน

ก็เลยปีนข้างตึก แต่ก็หล่นลง แล้วเห็น

รถตู้ไปรับพระองค์นี้ประมาณชั้นสอง

ตัวเองก็เลยรีบไปดักอยู่ตรงหัวกระได

เพราะรู้ว่าพระท่านต้องผ่านไปหารถตู้

พอพระออกมากลับเป็นผู้หญิง แต่งตัว

เหมือนดารา เดินผ่านลงกระไดไปหา

รถ ดิฉันก็นึกในใจว่าพระทำไมเป็น

ผู้หญิง แล้วผู้หญิงดังกล่าวก็ลอยขึ้นมา

แล้วโยนผ้าพันพอแบบคนจึนเป็นขนๆ

ให้ดิฉัน  แล้วลงไป ดิฉันก็นึกอีกว่า

ทำไมเป็นผู้หญิง ท่านก็ลอยกลับมาอีก

โยนพัดที่ถือให้ดิฉันอีก แล้วท่านก็ไป

พอเช้าวันศุกร์มานั่งนึกว่าเราฝันเมื่อคืน

แปลกเกินไปแล้วจำได้หมด ก็ทำสมาธิ

ทั้งที่ทำไม่เป็นแล้วอธิฐานทำนานมาก

แล้วก็รู้คำตอบด้วยค่ะ  พระศรีอาร์

ในโลกยุคใหม่ ไม่ต้องไปตามหาจริงๆ

ด้วยค่ะ  ขอขอบพระคุณองค์พระสัมมา

สัมพุทธเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิด

ทุกพระองค์ องค์พ่อสฟิงซ์ มนุษย์ต่างดาว

เทพ พรหม เทวดา ทุกพระองค์  เทวดา

ที่รักษาตัวดิฉัน ที่ทำให้ดิฉันได้มาพบ

ท่าน อ.อุบล บ้านสวนพีระมิดค่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หมวย พรรณสรลี ชูตระกูล (wattanachai-dot-chut-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-17 21:52:42


ความคิดเห็นที่ 44 (1572304)

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 14:57:30


ความคิดเห็นที่ 45 (1572657)

ขออนุโมทนาบุญคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัมพิกา อภัยกุล (namfon2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 09:45:32


ความคิดเห็นที่ 46 (1572661)

ขออนุญาตเพิ่มเติมเรื่องน้ำมะพร้าว  หนูได้เข้าอบรมของอาจารย์วิเชียร อยู่เกตุ อาจารย์บอกว่า  ถ้ามีประจำเดือนห้ามดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนชื่อเอสโตรเจน (ชื่ออาจไม่เป๊ะ)  ทำให้ประจำเดือนหยุดไหล  ซึ่งไม่ดีเลือดมันค้างอยู่ในร่างกายก็จะมีผลเสีย เคยดูรายการทีวี เขาบอกว่าที่เอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพเพราะมันเปี่อยไว

ผู้แสดงความคิดเห็น อัมพิกา อภัยกุล (namfon2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 09:52:47


ความคิดเห็นที่ 47 (1572696)

ขอบคุณพี่ธนา สำหรับธรรมทานคะ

อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พีรายุ หงษ์กำเนิด (peerayu_t-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 11:17:35


ความคิดเห็นที่ 48 (1572719)

ขออนุโมทนากับ

องค์ความรู้ต่างๆและธรรมทาน

จากคุณธนาด้วยครับ

ขอเสริมอีกนิด

เรื่องการใช้น้ำมะพร้าวชำระล้างภายใน

ผมได้เคยฝึกวิชา พลังจักรวาล

จาก คุณย่า เยาวเรศ บุญนาค

ซึ่งเป็นสายตรงจาก หลวงปู่ ดาสิรา นาราดา

ท่านเป็นอาจารย์ที่ได้ กายทิพย์ ตาทิพย์

ท่านให้ดื่มน้ำมะพร้าวสด 1 ลูก

พร้อมกับนมสด 1 แก้ว

ถึงจะล้างสิ่งสกปรกออกจาก

ร่างกายเราได้น่ะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 12:14:23


ความคิดเห็นที่ 49 (1572720)

 

ขอบคุณมากค่ะคุณธนาที่ให้

ความรู้มากมาย  พี่คนนึงที่ไม่

วื่งตามหาอะไรอีกแล้ว สติแตก

มาทุกชาติ  ได้พบทุกอย่างที่

บ้านของท่านอาจารย์ อุบล-

ท่านอาจารย์มงคล-คุณท๊อป

บ้านสวนพีระมิดคือชีวิตพี่จริง ๆ ค่ะ

ท่าน อ.อุบล และครอบครัว-

บ้านสวนพีระมิด  คือคำตอบ

สำหรับพี่ค่ะ

       สาธุ....

ผู้แสดงความคิดเห็น เกสร ศรประสิทธิ์ (andabatik-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 12:19:18


ความคิดเห็นที่ 50 (1572772)

สังคมในยุคศิวิไลซ์

 เป็นสังคมที่ยังให้เกิดความสบาย คือเราสบายต่อการดำรงอยู่ สบายนี้ไม่ได้หมายถึง สบายแบบกินๆ นอนๆ 
 
แต่มันเย็นใจแช่มชื่นเบิกบานใจ จะใช้ว่าสังคมสับปายะได้เลย ที่อยู่อาศัยในยุคศิวิไลซ์ ก็เช่นกัน อยู่แล้วใจสะอาดหรือสะอาดใจ 
 
อยู่แล้วก็สบายใจ อยู่แล้วสะดวกใจ อยู่แล้วเกิดปัญญาญาณหยั่งรู้ใดๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ รวมทั้งอยู่แล้วไม่ทำให้ลำบากกายเกินไปนัก เหล่านี้ถือเป็นที่อยู่สับปายะ 
 
           ธรรมะ เป็นเรื่องจำเป็น ยุคแห่งความรุ่งเรืองศิวิไลซ์ ธรรมะก็ต้องสับปายะ ในสถานที่ที่เราอยู่มีผู้บอกธรรม เรียนรู้ธรรม ชี้แจงธรรม
 
และแสดงธรรม ผู้ฟังก็กระจ่างชัดในธรรม นอกจากจะเป็นคำพูดเพื่อให้เราได้เข้าใจ แจ้งในธรรมแล้ว ยังเป็นคำพูดที่เป็นพร้อมด้วยสัจธรรม 
 
อาหารสำหรับยุคแห่งความเจริญ ล้วนเป็นอาหารที่ยังให้เกิดประโยชน์ อาหารที่ยังให้ร่างกายทรงอยู่ ด้วยอัตภาพ คงไว้ซึ่งพลังกาย 
 
พร้อมที่จะนำไปใช้เป็นพลังงาน มิใช่อาหารที่ บริโภคเพื่อความฟุ่มเฟือย บำรุง บำเรอ กิเลส ตัณหา 
 
          ถ้าหากมัวแต่ปล่อยให้กิเลส มาต่อรองร้องขออยู่เช่นนี้ แล้วเราจะรอเวลาอีกนานแสนนาน กว่าจะมีโอกาสทำใหม่ เรากำลังจะบอกว่า
 
ไม่รู้ว่าชาติไหนที่จะได้มาเกิดในโลกมนุษย์อีก ค่อนข้างจะหาได้ยาก เพราะฉะนั้น พวกเราจงพยายามรักษาโอกาสชนิดนี้ให้นานแสนนาน 
 
มันเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่ของพวกท่าน เป็นบุญอันวิเศษ ที่พวกท่านจะแสวงหาไม่ได้ จากสังคมที่ท่านจะก้าวเข้าไปสู่มัน 
 
           ถามว่าทำไม ก็เพราะเรายังคาดหวังไม่ได้ต่อโลกข้างหน้า ต่อวันข้างหน้า ต่อเวลาข้างหน้า ว่ามันเป็นยุคศิวิไลซ์ให้เราได้เจอ 
 
แล้วเราจะตะกายไปแสวงหาอะไรเพิ่มอีก ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมาร่วมมือกันสรรสร้างให้มันเกิดในปัจจุบันนี้ไม่ดีกว่าหรือ

ที่มา http://juramanee.com/rongja.html

ผู้แสดงความคิดเห็น พีรายุ หงษ์กำเนิด (peerayu_t-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 14:50:54


ความคิดเห็นที่ 51 (1572778)

 

แดนศิวิไลซ์
           สังคม ในยุคศิวิไลซ์ ส่วนใหญ่ของคนทั่วไป ชอบฝักใฝ่ในธรรม นิยมฝึกหัด อบรมจิต ฟังธรรม เรื่องที่ชอบคุยกัน 
 
ปรึกษาหารือกันในวงสนทนามักเป็นการพูดคุยวิจารณ์เกี่ยวกับธรรมะ เมื่อพบกันจึงมักเห็นแต่รอยยิ้มที่เอื้ออาทร จริงใจต่อกัน 
 
หากจะเปรียบว่านั่นคือ สวรรค์บนพื้นพิภพก็ใช่ เพราะประเพณีแห่งการกราบไหว้บูชา เต็มไปด้วยศรัทธาแท้ 
 
เมื่อคนได้พิสูจน์ว่าพระธรรมนั้นศักดิ์สิทธิ์จริง ดั่งพระพุทธองค์ยังทรงพระชนอยู่ จิตและกายของชนทั้งหลายจึงศักดิ์สิทธิ์
 
เข้าถึงพลังของพุทธานุภาพ เทวานุภาพ เพราะผลบุญที่มนุษย์ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรค์บนพื้นพิภพให้อุบัติขึ้นมา 
 
จึงเกิดความสวัสดิมงคลที่พิสูจน์ได้ เข้าถึงได้ ยุคนี้สังคมจึงร่มเย็น 
 
           อาหาร การกินอยู่ในยุคแห่งฟ้าประทานนี้ ทุกถิ่น ทุกที่ ทุกทาง ตะละล้วนก่อเกิดแต่สิ่งดีดี ต้นไม้ ใบหญ้า พืชพันธุ์นานา 
 
ล้วนแต่เป็นพืชที่กินได้ทั้งนั้น รสดี คุณภาพสูง ไม่มีหนาม มีหน่าย ไม่ขื่น ไม่ขม ไม่มีพิษ ไม่เบื่อ ไม่เมา เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ
 
ด้วยบุญกุศลของคนยุคนี้ อันเป็นถิ่นของคนมีบุญ 
 
           ฉะนั้น ผู้ฉลาด จึงมักทำบุญ บุญนั้นต้องทำด้วยความชาญฉลาด คนฉลาดเขาจึงทำบุญ ถ้าโง่ทำบุญไม่ได้ บุญนั้นแปลว่าฉลาด 
 
บาปแปลว่าโง่ โง่แล้วเลยไม่ทำบุญ ฉลาดเมื่อไรทำบุญได้เมื่อนั้น 
           ยุคศิวิไลซ์ คนส่วนใหญ่จะรวมกันเป็นพันครอบครัว มี ที่อยู่อาศัย เป็นคอนโด มีการรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ มีสวัสดิการ 
 
มีกองทุนการค้า แบ่งหุ้นกันในร้านสวัสดิการ ที่ดินเป็นโฉนดรวม ในชุมชนสามารถควบคุม ระบบน้ำ ไฟฟ้า ขยะ 
 
ความปลอดภัย ทุกอย่างได้ลงตัวแม้แต่การสัญจรไปมาหาสู่ ในกิจกรรมธุระประจำวัน 
 
           อาชีพ จัดเป็นรูปบริษัท มีการจัดแบ่งส่วนของงาน แบ่งกระจายรายได้การครองชีพ ตามสมควรแก่ความสามารถ 
 
คนจนจะไม่มีใครตกงานทุกคนจะมีงานที่มั่นคงเป็นหลักทุกครอบครัว 
           การรักษาพยาบาล เป็นระบบสวัสดิการสังคมตั้งแต่แรกเกิด จนสิ้นอายุขัย จนถึงพิธีศพ แต่ละลัทธิ จะมีกองทุนรองรับ 
 
           การศึกษา ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วจะต้องอยู่ในระบบของการเรียนรู้ ตั้งแต่คลอด จะเริ่มฝึกหัดเรียนรู้ เรื่องการดำรงชีวิต กินอย่างไร 
อยู่อย่างไร จึงจะไม่มากด้วยมลภาวะ พอเริ่มจับดินสอได้ ก็ต้องเรียนทั้งภาคทฤษฎีตามหลักสูตร และหลักสูตรวิชาธรรมชาติจนจบปริญญา 
 
ตรี โท เอก ตามต้องการของผู้เรียน ทุกขั้นตอนจะมีกองทุนการศึกษาให้เปล่าตลอด เพราะเมื่อประชากรมีคุณภาพ ความเจริญรุ่งเรือง 
 
คือผลตอบแทน อันหาประมาณมิได้จึงมีงบประมาณให้เรียนฟรี เป็นการเปิดโอกาสให้สังคมได้เป็นสังคมยุคแห่งสวรรค์บนพื้นพิภพ 
หรือยุคศิวิไลซ์  

ที่มา http://juramanee.com/rongja.html

ผู้แสดงความคิดเห็น พีรายุ หงษ์กำเนิด (peerayu_t-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 14:57:36


ความคิดเห็นที่ 52 (1572781)

ผู้คนในยุคศิวิไลซ์ 

           ผู้คนในยุคนี้ มีความรักใคร่สามัคคีกัน ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ อยู่แบบพึ่งพิงอิงแอบอาศัยซึ่งกันและกัน 
 
มีอุดมการณ์ที่เป็นธรรมะทั้ง ชาย หญิง จะพูดจะคิดจะทำสิ่งใดไม่ก่อให้เกิดอาสวะกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้งปวง เป็นผู้บรรเทา ละวาง 
 
ความยินดีในสรรพชีวิต สรรพวัตถุ สรรพสิ่ง ของเล่นทั้งหลาย จากการ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ไม่ปล่อยตนเองให้หลงใหลได้ปลื้มไปกับ 
 
ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจมิปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ใดๆ
 
           ไม่เป็นกบฏ ทรยศต่ออุดมการณ์และความตั้งใจของตน ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ ถูกต้อง ตรงแนวอย่างยุติธรรม เป็นคนมีคุณภาพ 
มีค่า มีราคา คนที่ทำอะไรถูกต้องตรงกับอุดมการณ์ของตนที่ตั้งไว้ ถือว่าเป็นคนจริง 
 
           ถ้าเป็นลูกผู้ชาย ก็เป็นชายชาติอาชาไนย ถ้าเป็นลูกผู้หญิง ก็เป็นกุลสตรี เพียบพร้อมไปด้วยความเอื้ออารี เพียบพร้อมไปด้วยสกุล 
 
แช่มช้อย กิริยามารยาท ละอายชั่ว กลัวบาป เป็นลูกผู้หญิงที่ทำหน้าที่ของตนเองถูกต้อง ไม่บกพร่อง ไม่ขาด ไม่เกิน มีระเบียบเรียบร้อย
 
สวยงาม ถือว่าเป็นผู้หญิงอย่างลูกผู้หญิง เพราะไม่กบฏ ไม่ทรยศ ต่อเพศ ต่อวัย ต่อหน้าที่ฐานะของตน ควรเรียกขานได้ว่า เป็นน้องหญิง 
 
เป็นแม่หญิง เป็นท่านผู้หญิง เป็นคุณหญิง เป็นผู้หญิงอย่างยิ่ง และเป็นอิสตรี เป็นรัตนสตรี เพราะมีสิ่งดีดีในความหมาย 
 
           ผู้ชายในยุคศิวิไลซ์นี้ จะสมเป็นผู้นำที่เดินไปข้างหน้า ผู้ที่พร้อมจะมีผู้ตาม และเป็นผู้กล้า ที่ใครตามก็ไม่ซวยตลอดชาติ ต่อสังคมที่ 
 
มีให้กับตนสามารถจะนำพาให้เดินไปข้างหน้าโดยไม่กบฏ ไม่ทรยศ ต่อหน้าที่ ต่อความเป็นลูกผู้ชาย ต่อฐานะ ต่อเพศ ต่อวัย ต่อโอกาส 
 
และต่อหน้าที่ที่จะให้ต่อสังคม ที่ใครจะยอมรับได้ว่าเป็นชายชาตรี เป็นสุภาพบุรุษ เป็นเอกบุรุษ เป็นรัตนบุรุษ เพราะเขาบริสุทธิ์ถูกต้อง 
 
ตรงต่ออุดมการณ์ ในความเป็นลูกผู้ชายที่ซื่อสัตย์ จริงจัง จริงใจ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอื้ออาทรช่วยเหลือ ชาญฉลาด อดทนอดกลั้น
 
เพียรพยายามทำตามสิ่งที่ตนเองตั้งสัจจะเอาไว้ คุณสมบัติเหล่านี้ คือลูกผู้ชายที่ทำอะไรก็สำเร็จ 
           ถ้าเป็นหมู ก็เป็นหมูที่ควรจะเอามาเป็นพ่อพันธุ์
           ถ้าเป็นหมา ก็เป็นหมาที่ควรจะเอามาเป็นแม่พันธุ์ 
 
เพราะเป็นพันธุ์ดี พันธุ์เด่น จึงสมควรดำรงพันธุ์ กระจายพันธุ์ บรรลือพันธุ์ สมควรจะรักษาพันธุ์ ลักษณะและสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ 
 
ควรที่ใครก็อยากเอาไปทำพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม มาร ก็อยากจะเรียกขานเอามาทำพันธุ์ จะเป็นคนบนฟ้า บนสวรรค์ 
 
ก็อยากจะพบ คนในนรกอเวจี ในกระทะทองแดงก็อยากเจอ เพราะจะทำให้ นำไปสู้การกลายพันธุ์ เจริญพันธุ์ เป็นเผ่าพันธุ์ของพระพุทธ 
 
คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือเผ่าพันธุ์ที่ประเสริฐสุด  

 

กลุ่มสายลมเหนือ
คือกลุ่มบุคคล ผู้หันหน้าเผชิญ สู่สายลมเหนือ
ดั่งขุนเขา ดั่งไม้ใหญ่ ที่ต้านทานแม้
ลมแรง และพายุร้าย อันเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์
           คนเหล่านั้นมาจากทุกอุดมการณ์ทุกอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย ที่มีอุดมการณ์ตรงกัน 
           เรื่องราวของแดนศิวิไลซ์ สวรรค์บนพื้นพิภพ หรือยุคศิวิไลซ์ อุบัติมา ด้วยหัวใจ ของคนกลุ่มสายลมเหนือ  

ที่มา http://juramanee.com/rongja.html

ผู้แสดงความคิดเห็น พีรายุ หงษ์กำเนิด (peerayu_t-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 15:04:45


ความคิดเห็นที่ 53 (1573206)

 

เป็นไปได้ไหมว่าพระศรีอาริย์ท่านน่าจะแบ่งภาคเสด็จมาจุติพร้อมๆกันหลายองค์ เพื่อมาช่วยโลกในหลายๆจุด

เพราะดูแล้วจะเป็นงานที่หนักมากในการช่วยสัตว์โลกที่กำลังบาปหนามากมายบนโลก เบี้ยวๆใบนี้

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-20 12:09:58


ความคิดเห็นที่ 54 (1573252)

โมทนากับคุณธนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น วิจิตร บุญศิริ (wijit2502-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-20 15:05:13


ความคิดเห็นที่ 55 (1574181)

 โมทนาสาธุกับคุณธนา คุณตั้ม คุณพีรายุ  พี่หมวย

และทุกๆท่านค่ะ

จำได้ลางเลือน เคยได้อธิฐานไว้ว่า

ขอให้พบพระศรีอาริย์

บัดนี้ลูกพบท่านแล้ว

สาธุ ๆๆๆๆ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 13:13:16


ความคิดเห็นที่ 56 (1574728)

โมทนาค่ะคุณธนา

ความรู้แน่นมากๆเรื่อง

ไม่ต้องไปตามพระศรีอาริย์

ที่ไหนแล้ว

คุณธนาบอกเป็นนัยยะ

แล้ว

เป็นผู้หญิง...สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:20:13


ความคิดเห็นที่ 57 (1575007)

ทำไมเป็นผู้หญิงล่ะครับ  ที่ผมทราบมาน่าจะเป็นชายนะ(ชื่ออินทรา)  อยูที่สหรัฐอเมริกา   แต่ช่างเถอะเดี๋ยวความจริงก็เปิดเผยเองแน่ครับ  ผู้หญิงหรือชายก็ได้  ขอให้ท่านมาช่วยชาวโลกเร็วๆด้วยเถิด สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธรรมนูญ นาคสุข (naksuk4-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-27 21:28:10


ความคิดเห็นที่ 58 (1575109)

ทำไมเป็นผู้หญิงล่ะครับ

ที่ผมทราบมาน่าจะเป็นชายนะ

(ชื่ออินทรา)

  อยูที่สหรัฐอเมริกา

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธรรมนูญ นาคสุข (naksuk4-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-27 21:28:10

 

 

 

ที่

พระธรรมนูญ

บอก

ก็น่าสนใจ น่ารับฟังนะ

ลองให้รายละเอียด

มากกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ

 

เพราะ

อ.อุบล

ก็คิดว่า น่าจะเป็นชาย

 

เคยคิดว่า น่าจะเป็น

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ด้วยซ้ำไป

 

เพราะ

มีเหตุผลหลายอย่าง

ที่ทำให้คิดว่า

เป็นท่าน

 

ส่วน คุณอินทรา ที่ เมกา

เป็นอย่างไร

มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

 

ทำไม

ท่านไม่มาอยู่เมืองไทย

 

 

ช่วยเล่าหน่อยค่ะ

พวกเราจะได้ช่วยกันค้นหา

 

เพราะว่า

ถ้าพบท่านแล้ว

ภัยพิบัติ จะบันเทา ได้จริง

 

ความหวังว่าจะได้

อยู่

ในโลกยุคศิวิไลซ์

ดังที่ ดร.อาจอง บอกไว้

ก็คงใกล้เป็นจริงแล้ว

 

และ

ดูเหมือนว่า

ดร.อาจอง ท่านมั่นใจ

ว่ามีพระศรีอาริย์แล้วจริงๆ

 

จากที่ท่านบรรยาย

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 10:51:03


ความคิดเห็นที่ 59 (1575115)

จากข้อมูลของพระธรรมนูญนั้น ผมเคยได้อ่านพบเจอหลายๆครั้งแล้วครับ อย่างที่บอกว่า ชื่อนั้น ชื่อนี้ก็เช่นกัน อยู่นั่น อยู่นี่ต่างก็พากันวิเคราะห์ไปต่างๆนาๆ

สำหรับท่านที่อยู่อเมริกานั้น ผมก็เคยได้รับข้อมูลมาเช่นกัน แต่ก็มียิ่งกว่านั้นอีกนะครับ มีผู้กล่าวว่า ตอนนี้พระโพธิสัตว์ผู้มีบารมีสูงส่งได้มาจุติแล้ว และตอนนี้อยู่เมืองไทย

สามารถเดินทางไปพบและพิสูจน์เพื่อชมบารมีได้ แบบนี้ยิ่งเด็ดกว่านะครับ และได้มีการรวมตัวกันเพื่อทำอริยกิจช่วยโลกอยู่ในขณะนี้เป็นทางการอยู่

สำหรับผมแล้ว ข้อมูลคือข้อมูลครับ เราต้องวิเคราะห์ในทุกๆด้าน ตามหลักกาลามสูตร เพราะต่างท่านต่างให้ข้อมูล แต่ผมไม่ได้บอกว่า ท่านใดให้ข้อมูลไม่จริงนะครับ

ที่สำคัญที่สุด คือ ชาย หรือ หญิง ตรงนี้ผมอยากทราบว่า มีใครรู้บัญชาสวรรค์บ้างครับว่า องค์พระศรีอาริยเมตไตย พระองค์ท่านจะเสด็จมาหลังกึ่งพุทธกาลนั้น พระองค์ท่านจะเสด็จมาในฐานะ ชาย หรือ หญิง 

พระองค์คงไม่ได้ใช้ชื่อพระศรีอาริยะเมตไตย เป็นแน่นอน เพราะตามตำราบอกว่า พระองค์ท่านจะเสด็จมาเพื่อนำผู้คนสู่ยุคศิวิไลซ์ ในฐานะพระจักรพรรดิ์ ผู้ปกครองคนทั้งโลก(สำหรับผมหมายถึงผู้นำทางจิตวิญญาณ นี่คิดเอาเองเด้อครับ) ซึ่งพร้อมด้วยแก้ว 7 ประการ นั้นคือ ทั้งบุญฤทธิ์ และ อิทธิฤทธิ์

แล้วไหนเลยคนเราพากันสรุปว่าต้องเป็นชาย เป็น หญิง ให้เมื่อยกัน เพราะการสรุปแต่ว่าเป็นชาย นั่นคือเราตีกรอบความคิดเราให้แคบลง ไม่มองรอบด้าน ยิ่งคนให้ข้อมูลแบบใดมา เราก็คิดตามแต่แบบนั้น ก็ไม่เข้าหลักกาลามสูตรแว้ววครับ

ง้านหากจะหาพระองค์ท่าน ควรมองหาใครก็ได้ในโลกนี้ที่มีคุณสมบัติครบ คือทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ ท่านคือผู้สั่งสมบารมีมาอเนกอนันต์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ดังนั้นพระองค์ท่านอยู่ที่ใด ผู้ใดได้ปฏิบัติตามพระองค์แล้ว จะมีทรัพย์ทั้งภายใน ภายนอก ร่ำรวย ไม่จน ไม่เจ็บ

ว่าแระในชีวิตก็หามานานเหมือนกัน ได้รับรู้ว่ามีหลายท่านเหลือเกินตอนนี้ที่ถูกบุคคลอื่นกล่าวอ้างว่าท่านเป็น หรือตัวบุคคลนั้นพยายามอยากเป็นด้วย

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 11:38:15


ความคิดเห็นที่ 60 (1575117)

 

ผมขออนุญาตินำบทความที่เคยลงไว้ในเวปพลังจิตเมื่อไม่นานจนเกินไป มาให้ได้อ่าน เผื่อว่าหลายๆท่านอยากรู้จัก หรือมั่นใจว่าเราได้เจอพระองค์ท่านแล้วก็เป็นไปด้ายยย

ข้อความ

เราทราบจาก ผู้นำบุญที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกมนุษย์และเป็น ผู้เปลี่ยนกฏแห่งกรรม และหยุดภัยพิบัติของโลกมนุษย์โดยเด็ดขาด และเป็นหนึ่งเดียวที่สวรรค์รับรองเรียบร้อยแล้ว

 

เรื่องนี้ได้กราบทูลถามพระบรมศาสดาเรียบร้อยแล้ว ทุกพระองค์รับรองเป็นจริงเช่นนั้น เราบอกคุณแล้วนะ และให้ระวังด้วยอย่าเผลอปรามาส ผู้นำบุญล่ะ เดี๋ยวมีอาเวเป็นที่ไป

 

และอย่าปรามาสในตัวอักษรที่เราพิมพ์ด้วย เพราะนี่เป็นอริยกิจที่เรารับโดยตรง และเป็นประกาศิตเด็ดขาดซะด้วย หายโง่หรือยัง เพราะว่าโง่นะซิจึงเกิดเป็นคน


ขออาราธนาโอวาทองค์ปฐม ท่านฝากเรามา พระองค์ตรัสว่า
เพราะโง่นะซิจึงเกิดมาเป็นคน ถ้าไม่โง่กลับพระนิพพานนานแล้ว
เราเองเมื่อก่อนโง่ แต่ตอนนี้ไม่โง่แล้ว อริยกิจจบเมื่อใดเรากลับพระนิพพานแบบติดจรวดเลยล่ะ

 

เวลานี้ ผู้นำบุญที่ หนึ่ง เดินทางมาที่ กทม.เรียบร้อยแล้วเมื่อคืนนี้ เราในนามของ xxx จึงอยากจะบอกว่า xxx พระนามของพระมหาโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง

ผู้นำบุญที่หนึ่ง คือมนุษย์ผู้มีกายหยาบ ขันธ์ห้า เวลานี้ อยู่ที่บ้านของพี่xxx ผู้ทำเหรียญทำน้ำมนต์แจกนั่นแหละ

อยากจะพบผู้นำบุญทั้งสาม ที่มาประชุมกันเพื่อ ชาติ ศาสนา อยากพบ อยากรู้จักผู้นำบุญทั้งสาม ก็ให้ไปพบที่นั่น

ท่านไม่อนุญาตให้เปิดเผย นอกจากผู้ที่ไปพบท่านเอง ณ.เวลานี้ผู้ที่ใกล้ชิด รู้ข่าวเขาไปรอกันเพียบ

เราเองก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่พบแล้ว บอกได้คำเดียวว่า สุดยอด มหัศจรรย์มาก หวังว่าคุณคงมีบุญ และบารมีมากพอที่จะได้พบนะ

ส่วนตัวผมเคยได้มีโอกาสคุยกับพี่คนที่ทำเหรียญทำน้ำมนต์ครับ แต่ว่าไปแล้วในข้อความนี้ก็ไม่ได้บอกตรงๆนะครับว่าคือพระศรีอาริยเมตไตย แต่ก็เป็นผู้ที่เปลี่ยนกฏแห่งกรรมได้และหยุดภัยพิบัติโลกได้อย่างเด็ดขาด ท่านล่ะคิดว่าไงก๊าบบ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 12:08:19


ความคิดเห็นที่ 61 (1575338)

 

โมทนาบุญกับทุกท่านเราไม่ค่อยรู้กับเขาไอที่รู้ไม่ได้เรื่องคอยก่อนและคิดตามพี่เป็นคนโง่มากเพิ่งจะฝึกทำความดีมาไม่นานเลยองค์ความรู้ทางธรรมอันน้อยนิดได้แต่เกาะหน้าจอพิมพ์ช้าสมองมีความรู้สึกช้ากว่าจะฉลาดสงสัยต้องตายก่อนแล้วกระไร ศึกษาวิชาประสบการณ์ชีวิตที่หน้าจอแล้วทำตามเผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้วผสมผสานกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวันมาใช้ให้ตรงกับตัวเราเองได้ผลมาเยอะแล้วจะทำต่อไปค่ะสาธุๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-29 10:01:26


ความคิดเห็นที่ 62 (1575411)

 จาก คห. 16

 

แต่ที่แน่ๆ

 

ต้องเป็นชาย

เพราะ

ใช้คำว่า

 

พระ

ศรีอาริย์

 

พวกเราจะมีโอกาส

ได้พบท่านกันใช่ไหม

 

***************************************************


เมื่อก่อนหนูก็เคยคิดว่าต้องเป็นผู้ชายค่ะ

แต่พอมานั่งคิดๆ ดู

อ.เคยบอกพวกเราว่า

อ.อุบลต้องใช้คำนำหน้าเป็นนายนะ

เพราะ อาจารย์ ไม่มีมดลูก

พอนึกถึงตรงนี้ทีไร

ทำให้อดคิดไม่ได้เลยค่ะ


ไม่ว่าท่านจะเป็นหญิงหรือชาย

ไม่สำคัญแล้วค่ะ

เพราะในชีวิตถือว่าที่สุด

แล้วค่ะ ที่ได้มาพบบ้านสวน

และ ครูบาอาจารย์

ที่ให้ชีวิตใหม่ของหนูค่ะ

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-29 17:14:16


ความคิดเห็นที่ 63 (1575415)

 

 

 มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ของพระพุทธเจ้า 


ในจักรวัตติสูตรพระพุทธองค์ทรงเล่าว่า    ในอนาคตจักรพระพุทธเจ้าพระนามว่า เมตตรัย มาตรัสรู้      แต่ไม่ได้แสดงพระลักษณะของพระองค์ไว้    เข้าใจว่าต้องมี  ลักษณะเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ คือ ประกอบด้วย มหาปุริสลักษณะ  ๓๒ ประการ และพระอนุพยัญชนะ ๘๐  ประการ 

****************************************

 พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
เล่ม ๒ ภาค ๑  หน้าที่ 18
    
ว่าด้วยมหาปุริสลักษณะ  ๓๒  ประการ

[๒๙] ๑. ขอเดชะ  ก็พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี(เรียบเสมอ)  ข้าแต่สมมติเทพ  การที่พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดีนี้  เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น.


๒. ณ พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง  ๒ ของพระราชกุมารนี้    มี จักรเกิดขึ้นมีซี่กำข้างละพัน  มีกง มีดุม  บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ข้าแต่สมมติเทพ  แม้การที่พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง  ๒  ของพระราชกุมารนี้มีจักรเกิดขึ้นมีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม
 บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง นี้ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น.

๓.  มีส้นพระบาทยาว.        
.  มีพระองคุลียาว.
.  มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม.
 ๖.  มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย.
 ๗.  มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ. 
๘.  มีพระชงฆ์รีเรียวดุจแข้งเนื้อทราย. 
๙.  เสด็จสถิตยืนอยู่มิได้น้อมลง  เอาฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบ
คลำได้ถึงพระชานุทั้งสอง.
๑๐.  มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก.
๑๑.  มีพระฉวีววรรณดุจวรรณแห่งทองคำ คือ มีพระตจะประ ดุจหุ้มด้วยทอง.
๑๒. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด  ธุลีละอองจึง มิติดอยู่ในพระกายได้.
๑๓. มีพระโลมชาติเส้นหนึ่ง ๆเกิดในขุมละเส้น ๆ.
๑๔. มีพระโลมชาติที่มีปลายช้อยขึ้นข้างบน  มีสีเขียว  มีสีเหมือนดอกอัญชัน ขดเป็นกุณฑลทักษิณาวัฏ.
๑๕. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม.
๑๖. มีพระมังสะเต็มในที่  ๗  สถาน.
๑๗. มีกึ่งพระกายท่อนบน เหมือนกึ่งกายท่อนหน้า   ของราชสีห์.
๑๘. มีระหว่างพระอังสะเต็ม.
๑๙. มีปริมณฑลดุจไม้นิโครธ  วาของพระองค์เท่ากับพระกาย
ของพระองค์  พระกายของพระองค์เท่ากับวาของ พระองค์.
๒๐. มีลำพระศอกลมเท่ากัน. 
๒๑. มีปลายเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารอันดี.
๒๒. มีพระหนุดุจคางราชสีห์.
๒๓. มีพระทนต์   ๔๐  ซี่.
๒๔. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน . 
๒๕. มีพระทนต์ไม่ห่าง.
๒๖. มีพระทาฐะขาวงาม.
๒๗. มีพระชิวหาใหญ่.
๒๘. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม   ตรัสมีสำเนียงดัง นกการเวก.
๒๙. มีพระเนตรดำสนิท.
๓๐.  มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค.
๓๑.  มีพระอุณณาโลมบังเกิด ณระหว่างแห่งพระขนง    มี
สีขาวอ่อนควรเปรียบด้วยนุ่น.
๓๒.  มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์  ข้าแต่ สมมติเทพ    แม้การที่พระราชกุมารนี้  มีพระเศียรดุจประดับด้วกรอบพระพักตร์นี้ ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น.
 
 
 
 
 
ที่มา  http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=11186

 
ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-29 17:57:42


ความคิดเห็นที่ 64 (1593113)

อนุโมทนากับคุณธนา คุณตุ้ย

และทุกๆท่านด้วยนะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา(วิ) (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-18 04:10:21


ความคิดเห็นที่ 65 (1593676)

ขออนุโมทนาบุญ

ทุกธรรมทานค่ะ

คุณธนาและคุณตุ้ย

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจพร เลามาสุวพันธ์ (benjaporn-dot-tam-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-22 03:23:49


ความคิดเห็นที่ 66 (1593691)

ขออนุโมทนาบุญธรรมทาน พีธนา และทุก ๆ ท่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น มยุรฉัตร สุดจิตต์ (mayurachut-dot-ch-at-rd-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-22 11:57:34


ความคิดเห็นที่ 67 (1594253)

อนุโมทนาบุญด้วยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น วิจิตร เขตเจริญ (jit7777-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-25 20:00:47


ความคิดเห็นที่ 68 (1597616)

ขออนุโมทนาสาธุ กับพี่ธนาและทุกคนด้วยค่ะที่ให้ความรู้

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ภัคจิรา มากเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-15 10:33:55


ความคิดเห็นที่ 69 (1597636)

 ตอน อ.อุบล

ไปพบ ดร.จิตรานะ

ท่านก็บอกแบบนี้เหมือนกัน

 

แต่ตอนนั้น

ท่านไม่ได้พูดว่าเป็น

พระศรีอาริย์

 

แต่ท่านพูดว่า

เป็นผู้หญิง

 

...............................................................................................

 ท่านผู้ทำหน้าที่นี้ ที่เขาจะเรียกกันอย่างไรก็ตามแต่ ใช่.....หรือไม่ ก็มีเสียงตอบเข้ามาในจิตทันทีว่า ใช่แล้วลูกเอ๋ย ท่านผู้นี้แหละจะเป็นผู้นำเจ้าและทุกคนสู่โลกใหม่ ยุคใหม่

 

มั่นใจเกิน 100% ค่ะ

ไม่ตามหาที่ไหนแล้วค่ะ

เพราะที่บ้านสวนพีระมิดแห่งนี้

ได้เปลี่ยนให้หนูเป็นคนใหม่

เดินตามอาจารย์แม่อุบล ไม่มีหลงทางแน่นอนค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ ((ตั๊ก)) (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-15 12:16:58


ความคิดเห็นที่ 70 (1609116)

ขออนุโมทนากับธรรมทาน

ของพี่ธนาและทุกๆท่านด้วยค่ะ

วันนี้พึ่งจะได้เข้ามาอ่านในกระทู้นี้เป็นครั้งแรกค่ะ รู้สึกว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอขอบคุณทุกท่านนะคะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พรหมภัสสร กฤตธกร (พจน์) (poj9494-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-03 18:03:09


ความคิดเห็นที่ 71 (1609158)

บทสัมภาษณ์

ดร.จิตรา จะนำออกอากาศ

วันอาทิตย์ที่ 6 พ.ค.55 ค่ะ

 

ส่วนบทสัมภาษณ์

ดร.เทพนม เมืองแมน

เกี่ยวกับเรื่อง ผี ยูเอฟโอ.

และ

มีคนพูดแทรกเรื่อง

 ต่อไป

ประเทศไทยจะมีผู้นำเป็นหญิง

หรือนารีชี่ม้าขาว

 

จะส่งให้คุณมาร์ค

ลงคลิปใด้ชม

 

จะได้รู้ว่า

ไม่ได้หมายถึง อ.อุบล

อิ อิ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-03 22:57:56


ความคิดเห็นที่ 72 (1609320)

 สาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ลักษมณ แรงฤทธิ์ (luxamon_r-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-05 16:57:59


ความคิดเห็นที่ 73 (1609529)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานพี่ธนาค่ะ มีเหตุผล

ผู้แสดงความคิดเห็น นางยุวรัตน์ พันธุวงษ์ (yunoi20-at-hotmail-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-07 18:19:37



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.