ReadyPlanet.com


คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า วีระทะโย ฯลฯ(จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน)


คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ (บางครั้งท่านก็ใช้ว่าคาถาเงินล้าน) ผมขอคัดลอกมาจากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน พระครูวิหารกิจจานุการ วัดบางนมโค ซึ่งหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ถ่ายทอดผ่านเทปคาสเซ็ท เมื่อปี 2514 แต่ไม่แน่ใจว่าหนังสือพิมพ์ปีไหน แต่ผมได้รับมาเมื่อสมัยเมื่อบวชเป็นสามเณรที่วัดเจ้าอาม เมื่อปี 2519 ได้รับนิมนต์ไปฉันไม่แน่ใจว่าเช้าหรือเพล ที่วัดภาวนาภิรตาราม วันนั้นหลวงพ่อน่าจะมาที่วัดภาวนาฯ ด้วย แต่ยังไม่รู้จักท่าน ได้อ่านแล้วชอบมากครับ เก็บรักษามาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ไม่วายทำผิดจนได้ ขอนำมาลงไว้เป็นธรรมทานเป็นตอนๆ นะครับ เพื่อขอขมา และขออโหสิกรรมที่ได้กระทำไว้แก่คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าหากท่านใดสามารถนำไปใช้จนได้อานิสงส์ก็ขออนุโมทนาด้วยนะครับ



ผู้ตั้งกระทู้ อ๋อย เสฏฐพัฒน์ โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-04 06:15:50


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1525079)

คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

สัมปะจิตฉามิ (ที่วัดท่าซุง มีบทนี้เพิ่มเข้ามา ไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ เป็นสัมปะจิตฉามิ โดยบอกว่าสมเด็จองค์ปฐมให้เพิ่มครับ)

นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา

สัพเพ ยักขา ปะรายันติ

พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม

มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุเม

มิเตพาหุหะติ

พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ

วีระทะโย วีระโคนายัง

วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา

วิระอิทธิโย พุทธัสสะ มานีมามะ

พุทธัสสะ สวาโหม

สัมปะติจฉามิ

เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา (หลวงพ่อบอกว่าท่อนนี้เป็นภาษาโบราณ)

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-04 06:26:01


ความคิดเห็นที่ 2 (1525080)

ต่อไปเป็นสำนวนที่หลวงพ่อถ่ายทอดไว้ในหนังสือ การเล่าเรื่องธรรมะของหลวงพ่อนั้นอ่านกี่ครั้งก็ไม่เบื่อครับ เพลิดเพลิน พร้อมแทรกธรรมะไว้ โดยไม่บอกว่าเป็นธรรมะ พวกเราสังเกตุกันบ้างหรือเปล่าครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-04 06:29:36


ความคิดเห็นที่ 3 (1525081)

ตอนนี้มาว่ากันถึงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เรื่องนี้มันไม่เรียงตามลำดับนะ ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ฉันก็ว่าดะ คาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้านี่หลวงพ่อปานท่านมาเรียนตอนปลายชีวิตของท่าน คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ หลวงพ่อปานไปเรียนกับครูผึ้งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตอนนั้นครูผึ้งเป็นฆราวาส อายุ ๙๙ ปี สมัยนั้นค่าของเงินมันสูง เงิน ๑๐๐ บาทนี่สูงมาก หรือเงิน ๑ บาทนี่สูงมาก ข้าราชการถ้าได้เงินเดือน ๒๐ บาทก็รู้สึกว่าโก้ โก้มากแล้ว นายสิบตรีดูเหมือนได้เงินเดือน ๘ บาท พลทหารได้เงินเดือน ๔ บาท ร้อยตรีได้เงินเดือนละ ๘ บาท แล้วร้อยเอกเต็มขั้นก็ ๑๖๐ บาท นี่ฉันจำได้ จำผิดจำถูกไม่รู้ ค่าของที่ซื้อกัน ก๋วยเตี๋ยว ๒๐ ชามบาท หรือบางทีก็ ๒ ชาม ๕ สตางค์ แต่ว่าปลาหมึกชิ้นละ ๑ สตางค์ นี่ตอนเป็นนักเรียนฉันไม่ค่อยได้ซื้อหรอก ฉันขโมยเจ๊ก เวลาโรงเรียนปล่อยลงมาก็ซื้อปลาหมึกกันคนละ ๒ ชิ้นลุ่มลั่มๆ ฉันเข้าไป พอเจ๊กเผลอก็คว้าหมับมากำมือหนึ่งมาแจกเพื่อนกิน นี่ฉันน่ะระยำไม่ใช่น้อยนะเด็กๆ ก็ตัวดีเหมือนกัน แต่ของใหญ่ไม่เคยลัก  ปลาหมึกนี่ชอบลักเพราะชอบกินก็เลยชอบขโมยเขา บาปไม่บาปลุงพุฒิยิ้มแหงเลย ไม่ใช่แหง พอบอกว่ายิ้มแหง ต่อว่าบอกว่าอย่ายิ้มแหงซิ ยิ้มก็ยิ้มซี บอกว่าเรื่องไม่บาปไม่มี

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-04 06:41:19


ความคิดเห็นที่ 4 (1525082)

เอ้า ว่าถึงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าที่หลวงพ่อปานจะเรียนน่ะ ตอนนั้นไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ไปได้ข่าว ว่าอาจารย์ผึ้งนี่น่ะ เป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอให้คนละ ๑ บาท ๑ บาทสมัยนั้นขอทานยิ้มไปหลายวัน แล้วถ้าใครเขาบอกบุญโกนจุกบวชนาคอะไรก็ตาม แกทำบุญรายละ ๑๐๐ บาท นี่หนักเหลือเกินนะ สมัยนั้นเงิน ๑๐๐ บาท เงิน ๒๐๐ บาทนี่ สร้างบ้าน ๒ หลัง มีครัวได้ ๑ หลัง สร้างด้วยไม้ยางนะ เสาไม้แก่น แกช่วยงานรายละ ๑๐๐ บาท นี่ไม่ใช่เงินเล็กน้อย เป็นเงินใหญ่ แล้วก็ต่อมาเป็นยังไง ในเมื่อหลวงพ่อปานทราบข่าว ก็ไปขอเรียนกับแกเล่ากันลัดๆ นะ แกก็ให้เรียนมาแล้วก็ปรากฎว่ากลับมาที่กรุงเทพฯ มาพักอยู่ที่วัดสระเกศ วัดสระเกศนี่เป็นวัดที่ท่านเคยไปเรียนหนังสืออยู่มีพวกพ้องมาก กุฏิที่พักก็เป็นกุฏิของหมวดเจิ่น ดูเหมือนว่าจะเป็นคณะ ๙ หรือคณะ ๑๑ จำไม่ได้ จำไม่ได้ชัดนะ คณะ ๘ คณะ ๙ หรือคณะ ๑๑ อะไรนี่จำไม่ได้ชัด ชอบกันมาก ไปพักอยู่ที่นั่น

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-04 06:49:21


ความคิดเห็นที่ 5 (1525129)

ขออนุโมทนาบุญกับคูณอ๋อยที่ให้ธรรมทานแก่ทุกๆคนขอขอบคุณ......สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น นางสาวกุลภัค ชาครประดิษฐ์ วันที่ตอบ 2011-01-04 11:21:00


ความคิดเห็นที่ 6 (1525143)

       ขอขอบคุณบ้านสวน ที่ทำให้รู้จักคุณอ๋อยผมคิดว่า

อ.อุบล มีลูกศิษย์ที่มีภูมิธรรมเพิ่มอีกคนแล้วละ   ขออนุ

โมทนาบุญด้วยนะครับ ที่นำบทความดีๆมาโพสในเวป

บ้านสวนของพวกเรา

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก (phongdech1665-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-04 12:53:49


ความคิดเห็นที่ 7 (1525306)

อ้าว! ผมคิดว่าคุณเสฏฐพัฒน์ กับ คุณตัวเล็ก เป็นคนเดียวกัน เพราะสำเนียงธรรม คล้ายกัน เป็นคนละคนกันหรือนี่  ขอบคุณครับ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ที่ช่วยให้เข้าใจได้ถูกต้อง  และขออนุโมทนาด้วยครับ

และขอเล่าถึงอนิสงฆ์คาถาบทนี้นะครับ (ไม่ได้โม้)

กับจากเข้าค่ายรุ่น 7 พึ่งจะซาบซึ่งธรรมหลวงพ่อฯ ทั้งที่รู้จักหลวงพ่อมานาน และไปบ้านสวนพีระมิดก็หลายรอบ  กลับบ้านไปเลยไปค้นใหญ่หนังสือธรรมปฏิบัติของท่าน  มีอยู่หลายเล่มเตรียมไว้อ่าน  และเลยเล่มนึงไว้ที่ห้องพระเพื่อสวดคาถาบทนี้ ในคืนวันที่ 15/12/53 ด้วยความสัตย์สวดไปก็หวังแค่เพียงระลึกถึงครูบาอาจารย์ฯ  วันที่ 16/12/53 ล็อตรี่ ออกเลขท้าย 2 ตัว 24  ก็คุ้นๆ แต่ไปได้ซื้อ  ขึ้นไปดูที่ห้องพระ โห เราหยิบธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อฯ เล่มที่ 24 มาไว้ที่ห้องพระ(ตั้งหลายเล่มไม่หยิบ)  หลังจากนั้นสวดบ้างไม่สวดบ้างเนื่องจากตื่นเช้าบ้าง สายบ้าง กลางคืนดึกบ้าง เป็นคนสวดหลายบทจนง่วง(อาจารย์อุบลก็บอกแล้วว่าไม่ต้องสวดเยอะ ให้ดูจิตเยอะๆ) ปรากฎว่า การสวด9จบจะใช้วิธี ขีด9ขีด เพื่อให้ตัวเองสวดครบ และเวลาสวดจิตจะได้ไม่ต้องไปกังวลว่าสวดกี่จบ และเขียนวันที่ไว้ด้วย สวดเช้า หรือสวดเย็น  ปรากฎ สวดได้ทั้งหมด 12 ครั้งก่อนหวยออก หวยออก 12 แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อใต้ดินอยู่แล้ว  แต่ที่เล่ามาอย่างบอกว่า หลวงพ่อฯ ท่านคอยช่วยลูกหลานอยู่ขอให้ปฏิบัติดีปฏบัติชอบเทอญ

ผู้แสดงความคิดเห็น เอกไชย ทรงประไพ (ekachai_sh-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-04 18:09:08


ความคิดเห็นที่ 8 (1525608)

ขอติดส่วนที่เหลือไว้ก่อนนะครับ พอดี เครื่องที่บ้านมีปัญหานิดหน่อยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-06 09:32:15


ความคิดเห็นที่ 9 (1525820)

 

 

อนุโมทนา สาธุ ด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์วิญาณ์ (tata_su1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-07 11:50:10


ความคิดเห็นที่ 10 (1526079)

แล้วก็ปรากฏว่าเวลาฉันข้าวมีชาวบ้านในกรุงเทพฯ เขานับถือท่าน พอรู้ว่าท่านมา ก็เอาข้าวปลาอาหารไปถวายกันเยอะแยะ ทานบารมีของท่านมีมากไม่เหมือนฉัน ระหว่างฉันข้าวท่านก็พูดเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า คาถาบทนี้น่ะดีเหลือเกิน ทำให้คนมีลาภสักการะ แล้วก็อธิบายถึงครูผึ้งว่า แกเป็นคนแก่แล้วไม่ได้ทำอะไร แต่คนไปบอกงานบอกการแกช่วยรายละ ๑๐๐ บาท ขอทานไปขอแกให้รายละ ๑ บาท ตอนนั้น ท่านกล่าวว่านายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ท่าเตียน เขาเป็นลูกศิษย์ที่เคารพท่านมากเหมือนกัน นั่งอยู่ข้างหลัง ท่านว่าตัวคาถา แกก็จดอยู่ข้างหลัง จดแล้วพอคนอื่นไปหมดท่านพูดให้ฟังถึงคุณสมบัติว่ามีประโยชน์มาก ใครเอาไปเจริญภาวนา คือสวดมนต์คืนละ ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลาภสักการะจะมีไม่ขาดสาย ถ้าว่าทำเป็นสมาธิได้ละก้อ จะเกิดลาภหนัก ท่านว่ายังงั้น นายประยงค์จด แต่ว่าคนอื่นทั้งหมดไม่มีใครสนใจ อันนี้ ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน คนอื่นทั้งหมดที่ฟังแล้วไม่สนใจ มีนายประยงค์คนเดียวสนใจ เวลาคนอื่นไปหมดแล้วนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร ก็เข้าไปหาหลวงพ่อปาน ไปขออนุญาตเรียนคาถาบทนี้ แล้วก็อ่านให้ท่านฟังที่จดว่ามันถูกหรือผิด ท่านก็บอกว่าถูกต้อง แล้วก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจบอกว่า เออ พ่อดีใจประยงค์เอ็งเป็นลูกหัวปี สำหรับคาถาบทนี้เอาไปทำ ถ้าเอ็งทำไม่เกิดผลเพียงใดละก็พ่อจะไม่พิมพ์แจกคนอื่น เอาไปพิสูจน์กัน นี่ท่านใช้บทพิสูจน์นะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-09 11:58:15


ความคิดเห็นที่ 11 (1526081)

ตอนนี้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ นายห้างประยงค์รู้สึกว่าร่ำรวยมาก มีลาภสักการะสูงค้าขายดีมึทุนรอนมาก ท่านไปที่วัดบางนมโคท่านกล้าพูดบอกว่า ถ้าหลวงพ่อจะทำอะไรก็บอก ผมไม่กลัว เท่าไหร่เท่ากันเรื่องทำบุญยิ่งทำเงินยิ่งมา ก็เลยถามท่านนายห้างว่า ท่านนายห้างทำยังไง ลาภสักการะมันจึงเกิดมาก ท่านก็บอกว่าผมบูชาพระกลางคืนผมก็บูชา ๙ จบเหมือนกัน แต่ว่าเวลากลับไปจากขายของตอนเย็นรับประทานอาหารแล้ว อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็เข้าห้องพระทำคาถาบทนี้เป็นพระกรรมฐาน พอตั้งจิตเข้าถึงอุปจารฌานก็เห็นพระ สวยสดงดงามมีแสงสว่างเกิดขึ้น ท่านบอกว่าตอนนี้ขอรับ ทำอะไรมันเป็นเงินเป็นทองไปหมด ที่เขาขายกันขาดทุน ผมไปขายเข้าก็ได้กำไร คิดว่าจะได้น้อยมันก็ได้มาก บางทีห่อยา แกขายยานี่ ยาทำไว้แล้วพันห่อ เจ้าหน้าที่ขายครบ ๑,๐๐๐ ห่อ เงินก็ได้ครบแล้วแต่ยายังเหลือ ของก็ขายดีขึ้นเป็นพิเศษ แกบอกว่าสมัยก่อน เดือนไหนถ้าผมมีกำไรสุทธิ ได้ถึงเดือนละ ๒๐๐ บาท ๒ คนผัวเมียนี่นอนไม่หลับขอรับ ดีใจ เวลานี้ถ้าได้ ๒๐๐ บาทนี่ไม่รู้สึกอะไรเลย แสดงว่าแกได้มาก นี่นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาท่าเตียน จังหวัดพระนคร หรือนครหลวงอะไร กรุงเทพธนบุรี แกเป็นคนได้ก่อน แล้วบรรดาลูกหลานที่รัก ถ้าอยากจะรวย ก็ทำอย่างนายประยงค์ก็แล้วกันนะ คาถาตามแบบฉบับของท่านมียังไง ระหว่างที่ฉันกำลังพิมพ์ ก็ไม่ใช้ถ้อยคำของฉันผสม ลอกเฉพาะถ้อยคำของหลวงพ่อปายอย่างเดียว พิมพ์แจกบรรดาท่านพุทธบริษัท ฉันก็แจกฟรีเหมือนกัน แต่น่ากลัวจะไม่เลี้ยงอะไรหรอก จะเลี้ยงก็เลี้ยงข้าวต้ม เงินที่แจกก็ไม่ใช่เงินของใครนะเงินของลูกหลานที่ให้ฉันมากินนั่นแหละ ให้ฉันมากินมาใช้ ฉันก็มาพิมพ์คาถาแจกเสียแล้ว โมทนาเสียนะ เราทำให้คนอื่นเขารวย เราก็จะได้รวยตาม เรื่องคาถาหมดไป

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-09 12:11:57


ความคิดเห็นที่ 12 (1526082)

เรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า นี้หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้ให้ข้อมูลไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานเล่มนี้เพียงเท่านี้ แต่มีข้อห้ามที่ได้เคยอ่านในหนังสือเล่มอื่นว่าหลวงพ่อปานท่านห้ามไม่ให้ไปใช้ในการเล่นการพนัน และประกอบมิจฉาชีพ เพราะมีโทษ ผมเองเคยผิดมาแล้วเรืองการพนันขอนำมาลงไว้เพื่อให้ทุกท่านได้ทราบ และจะได้ไม่ทำผิดตามกัน ขอขมากรรมต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ครูผึ้ง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ขอได้โปรดให้อภัยกับลูก และให้ลูกได้อานิสงส์จากการท่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเช่นเดิมด้วยเทอญ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เสฏฐพัฒน์ วันที่ตอบ 2011-01-09 12:17:19


ความคิดเห็นที่ 13 (1526084)

คาถานี้มีประโยชน์มากค่ะ

หลวงพ่อเมตตาลูกหลานมาก

ถึงไม่ได้เงินล้านแต่ก้อไม่ขัดสนในความเป็นอยู่ หลวงพ่อช่วยลูกหลานทุกอย่างที่ไม่ขัดต่อกฏแห่งกรรมของเรา

สวดคาถานี้มานานค่ะ แต่ไม่สมำเสมอ คือจำนวนไม่แน่นอน บางวันก็มากถึงร้อยจบ บางวันก้อน้อย

แต่ที่สำคัญคือหยอดกระปุกไว้ทำบุญ

ส่งลูกไปเรียนโทที่อเมริกา คนอื่น ๆจ่ายค่าหน่วยกิต 6-7พันเหรียญต่อเทอม

แต่ลูกจ่ายเพียง 2500-3000 พันเหรียญต่อเทอม ถามเจ้าหน้าที่ก้อไม่ทราบสาเหตุ

ทำให้ประหยัดมาก

และปีหลังจ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะได้งานเป็นผู้ช่วยสอน

เคยมีปัญหาธนาคารจะมายึดบ้านยึดรถในคราวเดียวกันโดยไม่รู้ตัวล่วงหน้ามาก่อน

ก้อสามารถหาเงินมาชำระได้

ด้วยความกรุณาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหลวงพ่อฤาษี

คาถานี้ช่วยปัดอุปสรรคทั้งหลาย  ท่องเป็นการภาวนายิ่งได้ผลค่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหลวงพ่อฤาษี เมตตาลูกหลานมากค่ะ

เข้ามาอ่านเว็บนี้เลยอยากเล่าให้ทราบถึงพระเมตตา

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชมพู วันที่ตอบ 2011-01-09 12:19:23


ความคิดเห็นที่ 14 (1526185)

ขออนุโมนาบุญกับคุณเสฏฯเจ้าของกระทู้

และเรื่องเล่าเสริมจากคุณชมพูด้วยนะคะ....

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา วันที่ตอบ 2011-01-10 05:39:14


ความคิดเห็นที่ 15 (1581101)

ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้และขออนุญาตคัดลอกไปท่องและเผยแพร่นะคะ

ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อรศรี ชุติเนตร (aurasri05-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-29 19:23:34


ความคิดเห็นที่ 16 (1581189)

อนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ละม่อม ทองเจือ (ohm-dot-lamom-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-30 18:46:52


ความคิดเห็นที่ 17 (1581305)

วิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้าน เพื่อให้เกิดผลสูงสุด

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน 3


ในช่วงพิธีพุทธาภิเษก พระสงฆ์ได้นำสวดอิติปิโส ๒๑ จบ ตามกำลัง

วัน(วันศุกร์) เมื่อสวดจบแล้ว พระอาจารย์ได้ขอโอกาสคณะสงฆ์

เพื่อบอกกล่าวกับญาติโยม ดังนี้

ความ จริงในส่วนของพุทธานุภาพ ที่แผ่ปกคลุมมายังวัตถุมงคล

เต็มครบ

ถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ ตั้งแต่ตอนที่เราสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย

จบที่เจ็ดแล้ว



แต่องค์พระ ปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคน เข้าใจถึงวิธีในการ

เจริญภาวนาคาถาเงินล้าน เพื่อให้เกิดผลสูงสุด ที่จะพึงมีพึงได้ตาม

วาสนาบารมีของแต่ละคน ดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง

 

แต่ไม่ใช่

เกร็ง เวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลม

หายใจเข้าไป จนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น

 

นั่นคือศูนย์กลางกาย


ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ

ให้เป็นศูนย์กลาง

ของเรา เสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น

โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆ  ท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรง

จุดนี้เลย แต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะ

แผ่ว ๆ อยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ



องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า

ถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อ

 

เนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมง จะมีความคล่องตัวมาก

จะทำงานใหญ่

ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือ

 

ยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมี

มาตั้งแต่อดีต ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ



ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหา จุดกึ่งกลางของเราที่พอดี โดยไม่ต้องเกร็งตัว

 

 

เอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเรา

 

ให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ

 

เท่านั้น ให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอก

 

หมดเวลา


งานกฐิน ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๒



หลวง ปู่มหาอำพันท่านบอกเอาไว้ว่า ตราบใดที่ยังบวชอยู่ ถ้าหากออก

 

พรรรษาแล้วให้ไปกราบพระ ได้แก่ พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช


พระพุทธชินสีห์ และพระปฐมเจดีย์

อาตมาก็ทำมาตลอด คราวนี้ช่วงที่ไปกราบนั้น พอดีเป็นช่วงเวลาที่ตรง

 

กับในหลวงประชวร ระหว่างที่กำลังตั้งใจสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชาอยู่

 

พระท่านก็บอกว่า ระยะนี้วาระกรรมที่พวกเราได้ทำตั้งแต่อดีตมันมาสนอง

ทำให้หลายต่อหลายท่านขาดความคล่องตัว

 

โดยเฉพาะท่านที่มีกิจการ

 

เป็นของตนเอง ท่านบอกว่าถ้าเป็นไปได้ให้เข้ากรรมฐานก่อนกฐินสัก

 

๓ วัน เพื่อจะได้สงเคราะห์ญาติโยมที่มาทำบุญกฐิน ให้มีความคล่องตัว

ขึ้น

อาตมา เองก็มาดูว่าก่อนกฐิน ๓ วัน ก็คือ วันที่ ๒๐ , ๒๑ , ๒๒ ปรากฏว่า

 

วันที่ ๒๐ นั้นเป็นวันอังคาร ปกติแล้วอาตมาจะติดสอนพระนิสิตที่ห้อง

 

เรียน มจร.วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ก็คิดว่าไม่น่าจะเข้ากรรมฐานได้ถึง

 

๓ วัน และอย่าไปหวังถึง ๗ วันเลย เพราะภารกิจมันเยอะ แต่ในเมื่อ

 

พระ

 

ท่านสั่งเราก็รับไว้ก่อน ส่วนได้แค่ไหนค่อยมาแก้ไขเฉพาะหน้ากันอีก

 

ครั้งหนึ่ง

ในวันที่ ๑๖ อาตมาก็เข้าประชุมเพื่อจัดตารางสอนร่วมกับคณาจารย์

 

ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย เขาก็มอบหมายให้

 

อาตมาสอนชั่วโมงสุดท้ายของวันอังคารซึ่งตรงกับวันที่ ๒๐ แน่นอน

 

 

ถ้าสอนชั่วโมงสุดท้ายกว่าจะสอนเสร็จก็ตกประมาณหกโมงครึ่ง กว่าจะ

 

กลับมาถึงที่นี่ก็ราว ๆ สองทุ่ม อาตมาก็คิดว่าจะทำกรรมฐานให้มากที่สุด

 

 

เท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน ตั้งใจว่าพอกลับมาก็เริ่มเข้ากรรมฐานเลย ก็ถือว่า

 

เริ่มในวันที่ ๒๐ เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่เต็ม ๓ วันก็ตาม



เมื่ออาตมารับตารางสอนมาแล้ว ประชุมเสร็จ เดินออกมาข้างนอก

 

ปรากฏว่าเจ้าอ้อย (เจ้าหน้าที่ธุรการ) ก็ถามว่า

" หลวงพ่อจะสอนวันไหนดีเจ้าคะ"


"เฮ้ย เขาจัดให้ข้าวันอังคาร ชั่วโมงสุดท้ายเลย"


"นั่นของปลอม ของจริงหนูต้องเป็นคนพิมพ์"


"ถ้าเป็นไปได้ช่วยใส่ให้เป็นวันจันทร์"


"ทำไมหลวงพ่อต้องสอนวันจันทร์ ช่วยบอกเหตุผลด้วย ถ้ามีคนถามจะ

 

ได้ชี้แจงได้"

 


"เพราะ ว่าทุกวันจันทร์ต้องมาส่งพระเข้าห้องเรียน วันอังคารต้องมาสอน

 

วันพุธต้องมารับพระกลับ ถ้าจะเดินทางทั้งสามวัน ค่าใช้จ่ายวันหนึ่ง

 

เกือบพัน"


"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อเอาชั่วโมงแรกไปเลยค่ะ"


"ถ้าได้ก็ดี ถ้ามาถึงสอนเสร็จก็กลับเลย"

อ้อยเขาก็จัดแจงบันทึกเอาไว้ว่าอาตมาสอนชั่วโมงแรก อาตมาก็บอกว่า



"ห้ามเปลี่ยนใจนะ"


" ไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ เพราะหนูเป็นคนพิมพ์เอง"

อาตมา ก็ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไฟท์บังคับอีกตามเคย เพราะหลายต่อ

 

หลายอย่างที่พระท่านสั่ง อาตมาพยายามเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็เปลี่ยน

 

ไม่ได้ ในเมื่อท่านสั่งต้องเป็นไปตามนั้นทุกครั้ง แม้กระทั่งเรื่องตาราง

 

สอน ตกลงกันในที่ประชุมแล้ว และเขาพิมพ์ออกมาอย่างดิบดีแล้ว

ก็ยัง

เปลี่ยนแปลงได้ ก็ต้องใช้คำว่า ธรรมะจัดสรร

เมื่อเป็นดังนั้น อาตมาซึ่งเจอมามากต่อมากแล้ว จะอวดดีแก้ไขอย่างไรก็

 

ตาม ไม่สามารถจะแก้ไขของท่านได้ ก็ต้องก้มหน้ารับกรรมไปโดยดี

 

เพราะฉะนั้นจึงเก็บตัวตั้งแต่เช้ามืดวันที่ ๒๐ แล้วก็ออกมาเช้ามืดวันที่

 

๒๓ เป็นอันว่าครบ ๓ วันเต็ม ๆ เลย ไม่ขาดไม่เกิน



จากที่พระท่านบอกไว้เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของเรา

จะเริ่มดีต้องปี

๒๕๕๖ ไปแล้ว เราจะไปโทษนักการเมืองก็ไม่ได้

 

จะไปโทษภาวะ

 

 

เศรษฐกิจโลกก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างพวกเราทำมาเอง เมื่อถึงวาระผล

กรรมอันนี้ก็ส่งผลมาถึงตัวเรา

 

แต่ว่าสายของเรานั้นตามที่พระพุทธเจ้า

ท่านสงเคราะห์ให้ เราก็มีวิธีการที่จะผ่อนหนักเป็นเบาเป็นระยะ ๆ


โดยเฉพาะเมื่อปี ๒๕๒๘ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่าน

ได้ขอ

 

ให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้าน เพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวใน

 

การดำเนินชีวิต พระท่านก็อนุญาตให้ เราจะสังเกตได้ว่า

 

ใครก็ตามที่ทำ


พระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ

 

ความคล่องขัดในการ


ดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขา

 

ขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอ

 

เพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา


คนจะเป็นอภิญญาได้จะต้อง


มีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้ง ๆ

 

เมื่อท่านทั้งหลายได้ทำ

 

จริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก

 

อย่างเช่นว่าอาจจะ


ภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้น ก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่า

 

คนอื่นเขา



โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่

 

 

๙ จบ ก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....


จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐ จบ.......


ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น

 

๑,๒๐๐ จบ เป็นต้น



การ ท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย

 

เป็นการ


เน้นคุณภาพ ไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ

 

เรื่องของคาถา

 

 

ถ้าทำด้วยความเคารพ จริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒ เดือน

 

ผลก็จะเกิดขึ้น


หลังจากที่ ทดสอบแล้วว่าแต่ละวันสามารถทำสูงสุดได้เท่าไหร่ จำนวนที่

 

พอเหมาะพอดีก็อยู่ที่ประมาณ ๓๐๐ จบ เพราะว่าเราต้องทำงานอื่นด้วย

 

ในจำนวน ๓๐๐ จบนั้น อาตมาก็แบ่งเป็น ๓ ชุด คือ ตอนเช้า ๑๐๐ จบ

 

กลางวัน ๑๐๐ จบ ตอนเย็น ๑๐๐ จบ เวลาอื่นก็ทรงอารมณ์ทำงานไป

 

ตามปกติ อาตมาภาวนาอยู่ในลักษณะนี้ ๓ ปีติดกัน โดยใช้การนับลูก

 

ประคำเป็นการนับจำนวนไปด้วย นับจนลูกประคำขาดไปหลายต่อหลาย

 

ครั้ง บางทีก็เก็บลูกประคำคืนมาได้ไม่ครบ ต้องหาเสริมเข้าไป นับจนนิ้ว

 

มือด้านเป็นเม็ดเลย (หนังมันหนาขึ้นมาในลักษณะด้านเหมือนคนทำงาน

 

หนัก)

หลังจากนั้นทดสอบ ว่าวันหนึ่งทำได้เต็มที่ ๑,๒๐๐ จบ แต่เวลาอย่างอื่น

 

มันไม่เหลือ เพราะว่าเริ่มจากตี ๓ ไปสิ้นเอาตอนประมาณ ๑ ทุ่ม ญาติ

 

โยมลองนับดูว่าใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ ภาวนา ๑,๒๐๐ จบ......ทำอยู่

 

ประมาณสองเดือนเต็ม แต่เวลาทำงานอื่นไม่มี ก็เริ่มลดลงมา ระยะหลังนี่

 

ใช้ว่า ภาวนาคาถาเมื่อไหร่ก็ใช้บทนี้

 


เห็นได้ชัดเลย เรื่องความคล่องตัวต่าง ๆ เนื่องจากออกจากวัดท่าซุงมา

 

 

ใช้เวลา ๑๓ เดือน สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี

 

(ปัจจุบันคือสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี) เสร็จสิ้นเรียบร้อย มีอาคารคอนกรีต

 

เสริมเหล็ก ๑๓ หลังด้วยกัน ( ๑๓ เดือน สร้างได้ ๑๓ หลัง) ทั้ง ๆ ที่ช่าง

 

ส่งงานไม่ตรงเวลาด้วย บางทีนัดกันไว้ ๔๕ วันก็เป็น ๖๐ วัน จนกระทั่ง

เขาเอาไปลือกันทั้งจังหวัดว่าไม่เคยเห็นวัดไหนสร้างเร็วอย่างนี้ อาตมา

 

ยืนยันว่าทุกวัดถ้าหากว่าเงินพร้อม คนพร้อม ของพร้อม สร้างได้เร็วอย่าง

 

นี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่จะไม่พร้อมตรงเงิน

ช่วงนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า

 

"ถ้าภาวนาคาถาเงิน

 

ล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมง

 

จะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

หลังจากที่สร้างสำนักสงฆ์เกาะ พระฤๅษีเสร็จแล้ว วัดอื่น ๆ ก็มาขอให้

 

ช่วย วัดนั้นจะเอาโบสถ์หลังหนึ่ง วัดนี้จะเอาศาลาหลังหนึ่ง อาตมาทำให้

 

ทั้งนั้น โดยเฉพาะวัดที่ต้องไปทุ่มเททำอย่างจริง ๆ จัง ๆ เหมือนเป็นวัด

 

ของตัวเองเลยมีอยู่ ๗ - ๘ วัดด้วยกัน อย่างวัดหนองบัวที่พม่าก็ดี หรือวัด

 

พุทธบริษัทก็ดี อาคารสิ่งก่อสร้างหมดสภาพแล้ว ต้องรื้อทิ้งเกลี้ยงเหลือ

 

แต่พื้นดินเลย แล้วก็เริ่มต้นทำขึ้นมา วัดพุทธบริษัทใช้เวลาสร้าง ๕ เดือน

 

เศษ ๆ มีอาคารพอแก่การใช้งาน ยกเว้นไม่มีโบสถ์เท่านั้น แต่ว่าวัดหนอง

 

บัวนั้นสร้างอาคารหลังใหญ่มหึมามาก และข้าวของที่สั่งพม่านั้นหาได้

 

ยาก ซื้อได้ยาก แพงอีกต่างหาก การขนส่งก็ลำบาก จึงใช้เวลาถึง ๓

 

ปีกว่าจะเรียบร้อย

เมื่อทำวัดวา อารามต่าง ๆ ความอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเงินก็เกิดขึ้น

 

บางช่วงเงินขาด แต่ต้องส่งค่างวดก็คือค่าวัสดุและค่าแรง ปรากฏว่า จู่ ๆ

 

ก็มีโยมแบกเงินมา ๑ ล้านบาทมาถวาย ถามเขาว่าการทำบุญแบบนี้แม้

 

จะเป็นเรื่องดี แต่ว่าตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนหรือเปล่า ?

 

ถ้าหาก

 

ยังมีที่จำเป็นจะต้องใช้ ให้เอากลับไปใช้ก่อน เขาก็ยืนยันว่าไม่เดือดร้อน

 

โดยใช้คำว่า "ทำงานมาทั้งชีวิตก็อยากจะทำบุญให้มันสะใจเสียที"

 

 

เป็นกำลังใจที่น่าโมทนามาก


ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถา เงินล้านเป็นของดี แต่ไม่ค่อย

 

จะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่อง บางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความ

 

ลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้

 

เขา

บอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ

 

?" โยมบอกว่า "๑ จบ" อาตมาก็อยากจะบอกว่า "จบเห่"

 



คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมง

 

ยังไม่

 

ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้น

 

 

ทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลัก

 

เพราะว่า


ภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น

 

เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วย


 

ถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระ ยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ

 

ทำแบบมอบ


หมายถวายชีวิตจริง ๆ ขอยืนยันว่า ทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย


สำหรับช่วงที่เข้ากรรมฐานอยู่นั้น เมื่อวันแรกผ่านไป ช่วงเย็น ๆ เกิดมี

 

ความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอย่างหนึ่ง คือมันปวดหัว ปวดเหมือนโดนใคร

 

บีบขมับทั้งสองข้าง ก็สงสัยว่าเป็นเรื่องอะไร ปรากฏว่าหมอใหญ่ท่านก็

 

มา ท่านบอกว่าสภาพร่างกายมันเป็นอย่างนั้นเอง ถ้ามันขาดอาหาร

 

มันจะส่งสัญญาณทวง ส่วนใหญ่แล้วคนเราที่ตั้งใจจะอดอาหารแล้วอด

 

ไม่ได้ เพราะว่าทนการทวงของมันไม่ไหว เมื่อทราบว่าเป็นเรื่องปกติของ

 

ร่างกาย


อาตมาก็บอกกับมันว่า "ใจเย็น ๆ ไม่เกิน ๓ วัน เอ็งได้กินแน่" ปรากฏว่า

 

รุ่งขึ้นมันเลยเลิกทวง

ความ จริงถ้าเราเข้ากรรมฐานแบบไม่เอาร่างกายเลยมันจะไม่รู้สึก แต่

 

อาตมาเป็นคนงานเยอะ ภารกิจมาก ก็ต้องทรงอารมณ์ไปด้วย ทำงานไป

 

ด้วย อยากจะบอกว่าทำงานได้มากกว่าที่โยมคิดในแต่ละวัน อย่างเช่นว่า

ทำต้นฉบับของหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์เสร็จไปหนึ่งเดือน ตรวจ

 

เนื้อหาการอบรมพระที่เกาะพระฤๅษีเสร็จไปหนึ่งชุด ทำ power point

 

ของการสอนในอาทิตย์ต่อไปเสร็จ จารตะกรุดมหาสะท้อนไปอีก ๓๐

 

 

ดอก แล้วเวลาที่เหลือก็ใช้ในการภาวนา เพราะว่าถ้าทำงานมากเกินไป

 

ร่างกายที่ไม่มีอาหารอยู่เดี๋ยวมันจะประท้วงแย่ ที่ว่ามานี่ก็คือสิ่งที่ทำภาย

 

ในวันเดียว

ส่วนเมื่อวานนี้ ก็เริ่มภาวนาตั้งแต่ ๕ ทุ่มเพราะว่า ร่างกายที่ไม่มีอาหาร

 

ตัวมันโปร่ง มันเบา ไม่หนักด้วยอาหาร มันทำให้เรามีสติ ภาวนาได้นาน

ภาวนาไปสอง รอบ เนื่องจากอาตมาทำกรรมฐานเป็นชุด ๆ กำหนดไว้ว่า

 

ตอนนี้จะทรงอารมณ์ไปทางไหน ตอนนี้จะภาวนาไปทางไหน ทำไปสอง

 

รอบปรากฏว่าเกือบจะสิบโมงเช้า ใช้เวลาเกือบครบ ๑๒ ชั่วโมง หลังจาก

 

นั้นก็นั่งจารตะกรุดมหาสะท้อนได้อีก ๒๐ ดอก แล้วมือมันล้า มันประท้วง

 

ว่าไม่ไหวแล้ว เขียนต่อไปจะไม่ติดแล้ว แรงกดมันไม่มี

ต่อ มาก็มาจารยันต์ครูซึ่งพระมาสั่งตอนต้นเดือนว่าให้ทำไว้ คราวต่อ ๆ

 

ไปที่เราจะสร้างวัตถุมงคลก็ให้หลอมไปเลย แล้วเก็บชนวนไว้ใช้ในครั้ง

 

ต่อ ๆ ไป อาตมาได้รับการถวายทองคำมา ๕ บาท ตีแผ่แล้ว กว้าง ๙ นิ้ว

 

ยาว ๙ นิ้ว ก็นั่งจารยันต์ไป มียันต์พุทธนิมิตมหามงคล ที่พระเดชพระคุณ

 

หลวงพ่อท่านทำเอาไว้ อาตมามีตัวอย่างอยู่ชิ้นเดียว ไม่มีโอกาสถาม

 

หลวงพ่อว่ามีอานุภาพทางด้านไหน ? แต่คาดว่าคงจะครอบจักรวาล

ก็คือได้ทุกเรื่อง



เนื่องจากว่าอาตมาไปค้นสมบัติพ่อโดยอ้างว่าช่วย ทำความสะอาด

 

(ใครอย่าเลียนแบบ เลียนแบบละก็เจอแน่ สงวนลิขสิทธิ์ห้ามเลียนแบบ

)

ก็ไปเจอยันต์อยู่ผืนหนึ่ง เป็นผ้าแดงสองชั้นซ้อนกัน โดนหนูลากไปทำรัง

 

อาตมาก็ล้วงรูหนู ปรากฏว่าเจอผ้ายันต์โดนกัดขาดกะรุ่งกะริ่ง แต่อัศจรรย์

 

ตรงที่ว่าตัวยันต์ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ อาตมาจำลายมือหลวงพ่อได้

 

ก็เลยลอกแบบเอาไว้ แม้จะไม่รู้วิธีใช้ก็ตาม ตอนหลังมีโยมคนหนึ่งขอ

 

ยันต์ไป อาตมาก็เหลือแต่แบบเท่านั้น

ขณะที่จะจารยันต์อันต่อไป นึกไม่ออกว่าจะลงยันต์อะไรดี หลวงพ่อ

 

ท่านบอกว่า "แกเคยเอายันต์ของข้ามาชิ้นหนึ่งจำได้ไหม ?" เรียนท่านว่า

 

"นึกไม่ออกครับ.." ท่านบอกว่า "แผ่นใหญ่ที่มียันต์หลายอย่างรวมกัน.."

 

อาตมานึกออกทันทีว่า เคยคิดค่าเฝ้าหน้าห้องของท่านมา ก็ไปค้นดู

 

โชคดีที่เจอ ยันต์ใส่อยู่ในซองพลาสติกแต่ว่าซองพลาสติกนั้นกรอบหมด

 

แล้ว ถ้าขยับก็แตกเลย

อาตมากางออกมาดู ปรากฏว่ามียันต์อยู่ ๕ ชนิดด้วยกัน ซึ่งหลวงพ่อท่าน

 

เขียนหมายเลขกำกับ ๑ ๒ ๓ ๔ และมีตัวหนังสือกำกับไว้เล็กน้อย

 

อย่างเช่นว่า


หมายเลข ๑ คือ ยันต์ปัญจพุทธามหามงคล ท่านบอกว่า ป้องกัน

 

อันตรายและเป็นมงคลทุกประการ ยันต์ตัวนี้เป็นยันต์ที่อาตมาเขียนลง

 

ตะกรุดมหาสะท้อนตามแบบหลวงพ่อตลอดมา

 


หมายเลข ๒ คือ ยันต์ศัตรูพินาศ ใครคิดจะทำอันตรายต่อเรา


เขาจะแพ้


ภัยตัวเอง เป็นยันต์ของท่านปู่ท้าวมหาชมภู (ท่านปู่สหัมบดีพรหม)

 


หมายเลข ๓ เป็นยันต์มหาเศรษฐี ท่านวงเล็บไว้ว่า เงินไม่ขาดมือ

ยันต์นี้

อาตมาเคยเห็นและเคยใช้มาแล้ว

 


หมายเลข ๔ เป็นยันต์กันโรคระบาด ของท้าวเวสสุวรรณ

 


หมายเลข ๕ เป็นยันต์ป้องกันอันตรายทั้งปวง ของท่านปู่พระอินทร์

 

ซึ่งหลวงพ่อท่านเอามาลงเป็นธงเขียว



เมื่อ อาตมาเห็นแล้วจำขึ้นใจทุกอัน เพราะเคยเขียนมาชนิดช่ำชองแล้ว

 

ก็นั่งเขียนยันต์จารตะกรุดแผ่นทอง ปิดท้ายด้วยพระคาถาเงินล้าน หมด

 

ทุกตารางนิ้วพอดี ต่อไปนี้ถ้าหากจะหล่อพระก็จะค่อย ๆ เอากรรไกรตัด

 

ลงมาทีละนิด คาดว่าคงหากินได้หลายปี..(หัวเราะ)



เมื่อจารยันต์ครูเสร็จ อาตมาก็ทำกรรมฐานรอบกลางวันต่อ เมื่อทำ

 

กรรมฐานรอบกลางวันเสร็จ คราวนี้งานหนักรออยู่ เพราะว่าตะกรุดมหา

 

สะท้อน ๕๐ ดอกที่จารไว้ยังไม่ได้ม้วนเลย ต้องมานั่งม้วนตะกรุดมหา

 

สะท้อน กว่าจะเสร็จก็สองชั่วโมง ม้วนจนเจ็บนิ้ว หลังจากนั้นก็ขึ้นไป

 

ตรวจงานต่อ เพราะว่างานด้านเอกสารมีมากเหลือเกิน

 



ทุก วันนี้งานชุดใหญ่ ๆ ที่เตรียมเอาไว้เพื่อจะำนำทยอยลงในกระโถนข้าง

 

ธรรมาสน์ มีเรื่องที่ออกธุดงค์ ใช้ชื่อว่าท่องไปในโลกกว้าง ประมาณ ๑๐

 

กว่าตอน บางตอนยาวมากเพราะว่าอยู่ในป่าเป็นเดือน ๆ อีกชุดหนึ่งคือ

 

ชุดการอบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ตอนนี้เพิ่งจะทำเสร็จเรียบร้อยไป

 

 

แค่ ๓ เดือน คือเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม ๒๕๕๐



อาตมาอยากจะทำตำราให้เป็น มาตรฐานตามแบบนักวิชาการ จึงมีการ

 

อ้างอิงพระไตรปิฎก อรรถกถา และตำราต่าง ๆ เช่น ปกรณ์วิเศษวิสุทธิ

 

มรรค เป็นต้น

เนื่องจากทางด้านคณะของท่านรัตน์ (ตอนนี้เป็นทิดรัตน์) และคณะของ

 

คุณชัยรัตน์ ธรรมทัตโต(คุณซัน ลูกเจ้าคุณนรฯ) ตั้งใจจะสร้างวัตถุมงคล

 

สำหรับงานกฐินปีหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้ววัตถุมงคลชิ้นนี้อาตมาไม่ได้คิดจะ

 

ทำ แต่ก็เห็นว่าจะต้องมีเหตุทุกครั้งเหมือนกัน จนกระทั่งท่านรัตน์บอกว่า

 

พระอุปคุตท่านมา ก็เลยอยากทำวัตถุมงคลถวายท่านสักชุดหนึ่ง

 

อาตมาก็บอกให้ไปลองจัดการทำแบบดู



ปรากฏ ว่ามีปัญหากับทางโรงงาน ไปเจอความไม่ตรงไปตรงมาของทาง

 

ด้านโรงหล่อ ไม่ทราบว่าเขาจะเอาแบบไปปั๊มให้อีกสักกี่เจ้าก็ไม่รู้ ?

 

จึงตัดสินใจว่าไม่ทำดีกว่า ตั้งแต่ตอนทำพระขรรค์โสฬสแล้ว เราสั่งทำ

 

พระขรรค์ ๘ ซ.ม. แต่เขามีพระขรรค์ ๑๖ ม.ม. ตามมาด้วย และจำหน่าย

 

เป็นสาธารณะ ทั้ง ๆ ที่มีหนังสือสัญญาระบุไว้ว่าพระขรรค์ของเราขนาด

 

๘ ซ.ม. เพราะฉะนั้นขนาด ๑๖ ม.ม. ไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไปโหนกระแส

 

ในเว็บ ซึ่งมีความต้องการพระขรรค์โสฬสเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนหนึ่งที่เขาถวายมา เพื่อร่วมงานกฐินปลดหนี้ของตุ๊ป้อมหาสิงห์

 

ถ้าจำไม่ผิด น่าจะถวายมาสามร้อยเล่ม ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาทำ

 

จริง ๆ ออกมาเท่าไร ตอนแรกคุณซันบอกว่าจะตั้งราคาสักหนึ่งพันบาท

 

หรือห้าร้อยบาท เพราะว่าเป็นที่ต้องการมาก อาตมาถามว่า "ทางโรงงาน

 

เขาจำหน่ายออกราคาเท่าไร ?" คุณซันบอกว่า "๑๙๙ บาท" ก็บอกว่า

"ถ้า

อย่างนั้นของเรา ๒๐๐ บาทพอ" เพราะว่าถ้าเราตั้งราคา ๕๐๐ บาทเขาจะ

 

กระโดด ๕๐๐ บาทตาม ถ้าเราตั้ง ๑,๐๐๐ บาทเขาก็จะ ๑,๐๐๐ บาทตาม



เมื่อไม่ตรงไปตรงมา ท่านรัตน์ก็มาปรารภว่า "เลิกคบกับมันดีกว่า.." ก็

 

 

บอกว่า "จะเอาอย่างนั้นก็ได้" อาตมาก็มาสงสัยว่า แล้วกฐินปีหน้าจะมี

 

อะไรแจก ? ปรากฏว่าตอนนี้ได้แล้ว ตอนเข้ากรรมฐานท่านบอกให้ทำ

 

เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน


โดยแบ่งออก เป็นสองส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งสำหรับแจกในงานกฐิน

 

อีกส่วนหนึ่งเอาไว้แจกในงานทำบุญครบรอบ ๖๐ ปีของแม่ชีชื่นทางวัด

 

ท่าขนุนนี้ อาตมาตั้งใจจัดงานให้อยู่แล้ว

ในเรื่องของแบบนั้น ได้แบบที่ถูกใจมาเป็นพระปิดตาองค์เล็ก ๆ ไม่ใหญ่

 

 

ถ้าจะเอาไปเลี่ยมทองหรือฝังเพชร จะได้ไม่ต้องหมดมาก ด้านหลังก็จะ

 

ลงเป็นยันต์มหาเศรษฐีของหลวงปู่ปาน ซึ่งท่านยืนยันว่าถ้าบูชาด้วย

 

 

ความเคารพเงินจะไม่ขาดมือ



ส่วนงานต่อ ไปที่ได้มาก็คือ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ ให้จัดงานเป่ายันต์

 

 

เกราะเพชรเพื่อสงเคราะห์ญาติโยมด้วย จึงประกาศล่วงหน้าตั้งแต่บัดนี้

 

เป็นต้นไปเลยว่า วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ มีงานเป่ายันต์เกราะเพชร

 

ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ เสียดายว่าไม่ใช่ปีที่ ๕ เพราะถ้าเป็นปี

 

มะโรงจะเป็นปีที่ ๕

วันกับ เดือนถ้าตรงกันโบราณเขาว่าแรงเป็นสองเท่า เขาเรียกว่ากระทิง

 

วัน ถ้าวันเดือนปีตรงกัน ท่านเรียกว่า ตรีวัน แรงเป็นสามเท่า

 

พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน จะนำเข้าพิธีตอนช่วงนั้น และอาตมาตั้งใจ

 

แล้วว่า ยันต์ครูที่ทำไว้จะถลุงให้เกลี้ยงเลย นอกจากที่ตัวเองจารไว้เอง

 

 

แล้ว

 

ยังมีที่ท่านอื่นช่วยจารไว้หลายต่อหลายอย่างด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็น

 

 

ยันต์

ของหลวงพ่อ มีที่อาตมาทำไว้ตั้งแต่สมัยอยู่วัดท่าซุงและนำเข้าพิธีของ

 

 

หลวงพ่อวัดท่าซุง มาตลอดอยู่ ๓ ชิ้น ซึ่งประกอบด้วยยันต์เกราะเพชร

 

ยันต์กันไฟไหม้ กันฟ้าผ่า และคาถาเงินล้าน ก็กะว่าลงทีเดียวให้หมดไป

 

 

เลย แล้วหลังจากนั้นก็เก็บชนวนเอาไว้ ทำแบบหลวงพี่องอาจ

 

(ท่านพระครูวินัยธรองอาจ อาภากโร) ท่านได้ชนวนสมเด็จองค์ปฐม

 

จากวัดท่าซุง ถึงเวลาท่านไปหล่อพระ เห็นท่านหยิบชนวนขึ้นมา

 

อาตมาก็นึกว่าจะลงทั้งหมด เปล่า....พี่ท่านจัดการให้นิดหนึ่ง



พอเริ่มเข้ากรรมฐานรอบสุดท้าย ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว

 

 

ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆ เหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ

 

จนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้น ญาติโยมทั้งหลาย

 

จำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆ หากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกาย ถ้าตรงจุดพอ

 

 

เหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้น แบบที่หลวงปู่สด

 

 

ท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลง

 

ไป

 

ก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่า

 

 

ไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้

 

คาถาบทนั้นจะ

 

มีผลมาก

 

เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ ถ้าทำถูกไม่ต้องไป


 

ท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้ เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกิน

 

นั้น



อารมณ์ใจที่มันเป็นรักโลภโกรธหลง มันเกิดจากการปรุงแต่งทั้งนั้น

 


ถ้าเราไปคิดในแง่ดีมันก็จะเป็นราคะ คิดในแง่ร้ายก็เป็นโทสะ

 

ถ้าหยุดคิด


 

ได้ก็เริ่มมีจุดยืนของตัวเอง ฉะนั้นเลิกคิดได้เมื่อไหร่ก็สบาย

 

คำว่าเลิกคิด


ก็คือเลิกปรุงแต่งนะจ๊ะ


ปรุงในด้านดี เว้นการปรุงในด้านไม่ดี

 

และท้ายสุดเว้นการปรุงทั้งดีและไม่ดี



ก่อนที่จะเข้ากรรมฐานนั้น หลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย ท่านมาบอกว่าให้ใช้

 

คาถาของท่านด้วย พอได้ยินว่าคาถาของท่านด้วยนี่อาตมาเข้าใจเลย



ท่านมีคาถาอยู่บท หนึ่ง เรียกว่า คาถาขับมาร ความจริงมารมันไม่ต้องไป

 

 

ขับหรอก...ขับได้ยาก ต้องเรียกว่าอาศัยบารมีพระท่านสงเคราะห์

 

ก็ว่า

 

คาถาของท่านแล้วโบกมือไปทั้งสี่ทิศ จะเป็นการป้องกันเขตนั้นไว้

 

สิ่งที่ไม่ดีจะกวนไม่ได้

ในส่วนของกฐินนั้นเป็นบุญสังฆทานและเป็นบุญพิเศษ เพราะว่าจำกัด

 

ด้วยเวลา ปีหนึ่งมีเวลาทำแค่ ๒๙ วันเท่านั้น จึงมีอานิสงส์มากเป็นพิเศษ

 


สำหรับ กฐินหลวงนั้นมีทั้งกฐินต้น คือ กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่

 

หัวเสด็จไปทอดด้วยพระองค์เอง มีกฐินพระราชทานที่พระองค์ท่านพระ

 

ราชทานผ้าให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จไปทอด แทน

ในส่วนของกฐินราษฎร์นั้นมีจุลกฐิน เป็นกฐินที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ

 

ภายในวันเดียว โดยเก็บฝ้าย ดีดฝ้าย ปั่นด้าย ทอและย้อม ตัดเย็บเป็น

 

จีวรหรือสบงผืนใดผืนหนึ่ง ซึ่งจุลกฐินนี้แสดงออกซึ่งความสามัคคีในหมู่

 

ศาสนิกชน ต้องใช้กำลังคนมากเป็นพิเศษ คนปั่นด้ายและคนทอแต่ละ

 

คนต้องมีความคล่องตัว ชนิดที่ว่าอย่างน้อย ๆ ระยะเวลาครึ่งวันต้องทอ

 

 

ผ้าได้ประมาณ ๒ ศอก เมื่อคนเป็นจำนวนมากช่วยกันทอผ้าได้ ๒ ศอก

 

แล้ว จึงนำมาเย็บแล้วตัดเย็บเป็นผ้าจีวร ผ้าจีวรนั้นจะประกอบขึ้นมาจาก

 

ผ้าหลายชิ้นรวมกัน แล้วก็ถวายเป็นผ้ากฐินให้พระสงฆ์อนุโมทนาและ

 

กรานในวันนั้น

จุลกฐิน ปัจจุบันนี้หายากแล้ว ในประเทศไทยเหลือแค่ไม่ถึง ๑๐ แห่งที่

 

ยังทำอยู่ เพื่อนของอาตมาคือ พระครูภัทรกิจพิศาล วัดไผ่หูช้าง อำเภอ

 

บางเลน จังหวัดนครปฐม ยังทำอยู่เป็นประจำ เพราะว่าแถววัดไผ่หูช้าง

 

 

 

นั้นมีชาวไทยทรงดำ หรือเรียกว่าลาวโซ่ง อยู่มาก ท่านทั้งหลายเหล่านี้มี

 

พรสวรรค์พิเศษในการทอผ้า ยังสืบทอดกันอยู่โดยไม่ได้ทอดทิ้ง เมื่อ

 

ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะทอผ้าได้เก่งก็สามารถจะจัดจุลกฐินได้

 

แต่ว่าจุลกฐินของวัดไผ่หูช้างนั้น ทอดด้วยผ้าสบง ๑ ผืน แต่เป็นสบงที่

 

ถูกต้องตามพุทธานุญาต คือ ประกอบขึ้นจากผ้าหลายชิ้น ถ้าทอเป็นจีวร

 

กลัวจะเสร็จไม่ทัน กฐินหลวงบางแห่งก็ถวายเป็นผ้าขาว แล้วก็ให้ไปย้อม

 

เพื่อทำเป็นผ้ากฐินในวันนั้น

ส่วนกฐินราษฎร์อีกแบบหนึ่ง ก็คือ กฐินสามัคคี อย่างที่พวกเราทำกัน

 

บางท่านก็เรียกเป็นมหากฐิน



โยมจ๋า...มีงานใหญ่รออยู่ ปี ๒๕๕๗ อาตมาจะบวชพระถวายหลวงปู่สาย

 

๑๐๐ รูป เพราะฉะนั้นเตรียมตัวเตรียมใจสมัครตั้งแต่ตอนนี้เลย รับสมัคร

 

ท่านที่อายุตั้งแต่ ๒๐ ปีเต็มขึ้นไปจนกระทั่งถึง ๑๐๘ ปี เกินกว่านั้นไม่รับ

 

จ้ะ


วัตถุมงคลที่แจกนี้ นอกจากจะเข้าพิธีเสาร์ห้า เข้าพิธีโสฬสแล้ว ยังนำ

 

 

เข้างานกรรมฐานสามวันของอาตมาด้วยจ้ะ ได้ไปแล้วทำเครื่องหมาย

 

พิเศษด้วยว่าได้จากวันนี้


ในเรื่องของสภาพร่างกาย ต้องบอกว่าโยมอย่าไปถามหรือตามนึกถึงมัน

 


ถ้ายังตามนึกถึงมัน มันจะคอยแต่กวนอยู่เรื่อย ๆ มีเวลากินก็กิน มีเวลาพัก

 

ก็พัก แต่ถ้ากินแล้วยังบอกว่าไม่พอ พักแล้วยังบอกว่าไม่พอ


ก็ไม่ต้องไปฟังมัน

ถ้าเราไปถาม ไปห่วงใยอยู่ โอกาสที่จะหลุดพ้นจากมันก็ยาก

 

เพราะมัน


ตั้งใจที่จะให้เราทำตามมัน เรื่องของการปฏิบัติธรรม หรือการ

 

ดำรงชีวิต


จริง ๆ ก็หลักการอันเดียวกันให้เข้มงวดต่อตนเองและ

 

ผ่อนปรนต่อผู้อื่น


 

ก็คือ ถ้าเมตตาก็ให้เมตตาคนอื่น


โยมที่ทำงานโดยเฉพาะงานบริการ ให้หัดสังเกตอารมณ์ใจตัวเองไว้ด้วย


เราต้องสามารถสงเคราะห์คนให้เท่าเทียมกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

 

 

ไม่ใช่คนนี้สวยหน่อยเราก็เมตตา คนนี้ไม่สวยเราไม่เมตตา

 

คนนี้ท่าทาง


รวยหน่อยก็เมตตาเขา คนนี้แต่งตัวซอมซ่อมเราเมตตาไม่ได้

อย่างนี้


กำลังใจแย่มาก



ญาติโยมทั้งหลายที่เดินทางมาทั้งใกล้และไกล ตั้งใจมาเพื่อทำบุญกฐิน


ดังนั้นว่าพวกเรามีบารมี ก็คือ กำลังใจที่เข้มแข็งมาก โดยเฉพาะท่านเจ้า

 

ภาพ ก็คือครอบครัวของนายแพทย์ประสิทธิ์ จงเสริมศิริสกุล ท่านเป็นเจ้า

 

ภาพทอดกฐินที่นี่มาตั้งแต่ปีแรก ๆ จนบัดนี้ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นเจ้าภาพ

 

ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ลูกเรียนปริญญาตรี

 

เรียนปริญญาโทแล้ว



การที่ท่านทั้งหลายเดินทางมา ถ้านับตั้งแต่กรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่ระยะทางที่

 

ใกล้ ๆ แล้ว เนื่องจากว่าระยะทางกรุงเทพฯ - กาญจนบุรี ๑๒๙ กิโลเมตร

 

, กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร นอกจากระยะทางจะยาวแล้วยัง

 

 

ขับรถยาก ตอนช่วงเช้ามีหมอกมาก ทางขึ้นเขาก็คดเคี้ยวด้วย แต่ว่าท่าน

 

ทั้งหลายก็มาได้ทุกปี แสดงออกซึ่งกำลังใจอันแน่วแน่ ถ้าหากว่าเป็น

 

 

กำลังใจในภาษาบาลีเขาเรียกว่า บารมี บารมีถ้าหากว่าไม่เข้มข้นพอ

 

จะทำอย่างนี้ไม่ได้



หลายต่อหลายท่านด้วย กัน มาไกลชนิดสุดเหนือสุดใต้ โดยเฉพาะญาติ

 

โยมจากปักษ์ใต้ ตั้งแต่สุไหงโกลกขึ้นมา ยะลา หาดใหญ่ ตรัง ภูเก็ต

 

ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้มักจะมาก่อนเวลาด้วย คือ มาค้างก่อน

 

สัก ๑ - ๒ วัน เป็นปรกติ ถ้ากำลังใจไม่เป็นปรมัตถบารมี คือ เข้มข้นสูง


สุดพอเพียงจะทำเช่นนี้ไม่ได้



ตอนนี้กำลังใจในเรื่องทาน บารมีของพวกเราเข้มข้นพอ

 

ไม่ว่าไปอยู่ใน

 

สถานที่ใดเราก็พร้อมที่จะเสียสละ การสละออกนี้ที่เห็น ๆ อยู่ คือสละ

 

ทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทองที่เราหามาได้โดยยาก สละออกเป็นการตัด

 

ความโลภในจิตในใจเราได้ ถ้าหากเป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์จะสละ

 

ได้แม้แต่อวัยวะหรือชีวิต ของเราก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ต้องเดินทาง

 

มาไกล ไม่แน่ว่าอุบัติเหตุใด ๆ จะเกิดขึ้นหรือเปล่า ? จะมีการบาดเจ็บล้ม

 

ตายหรือไม่ ? แต่เราก็ตัดใจมา ก็แปลว่ากำลังใจของเราเข้มข้นแล้ว

 

เหมือนพระโพธิสัตว์ คือสามารถสละทรัพย์ได้ สละอวัยวะได้ สละชีวิตได้



ถ้ากำลังใจของเรา ถ้าเข้มข้นอยู่ในระดับนี้ ไม่ห่วงใย ไม่กังวลในชีวิตบั้น

 

ปลายของพวกเราแล้ว


ถ้าหากว่าเรามีปัญญาเพิ่มเข้าไปนิดหนึ่ง เห็นว่า

 

ร่างกายนี้มีความทุกข์อยู่เป็นปกติ แม้การทำบุญของเราก็ประกอบไปด้วย


ความทุกข์ เรามีความปีติรื่นเริงอิ่มใจ อยากทำบุญไม่รู้จักเหนื่อยจักเบื่อก็


ตาม แต่ว่าการเดินทางไปไกลทั้งกลางวันกลางคืนมันเหนื่อยมันเพลีย


เป็นปกติ เราก็จะเห็นได้ว่ามีแต่ความทุกข์



แต่ท่านทั้งหลายล่วงความทุกข์นั้น ได้ คือ ลำบากแค่ไหนก็ขอให้ได้

 

 

ทำบุญ

 

กำลังใจอย่างนี้ถ้าหากตั้งใจไว้ว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์

 



นี้เราไม่ต้องการอีก ถ้าหากสิ้นชีวิตลงเมื่อใดก็ตาม เราปรารถนาที่

เดียว



คือพระนิพพาน

 

 

ถ้ากำลังใจของเราปักแน่วแน่มั่นคง ตอนที่เราจะตาย


 

สามารถยึดเกาะอย่างนี้ได้ สามารถคิดแบบนี้ได้ ถึงวาระเราก็จะ

 

ไปนิพพานได้ง่าย



เราจะเห็นได้ว่า ทานเป็นปัจจัยให้เราละความโลภได้ก็จริง แต่ว่าเรา

 

 

สามารถนำเอาทานบารมีตรงนี้มาส่งให้เรามีศีล มีภาวนาได้



คำ ว่าศีลก็คือ การที่เราตัดใจ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติ

 

 

ผิดในกาม โกหกมดเท็จและดื่มสุราเมรัย ซี่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าไม่ใช่

 

 

คนกำลังใจเข้มแข็งก็จะทำไม่ได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายมีกำลังใจเข้มแข็ง

 

สละทรัพย์ได้ สละอวัยวะได้ สละชีวิตได้ เรื่องของศีลก็เป็นเรื่องเล็ก

 



อย่างการภาวนา เราก็เห็นว่าการทำบุญนี้ประกอบด้วยทุกข์เป็นปกติ

 

 

ขึ้นชื่อว่าโลกที่มีแต่ความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการมาเกิดอีก

 

ร่างกายที่มี


แต่ความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราปรารถนาที่เดียวคือ

 

นิพพาน


ทุกอย่างที่เราทำ เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า

 

ขอพระนิพพานแห่งเดียว

 

 

การที่เราตั้งเป้าหมายสูงสุดนั้น ตลอดระยะทาง เรามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเราก็จะ

 

พบ เราก็จะเห็น และเราก็จะได้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเองโดยอัตโนมัติ



ฉะนั้น..ท่าน ทั้งหลายที่มาทำบุญกฐินที่เกาะพระฤๅษีแห่งนี้ก็ดี หรือกฐิน

 

ความคิดเห็นที่ 18 (1581473)

ฉะนั้น..ท่านทั้งหลายที่มาทำบุญกฐินที่เกาะพระฤๅษีแห่งนี้ก็ดี

 

หรือกฐินสามวัดที่วัดท่าขนุนก็ดี รวมแล้ววันนี้เราสร้างอานิสงส์ใน


สังฆทานพิเศษ คือ ทำบุญกฐินสี่วัดด้วยกัน ขณะเดียวกันถ้าเรา

 

คิดเป็น ทำเป็น เราก็จะสามารถใช้บุญกฐินนี้ ส่งผลให้เราเป็นผู้มี



ศีล สมาธิ และปัญญา

 

และท้ายสุดตั้งความปรารถนาสุดท้ายไว้ที่


พระนิพพาน ถ้าท่านทั้งหลายสามารถรักษากำลังใจได้เช่นนี้

 


ตลอดเวลา ชาตินี้ท่านทั้งหลายไม่พลาดจากพระนิพพาน

 

อย่างแน่นอน


หลวงพี่เล็ก ( เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน) ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-01 11:57:07



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.