ReadyPlanet.com


เรื่องสัตว์ในอบายภูมิ


หลายๆท่านคงจะได้ทราบและได้อ่านเรื่อง สัตว์ในอบายภูมิมาบ้างแล้ว

แต่ชนิดาไปอ่านเจอเวอร์ชั่นสั้นๆเข้าใจง่ายๆ และภาษาสนุกๆจากท่านอ.สุวิ

แห่งเว็บพลังจิต จึงนำมาฝากและเตือนสติทุกท่านอีกครั้งว่า

"อย่าเผลอสติ ปล่อยใจ..ให้กิเลสมีอำนาจ..ดึงใจเราให้ลงต่ำ..ไปได้"

 

เรื่องสัตว์ในอบายภูมิ

สัตว์ในอบาย สี่จำพวก(เดรัจฉาน เปรต อสูรกย สัตว์นรก)
สัตว์ทั้งสี่เหล่านี้ เป็นสัตว์ที่ต้องโทษ
ยากที่จะตอบสนองรับผลบุญ ใดๆ
หากจะอุทิศบุญให้สัตว์เหล่านี้ ต้องใช้อำนาจยัดเยียดให้
ขนาดทั้งยัดทั้งเยียดแล้ว ให้ไปร้อยหนึ่ง จะได้สัก ห้า สักสิบ ก็ยังยาก
ที่เหลือก็ไปสุมๆกองเอาไว้เตรียมใช้ในชาติหน้าตอนบ่าบแก่ๆ หลังพ้นโทษแล้ว

พวกสัตว์นรกนี่ ไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่อาจรับผลบุญได้
พวกอสูรกายนี่ พอจะรับได้บ้าง แต่ความหิวโหยและความอยาก ก็ปิดบังสิ้น
อุทิศบุญมา ที่กินได้กูก็หยุดกินหน่อยหนึ่ง แล้วก็งาบสิ่งที่อยู่รอบๆตัวมันต่อไปไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น

เปรตก็เช่นกัน รับอุทิศบุญได้มากเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ยังต้องยัดเยียดนะ
แต่พวกเดรัจฉานนี่ดีหน่อย รับผลบุญได้มากกว่าเพื่อน (แต่ก็ยังน้อย)

แต่พวกผีนะ พวกที่กล่าวไว้ข้างบนนะ พวกนี้พ้นโทษแล้ว
เขาสามารถรับผลบุญได้โดยตรง
เมื่อสะสมผลบุญได้มากพอ(จะด้วยวิธีใหนก็แล้วแต่) เมื่อได้รับแล้วก็ไปจุติใหม่ได้
อาจจะเป็นผีแบบเดิมแต่ไฮโซขึ้นอีกหน่อย หรือ
อาจไปเป็นเทวดา หรือนาค หรือมนุษย์ ฯ ก็แล้วแต่บุญกรรมจะนำพา

แต่พวกผี ที่อายุยาว ความผิดไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ไปเกิดใหม่ไม่ได้สักที
รู้มากเห็นมากเข้า รู้ทางหนีทีไล่
จึงตั้งตน เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ หาผลประโยชน์จากเหล่ามนุษย์ผู้ด้อยปัญญาให้จัดหา เครื่องเซ่นวักตั๊กแตน มาประเคนให้
มนุษย์ มองไม่เห็นนี่ เขาอ้างเป็นโน่นเป็นนี่ ตอนแรกก็อาจสองจิตสองใจ แต่ภายหลังก็เชื่อสนิท
ไอ้พวกนี้ มีพักพวกเยอะ รู้เห็นเรื่องในอดีตมาก ก็เอามาอ้าง
บ้างเคยบวชพระท่องพระสูตร ท่องคาถาได้มาก จำแม่น เลยเอามาท่องแข่งกับมนุษย์
บ้างเคยเรียนพระเวทย์ พระไสย์มา ความสามารถเดิมๆมีมาก ก็เอามาใช้เบียดเบียนกัน ทำอะไรก็ได้
ฯลฯ

พวกมนุษย์ เห็นไอ้ผีเหล่านี้(ที่แอบอ้างมาเข้าทรง)ทำโน่นทำนี่ได้แปลกๆ ก็ชักเชื่อถือ
บางทีพวกอ้างเป็นเทวดาองค์โน้นองค์นี้
ที่หนักหน่อย ก็อ้างเป็น รอ โน่น รอ นี่
บ้างก็ว่าตูเป็นอริยะสงฆ์ นะ ที่หนักข้อขึ้นไป ก็ว่าตูเป็นพระศรีอริยะเจ้านะโว้ย
ลางทีก็ว่าตูเป็นพุทธะนะ
ไอ้มนุษย์เห็นมันทำอะไรได้แปลกๆ ก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะ

เฮ้อ..............

ปกติพวกที่เป็นเทวดา หรือมหาเทพจริงๆนี่ ท่านจะไม่มายุ่งหรือมาแฝงร่างเข้าทรงมนุษย์
ที่เคยเห็นอย่างมาก ก็แค่ผ่านๆมาสอนการปฏิบัติธรรม อวยพรหรือมอบวิชาบางอย่างให้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เท่านั้น(ผู้ปฏิบัติขาดๆเกินๆอย่าหวัง)
และท่านก็จะมาตอนที่เรานั่งปฏิบัตธรรม แล้วท่านก็จากไป

ส่วนใหญ่ก็พวกแอบอ้างทั้งนั้น
แต่เมื่อยอมรับเขาแล้วก็ต้อง ปล่อยไป
ให้เขาอยู่ด้วยกันไป

http://board.palungjit.com/f9/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-246180-50.html

 

อนุโมทนากับข้อความของอ.สุวิ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ



ผู้ตั้งกระทู้ ชนิดา โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-02-25 07:03:41


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1533353)

ขอบคุณสำหรับความรู้คะ

พี่ชนิดา

อนุโมทนาสาธุด้วยคะ

จะได้ไม่ไปหลงทางผิดกัน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Ya Ya ธนัญญา พลตรี วันที่ตอบ 2011-02-25 10:06:27


ความคิดเห็นที่ 2 (1533412)

ขอบคุณสำหรับธรรมทานที่ดี ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ คุณชนิดานะคะ ขอขัดความโง่ออกให้อีกนิดได้มั้ยค่ะ คนจำพวกไหน ทำอะไรได้ไปเป็น  เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรกค่ะ คุณชนิดา

ผู้แสดงความคิดเห็น นฤชล วันที่ตอบ 2011-02-25 16:33:45


ความคิดเห็นที่ 3 (1544199)

โมทนากับข้อมูลดีเกาถูกที่คันเลยขอบคุย

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-07 08:38:56


ความคิดเห็นที่ 4 (1579439)

ขออนุโมทธนาบุญกับคุณชนิดาด้วยที่เล่าเรื่องดีดีให้ลูกบ้านสวนฟังเป็นความรู้เพื่อเอาไปปฏิบัติได้ถูกต้อง สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชุติกาญจน์ โนวรรณา (chutikan-no-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-21 10:53:10


ความคิดเห็นที่ 5 (1579467)

 โดนมากๆเลยโดนใจจริงๆ คุณชนิดา

 คนเราชอบของแปลกและอภิหาร์

จนลืมไปตามความเป็นจิรง

ไม่ใช้หลักปัญญาที่มีอยู่

ก็เลยโดนผีหลอก

มาเป็นตัวเลยมาใบ้หวยเอย

หลอกให้ทำโน้นทำนี้ให้เสียทั้งเงิน ทอง

เผลอก็เสียอย่างอืนอีก

นี้และที่ว่า ผีหลอก....

แล้วก็ต้องมาบอกกับเสด็จพ่อเพค่ะลูกโดนผีหลอกเจ้าค่ะ.....

โดนไปตั้งหลายอัดเพค่ะ

ตอนนี้เสด็จพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้

นอกจากสาสม......ใจไมละ

 หันมาเถิดค่ะมาปฎิบัติ

ให้เกิดธรรมรู้แจ้งในปัญญาด้วยตัวเองดีกว่า

จะได้ไม่โดย..ผี..หรือ..คน..หลอกได้อีก.....

อย่างน้อยตายไปก็ไปอยู่ในภูมิที่ดี...ไม่ต้องไปเกิดในแดนที่กล่าวมา  ขอบคุณ  คุณชนิดาอย่างสูงที่มีธรรมทานมาให้เราทุกคนอ่านแล้วได้สติกับคนอีกมากมาย..(.ยาซากัลลอฮ์.)

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-21 14:17:46


ความคิดเห็นที่ 6 (1579475)

 *** ทุกอย่างเป็นไปตาม หลักสัจจะธรรม ****

" ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "

สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้...เป็นผลจากตัวกระทำในชาตินี้ ทั้งสิ้น
ไม่ใช่ผลจาก การกระทำในชาติที่แล้วมา
เพราะ การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้...ตัวกระทำที่เคยทำไว้ คือผู้จัดสรรการเกิดไปแล้ว
การเกิดเป็นมนุษย์....จึงชดใช้กรรมชาติก่อนหมดไปแล้ว คงเหลือแต่นิสัยติดตัวมา
การเกิดเป็นมนุษย์...คือ การเริ่มต้นใหม่ เหมือนให้มาขจัดตัดลดนิสัยให้หมดสิ้น
แต่ถ้าเกิดเป็นสัตว์โลกที่ไม่ใช่มนุษย์....หมายถึง เป็นชาติที่กำลังชดใช้กรรม 

กรรมที่ปรากฏ...เป็นเหตุการณ์ทำให้ทุกข์ใจ
คือ....ผลการกระทำที่ผ่านมาในชาตินี้
ที่บางครั้ง...การกระทำของเรา มันไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น
โดยที่เรา.... ไม่ได้เจตนา หรือ ไม่ได้ตั้งใจ
ผลการกระทำนี้...คือ ตัวกระทำที่ไม่ได้เจตนา
ด้วยหลักสัจจะธรรมแล้ว ตัวกระทำไม่ตาย.... ตัวกระทำนี้ มันจึงติดตัวเราไป
เมื่อถึงวันที่กรรมปรากฏ... คือ วันที่ตัวกระทำนี้ส่งผลตอบแทน
มันจึงทำให้เรา....เกิดความทุกข์ใจได้
ถ้าเราพิจารณาทบทวนให้ดี...เราก็จะพบสาเหตุการกระทำนั้นได้

พระพุทธเจ้า...รู้ว่า กรรมต้องปรากฏแน่
จึงสร้างทางเดินใหม่....ด้วยการกระทำจากสัจจะตัดลดนิสัย
เป็นการสร้างตัวกระทำที่ดี...มาเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง
เมื่อ ถึงวันที่กรรมจะปรากฏ....ตัวกระทำจากสัจจะ จะนำพาให้คลาดแคล้วได้เอง
จากหนักเป็นเบา...จากร้ายกลายเป็นดีได้
สัจจะทำ....คือ ปฏิหาริย์ตามคำสอนพระพุทธองค์

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-21 14:58:58


ความคิดเห็นที่ 7 (1579575)

 

หันมาเถิดค่ะ มาปฎิบัติ

ให้เกิดธรรมรู้แจ้งในปัญญา

ด้วยตัวเองดีกว่า

จะได้ไม่โดน..ผี..

หรือ..คน..หลอกได้อีก.....

อย่างน้อยตายไป

ก็ไปอยู่ในภูมิที่ดี...

ไม่ต้องไปเกิดในแดนที่กล่าวมา  

ขอบคุณ  คุณชนิดาอย่างสูง

ที่มีธรรมทานมาให้

เราทุกคนอ่านแล้ว

ได้สติกับคนอีกมากมาย..

(.ยาซากัลลอฮ์.)

...............................

เห็นด้วยอย่างยิ่ง

และอนุโมทนากับ

คุณ โซบิเดย์เช่นกันค่ะ

แต่...คำในวงเล็บหมายถึง

หรือแปลว่าอะไรคะ

 

ขอบคุณสำหรับ

ทุกๆธรรมทานค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA (nhongjung-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-22 01:23:47


ความคิดเห็นที่ 8 (1579599)

 เรียนคุณชนิดาคะ  คำว่า (ยาซากัลลอฮ์.) หมายถึง..

การขอบคุณหรืออนุโมทนาแต่ความหมายมันกว้างกว่านี้

คือการขอบคุณอย่างสูงส่งและขอพรจากพระเจ้า

ให้ตอบแทนในสีงที่ดีแก่ผู้นั้นๆ

กลับไปอย่างประมาทค่ามิได้

ขอบคุณมากที่ถามมาก็ขอตอบแทนเป็นคำเดิมนะคะ่

(ยาซากัลลอฮ์.)

...อัลฮัมดุลิลลาฮิ ร็อบบิลอาละมีน...

(มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของพระองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-22 13:14:33


ความคิดเห็นที่ 9 (1579866)

ขอบคุณสำหรับ

คำอธิบายค่ะ คุณ โซบิเดย์

คำหนึ่งคำ

ช่างมีความหมายกว้าง

และลึกซึ้งจริงๆค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-24 02:29:54


ความคิดเห็นที่ 10 (1579962)
image

 1 นาที สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ = 25 วันบนโลกมนุษย์ 

1 วินาที สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ = 10.15 นาที บนโลกมนุษย์


เมื่อ เทวดา ชั้นดาวดึงค์ สวด อิติปิโส ฯ 3 จบ (จะเป็นเวลา 1 นาที )
โลกมนุษย์ก็ผ่านไป 25 วัน

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-24 15:00:59


ความคิดเห็นที่ 11 (1579963)

 

สาระเกี่ยวกับ... "นรก"...!
 
ตารางเปรียบเทียบ ประเภทนรก ขุมใหญ่เรียงลำดับจากเบาไปหนัก 

ขุมที่ ชื่อ อายุนรก เปรียบเทียบจำนวนวัน หมายเหตุ 

1 สัญชีพนรก 500 ปี 1 วันนรก = 9 ล้านปีมนุษย์ 4,500 ล้านปีมนุษย์ 

2 กาฬปุตตะนรก 1,000 ปี 1 วันนรก = 36 ล้านปีมนุษย์ 36,000 ล้านปีมนุษย์ 

3 สังฆาฏนรก 2,000 ปี 1 วันนรก = 145 ล้านปีมนุษย์ 290,000 ล้านปีมนุษย์ 

4 โรรุวนรก 4,000 ปี 1 วันนรก = 234 ล้านปีมนุษย์ 936,000 ล้านปีมนุษย์ 

5 มหาโรรุวนรก 8,000 ปี 1 วันนรก = 9,216 ล้านปีมนุษย์ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์ 

6 ตาปะมหานรก 16,000 ปี 1 วันนรก = 184,212 ล้านปีมนุษย์ 2,947,392,000 
ล้านปีมนุษย์ 

7 มหาตาปะนรก 1/2 กัป ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ได้ 

8 อเวจีมหานรก 1 กัป ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ได้ 

พิเศษ โลกันตนรก ไม่มีอายุ เป็นการทำบาปที่พิเศษที่สุด ไม่มีระบุในตำรา เสร็จจากนี้ต้องไปต่อที่ขุมอเวจีมหานรกต่อไป 

ความหมายของ 1 ปีนรก

1 ปี มี 12 เดือน เดือนละ 30 วัน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับปีมนุษย์ 

ความหมายของ 1 กัป 

สมมติให้มีกล่องที่ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์ 
บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็ม เวลาผ่านไป 100 ปี หยิบออก 1 เมล็ด 
จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น 1 กัป 

นรกขุมใหญ่ ต้องโทษเพราะไม่เคารพ และผิดในกรรมบถ 10 

เมื่อเราเสียชีวิต หากพลาดพลั้งต้องตกนรก กรรมของเราจะถูกพิจารณา คือ กรรมหนักที่สุดของเรามีอยู่เท่าไร เทียบได้กับขุมใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ 

เมื่อเสร็จสิ้นจากขุมใหญ่แต่ละขุม ต้องไปลงนรกบริวารอีก 4 ขุมก่อน 
แล้วค่อยมาว่ากันอีกครั้งว่ามีกรรมเหลือเท่าไร 

จากนั้นจึงมาเปรียบเทียบใหม่ ว่ากรรมที่หนักที่สุดนั้นมีอยู่เท่าไรเทียบได้กับขุม ใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ ต่อไป ...วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกรรม 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-24 15:08:53


ความคิดเห็นที่ 12 (1579964)

 

จากนั้นจึงมาเปรียบเทียบใหม่ ว่ากรรมที่หนักที่สุดนั้นมีอยู่เท่าไรเทียบได้กับขุม ใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ ต่อไป ...วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกรรม 
 
 
 
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 1 สัญชีวนรก 

ลักษณะพื้นเป็นเหล็กหนา เผาไฟจนแดงโชน ขอบด้านข้าง 4 ขอบก็เช่นกัน มองออกไปไม่แลเห็นขอบบ่อ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่จะหาที่ว่างเว้นจากไฟไม่ได้เลย ระหว่างไฟจะมีสรรพาวุธต่างๆ เช่น หอก ดาบ ฯลฯ สารพัดจะมี ถูกไฟเผาแดงจนมีความคมจัด 

สัตว์นรกที่อยู่ในนั้นจะวิ่งพล่าน เพราะเท้าเหยียบไฟ ร่างกายก็จะถูกเผาไฟติดไฟตลอดเวลา เวลาวิ่งไปก็จะไปกระทบกับหอก ดาบ ฆ้อน หรืออาวุธต่างๆ มาฟัน แทง สับ ร้องครวญครางดิ้นเร่าๆ แต่พอร่างกายขาดแล้ว ก็จะมาต่อติดกันใหม่โดยทันที มาทรมานต่อไป ไม่มีวันตาย สรุปว่ามีไฟเผากายตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา 

 
 
 
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 2 กาฬสุตตนรก 

มีกำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน นายนิริยบาลจะจับเอาสัตว์นรกนอนลงไป นำเส้นบรรทัดมาตีเป็นเส้นที่ตัว จากหัวถึงท้ายบ้าง ตีตามขวางบ้าง ไม้บรรทัดนั้นทำจากสายเหล็กที่เผาไฟจนแดงโชน มื่อตีเส้นเป็นแนวแล้ว ก็จะนำเลื่อยบ้าง ขวานบ้าง มีดอีโต้บ้าง มาสับลงตามรอยที่ตีไว้แล้วนั้น 

 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-24 15:16:09


ความคิดเห็นที่ 13 (1579965)

 

 
 
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 3 สังฆาฏนรก 

มีกำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน มีภูเขาเหล็ก 2 ลูก กลิ้งไปกลิ้งมาคอยบดทับสัตว์เหล่านั้น ภูเขาเองก็เป็นเหล็กที่ถูกเผาจนแดงโชนเช่นกัน เมื่อถูกบดจนละเอียดแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่ตาย รับการทรมานต่อไป คนที่วิ่งหนีก็จะถูกนายนิริยบาลตีบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตลอดเวลา 
 
 
 
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 4 โรรุวนรก 

มีกำแพงเหล็ก 4 ด้าน ไฟลุกโชน จนหาเปลวไม่ได้ ยิ่งลึกมาก ก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตรงกลางขุมจะมีดอกบัวเหล็ก กลีบเหล็กถูกเผาไฟจนแดงโชน กระแสแห่งไฟพุ่งออกจากกลีบตลอดเวลา ไม่มีนายนิริยบาล สัตว์นรกจะถูกกรรมทำให้ต้องเอาหัวมุดลงไปในดอกบัว มือและขาก็จะจุ่มลงไปเช่นกัน กลีบบัวจะงับเข้ามาหนีบขาไว้ถึงข้อเท้า หนีบมือไว้ถึงข้อมือ ส่วนหัวจะหนีบไปถึงคาง เพื่อให้ไฟนั้นเผาอยู่ตลอดเวลา 

 
 
 
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก

มีดอกบัวขนาดใหญ่ ไฟร้อนจัด กลีบบัวมีความคมเป็นกรด วางตั้งอยู่ทั่วไป ระหว่างช่องที่ว่างอยู่จะมีแหลนหลาว ปักเอาไว้ โดยเอาปลายแหลมชี้ขึ้น 
เผาไฟจนแดงโชน แต่ดอกบัวนี้จะไม่งับแน่นนัก สัตว์นรกที่อยู่ในดอกบัวทั้งหลายจะร้อน และดิ้นไปโดนกลีบบัว เมื่อกระทบกลีบบัวก็จะขาดตกลงมา 

ถูกแหลนหลาวข้างล่างแทงรับไว้ แต่เนื่องจากแหลนหลาวนั้นเป็นไฟลุกแดง จึงทำให้เนื้อตัวของสัตว์นรกนั้นลุกร้อนเป็นไฟ ตกลงมาที่พื้น เมื่อตกถึงพื้น ก็จะมีหมาที่คอยกัดกินจนเหลือแต่กระดูก จนหมดเกลี้ยง แล้วก็จะก่อตัวขึ้นมาเป็นกายใหม่ จากนั้นนายนิริยบาลก็จะบังคับไล่แทงให้ไปอยู่บนดอกบั วต่อไปอีก 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-24 15:17:29


ความคิดเห็นที่ 14 (1579966)

 

 
 
 
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 6 ตาปะมหานรก 

แสงเพลิงสว่างไสวมาก เป็นแสงไฟละเอียด มีความร้อนจัด สัตว์ร้องระงมเซ็งแซ่ไปหมด มีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้าน และพื้นเป็นเหล็กร้อน แดงฉาน มีแหลนหลาวไฟลุกแดงโชน พุ่งมาเสียบเอาสัตว์นรกแล้วเอาขึ้นตั้งไว้ พอไฟไหม้เนื้อหนังหล่นลงมา สัตว์นรกก็จะหล่นลงมาด้วย ก็จะถูกสุนัขขนาดใหญ่เท่าช้าง เที่ยวไล่กัดกิน แทะจนหมดเหลือแต่กระดูกแล้วก็ไปเริ่มต้นใหม่ สัตว์นรกตัวใดไม่ยอมไป ก็จะถูกนายนิริยบาลเอาแหลนไปเสียบแล้วมาขึ้นตั้งไว้อ ย่างเดิม 

 
 
 
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 7 มหาตาปะนรก 

มีกำแพงทุกด้าน มีไฟที่ความร้อนสูง คล้ายแสงสว่าง พุ่งเข้ามาจากรอบทิศ 
มารวมกันตรงกลาง มีภูเขาที่ตั้งอยู่ตรงกลางขุมนรก ก็จะมีไฟพุ่งเข้าพุ่งออกเป็นเหล็กที่เผาแดง นายนิริยบาลจะบังคับให้สัตว์นรกป่ายปีนขึ้นไปบนยอดเข า วิ่งขึ้นไป พอไปใกล้ถึงยอดก็จะทนไม่ไหว ร่วงหล่นลงมา ก็จะถูกแหลนหลาวที่ปักเอาไว้โดยรอบแทงเข้า เมื่อหล่นจากแหลนหลาวนั้นร่างก็จะเต็ม แล้วถูกไฟเผาตามเดิม 
นายนิริยบาลก็จะมาไล่ให้ขึ้นไปยอดเขาต่อไป 

 
 
 
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 8 อเวจีมหานรก 

พิเศษกว่าทุกขุม คือ ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ 
กระดูกแดงฉาน เนื่องจากถูกไฟเผาจนสุก ถูกให้ยืนกางแขนกางขา มีกำแพงปิดเฉพาะตัว 6 ทิศ มีหอกแทงทะลุตรึงไว้ทั้งหมด จากบนลงล่าง ซ้ายทะลุขวา หน้าทะลุหลัง หลายสิบเล่ม จนไม่สามารถจะขยับได้เลยแม้แต่น้อย จำนวนสัตว์นรกที่อยู่ในขุมนี้ มีมากกว่าทั้ง 7 ขุม ที่กล่าวมาแล้วรวมกันทั้งหมดเสียอีก 

 
 
 
โลกันตนรก

นรกขุมใหญ่ พิเศษสุด "โลกันตนรก" ไม่มีอายุ 

หลังจากใช้กรรมจนหมดแล้ว จะต้องไปต่อที่อเวจีมหานรกต่อไปทันที 
ลักษณะเป็นภูเขาที่ใหญ่โตประมาณมิได้ ภายในภูเขานั้น เป็นถ้ำขนาดใหญ่มาก 
มีความเย็นจัดจนบอกไม่ถูก เป็นการทรมานสัตว์นรกด้วยความเย็น 

ภายในถ้ำมีน้ำเป็นน้ำกรด แรงจัด และเย็นเฉียบ มีแต่ความมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง สัตว์นรกทั้งหลายจะไต่ตามผนังข้างๆ ถ้ำ หินที่ผนังจะคมเป็นกรด 
สัตว์ทั้งหลายจะมองไม่เห็นกัน ต่างก็คิดว่าอยู่คนเดียว พอไต่มาพบกันก็จะนึกว่าเป็นอาหาร ก็กัดกินกันจนตกลงไปในน้ำ น้ำกรดก็จะกัดกร่อนทำลายเนื้อหนังจนหมดสิ้น เหลือแต่กระดูก ก็จะประกอบขึ้นมาเป็นร่าง ไต่ขึ้นมาตามผนังถ้ำใหม่อีกครั้ง ต่อไปเรื่อยๆ จนหมดกรรม
 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-24 15:18:55


ความคิดเห็นที่ 15 (1581128)

 


Image 

ชีวิตหลังความตาย... 
กับข้อพิสูจน์เรื่อง “ผี” และ “เทวดา” 

............................................................ 


หลายคนปรารถนาความตาย...ขณะที่อีกหลายคนก็ไม่อยากให้เวลานั้นมาถึง...ต่างคนก็ต่างจิตต่างใจกันออกไป แต่ “ความตาย” ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทุกชีวิตในโลกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่จะช้าหรือจะเร็วเท่าใดแค่นั้น 

เรื่องราวของความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิต “หลังความตาย” 

ดร.สนอง วรอุไร อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สมัยก่อนไม่เคยเชื่อเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ เปรต ชาติภพ การเวียนว่ายตายเกิด เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ จนกระทั่งเรียนจบจากต่างประเทศ ระหว่างที่รอสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงนั้นว่างไม่รู้อะไรดลใจให้อยากพิสูจน์สิ่งที่ไม่เคย 

1 เดือนเต็มๆ กับการปฏิบัติกรรมฐานที่วัดมหาธาตุ ส่งผลทำให้ความเชื่อของ ดร.สนองเปลี่ยนไป จนถึงขนาดกล่าวว่า 

“ความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาถอดทิ้งหมดเลย เพราะสามารถสัมผัสเทวดา ผีข้างถนนได้จริงๆ ซึ่งผมพยายามพิสูจน์มากว่า 30 ปียังหาข้อผิดพลาดไม่ได้ คุณจะสัมผัสได้ทั้งเทวดาและผี จิตวิญญาณทุกตน หากมีจิตสื่อถึงคนนั้น” 

นอกจากจะได้สัมผัสเทวดา ผี แล้ว ดร.สนอง บอกว่ายังได้เห็นชาติภพที่ผ่านมา รู้ว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ตรงนี้ทำให้รู้ว่าทุกคนมีการเวียนว่ายตายเกิด เกิดเป็นเทวดา เป็นเปรต เป็นสัตว์ ส่วนชาติภพไหนจะเกิดเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่ทำบุญ สร้างกรรมไว้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหลังจากรับรู้แล้วก็ได้เริ่มสร้างสิ่งดีๆ มาตลอด เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวไม่สร้างความเดือดร้อนหรือล่วงเกินใคร ทั้งทางกาย วาจา ใจ และทำบุญทำทาน อุทิศส่วนบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้พวกเขารับผลบุญนี้ ดร.สนอง กล่าวถึงคนตายว่า ร่างกายตายแต่วิญญาณยังวนเวียนอยู่กับญาติ พี่น้อง คนรัก เนื่องจากความรักความผูกพันของผู้ตาย ซึ่งหลายคนมองไม่เห็น แต่คนตายเขาต้องการให้รับรู้ว่าเขามาหา จึงสัมผัสได้จากกลิ่น เสียง หรืออื่นๆ และที่ว่ากันว่าหมาหอนเพราะเห็นผีนั้น “เป็นเรื่องจริง” เนื่องเพราะหมามีสายตา จมูก ที่รับรู้ได้รวดเร็วกว่าคน 

“จิตครั้งสุดท้ายก่อนจะออกจากร่าง อยากให้นึกถึงบุญ ความดี ที่เคยทำระหว่างที่มีชีวิตอยู่ หรือนึกถึงพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะ เพราะผลบุญเหล่านี้จะช่วยให้ดวงวิญญาณก่อนออกจากร่างไปสู่สวรรค์ ถ้านึกคิดแต่เรื่องทุกข์ สิ่งที่ไม่ดี มีอกุศลจิต ตายไปอาจตกนรก ทั้งที่ตลอดชีวิตทำดีมาตลอด อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะได้สัมผัสทั้งนรกและสวรรค์เพียงแต่จะอยู่ที่ไหนยาวนานเท่านั้น หากทำความดีเยอะก็ได้รับความสุขสบายอยู่บนสวรรค์”ดร.สนองแนะนำวิธีการเตรียมตัวก่อนสิ้นใจ 

ด้าน ผศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาพระพุทธศาสนา มนุษย์เวียนว่ายตายเกิด บางรายตายแล้วเกิดใหม่ทันที และกว่าจะเกิดเป็นมนุษย์มีขั้นมีตอน คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าสุข ทุกข์ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พอคลอดการเลี้ยงดู ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้ทำกรรมดีกรรมชั่ว 

ดังนั้น ทุกคนควรเตรียมตัวตายไว้ล่วงหน้า ก่อนร่างกายดับสนิท และก่อนลมหายใจสุดท้าย อยากให้ตั้งจิตอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าอยากเป็นอะไรไว้ด้วย “ตั้งจิต สมาธิ และอย่ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่รัก ไม่ว่าจะคน ทรัพย์สินเงินทอง เพราะยิ่งรักมากก็จะทุกข์มาก อยากให้ปล่อยวาง เราเกิดมาแต่ตัวเราก็ไปแต่ตัวเช่นเดียวกัน แล้วหมั่นกระทำความดีตลอดช่วงเวลาที่มีลมหายใจอยู่ เพื่อให้บุญกุศลนี้ช่วยให้ขึ้นสวรรค์” 

ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า...เชื่อไม่เชื่ออย่างไร... 
ก็ต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินเอาเองก็แล้วกัน 


............................................................ 

หมายเหตุ - ข้อมูลจากการเสวนาเรื่อง “ชีวิตหลังตาย ชีวิตใหม่ที่ต้องเตรียมตัว” 
ณ บ้านเจ้าพระยา อุทยานอนุรักษ์สุขภาพ ครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2548 ที่ผ่านมา 

............................................................ 

คัดลอกมาจาก 
ผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2548 09:19 น.
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-29 23:57:16


ความคิดเห็นที่ 16 (1581129)
image

 ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย......

มนุษย์และสัตว์มิ ได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ 


1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ 

2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว 

3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท 

- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่) 

- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย 

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ 

- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก 

เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน? 

ดวง วิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่ 

วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด 

หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับ งานศพ 

เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพัง เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น 

เจ็ดวันรอบแรก 

วิญญาณผู้ตาย ต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา 

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรม ดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย 

เจ็ดวันรอบที่ สอง 

เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น 

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย 

เจ็ดวันรอบที่ สาม 

เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว 

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด 

เจ็ดวันรอบที่ สี่ 

เมื่อ มาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์ 

เจ็ดวันรอบที่ ห้า 

วิญญาณ ผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์ 

เจ็ดวันรอบที่ หก 

เมื่อวิญญาณผู้ ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา 

เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด 

เมื่อ วิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว. 

ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท 

_________________
 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-30 00:07:14


ความคิดเห็นที่ 17 (1581138)

ขอบพระคุณสำหรับธรรมทานนะคะ

จะพยายามทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว เพราะจะไปเมื่อไหร่ก้อไม่รู้

อ่านแล้วยิ่งกลัวนรก

ผู้แสดงความคิดเห็น อรศรี ชุติเนตร (aurasri05-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-30 09:31:10


ความคิดเห็นที่ 18 (1581285)


ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้ ตัวผมเองกำลังทำรายงานเกี่ยวกับศาสนาอิสลามอยู่...

แต่ไหงจู่ๆมาคิดถึงพุทธได้ก็ไม่ทราบ

อาจจะเรียกว่าอารมณ์อยากเขียน เพราะหาทางระบายอารมณ์เล่น หลังจากนั่งตันศาสนาอิสลามมาหลายชั่วโมงแล้ว (ศาสนาเขานี่คำสอนเยอะและละเอียดมากๆ จะวางแต่เนื้อๆในPaper 2 หน้านี่ ต้องกรองแล้วกรองอีก)

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

วันนี้ไม่ทราบนึกอย่างไรขึ้นมา ตั้งชื่อไว้ใน MSN ว่า ผมไม่ได้กลัวความตาย แต่กลัวชีวิตหลังความตาย ว่าจะไปตก ณ ภพภูมิใด

เราจะมาพูดกันถึงเรื่องนี้แหละครับ

บอกให้เข้าใจกันไว้ก่อนว่าผมไม่ได้มาเทศนาสั่งสอน แต่ถือซะว่ามาเสนอธรรมะในศาสนาพุทธเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน ถ้าเชื่อเรื่องเวรกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณกลัวขึ้นมาได้ แต่ถ้าไม่เชือ เรื่องนี้ก็เป็นทัศนะหนึ่งของศาสนาพุทธเท่านั้น

แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผมก็ไม่ได้มองว่าผิดหรือถูกหรอกครับ 

 


 

ศาสนาพุทธของเราเชื่อในเรื่องของเวรกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด

วงจรของการเวียนว่ายตายเกิดนี้ พวกเรารู้จักกันดีว่า สังสารวัฏ ภาษาพุทธปรัชญาเรียกว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท เป็นหนึ่งในสมุทัย หรือเหตุแห่งทุกข์

ผมจะพูดให้เข้าใจง่ายๆว่า วงจรสังสารวัฏเป็นทุกข์ ก็เพราะมันวนเวียนอยู่อย่างนี้ เกิดแล้วเกิดอีก เกิดมาต้องเจอกับอะไรบ้าง เราๆเองก็มีประสบการณ์ต่างกัน แต่ถามกันตรงๆว่าใครเกิดมาไม่เคยทุกข์บ้าง ก็เห็นจะไม่มี

นี่คือสาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงหาทางพ้นทุกข์ หรือก็คือพ้นสังสารวัฏไงครับ เราเรียกทางนั้นว่านิพพาน ก็คือไม่กลับมาเกิดอีก เมื่อไม่กลับมาเกิดอีกก็ไม่เป็นทุกข์ เข้าใจง่ายๆแค่นี้ก่อนนะครับ

นี่คือสาเหตุที่ผมกลัวชีวิตหลังความตาย และไม่กลัวความตาย

ความตายมีอะไรน่ากลัวหรือ? ก็น่ากลัวจริงๆในทรรศนะหนึ่งสำหรับคนที่เคยเฉียดความตายมาแล้ว แม้แต่ผมก็ด้วย ครับ ผมเคยบอกตนเองว่าไม่กลัวตาย แต่ผมก็กลัวเมื่อต้องรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ประสบการณ์นี้ขอปิดไว้เป็นความลับดีกว่า เพราะมันคงจะไม่ใช่ประเด็นสักเท่าไร

แต่ถ้ามานั่งพิจารณาความเป็นจริงแล้ว ที่เรากลัวตายก็เพราะเรากลัวที่จะสูญสิ่งที่เรามีในชีวิตนี้ไป กลัวสูญเสียพ่อแม่ กลัวไม่ได้เจอกับคนที่เคยเจอ กลัวเพราะยังมีห่วงมากมาย ทั้งเรื่องงาน ความรัก บลาๆๆ สารพัดครับ - -"

ดังนั้น เรามองได้สองแบบเกี่ยวกับชีวิตเพื่อลดความกลัวตายลง มองแบบทางโลก ก็คือ เราเกิดมาแล้ว ไอ้ที่เราสะสมมา มันก็ไม่จีรังยั่งยืน พ่อแม้พี่น้อง ทุกอย่างในชีวิตทื่เรารัก จริงๆเราก็เคยพบกันมาแล้วทั้งนั้น (คือทำกรรมไว้ด้วยกัน เราถึงมาเจอกันในชาตินี้) ถ้าจะจากไปเร็วกว่าพวกเขา ก็จะทำไม ชาติหน้าก็ยังต้องเจออีกอยู่ดี เพราะงั้นม่ายต้องกลัว คิดแบบนี้คิดง่ายๆให้ความหวังตัวเองว่าไม่ได้จากไปไหนไกลนักหรอก แต่มันจะไม่ทำให้เราหลุดพ้นสักเท่าไรนะครับ เพราะยังมีการยึดติดชาติภพอยู่

กับอีกแบบ คิดแบบธรรมะ คือ ร่างกายนี้เรามาอาศัยชั่วคราว เดี๋ยวเราทิ้งไป เราก็ไปสู่ร่างใหม่ ก็แค่นั้นเองวนเวียนไปมากี่ชาติแล้ว ตายไม่รู้กี่ทีแล้ว ตายอีกก็แค่ข้ามไปภพใหม่เอง ข้าวของเงินทอง ทุกอย่างที่เรามี เราก็แค่สร้างมันไว้เราไม่ไปจากมัน มันก็ต้องไปจากเรา (ผุพัง สูญสลาย) วันยันค่ำ จะไปติดใจอะไรกับมันมาก มันเป็นแค่เปลือกเท่านั้น

แบบนี้ความกลัวตายจะลดลงบ้าง แต่นั่นก็ขึ้นกับว่า เมื่อถึงเวลาตายจริงๆจะคิดได้แบบนี้ไหมน่ะนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-31 11:05:27


ความคิดเห็นที่ 19 (1581288)

 แล้วทำไมชีวิตหลังความตายถึงน่ากลัวกว่าความตาย?

ผมไม่ตอบคำถามตรงๆ แต่ฟังผมพูดไปเรื่อยๆนะครับ

ชีวิตหลังความตายที่ผมหมายถึง คือหลังจากเราตายแล้ว เราจะไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง(จริงๆเขาเรียกว่าไปเกิด แต่คำว่าไปเกิดนี่เราชอบคิดแต่เฉพาะมาเกิดเป็นมนุษย์ใช่ไหม?)

ไอ้ที่ๆเราจะไปเกิดหรือนี่เราเรียกกันว่า ภพภูมิ พุทธศาสนามีภพภูมิไว้ทั้งหมด 31 ภพภูมิ แบ่งให้เข้าใจง่ายๆตามหลักผมเองได้ 8 ภูมิ ดังนี้

ภูมิต่ำ (อบายภูมิ) มี 4 คือ
1. นรก (ก็คือไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปโดนต้มในกะทะ ไปปีนต้นงิ้ว โบกมือบ๊ายบายให้ยมบาลเล่น)
2. เปรต (ตัวสูงเท่าดิ เอ็มโพเรียม ปากเท่ารูเข็ม มือเท่าบ้าน แล้วแต่ว่าทำกรรมอะไรไว้ ร้องหวีดหวิวคล้ายๆสาวๆแถวเซ็นเตอร์พ้อยยามดูคอนเสิร์ตดารา อาหารหลักคือปฏิกูลเช่นน้ำลายคนและอาจม) อ้อ เปรตนี่รวมพวกที่เราเรียกว่า "ผี" ด้วยนะครับ
3. อสุรกาย (ไม่ค่อยรู้จัก แต่ว่ากันว่าตัวใหญ่ๆ ดำทะมึน หน้าตาน่ากลัวเหลือร้าย ดุกว่าเปรตสิบเท่า)
4. เดรัจฉาน (ที่เราชอบด่ากันแหละครับ อ้ายสาดเอ๊ย อ้ายหน้าหมา อ้ายฟาย ไรเงี้ย)

ภูมิปกติ มีอันเดียว คือมนุษย์ ก็คือพวกเรา :3 (ใครไม่ใช่มนุษย์แล้วมานั่งอ่าน บอกผมด้วย ผมจะได้โกย)

ภูมิสูง (สุขคติภูมิ) มี 3 คือ
1. เทวดา (เทวดาจริงๆจะแบ่งย่อยอีกเยอะแยะ แต่ผมไม่อธิบายเพราะมันจะลึกไป) 
2. รูปพรหม (คือพรหมที่ยังมีรูปกายอยู่ สูงกว่าเทวดาขึ้นมาหน่อย)
3. อรูปพรหม (พรหมที่ไม่มีรูป ไม่มีอะไรเลย มีแต่จิตวิ้งๆอย่างเดียว สุขสบายในความว่าง จัดเป็นที่สุดของภพภูมิ)

นิพพานไม่จัดเป็นภพภูมิ ใครมีคอนเซ็ปในหัวว่านิพพานเป็นหนึ่งในภูมิที่เราจะไปเกิดนี่เลิกคิดได้แล้ว นิพพานไม่ใช่อะไรทั้งสิ้นเพราะเป็นอนัตตา คือสิ่งที่ไม่มีตัวตนครับ

เอาล่ะ รู้จักภพภูมิแล้ว ผมก็จะบอกให้ฟังว่า ชีวิตเรานี้ ตราบเท่าที่วนเวียนในสังสารวัฏ(ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงนิพพาน) คุณก็จะแรนด้อมในภพภูมิเหล่านี้แหละ โดยปัจจัยของการแรนด้อมก็คือ กรรมของคุณ เข้าใจยากไหม.. ง่ายๆนะครับ เวลาคุณเล่นเกมแล้วมันแรนด้อม ไอ้ที่ทำให้มันแรนด้อมคือคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมไว้ใช่ไหม อันนี้ก็เหมือนกัน มันแรนด้อมเพราะกรรมคุณ

กรรมคุณ= สิ่งที่คุณทำไว้

ถ้าทำบาปมาก บาปหนักอึ้ง มันก็จะดึงเราไปที่ภูมิต่ำ แต่จะต่ำแบบไหน จะไปปีนต้นงิ้วบ๊ายบายให้ยมบาล หรือจะไปคลานดึบๆเป็นหนอนในส้วม มันก็จะมีปัจจัยของกรรมอีกเยอะแยะ

ถ้าทำดีไว้ สะสมบุญมาก ก็จะไปเป็นเทวดา มีวิมาน มีเทวดาหล่อๆเปลือยอกมาจีบเรา หรือมีนางฟ้าสาวโนบรามาอุอ๊าง อิ่มทิพย์แทนการสั่งพิซซ่า ชีวิตสุขสบาย

ถ้าฝึกสมาธิไว้มาก จิตรับรู้ความว่างได้ถึงระดับนึง ก็จะไปเป็นพรหม (ใครอยากเป็นพรหมไปฝึกสมถกรรมฐานเยอะๆนะครับ)

ถ้าสะสมไว้สารพัด หรือตามแรงกรรมที่ผมเองก็ไม่อาจมีปัญญาเข้าถึงได้ ก็จะมาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมชั่วมาก ก็เกิดเป็นคนลำบาก นิสัยไม่ดี ขี้โรค พูดง่ายๆ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ถ้ากรรมดีมาก ก็เกิดมาสบาย มีเงินใช้ แต่คนเราทำกรรมดีกรรมชั่วปะปนเปกันเยอะใช่ไหมครับ เราเลยเกิดมากันมีทั้งสุขทุกข์ในชีวิตเดียว

เรื่องของเรื่องมันอยู่ตรงที่ว่า เราไม่รู้นี่ว่าเราทำกรรมดีไว้เท่าไร ทำกรรมชั่วไว้เท่าไร ไหนจะชาติที่แล้ว ใคร๊จะจำได้ว่าเราดีไว้มากไหม ชั่วไว้มากไหม ถ้าสมมติเกิดมันทบต้นทบดอกกันแล้วปรากฏว่าแรงกรรมมันชั่วเยอะแล้วทำการแรนด้อมเราไปอยู่ในนรกเราจะทำไงอ่ะ =[]= ไม่สนุกนะ ไปว่ายน้ำเดือดปุดๆในกะทะทองแดงเนี่ย

หรือถ้าเกิดเราไปเกิดเป็นยุงงี้ หิวมา บินมาดูดเลือด โดนตบ เพี๊ยะ! ตาย~ อะไรจะชีวิตสั้นขนาดนั้นเนอะ เอเมน

เกิดเป็นเปรต โอ้โน้วว เราต้องมาเอามือเท่าใบลานกอบน้ำลายที่เขาถ่มไว้เข้าปากที่เล็กเท่ารูเข็มเรอะ? เราต้องร้องหวีดหวิวให้ชาวบ้านช่วยทำบุญทำทานไปให้เหรอ?

ถ้ามันเกิดภพดีก็ดีไป แต่ใครจะรู้ล่ะจริงไหม คุณจะรู้ได้ไงว่าคุณทำดีเพียงพอแล้วจริงๆ

เข้าใจหรือยังครับ กับคำว่า ผมกลัวชีวิตหลังความตายมากกว่า มากกว่าความตาย

ตายก็แค่ม่องเท่ง แต่ชีวิตหลังจากนั้นสิ..

อ่ะ สมมติๆ คุณเกิดเป็นเทวดา คุณบอกว่า โอ้วดี สุขสบาย แล้วมันไม่ดีตรงไหน ผมถามว่า คุณจะสะสมกรรมดีเพิ่มได้ไหมในขณะที่เป็นเทวดา สะสมไว้ภายภาคหน้าแบบว่าพอตกจากเทวดาไปแล้ว กรรมดีก็จะได้ให้มาเกิดเป็นเทวดาอีก ไม่ได้ครับ คำตอบสั้นๆอยู่บนสวรรค์ คุณก็จะหลั่นล้ากับนางฟ้าโนบรา หรือเทวดาหน้าตาดียิ่งกว่าหนุ่มดงบัง สวรรค์เป็นที่ๆเราไปรับกรรมดีนะครับ ไม่ใช่ที่ๆเราจะไปสร้างกรรมดี จำไว้ เหมือนกัน ถ้าสมมติคุณไปเกิดเป็นสัตว์นรก ถามว่าคุณจะสะสมกรรมดีให้ขึ้นมาเกิดเป็นเทวดาได้บ้างหรือเปล่า? ก็ไม่ได้อีกน่ะแหละ คุณคงไม่มีเวลาทำอะไรถ้าเป็นสัตว์นรก นอกจากวิ่งมาราธอนสามสิบลี้หนีหมานรกตัวเท่าช้างที่จะมากัด ไม่ใช่แค่กัดแบบไอ้ป๊อกกี้ที่บ้าน แต่กัดกินกรุบๆต่างหาก สนุกไหมล่ะนั่น นรกก็เป็นที่รับกรรมชั่วที่ก่อไว้ ไม่ใช่ที่ๆเอาไว้ให้เราสร้างกรรม

ภพภูมิมนุษย์เท่านั้น ที่มีสิทธิสร้างกรรมดีและชั่วครับ

เลือกได้ ว่าจะทำดีหรือชั่ว

แต่จะทำดีหรือชั่ว กรรมที่ทำก็ยังจะพาเราไปอยู่ในภพภูมิเหล่านั้นอยู่ดี ต่อให้เกิดภพภูมิดี แล้วไงล่ะครับ? กรรมดีจะไม่มีวันหมดหรือ? พอมันหมด กรรมชั่วที่คุณทำไว้นานแสนนาน ไม่รู้กี่ร้อยกี่ชาติที่แล้ว มันก็จะกลับมา ทีนี้ล่ะ จากเทวดาก็อาจจะมาเกิดเป็นเปรตได้ วิฮิ้ว

วนเวียนไปมาไม่มีที่สิ้นสุด ...

กรรมไม่ดีไม่ชั่วเท่านั้น จึงจะทำให้เราหลุดพ้นสังสารวัฏ ไม่ต้องมานั่งแรนด้อมในภพพวกนี้ได้อีก คือไปสู่นิพพานครับ

แต่ว่าวันนี้สิ่งที่ผมจะพูดจบละ ไว้โอกาสดีๆจะมากระซิบบอกให้ว่า ไอ้กรรมไม่ดีไม่ชั่วน่ะทำยังไง

ว่าแต่จบทั้งทีนี่กลัวเหมือนผมบ้างไหมครับ

** สุดท้าย เห็นผมพูดเล่นๆหัวๆไป อย่าคิดมากครับ ผมไม่มีเจตนาจะลบหลู่ธรรมะ แต่ถ้าพูดไม่ใส่สีสัน คิดว่าคนคงหลับเป็นแถวแน่ๆ และมันจะน่าเบื่อด้วย แค่นี้ก็ทำคนเลิกเข้าบล็อกผมแล้วกระมัง 5555

ขอบคุณผู้ที่ให้ความรู้กะทู้นี้ด้วย  คุณอีกาน้อยนายแห้วรักพระเจ้าแผ่นดิน
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-31 11:13:18


ความคิดเห็นที่ 20 (1582249)

1. ขอขอบพระคุณ*น้องชนิดา **ที่สร้างกระทู้นี้ ขึ้นมา ค่ะ โมทนาสาธุค่ะ

2.ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามา ให้ธรรมทาน โดยเฉพาะ** คุณโซบิเดย์** โมทนาสาธุค่ะ..ขออนุญาตนำคำสอนองค์สมเด็จปฐม มาฝากให้อ่าน

ขอขอบพระคุณเวปแดนนิพพาน ลป.ฤาษีลิงดำค่ะ โมทนาสาธุค่ะ//



“ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องไปอบายภูมิ มีนรกเป็นต้นเป็นของไม่ยาก
๑. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตายอาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
๒. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
๓. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
๔. เป็นกรณีพิเศษปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหมในชาติต่อไปทุกท่านเห็นพระนิพพานแล้วตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะเท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้นและไปพระนิพพานได้ในที่สุด”






















ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวรรณ์ ตีรวัฒนประภา (สุ) (namo353-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-05 11:26:32



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.