ReadyPlanet.com


พระพุทธเจ้าสอนกรรมฐานให้หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


เรื่อง อริยสัจ ๔

วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน“ณัชชา” ถอดเทป

การแนะนำในการเจริญกรรมฐานสำหรับเดือนมิถุนายน ตางกับวันที่ ๔ แต่ว่าการแนะนำเป็นวันที่ ๓ วันนี้ก็ขอทวนต้นเมื่อวาน เมื่อวานนี้พูดแค่ผ่านไป แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเราปฏิบัติต้องอาศัยอริยสัจ อริยะ กับ สัจจะ แปลเป็นสองศัพท์ คือ ความจริงที่ทำให้บุคคลเป็นพระอริยเจ้าหรือ ความจริงที่พระอริยเจ้าทำมาได้เพราะปฏิบัติมา คำว่า อริยสัจ มี ๔ อย่าง คือ
๑. ทุกข์
๒. สมุทัย
๓. นิโรธ
๔. มรรค


แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่านสอนกันจริง ๆ สอนเฉพาะทุกข์อย่างเดียว เพราะรู้อะไรรู้ไหม เพราะอาตมาเรียนมากับพระจริง ๆ ท่านสอนทุกข์อย่างเดียวพระองค์ไหนทราบไหม พระองค์ที่ท่านสอนว่า

ในสมัยนั้น เมื่อตอนอายุ ๔๐ ปี ตอนช่วงก่อนหน้านั้นมาถึงอายุ ๔๐ ปีนี่ปรารถนาพุทธภูมิ พอมาถึงอายุ ๔๐ ปี คือก่อนหน้านั้น ๒ ปี ลาพุทธภูมิ ๒ ครั้ง พระท่านไม่อนุญาต ท่านบอกว่า “ถ้าจะลาทำไมไม่ลาเมื่อหลายร้อยชาติมาแล้ว เพราะว่าการปรารถนาพุทธภูมิบำเพ็ญบารมีต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาตมาเองก็ปรารถนาพุทธภูมิในขั้น วิริยาธิกะ ต้องใช้การบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าหากว่าเราปรารถนาพระนิพพานจริง ๆ เพื่อความเป็นพระอรหันต์ ก็บำเพ็ญบารีแค่ ๑ อสงไขยกับแสนกัป

พระท่านค้าน ค้าน ๒ ครั้ง ถึง ๒ ปี ลา ๒ ปี ปีหนึ่งลาครั้งหนึ่งท่านไม่ยอมพอปีที่ ๓ เมื่อถึงอายุ ๔๐ ปี พอดีปีนั้นก็ขอลาอีกครั้งหนึ่งก็เพราะว่าเบื่อมาก เบื่อใครทราบไหม? เบื่อพระ คือตอนนั้น พระบางองค์ เอาเฉพาะบางองค์นะ ท่านมีความประพฤติไม่ดีที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่หน่อยก็รังแกพระผู้น้อย ก็มานั่งคิดในใจว่า “คนปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ใช่พระอริยเจ้า ยังเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา ไม่ได้นะ พุทธภูมิพวกนี้จะเป็นไม่ได้ จะเป็นก็ต่อเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าเลย”

ฉะนั้น การปรารถนาพุทธภูมิเราก็จะทรงแค่ฌานโลกีย์ ฉะนั้นการฝึกกรรมฐาน ๔๐ เป็นของไม่ยาก เพราะทำมาได้หลายชาติแล้วใช่ไหม เป็นของเก่า ในเมื่อเห็นพระท่านคุยกันแบบนั้นก็คิดในใจว่า ถ้าบังเอิญท่านมาทวงเราอย่างนี้ ชาตินี้ก็ขอลงนรกแน่ เพราะอะไรรู้ไหม ถ้าจะยิงที่อื่นยิงยาก ถ้ายิงที่กุฏินะยิงง่าย นี่พระโพธิสัตว์นะ อย่าลืมนะพระโพธิสัตว์ยังมีกิเลส เต็มอัตรา แต่มีแค่ฌานโลกีย์เท่านั้นใช่ไหม จึงขอลาตรงกับพระท่าน เมื่อขอลาตรงกับพระท่าน ท่านก็บอกว่า “ทนไม่ไหวแน่รึ” บอกว่า “ทนไม่ไหว ยังไง ๆ ปีนี้ก็ต้องขอลาแน่” แล้วท่านก็นิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านนิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็บอกว่า ท่านหันมาบอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอลาได้ แต่ว่าต้องทำกิจพุทธภูมิต่อไป จนกว่าจะตาย” นี่ทำงานนี่คือกิจพุทธภูมิท่าน ถ้าสาวกธรรมดาเขาไม่ทำแบบนี้ หรอกเขาได้แล้วเขาก็นอนสบาย ๆ งานท่านไม่มากนัก ก็คิดในใจว่า “นี่เราอายุ ๔๐ ปี ถ้าอย่างดีอาจจะถึง ๖๐ ปีเราก็ตายหรือไม่งั้นก็เกิน ๖๐ ปีหน่อยแล้วก็ตาย แต่ถึง ๑๐๐ ปีก็อยู่แค่ ๖๐ ปีใช่ไหม แค่ ๖๐ ปีมันตายซะดีกว่า ต้องไปบำเพ็ญบารมีอีกตั้งหลายชาติ” เลยถามท่านว่า “ถ้าไม่ลาพุทธภูมิ เมื่อไหร่บารมีจะเต็ม” ท่านบอกว่า “ถ้าเธอตายเมื่ออายุ ๔๐ ปี นี่ ยังเหลืออีก ๗ ชาติเต็ม (อีก ๗ นี่ไม่ใช่ ๗ เดือนนะ) ถ้าเธออยู่ถึงอายุ ๖๐ ปีก็เต็มชาตินี้” ก็ถามท่านว่า “ถ้าเต็มชาตินี้แล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร่?” ท่านบอกว่า “พระศรีอาริย์ไม่นับ ต่อจากพระศรีอาริย์ไปจะเป็นองค์ที่ ๒๒” โอโห... ไปนั่งยิ้มชั้นดุสิต ยิ้มเหงือกแห้งแล้วเหงือกแห้งอีก (หัวเราะ) โอ้โห..เมื่อฟังแล้วก็ไม่เอาแล้ว เลิก ก็ขอลา พอขอลา ท่านก็ตกลง แล้วบอกว่า “ถ้าหากเธอของลาแล้วต้องทำกิจ ของพุทธภูมต่อไปจนกว่าจะตาย” ก็นึกว่า “มันก็ของไม่หนักใช่ไหม ชาติเดียวเท่านั้นนะ”

ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าจะลาจริง ๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เวลา ๔ ทุ่ม ฉันจะมาสอนเธอ (และก็ตอนนั้นรับแขกกลางคืนด้วย) เมื่อเวลา ๔ ทุ่มถ้ามีแขกมาบอกให้เขากลับเสีย ให้เขากลับนะแล้ว ๔ ทุ่มท่านก็มาสอนตรงตามเวลา” พอวันรุ่งขึ้น พอสามทุ่มครึ่งก็บอกให้แขกกลับก็ถือว่าเขาจะกลับหรือไม่กลับเราก็เข้าห้อง หมดเรื่องหมดราว งานของเราคืองานของเราใช่ไหม งานของเขาก็คืองานของเขา พอเข้าห้อง ถึงเวลาใกล้ ๔ ทุ่มก็บูชาพระถึงเวลา ๔ ทุ่มตรง ท่านก็ลงมาสอนเลยกุฏินี่สว่างมากเหมือนกับไฟหลายแสนแรงเทียน แสงสว่างจากองค์ท่านนะ ท่านมีฉัพพรรณรังสีรัศมีทั้ง ๖ ประการพอมาถึงแล้วท่านก็บอกว่า “เธอนอนเพราะเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งกลางคืน นอนฟังแล้วคิดตามฉันพูด” ท่านก็สอนอริยสัจ อริยสัจนี่ท่านสอนข้อเดียวคือ ทุกขสัจ อย่างเดียวท่านพูดช้า ๆ เรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งตีสอง ไม่ใช่วันเดียวนะ เต็มหนึ่งเดือนเฉพาะอริยสัจ

เมื่อสอนเต็มหนึ่งเดือน ต่อไปท่านก็บอก “ตั้งแต่นี้ไปฉันจะไม่มาสามเดือน ถ้าภายใน ๓ เดือนนี้ถ้าเธอเห็นว่ามุมใดมุมหนึ่งของโลกมีความสุข ถ้าเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ทั้งหมดฉันจะมาสอนต่อใหม่” ก็นึกในใจว่า “ท่านไม่ต้องไปก็ได้เพราะมันช่ำแล้วใช่ไหม แค่กินข้าวคำเดียวสอนมาตั้งหลายวัน มันทุกข์มาจากข้าวนะ แต่จะไม่อธิบายให้ฟัง

ทีนี้เมื่อเวลาผ่านไปประมาณเดือนครึ่งท่านก็มาไม่เต็ม ๓ เดือนหรอก แล้วท่านบอกว่า “ขึ้นชื่อว่าผลที่จะพึงได้ ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้” คือว่าทีแรกถามท่านก่อนว่า “ถ้าหากว่าเมื่อลาแล้วจะจบกิจในการรับคำสอนเมื่อไหร่ กี่เดือน?” ท่านบอกว่า “ถ้าเธอขยัน ก็ไม่เกิน ๓ เดือน ถ้าเธอขี้เกียจ ก็ไม่เกิน ๖ เดือน” (พอทนได้นะ) ไล่ไปไล่มาจริง ๆ เดือนเดียว เพราะเราเป็นคนไม่เต็มบาตรใช่ไหม ถ้าเต็มบาตรมันก็ไม่ต้องใส่ใหม่ นี่มันใส่ทุกวัน ใส่ทุกเวลาไม่เต็มบาตรใช่ไหม ใส่เท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เห็นใครมาก็มีแต่ความทุกข์ เห็นคนทุกคนมีแต่ความทุกข์หมดทุกคนที่มาหาเวลานั้นทำตนเป็นหมอดู ก็ใช้อนาคตังสญาณเป็นเครื่องดูใช่ไหมอนาคตังสญาณของเราเองด้วยแล้วก็ถามพระ ด้วย ถ้าใช้ของเราเองจริง ๆ น่ะมันผิดมากกว่าถูก ถ้าผิดก็ผิดอย่างเฉียด ๆ แต่ยังมีผิด ถ้าถามพระนี้ไม่มีทางผิดเลย เพราะพิสูจน์แล้วนะเป็นอันว่าไปกวนพระท่านทุกวัน

ในเมื่อคนมา ทุกคนที่มาหาหมอดูนี่ไม่มีใครมีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์เราก็เห็นทุก ๆ วัน ว่าเขามีความทุกข์ใช่ไหมก็เป็นอันว่า พอเวลาเดือนครึ่งท่านก็มา ท่านบอกว่า “ขึ้นชื่อว่าผลที่จะพึงได้ ไม่มีใครสามารถพยากรณ์เวลาได้ สุดแล้วแต่บุคคล” และถามท่านบอกว่า “ต่อไปนี้จะสอนอะไรอีก” อริยสัจ สอนแค่ตัวเดียวคือทุกขสัจ สมุทัย นิโรธยัง มรรคยังท่านบอก “ไม่มีแล้วนี่” “สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์เธอก็เห็นแล้วใช่ไหม นิโรธ ความดับ คือดับทุกข์ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของธรรมดาก็เห็นแล้ว มรรค ก็คือตัวปฏิบัติก็ทำแล้ว ไม่มีอะไรสอน สอนทุกขสัจตัวเดียว” เป็นอันว่า ฉันมีความรู้เพียงเฉพาะ “ทุกขสัจ” ตัวอื่นฉันไม่พูด ก็เป็นอันว่า วันนี้ก็จะขอเอาอริยสัจเข้ามาควบกับธรรมดาเมื่อวานนี้ ยังไม่ไปไหนนะเอาแค่เมื่อวานนี้ เอาให้ได้ ถ้าไม่ได้งวดหน้ามาก็แบบนี้ล่ะ ก็เป็นอันว่า อันดับแรก เราต้องเห็นธรรมดาเบื้องต้น คือพระอรหันต์นี่ไม่มีอะไรมาก ท่านยอมรับนับถือกฎธรรมดาเท่านั้นเอง เราเรียนมากเกินไปนะ ไอ้ที่ง้างตำราโน่นง้างตำรานี่เข้ามาน่ะ แล้วก็ไม่ง้างเอาสังโยชน์เข้ามาใช้ไอ้ส่วนที่จะตัดไม่นำมาใช้ ใช่ไหม อยากจะฟันคอเสือนี่ ดันไปฟันเสานี่มันจะตายหรือ ไม่ตาย ต้องฟันให้ตรงคอใช่ไหม ถ้าบังเอิญเขาเอาดาบทองคำทื่อ ๆ มาฟันก็น่ารับเหมือนกันนะ (หัวเราะ)ก็เป็นอันว่าธรรมดาที่เราจะต้องเห็นคือ

๑. สักายทิฏฐิ ท่านเขียนในตำราว่าเราเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ตัวนี้ใช้ปัญญาสูงเกินไป ต้องเป็นปัญญาในเขตพระอรหันต์ หรือเห็นว่าร่างกายมีความสกปรกโสโครกอันนี้ก็สูงเกินไปอันนี้เป็นปัญญาของ พระอนาคามี พระโสดาบันกับสกิทาคามีต้องใช้ปัญญาเล็กน้อย เห็นว่าร่างกายมันตาย ถ้าเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราก็ดี หรือร่างกายสกปรกก็ดีคือปัญญาของพระอนาคามี และพระอรหันต์ เราก็แต่งงานไม่ได้ ใช่ไหม

ทีนี้พระโสดาบันกับสกิทาคามียังแต่งงานได้ ยังมีการแต่งงานต้องมีความรู้สึกแค่ร่างกายนี้มันต้องตาย ตอนนี้ไอ้การที่จะตายของเราก่อนที่จะตายมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ทุกคนที่ นั่งนี่ทุกข์ทั้งหมด หรือใครจะไม่ทุกข์ก็ตามใจก็เป็นอันว่าขณะที่ทรงชีวิตอยู่มันก็เต็มไปด้วยความ ทุกข์
๑. ความหิว
๒. ควากระหาย
๓. ร้อนเกินไป
๔. หนาวเกินไป
๕. ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ
๖. การป่วยไข้ ไม่สบาย
๗. การประกอบกิจการงาน
๘. ความปรารถนาไม่ค่อยสมหวัง
๙. ความตายเข้ามาถึง


ทั้งหมดนี้เป็นทุกข์ ทีนี้ตัวทุกข์จะเกิดขึ้นเพราะอาศัยสมุทัย สมุทัย แปลว่า เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร? คือเราเอง เพราะตัวเกิดใช้ศัพท์ง่าย ๆ นะ ถ้าเราไม่เกิดมาเราจะหิวไหม ถ้าอยู่นรกมันก็หิว ถ้าไม่เกิดมา ไม่มีร่างกาย ความหิวมันก็ไม่มี ความหนาวก็ไม่มี ความร้อนก็ไม่มี ความป่วยไข้ไม่สบายก็ไม่มีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ไม่มี ความตายก็ไม่มี


ทีนี้ตัวที่จะมีอย่างนี้ได้เพราะอาศัยที่เรามีร่างกายเพราะการเกิด เกิดเป็นทุกข์ เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้น แล้วมีความตายในที่สุด ก็เป็นอันว่าถ้อยคำที่กล่าวนี้เป็นอริยสัจเป็นของจริงที่เราควรจะยอมรับ นับถือถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของการเกิด ถ้าเกิดมาแล้วเราก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด แต่ก่อนจะตายมันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ตายแล้วถ้าหากว่าเรายังมีบาปติดตัวติด ใจก็ไปอบายภูมิยิ่งทุกข์ใหญ่ ถ้าเรามีบุญติดใจอยู่ก็สู่สุคติ มีสวรรค์เป็นต้นมีความสุขเล็กน้อย ชั่วเวลาไม่นานนักก็กลับมาทุกข์ใหม่ และก็ถือว่าอย่างน้อยที่สุดการตายในคราวนี้เราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ ถึงแม้ว่าไปสวรรค์จะมีเวลาเล็กน้อยก็ตามที ก็ขอไปสวรรค์ก่อน นี่อย่างน้อย ถ้าไปนิพพานได้ก็ไป ถ้าไปนิพพานไม่ได้ก็พักสวรรค์กับพรหม

วิธีที่เราจะไปพักที่สวรรค์กับพรหมทำอย่างไร? พักที่สวรรค์กับพรหมนี่เป็นผลอริยสัจนี่เป็นเหตุกับผลนะ นี่เหตุที่จะไปสวรรค์ได้ทำอย่างไรเป็นสมุทัย เหตุที่จะไปสวรรค์ได้ก็คือ

๑. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ

๒. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
การมีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่ ศีล ๕ จริง ๆ ที่เรามีขึ้นได้มันเป็นผลนี่เหตุคือสมุทัยที่ให้ศีล ๕ มีได้เพราะอาศัยอะไร

เหตุที่เราจะมีศีล ๕ บริสุทธิ์คบบริบูรณ์ได้ ก็อาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. เมตตา ความรัก
๒. กรุณา ความสงสาร


อันนี้เป็นพื้นฐานใหญ่ ถ้าเราขาดเมตตา ความรัก ขาดกรุณา ความสงสาร เราจะมีศีล ๕ ครบถ้วนไม่ได้ นี่ความสำคัญนะ คราวนี้คนที่อยู่ข้างหน้านี้เป็นทหาร ดีไม่ดีเขาใช้ให้เอาระเบิดไปทิ้งหัวเขาทำอย่างไร ศีล ๕ ก็ขาดสิ เราต้องทำใจแบบนี้ว่า “นี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เราปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เขาสั่งแบบไหน ในเมื่อเราหากินเพราะอาชีพนี้ ก็ต้องทำตามนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องของเรา” ไปทำงานกลับมาแล้ว มานั่งบูชาพระใหม่นี่กิจของเรา ต้องหลีกเอาตามนี้นะ ใจจะได้เบา ก็ถือว่า “เจตนาจริง ๆ ของเราไม่มี เราไม่ได้โกรธเคืองข้าศึก เราไม่เคยรู้จักข้าศึก ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อน ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งมาก่อน แต่ว่าเขาสั่งให้ทำ
เราต้องทำตามวินัยที่อยู่ในของเขต แต่ในเมื่อเลิกแล้วเราก็บูชาพระใหม่ ทำใหม่รักษาอารมณ์แบบนี้ ใจมันก็เบา” ตามที่พระพุทธเจ้าเคยสอนบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงอย่านึกถึงความชั่วหรือบาปที่ทำมาแล้ว” ส่วนใดที่เป็นความชั่ว ไอ้ความชั่วนี่แปลว่าบาป บาปแปลว่าความชั่วที่ทำมาแล้วจงอย่างตามนึกถึง ลืมมันไปเลย นึกถึงแต่ความดีอย่างเดียว นั่นคือตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ และมีศีล ๕ บริสุทธิ์ศีล ๕ จะบริสุทธิ์ได้เพราะมี
๑. เมตตา ความรัก
๒. กรุณา ความสงสาร

เอาแค่นี้นะ จบไหม จบแล้วนี่

คัดลอกมาส่วนหนึ่ง....จากเวปแดนนิพพาน..ขออนุโมทนาบุญอย่างสูง



ผู้ตั้งกระทู้ ชุณหพงศ์ ทองศรี (chunhapong-dot-thongsri-at-gmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-17 10:15:10


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1564958)

 

อนุโมทนาสาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น หน่อย (สมศรี พวงพันธ์) (noi-92012-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-20 10:26:19


ความคิดเห็นที่ 2 (1565422)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทาน นะคะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นฤชล การุณจิตต์ (karunjitt-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 09:35:07


ความคิดเห็นที่ 3 (1565525)

 

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานด้วยค่ะ

ดีมากๆเลย  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช พงษ์ดี (kanungnuch03-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 17:04:52


ความคิดเห็นที่ 4 (1565564)

ขออนุโมทนาคะ เหมือนที่อาจารย์อุบลสอนเราเลย

ให้เห็นว่าทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่มีอะไรสุข ไม่มีอะไรน่าพิสมัย

และการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ด้วยการอาศัยหลักความรักความเมตตา

สาธุคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 20:03:43


ความคิดเห็นที่ 5 (1572818)

โมทนาบุญค่ะสาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 17:02:24


ความคิดเห็นที่ 6 (1573136)

 อนุโมทนาด้วยค่ะ

คงไม่มีอะไรสุขไปกว่านิพพานแล้ว.......

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-20 03:05:46


ความคิดเห็นที่ 7 (1573565)

โมทนาค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น หมวย พรรณสรลี ชูตระกูล (wattanachai-dot-chut-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:00:57


ความคิดเห็นที่ 8 (1573766)

อนุโมทนาสาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกรียงศักดิ์ สกุลคลานุวัฒน์(เบน) (koy8870-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 20:24:17


ความคิดเห็นที่ 9 (1576246)

อนุโมทนาบุญค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร (ananya-an-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-04 12:14:31


ความคิดเห็นที่ 10 (1576450)

  ขออนุโมทนาในธรรมทาน

ของคุณชุณหพงศ์และทุกๆ ท่านด้วยนะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-05 03:34:27


ความคิดเห็นที่ 11 (1587885)

 

ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ละม่อม ทองเจือ (ohm-dot-lamom-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-10 22:50:26



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.