ReadyPlanet.com


วิธีภาวนาคาถาเงินล้าน ให้เกิดผลสูงสุด


 

วิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้าน เพื่อให้เกิดผลสูงสุด

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน 3


ในช่วงพิธีพุทธาภิเษก พระสงฆ์ได้นำสวดอิติปิโส ๒๑ จบ ตามกำลัง

วัน(วันศุกร์) เมื่อสวดจบแล้ว พระอาจารย์ได้ขอโอกาสคณะสงฆ์

เพื่อบอกกล่าวกับญาติโยม ดังนี้

ความ จริงในส่วนของพุทธานุภาพ ที่แผ่ปกคลุมมายังวัตถุมงคล

เต็มครบ

ถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ ตั้งแต่ตอนที่เราสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย

จบที่เจ็ดแล้ว



แต่องค์พระ ปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคน เข้าใจถึงวิธีในการ

เจริญภาวนาคาถาเงินล้าน เพื่อให้เกิดผลสูงสุด ที่จะพึงมีพึงได้ตาม

วาสนาบารมีของแต่ละคน ดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง

 

แต่ไม่ใช่

เกร็ง เวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลม

 

หายใจเข้าไป จนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น

 

นั่นคือศูนย์กลางกาย


ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ

 

ให้เป็นศูนย์กลาง

 

ของเรา เสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น

 

 

โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆ  ท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรง

 

 

จุดนี้เลย แต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะ

 

แผ่ว ๆ อยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ



องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า

 

ถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อ

 

เนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมง จะมีความคล่องตัวมาก

 

จะทำงานใหญ่

ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือ

 

ยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมี

 

มาตั้งแต่อดีต ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ



ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหา จุดกึ่งกลางของเราที่พอดี โดยไม่ต้องเกร็งตัว

 

 

เอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเรา

 

ให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ

 

เท่านั้น ให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอก

 

หมดเวลา


งานกฐิน ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๒



หลวง ปู่มหาอำพันท่านบอกเอาไว้ว่า ตราบใดที่ยังบวชอยู่ ถ้าหากออก

 

พรรรษาแล้วให้ไปกราบพระ ได้แก่ พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช

พระพุทธชินสีห์ และพระปฐมเจดีย์

อาตมาก็ทำมาตลอด คราวนี้ช่วงที่ไปกราบนั้น พอดีเป็นช่วงเวลาที่ตรง

 

กับในหลวงประชวร ระหว่างที่กำลังตั้งใจสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชาอยู่

 

พระท่านก็บอกว่า ระยะนี้วาระกรรมที่พวกเราได้ทำตั้งแต่อดีตมันมาสนอง

ทำให้หลายต่อหลายท่านขาดความคล่องตัว

 

โดยเฉพาะท่านที่มีกิจการ

 

เป็นของตนเอง ท่านบอกว่าถ้าเป็นไปได้ให้เข้ากรรมฐานก่อนกฐินสัก

 

๓ วัน เพื่อจะได้สงเคราะห์ญาติโยมที่มาทำบุญกฐิน ให้มีความคล่องตัว

ขึ้น

อาตมา เองก็มาดูว่าก่อนกฐิน ๓ วัน ก็คือ วันที่ ๒๐ , ๒๑ , ๒๒ ปรากฏว่า

 

วันที่ ๒๐ นั้นเป็นวันอังคาร ปกติแล้วอาตมาจะติดสอนพระนิสิตที่ห้อง

 

เรียน มจร.วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ก็คิดว่าไม่น่าจะเข้ากรรมฐานได้ถึง

 

๓ วัน และอย่าไปหวังถึง ๗ วันเลย เพราะภารกิจมันเยอะ แต่ในเมื่อ

 

พระ

 

ท่านสั่งเราก็รับไว้ก่อน ส่วนได้แค่ไหนค่อยมาแก้ไขเฉพาะหน้ากันอีก

 

ครั้งหนึ่ง

ในวันที่ ๑๖ อาตมาก็เข้าประชุมเพื่อจัดตารางสอนร่วมกับคณาจารย์

 

ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย เขาก็มอบหมายให้

 

อาตมาสอนชั่วโมงสุดท้ายของวันอังคารซึ่งตรงกับวันที่ ๒๐ แน่นอน

 

 

ถ้าสอนชั่วโมงสุดท้ายกว่าจะสอนเสร็จก็ตกประมาณหกโมงครึ่ง กว่าจะ

 

กลับมาถึงที่นี่ก็ราว ๆ สองทุ่ม อาตมาก็คิดว่าจะทำกรรมฐานให้มากที่สุด

 

 

เท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน ตั้งใจว่าพอกลับมาก็เริ่มเข้ากรรมฐานเลย ก็ถือว่า

 

เริ่มในวันที่ ๒๐ เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่เต็ม ๓ วันก็ตาม



เมื่ออาตมารับตารางสอนมาแล้ว ประชุมเสร็จ เดินออกมาข้างนอก

 

ปรากฏว่าเจ้าอ้อย (เจ้าหน้าที่ธุรการ) ก็ถามว่า

" หลวงพ่อจะสอนวันไหนดีเจ้าคะ"


"เฮ้ย เขาจัดให้ข้าวันอังคาร ชั่วโมงสุดท้ายเลย"


"นั่นของปลอม ของจริงหนูต้องเป็นคนพิมพ์"


"ถ้าเป็นไปได้ช่วยใส่ให้เป็นวันจันทร์"


"ทำไมหลวงพ่อต้องสอนวันจันทร์ ช่วยบอกเหตุผลด้วย ถ้ามีคนถามจะ

 

ได้ชี้แจงได้"

 


"เพราะ ว่าทุกวันจันทร์ต้องมาส่งพระเข้าห้องเรียน วันอังคารต้องมาสอน

 

วันพุธต้องมารับพระกลับ ถ้าจะเดินทางทั้งสามวัน ค่าใช้จ่ายวันหนึ่ง

 

เกือบพัน"


"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อเอาชั่วโมงแรกไปเลยค่ะ"


"ถ้าได้ก็ดี ถ้ามาถึงสอนเสร็จก็กลับเลย"

อ้อยเขาก็จัดแจงบันทึกเอาไว้ว่าอาตมาสอนชั่วโมงแรก อาตมาก็บอกว่า



"ห้ามเปลี่ยนใจนะ"


" ไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ เพราะหนูเป็นคนพิมพ์เอง"

อาตมา ก็ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไฟท์บังคับอีกตามเคย เพราะหลายต่อ

 

หลายอย่างที่พระท่านสั่ง อาตมาพยายามเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็เปลี่ยน

 

ไม่ได้ ในเมื่อท่านสั่งต้องเป็นไปตามนั้นทุกครั้ง แม้กระทั่งเรื่องตาราง

 

สอน ตกลงกันในที่ประชุมแล้ว และเขาพิมพ์ออกมาอย่างดิบดีแล้ว

ก็ยัง

เปลี่ยนแปลงได้ ก็ต้องใช้คำว่า ธรรมะจัดสรร

เมื่อเป็นดังนั้น อาตมาซึ่งเจอมามากต่อมากแล้ว จะอวดดีแก้ไขอย่างไรก็

 

ตาม ไม่สามารถจะแก้ไขของท่านได้ ก็ต้องก้มหน้ารับกรรมไปโดยดี

 

เพราะฉะนั้นจึงเก็บตัวตั้งแต่เช้ามืดวันที่ ๒๐ แล้วก็ออกมาเช้ามืดวันที่

 

๒๓ เป็นอันว่าครบ ๓ วันเต็ม ๆ เลย ไม่ขาดไม่เกิน



จากที่พระท่านบอกไว้เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของเรา

 

จะเริ่มดีต้องปี

 

๒๕๕๖ ไปแล้ว เราจะไปโทษนักการเมืองก็ไม่ได้

 

จะไปโทษภาวะ

 

 

เศรษฐกิจโลกก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างพวกเราทำมาเอง เมื่อถึงวาระผล

กรรมอันนี้ก็ส่งผลมาถึงตัวเรา

 

แต่ว่าสายของเรานั้นตามที่พระพุทธเจ้า

ท่านสงเคราะห์ให้ เราก็มีวิธีการที่จะผ่อนหนักเป็นเบาเป็นระยะ ๆ


โดยเฉพาะเมื่อปี ๒๕๒๘ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่าน

ได้ขอ

 

ให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้าน เพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวใน

 

การดำเนินชีวิต พระท่านก็อนุญาตให้ เราจะสังเกตได้ว่า

 

ใครก็ตามที่ทำ

พระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ

 

ความคล่องขัดในการ

ดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขา

 

ขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอ

 

เพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา

คนจะเป็นอภิญญาได้จะต้อง

มีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้ง ๆ

 

เมื่อท่านทั้งหลายได้ทำ

 

จริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก

 

อย่างเช่นว่าอาจจะ

ภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้น ก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่า

 

คนอื่นเขา



โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่

 

 

๙ จบ ก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....


จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐ จบ.......


ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น

 

๑,๒๐๐ จบ เป็นต้น


 


การ ท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย

 

 

 

เป็นการ

เน้นคุณภาพ ไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ

 

เรื่องของคาถา

 

 

ถ้าทำด้วยความเคารพ จริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒ เดือน

 

ผลก็จะเกิดขึ้น


หลังจากที่ ทดสอบแล้วว่าแต่ละวันสามารถทำสูงสุดได้เท่าไหร่ จำนวนที่

 

พอเหมาะพอดีก็อยู่ที่ประมาณ ๓๐๐ จบ เพราะว่าเราต้องทำงานอื่นด้วย

 

ในจำนวน ๓๐๐ จบนั้น อาตมาก็แบ่งเป็น ๓ ชุด คือ ตอนเช้า ๑๐๐ จบ

 

กลางวัน ๑๐๐ จบ ตอนเย็น ๑๐๐ จบ เวลาอื่นก็ทรงอารมณ์ทำงานไป

 

ตามปกติ อาตมาภาวนาอยู่ในลักษณะนี้ ๓ ปีติดกัน โดยใช้การนับลูก

 

ประคำเป็นการนับจำนวนไปด้วย นับจนลูกประคำขาดไปหลายต่อหลาย

 

ครั้ง บางทีก็เก็บลูกประคำคืนมาได้ไม่ครบ ต้องหาเสริมเข้าไป นับจนนิ้ว

 

มือด้านเป็นเม็ดเลย (หนังมันหนาขึ้นมาในลักษณะด้านเหมือนคนทำงาน

 

หนัก)

หลังจากนั้นทดสอบ ว่าวันหนึ่งทำได้เต็มที่ ๑,๒๐๐ จบ แต่เวลาอย่างอื่น

 

มันไม่เหลือ เพราะว่าเริ่มจากตี ๓ ไปสิ้นเอาตอนประมาณ ๑ ทุ่ม ญาติ

 

โยมลองนับดูว่าใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ ภาวนา ๑,๒๐๐ จบ......ทำอยู่

 

ประมาณสองเดือนเต็ม แต่เวลาทำงานอื่นไม่มี ก็เริ่มลดลงมา ระยะหลังนี่

 

ใช้ว่า ภาวนาคาถาเมื่อไหร่ก็ใช้บทนี้

 


เห็นได้ชัดเลย เรื่องความคล่องตัวต่าง ๆ เนื่องจากออกจากวัดท่าซุงมา

 

 

ใช้เวลา ๑๓ เดือน สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี

 

(ปัจจุบันคือสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี) เสร็จสิ้นเรียบร้อย มีอาคารคอนกรีต

 

เสริมเหล็ก ๑๓ หลังด้วยกัน ( ๑๓ เดือน สร้างได้ ๑๓ หลัง) ทั้ง ๆ ที่ช่าง

 

ส่งงานไม่ตรงเวลาด้วย บางทีนัดกันไว้ ๔๕ วันก็เป็น ๖๐ วัน จนกระทั่ง

เขาเอาไปลือกันทั้งจังหวัดว่าไม่เคยเห็นวัดไหนสร้างเร็วอย่างนี้ อาตมา

 

ยืนยันว่าทุกวัดถ้าหากว่าเงินพร้อม คนพร้อม ของพร้อม สร้างได้เร็วอย่าง

 

นี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่จะไม่พร้อมตรงเงิน

ช่วงนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า

 

"ถ้าภาวนาคาถาเงิน

 

ล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมง

 

จะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

หลังจากที่สร้างสำนักสงฆ์เกาะ พระฤๅษีเสร็จแล้ว วัดอื่น ๆ ก็มาขอให้

 

ช่วย วัดนั้นจะเอาโบสถ์หลังหนึ่ง วัดนี้จะเอาศาลาหลังหนึ่ง อาตมาทำให้

 

ทั้งนั้น โดยเฉพาะวัดที่ต้องไปทุ่มเททำอย่างจริง ๆ จัง ๆ เหมือนเป็นวัด

 

ของตัวเองเลยมีอยู่ ๗ - ๘ วัดด้วยกัน อย่างวัดหนองบัวที่พม่าก็ดี หรือวัด

 

พุทธบริษัทก็ดี อาคารสิ่งก่อสร้างหมดสภาพแล้ว ต้องรื้อทิ้งเกลี้ยงเหลือ

 

แต่พื้นดินเลย แล้วก็เริ่มต้นทำขึ้นมา วัดพุทธบริษัทใช้เวลาสร้าง ๕ เดือน

 

เศษ ๆ มีอาคารพอแก่การใช้งาน ยกเว้นไม่มีโบสถ์เท่านั้น แต่ว่าวัดหนอง

 

บัวนั้นสร้างอาคารหลังใหญ่มหึมามาก และข้าวของที่สั่งพม่านั้นหาได้

 

ยาก ซื้อได้ยาก แพงอีกต่างหาก การขนส่งก็ลำบาก จึงใช้เวลาถึง ๓

 

ปีกว่าจะเรียบร้อย

เมื่อทำวัดวา อารามต่าง ๆ ความอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเงินก็เกิดขึ้น

 

บางช่วงเงินขาด แต่ต้องส่งค่างวดก็คือค่าวัสดุและค่าแรง ปรากฏว่า จู่ ๆ

 

ก็มีโยมแบกเงินมา ๑ ล้านบาทมาถวาย ถามเขาว่าการทำบุญแบบนี้แม้

 

จะเป็นเรื่องดี แต่ว่าตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนหรือเปล่า ?

 

ถ้าหาก

 

ยังมีที่จำเป็นจะต้องใช้ ให้เอากลับไปใช้ก่อน เขาก็ยืนยันว่าไม่เดือดร้อน

 

โดยใช้คำว่า "ทำงานมาทั้งชีวิตก็อยากจะทำบุญให้มันสะใจเสียที"

 

 

เป็นกำลังใจที่น่าโมทนามาก


ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถา เงินล้านเป็นของดี แต่ไม่ค่อย

 

จะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่อง บางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความ

 

ลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้

 

เขา

บอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ

 

?" โยมบอกว่า "๑ จบ" อาตมาก็อยากจะบอกว่า "จบเห่"

 



คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมง

 

ยังไม่

 

ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้น

 

 

ทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลัก

 

เพราะว่า

ภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น

 

เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วย

 

ถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระ ยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ

 

ทำแบบมอบกายถวายชีวิตจริง ๆ

 

ขอยืนยันว่า   ทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย


สำหรับช่วงที่เข้ากรรมฐานอยู่นั้น เมื่อวันแรกผ่านไป ช่วงเย็น ๆ

 

เกิดมี

 

ความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอย่างหนึ่ง คือมันปวดหัว ปวดเหมือน

 

โดนใครบีบขมับทั้งสองข้าง ก็สงสัยว่าเป็นเรื่องอะไร ปรากฏว่า

 

หมอใหญ่ท่านก็มา ท่านบอกว่าสภาพร่างกายมันเป็นอย่างนั้นเอง

 

ถ้ามันขาดอาหาร

 

มันจะส่งสัญญาณทวง ส่วนใหญ่แล้วคนเราที่ตั้งใจจะอดอาหารแล้วอด

 

ไม่ได้ เพราะว่าทนการทวงของมันไม่ไหว เมื่อทราบว่าเป็นเรื่อง

 

ปกติของร่างกาย


อาตมาก็บอกกับมันว่า "ใจเย็น ๆ ไม่เกิน ๓ วัน เอ็งได้กินแน่"

 

ปรากฏว่า

 

รุ่งขึ้นมันเลยเลิกทวง

ความ จริงถ้าเราเข้ากรรมฐานแบบไม่เอาร่างกายเลยมันจะ

 

ไม่รู้สึก แต่

 

อาตมาเป็นคนงานเยอะ ภารกิจมาก ก็ต้องทรงอารมณ์ไปด้วย

 

ทำงานไป

 

ด้วย อยากจะบอกว่าทำงานได้มากกว่าที่โยมคิดในแต่ละวัน อย่างเช่นว่า

ทำต้นฉบับของหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์เสร็จไปหนึ่งเดือน ตรวจ

 

เนื้อหาการอบรมพระที่เกาะพระฤๅษีเสร็จไปหนึ่งชุด ทำ power point

 

ของการสอนในอาทิตย์ต่อไปเสร็จ จารตะกรุดมหาสะท้อนไปอีก ๓๐

 

 

ดอก แล้วเวลาที่เหลือก็ใช้ในการภาวนา เพราะว่าถ้าทำงานมากเกินไป

 

ร่างกายที่ไม่มีอาหารอยู่เดี๋ยวมันจะประท้วงแย่ ที่ว่ามานี่ก็คือสิ่งที่ทำภาย

 

ในวันเดียว

ส่วนเมื่อวานนี้ ก็เริ่มภาวนาตั้งแต่ ๕ ทุ่มเพราะว่า ร่างกายที่ไม่มีอาหาร

 

ตัวมันโปร่ง มันเบา ไม่หนักด้วยอาหาร มันทำให้เรามีสติ ภาวนาได้นาน

ภาวนาไปสอง รอบ เนื่องจากอาตมาทำกรรมฐานเป็นชุด ๆ กำหนดไว้ว่า

 

ตอนนี้จะทรงอารมณ์ไปทางไหน ตอนนี้จะภาวนาไปทางไหน ทำไปสอง

 

รอบปรากฏว่าเกือบจะสิบโมงเช้า ใช้เวลาเกือบครบ ๑๒ ชั่วโมง หลังจาก

 

นั้นก็นั่งจารตะกรุดมหาสะท้อนได้อีก ๒๐ ดอก แล้วมือมันล้า มันประท้วง

 

ว่าไม่ไหวแล้ว เขียนต่อไปจะไม่ติดแล้ว แรงกดมันไม่มี

ต่อ มาก็มาจารยันต์ครูซึ่งพระมาสั่งตอนต้นเดือนว่าให้ทำไว้ คราวต่อ ๆ

 

ไปที่เราจะสร้างวัตถุมงคลก็ให้หลอมไปเลย แล้วเก็บชนวนไว้ใช้ในครั้ง

 

ต่อ ๆ ไป อาตมาได้รับการถวายทองคำมา ๕ บาท ตีแผ่แล้ว กว้าง ๙ นิ้ว

 

ยาว ๙ นิ้ว ก็นั่งจารยันต์ไป มียันต์พุทธนิมิตมหามงคล ที่พระเดชพระคุณ

 

หลวงพ่อท่านทำเอาไว้ อาตมามีตัวอย่างอยู่ชิ้นเดียว ไม่มีโอกาสถาม

 

หลวงพ่อว่ามีอานุภาพทางด้านไหน ? แต่คาดว่าคงจะครอบจักรวาล

ก็คือได้ทุกเรื่อง



เนื่องจากว่าอาตมาไปค้นสมบัติพ่อโดยอ้างว่าช่วย ทำความสะอาด

 

(ใครอย่าเลียนแบบ เลียนแบบละก็เจอแน่ สงวนลิขสิทธิ์ห้ามเลียนแบบ

)

ก็ไปเจอยันต์อยู่ผืนหนึ่ง เป็นผ้าแดงสองชั้นซ้อนกัน โดนหนูลากไปทำรัง

 

อาตมาก็ล้วงรูหนู ปรากฏว่าเจอผ้ายันต์โดนกัดขาดกะรุ่งกะริ่ง แต่อัศจรรย์

 

ตรงที่ว่าตัวยันต์ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ อาตมาจำลายมือหลวงพ่อได้

 

ก็เลยลอกแบบเอาไว้ แม้จะไม่รู้วิธีใช้ก็ตาม ตอนหลังมีโยมคนหนึ่งขอ

 

ยันต์ไป อาตมาก็เหลือแต่แบบเท่านั้น

ขณะที่จะจารยันต์อันต่อไป นึกไม่ออกว่าจะลงยันต์อะไรดี หลวงพ่อ

 

ท่านบอกว่า "แกเคยเอายันต์ของข้ามาชิ้นหนึ่งจำได้ไหม ?" เรียนท่านว่า

 

"นึกไม่ออกครับ.." ท่านบอกว่า "แผ่นใหญ่ที่มียันต์หลายอย่างรวมกัน.."

 

อาตมานึกออกทันทีว่า เคยคิดค่าเฝ้าหน้าห้องของท่านมา ก็ไปค้นดู

 

โชคดีที่เจอ ยันต์ใส่อยู่ในซองพลาสติกแต่ว่าซองพลาสติกนั้นกรอบหมด

 

แล้ว ถ้าขยับก็แตกเลย

อาตมากางออกมาดู ปรากฏว่ามียันต์อยู่ ๕ ชนิดด้วยกัน ซึ่งหลวงพ่อท่าน

 

เขียนหมายเลขกำกับ ๑ ๒ ๓ ๔ และมีตัวหนังสือกำกับไว้เล็กน้อย

 

อย่างเช่นว่า


หมายเลข ๑ คือ ยันต์ปัญจพุทธามหามงคล ท่านบอกว่า ป้องกัน

 

อันตรายและเป็นมงคลทุกประการ ยันต์ตัวนี้เป็นยันต์ที่อาตมาเขียนลง

 

ตะกรุดมหาสะท้อนตามแบบหลวงพ่อตลอดมา

 


หมายเลข ๒ คือ ยันต์ศัตรูพินาศ ใครคิดจะทำอันตรายต่อเรา

เขาจะแพ้

ภัยตัวเอง เป็นยันต์ของท่านปู่ท้าวมหาชมภู (ท่านปู่สหัมบดีพรหม)

 


หมายเลข ๓ เป็นยันต์มหาเศรษฐี ท่านวงเล็บไว้ว่า เงินไม่ขาดมือ

ยันต์นี้

อาตมาเคยเห็นและเคยใช้มาแล้ว

 


หมายเลข ๔ เป็นยันต์กันโรคระบาด ของท้าวเวสสุวรรณ

 


หมายเลข ๕ เป็นยันต์ป้องกันอันตรายทั้งปวง ของท่านปู่พระอินทร์

 

ซึ่งหลวงพ่อท่านเอามาลงเป็นธงเขียว



เมื่อ อาตมาเห็นแล้วจำขึ้นใจทุกอัน เพราะเคยเขียนมาชนิดช่ำชองแล้ว

 

ก็นั่งเขียนยันต์จารตะกรุดแผ่นทอง ปิดท้ายด้วยพระคาถาเงินล้าน หมด

 

ทุกตารางนิ้วพอดี ต่อไปนี้ถ้าหากจะหล่อพระก็จะค่อย ๆ เอากรรไกรตัด

 

ลงมาทีละนิด คาดว่าคงหากินได้หลายปี..(หัวเราะ)



เมื่อจารยันต์ครูเสร็จ อาตมาก็ทำกรรมฐานรอบกลางวันต่อ เมื่อทำ

 

กรรมฐานรอบกลางวันเสร็จ คราวนี้งานหนักรออยู่ เพราะว่าตะกรุดมหา

 

สะท้อน ๕๐ ดอกที่จารไว้ยังไม่ได้ม้วนเลย ต้องมานั่งม้วนตะกรุดมหา

 

สะท้อน กว่าจะเสร็จก็สองชั่วโมง ม้วนจนเจ็บนิ้ว หลังจากนั้นก็ขึ้นไป

 

ตรวจงานต่อ เพราะว่างานด้านเอกสารมีมากเหลือเกิน

 



ทุก วันนี้งานชุดใหญ่ ๆ ที่เตรียมเอาไว้เพื่อจะำนำทยอยลงในกระโถนข้าง

 

ธรรมาสน์ มีเรื่องที่ออกธุดงค์ ใช้ชื่อว่าท่องไปในโลกกว้าง ประมาณ ๑๐

 

กว่าตอน บางตอนยาวมากเพราะว่าอยู่ในป่าเป็นเดือน ๆ อีกชุดหนึ่งคือ

 

ชุดการอบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ตอนนี้เพิ่งจะทำเสร็จเรียบร้อยไป

 

 

แค่ ๓ เดือน คือเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม ๒๕๕๐



อาตมาอยากจะทำตำราให้เป็น มาตรฐานตามแบบนักวิชาการ จึงมีการ

 

อ้างอิงพระไตรปิฎก อรรถกถา และตำราต่าง ๆ เช่น ปกรณ์วิเศษวิสุทธิ

 

มรรค เป็นต้น

เนื่องจากทางด้านคณะของท่านรัตน์ (ตอนนี้เป็นทิดรัตน์) และคณะของ

 

คุณชัยรัตน์ ธรรมทัตโต(คุณซัน ลูกเจ้าคุณนรฯ) ตั้งใจจะสร้างวัตถุมงคล

 

สำหรับงานกฐินปีหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้ววัตถุมงคลชิ้นนี้อาตมาไม่ได้คิดจะ

 

ทำ แต่ก็เห็นว่าจะต้องมีเหตุทุกครั้งเหมือนกัน จนกระทั่งท่านรัตน์บอกว่า

 

พระอุปคุตท่านมา ก็เลยอยากทำวัตถุมงคลถวายท่านสักชุดหนึ่ง

 

อาตมาก็บอกให้ไปลองจัดการทำแบบดู



ปรากฏ ว่ามีปัญหากับทางโรงงาน ไปเจอความไม่ตรงไปตรงมาของทาง

 

ด้านโรงหล่อ ไม่ทราบว่าเขาจะเอาแบบไปปั๊มให้อีกสักกี่เจ้าก็ไม่รู้ ?

 

จึงตัดสินใจว่าไม่ทำดีกว่า ตั้งแต่ตอนทำพระขรรค์โสฬสแล้ว เราสั่งทำ

 

พระขรรค์ ๘ ซ.ม. แต่เขามีพระขรรค์ ๑๖ ม.ม. ตามมาด้วย และจำหน่าย

 

เป็นสาธารณะ ทั้ง ๆ ที่มีหนังสือสัญญาระบุไว้ว่าพระขรรค์ของเราขนาด

 

๘ ซ.ม. เพราะฉะนั้นขนาด ๑๖ ม.ม. ไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไปโหนกระแส

 

ในเว็บ ซึ่งมีความต้องการพระขรรค์โสฬสเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนหนึ่งที่เขาถวายมา เพื่อร่วมงานกฐินปลดหนี้ของตุ๊ป้อมหาสิงห์

 

ถ้าจำไม่ผิด น่าจะถวายมาสามร้อยเล่ม ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาทำ

 

จริง ๆ ออกมาเท่าไร ตอนแรกคุณซันบอกว่าจะตั้งราคาสักหนึ่งพันบาท

 

หรือห้าร้อยบาท เพราะว่าเป็นที่ต้องการมาก อาตมาถามว่า "ทางโรงงาน

 

เขาจำหน่ายออกราคาเท่าไร ?" คุณซันบอกว่า "๑๙๙ บาท" ก็บอกว่า

"ถ้า

อย่างนั้นของเรา ๒๐๐ บาทพอ" เพราะว่าถ้าเราตั้งราคา ๕๐๐ บาทเขาจะ

 

กระโดด ๕๐๐ บาทตาม ถ้าเราตั้ง ๑,๐๐๐ บาทเขาก็จะ ๑,๐๐๐ บาทตาม



เมื่อไม่ตรงไปตรงมา ท่านรัตน์ก็มาปรารภว่า "เลิกคบกับมันดีกว่า.." ก็

 

 

บอกว่า "จะเอาอย่างนั้นก็ได้" อาตมาก็มาสงสัยว่า แล้วกฐินปีหน้าจะมี

 

อะไรแจก ? ปรากฏว่าตอนนี้ได้แล้ว ตอนเข้ากรรมฐานท่านบอกให้ทำ

 

เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน


โดยแบ่งออก เป็นสองส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งสำหรับแจกในงานกฐิน

 

อีกส่วนหนึ่งเอาไว้แจกในงานทำบุญครบรอบ ๖๐ ปีของแม่ชีชื่นทางวัด

 

ท่าขนุนนี้ อาตมาตั้งใจจัดงานให้อยู่แล้ว

ในเรื่องของแบบนั้น ได้แบบที่ถูกใจมาเป็นพระปิดตาองค์เล็ก ๆ ไม่ใหญ่

 

 

ถ้าจะเอาไปเลี่ยมทองหรือฝังเพชร จะได้ไม่ต้องหมดมาก ด้านหลังก็จะ

 

ลงเป็นยันต์มหาเศรษฐีของหลวงปู่ปาน ซึ่งท่านยืนยันว่าถ้าบูชาด้วย

 

 

ความเคารพเงินจะไม่ขาดมือ



ส่วนงานต่อ ไปที่ได้มาก็คือ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ ให้จัดงานเป่ายันต์

 

 

เกราะเพชรเพื่อสงเคราะห์ญาติโยมด้วย จึงประกาศล่วงหน้าตั้งแต่บัดนี้

 

เป็นต้นไปเลยว่า วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ มีงานเป่ายันต์เกราะเพชร

 

ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ เสียดายว่าไม่ใช่ปีที่ ๕ เพราะถ้าเป็นปี

 

มะโรงจะเป็นปีที่ ๕

วันกับ เดือนถ้าตรงกันโบราณเขาว่าแรงเป็นสองเท่า เขาเรียกว่ากระทิง

 

วัน ถ้าวันเดือนปีตรงกัน ท่านเรียกว่า ตรีวัน แรงเป็นสามเท่า

 

พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน จะนำเข้าพิธีตอนช่วงนั้น และอาตมาตั้งใจ

 

แล้วว่า ยันต์ครูที่ทำไว้จะถลุงให้เกลี้ยงเลย นอกจากที่ตัวเองจารไว้เอง

 

 

แล้ว

 

ยังมีที่ท่านอื่นช่วยจารไว้หลายต่อหลายอย่างด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็น

 

 

ยันต์

ของหลวงพ่อ มีที่อาตมาทำไว้ตั้งแต่สมัยอยู่วัดท่าซุงและนำเข้าพิธีของ

 

 

หลวงพ่อวัดท่าซุง มาตลอดอยู่ ๓ ชิ้น ซึ่งประกอบด้วยยันต์เกราะเพชร

 

ยันต์กันไฟไหม้ กันฟ้าผ่า และคาถาเงินล้าน ก็กะว่าลงทีเดียวให้หมดไป

 

 

เลย แล้วหลังจากนั้นก็เก็บชนวนเอาไว้ ทำแบบหลวงพี่องอาจ

 

(ท่านพระครูวินัยธรองอาจ อาภากโร) ท่านได้ชนวนสมเด็จองค์ปฐม

 

จากวัดท่าซุง ถึงเวลาท่านไปหล่อพระ เห็นท่านหยิบชนวนขึ้นมา

 

อาตมาก็นึกว่าจะลงทั้งหมด เปล่า....พี่ท่านจัดการให้นิดหนึ่ง



พอเริ่มเข้ากรรมฐานรอบสุดท้าย ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว

 

 

ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆ เหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ

 

จนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้น ญาติโยมทั้งหลาย

 

จำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆ หากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกาย ถ้าตรงจุดพอ

 

 

เหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้น แบบที่หลวงปู่สด

 

 

ท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลง

 

ไป

 

ก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่า

 

 

ไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้

 

คาถาบทนั้นจะ

 

มีผลมาก

 

เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ ถ้าทำถูกไม่ต้องไป

 

ท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้ เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกิน

 

นั้น



อารมณ์ใจที่มันเป็นรักโลภโกรธหลง มันเกิดจากการปรุงแต่งทั้งนั้น

 

ถ้าเราไปคิดในแง่ดีมันก็จะเป็นราคะ คิดในแง่ร้ายก็เป็นโทสะ

 

ถ้าหยุดคิด

 

ได้ก็เริ่มมีจุดยืนของตัวเอง ฉะนั้นเลิกคิดได้เมื่อไหร่ก็สบาย

 

คำว่าเลิกคิด

ก็คือเลิกปรุงแต่งนะจ๊ะ


ปรุงในด้านดี เว้นการปรุงในด้านไม่ดี

 

และท้ายสุดเว้นการปรุงทั้งดีและไม่ดี



ก่อนที่จะเข้ากรรมฐานนั้น หลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย ท่านมาบอกว่าให้ใช้

 

คาถาของท่านด้วย พอได้ยินว่าคาถาของท่านด้วยนี่อาตมาเข้าใจเลย



ท่านมีคาถาอยู่บท หนึ่ง เรียกว่า คาถาขับมาร ความจริงมารมันไม่ต้องไป

 

 

ขับหรอก...ขับได้ยาก ต้องเรียกว่าอาศัยบารมีพระท่านสงเคราะห์

 

ก็ว่า

 

คาถาของท่านแล้วโบกมือไปทั้งสี่ทิศ 

 

คาถาคือ  ตะรังเม  ยาจามิ 

 

ว่าจบแล้วก็โบกมือซ้าย

  พูดคาถาอีก ตะรังเม ยาจามิ แล้วโบกมือขวา  

ทำจนกว่าจะครบ4ทิศ   ตัวคาถาพูดเสร็จแล้วโบก

 

มือซ้าย ขวา หน้า หลัง 

 

จะเป็นการป้องกันเขตนั้นไว้

 

สิ่งที่ไม่ดีจะกวนไม่ได้

ในส่วนของกฐินนั้นเป็นบุญสังฆทานและเป็นบุญพิเศษ เพราะว่าจำกัด

 

ด้วยเวลา ปีหนึ่งมีเวลาทำแค่ ๒๙ วันเท่านั้น จึงมีอานิสงส์มากเป็นพิเศษ

 


สำหรับ กฐินหลวงนั้นมีทั้งกฐินต้น คือ กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่

 

หัวเสด็จไปทอดด้วยพระองค์เอง มีกฐินพระราชทานที่พระองค์ท่านพระ

 

ราชทานผ้าให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จไปทอด แทน

ในส่วนของกฐินราษฎร์นั้นมีจุลกฐิน เป็นกฐินที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ

 

ภายในวันเดียว โดยเก็บฝ้าย ดีดฝ้าย ปั่นด้าย ทอและย้อม ตัดเย็บเป็น

 

จีวรหรือสบงผืนใดผืนหนึ่ง ซึ่งจุลกฐินนี้แสดงออกซึ่งความสามัคคีในหมู่

 

ศาสนิกชน ต้องใช้กำลังคนมากเป็นพิเศษ คนปั่นด้ายและคนทอแต่ละ

 

คนต้องมีความคล่องตัว ชนิดที่ว่าอย่างน้อย ๆ ระยะเวลาครึ่งวันต้องทอ

 

 

ผ้าได้ประมาณ ๒ ศอก เมื่อคนเป็นจำนวนมากช่วยกันทอผ้าได้ ๒ ศอก

 

แล้ว จึงนำมาเย็บแล้วตัดเย็บเป็นผ้าจีวร ผ้าจีวรนั้นจะประกอบขึ้นมาจาก

 

ผ้าหลายชิ้นรวมกัน แล้วก็ถวายเป็นผ้ากฐินให้พระสงฆ์อนุโมทนาและ

 

กรานในวันนั้น

จุลกฐิน ปัจจุบันนี้หายากแล้ว ในประเทศไทยเหลือแค่ไม่ถึง ๑๐ แห่งที่

 

ยังทำอยู่ เพื่อนของอาตมาคือ พระครูภัทรกิจพิศาล วัดไผ่หูช้าง อำเภอ

 

บางเลน จังหวัดนครปฐม ยังทำอยู่เป็นประจำ เพราะว่าแถววัดไผ่หูช้าง

 

 

 

นั้นมีชาวไทยทรงดำ หรือเรียกว่าลาวโซ่ง อยู่มาก ท่านทั้งหลายเหล่านี้มี

 

พรสวรรค์พิเศษในการทอผ้า ยังสืบทอดกันอยู่โดยไม่ได้ทอดทิ้ง เมื่อ

 

ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะทอผ้าได้เก่งก็สามารถจะจัดจุลกฐินได้

 

แต่ว่าจุลกฐินของวัดไผ่หูช้างนั้น ทอดด้วยผ้าสบง ๑ ผืน แต่เป็นสบงที่

 

ถูกต้องตามพุทธานุญาต คือ ประกอบขึ้นจากผ้าหลายชิ้น ถ้าทอเป็นจีวร

 

กลัวจะเสร็จไม่ทัน กฐินหลวงบางแห่งก็ถวายเป็นผ้าขาว แล้วก็ให้ไปย้อม

 

เพื่อทำเป็นผ้ากฐินในวันนั้น

ส่วนกฐินราษฎร์อีกแบบหนึ่ง ก็คือ กฐินสามัคคี อย่างที่พวกเราทำกัน

 

บางท่านก็เรียกเป็นมหากฐิน



โยมจ๋า...มีงานใหญ่รออยู่ ปี ๒๕๕๗ อาตมาจะบวชพระถวายหลวงปู่สาย

 

๑๐๐ รูป เพราะฉะนั้นเตรียมตัวเตรียมใจสมัครตั้งแต่ตอนนี้เลย รับสมัคร

 

ท่านที่อายุตั้งแต่ ๒๐ ปีเต็มขึ้นไปจนกระทั่งถึง ๑๐๘ ปี เกินกว่านั้นไม่รับ

 

จ้ะ


วัตถุมงคลที่แจกนี้ นอกจากจะเข้าพิธีเสาร์ห้า เข้าพิธีโสฬสแล้ว ยังนำ

 

 

เข้างานกรรมฐานสามวันของอาตมาด้วยจ้ะ ได้ไปแล้วทำเครื่องหมาย

 

พิเศษด้วยว่าได้จากวันนี้


ในเรื่องของสภาพร่างกาย ต้องบอกว่าโยมอย่าไปถามหรือตามนึกถึงมัน

 

ถ้ายังตามนึกถึงมัน มันจะคอยแต่กวนอยู่เรื่อย ๆ มีเวลากินก็กิน มีเวลาพัก

 

ก็พัก แต่ถ้ากินแล้วยังบอกว่าไม่พอ พักแล้วยังบอกว่าไม่พอ

ก็ไม่ต้องไปฟังมัน

ถ้าเราไปถาม ไปห่วงใยอยู่ โอกาสที่จะหลุดพ้นจากมันก็ยาก

 

เพราะมัน

ตั้งใจที่จะให้เราทำตามมัน เรื่องของการปฏิบัติธรรม หรือการ

 

ดำรงชีวิต

จริง ๆ ก็หลักการอันเดียวกันให้เข้มงวดต่อตนเองและ

 

ผ่อนปรนต่อผู้อื่น

 

ก็คือ ถ้าเมตตาก็ให้เมตตาคนอื่น


โยมที่ทำงานโดยเฉพาะงานบริการ ให้หัดสังเกตอารมณ์ใจตัวเองไว้ด้วย

เราต้องสามารถสงเคราะห์คนให้เท่าเทียมกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

 

 

ไม่ใช่คนนี้สวยหน่อยเราก็เมตตา คนนี้ไม่สวยเราไม่เมตตา

 

คนนี้ท่าทาง

รวยหน่อยก็เมตตาเขา คนนี้แต่งตัวซอมซ่อมเราเมตตาไม่ได้

อย่างนี้

กำลังใจแย่มาก



ญาติโยมทั้งหลายที่เดินทางมาทั้งใกล้และไกล ตั้งใจมาเพื่อทำบุญกฐิน

ดังนั้นว่าพวกเรามีบารมี ก็คือ กำลังใจที่เข้มแข็งมาก โดยเฉพาะท่านเจ้า

 

ภาพ ก็คือครอบครัวของนายแพทย์ประสิทธิ์ จงเสริมศิริสกุล ท่านเป็นเจ้า

 

ภาพทอดกฐินที่นี่มาตั้งแต่ปีแรก ๆ จนบัดนี้ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นเจ้าภาพ

 

ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ลูกเรียนปริญญาตรี

 

เรียนปริญญาโทแล้ว



การที่ท่านทั้งหลายเดินทางมา ถ้านับตั้งแต่กรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่ระยะทางที่

 

ใกล้ ๆ แล้ว เนื่องจากว่าระยะทางกรุงเทพฯ - กาญจนบุรี ๑๒๙ กิโลเมตร

 

, กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร นอกจากระยะทางจะยาวแล้วยัง

 

 

ขับรถยาก ตอนช่วงเช้ามีหมอกมาก ทางขึ้นเขาก็คดเคี้ยวด้วย แต่ว่าท่าน

 

ทั้งหลายก็มาได้ทุกปี แสดงออกซึ่งกำลังใจอันแน่วแน่ ถ้าหากว่าเป็น

 

 

กำลังใจในภาษาบาลีเขาเรียกว่า บารมี บารมีถ้าหากว่าไม่เข้มข้นพอ

 

จะทำอย่างนี้ไม่ได้



หลายต่อหลายท่านด้วย กัน มาไกลชนิดสุดเหนือสุดใต้ โดยเฉพาะญาติ

 

โยมจากปักษ์ใต้ ตั้งแต่สุไหงโกลกขึ้นมา ยะลา หาดใหญ่ ตรัง ภูเก็ต

 

ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้มักจะมาก่อนเวลาด้วย คือ มาค้างก่อน

 

สัก ๑ - ๒ วัน เป็นปรกติ ถ้ากำลังใจไม่เป็นปรมัตถบารมี คือ เข้มข้นสูง

สุดพอเพียงจะทำเช่นนี้ไม่ได้



ตอนนี้กำลังใจในเรื่องทาน บารมีของพวกเราเข้มข้นพอ

 

ไม่ว่าไปอยู่ใน

 

สถานที่ใดเราก็พร้อมที่จะเสียสละ การสละออกนี้ที่เห็น ๆ อยู่ คือสละ

 

ทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทองที่เราหามาได้โดยยาก สละออกเป็นการตัด

 

ความโลภในจิตในใจเราได้ ถ้าหากเป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์จะสละ

 

ได้แม้แต่อวัยวะหรือชีวิต ของเราก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ต้องเดินทาง

 

มาไกล ไม่แน่ว่าอุบัติเหตุใด ๆ จะเกิดขึ้นหรือเปล่า ? จะมีการบาดเจ็บล้ม

 

ตายหรือไม่ ? แต่เราก็ตัดใจมา ก็แปลว่ากำลังใจของเราเข้มข้นแล้ว

 

เหมือนพระโพธิสัตว์ คือสามารถสละทรัพย์ได้ สละอวัยวะได้ สละชีวิตได้



ถ้ากำลังใจของเรา ถ้าเข้มข้นอยู่ในระดับนี้ ไม่ห่วงใย ไม่กังวลในชีวิตบั้น

 

ปลายของพวกเราแล้ว

ถ้าหากว่าเรามีปัญญาเพิ่มเข้าไปนิดหนึ่ง เห็นว่า

 

ร่างกายนี้มีความทุกข์อยู่เป็นปกติ แม้การทำบุญของเราก็ประกอบไปด้วย

ความทุกข์ เรามีความปีติรื่นเริงอิ่มใจ อยากทำบุญไม่รู้จักเหนื่อยจักเบื่อก็

ตาม แต่ว่าการเดินทางไปไกลทั้งกลางวันกลางคืนมันเหนื่อยมันเพลีย

เป็นปกติ เราก็จะเห็นได้ว่ามีแต่ความทุกข์



แต่ท่านทั้งหลายล่วงความทุกข์นั้น ได้ คือ ลำบากแค่ไหนก็ขอให้ได้

 

 

ทำบุญ

 

กำลังใจอย่างนี้ถ้าหากตั้งใจไว้ว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์

 

นี้เราไม่ต้องการอีก ถ้าหากสิ้นชีวิตลงเมื่อใดก็ตาม เราปรารถนาที่

เดียว

คือพระนิพพาน

 

 

ถ้ากำลังใจของเราปักแน่วแน่มั่นคง ตอนที่เราจะตาย

 

สามารถยึดเกาะอย่างนี้ได้ สามารถคิดแบบนี้ได้ ถึงวาระเราก็จะ

 

ไปนิพพานได้ง่าย



เราจะเห็นได้ว่า ทานเป็นปัจจัยให้เราละความโลภได้ก็จริง แต่ว่าเรา

 

 

สามารถนำเอาทานบารมีตรงนี้มาส่งให้เรามีศีล มีภาวนาได้



คำ ว่าศีลก็คือ การที่เราตัดใจ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติ

 

 

ผิดในกาม โกหกมดเท็จและดื่มสุราเมรัย ซี่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าไม่ใช่

 

 

คนกำลังใจเข้มแข็งก็จะทำไม่ได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายมีกำลังใจเข้มแข็ง

 

สละทรัพย์ได้ สละอวัยวะได้ สละชีวิตได้ เรื่องของศีลก็เป็นเรื่องเล็ก

 



อย่างการภาวนา เราก็เห็นว่าการทำบุญนี้ประกอบด้วยทุกข์เป็นปกติ

 

 

ขึ้นชื่อว่าโลกที่มีแต่ความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการมาเกิดอีก

 

ร่างกายที่มี

แต่ความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราปรารถนาที่เดียวคือ

 

นิพพาน

ทุกอย่างที่เราทำ เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า

 

ขอพระนิพพานแห่งเดียว

 

 

การที่เราตั้งเป้าหมายสูงสุดนั้น ตลอดระยะทาง เรามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเราก็จะ

 

พบ เราก็จะเห็น และเราก็จะได้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเองโดยอัตโนมัติ



ฉะนั้น..ท่าน ทั้งหลายที่มาทำบุญกฐินที่เกาะพระฤๅษีแห่งนี้ก็ดี หรือกฐิน

 



ผู้ตั้งกระทู้ ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-11-01 20:27:11


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1581554)

 

ฉะนั้น..ท่านทั้งหลายที่มาทำบุญกฐินที่เกาะพระฤๅษีแห่งนี้ก็ดี

 

หรือกฐินสามวัดที่วัดท่าขนุนก็ดี รวมแล้ววันนี้เราสร้างอานิสงส์ใน


สังฆทานพิเศษ คือ ทำบุญกฐินสี่วัดด้วยกัน ขณะเดียวกันถ้าเรา

 

คิดเป็น ทำเป็น เราก็จะสามารถใช้บุญกฐินนี้ ส่งผลให้เราเป็นผู้มี



ศีล สมาธิ และปัญญา

 

และท้ายสุดตั้งความปรารถนาสุดท้ายไว้ที่


พระนิพพาน ถ้าท่านทั้งหลายสามารถรักษากำลังใจได้เช่นนี้

 


ตลอดเวลา ชาตินี้ท่านทั้งหลายไม่พลาดจากพระนิพพาน

 

อย่างแน่นอน


หลวงพี่เล็ก ( เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน) ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-01 20:29:07


ความคิดเห็นที่ 2 (1581569)

 

ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ละม่อม ทองเจือ (ohm-dot-lamom-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-01 21:56:17


ความคิดเห็นที่ 3 (1581659)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทาน กับทรรศวรรษ ด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นฤชล การุณจิตต์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 08:29:16


ความคิดเห็นที่ 4 (1581670)

 

การสวดมนต์ควรสวดตามกำลังวันหรือไม่ ?


ถาม : บทสวดมนต์ควรที่จะสวดตามที่เขาเขียนกำลังตามวันหรือไม่ ?



ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเราชอบสวด จะสวดมากหน่อยก็ว่าตามกำลังวัน

 

ถ้าหากเราไม่ชอบสวด เราก็ภาวนาไปเลย

 

สวดมนต์เหมือนกับยาทา กว่าจะออกฤทธิ์ให้หายก็หลายวัน

 

แต่ภาวนาเป็นยากิน วันสองวันก็รู้เรื่องแล้ว

ถ้าหากมีเวลาเราก็สวดมนต์ของเรา ถ้าหากไม่มีเวลาก็วิ่งเข้าใส่อารมณ์

 

ภาวนา ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าสวดมนต์ไม่ดี ถ้าคนสวดมนต์เป็น

 

เรา สามารถทรงอารมณ์ภาวนาตอนสวดมนต์ได้ สามารถส่ง

 

กำลังใจขึ้นนิพพานไปสวดถวายพระพุทธเจ้าท่านก็ได้

 

ขณะเดียวกันสามารถที่จะกำหนดตัวอักษรให้ขึ้นมาอยู่ตรงหน้า

 

ทีละแถวๆ ทำเป็นทิพจักขุญาณก็ได้

 

เพียงแต่ว่าเราทำได้แค่ไหน ?



ถ้าหากเราไม่สามารถทำลักษณะนี้ได้ เราชอบการภาวนามากกว่า

 

เราก็ภาวนาไป เพราะว่าการสวดมนต์เป็นพื้นฐานของการสร้างสมาธิ

 

เหมือนกัน ในเมื่อเรามีสมาธิ เราจะวิ่งตรงไปทำสมาธิเลยก็ได้

 

ท่านไม่ได้ว่าอะไร



ถาม : อย่างบทสวดมนต์วันจันทร์ วันอังคารที่เขาเลือกไว้แล้ว

ตอบ : เลือกเอาบทที่ชอบ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปตามเขาก็ได้





สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ( หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน)


เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:16:13


ความคิดเห็นที่ 5 (1581671)


ให้บารมี ๑๐ ทุกข้อเต็มอยู่ในใจของเรา



ถาม :
บารมี ๑๐ เราต้องทำให้อารมณ์ทรงตัวหรือว่าต้องทำแบบไหนคะ ?

ตอบ : ให้ทุกข้อเต็มอยู่ในใจของเรา เจอแบบไหนต้องทำให้ได้

 

ทันที อย่าง ทานบารมี ทันทีที่คนมีความต้องการ เราพร้อมจะให้ได้

 

ทันที ให้แล้วก็ปลื้มใจว่าเราได้ให้ไปแล้ว  ส่วนเขาจะไปทำอย่างไรเรา


ไม่ใส่ใจ    เพราะเราได้ให้ไปแล้ว



ศีลบารมี   ศีลทุกข้อของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลแม้ว่าจะอยู่ใน

 

ภาวะที่เดือดร้อนถึงแก่ชีวิตของตนก็ยอม เพราะฉะนั้น..ต้องทำได้

 

จริงๆ ไม่ใช่จำได้    จำได้ว่าบารมี ๑๐ มีอะไรบ้างจบแล้ว

 

แบบนี้ชาติหน้าบ่ายๆ ถึงจะบรรลุ


ถาม : คำว่าปรมัตถบารมีมีเกณฑ์ที่ชัดเจนไหมครับ ?



ตอบ :
ปรมัตถบารมีเขาวัดกันด้วยชีวิต ถ้าหากว่ายอมตายเพื่อให้ได้ทำ

ความดี ต้องเป็นปรมัตถบารมีแน่


สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:21:26


ความคิดเห็นที่ 6 (1581674)

อุทิศส่วนกุศลให้ผี...ต้องกระชับและรวดเร็ว

 


ถาม : หลังจากทำบุญเราจะอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
 
 
ให้ตอนนั้นหรือว่าตอนที่เรากลับมาบ้านแล้ว ?
 

ตอบ : หลังจากกลับมาแล้วก็ได้ แต่ว่าให้เร็ว ๆ เพราะว่าผีเขาก็ไม่ค่อย
 
 
มีเวลานัก ปลีกตัวมาได้ไม่นาน


หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเจอในลักษณะที่มีผู้คุมเขาคุมผีมาโมทนาบุญ
 
 
 
ท่านก็มัวแต่ "อิมินา ปุญญะกัมเมนะฯ ... " ผู้คุมก็ไม่รอ... ผีถูกลากคอ
 
 
ไปเพราะเขามีเวลาให้นิดเดียว เพราะฉะนั้น..ให้ไว ๆ ให้เร็ว ๆ และ
 
 
ง่ายที่สุด


ถาม : สรุปว่าตอนที่พระให้พร เราพยายามให้ตอนนั้นเลย ?
 

ตอบ : ใช่จ้ะ..ให้ตั้งใจเลยว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
 
 
ขออุทิศให้กับใคร ขอให้เขาผู้นั้นมาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์
 
 
ความสุขเท่าใด ก็ขอให้เขาได้รับด้วย

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:34:11


ความคิดเห็นที่ 7 (1581675)

บารมีเต็ม

ถาม : คำว่าบารมีเต็ม เป็นอย่างไร ?

ตอบ : บารมีเต็ม แปลว่า ทำจนถึงที่สุดของกำลังใจแล้ว
 
บารมีก็คือกำลังใจ มีอยู่ ๓ ระดับ ๙ ขั้น

๑. สามัญบารมี กำลังใจขั้นต้น ประกอบไปด้วย หยาบ กลาง ละเอียด

๒. อุปบารมี กำลังใจขั้นกลาง ประกอบไปด้วย หยาบ กลาง ละเอียด

๓. ปรมัตถบารมี กำลังใจขั้นสูงสุด ประกอบไปด้วย หยาบ กลาง
 
ละเอียด เหมือนกัน

ถ้าหากว่าถึงปรมัตถบารมีขั้นละเอียดก็แปลว่ากำลังใจเต็ม
 
 
พร้อมที่จะเข้าพระนิพพานได้ คราวนี้จะวัดจากตรงไหนได้
 
 
สามัญบารมี ให้ทานได้ บอกให้รักษาศีลก็จะไม่ไหว
 
อุปบารมีให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้ภาวนาไม่ไหว
 
 
ถ้าหากว่ากำลังใจพร้อมทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ตั้งมั่นว่าจะทำเพื่อพระ
 
นิพพาน อันนี้ถือเป็นปรมัตถบารมีเต็มแล้ว พร้อมที่จะไปแล้ว


ถาม : ถ้าในชาตินี้เราให้ทานประจำ รักษาศีลก็ได้ ภาวนาได้ ?

ตอบ : แสดงว่ากำลังใจของเราอยู่ระดับปรมัตถ์แล้ว เพียงแต่จะหยาบ
 
 
 
จะกลาง จะละเอียดเท่านั้น ถ้าถึงปรมัตถบารมีนี้มีสิทธิ์ไปพระ
 
 
นิพพานได้แน่ อย่างแย่ ๆ ก็เป็นดอกบัวกลางน้ำ พร้อมที่จะโผล่
 
พ้นน้ำมาบานในวันต่อไป

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:38:04


ความคิดเห็นที่ 8 (1581676)

ตัดร่างกาย

ถาม
: คำว่า "ตัดร่างกาย" ในขณะก่อนตาย เราจะต้องทำจิตใจอย่าง

ไร ?
ตอบ : ทำเหมือนกับตอนเป็นนั่นแหละ ถ้าคิดจะตัดจริง ๆ ตอนก่อนตาย

 

ส่วนใหญ่จะมีอาการเวทนาคือการเจ็บป่วยอย่างแรงกล้า จะเป็น

 

การตัดกิเลสไปในตัวหมดอยู่แล้ว    พอเวทนาขึ้นมาอย่างแรง

 

กิเลสก็เกิดไม่ได้



กำลังเจ็บป่วยร้องโอดโอยอยู่ คิดจะไปรักใคร คิดจะไปโกรธใครได้ ?


หลงก็หลงไม่ไหว เห็นอยู่แล้วว่าร่างกายเจ็บป่วยขนาดนี้

 

 

เราก็แค่เพิ่มความคิดเข้าไปนิดเดียวว่า ถ้าหากว่าตายตอนนี้เรา

 

จะไปพระนิพพาน

 

ง่ายที่สุด เพียงแต่คนที่จะคิดขนาดนั้นได้ บุญเก่าต้องสร้างมาพอที

 

เดียว

ถ้าหากว่าทำมาไม่พอก็มืดบอด นึกไม่ออกคิดไม่ได้อยู่นั่นแหละ

 

เพราะ ฉะนั้น..ตุนบุญไว้ให้เยอะ ๆ เอาไว้วินาทีสุดท้าย แล้วคิด

 

ออกไปพระนิพพานได้ก็กำไรมหาศาลแล้ว ไม่จำเป็นว่าต้องเป็น

 

ตั้งแต่ก่อนตายหรอก



ถาม : อ้อ....แค่ตรงนั้นคิดออก และพูดออก ก็คือถึงเลย ?


ตอบ : แค่นั้นแหละจ้ะ ไปเป็นเทวดาได้ก็กำไรเยอะแล้ว

 

ถ้าขนาดนั้นก็ถือว่าถูกรางวัลที่ ๑ แล้ว

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:41:18


ความคิดเห็นที่ 9 (1581677)

การละสังโยชน์ (เครื่องร้อยรัดจิตใจ)

ถาม : ทำอย่างไรถึงละสังโยชน์ได้ ?

ตอบ : ก็ตั้งใจละจริง ๆ สิจ๊ะ ไม่ใช่ไปนั่งมองเฉย ๆ ต้องทำจริง ๆ จ้ะ


สังโยชน์สำคัญที่สุดข้อที่ ๑ ที่เห็นว่าตัวเราเป็นของเรา
 
 
ต้องละให้ได้
 
 
 
ตัวที่ ๒ วิจิกิจฉา ความ ลังเลสงสัยในพระพุทธ
 
พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราเข้ามาถึงระดับนี้ไม่เรียกว่าลังเลแล้ว
 
 
ถ้าลังเลจะไม่เข้ามา ก็ถือว่าเป็นกำไรอยู่ในตัว ก็ไปเน้นหนักอีก
 
 
 
 
ข้อที่ ๓ รื่องของศีล ต้องพยายามรักษาสิกขาบทต่าง ๆ ให้บริสุทธิ์จน
 
 
กระทั่งชินเป็นส่วนหนึ่งอันเดียวกับตัวเรา ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง


ไม่สนับสนุนคนอื่นล่วงศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นล่วงศีล


ถ้าทำได้ขนาดนี้แล้ว ให้กระโดดไปคว้าตรงท้ายเลย
 
 
ตั้งใจว่าตายไปเมื่อไร เราจะไปพระนิพพาน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะ
 
 
ไปติดตรงนั้น จะไปติดตรงนี้   ถ้าเราตั้งใจจะไปพระนิพพาน
 
 
ตัวอวิชชาที่จะทำให้เรายึดติดในร่างกายนี้หรือในโลกนี้
 
 
ก็เป็นอันว่าโดนตัดไปด้วย


ทำจริง ๆ เลย อันดับแรกรักษาศีลให้บริสุทธิ์
 
 
อันดับที่ ๒ พยายามสร้างสมาธิให้ตั้งมั่น  ให้ได้อย่างน้อยปฐมฌาน
 
 
เพื่อจะได้มีกำลังตัดกิเลสพอศีลบริสุทธิ์
 
 
สมาธิตั้งมั่น ปัญญาก็จะเกิด ถ้าหากว่าปัญญายังไม่เกิด
 
 
ยังไม่เห็นรู้ตามความเป็นจริง ยังไม่เข็ดยังไม่กลัว
 
 
ก็อยากจะเกิดอยู่ร่ำไป


ฉะนั้น..ถ้าถามว่าตัดอย่างไร ? ไปหามีดมา จะช่วยตัดให้..!
 
 
สิ่งไหนที่พอตา เราก็จะพอใจด้วย อย่าลืมว่าถ้าเราเกิด
 
 
 
ฉันทะ ความพอใจขึ้นมา ราคะ ความยินดี อยากมี อยากได้ก็จะเกิด
 
 
ขึ้น ฉันทะกับราคะ รวมกันแล้วเรียกว่า อวิชชา
 

เข้าใจหรือยังจ๊ะ เห็นอะไรแล้วพอตา แล้วพอใจก็เสร็จ ไปไหนไม่รอด


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:45:55


ความคิดเห็นที่ 10 (1581678)

ทานบารมีอย่างเดียวก็ไปพระนิพพานได้

 

 


ถาม : อย่างทานบารมี หลวงพ่อบอกว่าทานบารมีตัวเดียวสามารถไป
 
 
นิพพานได้ ต้องทำได้ถึงระดับไหน ?
 

ตอบ : ก็ต้องให้จนกระทั่งไม่ติดทั้งดีทั้งชั่ว รู้ว่าดีก็ทำ ใครเขา
 
 
อยากได้ก็ให้     ให้แล้วก็ไม่ไปตามคิดว่าเขาเอาไปทำอะไร ?
 
 


เขาหลอกเราหรือเปล่า ?   เขาไปใช้สมกับคุณค่าที่เราให้หรือเปล่า ?


จะไม่มีตรงนี้

ตัวสุดท้ายก็คือ พยายามให้อภัย พยายามสร้างความดีให้ทรงอยู่ในใจ
 
 
 
ใครทำผิดคิดร้ายกับเราก็ตาม   จะไม่ถือโทษโกรธเคืองทั้งสิ้น
 
 
จิตใจอยู่กับการให้ตลอดเวลา พร้อมที่จะสละอยู่เสมอ
 
 
เมื่อสร้างอารมณ์ใจมั่นคงแล้วก็ภาวนาต่อไปเลย

คิดอยู่ตลอดเวลาว่าที่เราให้นี้ เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา
 
สังฆบูชา จิตใจมุ่งตรงต่อพระนิพพานที่เดียว


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ

ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:48:20


ความคิดเห็นที่ 11 (1581679)


มารยาทในการยืม

ถาม
: ความจริงก็ทราบว่าทุกข์จะทำให้เราเกิดปัญญา แต่เหมือนกับไม่
 
อยากเจอ ปวดหัวหน่อยก็กินยาให้หลับไปเลย ?
 

ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะว่าสภาพร่างกายของเรา เรายืมโลกมาใช้
 
 
ในเมื่อเรายืมเขามาใช้ มารยาทในการยืมก็ต้องรักษาของเขาให้
 
 
ดีที่สุด

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าปล่อยร่างกายนี้ให้เจ็บป่วย ยกเว้นว่ารักษา
 
 
แล้วรักษาอีก แต่ก็ไม่มีปัญญารักษาให้หายได้ อย่างโรคของอาตมา
 
กินยาเข้าไปเท่าไรก็เฉย ไม่รู้สึกรู้สา

อย่างของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกินยาครั้งหนึ่งเป็นกำ ๆ แต่ท่านก็
 
 
พยายามรักษา ในเมื่อรักษาแล้วไม่สามารถที่จะรักษาได้ ดิ้นรนทุก
 
 
วิถีทางแล้วไม่สามารถจะเอาอยู่ ถึงจะยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม
 
 
ไม่อย่างนั้นถ้ามีช่องทางแม้แค่น้อยนิด ก็ต้องรักษาไว้ก่อน


ที่เราทำนั้นถูกแล้ว เมื่อเวทนาเกิดขึ้น ถ้าหากกำลังใจไปหมกมุ่น
 
 
กังวลอยู่ จะทำให้ใจเศร้าหมองเสียด้วยซ้ำไป กินยาเข้าไปแล้วก็
 
 
นั่งจับพระนิพพานให้ใสแจ๋ว จะเป็นจะตายก็เรื่องของเอ็งเถอะ..!

ถาม : ขันธ์ห้าตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ทำได้แค่อานาปานสติ ?
 

ตอบ : แค่นั้นก็ยังดี ใช้วิธีง่าย ๆ หายใจเข้าก็นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์
 
 
เล็ก ๆ ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกภาพพระก็ไหลตามลม
 
 
หายใจออกมา

คิดว่านั่นคือภาพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่
 
 
อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน
 
 
เราอยู่กับ
 
ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราตายเมื่อไร
 
 
ขอไปอยู่กับท่าน ลองฝึกแบบนี้ดู ถ้าพลิกแพลงเป็นก็จะไม่น่าเบื่อ


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:51:16


ความคิดเห็นที่ 12 (1581680)

ต้องพิจารณาร่างกายจนเห็นตามความเป็นจริง

 


ถาม : จะพิจารณาร่างกายอย่างไร เพื่อให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง

?
ตอบ : ต้องพิจารณาร่างกายให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง ๔

 

 

อย่างคือ ประกอบด้วยดิน ด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ เป็นปกติอย่างนั้น



ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ ต้องได้คือ

 

ธาตุดิน มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด

 

อวัยวะภายในใหญ่น้อย ทั้งหลายทั้งปวง

ส่วนที่เหลวไป ไหลมาได้ เรียกว่า ธาตุน้ำ คือ เลือด น้ำเหลือง น้ำ

หนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เหล่านี้เป็นต้น

ส่วนที่พัดเคลื่อนไปมาในร่างกายเรียกว่าธาตุลม ก็คือ ลมหายใจเข้า

 

 

ลมหายใจออก ลมที่อยู่ในท้องในไส้ ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง

 

พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าความดันโลหิต



ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกาย เรียกว่า ธาตุไฟ ได้แก่ ไฟธาตุที่

ช่วยสันดาปย่อยอาหาร ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุ

ที่เผาผลาญร่างกายของเราให้ทรุดโทรมลง เป็นต้น

พอลักษณะ ๔ อย่างนี้ แยกออกมา ต่างคนต่างอยู่ กองนี้เป็นดิน กองนี้

 

เป็นน้ำ กองนี้เป็นลม กองนี้เป็นไฟ เราจะเห็นชัดเลยว่าไม่มีส่วนไหนเป็นเรา เป็นของเราเลย

แต่ถ้าเอา ๔ ส่วนนี้รวมกันเข้าไปใหม่ ขยำ ๆ ปั้นขึ้นมา ใส่หัว หู หน้าตา

ลงไป ทันทีที่จิตคือตัวเราเข้าไปจับ เราก็ไปยึดว่า ร่างกายนี้เป็นเรา

 

เป็นของเรา เพราะฉะนั้น สภาพแท้จริง ๔ อย่างคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม นี้ มี

 

ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป วัตถุทั้ง

 

หลายเหล่านี้ เรายืมโลกมาใช้แค่ชั่วคราว

มารยาทของการยืม ก็ต้องดูแลรักษาให้ดี เขาหิวก็หาให้กิน เขากระหาย

 

ก็หาให้ดื่ม เขาร้อนก็หาเครื่องบรรเทาให้ เขาหนาวก็หาเสื้อผ้าให้นุ่งห่ม

 

เขาเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาลไป เพื่อถึงเวลาจะได้คืนเขาไปใน

สภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะพึงมีพึงเป็น แต่ถ้าหากว่าเขาพังลงไปเมื่อ

 

ใด เราก็พร้อมที่จะไปพระนิพพานของเรา อยู่กับเขาอย่างมีสติ รู้

 

อยู่เสมอ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

เขาเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ที่เราเป็นคนขับไปเรื่อย พอถึงเวลาเราก็

 

ทิ้งรถคันนั้นไปเพื่อเปลี่ยนรถคันใหม่ ถ้าทำความดีไว้ ก็ได้รถยี่ห้อดี ๆ

 

ใหม่ ๆ อย่างเช่นเทวดา เป็นพรหม หรือดีที่สุดก็เข้าพระนิพพานไปเลย

 

ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มาก ก็ได้รถโปเก พัง ๆ ผุ ๆ ก็อย่างเช่น สัตว์นรก

 

เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:54:46


ความคิดเห็นที่ 13 (1581681)

ต้องมีสติรู้อยู่ตลอดเวลาว่า สภาพแท้จริงของร่างกายเป็นอย่างนี้

 

เสร็จแล้วก็ถามตัวเองว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่น นี้

 

ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนอย่างนี้ มีแต่สภาพเป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น

เป็นอันอย่างนี้ เรายังอยากได้อีกไหม ? เรายังรัก ยังปรารถนาอีกไหม ?



ถ้าตัวเรา เรายังไม่รัก ไม่ปรารถนาอีกแล้ว เราจะไปต้องการคนอื่นไว้ทำ

อะไร ในเมื่อต่างคนก็ต่างเกิด ต่างคนก็ต่างเจ็บ ต่างคนก็ต่างตาย

 

ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป ดังนั้น..เราก็ควรที่จะยึดเกาะในสิ่งที่ดีที่สุด

 

สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะพึงมีพึงได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ก็คือพระ

นิพพานไว้แทน



ร่างกายนี้เราอาศัยอยู่เพื่อประกอบความดีเท่านั้น ถึงเวลาถ้าตายลงไป


เราขอไปนิพพาน ให้ตั้งใจไว้อย่างนี้

 

แล้วพยายามพิจารณาดูบ่อย ๆ

แรก ๆ เราบอกร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นั้นพูดยาก

 

จิตใจไม่ค่อยจะยอมรับ แต่ถ้าเราแยกออกเป็นส่วน ๆ อย่างนี้

 

แยกเข้า แยกออก แยกออก แยกเข้าอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งเห็น

 

ชัดเจน ก็จะยอมรับเองว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไปที

ละน้อย



แรก ๆ เราต้องใส่รายละเอียดให้มากที่สุด ค่อย ๆ ดูไปทีละส่วน ๆ

 

หลังจากที่ดูจนจิตเรายอมรับแล้ว เมื่อเราบอกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่

 

เรา ไม่ใช่ของเรา จิตยอมรับเลยโดยไม่เถียงอีก โดยไม่ดื้ออีก

 

ก็เป็นอันว่าใช้ได้

พยายามทบทวนรักษาอารมณ์นั้นไว้เรื่อย ๆ ยากไปไหม ? ไม่ยาก

นะ..กรรมฐาน ๔๐..แค่ปล้ำกันแทบตายเท่านั้น..!

สมัยก่อนทำได้ครั้งหนึ่งก็วิ่งไปอวดหลวงพ่อครั้งหนึ่ง หลังจากที่ซ้อม

อนุสติ ๑๐ จน คล่องแล้ว ไปถึงก็กราบเรียนท่านว่า "หลวงพ่อครับ

ตอนนี้อนุสติ ๑๐ ของผมสามารถไล่อารมณ์เต็มได้ภายในครึ่ง

ชั่วโมง" หลวงพ่อบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ลูก..สมัยที่พ่อทำอยู่

กรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึง ๒ นาทีนี่แย่มากแล้ว..!"

โอ้โฮ...เราแค่ ๑๐ กอง ใช้เวลา ๓๐ นาที ถ้า ๔๐ กอง ท่านบอก ๒ นาที

 

นี่แย่มากแล้ว มาตอนหลังพอไล่ไปไล่มา อ๋อ..จริงของท่าน ถ้าเราต้อง

 

การจะทำในลักษณะที่หลวงพ่อว่าจริง ๆ ก็ตั้งอารมณ์ขึ้นมาให้ทรง

 

ฌานสูงสุดเท่าที่เราทำได้ เสร็จแล้วก็แค่เปลี่ยนกอง เปลี่ยนวิธีคิด

นิดเดียวเอง อารมณ์ใจนั้นเต็มอยู่แล้ว ฉะนั้น ๒ นาทีคิด ๔๐

อย่างนี่ จัดว่าช้ามากเลย



สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 11:57:02


ความคิดเห็นที่ 14 (1581682)

วางทุกข์เป็นไปพระนิพพานได้ง่าย

 


 

 

 

ตอนนี้สิ่งนี้วางอยู่ตรงหน้าของเราแล้ว มีคุณค่าขนาดไหน
 
 
ในเมื่อเรารู้แจ้งแล้วว่า การเกิดเป็นทุกข์อย่างนี้ ในเมื่อเรารู้แจ้ง
 
 
แล้วว่า การอยู่ในโลกเป็นทุกข์อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเป็น
 
ทุกข์อย่างนี้ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่า
 
 
ร้อนอย่างนี้ เรายังต้องการอีกไหม ? ในเมื่อเราไม่อยากมี
 
 
ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นอีกแล้ว รับรู้แล้วก็วางไว้ตรงนั้น


ให้เห็นว่าทุกอย่างที่เกิดกับเราเป็นธรรมดา เพราะเราทำเราจึงได้
 
รับ ในเมื่อทุกอย่างเราทำมาเอง ทำไมเราจึงยอมรับผลงานของ
 
 
ตัวเองไม่ได้ โบราณท่านว่าปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา เราไปปลูกพริก
 
 
ปลูกตำแยต้องแสบบ้างคันบ้างเราก็ทนเอา แต่ขึ้นชื่อว่าเกิดมาแสบคัน
 
อย่างนี้จะไม่มีกับเราอีกแล้ว เพราะเราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย


ถ้าเทียบกับการที่เราต้องทนมีชีวิตอยู่ไปถึงวันตาย ซึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ปีนี้
 
 
กับการเวียนตายเวียนเกิดที่นับกัปไม่ถ้วนก็เป็นเวลาแค่นิดเดียว เหมือน
 
 
อย่างกับหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว ทำไมเราจะอยู่อย่าง
 
 
มีความสุขไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นก็ เออ..ธรรมดา เราทำไว้เราถึง
 
 
ได้รับ เออ..ธรรมดาจะต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าเกิดมาเราต้อง
 
 
พบต้องเจอแบบนี้ จิตใจก็จะปล่อยวาง

ถ้าปล่อยวางได้ ทุกข์มหาศาลที่เรารู้สึกว่าเราต้องแบกเอาไว้
 
 
ก็ไม่มีอะไรต้องแบกเลย กองลงเมื่อไร ก็เบาเมื่อนั้น ก็สบายเมื่อ
 
นั้น ในเมื่อเราวางสิ่งที่หนักลงได้แล้ว เรื่องที่จะตะกายไปพระ
 
 
นิพพานก็ง่ายแล้ว เพราะไม่มีอะไรมาถ่วงเรา

จำเอาไว้ว่าทุกข์มีคุณมหาศาล มีค่ายิ่งกว่าเพชรยิ่งกว่าพลอยอีก
 
โอกาสที่จะได้รู้ได้เห็นด้วยปัญญานั้นยากแสนจะยาก สิ่งที่มีค่า
 
มหาศาลนั้นบัดนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าเราแล้ว กรี๊ดโดดใส่เลย ไม่ใช่ว่าไป
 
กรี๊ดสลบ

พอทำไปถึงจุดหนึ่งจะรู้สึกเลยว่า ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่แค่ชั่วลม
 
 
หายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว
 
 
หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่แค่ชั่วลม
 
 
หายใจเดียว ก็ไม่มีอะไรที่จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับเราได้
 
 
ตายเมื่อไรเราก็ไปพระนิพพานของเรา

เมื่อมาถึงจุดนี้ เราก็มีความสุขของเราอยู่ได้ทุกวัน เห็นคนอื่นเขาหน้านิ่ว
 
คิ้วขมวด ทำไมแบกอะไรมากขนาดนั้น..นึกไปนึกมา อ๋อ..เราก็เคยแบก
 
ไว้เหมือนกัน..(หัวเราะ)..

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 12:00:44


ความคิดเห็นที่ 15 (1581684)

สู้กิเลสด้วยการเอาจิตเกาะพระนิพพาน

 


ถาม : แล้วจะทำอย่างไรครับ ถ้าเขารู้จุดอ่อนของเรา ?

ตอบ : ไม่ต้องทำ ตั้งสมาธิไว้ก่อนเป็นอันดับ แรก เสร็จแล้วเอา
 
กำลังสมาธิทั้งหมดของเราเกาะพระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจว่าตาย
 
เมื่อไรเราจะอยู่ตรงนี้แหละ เขาจะมาท่าไหนก็ไม่ต้องไปใส่ใจทั้ง
 
นั้น

ถ้าหากว่าจิตเป็นสมาธิ นิวรณ์ ๕ จะดับลงชั่วคราว ถ้านิวรณ์ ๕ ดับลง
 
ชั่วคราว จิตใจของเราก็ไม่ส่งส่ายวุ่นวาย กิเลสละเอียดเข้ามาเราจะเห็น
 
 
ได้ชัด

กิเลสจะละเอียดแค่ไหนก็เรื่องของกิเลส ราคะเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของ
 
ราคะ ข้าอยู่บนพระนิพพาน ข้าไม่ไปปรุงไปแต่งด้วย
 
โทสะเกิดขึ้นเรื่องของโทสะ ข้าอยู่บนพระนิพพาน ข้าไม่ไปปรุงไปแต่ง
 
 
ด้วย โลภะเกิดขึ้นก็เรื่องของโลภะ ข้าอยู่บนพระนิพพาน
 
 
ข้าไม่ไปปรุงแต่งด้วย


เมื่อไม่มีตัวจิตไปคอยใส่พริก ใส่เกลือ ใส่น้ำปลา โลภะ โทสะ
 
 
โมหะที่เป็นสมบัติของร่างกายก็อยู่ไม่ได้ เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า
 
 
อย่างเก่งก็ตั้งอยู่ได้ครู่หนึ่งก็สลายไป
 
 
เพราะ ฉะนั้น..
 
ใครได้มโนมยิทธิถือว่าเป็นกุศลอย่างมหาศาลเลย
 
 
เพราะสามารถตัดกิเลสได้อัตโนมัติ โดยเผ่นขึ้นไปเกาะพระบน
 
พระนิพพานโน่น มีอะไรเกิดขึ้นเกาะพระท่าเดียว อย่างอื่นไม่
 
 
สนใจทั้งนั้น


ตัวจิตสังขารนี่น่ากลัวที่สุด เพราะถ้าเราคิดจะเป็นสาเหตุของความทุกข์

 

ทั้งนั้น การคิดจะฟุ้งซ่านไป ๒ ทาง คือไม่ไปในอดีตก็ไปใน

อนาคต

อดีตผ่านมาแล้วไปพระนิพพานได้ที่ไหนกัน ถ้าไปได้ก็ไม่มานั่งอยู่อย่าง

 

นี้หรอก อนาคตก็ยังมาไม่ถึง รถที่ไม่ออกเราไปขึ้นจะมีประโยชน์อะไร

 

ต้องเอาปัจจุบันนี้ เอารถเที่ยวปัจจุบันที่ออกอยู่นี่แหละ ต้องรีบไปกับรถ

 

คันนี้ ขืนช้าตกรถจะไปพระนิพพานไม่ทัน

ในเมื่อไม่มีจิตไปคอยปรุงแต่ง ใน เมื่อเราไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ

 

เราเกาะนิพพานอย่างเดียว จิตก็บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อย ๆ

 

เพราะกิเลสมายุ่งด้วยไม่ได้ เดี๋ยวก็หมดแบบไม่ทันรู้ตัว

 

ที่ว่าหมดนั่นก็คือ กิเลสหมด โดนกดอยู่นาน ๆ จึงเฉาตายไปเอง

ถึงตอนนั้นเราก็อยู่ยาวไปเลย ไม่ต้องลงมาแล้ว ...(หัวเราะ)...

 

คนอื่นมาก็ว่าหัวใจล้มเหลว ...(หัวเราะ)... ตายไปแล้ว

 

 

เป็นพระนี่เสียท่านะ ถึงทำได้อย่างนั้นก็ต้องทนอยู่ต่อไป


ของโยมถ้าทำได้ก็ไปเลย


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 12:04:53


ความคิดเห็นที่ 16 (1581685)

ตอกย้ำอธิษฐานบารมี

 


ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาที่เราทำความดีแล้วแผ่เมตตาจิตส่งออกไป

 

แต่ตัวเราไม่ได้ทำสมาธิ เขาจะได้ไหมคะ ?


ตอบ : ได้...แต่ได้ไม่เต็มที่ เพราะแรงส่งไม่ค่อยจะพอ

เมื่อเราทำความดีทุกอย่างเช่น สวดมนต์ทำวัตร เจริญกรรมฐาน ฯลฯ

 

ถึงเวลาก็อธิษฐานรวบยอดไปด้วยว่า

 

"ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่

 

ต้นจนถึงบัดนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระ

นิพพาน"



เราเอาทั้งหมด ไม่ได้เอาเฉพาะครั้งนี้
แล้วที่เหลือจะอธิษฐานอย่างไร

 

 

ต่อก็ว่าไป เช่น

 

"ถ้า ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด

 

ขอความข้องขัดใด ๆ อย่าได้มีในการดำรงชีวิตของข้าพเจ้าเลย

 

ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความ

 

เป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังทุกประการ

 

ขอให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้"



แต่ถ้าเราเป็นประเภทที่ขอน้อยแล้วไม่ตรงกำลังใจของเรา


ก็ขอให้มาก ๆ เอาให้เหนี่อยลิ้นห้อยไปเลย


ถาม : ขอทุกวันแบบนี้ เป็นเพราะเราทำได้ไม่ดี ก็เลยขอแต่ท่าน..?


ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ... ลักษณะแบบนี้เป็นการตอกย้ำตัวอธิษฐานบารมี

 

คือความตั้งใจของเรา ยิ่งตอกย้ำมั่นคงเท่าไร ถึงเวลาผลก็จะมั่น

 

คงแค่นั้น

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 12:06:59


ความคิดเห็นที่ 17 (1581686)

ตัดความห่วงใยในครอบครัว

 


ถาม : (ถามเรื่องตัดความห่วงใยในครอบครัว)

ตอบ : ให้เห็นว่าท่านเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกตามปกติ
 
 
แต่เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ให้เห็นว่าเป็นปกติธรรมดา
 
 
ของการมีครอบครัว เรามีหน้าที่อะไรเราก็ทำหน้าที่นั้น

เราเป็นลูก เราทำหน้าที่ต่อพ่อแม่ให้ดีที่สุด
 

เราเป็นภรรยา เราทำหน้าที่ต่อสามีให้ดีที่สุด


เราเป็นพ่อแม่ เราทำหน้าที่ต่อลูกให้ดีที่สุด


เพียงแต่ถ้าถึงวาระถึงเวลาที่ต้องตายจากกัน เราจะไม่ไปกังวล
 
 
ตรงจุดนั้น เพราะว่าเราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว
 
 
เราปลดจิตของเราออกมาตรงจุดนั้นได้เลย ไม่ ต้องไปพิจารณา
 
อย่างนั้น
 
 
เพราะว่าลูกเรา เราก็รัก จะไปคิดให้เขาเน่าได้อย่างไร นึกไม่ออกหรอก
 
 
ใช้วิธีนี้แหละ..เราก็กอดเขาอยู่ทุกวัน เดี๋ยวพอจากกันไป ก็ต่างคนต่าง
 
 
ไปแล้ว

(นอกจากพระนิพพาน ที่จะไม่พลัดพรากจากกันอีก อยู่ตลอดกาล)


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 12:17:09


ความคิดเห็นที่ 18 (1581687)

ไม่มีใครดีไม่มีใครชั่ว ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกรรม

 


ถาม : มีบุคคลคนหนึ่งเขาบอกว่า "จิตเขาไปถึงไหนแล้วรู้ไหม ?"
 
 
ก็เลยถามเขาว่า "ศีล ๕ ข้อ รักษาได้ไหม ?" เขาตอบว่า "ไม่ได้"
 

ตอบ : แบบนั้นจะเป็นพวกได้โลกียฌาน ไม่ต้องไปตำหนิเขา

คนเราจริง ๆ แล้ว ไม่มีดีไม่มีชั่ว ทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังเป็นไป
 
 
ตามกรรมทั้งสิ้น ดีชั่วเป็นสิ่งสมมุติที่เรานำมาแบ่งแยกกันเอง


ถ้าหากว่าเราประกอบไปในด้านบุญกุศล ก็จะตกอยู่ในกระแสสีขาวพา


เราไหลขึ้นตลอดเวลา
 


แต่ถ้าหากว่าเราทำบาปอกุศล   เราก็จะตกใน


กระแสสีดำไหลลงตลอดเวลา
 
 
 
นกว่าเราจะหลุดพ้นจากกระแสทั้ง ๒ สายนั้น ถึงจะเข้าพระ
 
นิพพานได้


เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครดี ไม่มีใครชั่ว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตาม

กรรม


เมื่อเรามาถึงตรงจุดนี้แล้ว
เห็นใครทำในสิ่งที่ไม่ดี ก็อย่าไปตราหน้า
 
 
 ว่าเขาชั่ว      สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเราต้องเคยทำมาก่อนแล้ว
 
 
ในเมื่อเราเคยทำ
 
 
มาก่อนแล้ว ตอนนี้เขามาทำต่อจากเรา เขาก็คือผู้ที่เป็นทายาท มารับ
 
 
ผลงานที่เราเคยทำเอาไว้


ในเมื่อเขาเป็นทายาท เขาคือลูก คือหลาน คือญาติ คือโยมของเรา
 
เราต้องไม่รังเกียจเขา ถ้ามีโอกาสสามารถช่วยเขาได้ก็ช่วย
 
 
ถ้าช่วยไม่ได้ก็วางเฉย ยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม
 
 
 
แต่ไม่ได้วาง
 
 
เฉยธรรมดา ๆ อุเบกขานี้ก็ยังมีเมตตา มีกรุณาแฝงอยู่ คือ
 
 
ถ้าพร้อมเมื่อไร เราก็พร้อมที่จะช่วยเขาอีก


ให้วางกำลังใจอยู่ในลักษณะอย่างนี้    
คนไม่มีดีไม่มีชั่วหรอก
 

มีแต่สมมติทั้งนั้น ต่างคนต่างทำ
 
 
เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีแล้วเขาถึงทำ
 


แต่เขาเข้าใจผิดด้วยอกุศลชักพาไป   ในเมื่อเขาคิดว่าดีแล้วเขา
 
 
จึงทำ ถ้ามีโอกาสเราก็แนะนำในสิ่งที่ดีจริง ๆ ให้เขา


ถาม : แนะนำไม่ได้เลยค่ะ
 

ตอบ : แนะนำไม่ได้ก็ปล่อยวาง เมตตา กรุณา มุทิตาแล้ว ถ้ายังช่วยไม่
 
 
ได้ ก็ต้องอุเบกขา

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 12:23:04


ความคิดเห็นที่ 19 (1581689)

สวดมนต์อย่างเดียวสามารถไปพระนิพพานได้หรือไม่ ?

 


ถาม : ถ้าอารมณ์จิตชอบสวดมนต์ภาวนาจะพอไหมคะ..?


ตอบ : เหลือเฟือเลยจ้ะ การสวดมนต์ภาวนา ถ้าสวดเป็นไปพระ

 

นิพพานได้ง่ายที่สุด

ให้ตั้งใจยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน แล้วอธิษฐานสวด

มนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ถ้ายังไม่จบเราจะไม่ลง เมื่อมีงานให้ทำ

 

ใจจะเกาะอยู่ที่พระนิพพานได้นาน

พวกที่ได้มโนมยิทธิให้ลองสังเกตดูว่า อารมณ์พระนิพพานจริง ๆ นั้น

ยังไม่ใช่อารมณ์ใจที่แท้จริงของเรา เพราะฉะนั้น..เราจึงเกาะได้น้อย

เกาะได้ไม่นาน บางทีไม่ทันจะรู้ตัว ก็หล่นลงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เมื่อรู้

 

ตัวแล้วถึงค่อยขึ้นไปใหม่

แต่ถ้าหากว่ามีงานทำอยู่ พอจิตมีงานทำ มีอะไรให้เกาะ ก็ทรงตัวอยู่ตรง

 

นั้น เพราะเราตั้งใจว่า ถ้ายังสวดมนต์ไม่จบเราจะไม่ลง ทำลักษณะนั้น

 

บ่อย ๆ แล้วขยายเวลาให้ยาวขึ้นไปเรื่อย ๆ หาเรื่องสวดมนต์ให้มาก ๆ

 

บทหน่อย พออยู่ไปนานเข้าจิตจะชินกับอารมณ์พระนิพพาน

 

พอชินก็จะเกาะพระนิพพานได้นานขึ้น ไม่ใช่ขึ้นไปวินาทีหนึ่ง

 

ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าพระก็หล่นลงมาแล้ว

ถามว่าสวดมนต์อย่างเดียวพอที่จะไปพระนิพพานไหม ?

 

ถ้าทำเป็นก็พอ ถ้าอยากจะทำในลักษณะทิพจักขุญาณ เวลาสวด

 

มนต์ก็ให้นึกถึงตัวหนังสือไปด้วย "อิติปิโส ภควาฯ"

 

 

ให้เห็นเป็นคำ ๆ ไปเลย   ถ้าเห็นได้ชัดเจนเท่าไร เวลาเราดูผีดู

 

เทวดา เราก็จะเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น กลายเป็นว่าทำเป็นไหม ?

 

ทำเป็นก็ทำได้ทุกคน ใช้ได้ทุกอย่าง

อย่าลืมว่า กรรมฐาน ๔๐ นั้น ที่อารมณ์ทรงตัวจริง ๆ คือ อานาปานสติ

 

และกสิณ ๑๐ อารมณ์อื่นจะเป็นอารมณ์พิจารณาบ้าง อารมณ์แค่

 

อุปจารสมาธิบ้าง อารมณ์แค่ปฐมฌานบ้าง แต่ว่าที่หลวงพ่อวัดท่าซุง

 

สอนพวกเรามา ท่านจับเป็นฌาน ๔ หมด ต่อสมาบัติ ๘ ให้เลยด้วยซ้ำ

 

ไป เพราะฉะนั้น..จึงขึ้นอยู่กับเราว่าทำเป็นไหม ? ถ้าทำเป็น

 

แม้แต่การสวดมนต์ก็สามารถดัดแปลงใช้งานได้ทั้งหมด



สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 12:27:33


ความคิดเห็นที่ 20 (1581690)

ทำอย่างไรถึงทรงอารมณ์วิปัสสนาญาณได้เป็นปกติ ?

 


เรื่องพระต้องถามยายเจี๊ยบ เมื่อวานนี้ เขามานั่งถามปัญหาตรงนี้
 
 
อาตมาส่งพระให้เทพฤทธิ์ ยายนั่นก็มือไวคว้าหมับไปดูเสร็จก็ร้อง..โอ้
 
 
โห..พระศักดิ์สิทธิ์จังเลย ขนลุกทั้งตัวลูบเท่าไรก็ลูบไม่ลง รายนั้นสมาธิ
 
 
เขาดี ทรงอารมณ์วิปัสสนาญาณได้เป็นปกติเลย เขาได้อยู่ใน
ระดับที่ว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดี พร้อมที่จะไปแล้ว

ถาม : ทรงฌานหรือคะ ?

ตอบ : ทรงวิปัสสนาญาณจ้ะ


ถาม : ต่างกับทรงฌานอย่างไร ?
 

ตอบ : ฌานอย่างเดียวจะนิ่ง ถ้าวิปัสสนาญาณปัญญาจะมี


ถาม : อย่างนั้นก็ต้องยากกว่าใช่ไหมคะ ?
 

ตอบ :
ง่ายกว่า ทรงฌานต้องเสียเวลาไปนั่งภาวนา
 
 
วิปัสสนาญาณเราก็พิจารณาไปเลย


ถาม : แล้วทำอย่างไรถึงจะทำแบบเขาได้ ?
 

ตอบ : ก็ทำแบบเขา...(หัวเราะ)... ตอบกำปั้นทุบดินดีไหม ?


เขาเอาใจขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าเป็นปกติ เสร็จแล้วก็พิจารณา
 
 
 
อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งกายในใสเป็นแก้วทั้งองค์ แล้วก็ค่อยกราบ
 
 
ลาพระลงมา แล้วก็ประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้
 
 
 
 
ตัวนี้แหละคือการใช้มโนมยิทธิที่ถูกต้องตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุง
 
 
ท่านต้องการ

คนอื่นที่เอาไปดูอดีต ไปดูปัจจุบัน ดูอนาคต ถ้าดูแล้วไปยึดก็เจ๊ง
 
 
 
หมดทุกรายแหละ
 
 
 
แต่ว่ารายนี้เขาทำตรงพอดี เขาจะขึ้นไปกราบพระ
ข้างบน พิจารณาจนกระทั่งใจของเขาใสสว่างสะอาดหมดทั้งดวง
แล้วก็ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้


เขาก็เลยสงสัยตอนนี้เขาผิดปกติหรืออย่างไร เจออะไรก็เฉย
 
 
คนเขาด่าก็ยิ้มเฉย พอฟังเขาด่าเสร็จแล้วก็ไป ฟังเขาด่าได้ตลอดโดยที่
 
 
ไม่คิดอะไรเลย ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้เห็นสักแต่ว่าได้เห็น รายนี้ถ้าไม่
 
 
ยั้งไว้อีกไม่นานก็ไป เพราะว่าอารมณ์แบบนี้ใกล้จุดสุดท้ายเต็มทีแล้ว


ถาม : ยั้งเอาไว้ให้ช่วยกัน ?

ตอบ : เขาบอกว่า ตอนนี้ความรู้สึกผูกพันระหว่างครอบครัวก็ไม่มี
 
 
ที่เคยรักก็เฉย ๆ ที่เคยเกลียดก็เฉย ๆ ไม่รักไม่เกลียดใครแล้ว
 


ถ้าใครฟังปฏิปทาท่านผู้เฒ่าบ่อย ๆ จะจำได้ ตรงจุดนี้จะเป็นสุดท้าย
 
 
ของอารมณ์ที่หลวงพ่อท่านบอก ไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียด
 
 
ในฐานะที่ควรเกลียด ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรขัดเคือง

นั่นขนาดคนข้างบ้านด่าก็ยืนฟังเขาด่าจนตลอด ประเภทให้กำลังใจเขา
 
 
หน่อย เขาอุตส่าห์ด่าทั้งที พอฟังเสร็จ เขาด่าจบแล้วก็ไป เฉย ๆ ไม่ได้
 
 
ติดหู มาสักคำเดียว ของพวกเราอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเก็บมาคิด ของเขา
 
ตัวความคิดปรุงแต่งไม่มีแล้ว ปล่อยได้แล้ว
 
 
ใครเอาอะไรมา ก็กองอยู่
 
 
ตรงนั้นแหละ


ถาม : แล้วไปยืนฟังเขาทำไมละคะ ?
 

ตอบ : ให้กำลังใจเขาหน่อย เขาอุตส่าห์มาด่าแล้ว ถ้าไม่ยืนฟังเดี๋ยวเขา
 
 
ไม่มีอารมณ์จะด่า สงสารเขา..!


ที่พูดมานี้พวกเราก็ทำได้ แต่ว่าทำแล้วยังไม่ทรงตัวอย่างเขา
 
 
ได้เพียงครู่เดียว จะได้ตอนที่มีสติ พอขาดสติไปไหลตาม ตา หู
 
 
จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อไรก็อารมณที่ได้ก็ขาดไปด้วย ของ เขาควบ
 
 
 
คุมได้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้
 
 
กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ป้องกันไม่ให้
 
 
ทุกอย่างเข้ามาในใจได้

แรก ๆ ก็ต้องระวังป้องกันอยู่ พอนานไปก็ไม่ต้องระวังแล้ว
 
 
เพราะไม่เก็บเอาไว้เลย ฟังดูง่ายไหม ?


ถาม : แล้วอย่างนี้เวลาเขาทำงานปกติ ก็เป็นคนประหลาดสิคะ ?

ตอบ : ก็ประหลาด... ถึงได้บอกว่า คิดว่าเราทำ หน้าที่รอเวลาตาย
 
 
เท่านั้น เพราะฉะนั้น..งานของเราก็ทำให้ดีที่สุด หลังจากนั้น
 
 
แล้วจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของงาน เราก็ไปพระนิพพานของเรา


เมื่อวานลองไล่อารมณ์ให้เขาฟังหลายอย่าง ตรงกันหมด ถ้าตรงกัน
 
 
หมดก็ใช่ ใช่ตรงที่ว่าที่เราทำมา เออ..ก็คล้ายกับเขา นี่พัฒนาการทาง
 
 
จิตในระดับที่ควรจะทำให้ได้อย่างยิ่ง


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 12:35:36


ความคิดเห็นที่ 21 (1581763)

 

ขอบคุณน้องทศวรรษที่นำธรรมะดีๆมาลงให้อ่าน

อยากทราบว่า 

การสนทนาธรรม ของอาจารย์เล็ก

ณ. บ้านสวนอนุสาวรีย์ฯ 

เหมือนในหนังสือธรรมวิโมกข์ของวัดท่าซุง

ที่พิมพ์เป็นประจำทุกเดือนหรือเปล่าคะ

หรือเอามาจากเวปคะ อ่านแล้วได้ความรู้มากๆเลยค่ะ

ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานด้วยค่ะ

นำมาลงให้อ่านอีกนะคะ

จะคอยติดตามอ่านธรรมะดีๆจากน้องนะคะ..

สาธุ...สาธุ...สาธุ...

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช พงษ์ดี (kanungnuch03-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-02 21:45:40


ความคิดเห็นที่ 22 (1581855)

อ่อ เหมือนกับ วัดท่าซุง ครับ

มีทุกๆเดือน รึ บางคน มีปัญหา ถามท่าน ท่านก็เมตตา ตอบ ครับ

สามารถ อ่าน ได้ที่   http://www.watthakhanun.com/webboard/

 

หลวงพี่เล็ก ท่าน เป็น พระปฏิสัมภิทาญาณ ( ฉลาดและรอบรู้)  

เลยได้ความรู้หลายเรื่องเยอะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 08:43:35


ความคิดเห็นที่ 23 (1581857)

 

วิธีแก้ความขี้เกียจในการปฏิบัติ

 ถาม : ตอนนี้ผมก็ปฏิบัติธรรมมาได้พอสมควรแล้ว

 

จิตก็เริ่มขี้เกียจ เราจะกำราบกิเลสอย่างไรดี ?

ตอบ : แสดงว่าจวนจะแย่แล้ว ต้องไปฝึกมรณานุสติ

 

ให้รู้สึกอยู่เสมอว่า ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจ

 

เข้าออก ถ้าตายตอนนี้กำลังใจเรายังไม่ดี เราต้องลง

 

อบายภูมิแน่นอน เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากลงอบายภูมิ ก็

 

จงขี้เกียจต่อไป บอกกับตัวเองให้ชัดๆ อย่างนี้ไปเลย

เอามรณานุสติเป็นเกณฑ์ ทำตัวเป็นคนมีวันนี้เป็นวันสุด

 

ท้าย ถ้าวันสุดท้ายไม่ทุ่มเท ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอด

หรือไม่

ถาม : ถ้าขี้เกียจในมรณานุสติ ?

ตอบ : ถ้าขี้เกียจในมรณานุสติก็ต้องขี้เกียจหายใจ

 

ด้วย..! วันก่อนมีโยมบอกว่า เบื่อแล้วอยากฆ่าตัวตาย

 

อาตมาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้ฆ่าตัวตายตามแบบพระ

 

พุทธเจ้า ก็คือ ฝึกฌานสี่ละเอียดให้ได้ เข้าฌานสี่ไป

 

แล้ว พอคลายออกมาแล้วอย่าหายใจ ก็จะตายเอง

 

แล้วตายแบบนั้นเราเลือกได้ด้วยว่าเราจะไปไหน

ฉะนั้น..วิธีฆ่าตัวตายแบบพระพุทธเจ้าสุดยอดมากเลย

 

สมควรที่ทุกคนจะเลียนแบบ ก็คือ ถ้าหายใจจะมีชีวิตอยู่

 

ต่อ แต่ถ้าเราคลายจากฌานสี่ออกมาแล้วไม่หายใจ ก็จะ

 

ไปเลย อย่างที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า บุคคลที่คล่องใน

 

อานาปานสติ สามารถที่จะกำหนดเวลาตายของตัว

เองได้

อย่างใน ธรรมบท ที่ลูกศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า จะรู้

 

เวลาตายได้อย่างไร ? พระอาจารย์จึงขีดเส้นเอาไว้

 

บอกว่า "ถ้าฉันเดินจงกรมครบรอบ มาเหยียบเส้นนี้

 

เมื่อไร ฉันก็จะตาย" ลูกศิษย์ก็รอดู พอพระอาจารย์

 

เดินจงกรมจนครบรอบ เหยียบเส้นก็มรณภาพในท่ายืน

 

ทันทีเลย เพราะท่านเข้าฌานแล้วทิ้งไปเลย ถ้าไม่

 

หายใจเสียอย่าง จะไปอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องตาย

สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔


ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 08:58:29


ความคิดเห็นที่ 24 (1581860)

สวดคาถาเงินล้านให้เป็นวิปัสสนา

 


มีคนหนึ่งมาถามพระอาจารย์เล็กว่า " เราจะสวดพระคาถาเงินล้านให้เป็นวิปัสสนาได้อย่างไร "

พระอาจารย์ก็ตอบว่า
 
"ตอนที่สวดไป มันก็มีการเกิด-ดับ ทุกคำ
 
แล้วสวดไป ๆ มันเมื่อยมันเหนื่อยไหมเล่า นั่นมันทุกข์

ในที่สุดแล้วคนสวด ก็ตาย สุดท้ายไม่มีอะไรเหลือ "
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 09:21:49


ความคิดเห็นที่ 25 (1581861)

 

 

 

 

มารเป็นครูที่ดีที่สุดของเรา

 


ถาม : อยากถามเรื่องเกี่ยวกับมาร มีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?


ตอบ : มีจริง ๆ จ้ะ เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักเขาไหม เราจะเห็นเขาได้ไหม
 
 
คนรอบข้างของเรา เขาสามารถอาศัยเป็นเครื่องมือได้หมด ตอนแรก ๆ
 
 
อาตมายังเข้าใจว่า มารนี่เป็นกำลังที่ไม่ดีของเรา แต่ไม่ใช่ มันมีตัวตน
 
 
จริง ๆ มันพยายามจะชักนำให้เราคิดผิด ทำผิด พูดผิด อยู่เสมอ ขณะ
 
 
เดียวกัน คนรอบข้างเรานี่ เขาสามารถที่จะดลใจให้คน ๆ นั้น ไม่ว่าจะคิด
 
 
 
จะพูดอะไรก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราเกิดโทสะ ให้เราเกิดราคะ ให้
 
 
เราเกิดโลภะได้อยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปเขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำ
 
 
 
หน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่หนี เราก็หนีของเราไป เขามีหน้าที่ขวาง
 
 
 
เขาก็ขวางของเขาไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัว ไม่มีใครเป็นศัตรูของ
 
 
ใคร

ฟังให้ดี ๆ นะ ตรงจุดนี้ เมื่อถึงวาระ เมื่อถึงเวลาโอกาสเปิดให้เขาขวาง
 
 
เรา ก็เป็นเรื่องของเขา จริง ๆ แล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าเรา
 
 
สามารถก้าวข้ามที่เขาทดสอบเราได้ ตรงจุดนั้นเราจะไม่แพ้เขาอีก
 
 
หากว่าเราก้าวข้ามไม่ได้ เราไปติดไปสะดุดหรือไปหยุดอยู่ เขาถึงได้
 
 
เรียกว่า มารเป็นผู้ขวาง หรือผู้ฆ่า เพียงแต่ว่าเขาเป็นครูที่ขยันไปหน่อย
 
 
 
ข้อสอบมันมาทุกวินาทีเลย เผลอเมื่อไรก็โดน

ถาม : แล้วอยากถามว่า มารนี่อยู่ภพภูมิไหน ?


ตอบ : มารนี่อยู่ภพภูมิที่สูงกว่าเทวดาอีก พระพุทธเจ้าท่านจะจัดเอาไว้ว่า
 
 
เทเวนะวา มาเรนะวา พรัหมมุนาวา เพราะฉะนั้น เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหม
 
 
ก็ดี ท่านจะเอ่ยชื่อมารในลักษณะสูงกว่าเทวดาอยู่ตลอด เพราะว่ามารจะ
 
 
 
 
อยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ เรียกว่า ปรนิมมิตวสวัสตี จะแบ่งเป็นสองเขต เขต
 
 
หนึ่งเป็นเขตของเทวดา อีกเขตหนึ่งเป็นเขตของมารเขา


ถาม : มีหน้าที่คอยขวาง ?

ตอบ : นั่นเป็นงานเขา เหมือนอย่างกับงานของนักการเมือง แต่ไม่ใช่งาน
 
 
 
ที่สร้างความเจริญ เป็นงานที่สร้างความล่มจม

ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างว่า อันไหนคือมาร ?

ตอบ : สร้างสติ สมาธิ ให้มาก ๆ ถ้าสติ สมาธิ ทรงตัว ปฏิบัติอยู่ในกรอบ
 
 
ของศีล ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากกรอบของศีล ตราบนั้นเขาจะชักจูงเรา
 
 
ได้ยาก ศีล ๕ ก็พอ ถ้าหากว่าเรามีศีล ๕ อยู่ ถึงเวลาเขาทำให้เราบันดาล
 
 
โทสะ เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีล เราก็ไม่ทำร้ายใคร ไม่ฆ่าใคร ถ้าหากว่าเขา
 
 
ทำให้เราเกิดความโลภ เราอยากได้ของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็หามาถูกต้อง
 
 
ตามทำนองคลองธรรมโดยไม่ผิดศีล ถึงเวลาเขาตั้งใจให้เราไปแย่งคน
 
 
รักคนอื่นเขา เราก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ รู้อยู่ว่าสิ่งนั้นผิด ไม่ถูกต้อง เราก็
 
 
ไม่ทำ

ถ้าเรามีศีลเป็นเกราะ มารจะชักนำเราได้น้อยมาก อย่างดีเขาก็ให้เราคิด
 
 
ได้ บังคับให้เราพูดได้ แต่บังคับให้เราทำไม่ได้แล้ว ถ้าหากว่าคำพูดที่
 
 
เป็นตัวมุสาวาท คือ โกหก เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีลอยู่ เราจะไม่พูดโกหก
 
 
เขาก็จะบังคับเราไม่ได้ด้วย ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง

พอไปถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นคุณค่าของเขาเองว่า เขามีคุณูปการ
 
 
อย่างมหาศาลเอง คุณูปการนั้น คือว่าถ้าไม่มีการทดสอบจากเขา
 
 
กำลังใจของเราก็จะไม่มั่นคงเร็ว จะไม่แข็งแกร่งเร็ว ดังนั้น ถึงได้บอกว่า
 
 
 
มารไม่ใช่ศัตรู แต่เขาเป็นครูที่ดีที่สุดของเรา


เพียงแต่ว่าเราจะสามารถ ทำข้อสอบของครูคนนี้ไหวไหม พอก้าวข้าม
 
 
 
ตรงจุดนี้ไป ก็เหมือนกับว่าโลกมันตีลังกากลับ ก็คือว่าสิ่งที่เราไม่เคยเห็น
 
 
ความดี ก็จะเห็นความดีของเขา ทุกอย่างรอบข้างของเราเป็นครูเราหมด
 
 
คนทำให้เราโกรธก็เป็นครูที่ดีของเรา เพราะทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้ว
 
 
อารมณ์ใจของเรา มันยังห่วยแตกใช้ไม่ได้ คนที่ทำให้เราเกิดโลภ
 
 
ก็ทำให้เรารู้ว่าเรายังใช้ไม่ได้ ยังต้องระมัดระวังมากกว่านี้

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 09:24:48


ความคิดเห็นที่ 26 (1581865)

หน้าที่นี้ไม่มีใครอยากทำหรอก

 


ถาม : ...................?

ตอบ : มันหนีไม่พ้นจริง ๆ เพราะว่ายิ่งนานไป คนที่ต้องการนิพพานยิ่ง
 
 
มากขึ้น การพาคนไปนิพพาน เท่ากับเป็นการตัดกรรมใหญ่ทั้ง
 
 
หมดของเขา ในเมื่อตัดกรรมใหญ่ทั้งหมดของเขา มันก็มาลงคน
 
 
นำไปนั่นแหละ


ถาม : เศษกรรมมันมาตีหน่อยเดียว?

ตอบ : หน่อยเดียว น่วมเลย

ถาม : ...................?

ตอบ : หน้าที่นี้ไม่มีใครอยากทำหรอก อาตมาเองยิ่งตัวเบี้ยวเลย
 
 
แต่มันถึงวาระถึงเวลา มันเบี้ยวไม่ได้ ก็ยังสงสัยอยู่

อย่างงานปัจจุบันนี้ มันใช่งานของเราซะเมื่อไหร่ล่ะ
 
 
ถามหลวงพ่อว่า แล้วทำไมต้องเป็นผมล่ะครับ ผมรู้ว่างานของผมไม่ใช่
 
 
อย่างนี้ ท่านบอกว่าก็คนที่มันจะทำจริง ๆ ให้ได้อย่างเอ็งมันไม่มี
 
 
ก็จำเป็นต้องเอาเราไว้ก่อน นี่เราแค่เล่นแทนเขาเท่านั้นแหละ
 
 
เล่นจนจะกลายเป็นตัวจริงอยู่แล้ว เจ้าของงานเขาไม่มา พระเอกเขาไม่
 
 
มา เขาก็เอาตัวประกอบมาเล่นแทน เล่นไปเล่นมาจนคนหลงคิดว่าเป็น
 
 
พระเอกไปซะแล้ว


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖


ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 10:02:40


ความคิดเห็นที่ 27 (1581869)

ขึ้นชื่อว่าร่างกาย


ถาม : ร่างกายนี้ ถ้าหากว่าเราบอกว่าไม่สนใจมัน ช่างมันนั้นคะ
 
หมายความว่าปล่อยแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทรกซ้อน..อย่างกรรมเก่านี่จะเข้ามาแทรกซ้อนไหม ?

ตอบ : กรรมนั้นมันไม่เกี่ยว เราปล่อยหรือไม่ปล่อยนั้นมันก็เอาอยู่แล้ว ลักษณะการปล่อยร่างกายนั้น หมายความว่าเรามีปัญญารู้เท่าทันมัน รู้เท่าทันมันว่าร่างกายที่ไม่ดีจริงอย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราขอมีมันแค่ชาตินี้ชาติเดียว ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็บำรุงดูแลรักษามันไปตามหน้าที่

กายนี้เป็นสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ มารยาทในการยืมก็คือ
 
ดูแลรักษาให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ส่งคืนเขาในสภาพที่ดีที่
 
สุด ไม่ใช่ว่ายืมของเขามาใช้แล้วก็ให้มันพังไปเลย เพราะฉะนั้นเรายังมี
 
 
หน้าที่ดูแลรักษาเขาอยู่ เพื่อว่าในปัจจุบันเราจะได้อยู่โดยไม่ลำบากนัก

แต่ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้อง
 
 
การมีมันอีก ชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ใช่ประเภททิ้ง ๆ
 
 
ขว้าง ๆ ไม่สนใจ ๗ วัน ไม่อาบน้ำสักที เดี๋ยวคนรอบข้างเขาจะด่าเอา

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 10:20:50


ความคิดเห็นที่ 28 (1581944)

การคิดถึงความตายไม่ใช่ของง่าย

สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้มีความสำคัญดังนี้

๑. “หลวงตาสมชาย ท่านตายแล้ว แต่ท่านใช้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

 

ใช้อภิญญาสมาบัติหรือมโนมยิทธิให้เกิดประโยชน์กับท่าน

 

ท่านนึกถึงพระพุทธเจ้า ๆ ก็เสด็จ ท่านนึกถึงท่านฤๅษี ๆ ก็มา เพียงท่าน

 

ฤๅษีถามว่า หลวงตาไม่อยากเกิดอีกแล้วใช่ไหม? เพียงแค่นี้บุญเก่าที่

 

สะสมมาก็รวมตัว ท่านก็ไปนิพพานได้อย่างสบาย ๆ


๒. “คนที่เขาตายกัน เขาตายกันเมื่อไหร่ วันนี้หรือพรุ่งนี้”

 

(เพื่อนผมตอบว่าไม่แน่) ทรงตรัสว่า “แน่สิ คนทุกคนตายกันตรงที่

 

“เดี๋ยวนี้” ทั้งนั้นแหละ ร่างกายที่กาลัง กัตวา (ตาย) นั่นแหละ

 

ขณะจิตนั้นไม่มีตายเวลาอื่นหรอก ทุก ๆ คนจึงตายอยู่ในธรรมปัจจุบัน

 

ตายจริง ๆ ก็เวลานั้น เวลาอื่นไม่ได้”

๓. “นี่แหละคือมรณานุสติที่เป็นจริงอยู่ในธรรมปัจจุบันนั่นแหละ

 

ไม่ใช่คิดอย่างผู้ที่ยังประมาท คิดถึงความตายห่างมากเกินไป

 

ต้อง คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกก็คือ คิดถึงอยู่ใน

 

ธรรมปัจจุบันตายตอนนี้ไว้เสมอ แล้วควบอุปสมานุสติเตือนใจอยู่

 

มิได้ขาด นี่ถึงเป็นของจริง

๔. “ในอดีตที่เข้ามาสะสมบารมีธรรม การคิดถึงความตายไม่ใช่ของง่าย

 

จิตคิดบ้าง ลืมบ้าง คิดแล้วไม่ยอมรับบ้าง ฝืนไปเสียบ้าง จนในที่สุด

 

จิตละเอียดขึ้นก็คิดถึงวันละ ๒-๓ ครั้ง แต่จิตก็ยังไม่ทรงตัว

 

พอจิตละเอียดขึ้นไปอีกคิดได้วันละประมาณ ๗ ครั้งทรงตัว แต่ก็ยังมี

 

อารมณ์เกาะติดอยู่ในร่างกายของตนและบุคคลอื่น พระโสดาบันจึงยังมี

 

 

 

ครอบครัวได้ เพราะการเกาะติดตรงนี้”



๕. “แต่ไม่ได้คิดว่าตายตอนนี้ ถ้าคิดว่าตายตอนนี้จริง ๆ จนกระทั่งจิต

 

ทรงตัว ภาระครอบครัวก็ไม่มี มันมีไม่ได้ คนมันคิดจักตายอยู่รอมร่อ

 

จักไปใยดีอะไรกับร่างกายของตนและของคนอื่น"

๖. “จุดนี้แหละที่สมเด็จองค์ปัจจุบันตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่า

 

ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก เพราะจักทำให้จิต

 

มันชินกับความไม่ประมาท อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ

 

เกิด ขึ้นได้เพราะ

 

จุดนี้ อย่าปล่อยความดีจุดนี้ให้หล่นหายไปเสียนะ จงทำไว้ให้เป็น

 

ปกติ ถ้าทำให้ถึงพร้อมความประมาทในธรรมก็จักไม่มี มรรคผล

 

นิพพานจักเกิดขึ้นได้ง่าย

๗. “พวกเจ้ามาถึงจุดนี้ พบขุมทรัพย์ในมรณานุสติแล้ว ถ้าจักไม่

 

ฉลาดตักตวงแล้ว ก็สุดแล้วแต่อัธยาศัยเถิด ถ้าขยันเก็บสะสมไว้ให้จิต

 

ทรงตัวที่จุดนี้ จิตก็จักไม่ประมาทในชีวิต การตัดกิเลสก็จักเป็นของ

 

ง่ายดายยิ่งขึ้น อย่าละความเพียร (พยายาม) ก็แล้วกัน”

 

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 18:45:36


ความคิดเห็นที่ 29 (1581945)

สังขารุเบกขาญาณตัวจริงนั้นเป็นอย่างไร


เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ ส.ค. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐม ได้ทรงพระเมตตา

 

ตรัสสอนไว้ดังนี้

๑. “ร่างกายไม่ดี ฝืนไม่ได้ก็จงอย่าฝืน การกำหนดรู้เวทนาเป็นของดี

 

การวางเฉยไม่บ่นในเวทนานั้นก็เป็นของดี แต่จักให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

 

ก็จงดูอารมณ์ว่า มีความวิตกกังวลกับร่างกายมากน้อยเพียงใด

 

ดูผิวเผินเสมือนหนึ่งไม่มีจิตเกาะเวทนานั้น ๆ แต่ควรจักมองให้ลึก ๆ

 

เข้าไปถึงอารมณ์ที่ไม่โปร่งของจิต ก็จักเห็นอาการของจิตที่ยังเกาะ

 

เวทนานั้นอยู่ไม่มากก็น้อย คือ ลักษณะของอารมณ์จิตยังอึดอัดมีการ

 

เหมือนอดทนต่อเวทนานั้น จิตยังมีอาการหนักอึดอัดก็คือ จิตไม่วาง

 

อาการเวทนาของร่างกาย”

๒. “หากเป็นสังขารุเบกขาญาณตัวจริง เวทนาจักสูงสักเพียงใด

 

อารมณ์ของจิตจักไม่หนักใจในอาการนั้น จิตโปร่งไม่ยึดเกาะอาการ

 

เวทนาใด ๆ ทั้งสิ้น เหมือนดั่งในวาระที่ท่านฤๅษีจักละขันธ์ ๕ มาครั้งนั้น

 

เจ้าก็รู้สึกถึงอารมณ์จิตของท่านฤๅษีได้ว่าโปร่งเบา มิได้ขัดเคืองกับ

 

ทุกขเวทนาของขันธ์ ๕ เลย นั่นแหละเป็นของ จริงแห่ง

 

อารมณ์สังขารุเบกขาญาณ คือ จิตยอมรับและปล่อยวางร่างกายไปตาม

 

สภาพของความเป็นจริง ยอมรับกฎของกรรม หรือธรรมดาของร่างกาย

 

อย่างจริงใจ



๓. “แต่ก็ยังเป็นการดีที่เจ้าลดอารมณ์จิตบ่นไปได้บ้างแล้ว หมั่นคุมตัวนี้

 

ให้ดี ๆ และหมั่นลดความหนักของจิตให้น้อยลงไปด้วย”



๔. “อาการหนักของจิต จักต้องดูและรู้ด้วยตาปัญญา คือ อย่าให้กิเลส

 

มันมาบังความจริงว่า จิตหามีความหนักไม่ทั้ง ๆ ที่ยังมีอารมณ์หนักอยู่

 

เหมือนคนเดินตัวเปล่าก็โปร่งเบา ซึ่งต่างกับคนเดินแบกสัมภาระย่อม

 

หนัก ฉันใดก็ฉันนั้น หากจิตไม่เกาะเวทนาจริง ๆ ก็จักมีสภาพตามนี้

 

สอบจิตดูอารมณ์เอาไว้ให้ดี ๆ



๕. “การจักปลดความหนักของจิตลงได้ ต้องอาศัยพิจารณา

 

กฎไตรลักษณญาณ เห็นเกิด เสื่อม ดับของขันธ์ ๕ ซึ่งยึดถือมาเป็น

 

แก่นสารสาระ

 

ไม่ได้ และยึดสมถะภาวนา ๓ กองมาเป็นกำลัง คือ มรณานุสติและ

 

อสุภะ และกายคตานุสติ ทำลายความยึดมั่นถือมั่นลงไปในความเกาะ

 

ติดว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา

 

และควบอุปสมานุสติเอาไว้ ขออยู่กับสภาพไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ อันมี

 

ความเที่ยงของมันอยู่อย่างนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ขันธ์ ๕ นี้ตายลงเมื่อไหร่


ตั้งใจไปพระนิพพานเมื่อนั้น”



๖. “กรรมฐานเหล่านี้ พวกเจ้าต้องทำควบคู่กันไปตลอดเวลา จักทำให้

 

บารมี คือ กำลังใจตัดกิเลสทรงตัวยิ่ง ๆ ขึ้นไป รักษากำลังใจจุดนี้ไว้ให้

 

ดี ๆ จงจำปฏิปทาของท่านฤๅษีเอาไว้ ท่านทำเพื่อความไม่ประมาทโดย

 

ตรง รักษากำลังใจให้ดี คือ ไม่คิดให้จิตต้องเศร้าหมอง ไม่ว่าในกรณีใด

 

ๆ ท่านทำมาโดยตลอด จนกระทั่งจิตทรงตัวอยู่ในความดี มีจิตผ่องใส

 

หมดจดจากความประมาทได้ในที่สุด”

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 18:49:43


ความคิดเห็นที่ 30 (1581946)

บารมีเต็มเป็นอย่างไร



เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๔ พ.ค. ๒๕๓๖ หลวงพ่อฤๅษีท่านเมตตามาสอน

 

มีความสำคัญ ดังนี้

๑. “
บารมีเต็ม คือ การทำกรรมฐานทุกครั้งด้วยความตั้งใจและเต็มใจ


ทำจริง หรือการทำงานเพื่อศาสนกิจก็เช่นกัน

 

เอางานนั้นมาเป็น

 

กรรมฐาน ทำด้วยความเต็มใจและตั้งใจทำจริง สลัดตัดความเบื่อหน่าย


เกียจคร้านทิ้งไป”



๒. “มีเจตนาตั้งใจทำจริงเพื่อพระนิพพานจุดเดียว
เหนื่อยนั้น

 

เหนื่อยแน่เพราะเรายังมีขันธ์ ๕ ก็ต้องทำจิตยอมรับความเบื่อหน่ายนั้น

 

ว่าเป็นธรรมดา”

๓. “ที่เราเหน็ดเหนื่อย เพลิดเพลิน อยู่ในกามโลกีย์วิสัยมากี่

 

แสนอสงไขยกัปแล้ว เราเกิดตายอยู่กับความเหนื่อยของขันธ์ ๕ นี้มา

 

นานเท่าไหร่ ความเหนื่อยเหล่านั้นมันหาสาระไม่ได้ ขอให้ตั้งใจจริง

 

เต็มใจจริง เหนื่อยเพื่อทำกรรมฐานให้พ้นโลก ช่วยศาสนกิจเป็นครั้งสุด


ท้ายของชีวิตที่ทรงขันธ์ ๕ อยู่นี้อดทนไปเถิด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย


แล้ว”


๔. “สลัดตัดความเบื่อหน่ายทิ้งไป รู้ทุกข์นั้นดีกว่าไม่รู้ทุกข์ รู้เหน็ด

 

เหนื่อยดีกว่าไม่รู้เหน็ดเหนื่อย รู้ธรรมดีกว่าไม่รู้ธรรม จิตจะได้ชำระความ

 

มัวเมา ในกามโลกียวิสัยทิ้งไปจากอารมณ์เสียที”

 

ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม ๔)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 18:53:03


ความคิดเห็นที่ 31 (1581956)

แม่พระทั้ง ๕
เสมือนหนึ่งมารดาทางธรรม


สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงพระเมตตาสอนไว้ เมื่อ ๒๙ ส.ค. ๒๕๓๕ ที่วัด

 

ท่าซุง จ. อุทัยธานี เพื่อสะดวกในการจดจำและความเข้าใจของผู้อ่าน

 

จึงขอเขียนแยกออกเป็นข้อ ๆ มีความสำคัญดังนี้



๑. ในทางโลก บิดา-มารดาท่านเสพกามกัน ดวงจิตของเราก็มาจุติได้

 

 

มารดาอุ้มท้องเลี้ยงดูเรามาตราบกระทั่งชีวิตของท่านหาไม่ พระคุณ

 

 

แห่งบุพการีทั้งสอง ขอจงจดจำไว้ อย่าตำหนิหรือลบหลู่เป็นอันขาด



๒. ในทางธรรม กายเกิด ธรรมก็เกิด เกิดด้วยธาตุ ๔ เข้ามาประกอบกัน

 

 

โดยมีแม่พระโพสพ (ข้าว) เป็นอาหารหลักที่เลี้ยงกาย แม่พระทั้ง ๕

 

(แม่ธาตุทั้ง ๔ และ แม่โพสพ ๑) จึงเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรม

 

 

ที่อยู่กับเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย

 


๓. บุตร บิดา มารดา ฆ่ากันในทางโลก หากมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตั้งจิต

 

สร้างอภัยทานให้เกิด กล่าวขออโหสิกรรม และเป็นฝ่ายยอมรับผลของ

 

กรรม ที่ตนได้ก่อไว้ในอดีตชาติอย่างสงบ กรรมนั้น ๆ ก็จะลุล่วงเลิกแล้ว

 

ต่อกันไปได้ เช่น อย่างตถาคตตรัสอโหสิกรรมให้พระเทวทัต หรือพระ

 

อรหันต์สาวกทั้งหลายทุก ๆ องค์ ที่เคารพในกฎแห่งกรรมสำแดง

 

ปฏิปทาให้ปรากฏ ตั้งแต่ต้นพุทธันดรมาจนถึงปัจจุบัน และล่วงเลยไป

 

ในอนาคตปลายแห่งพุทธันดร ผลแห่งอภัยทานกล่าวคืออโหสิกรรม

 

และรับในผลแห่งกรรมย่อมมีอยู่ให้เห็นเป็นตัวอย่างสืบเนื่องตลอดไป

 



๔. ต่างกับผู้ที่ฆ่าตัวตาย ทำร้ายแม่พระทั้ง ๕ โทษของกรรมนั้นยากนัก

 

ที่จะพ้นได้ จะอย่างไรก็ต้องฆ่าตัวตายไปอีกตั้ง ๕๐๐ ชาติ เพราะเนรคุณ

 

ไม่รู้คุณแห่งแม่พระธรรมทั้งปวง



๕. เรามาจุติ (เกิด) เราก็ต้องอาศัยเขาสร้างพระบารมี จะไปนรก สวรรค์

 

นิพพานได้ ก็ด้วยชาติที่มนุษย์ส่งผลนี้แหละ เพราะฉะนั้นอย่าเนรคุณ

 

เวลาป่วยไข้ก็จงหมั่นดูกฎของกรรมเป็นต้นเหตุ



๖. ตัวเวทนาของกาย คือ วิญญาณธาตุ (ระบบประสาทรับสัมผัสของ

 

กาย) จงรู้เท่าทันมันให้ดี ๆ เพราะตัวนี้เป็นตัวผสม ทำสุข ทุกข์ให้เกิด

 

ถ้าแยกจิตไม่เป็น เวทนาของกายก็จะทำให้เวทนาของจิตเกิดขึ้นด้วย

 

ขอให้ศึกษาธรรมนี้ให้ดี ๆ จะได้แยกจิต แยกกาย แยกเวทนาออกจาก

 

กันได้



๗. การทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นทางกาย ด้วยโทสะก็ดี ด้วยโลภะก็ดี

 

ด้วยความหลงก็ดี เช่น คนฆ่าตัวเองตาย เท่ากับทำร้ายดิน น้ำ ลม ไฟ

 

ผู้มีพระคุณ ในเมื่อตัวเองยังไม่รู้จักคุณค่าของตัวเอง จึงปล่อยให้จิต

 

เศร้าหมองทำร้ายตนเองได้



๘. คนไม่รู้จักพระคุณของแม่พระทั้ง ๕ จึงมีโทษหนัก เกิดภพใด

 

ชาติใด ก็ต้องฆ่าตัวตายไปถึง ๕๐๐ ชาติ ด้วยเหตุผลดังกล่าว บุคคล

 

ประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก เพราะมักจะชอบทำร้ายบุคคลอื่นอยู่

 

เนือง ๆ ด้วยเหตุมิละเว้นการทำร้ายตนเองได้

 

 

(ทรงหมายความว่า

 

สิ่งที่เขารักที่สุดในโลกนี้ ก็คือร่างกายที่เขาอาศัยอยู่ เขาก็ยังทำร้ายฆ่า

 

มันให้ตายได้ ดังนั้นเขาผู้นี้จึงสามารถทำร้าย และฆ่าผู้อื่นได้ทุกคนใน

 

โลกนี้) เจ้าจงหมั่นระวังจิต อย่าให้คิดทำร้ายตนเองและทำร้ายผู้อื่น

 

เห็นโทษเห็นทุกข์ตามนี้ด้วยเถิด

 

 


วิจารณ์ (ธัมมวิจัย) เนื่องจากพระธรรมจุดนี้ละเอียดอ่อนมาก พระองค์จึง

 

สอนแต่เฉพาะพวกพุทธจริตเท่านั้น ผมจึงขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติม

 

เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พวกจริตอื่น ๆ



๑. บุคคลส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จักบุญคุณของพระแม่ทั้ง ๕ และยังไม่ทราบ

 

ว่าร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และพระแม่โพสพ

 

 

หรือข้าว ก็คือธาตุ ๔ หรือประกอบด้วยธาตุ ๔ ครบ ในเมื่อคนในโลกนี้

 

 

ต่างก็เติบโตและมีชีวิตอยู่ได้ด้วยข้าว อันเป็นอาหารหลัก และ

 

ต้องบริโภคอยู่ทุกวัน แต่จิตยังหยาบเกินไป จึงไม่รู้จักบุญคุณของพระ

 

 

แม่ทั้ง ๕ ยิ่งมองเห็นแม่พระทั้ง ๕ เป็นพระธรรมเพื่อนำไปสู่ความพ้น

 

 

ทุกข์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งห่างไกลสุดประมาณ



๒. ผมจึงเน้นเอา แต่พวกที่มีศรัทธาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา

 

และตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นทุกข์จากเกิด แก่ เจ็บ ตาย

 

อย่างถาวร ในชาติปัจจุบันนี้เป็นหลักสำคัญ ท่านเหล่านี้สะสมบารมีมา

 

มาก เข้าใจและยอมรับเรื่องบุญ บาป เรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน

 

และกฎของกรรม อันเป็นอริยสัจขั้นสูง โดยจิตหมดความสงสัย

 

 

(วิจิกิจฉา) ในธรรมเหล่านี้แล้ว


๓. คำสอนของพระองค์เกี่ยวกับพระแม่ทั้ง ๕ ทั้งคุณและโทษที่ทรง

 

ตรัสสอนไว้ พอสรุปมีความสำคัญดังนี้

 



๓.๑ พระแม่ธรณี (แผ่นดิน, ธาตุดิน) พวกทำลายชาติไม่รู้คุณค่าของ

 

มาตุภูมิที่เลี้ยงดู ได้อาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบันว่า ท่านมีพระคุณอย่าง

 

ใหญ่หลวง จงอย่าเหยียบย่ำและลบหลู่พระคุณของท่าน กรรมของพวก

 

ขายชาติจึงต้องลงนรกชั้นโลกันตมหานรก (นรกขุมที่ ๙)


๓.๒ พระแม่โพสพ (ข้าว) พระองค์เน้นให้เห็นพวกที่มีโทสะจริตสูง

 

เวลาบริโภคอาหารมิได้สำรวม รวมไปถึงพวกสมมุติสงฆ์ด้วย จะกิน

 

อาหารอย่างกระหายก็ดี ขยุ้มข้าวสุกลงมาจากยอดก็ดี หรือปุถุชนที่เมีย

 

ปรุงอาหารไม่ถูกปาก สาดข้าวสุกเททิ้งก็ดี พอกายแตกดับ ก็มาเสวย

 

กรรมแห่งโทสะนั้นในนรก



อีกรูปแบบหนึ่ง ทรงเมตตาให้เห็นภาพสัตว์นรก หิวกระหายจะกินข้าว

 

 

ข้าวก็กลายเป็นเม็ดทรายร้อนแรงด้วยเปลวไฟ บาดปากบาดคอให้พัง

 

เป็นแถบ ๆ แล้วล้มตัวลงนอนดิ้นจนตัวละลายไป เพราะพอทรายร้อนไป

 

ถึงส่วนไหน ส่วนนั้นก็พัง ดังนั้นเมื่อพระแม่โพสพมีพระคุณแก่เรามาก

 

 

นัก เจ้าจงอย่าลบหลู่หรือเหยียบย่ำพระคุณท่าน

 



๓.๓ พระแม่คงคา (พระแม่คงคาหรือแม่น้ำ) สมมุติสงฆ์บ้วนน้ำลาย

 

ถ่ายของเสียออกจากทวารหนัก-เบา คนธรรมดาก็เช่นกัน ทิ้งของ ขยะ

 

ลงไปบ้าง ถ่ายของเสียลงไปบ้าง บางรายอยากได้ปลาก็ใช้ยาเบื่อปลา

 

ละลายลงไปบ้าง บุคคลเหล่านี้เมื่อตายไปก็ไปเสวยกรรมในนรก

 

มีทีท่าหิวกระหายน้ำจัด เห็นแม่น้ำอยู่ใกล้ ๆ ก็วิ่งกระโจนลงไป วักน้ำขึ้น

 

มาดื่ม น้ำก็กลายเป็นทรายร้อนจัด ถูกปาก-คอ-ท้องก็พัง ละลายไปเป็น

 

แถบ ๆ เพราะผลกรรมที่เหยียบย่ำพระแม่คงคา

 


๓.๔ แม่พระพาย สัตว์นรกบางเหล่า ไม่รู้บุญคุณของลมหรืออากาศ

 

ทำกรรมบ่น-ด่า-ว่า พายุที่พัดให้เสียหาย ทั้งทางข้าว

 

ของ-ทรัพย์สิน-ชีวิต บ้างบ่นว่าอากาศร้อนหาลมพัดไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตน

 

เองก็ยังมีอากาศให้หายใจอยู่ โมหะเข้าครอบงำจิต คิดแต่จะเอาความ

 

เย็นมาบำเรอร่างกาย จึงสร้างโทสะให้เกิด กล่าวโทษแม่พระพายหรือ

 

ลมบริโภคอยู่ทางจมูก ทั้งลมภายนอกและภายในอย่างสมบูรณ์

 

พอลมหยุดพัดเพียงชั่วขณะ จิตก็วุ่นวาย เพราะความโง่ทำจิตให้เศร้า

 

หมอง

พวกเหล่านี้เมื่อตายไป ต้องไปเสวยกรรมในห้องเปลวไฟที่ร้อนแรง

 

อันหาอากาศหายใจมิได้ พอบ่นมาก ๆ ว่าต้องการลม ศาสตราวุธมาก

 

มายก็ตกลงมาทิ่มแทงกายแทนลมที่ต้องการ นี่คือผลจากการลบหลู่

 

พระคุณของท่านแม่พระพาย

โดยเฉพาะการเจริญอานาปานุสติ จักต้องพึ่งท่านโดยตลอด

 

อย่าเหยียบย่ำหรือลบหลู่เป็นอันขาด ตถาคตเองก็ยังต้องพึ่งท่านใน

 

ขณะที่ยังทรงขันธ์ ๕ อยู่



๓.๔ แม่พระเพลิง ไฟเป็นของร้อน หากรู้จักนำมาใช้ก็มีประโยชน์

 

มหาศาล พลังงานต่าง ๆ ในโลกล้วนต้องอาศัยความร้อนทั้งสิ้น

 

แม้ขันธโลกก็เช่นกัน ถ้าไม่มีไฟ (Energy) กายก็เคลื่อนไหวไม่ได้

 

แม้สิ่งอุปโภค บริโภค รวมทั้งอาหาร เครื่องใช้ทั้งมวลล้วนอาศัยไฟทั้ง

 

สิ้น นอกจากนั้นทุกสิ่งในโลกล้วนประกอบจากธาตุ ๔ ทั้งสิ้น

สรุปแล้วจงอย่าลืมพระคุณของไฟ อย่าลบหลู่เหยียบย่ำไฟ เพราะท่านมี

 

พระคุณแก่โลกและสัตว์โลกอย่างมาก โมหะชนที่เอาแต่โทสะเป็นที่ตั้ง

 

จึงตำหนิไฟ เวลาไฟไหม้ ทั้ง ๆ ที่คนประมาทเป็นผู้ก่อขึ้น สร้างกรรมขึ้น

 

เองทั้งสิ้น แม้แต่คนป่วยไข้ขึ้นสูง ก็เพราะกรรมที่ตนทำไว้เองทั้งสิ้น

 

แต่ก็อดตำหนิไฟไม่ได้ จิตของคนพวกนี้จึงเศร้าหมอง หากตายตอนนั้น

 

ก็ไปสู่ทุคติ ถูกไฟนรกเผาไหม้ตามกรรมที่ตนทำไว้

 


๔. พระองค์ทรงสรุปว่า ธาตุทั้งหลายจงหมั่นบูชา ระลึกถึงบุญคุณของ
 
 
แม่พระทุก ๆ ท่าน ถ้าเจ้าไม่ลืมพระคุณของแม่พระทั้ง ๕ ท่านแม่ทั้ง ๕
 
 
 
ก็จะช่วยให้ธาตุทั้งปวงสามัคคีกันได้จนวันตาย และจงหมั่นอุทิศผลบุญ
 
 
ให้กับแม่พระทั้ง ๕ ไว้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงพระนิพพาน
 


๕. กรรมเรื่องการลบหลู่บุญคุณของแม่พระทั้ง ๕ นี้อัศจรรย์มาก
 
 
หากพระองค์ไม่ทรงเมตตามาสอนให้ ก็ไม่มีความรู้และเข้าใจได้
 
 
 
ในอดีตผู้ใหญ่ท่านเคยสอนว่า อย่าดูถูกดูหมิ่นหรือลบหลู่พระแม่โพสพ
 
 
 
(ข้าว) บ่อย ๆ แต่มิได้อธิบายเหตุผลให้ทราบ จึงจำกันต่อ ๆ มาเป็น
 
 
 
สัญญา ความสงสัยหรือวิจิกิจฉาจึงยังมีอยู่กับจิต เมื่อพระองค์ทรง
 
 
 
เมตตาให้รู้-เห็น ตามความเป็นจริงแล้ว ความสงสัยก็หมดไป


๖. โดยปกติของพระพุทธองค์ ธรรมใดที่ไม่จริง พระองค์จะไม่ตรัส
 
 
ตรัสอย่างใดก็เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอื่น คำสอนของพระองค์จึงเป็นหนึ่ง
 
 
เสมอ
 
 
 
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นอริยสัจ หรือความจริงทุกคำพูด จัดเป็น
 
 
 
พระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบได้
 


พวกเราจึงควรตอบแทนพระคุณของท่าน โดยใช้ขันธ์ ๕ หรือร่างกาย
 
 
ของเรานี้ รับใช้พระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะพัง โดยไม่บ่นแม้แต่ทางใจ
 
 
(มโนกรรม) คำสอนใด ๆ ที่พระองค์ว่าดี ก็ควรรีบปฏิบัติให้เกิดผลโดย
 
 
เร็ว ธรรมใดที่พระองค์ห้ามไว้ ก็พยายามละให้เด็ดขาดในเวลาอันสั้นที่
 
 
สุด
 

๗. เรื่องกรรมบถสิบหมวดวาจา ๔ (ไม่พูดโกหก-คำหยาบ-ส่อเสียด

 

-และเรื่องไร้สาระ) บุคคลที่ขาดความดีในหมวดนี้ จึงหลงลืม พูดวาจา

 

ลบหลู่ดูหมิ่นพระแม่ทั้ง ๕ เพราะมีโมหะ โทสะ ราคะเป็นเหตุ ใช้คำพูด

 

ว่าดินมันแข็ง น้ำมันท่วม ลมมันพัดหรือร้อน ไฟมันไหม้ ข้าวมันแข็ง

 

มันเหนียว มันแฉะ มันไหม้ มันบูด เป็นต้น

ล้วนแต่เป็นคำหยาบที่ใช้กับผู้มีพระคุณทั้งสิ้น จะโดยเจตนาหรือไม่มี

 

เจตนาก็ดี ล้วนแต่ยังมีจิตหยาบขาดกรรมบถสิบ หมวดวาจา ๔ ทั้งสิ้น

 

หากไม่ระวังและแก้ไขจิตตนเอง จิตก็จะชินในความชั่วเรื่องวจีกรรม

 

ในที่สุดกลายเป็นนิสัย เป็นสันดานประจำจิต และที่สุดก็อาจปรามาส

 

พระรัตนตรัยโดยไม่ตั้งใจ โดยเอาคำว่ามันนำหน้า เช่น พระมัน ครูมัน

 

พ่อมัน แม่มัน ผลเมื่อกายพังก็ต้องลงนรกไปตามกรรมที่ตนเองทำไว้ทั้ง

 

สิ้น

 



๘. พระพุทธองค์เคยเมตตาให้ดูตัวอย่างของจริง ตอนที่หลวงพ่อฤๅษี

 

ยังมีชีวิตอยู่ มีความสำคัญสั้น ๆ ดังนี้



ทรงบอกล่วงหน้าว่า “ให้สังเกตบุคคลท่านหนึ่ง ซึ่งจะร่วมวงกินข้าวด้วย

 

ในวันนี้ ซึ่งมีนิสัยกินไปบ่นไป ว่าข้าวมันแฉะ ข้าวมันไหม้ ข้าวมัน...แล้ว

 

จะเห็นผลปรากฏ ผลก็จริงตามนั้น เขาผู้นั้นกินไปติกรรมของพระแม่

 

โพสพไป ทำให้เกิดอาการสำลักข้าว และอาหารที่กินจนเกือบจะหายใจ

 

ไม่ออกตาย และทรงเมตตาตรัสสอนต่อไปว่า บุคคลเหล่านี้มักจะมี

 

อาการธาตุ ๔ ไม่สมดุลกัน ทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือเป็นโรคเกี่ยว

 

กับระบบการย่อยอาหารเสมอ (โรคกระเพาะและลำไส้) จึงขอเตือนผู้

 

อ่านบทความนี้ไว้ ให้ระมัดระวังเรื่องการตำหนิกรรมของพระแม่ทั้ง ๕

 

 

เพราะไม่มีคำว่าสายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา เมื่อรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดี รู้ได้

 

ที่ใจเราก่อนทั้งสิ้น กรุณาอ่านเรื่องอุบายละความชั่วที่ใจเราประกอบจะมี

 

 

ประโยชน์มาก

ด้วยพระคุณของพระพุทธ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ อันหาประมาณมิ

 

ได้เป็นที่ตั้ง ผมขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงโชคดี อ่านแล้วจำได้ก่อน

 

จึงค่อยนำไปคิดพิจารณา เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือตัวรู้ อันเป็นตัว

 

ปัญญาที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดผล มีดวงตา (ใจ) เห็น

 

ธรรมได้ตามลำดับ จนถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่าน

เทอญ


ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม ๔)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 19:06:04


ความคิดเห็นที่ 32 (1582075)

 

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานที่ให้มานะคะคุณทศวรรษ  สาธุๆๆค๊ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจพร เลามาสุวพันธ์ (benjaporn-dot-tam-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-04 08:31:01


ความคิดเห็นที่ 33 (1582080)

 

อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น หน่อย (สมศรี พวงพันธ์) (noi-92012-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-04 09:10:23


ความคิดเห็นที่ 34 (1582833)

 

ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานด้วยค่ะ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-10 09:46:18


ความคิดเห็นที่ 35 (1584532)

ขออนุโมทนากับธรรมทานของคุณทศวรรษด้วยคนเจ้าค่ะ อ่านแล้สได้ความรู้ขึ้นอีกมากมาย ดิฉันจะทำตามทุกขั้นตอนเจ้าค่ะ  สาธุ  สาธุ  สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จีรนันท์ แมดเมือง(เทมิโกะ) (ta_yer-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-20 23:03:00


ความคิดเห็นที่ 36 (1584533)

ขออนุโมทนากับธรรมทานของคุณทศวรรษด้วยคนเจ้าค่ะ อ่านแล้สได้ความรู้ขึ้นอีกมากมาย ดิฉันจะทำตามทุกขั้นตอนเจ้าค่ะ  สาธุ  สาธุ  สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จีรนันท์ แมดเมือง(เทมิโกะ) (ta_yer-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-20 23:07:40


ความคิดเห็นที่ 37 (1584534)

ขออนุโมทนากับธรรมทานของคุณทศวรรษด้วยคนเจ้าค่ะ อ่านแล้สได้ความรู้ขึ้นอีกมากมาย ดิฉันจะทำตามทุกขั้นตอนเจ้าค่ะ  สาธุ  สาธุ  สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จีรนันท์ แมดเมือง(เทมิโกะ) (ta_yer-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-20 23:07:48


ความคิดเห็นที่ 38 (1591254)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานคุณทศวรรษค่ัะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ละม่อม ทองเจือ (ohm-dot-lamom-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-02 23:58:57


ความคิดเห็นที่ 39 (1591284)

ขออนุโมทนา

กับน้องทศ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา กะตะศิลา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-03 12:51:36


ความคิดเห็นที่ 40 (1591308)

ขออนุโมทนากับธรรมทาน

ของคุณทศวรรษด้วยนะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา(วิ) (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-03 15:29:39



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.