|
ธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ | |
ขออนุญาต นำมาลงให้ สบาย จิต สบายใจ นะครับ เข้ามาอ่านและโมทนาซึ่งกันและกันได้เรื่อยๆ ลูกขออนุญาติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์และท่าน อ อุบล อ มงคล พี่ท็อป ขอลงเรื่อยๆ ครับ ^^ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2011-12-10 23:24:07 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1587888) | |
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
ทำได้โดยไม่ทันคิดทำไมจึงง่ายยิ
อยู่คนเดียวให้ระวังอารมณ์จิต อยู่หลายคนให้ระวังวาจา ♥
สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้ ๑. รักษาอารมณ์ของจิตให้ดีๆ อยู่หลายคนให้ระวังวาจา และพยายามทำตนให้เหมือนอยู่คนเด ๒. ทุกคนไม่ช้าไม่นาน ก็ต้องพรากจากกันไปหมดคือ มีความตายเป็นที่สุด อย่าถือเขาถือเราให้มันมากนัก
ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔
ที่ประชุมกันขึ้นมาชั่วคราวเท่า
มีความแปรปรวนในท่ามกลาง
และมีความตายไปในที่สุด
๓. บุคคลผู้ยังเกาะติดร่างกาย ต่างก็เป็นผู้น่าสงสาร เพราะหลงวนอยู่ในความทุกข์
๔. การมีอารมณ์ไม่พอใจ หรือพอใจเขา นั่นคือการพอใจหรือไม่พอใจในร่า หรือติดอยู่ใน สักกายทิฎฐิ นั่นเอง
๕. จงเห็นตามความเป็นจริงว่า คนทุกคน สัตว์ทุกตัว รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน
แม้แต่ตัวเจ้าเองก็เป็นอยู่
เพราะฉะนั้นจงอย่าตำหนิใครว่าเล
และอย่าแบกเอากรรมของใคร ๆ
มาเป็นที่หนักใจ แค่กรรมของเจ้าเองก็หนักโขอยู่แ
อย่าประมาทในกรรม ทำอะไรจงอย่าประมาท ให้คิดถึงกฎของกรรมเข้าไว้
ฟังเรื่องราวทั้งหลายต่างๆ มามาก
ก็พึงสำรวมเอาไว้เสมอว่า ในอดีตชาติที่ผ่านมานั้น เจ้าเองก็ได้กระทำกรรมชั่วไว้มา
ดังนั้นเมื่อชาตินี้มุ่งหวังจัก
ก็พึงจงระมัดระวังกาย วาจา ใจ เอาไว้ให้เรียบร้อย (ด้วยกรรมบถ ๑๐)
กรรมใหม่จงอย่าได้ก่อ
เพราะเพียงกรรมเก่าก็มีมากจนยาก
ซึ่งกรณีอย่างนี้มิใช่เป็นเพียง
แต่เจ้าคนเดียว บุคคลอื่นๆ ก็เช่นกัน
ทุกคนมีกรรมที่เป็นอกุศลมากกว่า
ดังนั้นจึงไม่ควรประมาทในกรรม
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-10 23:31:40 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1587889) | |
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมย "..เวลาเรานั่งฝึกเจริญพระกรรม
สำคัญอยู่ที่คุณภาพของจิต ถ้าจิตของเราสงบสงัดจากกิเลส
แม้แต่เพียงวินาทีเดียว พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญว่า บุคคลนั้นเป็นผู้มี
จิตไม่ว่างจากฌาน จะนั่งหลับตา จะเดินอยู่ จะนั่งลืมตา จะทำการงานอยู่
กำลังเขียนหนังสือจิตจับอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตสบายนิดหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นก็ใช้ได้ เป็นอานิสงส์ใหญ่.."
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
หากจิตเกาะไม่ปล่อยวาง นั่นแหละคือการอภัยไม่จริง ถ้าจิตปล่อยวาง
ไม่เอาเรื่องเหล่
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
จิตจักยิ่งทรงสติได้มากขึ้นเท่า
ลูกรักของพ่อ
(หลวงพ่อฤาษี)
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
เพราะถ้าหากมองจนจิตหาความเลวไม
มิใช่ดีอย่างจิตชาวโลกียวิสัย ซึ่งอิงอยู่ในกามคุณ ๕ ได้รูปสวย-
เสียงเพราะ-รสดี เป็นต้น อย่างนี้ดีในกามราคะก็ใช้ไม่ได้
ท่านทั้งหลายเห็นว่าร่างกายไ
และเราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
ศีลของเราครบไหม เรามีพระนิพพาน เป็นอารมณ์หรือเปล่า
ถ้าเข้าถึงจุดนี้ ชื่อว่าท่านเป็นพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี
มันหมดหรือยัง ความรู้สึก มันยังมีบ้างไหม เห็นอะไรมันสวยบ้าง
เห็นอะไรแล้วมีความกำหนัดยินดีบ้างไหม การกระทบ กระทั่งใจที่เขา
ทำให้เราไม่ชอบใจ มันเกิดความสะดุ้งขึ้นมา เกิดอยากจะพิฆาตเข่นฆ่า
จะตอบแทนมีบ้างไหม ถ้ามีละก็ใช้ไม่ได้ ถ้าไม่มีเราก็เป็นพระอนาคามีได้ มันไม่ยาก สมถภาวนากอดให้แน่น อย่าปล่อยไปจากใจ
มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ไม่มุ่งพระนิพพานโดยเฉพาะ อารมณ์จิตยัง
มีฉันทะความพอใจในม
เห็นว่ามนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เป็นของสวยสดงดงาม
ยังมีความพอใจในอารมณ์แบบนั้น เห็นสมควรไหม
เห็นไหมตัดได้หรือยัง ถ้าตัดได้ก็เป็นพระอรหันต์ .. | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-10 23:42:51 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1587890) | |
.."สักกายทิฎฐิ" เห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายกายไม่มีในเรา
ท่านละความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน
เป็นที่อาศัยข
จากอารมณ์สุขทุกข์
ต่ออารมณ์ที่เป
ที่เรียกกันว่า อารมณ์เป็นบุญและอารมณ์เป็นบาปที่
และการสัมผัสถูกต้องเป็นต้น...วิญญาณนี้ไม่ใช่ตัวนึกคิด ตัวนึกคิดนั้น
คือจิตวิญญาณ กับ "จิต" นี้คนละอัน แต่นักแต่งหนังสือมักจะเอาไป
เขี
คือดำรงอยู่ร่วมพร้อมกับ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตก็อาศัยอยู่
ที่อาศั
เป็นของเรา เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา เราคือจิตที่เข้ามาอาศัยในกาย
คื
ถ้าผุพังแล้วท่านก็ไม่หนักใจ ไม่ตกใจ ไม่เสียดายห่วงใยในขันธ์ ๕
ท่านปล่อยไปตามกฎของธรรมดา เสมือนกับคนอาศัยรถหรือเรือโดยส
เมื่อยังไม่ถึงเวลาลงก็นั่งไป
แต่ถึงจุดหมายปลายทางเมื่อไรก็ลงจากรถจากเรือ โดยไม่คิดห่วงใย เสียดายรถหรือเรือโดยสารนั้น
เพราะทราบแล้วว่ามันไม่ใช่ของเร
ส่วนรถเรือโดยสารก็ไปตามทางของเ
พระอรหันต์ทั้งหลายท่านมีความรู้
ทำอารมณ์พอใจในพระนิพพานให้เ
ในเมื่อมรณะภัยมาถึง สมบัติ ญาติ บุตร สามี ภรรยา ในที่สุดแม้
แต่ตัวเราอารมณ์เป็น
ปกติอย่างนี้ตลอดวัน ไม่ดีใจในเมื่อมีลาภ ได้ยศ
รับคำสรรเสริญ มีความสุข ไม่หวั่นไหวในเมื่อสิ้นลาภสิ้นย
มีความทุกข์ เท่านี้น่าภูมิใจได้แล้ว ท่านสิ้นภาระในทุกขภัย แล้วต่อไป
ท่านมีพระนิพพานเป็นที่ไปแน่นอน..
ที่เห็นรูปกระทบตลอดวัน
ท่านจึงจะนับว่าเป็นนักวิปัสสนา ญาณแท้ และเข้าวิปัสสนาจริง
ถ้ายังรอวัน รอเวลาหาที่สงัดอยู่ แล้วยังหรอกท่าน
ยังไกลคำว่าวิปัสสนามากนัก..
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
ขอจงอย่าลืมตัว ทะนงตนว่าเป็นผู้รู้ เพราะตราบใดที่ยังไม่สิ้นสังโยชน์
จงสำนึกตนไว้เสมอว่า จิตเจ้ายังเป็นผู้ชั่วอยู่ เพราะจิตยังถูกสังโยชน์ร้อยรัด
ใ
ซึ่งล้วนแต่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งส | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-10 23:48:06 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1587892) | |
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
ซึ่งเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตั
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
อย่าทำจิตให้วุ่นวาย ให้ลงอุเบกขาเข้าไว้เสมอ มีอะไรเกิดขึ้นก็เห็น เป็นธรรมดา
ให้เห็นเป็นธรรมดา แล้วก็แก้ไขไป
รู้อารมณ์แล้วก็เพียรแก้ไข จัดว่าเป็นการปฏิบัติถูก อย่าคิดวางไปโดยไม่แก้ไข ถ้าไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ไม่นานปัญหาเกิดขึ้นใหม่อีก จิตก็จักตกอยู่อย่างนี้อีก
ต้องใช้ปัญญาพิจารณาแก้ไข ก็จักพ้นจากสภาวะจิตตกไปได้
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
พยายามสงบใจ-สงบปาก-สงบคำให้มาก ให้ดูกาย-วาจา-ใจของตนเอง อย่าให้เลวกว่าเขาเอาไว้เสมอ อย่ามองโทษ (เพ่งโทษ)
บุคคลภายนอก ให้มองโทษอันเกิดขึ้นแก่กาย-วาจ
ตายนั้นตายแน่ไม่มีใครหนีพ้น จิตจึงต้องซ้อมตายและพร้อมตายอย
รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพาน
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตามาตรัสสอนพวกเราคว
พวกเจ้าควรหมั่นขอขมาพระรัตนตรั
พระรั
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสว่า : นี่จัดว่าเป็นขออภัยทาน ซึ่งเป็นธรรมสูงสุด ในพระพุทธศาส
เป็นผู้ขออภัยทาน ก็สามารถทำจิตให้เยือกเย็นได้
"..เธอจงใช้ปัญญาหาทุกข์ให้พบ ถ้าเธอยังเห็นว่าโลกนี้จุดใดจุด
เป็นอาการของความสุข นั่นก็ชื่อว่าเธอไร้ปัญญา.."
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความหิว
ความกระหาย ความร้อน ความป่วยไข้ไม่สบาย ความปรารถนาไม่สมหวัง
การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ไม่ถูก
มีความตายไปในที่สุด ทุกชาติที่เราเกิดมา มีอาการอย่างนี้ทั้งหมด .."
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-11 00:02:20 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1587906) | |
กราบฝ่าพระบาทพระพุทธองค์ กราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ในทุกๆสัจธรรมและคำสอนด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
ลูกจะละกิเลส ตัณหาและอุปทาน และหมั่นดูแต่"ความชั่ว"ของตน ให้ได้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ
อนุโมทนากับคุณทศวรรษด้วยค่ะ สาธุ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA วันที่ตอบ 2011-12-11 06:31:12 |
ความคิดเห็นที่ 6 (1587977) | |
ขออนุโมทนากับคุณทศวรรษด้วยคะ่ ได้อ่านประวัติของหลวงพ่อฤาษีลิงดําไม่มากเท่าไหร่แต่ก็ซึ้งในคําสอนของหลวงพ่อเหมือนกันค่ะหลวงพ่อท่านถ่อมตัวมากได้อ่านหนังสือท่านชอบมากต้องไปขอยืมของเจ๊หมวยมาอ่านที่ลําปางหนังสือของหลวงพ่อหายากทุกวันนี้พี่บัวลอยสํานึกอยู่เสมอว่าเราไม่ใช่คนดีเท่าไหร่อดีดเคยเลวเคยชั่วอย่างไร สํานึกไว้เสมอเอาไว้เตือนใจ จะได้ไม่ทําอีกต่อไป จะขอน้อมเอาคําสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดํา และของอาจารย์อุบล มาปฏิบัตค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น น้้อย(บัวลอย สุดแดน) (bour_noy-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-11 20:51:50 |
ความคิดเห็นที่ 7 (1587990) | |
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
พยายามสงบใจ-สงบปาก-สงบคำให้มาก ให้ดูกาย-วาจา-ใจของตนเอง อย่าให้เลวกว่าเขาเอาไว้เสมอ อย่ามองโทษ (เพ่งโทษ)
บุคคลภายนอก ให้มองโทษอันเกิดขึ้นแก่กาย-วาจ
ตายนั้นตายแน่ไม่มีใครหนีพ้น จิตจึงต้องซ้อมตายและพร้อมตายอย
รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพาน
**********************
อนุโมทนากับคุณทศวรรษ คุณชนิดา คุณบัวลอย ด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา(วิ) (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-11 21:42:19 |
ความคิดเห็นที่ 8 (1588119) | |
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
ให้เห็นทุกข์ ให้เห็นกฎของกรรม อย่าไปโทษใคร อย่าโกรธเคือง
แล้วให้พยายามฝึกจิตให้มีอภัยทา
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
หากตายในขณะจิตนั้น จักต้องเสียใจตนเองที่โง่ขาดปัญ
- ก็ลองพิจารณากันไปว่า ความทุกข์ใหญ่ของเรานี่มันมีทุก
ที่เราทุกข์กันจริง ๆ ก็ทุกข์เพราะ ความยึดมั่นถือมั่น
มั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเ
แล้วเราก็ไม่อยากให้มันเสื่อมโท
คือ พลัดพรากจากกัน
เคยไหม -
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-12 23:35:40 |
ความคิดเห็นที่ 9 (1588120) | |
ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่ทุก
..พระบรมศาสดาทรงพระชนมายุอยู
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-12 23:46:02 |
ความคิดเห็นที่ 10 (1588122) | |
โลกไม่ได้ทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เอง
.พระบรมศาสดาสอนให้พิจารณาค
มันหมดความทะเยอทะยาน หมดความเห็นแก่ตัว ความตายนั้นเป็นอารมณ์
อันเป็นสิ
คิดเบียด เบียนคนอื่น คิดอิจฉาพยาบาทคนอื่น มันก็หมด
หมดความที่เป็นบาป เรียกว่ากุศลกรรม..."
การให้ผู้อื่นรู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-12 23:54:13 |
ความคิดเห็นที่ 11 (1588124) | |
ในทางพุทธศาสนาท่านว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
พุทโธ ธัมโม สังโฆ คือ รัตนะเอกที่สุดแล้ว
จนทะลุขึ้นมาเป็นพุทโธ มาเป็นศาสดาเอกของโลก
กระเทือนโลกๆ เป็นของเล็กน้อยเมื่อไหร่ ? ที่ว่าสังโฆๆ นั้น
ขึ้นมาครองใจ เรียกว่า ธัมโม ทั้ง ๓ รัตนะ นี้เป็นรัตนะเอกอุที่สุดแล้ว
ใครเกิดมาเป็นมนุษย์กี่ร้อยชาติ
เลื่อมใส ยึดถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว
ตายเปล่าๆ เกิดเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย..
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-12 23:59:52 |
ความคิดเห็นที่ 12 (1589790) | |
ขออนุโมทนานะคะ สาธุ
------------- ขวัญได้ทราบมาเล็กน้อยว่า ตอนอ่านพระธรรมคำสอนนั้น ใจสงบ เพียงครู่นั้น เมื่อนึกถึง และ เมื่อตอนนำไปปฏิบัติ ใจไม่ได้สงบอย่างถาวร เพราะกิเลสที่สะสมในสังขาร ยังไม่ได้ถูกเผาไปให้สิ้นซาก พุทธวจนะที่ว่า "อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา" - พึงมีสติสัมปชัญญะ มีความเพียร เผากิเลสให้เร่าร้อน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จงมีความเพียรในการชำระจิตให้บริสุทธิ์ ขยันวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อบรรลุมรรคผล ขอให้มีสติ มีสมาธิ อยู่ที่แต่ละอิริยาบท มีขันติ คือ เครื่องเผากิเลส เมื่อมีความอดทนต่อกิเลส เราก็จะผ่านมันไปได้ในที่สุด พลังที่จะทำให้ก้าวหน้า คือ อุเบกขา ไม่ติดใจในอารมณ์ ชอบหรือไม่ชอบ เห็นอะไร รู้สึกอะไร ให้รับรู้ และ วางเฉย กิเลสทั้งมวลคือมารขัดขวางความสำเร็จ อารมณ์ ทุกข์ทางกาย ทางใจ ที่พบระหว่างนั่งวิปัสสนา นั้นคือ กิเลสที่เจ็บ ไม่ใช่ตัวเรา แยกจิตออกจากสังขาร รู้และเฉยต่อกิเลส กิเลส สังขารต่างหากที่เป็นทุกข์ ไม่ใช่จิตที่บริสุทธิ์ของเรา ขอให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นเอาชนะกิเลสอย่างเดียว บางทีเกิดความท้อแท้ แต่ขอให้สู้มันใหม่ อย่ารอชาติหน้า ชาตินี้เราได้ทราบความจริงอันประเสริฐแล้ว ขอให้พากเพียร เพื่อตอบแทนคุณพระรัตนตรัย คุณของบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ และเพื่อตัวเราจะได้พ้นจากวัฏฏะสงสาร | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ขวัญ ครองขวัญ วงศ์ดีประสิทธิ์ (krongkwanw-at-gmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-22 16:34:34 |
ความคิดเห็นที่ 13 (1590822) | |
ขอให้เจ้าของกะทู้มีแต่ความสุข
ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรงและเปี่ยมด้วยความเบิกบาน โซบิเดย์ ยมโดย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-29 21:17:15 |
ความคิดเห็นที่ 14 (1591057) | |
ขออวยพรวันปีใหม่ ให้กับเจ้าของกระทู้นี้ คือคุณทศวรรษ ขอให้ได้รับความสุขสมหวัง ดั่งใจหมาย ทั้งทางโลกและทางธรรม ตลอดจนเข้าสู่พระนิพพาน สาธุๆๆ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจพร เลามาสุวพันธ์ (benjaporn-dot-tam-at-gmail-dot-com) วันที่ตอบ 2011-12-31 10:48:38 |
ความคิดเห็นที่ 15 (1593818) | |
อนุโมทนากับคุณทศวรรษด้วยค่ะ สาธๆๆ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-01-23 16:37:55 |
ความคิดเห็นที่ 16 (1593840) | |
อนุโมทนากับน้องทศวรรษด้วยค่ะที่นำธรรมะดีๆ ของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม และหลวงพ่อมาเผยแพร่ ขอน้อมนำไปปฏิบัติ สาธุ สาธุ สาธุ... | |
ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช พงษ์ดี (kanungnuch03-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2012-01-23 20:51:20 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1449887 |