ReadyPlanet.com


อานิสงค์ของการทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศล โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


ท่านสาธุชนพุธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ป่วยมาก มีอาการเพลียเป็นพิเศษ นั่งที่ไหนก็อยากจะหลับ พอดีเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำเดือน ๘ จะลงศาลาก็คงไม่ไหว เทศน์ก็เทศน์ไม่ไหว จะเดินก็เดินไม่ไหว ความตายมันคลานเข้ามาเต็มที ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเปสการีท่องไว้ทุกวัน จำไว้ทุกวัน มีความรู้สึกกว่า ไม่ช้าชีวิตนี้มันก็ต้องตายถ้าความตายมันเข้ามาถึง บรรดาท่านทั้งหลาย สิ่งที่ต้องการนั้นคือพระนิพพาน ใครเข้าหาว่า บ้าๆ บวมๆ ก็ตามใจ บางท่านบอกว่า พระนิพพานสูญ ตามตำราต่างๆ ก็บอกว่ามีสภาพสูญ แต่ทว่าเมื่อปี ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลวันแรก มีการอืดเสียดหนัก ตอนหัวค่ำ วันที่สอง ก็มีอาการอืดเสียดหนักตอนหัวค่ำ พอวันที่สาม จึงสั่งจ่าพยาบาล ให้ไขเตียงให้นั่งได้ เตรียมตัวว่าวันนี้ ถ้าจะขอตาย ก็ตายด้วยสมาธิ และวิปัสสนาญาณเวลา๑ทุ่ม

ก็เริ่มทำสมาธิ คิดว่าประมาณ ๒ ทุ่ม ทุกวัน ๒วันมาแล้ว แต่ว่าวัน นี้แปลก คำว่า วันนี้หมายถึง วันนั้นนะ วันนั้นแปลก แทนที่จะมีอาการอืดเสียดกลับมีใจปลอดโปร่งสบายมาก มีอารมณ์เป็นสุข มีอารมณ์แช่ม ชื่นปลอดโปร่งปลดปล่อยทุกอย่าง การป่วยคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการป่วยที่แปลกที่สุดพอร่างกายเข้าถึงโรงพยาบาลอารมณ์ก็วางทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีอะไรต้องการทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมดไม่นึกถึง ญาติพี่น้อง ผู้ที่สมาคมไม่นึกถึง ไม่นึกถึงอะไรทั้งหมด จิตมีอารมณ์เฉยสบาย คิดอยู่อย่างเดียวว่า แม้ร่างกายสักครู่เดี่ยวมันอาจจะตาย ถ้ามันตายเวลานี้ก็เป็นเรื่องมัน ไม่เสียดายร่างกาย อารมณ์เป็นสุขใครไปใครมา ก็คุยปรกติ บางคนคิดว่าไม่ได้ป่วย แต่ความจริงเดินไม่ค่อยไหว แต่ว่าเวลานั้น ปรากฏว่า เวลา ๒ทุ่ม ตรง เป็นเวลาที่อาการอืดเสืยดมันจะมา กลับกลายเป็นท้าวสหัมบดีพรหมท่านมา

ท่านมาให้ลักษณะร่างกายของท่านเต็มอัตราแต่งต้วสวยมากทรวดทรงสวย แสงสว่างมาก ทั่วจักรวาล ท่านมาถึง ท่านก็ยืนบอกว่าคุณพระพุทธ ทรงว่าพุทธเจ้าสั่งให้ไปเข้าเฝ้า ก็ถามว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้า อยู่ที่นิพพาน ท่านให้คุณไปพบท่าน ก็บอกท่านว่า นิพพานอยู่ไหน อาตมาก็ไม่ทราบถ้างั้นท่านพาไปก็แล้วกัน อาตมาจะตามไป ท่านก็ออกหน้าไป แทนที่ท่านจะพาสวรรค์ ไปพรหมโลกก่อน ท่านพาไปดูนรก ตั้งแต่โลกันต์ ตั้งแต่โลกันต์มหานรก แล้วก็อเวจี แล้วก็เรื่อยมาถึง ขุมที่ ๑ เรื่อยขึ้นมาตามลำดับถึงแดนเปรต อสุรกาย แดนเดียวสัตว์เดรัสฉานคนจนกระทั่งมาถึงแดนมนุษย์ ถึงแดนเทวดา ถึงแดนพรหม พอถึง พรหมชั้นที่ ๑๖ ก็ปรากฏว่า ถึงวิมานของท่าน ท่านก็บอกว่าหน้าที่ของผมที่จะพามา มีแค่นี้ เป็นแดนนิพพานก็เป็นหน้าที่ของท่านแต่เพียงแต่ผู้เดียว

ตอนนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเรื่องแปลกขณะที่ท่านพาไปตั้งแต่ โลกันต์นรกขึ้นไปกำลังมันดีมาก เรียวแรงเดิมรู้เหนื่อยเดินชมด้วยความเพลิดเพลิน พอมองเห็นนรก ก็นึกในใจว่า แต่ละขุมเราไม่มา พอมาถึงแดนมนุษย์ ก็คิดว่าแดนมนุษย์นี่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากมากมาย มีความวุ่นวายมาก เราไม่มาไปถึงแดนสวรรค์ ไปถึงแดนพรหม ก็นึกว่าท่านทั้งหลาย มีความสุขของท่านแต่ไม่ช้าก็จุติ เราไม่มา แต่ไอ้คิดว่าไม่มา แต่ไอ้คิดว่าไม่มานี่ ก็ไม่รู้ ว่าจะไปทางไหน

ต่อไปท่านก็บอกว่า นี่ทางไปนิพพาน ท่านชี้ให้ดูเป็นทางที่ราบเรียบเหมือนแก้วผสมทอง แพรวพราวเป็นระยับ ก็ถามว่าทำไมท่านไม่พาไป ท่านบอกไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าของท่านที่ต้องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเอง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ไหน นิพพาน เขายอกว่าเป็นสูญ แต่ท่านสหัมบดีพรหมกลับบอกว่า เป็นแดนนิพาน ก็แปลกใจ ก็ตั้งใจเดินไปพอพ้นเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ บรรดาพุทธบริษัท ร่างกายมันอ่อนเพลีย มาก เหมือนคนรื้อไข้ เดินโผผวนซวนเซใกล้จะล้ม แต่ก็พยายามไปเพราะถือว่าเป็นคำสั่ง เรื่องนี้ถือมาตั้งแต่เด็ก



เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง ก็พบบริเวณวัดวัดหนึ่ง มีกำแพงเหมือนแก้วผสมทอง สวยงามมีวิมานอยู่หน้าประตูใหญ่สี่วิมาน ที่สี่วิมาน มีพระอรหันต์ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่านิพพานมีอยู่คิดว่าเป็นพรหมไหว้ ก็รับไหว้ท่าน ถามท่านว่า ที่นี่ วัดอะไรท่านก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของท่านจะพึงรู้เอง ก็เดินหลีกท่านไปเข้าไปภายใน ไปเดินรอบๆ บริเวณร่างกายมันจะล้ม เห็นสวยสดงดงาม ดูพื้นก็พื้นเป็นผสมทองแก้ว กำแพงก็เหมือนทองผสมแก้วมีกุฏิ สามหลัง หลังหนึ่งใหญ่ยาวมาก คล้ายกับวิหาร ๑๐๐ เมตร อีก ๒ หลัง ด้านหน้า เหมือนมณฑปหลวงพ่อปาน กับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าแต่ก็ตั้งชิดกันไม่ห่างกันแบบนั้นแบบนั้นเป็นบริเวณกว้างอีกด้านหนึ่งก็มีหอระฆัง หอระฆังก็แก้วผสมทอง เหมือนกันหมด ระยิบระยับ สวยสดงดงาม บอกไม่ถูก มันเพลิดเพลินเจริญใจมาก เดินไปปรากฏว่า ในบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลย คนสักคนหนึ่งก็ไม่มี พอเดินไปถึงหอระฆัง คิดว่าไปไม่ไหวล่มกายลงนอนลงนอนบนพื้นของระฆัง คิดว่าไปไม่ไหวแล้ว นอนตรงเนี้ยแหละ

ร่างกายที่ข้างล่างมันจะเป็นจะตายก็เรื่องมันเป็นอันว่าพอนอนหันหน้า ไปทางด้านทิศตะวันออก ก็พอดีเห็นพระองค์หนึ่งเดินมา ท่านแต่งกายเหมือนพระธรรมดา แต่ว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ สว่างมาก สวยงดงามมาก เหมือนกับพระจันทร์ทรงกลด ภาพนี้เคยเห็นเป็นปกติ ก็ทราบว่า นั้นคือพระพุทธเจ้า ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา ก็เห็นท่านมาทางกำแพง ไม่เข้าทางประตู ก็คิดว่าท่านจะต้องกระโดดกำแพง แต่ความจริงเมื่อถึงแล้วท่านไม่กระโดดกำแพงมันขาดออก แล้วหดเข้าเป็นช่องให้ท่านเดินเข้ามา พอท่านผ่านกำแพงติดตามเดิม พอมาถึงท่านก็นั่งใกล้ๆ พอท่านลุกจากที่ทีนอน มานั่งข้างล่างกราบท่าน ท่านถามว่าอยากจะมานิพพานไหม ก็ตอบว่า นิพพานมีสภาพสูญ ท่านถามว่าที่นี่เขาเรียกว่าอะไร ? ตอบว่าไม่ทราบ ท่านถามถึงเทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น รู้จักไหม ก็ตอบว่า ผ่านมาหมดแล้ว เมื่อเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ เขาเรียกว่าอะไร ก็ตอบว่า ตำราไม่มี ท่านก็เลยบอกว่า ที่นี้เรียกว่า นิพพาน

เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการละเอียด รู้รายละเอียด ก็ขอให้ดู หนังสือประวัติหลวงพ่อปานก็แล้วกันนะ ที่นี่มีเวลาน้อย นี่หมดเวลา ไปตั้ง ๑๐ นาทีกว่าแล้ว

ก็ขอย้อนหลัง ว่านิพพานพบมาตั้งแต่สมัยนั้น และตั้งแต่วันนั้น มาจนถึงวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจไม่เคยพลาดพระนิพพาน ไปนิพพานทุกวัน ถ้าถามว่าไปวันละกี่ชั่วโมงก็บอกว่าไปทุกวัน วันละหลายครั้ง ตามวาระพึงมี ทีนี้ก็มานั่งคุยกันก่อน ที่มาพูดก็เพราะว่าพูดถึงเรื่องนิพพาน

เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นก็นอนนึกถึง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าท่านมีอายุ ๖๐ ปี ใครๆ เขาก็ทำบุญกันก็เลยอยากจะบอกบุญ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่านับตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญกุศล ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถทั้งนี้เพราะท่านทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ ให้มีความสุขปล่อยปลาให้เป็นอิสระ สร้างสถานที่ รวมทุกอย่างที่ท่านทราบอยู่แล้ว ว่าทั้งสองพระองค์นี่ ทำบุญกว้างขวางมาก ยากที่คนอื่นจะพึงทำได้ อย่างพวกเรา อย่างเก่งก็ซื้อปลามาปล่อยในบ่อบ้าง ในสระบ้างถ้าจะปล่อยในแม่น้ำก็กลัวคนจะมากิน นี่ท่านทำทุกอย่าง ก็คิดว่าอยากจะให้ทุกคนทำตามท่านบ้าง แต่มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่า อยากจะให้ทุกคนทำตามท่าน แต่มันก็มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่าการปล่อยปลาให้ลงแม่น้ำ ถ้าบังเอิญ คนเข้าจับปลาเรามากิน เราจะบาปไหม เพราะว่าเราปล่อยลงไปเขาก็จับกิน

ต่อมาก็ตั้งใจคิดว่า เราตอบเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระ พระตอบ เป็นของแน่นอนมาก จึงรวบรวมกำลังใจ ไปที่เทวสภา พอไปถึงก็ขอบคุณบรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายที่ท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วย ก็ไปไหว้ท่านที่มีพระคุณต่างๆ มีบิดามารดาในอดีตเป็นต้น หลังจากนั้นแล้ว เทวดานางฟ้า กับพรหม ก็กราบ แต่ความจริง ไม่ได้กราบอาตมา ขึ้นไป อาตมาก็หันไปดูข้างหลัง เห็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมมาประทับอยู่บนแท่นสำหรับเทศน์ไม่ทราบว่าท่านมาเมื่อไร จึงหันไปกราบท่าน หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ว่า บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นเทว***็ดีที่เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด จงอย่าประมาณในชีวิต คิดว่าตนเองจะไม่จุติจงอย่าคิดว่าความเป็นเทวดา

เป็นทิพย์นี่จะเป็นสมบัติของเราตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทุกคนส่วนใหญ่มีความสุข แต่ว่าหลานท่านสร้างบุญกุศลต่อ แต่เทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ยังเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ลืมความเป็น ลืมความตาย เพราะเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ พอเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าอยู่ในสวรรค์ เป็นพรหมมีความสุข ก็เลยเพลิดเพลินความเป็นทิพย์ ทุกองค์จงอย่าลืมว่าทุกคนมีบาปกันคน ละเยอะๆ ทำบาปมากกว่าทำบุญ บาปมันยังติดกายท่านอยู่ พอท่านพูดนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เห็นบาปดำขึ้นมาถึงหน้าอก ถึงยอดอกทุกองค์ ถ้าท่านทั้งหลายจะต้องจุติจากที่นี่ จะต้องลงไปชำระหนี้บาป นั้นคือจะต้องลงนรกที่เป็นแดนที่มีทุกข์หนัก

ท่านก็ชี้มือไปที่นรก เห็นนรกสว่างไสวมาก มีไฟแดงฉานมีการถูกลงโทษต่างๆ แต่ละขุม ๆ ท่านก็อธิบายว่า แต่ละขุมลงโทษอะไรบ้าง ทำบาปอะไรลงขุมไหน แต่ละขุมไม่มีความสุขไฟลุกโชติช่วง พื้นก็เป็นพื้นเหล็กเหล็กก็แดงฉาน และค้อนทุบบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบฟันบ้าง อย่างนี้เป็นปกติ เมื่อสิ้นบาปจากขุมต่อไปเพราะบาปแต่ละคนมีมาก

บรรดาเทวดานาฟ้าและพรหมทั้งหมดเห็นก็หน้าซีด รู้สึกถึงบาปที่ตัวทำไว้สมัยที่เป็นมนุษย์ และทำไว้หลายๆ ชาติ สะสมตัวเอง บาปหนัก ท่านถามว่า เทวดา นางฟ้า และพรหม กลัวไหม ทุกข์องค์ก็บอกว่ากลัวก็เอาอย่านี้ก็แล้วกันนะ ต่อนี้ไป ถ้าปฏิบัติได้ ทุกองค์จะไม่มีโทษของบาป บาปจะไม่สามารถลงโทษได้คือ

จงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนตาย เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เวลานี้เรามาครึ่งทางของพระนิพพานแล้ว จากมนุษย์นับเป็นจุกแรก มาถึงสวรรค์ ถือว่าเป็นกลางทาง โน่นพระนิพพาน ท่านชี้มือขึ้นไปให้ดู เห็นพระนิพพานแจ่มใสมาก เป็นของใกล้ ๆ เป็นของไม่ไกล อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาจะขัดกับความเห็นของบุคคลบางคนเอาตำรา อาตมาถือว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์ ต้องจริงเพราะฟังเทศน์มาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรไม่จริง ท่านบอกทุกอย่าง จริงหมด ถ้าเราไม่เชื่ออุปาทานทุกองค์ก็บอกว่า อยากจะไปนิพ-พาน มันพ้นทุกข์ จะไม่มีเคลื่อน ไปนิพพานแล้ว ไม่ไปไหนครับ อยู่ที่นั้น ท่านก็เลยบอกตั้งใจตามนี้นะ

คิดว่าชีวิตนี้มันตาย ถ้าเราจะตายเราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ และมีศีล ๕ บริสุทธิ์ และตัดความ โง่ออกจากใจ คืออวิชาคือไม่อยาก เป็นมนุษย์ต่อไป ไม่อยากเป็นเทวดานางฟ้าเป็นพรหมต่อไปต้องการนิพพาน จุดเดียว เอาจิตเข้าไปจับไว้เฉพาะนิพพาน ตั้งใจไว้อย่างยิ่ง ว่าถ้าร่างกายนี้มันพังเมื่อไร ความเป็นทิพย์สบายตัวเมื่อไร เราจะไปนิพพานเมื่อนั้น เพียงเท่านี้ เทว***ับพรหมทั้งหลาย ก็มีสภาพแจ่มใส มีธรรมปิติแสงสว่างมากกว่าเดิมกว่ากับพรหมมาก

แล้วหันมาถาม ว่าฤาษี มีความสงสัยอะไรบ้าง เมื่อสองสามวันที่แล้วมาคิดอะไร ถามฉันก็ได้นะ ถ้าสงสัย ก็ตอบว่า มีความรู้สึกว่าอาจจะบอกบุญ ให้บรรดาญาติพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ตั้งใจบำเพ็ญบารมี เข้มข้นใกล้นิพพานขึ้นมาให้มานิพพานเร็วๆ เพราะทุกคนตั้งใจดีบุญอย่างอื่นก็ทำกันหมด ขาดอยู่อย่างหนึ่งคือ โดยเสด็จพระราชกุศล แต่การโดยพระราชกุศลพระบรมราชินาถ ก็ไปปล่อยปลา ถ้าปล่อยปลา ถ้าปลา

ที่ตั้งใจให้คนกินมันจะบาปไหม ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจตามนั้นซี มันอยู่เจตนาของคนปล่อย ถ้าผู้ปล่อยคิดว่า ปลาทั้งหมดนี่ เราต้องการให้คนจับไปกินเมื่อเราก็บาปตามเขา แต่ถ้าปล่อยไว้เพื่ออนุรักษ์ ของที่มีอยู่เคยมีอยู่แล้มันหมดไป อย่าปลานี่ เป็นเครื่องประดับน้ำ มันไม่มีความชุ่มชื่นใจ เราเห็นแต่น้ำใสมีความสดชื่นใจจริง ถ้ามีปลาว่ายมา เราจะรู้สึกว่ามันเป็นสุขมาก จิตใจเราจะสบายมากเพราะว่า ปลาเป็นเครื่องประดับน้ำ ถ้าผู้ปล่อยมีความรู้สึกว่า ๑ เรา เลี้ยงปลาให้ชีวิต นี่เราเป็นบุญ ประการที่ ๒ เวลาปล่อย ปล่อยต้องการให้ปลาเป็นอิสระภาพอยู่ในที่คับแคบย่อมไม่มีความสุข ถ้าอยู่ในที่กว้างจะมีความสุขมาก ถ้าเป็นอิสรภาพ หากินสบาย จะไปไหนมาไหนก็ไปได้ตามอัธยาศัย นี่เป็นบุญ การปล่อยปลาเขาถือว่าเป็นบุญมาก แต่ถ้าไปนึกว่าปลานี้จงเป็นเหยื่อของคนอย่างนี้บาป มันอยู่เจตนา เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระบรมราชินาถ ไม่คิดว่าเป็นอาหารของคนต้องการเพียงว่า อนุรักษ์ให้ปลามันมีอยู่ในแม่น้ำ แม่น้ำสายนี้เคยมีปลา แต่เวลานี้ไม่มีปลา ก็ปล่อยปลาลงไป ให้ปลาเป็นอิสรภาพ ในเมื่อเราทำบุญกับท่าน ปลาทั้งหลายเป็นอิสรภาพจากนรกฉันนั้น คือไม่ลงนรก ประการที่ ๓ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินาถสงเคราะห์คนทั่วประเทศ จะทรงมีความลำบากอย่างไรก็ตามทีเสด็จตามเสมอ ไปด้วยกันเสมอ ช่วยทุกอย่างให้คนทีอาชีพ คือช่วยอย่างถาวร

ให้คนมีอาชีพดีขึ้น ไม่ใช่ให้กินให้หมด อย่างนี้ คนทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือมีความสุขขึ้น ก็มีภาพหลายภาพที่เขาแสดงทางโทรทัศน์ ว่าเมื่อก่อนนี้มีความยากเข็ญใจ ไม่มีอะไรจะกิน แต่เวลานี้ ได้อาศัยพระมหาการุณาธิคุณของท่าน กระทั้งมีกินมีใช้ มีรายได้ปีละเป็นหมื่นๆ บาท เงินหมื่นบาท แม้จะไม่มากแต่ก็มากสำหรับคนจน คนที่ไม่เคยมี

รวมความว่า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ทำร่วมกับท่าน จะมีเงินมากหรือเงินน้อยก็ตามไม่สำคัญ หลายๆ คนรวมกัน ก็มากขึ้นเองจะเป็นเหตุให้มีบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น จะมีบารมีเต็มเร็วและสามารถจะไปนิพพานได้โดยง่ายตรงนี้สิบรรดาท่านพุทธบริษัท จับใจเหลือเกิน เพราะที่คนพูดนั้น ก็มองนิพพาน อยู่ใสแจ๋ว

เพราะพระนิพพาน เป็นแดนสุข เทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหมด ก็สนับสนุน ท่านสหัมบดีพรหมท่านเข้ามาใกล้ ท่านบอกว่าคุณลงไปบอกบุญเขาได้เลยนะ

การบอกบุญมี ๒ อย่าง คือ

๑. ให้เขาทำคนละเล็กละน้อยคิดเป็นเวลาสิ้นปีถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี จะให้ตัวแทนไปถวายพระบาทสมเด็จพระบรมราชินาถ องค์ละเท่าๆกัน จะเป็นเงินมากเงินน้อยก็เหมือนกัน เราเป็นคนจน เราไม่สามารถจะเงิน ๑๐ ล้าน หลายร้อยล้านมาได้ แต่ถ้าทุกคนร่วมกันก็สามารถจะเป็นเงินขึ้นมาได้ ถ้าใครเขาตั้งใจจะถวายด้วยตนเองด้วยกำลังศรัธาก็ค่อยไปคอยท่านที่บริเวณโบสถ์วัด พระแก้วเข้าไปที่นั้น พอท่านเสด็จเข้าไป ก็ชูมือ ไม่ต้องยกสูง ยกสตัง ยกแบ็งค์ ให้ท่านเห็น ท่านก็รับ ท่านไม่ถือพระองค์ ทั้ง ๒ องค์นี้กษัตริย์ผู้ทรงธรรม จริงๆ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ

ท่านว่า เออ ฤาษี ที่ท่านสหัมบดีพรหมแนะนำน่ะ ถูกต้องแล้วก็เป็นอัน ตัดสินใจว่า วันเฉลิมพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าหากมีโอกาส จะพึง มี ท่านจะโปรดจะให้ตัวแทนจัดเงินส่วนหนึ่งของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บริจาคมาทั้งหมด ไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินาถ ที่ใกล้ๆ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

หลังจากนั้นก็ทุกปี จะค่อยๆ รวมเงินกันเป็นเดือน ๆ เดือนหนึ่ง เข้าซอยสายลม จะส่งไปทางไปรษณีย์ มารวมกันได้เท่าไรประกาศ ให้ทราบทีหลัง แล้วตั้งตัวแทนไปถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้ใกล้นิพพานกันยิ่งขึ้น

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คำแนะนำนี้ เป็นคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เป็นคำแนะนำของท่านสหัมบดีพรหมด้วย ช่วยแนะนำให้พวกเรา มีบุญบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น มีบารมีเต็มหวังว่า คงไม่เป็นที่ขัดใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

เวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธ-ศาสนิกชน ผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน สวัสดี
 
 
  บันทึก
ท่านสาธุชนพุธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ป่วยมาก มีอาการเพลียเป็นพิเศษ นั่งที่ไหนก็อยากจะหลับ พอดีเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำเดือน ๘ จะลงศาลาก็คงไม่ไหว เทศน์ก็เทศน์ไม่ไหว จะเดินก็เดินไม่ไหว ความตายมันคลานเข้ามาเต็มที ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเปสการีท่องไว้ทุกวัน จำไว้ทุกวัน มีความรู้สึกกว่า ไม่ช้าชีวิตนี้มันก็ต้องตายถ้าความตายมันเข้ามาถึง บรรดาท่านทั้งหลาย สิ่งที่ต้องการนั้นคือพระนิพพาน ใครเข้าหาว่า บ้าๆ บวมๆ ก็ตามใจ บางท่านบอกว่า พระนิพพานสูญ ตามตำราต่างๆ ก็บอกว่ามีสภาพสูญ แต่ทว่าเมื่อปี ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลวันแรก มีการอืดเสียดหนัก ตอนหัวค่ำ วันที่สอง ก็มีอาการอืดเสียดหนักตอนหัวค่ำ พอวันที่สาม จึงสั่งจ่าพยาบาล ให้ไขเตียงให้นั่งได้ เตรียมตัวว่าวันนี้ ถ้าจะขอตาย ก็ตายด้วยสมาธิ และวิปัสสนาญาณเวลา๑ทุ่ม

ก็เริ่มทำสมาธิ คิดว่าประมาณ ๒ ทุ่ม ทุกวัน ๒วันมาแล้ว แต่ว่าวัน นี้แปลก คำว่า วันนี้หมายถึง วันนั้นนะ วันนั้นแปลก แทนที่จะมีอาการอืดเสียดกลับมีใจปลอดโปร่งสบายมาก มีอารมณ์เป็นสุข มีอารมณ์แช่ม ชื่นปลอดโปร่งปลดปล่อยทุกอย่าง การป่วยคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการป่วยที่แปลกที่สุดพอร่างกายเข้าถึงโรงพยาบาลอารมณ์ก็วางทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีอะไรต้องการทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมดไม่นึกถึง ญาติพี่น้อง ผู้ที่สมาคมไม่นึกถึง ไม่นึกถึงอะไรทั้งหมด จิตมีอารมณ์เฉยสบาย คิดอยู่อย่างเดียวว่า แม้ร่างกายสักครู่เดี่ยวมันอาจจะตาย ถ้ามันตายเวลานี้ก็เป็นเรื่องมัน ไม่เสียดายร่างกาย อารมณ์เป็นสุขใครไปใครมา ก็คุยปรกติ บางคนคิดว่าไม่ได้ป่วย แต่ความจริงเดินไม่ค่อยไหว แต่ว่าเวลานั้น ปรากฏว่า เวลา ๒ทุ่ม ตรง เป็นเวลาที่อาการอืดเสืยดมันจะมา กลับกลายเป็นท้าวสหัมบดีพรหมท่านมา

ท่านมาให้ลักษณะร่างกายของท่านเต็มอัตราแต่งต้วสวยมากทรวดทรงสวย แสงสว่างมาก ทั่วจักรวาล ท่านมาถึง ท่านก็ยืนบอกว่าคุณพระพุทธ ทรงว่าพุทธเจ้าสั่งให้ไปเข้าเฝ้า ก็ถามว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้า อยู่ที่นิพพาน ท่านให้คุณไปพบท่าน ก็บอกท่านว่า นิพพานอยู่ไหน อาตมาก็ไม่ทราบถ้างั้นท่านพาไปก็แล้วกัน อาตมาจะตามไป ท่านก็ออกหน้าไป แทนที่ท่านจะพาสวรรค์ ไปพรหมโลกก่อน ท่านพาไปดูนรก ตั้งแต่โลกันต์ ตั้งแต่โลกันต์มหานรก แล้วก็อเวจี แล้วก็เรื่อยมาถึง ขุมที่ ๑ เรื่อยขึ้นมาตามลำดับถึงแดนเปรต อสุรกาย แดนเดียวสัตว์เดรัสฉานคนจนกระทั่งมาถึงแดนมนุษย์ ถึงแดนเทวดา ถึงแดนพรหม พอถึง พรหมชั้นที่ ๑๖ ก็ปรากฏว่า ถึงวิมานของท่าน ท่านก็บอกว่าหน้าที่ของผมที่จะพามา มีแค่นี้ เป็นแดนนิพพานก็เป็นหน้าที่ของท่านแต่เพียงแต่ผู้เดียว

ตอนนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเรื่องแปลกขณะที่ท่านพาไปตั้งแต่ โลกันต์นรกขึ้นไปกำลังมันดีมาก เรียวแรงเดิมรู้เหนื่อยเดินชมด้วยความเพลิดเพลิน พอมองเห็นนรก ก็นึกในใจว่า แต่ละขุมเราไม่มา พอมาถึงแดนมนุษย์ ก็คิดว่าแดนมนุษย์นี่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากมากมาย มีความวุ่นวายมาก เราไม่มาไปถึงแดนสวรรค์ ไปถึงแดนพรหม ก็นึกว่าท่านทั้งหลาย มีความสุขของท่านแต่ไม่ช้าก็จุติ เราไม่มา แต่ไอ้คิดว่าไม่มา แต่ไอ้คิดว่าไม่มานี่ ก็ไม่รู้ ว่าจะไปทางไหน

ต่อไปท่านก็บอกว่า นี่ทางไปนิพพาน ท่านชี้ให้ดูเป็นทางที่ราบเรียบเหมือนแก้วผสมทอง แพรวพราวเป็นระยับ ก็ถามว่าทำไมท่านไม่พาไป ท่านบอกไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าของท่านที่ต้องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเอง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ไหน นิพพาน เขายอกว่าเป็นสูญ แต่ท่านสหัมบดีพรหมกลับบอกว่า เป็นแดนนิพาน ก็แปลกใจ ก็ตั้งใจเดินไปพอพ้นเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ บรรดาพุทธบริษัท ร่างกายมันอ่อนเพลีย มาก เหมือนคนรื้อไข้ เดินโผผวนซวนเซใกล้จะล้ม แต่ก็พยายามไปเพราะถือว่าเป็นคำสั่ง เรื่องนี้ถือมาตั้งแต่เด็ก



เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง ก็พบบริเวณวัดวัดหนึ่ง มีกำแพงเหมือนแก้วผสมทอง สวยงามมีวิมานอยู่หน้าประตูใหญ่สี่วิมาน ที่สี่วิมาน มีพระอรหันต์ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่านิพพานมีอยู่คิดว่าเป็นพรหมไหว้ ก็รับไหว้ท่าน ถามท่านว่า ที่นี่ วัดอะไรท่านก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของท่านจะพึงรู้เอง ก็เดินหลีกท่านไปเข้าไปภายใน ไปเดินรอบๆ บริเวณร่างกายมันจะล้ม เห็นสวยสดงดงาม ดูพื้นก็พื้นเป็นผสมทองแก้ว กำแพงก็เหมือนทองผสมแก้วมีกุฏิ สามหลัง หลังหนึ่งใหญ่ยาวมาก คล้ายกับวิหาร ๑๐๐ เมตร อีก ๒ หลัง ด้านหน้า เหมือนมณฑปหลวงพ่อปาน กับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าแต่ก็ตั้งชิดกันไม่ห่างกันแบบนั้นแบบนั้นเป็นบริเวณกว้างอีกด้านหนึ่งก็มีหอระฆัง หอระฆังก็แก้วผสมทอง เหมือนกันหมด ระยิบระยับ สวยสดงดงาม บอกไม่ถูก มันเพลิดเพลินเจริญใจมาก เดินไปปรากฏว่า ในบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลย คนสักคนหนึ่งก็ไม่มี พอเดินไปถึงหอระฆัง คิดว่าไปไม่ไหวล่มกายลงนอนลงนอนบนพื้นของระฆัง คิดว่าไปไม่ไหวแล้ว นอนตรงเนี้ยแหละ

ร่างกายที่ข้างล่างมันจะเป็นจะตายก็เรื่องมันเป็นอันว่าพอนอนหันหน้า ไปทางด้านทิศตะวันออก ก็พอดีเห็นพระองค์หนึ่งเดินมา ท่านแต่งกายเหมือนพระธรรมดา แต่ว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ สว่างมาก สวยงดงามมาก เหมือนกับพระจันทร์ทรงกลด ภาพนี้เคยเห็นเป็นปกติ ก็ทราบว่า นั้นคือพระพุทธเจ้า ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา ก็เห็นท่านมาทางกำแพง ไม่เข้าทางประตู ก็คิดว่าท่านจะต้องกระโดดกำแพง แต่ความจริงเมื่อถึงแล้วท่านไม่กระโดดกำแพงมันขาดออก แล้วหดเข้าเป็นช่องให้ท่านเดินเข้ามา พอท่านผ่านกำแพงติดตามเดิม พอมาถึงท่านก็นั่งใกล้ๆ พอท่านลุกจากที่ทีนอน มานั่งข้างล่างกราบท่าน ท่านถามว่าอยากจะมานิพพานไหม ก็ตอบว่า นิพพานมีสภาพสูญ ท่านถามว่าที่นี่เขาเรียกว่าอะไร ? ตอบว่าไม่ทราบ ท่านถามถึงเทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น รู้จักไหม ก็ตอบว่า ผ่านมาหมดแล้ว เมื่อเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ เขาเรียกว่าอะไร ก็ตอบว่า ตำราไม่มี ท่านก็เลยบอกว่า ที่นี้เรียกว่า นิพพาน

เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการละเอียด รู้รายละเอียด ก็ขอให้ดู หนังสือประวัติหลวงพ่อปานก็แล้วกันนะ ที่นี่มีเวลาน้อย นี่หมดเวลา ไปตั้ง ๑๐ นาทีกว่าแล้ว

ก็ขอย้อนหลัง ว่านิพพานพบมาตั้งแต่สมัยนั้น และตั้งแต่วันนั้น มาจนถึงวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจไม่เคยพลาดพระนิพพาน ไปนิพพานทุกวัน ถ้าถามว่าไปวันละกี่ชั่วโมงก็บอกว่าไปทุกวัน วันละหลายครั้ง ตามวาระพึงมี ทีนี้ก็มานั่งคุยกันก่อน ที่มาพูดก็เพราะว่าพูดถึงเรื่องนิพพาน

เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นก็นอนนึกถึง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าท่านมีอายุ ๖๐ ปี ใครๆ เขาก็ทำบุญกันก็เลยอยากจะบอกบุญ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่านับตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญกุศล ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถทั้งนี้เพราะท่านทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ ให้มีความสุขปล่อยปลาให้เป็นอิสระ สร้างสถานที่ รวมทุกอย่างที่ท่านทราบอยู่แล้ว ว่าทั้งสองพระองค์นี่ ทำบุญกว้างขวางมาก ยากที่คนอื่นจะพึงทำได้ อย่างพวกเรา อย่างเก่งก็ซื้อปลามาปล่อยในบ่อบ้าง ในสระบ้างถ้าจะปล่อยในแม่น้ำก็กลัวคนจะมากิน นี่ท่านทำทุกอย่าง ก็คิดว่าอยากจะให้ทุกคนทำตามท่านบ้าง แต่มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่า อยากจะให้ทุกคนทำตามท่าน แต่มันก็มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่าการปล่อยปลาให้ลงแม่น้ำ ถ้าบังเอิญ คนเข้าจับปลาเรามากิน เราจะบาปไหม เพราะว่าเราปล่อยลงไปเขาก็จับกิน

ต่อมาก็ตั้งใจคิดว่า เราตอบเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระ พระตอบ เป็นของแน่นอนมาก จึงรวบรวมกำลังใจ ไปที่เทวสภา พอไปถึงก็ขอบคุณบรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายที่ท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วย ก็ไปไหว้ท่านที่มีพระคุณต่างๆ มีบิดามารดาในอดีตเป็นต้น หลังจากนั้นแล้ว เทวดานางฟ้า กับพรหม ก็กราบ แต่ความจริง ไม่ได้กราบอาตมา ขึ้นไป อาตมาก็หันไปดูข้างหลัง เห็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมมาประทับอยู่บนแท่นสำหรับเทศน์ไม่ทราบว่าท่านมาเมื่อไร จึงหันไปกราบท่าน หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ว่า บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นเทว***็ดีที่เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด จงอย่าประมาณในชีวิต คิดว่าตนเองจะไม่จุติจงอย่าคิดว่าความเป็นเทวดา

เป็นทิพย์นี่จะเป็นสมบัติของเราตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทุกคนส่วนใหญ่มีความสุข แต่ว่าหลานท่านสร้างบุญกุศลต่อ แต่เทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ยังเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ลืมความเป็น ลืมความตาย เพราะเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ พอเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าอยู่ในสวรรค์ เป็นพรหมมีความสุข ก็เลยเพลิดเพลินความเป็นทิพย์ ทุกองค์จงอย่าลืมว่าทุกคนมีบาปกันคน ละเยอะๆ ทำบาปมากกว่าทำบุญ บาปมันยังติดกายท่านอยู่ พอท่านพูดนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เห็นบาปดำขึ้นมาถึงหน้าอก ถึงยอดอกทุกองค์ ถ้าท่านทั้งหลายจะต้องจุติจากที่นี่ จะต้องลงไปชำระหนี้บาป นั้นคือจะต้องลงนรกที่เป็นแดนที่มีทุกข์หนัก

ท่านก็ชี้มือไปที่นรก เห็นนรกสว่างไสวมาก มีไฟแดงฉานมีการถูกลงโทษต่างๆ แต่ละขุม ๆ ท่านก็อธิบายว่า แต่ละขุมลงโทษอะไรบ้าง ทำบาปอะไรลงขุมไหน แต่ละขุมไม่มีความสุขไฟลุกโชติช่วง พื้นก็เป็นพื้นเหล็กเหล็กก็แดงฉาน และค้อนทุบบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบฟันบ้าง อย่างนี้เป็นปกติ เมื่อสิ้นบาปจากขุมต่อไปเพราะบาปแต่ละคนมีมาก

บรรดาเทวดานาฟ้าและพรหมทั้งหมดเห็นก็หน้าซีด รู้สึกถึงบาปที่ตัวทำไว้สมัยที่เป็นมนุษย์ และทำไว้หลายๆ ชาติ สะสมตัวเอง บาปหนัก ท่านถามว่า เทวดา นางฟ้า และพรหม กลัวไหม ทุกข์องค์ก็บอกว่ากลัวก็เอาอย่านี้ก็แล้วกันนะ ต่อนี้ไป ถ้าปฏิบัติได้ ทุกองค์จะไม่มีโทษของบาป บาปจะไม่สามารถลงโทษได้คือ

จงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนตาย เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เวลานี้เรามาครึ่งทางของพระนิพพานแล้ว จากมนุษย์นับเป็นจุกแรก มาถึงสวรรค์ ถือว่าเป็นกลางทาง โน่นพระนิพพาน ท่านชี้มือขึ้นไปให้ดู เห็นพระนิพพานแจ่มใสมาก เป็นของใกล้ ๆ เป็นของไม่ไกล อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาจะขัดกับความเห็นของบุคคลบางคนเอาตำรา อาตมาถือว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์ ต้องจริงเพราะฟังเทศน์มาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรไม่จริง ท่านบอกทุกอย่าง จริงหมด ถ้าเราไม่เชื่ออุปาทานทุกองค์ก็บอกว่า อยากจะไปนิพ-พาน มันพ้นทุกข์ จะไม่มีเคลื่อน ไปนิพพานแล้ว ไม่ไปไหนครับ อยู่ที่นั้น ท่านก็เลยบอกตั้งใจตามนี้นะ

คิดว่าชีวิตนี้มันตาย ถ้าเราจะตายเราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ และมีศีล ๕ บริสุทธิ์ และตัดความ โง่ออกจากใจ คืออวิชาคือไม่อยาก เป็นมนุษย์ต่อไป ไม่อยากเป็นเทวดานางฟ้าเป็นพรหมต่อไปต้องการนิพพาน จุดเดียว เอาจิตเข้าไปจับไว้เฉพาะนิพพาน ตั้งใจไว้อย่างยิ่ง ว่าถ้าร่างกายนี้มันพังเมื่อไร ความเป็นทิพย์สบายตัวเมื่อไร เราจะไปนิพพานเมื่อนั้น เพียงเท่านี้ เทว***ับพรหมทั้งหลาย ก็มีสภาพแจ่มใส มีธรรมปิติแสงสว่างมากกว่าเดิมกว่ากับพรหมมาก

แล้วหันมาถาม ว่าฤาษี มีความสงสัยอะไรบ้าง เมื่อสองสามวันที่แล้วมาคิดอะไร ถามฉันก็ได้นะ ถ้าสงสัย ก็ตอบว่า มีความรู้สึกว่าอาจจะบอกบุญ ให้บรรดาญาติพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ตั้งใจบำเพ็ญบารมี เข้มข้นใกล้นิพพานขึ้นมาให้มานิพพานเร็วๆ เพราะทุกคนตั้งใจดีบุญอย่างอื่นก็ทำกันหมด ขาดอยู่อย่างหนึ่งคือ โดยเสด็จพระราชกุศล แต่การโดยพระราชกุศลพระบรมราชินาถ ก็ไปปล่อยปลา ถ้าปล่อยปลา ถ้าปลา

ที่ตั้งใจให้คนกินมันจะบาปไหม ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจตามนั้นซี มันอยู่เจตนาของคนปล่อย ถ้าผู้ปล่อยคิดว่า ปลาทั้งหมดนี่ เราต้องการให้คนจับไปกินเมื่อเราก็บาปตามเขา แต่ถ้าปล่อยไว้เพื่ออนุรักษ์ ของที่มีอยู่เคยมีอยู่แล้มันหมดไป อย่าปลานี่ เป็นเครื่องประดับน้ำ มันไม่มีความชุ่มชื่นใจ เราเห็นแต่น้ำใสมีความสดชื่นใจจริง ถ้ามีปลาว่ายมา เราจะรู้สึกว่ามันเป็นสุขมาก จิตใจเราจะสบายมากเพราะว่า ปลาเป็นเครื่องประดับน้ำ ถ้าผู้ปล่อยมีความรู้สึกว่า ๑ เรา เลี้ยงปลาให้ชีวิต นี่เราเป็นบุญ ประการที่ ๒ เวลาปล่อย ปล่อยต้องการให้ปลาเป็นอิสระภาพอยู่ในที่คับแคบย่อมไม่มีความสุข ถ้าอยู่ในที่กว้างจะมีความสุขมาก ถ้าเป็นอิสรภาพ หากินสบาย จะไปไหนมาไหนก็ไปได้ตามอัธยาศัย นี่เป็นบุญ การปล่อยปลาเขาถือว่าเป็นบุญมาก แต่ถ้าไปนึกว่าปลานี้จงเป็นเหยื่อของคนอย่างนี้บาป มันอยู่เจตนา เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระบรมราชินาถ ไม่คิดว่าเป็นอาหารของคนต้องการเพียงว่า อนุรักษ์ให้ปลามันมีอยู่ในแม่น้ำ แม่น้ำสายนี้เคยมีปลา แต่เวลานี้ไม่มีปลา ก็ปล่อยปลาลงไป ให้ปลาเป็นอิสรภาพ ในเมื่อเราทำบุญกับท่าน ปลาทั้งหลายเป็นอิสรภาพจากนรกฉันนั้น คือไม่ลงนรก ประการที่ ๓ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินาถสงเคราะห์คนทั่วประเทศ จะทรงมีความลำบากอย่างไรก็ตามทีเสด็จตามเสมอ ไปด้วยกันเสมอ ช่วยทุกอย่างให้คนทีอาชีพ คือช่วยอย่างถาวร

ให้คนมีอาชีพดีขึ้น ไม่ใช่ให้กินให้หมด อย่างนี้ คนทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือมีความสุขขึ้น ก็มีภาพหลายภาพที่เขาแสดงทางโทรทัศน์ ว่าเมื่อก่อนนี้มีความยากเข็ญใจ ไม่มีอะไรจะกิน แต่เวลานี้ ได้อาศัยพระมหาการุณาธิคุณของท่าน กระทั้งมีกินมีใช้ มีรายได้ปีละเป็นหมื่นๆ บาท เงินหมื่นบาท แม้จะไม่มากแต่ก็มากสำหรับคนจน คนที่ไม่เคยมี

รวมความว่า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ทำร่วมกับท่าน จะมีเงินมากหรือเงินน้อยก็ตามไม่สำคัญ หลายๆ คนรวมกัน ก็มากขึ้นเองจะเป็นเหตุให้มีบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น จะมีบารมีเต็มเร็วและสามารถจะไปนิพพานได้โดยง่ายตรงนี้สิบรรดาท่านพุทธบริษัท จับใจเหลือเกิน เพราะที่คนพูดนั้น ก็มองนิพพาน อยู่ใสแจ๋ว

เพราะพระนิพพาน เป็นแดนสุข เทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหมด ก็สนับสนุน ท่านสหัมบดีพรหมท่านเข้ามาใกล้ ท่านบอกว่าคุณลงไปบอกบุญเขาได้เลยนะ

การบอกบุญมี ๒ อย่าง คือ

๑. ให้เขาทำคนละเล็กละน้อยคิดเป็นเวลาสิ้นปีถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี จะให้ตัวแทนไปถวายพระบาทสมเด็จพระบรมราชินาถ องค์ละเท่าๆกัน จะเป็นเงินมากเงินน้อยก็เหมือนกัน เราเป็นคนจน เราไม่สามารถจะเงิน ๑๐ ล้าน หลายร้อยล้านมาได้ แต่ถ้าทุกคนร่วมกันก็สามารถจะเป็นเงินขึ้นมาได้ ถ้าใครเขาตั้งใจจะถวายด้วยตนเองด้วยกำลังศรัธาก็ค่อยไปคอยท่านที่บริเวณโบสถ์วัด พระแก้วเข้าไปที่นั้น พอท่านเสด็จเข้าไป ก็ชูมือ ไม่ต้องยกสูง ยกสตัง ยกแบ็งค์ ให้ท่านเห็น ท่านก็รับ ท่านไม่ถือพระองค์ ทั้ง ๒ องค์นี้กษัตริย์ผู้ทรงธรรม จริงๆ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ

ท่านว่า เออ ฤาษี ที่ท่านสหัมบดีพรหมแนะนำน่ะ ถูกต้องแล้วก็เป็นอัน ตัดสินใจว่า วันเฉลิมพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าหากมีโอกาส จะพึง มี ท่านจะโปรดจะให้ตัวแทนจัดเงินส่วนหนึ่งของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บริจาคมาทั้งหมด ไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินาถ ที่ใกล้ๆ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

หลังจากนั้นก็ทุกปี จะค่อยๆ รวมเงินกันเป็นเดือน ๆ เดือนหนึ่ง เข้าซอยสายลม จะส่งไปทางไปรษณีย์ มารวมกันได้เท่าไรประกาศ ให้ทราบทีหลัง แล้วตั้งตัวแทนไปถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้ใกล้นิพพานกันยิ่งขึ้น

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คำแนะนำนี้ เป็นคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เป็นคำแนะนำของท่านสหัมบดีพรหมด้วย ช่วยแนะนำให้พวกเรา มีบุญบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น มีบารมีเต็มหวังว่า คงไม่เป็นที่ขัดใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

เวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธ-ศาสนิกชน ผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน สวัสดี
 
 
  บันทึก

เนื่องจากบ้านสวนพีระมิด ทำบุญกุศลทุกอย่างเพื่อถวายในหลวง ดังนั้นผมเห็นว่าธรรมะบทนี้ของหลวงพ่อเป็นธรรมะที่ดีมาก เพื่อทุกๆคนที่ต้องการให้บารมีเต็มเร็ว และหวังพระนิพพานในชาตินี้ ได้อ่านกัน  
ท่านสาธุชนพุธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ป่วยมาก มีอาการเพลียเป็นพิเศษ นั่งที่ไหนก็อยากจะหลับ พอดีเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำเดือน ๘ จะลงศาลาก็คงไม่ไหว เทศน์ก็เทศน์ไม่ไหว จะเดินก็เดินไม่ไหว ความตายมันคลานเข้ามาเต็มที ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเปสการีท่องไว้ทุกวัน จำไว้ทุกวัน มีความรู้สึกกว่า ไม่ช้าชีวิตนี้มันก็ต้องตายถ้าความตายมันเข้ามาถึง บรรดาท่านทั้งหลาย สิ่งที่ต้องการนั้นคือพระนิพพาน ใครเข้าหาว่า บ้าๆ บวมๆ ก็ตามใจ บางท่านบอกว่า พระนิพพานสูญ ตามตำราต่างๆ ก็บอกว่ามีสภาพสูญ แต่ทว่าเมื่อปี ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลวันแรก มีการอืดเสียดหนัก ตอนหัวค่ำ วันที่สอง ก็มีอาการอืดเสียดหนักตอนหัวค่ำ พอวันที่สาม จึงสั่งจ่าพยาบาล ให้ไขเตียงให้นั่งได้ เตรียมตัวว่าวันนี้ ถ้าจะขอตาย ก็ตายด้วยสมาธิ และวิปัสสนาญาณเวลา๑ทุ่ม

ก็เริ่มทำสมาธิ คิดว่าประมาณ ๒ ทุ่ม ทุกวัน ๒วันมาแล้ว แต่ว่าวัน นี้แปลก คำว่า วันนี้หมายถึง วันนั้นนะ วันนั้นแปลก แทนที่จะมีอาการอืดเสียดกลับมีใจปลอดโปร่งสบายมาก มีอารมณ์เป็นสุข มีอารมณ์แช่ม ชื่นปลอดโปร่งปลดปล่อยทุกอย่าง การป่วยคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการป่วยที่แปลกที่สุดพอร่างกายเข้าถึงโรงพยาบาลอารมณ์ก็วางทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีอะไรต้องการทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมดไม่นึกถึง ญาติพี่น้อง ผู้ที่สมาคมไม่นึกถึง ไม่นึกถึงอะไรทั้งหมด จิตมีอารมณ์เฉยสบาย คิดอยู่อย่างเดียวว่า แม้ร่างกายสักครู่เดี่ยวมันอาจจะตาย ถ้ามันตายเวลานี้ก็เป็นเรื่องมัน ไม่เสียดายร่างกาย อารมณ์เป็นสุขใครไปใครมา ก็คุยปรกติ บางคนคิดว่าไม่ได้ป่วย แต่ความจริงเดินไม่ค่อยไหว แต่ว่าเวลานั้น ปรากฏว่า เวลา ๒ทุ่ม ตรง เป็นเวลาที่อาการอืดเสืยดมันจะมา กลับกลายเป็นท้าวสหัมบดีพรหมท่านมา

ท่านมาให้ลักษณะร่างกายของท่านเต็มอัตราแต่งต้วสวยมากทรวดทรงสวย แสงสว่างมาก ทั่วจักรวาล ท่านมาถึง ท่านก็ยืนบอกว่าคุณพระพุทธ ทรงว่าพุทธเจ้าสั่งให้ไปเข้าเฝ้า ก็ถามว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้า อยู่ที่นิพพาน ท่านให้คุณไปพบท่าน ก็บอกท่านว่า นิพพานอยู่ไหน อาตมาก็ไม่ทราบถ้างั้นท่านพาไปก็แล้วกัน อาตมาจะตามไป ท่านก็ออกหน้าไป แทนที่ท่านจะพาสวรรค์ ไปพรหมโลกก่อน ท่านพาไปดูนรก ตั้งแต่โลกันต์ ตั้งแต่โลกันต์มหานรก แล้วก็อเวจี แล้วก็เรื่อยมาถึง ขุมที่ ๑ เรื่อยขึ้นมาตามลำดับถึงแดนเปรต อสุรกาย แดนเดียวสัตว์เดรัสฉานคนจนกระทั่งมาถึงแดนมนุษย์ ถึงแดนเทวดา ถึงแดนพรหม พอถึง พรหมชั้นที่ ๑๖ ก็ปรากฏว่า ถึงวิมานของท่าน ท่านก็บอกว่าหน้าที่ของผมที่จะพามา มีแค่นี้ เป็นแดนนิพพานก็เป็นหน้าที่ของท่านแต่เพียงแต่ผู้เดียว

ตอนนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเรื่องแปลกขณะที่ท่านพาไปตั้งแต่ โลกันต์นรกขึ้นไปกำลังมันดีมาก เรียวแรงเดิมรู้เหนื่อยเดินชมด้วยความเพลิดเพลิน พอมองเห็นนรก ก็นึกในใจว่า แต่ละขุมเราไม่มา พอมาถึงแดนมนุษย์ ก็คิดว่าแดนมนุษย์นี่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากมากมาย มีความวุ่นวายมาก เราไม่มาไปถึงแดนสวรรค์ ไปถึงแดนพรหม ก็นึกว่าท่านทั้งหลาย มีความสุขของท่านแต่ไม่ช้าก็จุติ เราไม่มา แต่ไอ้คิดว่าไม่มา แต่ไอ้คิดว่าไม่มานี่ ก็ไม่รู้ ว่าจะไปทางไหน

ต่อไปท่านก็บอกว่า นี่ทางไปนิพพาน ท่านชี้ให้ดูเป็นทางที่ราบเรียบเหมือนแก้วผสมทอง แพรวพราวเป็นระยับ ก็ถามว่าทำไมท่านไม่พาไป ท่านบอกไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าของท่านที่ต้องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเอง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ไหน นิพพาน เขายอกว่าเป็นสูญ แต่ท่านสหัมบดีพรหมกลับบอกว่า เป็นแดนนิพาน ก็แปลกใจ ก็ตั้งใจเดินไปพอพ้นเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ บรรดาพุทธบริษัท ร่างกายมันอ่อนเพลีย มาก เหมือนคนรื้อไข้ เดินโผผวนซวนเซใกล้จะล้ม แต่ก็พยายามไปเพราะถือว่าเป็นคำสั่ง เรื่องนี้ถือมาตั้งแต่เด็ก



เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง ก็พบบริเวณวัดวัดหนึ่ง มีกำแพงเหมือนแก้วผสมทอง สวยงามมีวิมานอยู่หน้าประตูใหญ่สี่วิมาน ที่สี่วิมาน มีพระอรหันต์ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่านิพพานมีอยู่คิดว่าเป็นพรหมไหว้ ก็รับไหว้ท่าน ถามท่านว่า ที่นี่ วัดอะไรท่านก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของท่านจะพึงรู้เอง ก็เดินหลีกท่านไปเข้าไปภายใน ไปเดินรอบๆ บริเวณร่างกายมันจะล้ม เห็นสวยสดงดงาม ดูพื้นก็พื้นเป็นผสมทองแก้ว กำแพงก็เหมือนทองผสมแก้วมีกุฏิ สามหลัง หลังหนึ่งใหญ่ยาวมาก คล้ายกับวิหาร ๑๐๐ เมตร อีก ๒ หลัง ด้านหน้า เหมือนมณฑปหลวงพ่อปาน กับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าแต่ก็ตั้งชิดกันไม่ห่างกันแบบนั้นแบบนั้นเป็นบริเวณกว้างอีกด้านหนึ่งก็มีหอระฆัง หอระฆังก็แก้วผสมทอง เหมือนกันหมด ระยิบระยับ สวยสดงดงาม บอกไม่ถูก มันเพลิดเพลินเจริญใจมาก เดินไปปรากฏว่า ในบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลย คนสักคนหนึ่งก็ไม่มี พอเดินไปถึงหอระฆัง คิดว่าไปไม่ไหวล่มกายลงนอนลงนอนบนพื้นของระฆัง คิดว่าไปไม่ไหวแล้ว นอนตรงเนี้ยแหละ

ร่างกายที่ข้างล่างมันจะเป็นจะตายก็เรื่องมันเป็นอันว่าพอนอนหันหน้า ไปทางด้านทิศตะวันออก ก็พอดีเห็นพระองค์หนึ่งเดินมา ท่านแต่งกายเหมือนพระธรรมดา แต่ว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ สว่างมาก สวยงดงามมาก เหมือนกับพระจันทร์ทรงกลด ภาพนี้เคยเห็นเป็นปกติ ก็ทราบว่า นั้นคือพระพุทธเจ้า ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา ก็เห็นท่านมาทางกำแพง ไม่เข้าทางประตู ก็คิดว่าท่านจะต้องกระโดดกำแพง แต่ความจริงเมื่อถึงแล้วท่านไม่กระโดดกำแพงมันขาดออก แล้วหดเข้าเป็นช่องให้ท่านเดินเข้ามา พอท่านผ่านกำแพงติดตามเดิม พอมาถึงท่านก็นั่งใกล้ๆ พอท่านลุกจากที่ทีนอน มานั่งข้างล่างกราบท่าน ท่านถามว่าอยากจะมานิพพานไหม ก็ตอบว่า นิพพานมีสภาพสูญ ท่านถามว่าที่นี่เขาเรียกว่าอะไร ? ตอบว่าไม่ทราบ ท่านถามถึงเทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น รู้จักไหม ก็ตอบว่า ผ่านมาหมดแล้ว เมื่อเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ เขาเรียกว่าอะไร ก็ตอบว่า ตำราไม่มี ท่านก็เลยบอกว่า ที่นี้เรียกว่า นิพพาน

เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการละเอียด รู้รายละเอียด ก็ขอให้ดู หนังสือประวัติหลวงพ่อปานก็แล้วกันนะ ที่นี่มีเวลาน้อย นี่หมดเวลา ไปตั้ง ๑๐ นาทีกว่าแล้ว

ก็ขอย้อนหลัง ว่านิพพานพบมาตั้งแต่สมัยนั้น และตั้งแต่วันนั้น มาจนถึงวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจไม่เคยพลาดพระนิพพาน ไปนิพพานทุกวัน ถ้าถามว่าไปวันละกี่ชั่วโมงก็บอกว่าไปทุกวัน วันละหลายครั้ง ตามวาระพึงมี ทีนี้ก็มานั่งคุยกันก่อน ที่มาพูดก็เพราะว่าพูดถึงเรื่องนิพพาน

เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นก็นอนนึกถึง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าท่านมีอายุ ๖๐ ปี ใครๆ เขาก็ทำบุญกันก็เลยอยากจะบอกบุญ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่านับตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญกุศล ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถทั้งนี้เพราะท่านทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ ให้มีความสุขปล่อยปลาให้เป็นอิสระ สร้างสถานที่ รวมทุกอย่างที่ท่านทราบอยู่แล้ว ว่าทั้งสองพระองค์นี่ ทำบุญกว้างขวางมาก ยากที่คนอื่นจะพึงทำได้ อย่างพวกเรา อย่างเก่งก็ซื้อปลามาปล่อยในบ่อบ้าง ในสระบ้างถ้าจะปล่อยในแม่น้ำก็กลัวคนจะมากิน นี่ท่านทำทุกอย่าง ก็คิดว่าอยากจะให้ทุกคนทำตามท่านบ้าง แต่มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่า อยากจะให้ทุกคนทำตามท่าน แต่มันก็มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่าการปล่อยปลาให้ลงแม่น้ำ ถ้าบังเอิญ คนเข้าจับปลาเรามากิน เราจะบาปไหม เพราะว่าเราปล่อยลงไปเขาก็จับกิน

ต่อมาก็ตั้งใจคิดว่า เราตอบเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระ พระตอบ เป็นของแน่นอนมาก จึงรวบรวมกำลังใจ ไปที่เทวสภา พอไปถึงก็ขอบคุณบรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายที่ท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วย ก็ไปไหว้ท่านที่มีพระคุณต่างๆ มีบิดามารดาในอดีตเป็นต้น หลังจากนั้นแล้ว เทวดานางฟ้า กับพรหม ก็กราบ แต่ความจริง ไม่ได้กราบอาตมา ขึ้นไป อาตมาก็หันไปดูข้างหลัง เห็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมมาประทับอยู่บนแท่นสำหรับเทศน์ไม่ทราบว่าท่านมาเมื่อไร จึงหันไปกราบท่าน หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ว่า บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นเทว***็ดีที่เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด จงอย่าประมาณในชีวิต คิดว่าตนเองจะไม่จุติจงอย่าคิดว่าความเป็นเทวดา

เป็นทิพย์นี่จะเป็นสมบัติของเราตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทุกคนส่วนใหญ่มีความสุข แต่ว่าหลานท่านสร้างบุญกุศลต่อ แต่เทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ยังเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ลืมความเป็น ลืมความตาย เพราะเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ พอเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าอยู่ในสวรรค์ เป็นพรหมมีความสุข ก็เลยเพลิดเพลินความเป็นทิพย์ ทุกองค์จงอย่าลืมว่าทุกคนมีบาปกันคน ละเยอะๆ ทำบาปมากกว่าทำบุญ บาปมันยังติดกายท่านอยู่ พอท่านพูดนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เห็นบาปดำขึ้นมาถึงหน้าอก ถึงยอดอกทุกองค์ ถ้าท่านทั้งหลายจะต้องจุติจากที่นี่ จะต้องลงไปชำระหนี้บาป นั้นคือจะต้องลงนรกที่เป็นแดนที่มีทุกข์หนัก

ท่านก็ชี้มือไปที่นรก เห็นนรกสว่างไสวมาก มีไฟแดงฉานมีการถูกลงโทษต่างๆ แต่ละขุม ๆ ท่านก็อธิบายว่า แต่ละขุมลงโทษอะไรบ้าง ทำบาปอะไรลงขุมไหน แต่ละขุมไม่มีความสุขไฟลุกโชติช่วง พื้นก็เป็นพื้นเหล็กเหล็กก็แดงฉาน และค้อนทุบบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบฟันบ้าง อย่างนี้เป็นปกติ เมื่อสิ้นบาปจากขุมต่อไปเพราะบาปแต่ละคนมีมาก

บรรดาเทวดานาฟ้าและพรหมทั้งหมดเห็นก็หน้าซีด รู้สึกถึงบาปที่ตัวทำไว้สมัยที่เป็นมนุษย์ และทำไว้หลายๆ ชาติ สะสมตัวเอง บาปหนัก ท่านถามว่า เทวดา นางฟ้า และพรหม กลัวไหม ทุกข์องค์ก็บอกว่ากลัวก็เอาอย่านี้ก็แล้วกันนะ ต่อนี้ไป ถ้าปฏิบัติได้ ทุกองค์จะไม่มีโทษของบาป บาปจะไม่สามารถลงโทษได้คือ

จงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนตาย เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เวลานี้เรามาครึ่งทางของพระนิพพานแล้ว จากมนุษย์นับเป็นจุกแรก มาถึงสวรรค์ ถือว่าเป็นกลางทาง โน่นพระนิพพาน ท่านชี้มือขึ้นไปให้ดู เห็นพระนิพพานแจ่มใสมาก เป็นของใกล้ ๆ เป็นของไม่ไกล อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาจะขัดกับความเห็นของบุคคลบางคนเอาตำรา อาตมาถือว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์ ต้องจริงเพราะฟังเทศน์มาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรไม่จริง ท่านบอกทุกอย่าง จริงหมด ถ้าเราไม่เชื่ออุปาทานทุกองค์ก็บอกว่า อยากจะไปนิพ-พาน มันพ้นทุกข์ จะไม่มีเคลื่อน ไปนิพพานแล้ว ไม่ไปไหนครับ อยู่ที่นั้น ท่านก็เลยบอกตั้งใจตามนี้นะ

คิดว่าชีวิตนี้มันตาย ถ้าเราจะตายเราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ และมีศีล ๕ บริสุทธิ์ และตัดความ โง่ออกจากใจ คืออวิชาคือไม่อยาก เป็นมนุษย์ต่อไป ไม่อยากเป็นเทวดานางฟ้าเป็นพรหมต่อไปต้องการนิพพาน จุดเดียว เอาจิตเข้าไปจับไว้เฉพาะนิพพาน ตั้งใจไว้อย่างยิ่ง ว่าถ้าร่างกายนี้มันพังเมื่อไร ความเป็นทิพย์สบายตัวเมื่อไร เราจะไปนิพพานเมื่อนั้น เพียงเท่านี้ เทว***ับพรหมทั้งหลาย ก็มีสภาพแจ่มใส มีธรรมปิติแสงสว่างมากกว่าเดิมกว่ากับพรหมมาก

แล้วหันมาถาม ว่าฤาษี มีความสงสัยอะไรบ้าง เมื่อสองสามวันที่แล้วมาคิดอะไร ถามฉันก็ได้นะ ถ้าสงสัย ก็ตอบว่า มีความรู้สึกว่าอาจจะบอกบุญ ให้บรรดาญาติพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ตั้งใจบำเพ็ญบารมี เข้มข้นใกล้นิพพานขึ้นมาให้มานิพพานเร็วๆ เพราะทุกคนตั้งใจดีบุญอย่างอื่นก็ทำกันหมด ขาดอยู่อย่างหนึ่งคือ โดยเสด็จพระราชกุศล แต่การโดยพระราชกุศลพระบรมราชินาถ ก็ไปปล่อยปลา ถ้าปล่อยปลา ถ้าปลา

ที่ตั้งใจให้คนกินมันจะบาปไหม ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจตามนั้นซี มันอยู่เจตนาของคนปล่อย ถ้าผู้ปล่อยคิดว่า ปลาทั้งหมดนี่ เราต้องการให้คนจับไปกินเมื่อเราก็บาปตามเขา แต่ถ้าปล่อยไว้เพื่ออนุรักษ์ ของที่มีอยู่เคยมีอยู่แล้มันหมดไป อย่าปลานี่ เป็นเครื่องประดับน้ำ มันไม่มีความชุ่มชื่นใจ เราเห็นแต่น้ำใสมีความสดชื่นใจจริง ถ้ามีปลาว่ายมา เราจะรู้สึกว่ามันเป็นสุขมาก จิตใจเราจะสบายมากเพราะว่า ปลาเป็นเครื่องประดับน้ำ ถ้าผู้ปล่อยมีความรู้สึกว่า ๑ เรา เลี้ยงปลาให้ชีวิต นี่เราเป็นบุญ ประการที่ ๒ เวลาปล่อย ปล่อยต้องการให้ปลาเป็นอิสระภาพอยู่ในที่คับแคบย่อมไม่มีความสุข ถ้าอยู่ในที่กว้างจะมีความสุขมาก ถ้าเป็นอิสรภาพ หากินสบาย จะไปไหนมาไหนก็ไปได้ตามอัธยาศัย นี่เป็นบุญ การปล่อยปลาเขาถือว่าเป็นบุญมาก แต่ถ้าไปนึกว่าปลานี้จงเป็นเหยื่อของคนอย่างนี้บาป มันอยู่เจตนา เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระบรมราชินาถ ไม่คิดว่าเป็นอาหารของคนต้องการเพียงว่า อนุรักษ์ให้ปลามันมีอยู่ในแม่น้ำ แม่น้ำสายนี้เคยมีปลา แต่เวลานี้ไม่มีปลา ก็ปล่อยปลาลงไป ให้ปลาเป็นอิสรภาพ ในเมื่อเราทำบุญกับท่าน ปลาทั้งหลายเป็นอิสรภาพจากนรกฉันนั้น คือไม่ลงนรก ประการที่ ๓ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินาถสงเคราะห์คนทั่วประเทศ จะทรงมีความลำบากอย่างไรก็ตามทีเสด็จตามเสมอ ไปด้วยกันเสมอ ช่วยทุกอย่างให้คนทีอาชีพ คือช่วยอย่างถาวร

ให้คนมีอาชีพดีขึ้น ไม่ใช่ให้กินให้หมด อย่างนี้ คนทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือมีความสุขขึ้น ก็มีภาพหลายภาพที่เขาแสดงทางโทรทัศน์ ว่าเมื่อก่อนนี้มีความยากเข็ญใจ ไม่มีอะไรจะกิน แต่เวลานี้ ได้อาศัยพระมหาการุณาธิคุณของท่าน กระทั้งมีกินมีใช้ มีรายได้ปีละเป็นหมื่นๆ บาท เงินหมื่นบาท แม้จะไม่มากแต่ก็มากสำหรับคนจน คนที่ไม่เคยมี

รวมความว่า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ทำร่วมกับท่าน จะมีเงินมากหรือเงินน้อยก็ตามไม่สำคัญ หลายๆ คนรวมกัน ก็มากขึ้นเองจะเป็นเหตุให้มีบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น จะมีบารมีเต็มเร็วและสามารถจะไปนิพพานได้โดยง่ายตรงนี้สิบรรดาท่านพุทธบริษัท จับใจเหลือเกิน เพราะที่คนพูดนั้น ก็มองนิพพาน อยู่ใสแจ๋ว

เพราะพระนิพพาน เป็นแดนสุข เทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหมด ก็สนับสนุน ท่านสหัมบดีพรหมท่านเข้ามาใกล้ ท่านบอกว่าคุณลงไปบอกบุญเขาได้เลยนะ

การบอกบุญมี ๒ อย่าง คือ

๑. ให้เขาทำคนละเล็กละน้อยคิดเป็นเวลาสิ้นปีถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี จะให้ตัวแทนไปถวายพระบาทสมเด็จพระบรมราชินาถ องค์ละเท่าๆกัน จะเป็นเงินมากเงินน้อยก็เหมือนกัน เราเป็นคนจน เราไม่สามารถจะเงิน ๑๐ ล้าน หลายร้อยล้านมาได้ แต่ถ้าทุกคนร่วมกันก็สามารถจะเป็นเงินขึ้นมาได้ ถ้าใครเขาตั้งใจจะถวายด้วยตนเองด้วยกำลังศรัธาก็ค่อยไปคอยท่านที่บริเวณโบสถ์วัด พระแก้วเข้าไปที่นั้น พอท่านเสด็จเข้าไป ก็ชูมือ ไม่ต้องยกสูง ยกสตัง ยกแบ็งค์ ให้ท่านเห็น ท่านก็รับ ท่านไม่ถือพระองค์ ทั้ง ๒ องค์นี้กษัตริย์ผู้ทรงธรรม จริงๆ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ

ท่านว่า เออ ฤาษี ที่ท่านสหัมบดีพรหมแนะนำน่ะ ถูกต้องแล้วก็เป็นอัน ตัดสินใจว่า วันเฉลิมพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าหากมีโอกาส จะพึง มี ท่านจะโปรดจะให้ตัวแทนจัดเงินส่วนหนึ่งของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บริจาคมาทั้งหมด ไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินาถ ที่ใกล้ๆ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

หลังจากนั้นก็ทุกปี จะค่อยๆ รวมเงินกันเป็นเดือน ๆ เดือนหนึ่ง เข้าซอยสายลม จะส่งไปทางไปรษณีย์ มารวมกันได้เท่าไรประกาศ ให้ทราบทีหลัง แล้วตั้งตัวแทนไปถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้ใกล้นิพพานกันยิ่งขึ้น

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คำแนะนำนี้ เป็นคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เป็นคำแนะนำของท่านสหัมบดีพรหมด้วย ช่วยแนะนำให้พวกเรา มีบุญบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น มีบารมีเต็มหวังว่า คงไม่เป็นที่ขัดใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

เวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธ-ศาสนิกชน ผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน สวัสดี
 
  บันทึก

ท่านสาธุชนพุธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ป่วยมาก มีอาการเพลียเป็นพิเศษ นั่งที่ไหนก็อยากจะหลับ พอดีเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำเดือน ๘ จะลงศาลาก็คงไม่ไหว เทศน์ก็เทศน์ไม่ไหว จะเดินก็เดินไม่ไหว ความตายมันคลานเข้ามาเต็มที ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเปสการีท่องไว้ทุกวัน จำไว้ทุกวัน มีความรู้สึกกว่า ไม่ช้าชีวิตนี้มันก็ต้องตายถ้าความตายมันเข้ามาถึง บรรดาท่านทั้งหลาย สิ่งที่ต้องการนั้นคือพระนิพพาน ใครเข้าหาว่า บ้าๆ บวมๆ ก็ตามใจ บางท่านบอกว่า พระนิพพานสูญ ตามตำราต่างๆ ก็บอกว่ามีสภาพสูญ แต่ทว่าเมื่อปี ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลวันแรก มีการอืดเสียดหนัก ตอนหัวค่ำ วันที่สอง ก็มีอาการอืดเสียดหนักตอนหัวค่ำ พอวันที่สาม จึงสั่งจ่าพยาบาล ให้ไขเตียงให้นั่งได้ เตรียมตัวว่าวันนี้ ถ้าจะขอตาย ก็ตายด้วยสมาธิ และวิปัสสนาญาณเวลา๑ทุ่ม

ก็เริ่มทำสมาธิ คิดว่าประมาณ ๒ ทุ่ม ทุกวัน ๒วันมาแล้ว แต่ว่าวัน นี้แปลก คำว่า วันนี้หมายถึง วันนั้นนะ วันนั้นแปลก แทนที่จะมีอาการอืดเสียดกลับมีใจปลอดโปร่งสบายมาก มีอารมณ์เป็นสุข มีอารมณ์แช่ม ชื่นปลอดโปร่งปลดปล่อยทุกอย่าง การป่วยคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการป่วยที่แปลกที่สุดพอร่างกายเข้าถึงโรงพยาบาลอารมณ์ก็วางทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีอะไรต้องการทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมดไม่นึกถึง ญาติพี่น้อง ผู้ที่สมาคมไม่นึกถึง ไม่นึกถึงอะไรทั้งหมด จิตมีอารมณ์เฉยสบาย คิดอยู่อย่างเดียวว่า แม้ร่างกายสักครู่เดี่ยวมันอาจจะตาย ถ้ามันตายเวลานี้ก็เป็นเรื่องมัน ไม่เสียดายร่างกาย อารมณ์เป็นสุขใครไปใครมา ก็คุยปรกติ บางคนคิดว่าไม่ได้ป่วย แต่ความจริงเดินไม่ค่อยไหว แต่ว่าเวลานั้น ปรากฏว่า เวลา ๒ทุ่ม ตรง เป็นเวลาที่อาการอืดเสืยดมันจะมา กลับกลายเป็นท้าวสหัมบดีพรหมท่านมา

ท่านมาให้ลักษณะร่างกายของท่านเต็มอัตราแต่งต้วสวยมากทรวดทรงสวย แสงสว่างมาก ทั่วจักรวาล ท่านมาถึง ท่านก็ยืนบอกว่าคุณพระพุทธ ทรงว่าพุทธเจ้าสั่งให้ไปเข้าเฝ้า ก็ถามว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้า อยู่ที่นิพพาน ท่านให้คุณไปพบท่าน ก็บอกท่านว่า นิพพานอยู่ไหน อาตมาก็ไม่ทราบถ้างั้นท่านพาไปก็แล้วกัน อาตมาจะตามไป ท่านก็ออกหน้าไป แทนที่ท่านจะพาสวรรค์ ไปพรหมโลกก่อน ท่านพาไปดูนรก ตั้งแต่โลกันต์ ตั้งแต่โลกันต์มหานรก แล้วก็อเวจี แล้วก็เรื่อยมาถึง ขุมที่ ๑ เรื่อยขึ้นมาตามลำดับถึงแดนเปรต อสุรกาย แดนเดียวสัตว์เดรัสฉานคนจนกระทั่งมาถึงแดนมนุษย์ ถึงแดนเทวดา ถึงแดนพรหม พอถึง พรหมชั้นที่ ๑๖ ก็ปรากฏว่า ถึงวิมานของท่าน ท่านก็บอกว่าหน้าที่ของผมที่จะพามา มีแค่นี้ เป็นแดนนิพพานก็เป็นหน้าที่ของท่านแต่เพียงแต่ผู้เดียว

ตอนนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเรื่องแปลกขณะที่ท่านพาไปตั้งแต่ โลกันต์นรกขึ้นไปกำลังมันดีมาก เรียวแรงเดิมรู้เหนื่อยเดินชมด้วยความเพลิดเพลิน พอมองเห็นนรก ก็นึกในใจว่า แต่ละขุมเราไม่มา พอมาถึงแดนมนุษย์ ก็คิดว่าแดนมนุษย์นี่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากมากมาย มีความวุ่นวายมาก เราไม่มาไปถึงแดนสวรรค์ ไปถึงแดนพรหม ก็นึกว่าท่านทั้งหลาย มีความสุขของท่านแต่ไม่ช้าก็จุติ เราไม่มา แต่ไอ้คิดว่าไม่มา แต่ไอ้คิดว่าไม่มานี่ ก็ไม่รู้ ว่าจะไปทางไหน

ต่อไปท่านก็บอกว่า นี่ทางไปนิพพาน ท่านชี้ให้ดูเป็นทางที่ราบเรียบเหมือนแก้วผสมทอง แพรวพราวเป็นระยับ ก็ถามว่าทำไมท่านไม่พาไป ท่านบอกไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าของท่านที่ต้องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเอง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ไหน นิพพาน เขายอกว่าเป็นสูญ แต่ท่านสหัมบดีพรหมกลับบอกว่า เป็นแดนนิพาน ก็แปลกใจ ก็ตั้งใจเดินไปพอพ้นเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ บรรดาพุทธบริษัท ร่างกายมันอ่อนเพลีย มาก เหมือนคนรื้อไข้ เดินโผผวนซวนเซใกล้จะล้ม แต่ก็พยายามไปเพราะถือว่าเป็นคำสั่ง เรื่องนี้ถือมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง ก็พบบริเวณวัดวัดหนึ่ง มีกำแพงเหมือนแก้วผสมทอง สวยงามมีวิมานอยู่หน้าประตูใหญ่สี่วิมาน ที่สี่วิมาน มีพระอรหันต์ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่านิพพานมีอยู่คิดว่าเป็นพรหมไหว้ ก็รับไหว้ท่าน ถามท่านว่า ที่นี่ วัดอะไรท่านก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของท่านจะพึงรู้เอง ก็เดินหลีกท่านไปเข้าไปภายใน ไปเดินรอบๆ บริเวณร่างกายมันจะล้ม เห็นสวยสดงดงาม ดูพื้นก็พื้นเป็นผสมทองแก้ว กำแพงก็เหมือนทองผสมแก้วมีกุฏิ สามหลัง หลังหนึ่งใหญ่ยาวมาก คล้ายกับวิหาร ๑๐๐ เมตร อีก ๒ หลัง ด้านหน้า เหมือนมณฑปหลวงพ่อปาน กับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าแต่ก็ตั้งชิดกันไม่ห่างกันแบบนั้นแบบนั้นเป็นบริเวณกว้างอีกด้านหนึ่งก็มีหอระฆัง หอระฆังก็แก้วผสมทอง เหมือนกันหมด ระยิบระยับ สวยสดงดงาม บอกไม่ถูก มันเพลิดเพลินเจริญใจมาก เดินไปปรากฏว่า ในบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลย คนสักคนหนึ่งก็ไม่มี พอเดินไปถึงหอระฆัง คิดว่าไปไม่ไหวล่มกายลงนอนลงนอนบนพื้นของระฆัง คิดว่าไปไม่ไหวแล้ว นอนตรงเนี้ยแหละ

ร่างกายที่ข้างล่างมันจะเป็นจะตายก็เรื่องมันเป็นอันว่าพอนอนหันหน้า ไปทางด้านทิศตะวันออก ก็พอดีเห็นพระองค์หนึ่งเดินมา ท่านแต่งกายเหมือนพระธรรมดา แต่ว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ สว่างมาก สวยงดงามมาก เหมือนกับพระจันทร์ทรงกลด ภาพนี้เคยเห็นเป็นปกติ ก็ทราบว่า นั้นคือพระพุทธเจ้า ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา ก็เห็นท่านมาทางกำแพง ไม่เข้าทางประตู ก็คิดว่าท่านจะต้องกระโดดกำแพง แต่ความจริงเมื่อถึงแล้วท่านไม่กระโดดกำแพงมันขาดออก แล้วหดเข้าเป็นช่องให้ท่านเดินเข้ามา พอท่านผ่านกำแพงติดตามเดิม พอมาถึงท่านก็นั่งใกล้ๆ พอท่านลุกจากที่ทีนอน มานั่งข้างล่างกราบท่าน ท่านถามว่าอยากจะมานิพพานไหม ก็ตอบว่า นิพพานมีสภาพสูญ ท่านถามว่าที่นี่เขาเรียกว่าอะไร ? ตอบว่าไม่ทราบ ท่านถามถึงเทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น รู้จักไหม ก็ตอบว่า ผ่านมาหมดแล้ว เมื่อเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ เขาเรียกว่าอะไร ก็ตอบว่า ตำราไม่มี ท่านก็เลยบอกว่า ที่นี้เรียกว่า นิพพาน

เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการละเอียด รู้รายละเอียด ก็ขอให้ดู หนังสือประวัติหลวงพ่อปานก็แล้วกันนะ ที่นี่มีเวลาน้อย นี่หมดเวลา ไปตั้ง ๑๐ นาทีกว่าแล้ว

ก็ขอย้อนหลัง ว่านิพพานพบมาตั้งแต่สมัยนั้น และตั้งแต่วันนั้น มาจนถึงวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจไม่เคยพลาดพระนิพพาน ไปนิพพานทุกวัน ถ้าถามว่าไปวันละกี่ชั่วโมงก็บอกว่าไปทุกวัน วันละหลายครั้ง ตามวาระพึงมี ทีนี้ก็มานั่งคุยกันก่อน ที่มาพูดก็เพราะว่าพูดถึงเรื่องนิพพาน

เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นก็นอนนึกถึง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าท่านมีอายุ ๖๐ ปี ใครๆ เขาก็ทำบุญกันก็เลยอยากจะบอกบุญ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่านับตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญกุศล ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถทั้งนี้เพราะท่านทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ ให้มีความสุขปล่อยปลาให้เป็นอิสระ สร้างสถานที่ รวมทุกอย่างที่ท่านทราบอยู่แล้ว ว่าทั้งสองพระองค์นี่ ทำบุญกว้างขวางมาก ยากที่คนอื่นจะพึงทำได้ อย่างพวกเรา อย่างเก่งก็ซื้อปลามาปล่อยในบ่อบ้าง ในสระบ้างถ้าจะปล่อยในแม่น้ำก็กลัวคนจะมากิน นี่ท่านทำทุกอย่าง ก็คิดว่าอยากจะให้ทุกคนทำตามท่านบ้าง แต่มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่า อยากจะให้ทุกคนทำตามท่าน แต่มันก็มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่าการปล่อยปลาให้ลงแม่น้ำ ถ้าบังเอิญ คนเข้าจับปลาเรามากิน เราจะบาปไหม เพราะว่าเราปล่อยลงไปเขาก็จับกิน

ต่อมาก็ตั้งใจคิดว่า เราตอบเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระ พระตอบ เป็นของแน่นอนมาก จึงรวบรวมกำลังใจ ไปที่เทวสภา พอไปถึงก็ขอบคุณบรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายที่ท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วย ก็ไปไหว้ท่านที่มีพระคุณต่างๆ มีบิดามารดาในอดีตเป็นต้น หลังจากนั้นแล้ว เทวดานางฟ้า กับพรหม ก็กราบ แต่ความจริง ไม่ได้กราบอาตมา ขึ้นไป อาตมาก็หันไปดูข้างหลัง เห็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมมาประทับอยู่บนแท่นสำหรับเทศน์ไม่ทราบว่าท่านมาเมื่อไร จึงหันไปกราบท่าน หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ว่า บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นเทว***็ดีที่เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด จงอย่าประมาณในชีวิต คิดว่าตนเองจะไม่จุติจงอย่าคิดว่าความเป็นเทวดา

เป็นทิพย์นี่จะเป็นสมบัติของเราตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทุกคนส่วนใหญ่มีความสุข แต่ว่าหลานท่านสร้างบุญกุศลต่อ แต่เทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ยังเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ลืมความเป็น ลืมความตาย เพราะเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ พอเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าอยู่ในสวรรค์ เป็นพรหมมีความสุข ก็เลยเพลิดเพลินความเป็นทิพย์ ทุกองค์จงอย่าลืมว่าทุกคนมีบาปกันคน ละเยอะๆ ทำบาปมากกว่าทำบุญ บาปมันยังติดกายท่านอยู่ พอท่านพูดนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เห็นบาปดำขึ้นมาถึงหน้าอก ถึงยอดอกทุกองค์ ถ้าท่านทั้งหลายจะต้องจุติจากที่นี่ จะต้องลงไปชำระหนี้บาป นั้นคือจะต้องลงนรกที่เป็นแดนที่มีทุกข์หนัก

ท่านก็ชี้มือไปที่นรก เห็นนรกสว่างไสวมาก มีไฟแดงฉานมีการถูกลงโทษต่างๆ แต่ละขุม ๆ ท่านก็อธิบายว่า แต่ละขุมลงโทษอะไรบ้าง ทำบาปอะไรลงขุมไหน แต่ละขุมไม่มีความสุขไฟลุกโชติช่วง พื้นก็เป็นพื้นเหล็กเหล็กก็แดงฉาน และค้อนทุบบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบฟันบ้าง อย่างนี้เป็นปกติ เมื่อสิ้นบาปจากขุมต่อไปเพราะบาปแต่ละคนมีมาก

บรรดาเทวดานาฟ้าและพรหมทั้งหมดเห็นก็หน้าซีด รู้สึกถึงบาปที่ตัวทำไว้สมัยที่เป็นมนุษย์ และทำไว้หลายๆ ชาติ สะสมตัวเอง บาปหนัก ท่านถามว่า เทวดา นางฟ้า และพรหม กลัวไหม ทุกข์องค์ก็บอกว่ากลัวก็เอาอย่านี้ก็แล้วกันนะ ต่อนี้ไป ถ้าปฏิบัติได้ ทุกองค์จะไม่มีโทษของบาป บาปจะไม่สามารถลงโทษได้คือ

จงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนตาย เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เวลานี้เรามาครึ่งทางของพระนิพพานแล้ว จากมนุษย์นับเป็นจุกแรก มาถึงสวรรค์ ถือว่าเป็นกลางทาง โน่นพระนิพพาน ท่านชี้มือขึ้นไปให้ดู เห็นพระนิพพานแจ่มใสมาก เป็นของใกล้ ๆ เป็นของไม่ไกล อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาจะขัดกับความเห็นของบุคคลบางคนเอาตำรา อาตมาถือว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์ ต้องจริงเพราะฟังเทศน์มาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรไม่จริง ท่านบอกทุกอย่าง จริงหมด ถ้าเราไม่เชื่ออุปาทานทุกองค์ก็บอกว่า อยากจะไปนิพ-พาน มันพ้นทุกข์ จะไม่มีเคลื่อน ไปนิพพานแล้ว ไม่ไปไหนครับ อยู่ที่นั้น ท่านก็เลยบอกตั้งใจตามนี้นะ

คิดว่าชีวิตนี้มันตาย ถ้าเราจะตายเราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ และมีศีล ๕ บริสุทธิ์ และตัดความ โง่ออกจากใจ คืออวิชาคือไม่อยาก เป็นมนุษย์ต่อไป ไม่อยากเป็นเทวดานางฟ้าเป็นพรหมต่อไปต้องการนิพพาน จุดเดียว เอาจิตเข้าไปจับไว้เฉพาะนิพพาน ตั้งใจไว้อย่างยิ่ง ว่าถ้าร่างกายนี้มันพังเมื่อไร ความเป็นทิพย์สบายตัวเมื่อไร เราจะไปนิพพานเมื่อนั้น เพียงเท่านี้ เทว***ับพรหมทั้งหลาย ก็มีสภาพแจ่มใส มีธรรมปิติแสงสว่างมากกว่าเดิมกว่ากับพรหมมาก

แล้วหันมาถาม ว่าฤาษี มีความสงสัยอะไรบ้าง เมื่อสองสามวันที่แล้วมาคิดอะไร ถามฉันก็ได้นะ ถ้าสงสัย ก็ตอบว่า มีความรู้สึกว่าอาจจะบอกบุญ ให้บรรดาญาติพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ตั้งใจบำเพ็ญบารมี เข้มข้นใกล้นิพพานขึ้นมาให้มานิพพานเร็วๆ เพราะทุกคนตั้งใจดีบุญอย่างอื่นก็ทำกันหมด ขาดอยู่อย่างหนึ่งคือ โดยเสด็จพระราชกุศล แต่การโดยพระราชกุศลพระบรมราชินาถ ก็ไปปล่อยปลา ถ้าปล่อยปลา ถ้าปลา
ที่ตั้งใจให้คนกินมันจะบาปไหม ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจตามนั้นซี มันอยู่เจตนาของคนปล่อย ถ้าผู้ปล่อยคิดว่า ปลาทั้งหมดนี่ เราต้องการให้คนจับไปกินเมื่อเราก็บาปตามเขา แต่ถ้าปล่อยไว้เพื่ออนุรักษ์ ของที่มีอยู่เคยมีอยู่แล้มันหมดไป อย่าปลานี่ เป็นเครื่องประดับน้ำ มันไม่มีความชุ่มชื่นใจ เราเห็นแต่น้ำใสมีความสดชื่นใจจริง ถ้ามีปลาว่ายมา เราจะรู้สึกว่ามันเป็นสุขมาก จิตใจเราจะสบายมากเพราะว่า ปลาเป็นเครื่องประดับน้ำ ถ้าผู้ปล่อยมีความรู้สึกว่า ๑ เรา เลี้ยงปลาให้ชีวิต นี่เราเป็นบุญ ประการที่ ๒ เวลาปล่อย ปล่อยต้องการให้ปลาเป็นอิสระภาพอยู่ในที่คับแคบย่อมไม่มีความสุข ถ้าอยู่ในที่กว้างจะมีความสุขมาก ถ้าเป็นอิสรภาพ หากินสบาย จะไปไหนมาไหนก็ไปได้ตามอัธยาศัย นี่เป็นบุญ การปล่อยปลาเขาถือว่าเป็นบุญมาก แต่ถ้าไปนึกว่าปลานี้จงเป็นเหยื่อของคนอย่างนี้บาป มันอยู่เจตนา เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระบรมราชินาถ ไม่คิดว่าเป็นอาหารของคนต้องการเพียงว่า อนุรักษ์ให้ปลามันมีอยู่ในแม่น้ำ แม่น้ำสายนี้เคยมีปลา แต่เวลานี้ไม่มีปลา ก็ปล่อยปลาลงไป ให้ปลาเป็นอิสรภาพ ในเมื่อเราทำบุญกับท่าน ปลาทั้งหลายเป็นอิสรภาพจากนรกฉันนั้น คือไม่ลงนรก ประการที่ ๓ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินาถสงเคราะห์คนทั่วประเทศ จะทรงมีความลำบากอย่างไรก็ตามทีเสด็จตามเสมอ ไปด้วยกันเสมอ ช่วยทุกอย่างให้คนทีอาชีพ คือช่วยอย่างถาวร

ให้คนมีอาชีพดีขึ้น ไม่ใช่ให้กินให้หมด อย่างนี้ คนทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือมีความสุขขึ้น ก็มีภาพหลายภาพที่เขาแสดงทางโทรทัศน์ ว่าเมื่อก่อนนี้มีความยากเข็ญใจ ไม่มีอะไรจะกิน แต่เวลานี้ ได้อาศัยพระมหาการุณาธิคุณของท่าน กระทั้งมีกินมีใช้ มีรายได้ปีละเป็นหมื่นๆ บาท เงินหมื่นบาท แม้จะไม่มากแต่ก็มากสำหรับคนจน คนที่ไม่เคยมี

รวมความว่า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ทำร่วมกับท่าน จะมีเงินมากหรือเงินน้อยก็ตามไม่สำคัญ หลายๆ คนรวมกัน ก็มากขึ้นเองจะเป็นเหตุให้มีบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น จะมีบารมีเต็มเร็วและสามารถจะไปนิพพานได้โดยง่ายตรงนี้สิบรรดาท่านพุทธบริษัท จับใจเหลือเกิน เพราะที่คนพูดนั้น ก็มองนิพพาน อยู่ใสแจ๋ว

เพราะพระนิพพาน เป็นแดนสุข เทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหมด ก็สนับสนุน ท่านสหัมบดีพรหมท่านเข้ามาใกล้ ท่านบอกว่าคุณลงไปบอกบุญเขาได้เลยนะ

การบอกบุญมี ๒ อย่าง คือ

๑. ให้เขาทำคนละเล็กละน้อยคิดเป็นเวลาสิ้นปีถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี จะให้ตัวแทนไปถวายพระบาทสมเด็จพระบรมราชินาถ องค์ละเท่าๆกัน จะเป็นเงินมากเงินน้อยก็เหมือนกัน เราเป็นคนจน เราไม่สามารถจะเงิน ๑๐ ล้าน หลายร้อยล้านมาได้ แต่ถ้าทุกคนร่วมกันก็สามารถจะเป็นเงินขึ้นมาได้ ถ้าใครเขาตั้งใจจะถวายด้วยตนเองด้วยกำลังศรัธาก็ค่อยไปคอยท่านที่บริเวณโบสถ์วัด พระแก้วเข้าไปที่นั้น พอท่านเสด็จเข้าไป ก็ชูมือ ไม่ต้องยกสูง ยกสตัง ยกแบ็งค์ ให้ท่านเห็น ท่านก็รับ ท่านไม่ถือพระองค์ ทั้ง ๒ องค์นี้กษัตริย์ผู้ทรงธรรม จริงๆ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ

ท่านว่า เออ ฤาษี ที่ท่านสหัมบดีพรหมแนะนำน่ะ ถูกต้องแล้วก็เป็นอัน ตัดสินใจว่า วันเฉลิมพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าหากมีโอกาส จะพึง มี ท่านจะโปรดจะให้ตัวแทนจัดเงินส่วนหนึ่งของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บริจาคมาทั้งหมด ไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินาถ ที่ใกล้ๆ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

หลังจากนั้นก็ทุกปี จะค่อยๆ รวมเงินกันเป็นเดือน ๆ เดือนหนึ่ง เข้าซอยสายลม จะส่งไปทางไปรษณีย์ มารวมกันได้เท่าไรประกาศ ให้ทราบทีหลัง แล้วตั้งตัวแทนไปถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้ใกล้นิพพานกันยิ่งขึ้น

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คำแนะนำนี้ เป็นคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เป็นคำแนะนำของท่านสหัมบดีพรหมด้วย ช่วยแนะนำให้พวกเรา มีบุญบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น มีบารมีเต็มหวังว่า คงไม่เป็นที่ขัดใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

เวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธ-ศาสนิกชน ผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน สวัสดี



ผู้ตั้งกระทู้ ธนา โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-03-06 21:41:58


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1534722)

โทษทีนะครับ เกิดความผิดพลาดในการโพส ตัวเล็กๆด้านบนๆคือข้อความซ้ำกันนะครับ โทษทีนะครับ อาจทำให้ปวดหัว ปวดตาหน่อย

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา วันที่ตอบ 2011-03-06 21:47:37


ความคิดเห็นที่ 2 (1534723)

นานๆผมโพสตั้งกระทู้ที มักจะโชว์ความสะเพร่าของตัวเอง ผิดพลาดประจำอย่างนี้แหละครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา วันที่ตอบ 2011-03-06 21:49:48


ความคิดเห็นที่ 3 (1534724)

ขอโมทนาบุญค่ะ

คุณธนา..ต้องเข้ามาเขียน

บ่อย ๆ

ขอบอก..ขอบอก 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-03-06 21:57:29


ความคิดเห็นที่ 4 (1534743)

อนุโมทนาค่ะคุณธนา แหม๊..ไอ้เราก็นั่งอ่านตัวหนังสือเล็กๆนั่นแหล่ะ..

กว่าจะรู้ตัวว่าเค้ามีตัวอักษรใหญ่ๆมาให้อ่านสบายๆก็ตอนใกล้จะจบแล้ว..

เฮ้อ..ชนิดาเอ๊ย..ไม่รู้จักเช็คให้ละเอียดซะก่อน..

 

ถึงแม้่ว่าอ.อุบลจะพูดเรื่องการทำบุญเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลอยู่บ่อยๆ

ซึ่งตัวเองก็คิดว่า..คงจะเป็นอานิสงค์ที่ยิ่งใหญ่พอสมควร แต่พอได้มา่อ่านเรื่องนี้แล้ว

ก็หูตาสว่างมากยิ่งๆขึ้นไป ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ที่มีเมตตาบอกเคล็ดลับในการทำบุญเพื่อให้เข้าใกล้พระนิพพานแก่ลูกหลาน

ได้น้อมนำไปปฏิบัติ..........................สาธุ สาธุ สาธุ..

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา วันที่ตอบ 2011-03-07 02:25:40


ความคิดเห็นที่ 5 (1534851)

เพราะเช่นนี้เอง คนที่ได้ร่วมบุญทุกบุญที่บ้านสวน จึงเกิดปาฏิหาริย์มากมาย

เพราะทุกบุญที่ท่านอ.แม่อุบลสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์

ท่านอ.แม่อุบลเน้นย้ำมาตลอด

ทำให้พวกเราลูกบ้านสวน ที่มีโอกาสร่วมบุญถึงจะทำน้อย แต่ได้มาก

ทั้งที่ตัวเองยังมีบาปมากมาย

ลูกหลานขอกราบขอบคุณในเมตตาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วยเจ้าค่ะ

       ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนาที่นำเรื่องราวดีๆมาแบ่งปัน สาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น เพ็ญศิริ วันที่ตอบ 2011-03-07 19:13:02


ความคิดเห็นที่ 6 (1534879)

ขออนุโมทนาบุญค่ะ

ถ้ามีเคล็ดลับดี ๆ ก็อย่าลืมนำมาฝากอีกน่ะค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ณี วันที่ตอบ 2011-03-07 22:25:35


ความคิดเห็นที่ 7 (1535345)

 

 

ขออนุโมทนาในบุญธรรมทาน ด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์วิญาณ์ (tata_su22-at-windowslive-dot-com)วันที่ตอบ 2011-03-10 18:51:50


ความคิดเห็นที่ 8 (1535431)

 

ขออนุญาต ท่านอาจารย์แม่อุบล

และ คุณธนา คัดลอกเก็บไว้อ่านนะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์วิญาณ์ (tata_su22-at-windowslive-dot-com)วันที่ตอบ 2011-03-11 11:16:47


ความคิดเห็นที่ 9 (1535543)

ขออนุโมทนาด้วยนะค่ะ

คุณธนา กับเรื่องเล่าและดีใจด้วยค่ะ

ที่นั่งขัดสมาธิได้ดีปกติแล้ว (ใช่ธนาเดียวกันหรือเปล่าค่ะ)

เพิ่งจะดูรายการย้อนหลังของคุณธนาเมื่อวานเองค่ะ อนุโมทนาบุญ

ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ๊กตาฝน (tee-ged-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-03-12 02:08:20


ความคิดเห็นที่ 10 (1535576)

ขออนุโมทนา สาธุ กับธรรมทานของคุณธนา ด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นฤชล วันที่ตอบ 2011-03-12 13:26:57


ความคิดเห็นที่ 11 (1535680)

ขออนุโมทนาบุญ กับ คุณธนา ค่ะ

ขอให้ถึงนิพพาน ในชาตินี้นะคะ สาธุ สาธุ สาธุ

เป็นบุญเหลือเกินที่ได้อ่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นรินทร วันที่ตอบ 2011-03-12 19:17:22


ความคิดเห็นที่ 12 (1537275)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนา  อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจขึ้นมาเลยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นิภา มุกดาม่วง วันที่ตอบ 2011-03-23 21:13:03


ความคิดเห็นที่ 13 (1537296)

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับคุณธนา และทุกๆท่าน สาธุ สาธุ : )

ผู้แสดงความคิดเห็น กันต์ วันที่ตอบ 2011-03-24 02:21:56


ความคิดเห็นที่ 14 (1558805)

โมทนาบุญกับคุรธนาอ่านแล้วคิดตามทุกสิ่งเกิดตั้งอยู่ได้ไม่นานก็ต้องสลายไปในที่สุด

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-19 11:48:31


ความคิดเห็นที่ 15 (1564249)

ขออนุโมทนากับคุณธนาด้วยนะค่ะ

สาธุ  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รุ่งสุภารัตน์ รุ่งเรือง (parungrueang-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 22:22:12


ความคิดเห็นที่ 16 (1564253)

อนุโมทนาสาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกรียงศักดิ์ สกุลคลานุวัฒน์(เบน) (koy8870-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 22:32:55


ความคิดเห็นที่ 17 (1564264)

 โมทนาครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 00:02:53


ความคิดเห็นที่ 18 (1576263)

คุณธนากระทู้ ค่าย 10  ของพี่ค้างอยู่ที่ชื่อบัวลอยลูกทำให้แล้วปรากฎว่าทำไม่ได้พี่อยากทราบว่าค่าย 10 พี่จะได้ไปหรือเปล่าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-04 13:17:38


ความคิดเห็นที่ 19 (1576468)

 

 

 

 ณัชชาอนุโมทนาบุญกับธรรมทานในครั้งนี้กับคุณธนาและทุกๆท่านด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ณัชชา พรหมทองแก้้ว (phueng9574-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-05 08:22:13


ความคิดเห็นที่ 20 (1578308)

ขออนุโมทนาสาธุกับคุณธนาค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อร อุ่นศรี (aon_aunsri-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-13 20:36:37


ความคิดเห็นที่ 21 (1578696)

สาธุค่ะ ได้ความรู้มากมาย และขออนุญาติ post ต่อให้คนที่คิดผิดได้กลับใจค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วิวรร จงธสุขศิริ (raweewanc-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-17 15:04:30



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.