ReadyPlanet.com


องค์ความรู้การเปลี่ยนขั้วโลกใหม่จากพระอาจารย์รัตน์..


องค์ความรู้ฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ จากพระอาจารย์รัตน์
นำมาลงในพลังจิตโดยฟอล์คแมน

เหตุ : ทุกรอบ 13,000 ปี สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก
และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน

ผล : ในรอบนี้ โลก และสุริยจักรวาล จะเปลี่ยนเข้าสู่แรงดึงดูดของ
กาแลคซี่ไตรแองกุลัมทางทิศตะวันออก

องค์ ความรู้ฯ ที่ได้นำเสนอแต่โดยย่อดังต่อไปนี้ เป็นองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ท่านได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา 2 ครั้ง ครั้งแรก เป็นการลาบวชขณะยังรับราชการครู เป็นเวลา 1 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2515 หลังจากลาสิกขาบทแล้ว ได้กลับเข้ารับราชการต่ออีกประมาณ 2 ปี และ ในปี พ.ศ. 2517 ได้ลาออกจากราชการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ตราบจนปัจจุบัน

พระ อาจารย์รัตน์ รตนญาโณ สอนหลักของวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเคลื่อนที่ของจิต ด้วยอุบายหลัก 2 วิธี คือ การเจริญสติ เพื่อฝึกจิตให้เห็น การเกิด – ดับ ของการกระทบที่เกิดขึ้น เป็นปัจจุบันขณะ และ อุบายของการหมุนธรรมจักร เพื่อฝึกจิตไม่ให้ติดในการกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งสองส่วน คือ ที่อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน อีกทั้งยังได้ประยุกต์หลักการเคลื่อนที่ของจิต มาเป็นการเคลื่อนที่ของพลังจิต พลังงาน โดยใช้ศาสตร์พีระมิดของชาวแอตแลนตีส เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้าง ฟื้นฟู บำบัด รักษาร่างกายด้วยตนเอง

องค์ความรู้ฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ เป็นองค์ความรู้ฯ ที่ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” ฉะนั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล

พระ อาจารย์รัตน์ รตนญาโณ รู้ถึงเหตุและผล ของแต่ละปรากฏการณ์ หรือ ความเชื่อมโยงของแต่ละเหตุการณ์ได้ด้วยการใช้ แรงสืบต่อ หรือ แรงสันตติ สาวหาเหตุและผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย ของสรรพสัตว์ ปรากฏการณ์ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ จักรวาล ฯลฯ ให้เห็นความจริงที่ผูกโยงเป็นเงื่อนไขว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ได้เกิดมาจากการทำงานของสมองและใจ จึงไม่ใช่การพยากรณ์หรือทำนาย แต่เป็นการบอกว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว อะไรจะเกิดตามมาในลำดับต่อไป ตามเงื่อนไขที่ผูกโยงไว้อย่างเป็นเหตุและผล ต่อกัน

เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเราในอนาคตนั้น แท้ที่จริงแล้ว กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะโลกของเราเคยเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ในรอบเวลาประมาณ 26,000 ปี ตามความรู้ที่ได้จากสโตนเฮนจ์ (Stone Henge) ซึ่งบ่งชี้ว่า ทุกๆ 13,000 ปี จะมีการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก สุริยจักรวาล เนื่องจากกาแลคซี่ที่มีอิทธิพลต่อสุริยจักรวาลมีด้วยกันถึง 3 กาแลคซี่ ได้แก่

1. กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy)มีศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศเหนือ ในปัจจุบัน โลก สุริยจักรวาลตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้

2. กาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มี ศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศตะวันออก มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก ในอนาคตโลก สุริยจักรวาล จะถูกดึงเข้าสู่แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้ ตามวาระการวนครบรอบอีกครั้ง

3. กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่มีขนาดใหญ่มาก แผ่อิทธิพลควบคุมทั้ง 2 กาแลคซี่ ไม่ส่งผลกับโลกโดยตรง

ดัง นั้น จึงพอสรุปได้ว่า ใน 1 รอบใหญ่ คือประมาณ 26,000 ปี ตามปฏิทินดาราศาสตร์ที่สโตนเฮนจ์ โลก สุริยจักรวาล จะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และสลับไปอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีก 13,000 ปี

รายละเอียดของสโตนเฮนจ์ จะกล่าวถึงในภายหลัง

การ ประสบกับภัยพิบัติอย่างรุนแรง ถึงกับมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก เช่น อาจจะเปลี่ยนจากภูเขาไปเป็นมหาสมุทร จากป่าฝนไปเป็นทะเลทราย จากเขตร้อนกลายเป็นเขตหนาว ฯลฯ นอกเหนือจากเป็นการทำงานตามวาระของธรรมชาติแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่ส่งผลร่วมอย่างร้ายแรง คือ การกระทำของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย

เมื่อประมาณ 26,000 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงวาระที่โลก สุริยจักรวาล อยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่สมบูรณ์ไปด้วยพลังงานที่ดี เช่น กระแสลมปราณ และ มโนธาตุ ส่งผลให้มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เจริญสูงสุดในทุกด้าน แต่จุดเสื่อมย่อมเพาะเชื้อก่อกำเนิดมาจากจุดสูงสุดเสมอ เมื่อรู้มาก เก่งมาก จึงนำไปสู่การผลิตอาวุธสงครามที่ร้ายแรง เรียกว่า “อาวุธเส้นแสง” เมื่อ อาวุธเส้นแสง ถูกนำมาใช้ในสงคราม สิ่งที่เกิดตามมา คือ เกิดแรงอัดกระแทกอย่างมหาศาลลงสู่พื้นดิน พร้อมๆ กับการโคจรมาเรียงตัวเป็นเส้นตรงของ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ ทางช้างเผือก และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

ด้วยขนาดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกที่ใหญ่กว่า จึงทำให้แกนขั้วโลกจากทิศตะวันออก พลิกเปลี่ยนชี้ไปทางทิศเหนือ มหาอาณาจักรแอตแลนตีส จึงจมลง เปลี่ยนสภาพจากแผ่นดิน กลายเป็นมหาสมุทรในชั่วข้ามคืน เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอย่างมโหฬารไปทั่วทุกส่วนของ โลก ตามอัตราส่วนของการมีพื้นน้ำ 3 ส่วน และพื้นดิน 1 ส่วน มนุษย์เสียชีวิตเหลือคณานับ เป็นการสิ้นสุดของยุคทองแห่งแอตแลนตีส

ชาว แอตแลนตีสกลุ่มหนึ่ง มี ผู้นำเป็นนักบวชที่มีพลังจิตสูง ได้ลงเรือเดินทางออกจาก มหาอาณาจักร ก่อนจะเกิดเหตุภัยพิบัติล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ขึ้นฝั่งในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ การถ่ายทอดอารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง สัญลักษณ์ สิ่งแรกที่ยิ่งใหญ่แสนมหัศจรรย์ที่นักบวชได้สร้างขึ้นด้วยพลังจิต และอาศัยความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร คือการสร้างสฟิงซ์ (Sphinx) ด้วย เทคนิคการใช้พลังจิต เปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ เป็นรูปสิงโตหมอบ เหยียดขาหน้าทั้งคู่ไปด้านหน้า ลำตัวทอดยาวไปตามแนวทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เพื่อเป็นสิ่งบ่งบอกว่า ในอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงวาระครบ 13,000 ปีอีกครั้ง ณ ที่ตั้งสฟิงซ์แห่งนี้ จะกลายเป็นตำแหน่งของขั้วโลกใหม่ และ ขั้วโลกจะชี้ไปทางทิศตะวันออก อยู่ในอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีกครั้ง นานประมาณ 13,000 ปี

ชาวแอตแลนตีส มีความชำนาญในการใช้พลังพีระมิดอย่างหลากหลาย และได้ถ่ายทอดสู่ชาวอียิปต์จากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งอีกหลายพันปีต่อมา จึงได้มีมหาพีระมิดเกิดขึ้น

เชื่อสายแอตแลนตีส รุ่นต่อๆมา มีการย้ายถิ่นฐาน สร้างเมือง สร้างประเทศใหม่ อารยธรรมแอตแลนตีสจึงกระจายออกไปหลายส่วนของโลก ที่รู้จักกันดี คือ ชนเผ่ามายา หรือ มายัน ผลงานชิ้นสำคัญของพวกเขา คือการจัดวางเสาหิน แท่งหิน ขนาดมหึมาเป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง เรียกว่า สโตนเฮนจ์ (Stone Henge) อยู่ที่เมือง ซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีเทคนิคการสร้างเหมือนกับการสร้างสฟิงซ์ คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสงก่อน และเมื่อนำไปจัดวางได้เรียบร้อยแล้ว จึงเปลี่ยนพลังงานแสงคืนกลับเป็นวัตถุอีกครั้ง

สโตนเฮนจ์ เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ ใช้หลักคำนวณจากการโคจรของกาแลคซี่ ทั้ง 3 ใน 1 รอบ คือ 26,000 ปี โดยสามารถถอดรหัสได้ว่าในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปี จะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

ฉะนั้น การสร้างสโตนเฮนจ์ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระของการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดอีกครั้ง

การ เกิดภัยพิบัติในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นความสัมพันธ์ เชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันและอนาคต ระหว่างกาแลคซี่ทั้ง 3 กับสฟิงซ์ สโตนเฮนจ์ และแกนพลังงานโลก โดยมีทั้งมนุษย์และธรรมชาติเป็นพลังงานขับเคลื่อน

แกนพลังงานโลก เป็นแกนพลังงานที่ทอดยาวควบคู่ไปกับแกนสสาร ที่ปัจจุบันชี้ไปทางขั้วโลกเหนือและใต้ แกนพลังงานประกอบด้วยพลังงานสำคัญ 3 อย่าง

1. พลังงานแม่เหล็กโลก หรือ พลังงานแรงดึงดูดจากศูนย์กลางกาแลคซี่ทางช้างเผือก เป็นแรงร้อยรัดที่ดึงโลกให้อยู่กับสุริยจักรวาล และกาแลคซี่ ตามลำดับ เป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติที่ร้อนและหนัก มีสีเข้ม คล้ายสีเทา และอยู่นอกสุดของแกนพลังงาน

2. พลังงานกระแสลมปราณ มีสีออกเหลือง เป็น พลังงานที่โลกเราได้รับมาจากดวงอาทิตย์ เป็นพลังงานที่ดี มีประโยชน์ เป็นเสมือนภูมิต้านทานร่างกาย ที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน โดยลมหายใจเข้า

3. พลังงานมโนธาตุ มีสีออกขาว อยู่ชั้นในสุดของแกนพลังงาน เป็นพลังงานดี ช่วยเสริมจิตและใจให้มีคุณธรรม

เทคโนโลยี ที่เกิดจากการผลิตอุตสาหกรรมหนัก ทำให้เกิดสารตกค้าง CFC หรือ สาร คลอโรฟลูออโรคาร์บอน และยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถทำลายสาร CFC นี้ได้สำเร็จ

สาร CFC มีคุณสมบัติ “เบา กว่าธาตุอื่นๆทุกชนิด” จึงสามารถแทรกเข้าไปทำลายแกนพลังงานโลก เริ่มขบวนการทำลายมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2540-2544 จนกระทั่งแกนพลังงานโลกตัน ทำให้แรงร้อยรัด หรือพลังงานแม่เหล็กโลก ที่ส่งออกมาจากกาแลคซี่ทุกวินาที ไม่สามารถไหลทะลุผ่านขั้วโลกเหนือ-ใต้ได้ พลังงานจึงแผ่กระจายไปทั่วทุกส่วนของโลก ทั้งพื้นน้ำ มหาสมุทร พื้นแผ่นดิน แผ่นหินเปลือกโลก ร่างกายมนุษย์ สัตว์ พืช ฯลฯ

ความร้อนและหนัก จึงฝังตัวติดแน่น สะสมเป็นเชื้อร้ายแฝงอยู่ และเพิ่มอันตรายมากทวีคูณ เกินกว่าจะพรรณนาได้ กล่าวได้เพียงว่า พลังงานแม่เหล็กโลกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก คือพลังงานสำคัญที่ทำลายมนุษย์ และเปลี่ยนโลกใบนี้ในอนาคต

มนุษย์คือผู้ปล่อยยักษ์ใจร้ายตนนี้ออกมา เอง ใช่หรือไม่ และหากสมมุติว่า จะเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ไม่เกิดขึ้น มนุษย์ สัตว์ พืช ยังคงถูกทำลายอย่างรุนแรงด้วยพลังงานแม่เหล็กโลก และอาจสิ้นชีวิตลงทั้งหมดภายในไม่เกิน 10-15 ปี

พลังงานกระแสลมปราณ และ พลังมโนธาตุ ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้ลอยสูงขึ้นๆ ไปอยู่ในบรรยากาศชั้นบนสูงเกินกว่ามนุษย์จะนำเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยลมหายใจ เข้า องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้นำพลังพีระมิดมาใช้อีกครั้ง

ปัจจัยสำคัญ และ เป็นความเชื่อมโยงอย่างแสนมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ของปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ คือการปรากฏของดาวนิบิรุ (Nibiru) เป็นดาวมีสีออกแดง ลักษณะกลมรี คล้ายลูกรักบี้ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี ประมาณเกือบ 2 เท่า เป็นดาวที่อยู่นอกระบบสุริยจักรวาล มีวงโคจรผ่านทิศตะวันออก

- ตะวันตก และจะมาเยือน สุริยจักรวาลในทุกๆ 13,000 ปี และ ในรอบนี้
ดาว นิบิรุ จะมาเรียงตัวอยู่ที่ลำดับหัวแถว ใกล้ๆกับโลก เป็นการเพิ่มแรงดึงดูดให้กับ กาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก จนสามารถดันขั้วโลกเหนือไปเป็นขั้วโลกตะวันออก

เมื่อรอบ 13,000 ปีที่ผ่านมา ดาวนิบิรุ โคจรมาและได้ไปเรียงตัวอยู่ด้านปลายแถวของ สุริยจักรวาล

เมื่อ ใกล้ช่วงเวลาของการเกิดภัยพิบัติ เปลี่ยนขั้วโลกใหม่ ดาวนิบิรุ ( ซึ่งขณะนี้ ดาวนิบิรุ ได้เข้ามาเยือนสุริยจักรวาลแล้ว แต่ยังอยู่ไกลมาก ) จะมาอวดสายตาแก่ชาวโลกทางด้านทิศตะวันออก มองเห็นได้อย่างชัดเจน อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ เป็นดาวสีแดง มองแล้วเหมือนกับว่ามี ดวงอาทิตย์ขึ้น 2 ดวง หากมนุษย์มองดาวดวงนี้แล้วจะ รู้สึกจิตใจหดหู่ เศร้าหมอง ดาวนิบิรุจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดาวมฤตยู (แต่ไม่ได้หมายความถึงดาวพลูโตเลย) และ มาตรวัดความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกจะอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่คั่นกลาง เป็นช่องว่าง เป็นเขตปลอดพลังงาน ทั้งของกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม หาก เมื่อใดพลังงานแม่เหล็กโลก หนาแน่นจนเต็มพิกัด และไม่สามารถทะลุผ่านไปจนสุดขอบทางทิศตะวันออกได้ พลังงานแม่เหล็กโลกจะรีดเป็นเส้นตรง เปลี่ยนเป็นพุ่งทะลุขึ้นไปด้านบน ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปะทะชนกับพลังงานของกาแลคซี่อันโดรเมดา ที่มีขนาดใหญ่กว่าหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัดกลับเข้าสู่โลก สุริยจักรวาลอีกครั้ง เกิดปรากฏการณ์ “แสงวาบ” ที่ยิ่งใหญ่ เห็นได้ทั่วจักรวาล

การสั่นไหวอย่างรุนแรง การเคลื่อนที่สับเปลี่ยนแผ่นดิน แผ่นน้ำ เกิดลมพายุ น้ำท่วม การหล่นกระจายของแผ่นฝ้าน้ำแข็งเพดานโลกที่เกิดจากการสะสมของควันน้ำมัน ฯลฯ กระบวน การเปลี่ยนขั้วโลกใหม่นี้ใช้เวลา ประมาณ 3 วัน 3 คืน

มนุษย์ ประกอบด้วย จิตและกาย หากยังมีความคิดว่า “ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ควรรักษาไว้” จึงควรแสวงหาทางรอด ตามวิถีความเชื่อของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกจิต ควรเข้าใจให้ชัดเจนว่า พลังงานแม่เหล็กโลกที่ไม่ได้อยู่ในแกนพลังงานโลก เป็นพลังงานกั้นบัง ฉุดรั้ง เป็นเสมือน ตัณหาที่ฉาบทาโลก ส่งผลให้การฝึกจิต ทำได้ยากยิ่งขึ้น หากโลกเราได้แกนพลังงานใหม่เปลี่ยนเป็นขั้วโลกตะวันออกเป็นกาแลคซี่ใหม่ที่ สมบูรณ์ด้วยพลังงานกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ ซึ่งเหมาะแก่การฝึกจิตเป็นอย่างยิ่ง

ในที่สุด คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ก็สำเร็จตามจิตประสงค์ มหาอาณาจักรแอตแลนตีสที่เคยจมหายไปร่วม 13,000 ปี จะได้มีโอกาสโผล่ขึ้นมาอวดโฉมอีกครั้ง เป็นการปิดฉาก บทบาทของ สฟิงซ์ และสโตนเฮนจ์ อย่างถาวร

หากท่านใดยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตัดใจไปจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไม่ได้ โปรดอดใจรอไปก่อน อีกเพียง 13,000 ปี เท่านั้น

สิ่ง เตือนใจ อายุขัยของมนุษย์ สัตว์ นั้นแสนจะสั้น มีอายุได้อย่างมากไม่เกิน 100 ปี หากยังดับกิเลสได้ไม่หมดสิ้น ย่อมไปจุติ เวียนว่ายต่างภพ ต่างภูมิ ตามผลของการกระทำที่เคยสร้างไว้ และถ้าหากไม่เคยฝึกจิต คงไม่สามารถรู้ถึงเหตุและผล ของการตกอยู่ในสังสารวัฏ และการวนรอบของปรากฏการณ์ทุกอย่างได้ จึงเชื่อเฉพาะสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจและสมองเท่านั้น เพราะ “จิต” ที่ยังไม่ “หลุดพ้น” ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจ การบงการของ “ใจ” อย่างถอนไม่ขึ้น

เรียบเรียงโดย จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ
1 ธันวาคม 2553

ที่มาของข้อมูล

http://ufokaokala.com/index.php?topic=39.405



ผู้ตั้งกระทู้ ชนิดา โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-03-15 04:24:02


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1535995)

ขออนุโมทนาบุญกับพระอาจารย์รัตน์และพี่ชนิดา ศิริอ่านแล้วก็เข้าใจบางส่วนด้วยศิริมีความรู้ทางนี้น้อยนิดค่ะ ศิริจะตั้งใจฝึกสมาธิเพื่อที่จะได้เข้าถึงนิพพานค่ะขออาสาอีก1คนเพื่อกอบกู้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรย์ และขอขอบคุณพระพุทธองค์,หลวงพ่อฤาษีลิงดำ,ท่านท้าวเวสสุวรรณ,ท่านเทพเทวดานางฟ้าทุกพระองค์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์แห่งบ้านสวนพีระมิดท่านอาจารย์อุบลท่านอาจารย์มงคลค่ะ   สาธุ สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ศิริ สุดใจ วันที่ตอบ 2011-03-15 09:08:43


ความคิดเห็นที่ 2 (1536025)

ข่าวสารอัพเดทจากท่านพระอาจารย์รัตน์ ครับ

การเกิดปาฏิหาริย์ภาพวงกลมใหญ่สามวงในรูปเหตุการณ์ Crop circle ที่อินโดนีเซีย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2554 ได้กลายเป็นสิ่งตอกย้ำถึงวงโคจรสามแกแลคซี่
ที่ปรากฏอยู่ในภาพปฏิทินมายัน เป็นไปตามภาพเหตุการณ์ในญานทัศนะของ
พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่ได้มีการนำเสนอไปก่อนหน้านี้ปีที่แล้ว
เมื่อ 19 ธันวาคม 2553

ในรายการเจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤตให้เป็นทางรอด


โดยส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ได้นำเสนอไว้คือ ชาวแอตแลนติสที่ยังหลงเหลืออยู่จะได้เปิด
รหัสลับเท้าสฟิงซ์ที่กีซ่าประเทศอียิปต์ในวันที่ 1 มกราคม 2554 เวลา 19.00 น เพื่อเป็น
รางวัลของมนุษย์โลก ทำให้โลกของเรามีแกนหมุนพลังงานสำหรับนำของเสียที่อยู่ใน
โลกลงใต้เท้าสฟิงซ์และหมุนลงใต้ดิน เพื่อไปเชื่อมกับแกนจักรวาลที่ผ่านโลก
แถวสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

สิ่งที่มนุษย์ควรทำหลัง 1 มกราคม 2554 ให้ช่วยกันนึกไปทางทิศตะวันออกตรงเท้าสฟิงซ์
ที่ประเทศอียิปต์ จะทำให้เกิดแรงหมุน ทำให้สุขภาพร่างกายของเราที่ถูกพลังเส้นแรงแม่เหล็ก ซึมผ่านและค้างไว้ในเซลล์ถูกผลักออกมา จะทำให้ร่างกายเราสุขภาพดีขึ้น และเป็นประโยชน์ ต่อสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติอีกด้วย

แต่ผลปรากฏจากแรงหมุนที่เท้าสฟิงซ์หลังวันที่ 8 มกราคม 2554 เป็นต้นมา แรงหมุนได้หยุดลง เนื่องจากบรรดาของเสียและพลังแม่เหล็กไหลลงไปเต็มเกิดการอุดตันบริเวณที่เชื่อมกับแกนจักรวาลใต้เท้าสฟิงซ์

จนกระทั่งต่อมาจากผลการหยั่งรู้โดยญาณทัศนะของพระอาจารย์รัตน์ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2554 ณ สวนบูรณรักษ์ธรรม อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ ทำให้ทราบว่าแกนแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนย้ายมาอยู่ที่ อินโดนีเซีย บริเวณพื้นที่ตรงจุดที่เกิดปาฏิหาริย์ วงกลมใหญ่ และ รูปทรงเรขาคณิต ถูกสร้างขึ้นโดย UFO ที่นาข้าวใน หมูบ้านเล็กๆ ชื่อ Krasakan ใน Sleman, Yogyakarta อินโดนีเซีย



โดยก่อนเกิดเหตุการณ์ crop circle ที่อินโดนีเซีย พระอาจารณ์รัตน์ ได้ทำนายเหตุการณ์ไว้เมื่อ 10 มกราคม 2554 ด้วยลายมือบนซองจดหมายว่าจะเกิดการเคลื่อนระบบวงโคจรสามแกแลคซี่ .....ขึ้นใหม่ดังภาพ แต่ไม่ทราบเป็นพื้นที่บริเวณใด จนมีปรากฏการณ์ Crop circle เกิดขึ้นที่อินโดนีเซียเมื่อ วันอาทิตย์ 22 มกราคม 2554 ดังกล่าว

 

ขออนุญาตเอาข้อมูลจากพระอาจารย์รัตน์มาบอกเพื่อนๆ ให้ทราบ
(28 มกราคม 2011)

" ผลจากการที่เส้นแรงแม่เหล็กสะท้อนกลับพื้นโลก เมื่ออัดแน่นเข้า มันจะลอยตัวรวมกัน ติดชั้นบรยากาศชั้นล่าง(ต่ำกว่าระดับเพดานบิน)มากขึ้น มันจะกดเมฆให้รวมตัวกันเป็นรูปลักษณะต่างๆ เมฆจะตำ่ลงเรื่อยๆ มีอันตรายมาก เส้น แรงแม่เหล็กจะกดลงทุกพื้นที่ อัดเข้าไปในดิน จะทำให้ตรงไหนมีรู เช่น ที่อินโดนีเซีย หรือรูที่เกิดภูเขาไฟอยู่ก่อนแล้ว จะมีลาวาพ่นออกมา เหมือนกับเรารีดยาสีฟันออกจากหลอด

เมฆเหล่านี้ ถ้าลอยต่ำลงมามากเข้า จะละลายกลายเป็นฝนที่ตกลงมามากเหมือน ฟ้ารั่วทีเดียว มีอันตรายมากและหลังจากนั้นจะเกิดภาวะแห้งแล้งตามมา "

ที่มา ขอบคุณ คุณ Falkman : www.palungjit.com

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา วันที่ตอบ 2011-03-15 12:14:58


ความคิดเห็นที่ 3 (1536166)

จริงๆได้ดูเทป สัมนาเรื่องภัยพิบัติ ที่คุณมาร์คนำมาให้ได้ชมกัน

แต่ได้ดูเฉพาะคลิปที่พระอาจารย์รัตน์ได้กรุณาอธิบายถึงความหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ

ที่ปรากฏใน ปฏิทินมายัน รวมถึงท่านพระอาจารย์ก็ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับระบบจักรวาลอีกด้วย ..

 

โอ้ววว..เราฟังแล้ว"ทึ่ง"มากๆ เพราะท่านรู้ทุกอย่าง จากการปฏิบัติทางจิต

มิใช่เรียนรู้ ทางโลก  พระอาจารย์อธิบาย ให้ฟังดูง่ายๆ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ยาก ที่จะเข้าใจ..

และพอได้มาอ่านบทความข้างต้นแล้ว ก็เข้าใจได้มากยิ่งๆขึ้น...

 

และพระอาจารย์แนะนำให้พวกเราดื่มน้ำเยอะๆ จากที่เคยดื่มปรกติ

เพื่อระบบต่างๆในร่างกายจะได้ไม่เสียสมดุล และควรจะหายใจให้ช้าและลึกให้ถึงปอด

เพราะอากาศในชั้นบรรยากาศเบาบางลงเยอะ คนถึงได้หงุดหงิด จิตตก ได้ง่ายขึ้น

ในช่วงเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ เพราะร่างกายของคนทั่วๆไปจะยังรับไม่ได้

แต่ก็อยู่ในช่วงปรับสภาพอยู่นั่นเอง...คนที่จิตใจดีมีคุณธรรม หรือจิตอยู่ในคลื่นความถี่สูง

จะทำให้ร่างกายปรับสภาพได้เร็วขึ้น...

 

อนุโมทนากับข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณธนาด้วยนะคะ

แปลกดีเนอะ ที่พวกเราหลายๆคน มักจะสนใจ หรือ

มีโอกาสได้อ่านข้อมูล ที่คล้ายๆกันมาแล้วทั้งนั้นเลย...

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา วันที่ตอบ 2011-03-16 05:27:36


ความคิดเห็นที่ 4 (1536463)

อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ (^/^) สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ... วันที่ตอบ 2011-03-17 22:04:35


ความคิดเห็นที่ 5 (1536473)

ขออนุโมทนา

ด้วยนะค่ะพี่ชนิดา

และคุณธนา  สาธุ สาธุ สาธุ

และขอกราบอนุโทนากับ

พระอาจารย์รัตน์ และดร.อาจอง

ที่ท่านได้เมตตาบอกเหตุการณ์ต่างๆ

ให้ได้ทราบกัน สาธุ สาธุ สาธุ...................

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ๊กตาฝน (tee-ged-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-03-18 00:31:17


ความคิดเห็นที่ 6 (1537514)

สาธุ สาธุ

ยิ่งเข้ามาอ่าน ก็เหมือนตัวเองเปิดมิติใหม่ของชีวิต

ขอบคุณธรรมทานที่น่าสนใจทั้งหลายนะคะ

อนุโมทนาบุญค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พิชญ์นันท์ สุขวัจนี วันที่ตอบ 2011-03-25 21:23:39


ความคิดเห็นที่ 7 (1537521)

ขออนุญาตตั้งคำถามด้วยความไม่รู้นะคะ เรารณรงค์ให้คนตั้งมั่นให้คนครองตนอยู่ในความดีไม่ดีกว่าเหรอ ?? เพราะอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้เพื่อนๆต่างวิตกกังวลมากเรื่องภัยพิบัติพวกนี้ เพราะมีแต่คนเผยแพร่เรื่องภัยพิบัติ คำถามก็คือพวกเราลืมสาระสำคัญของความจริงไปรึเปล่า ถ้าเราทุกคนอยู่ภายใต้กฎของแรงดึงดูด ทำไมพวกเราไม่ช่วยกันดึงดูดสิ่งดีๆหล่ะคะ ?? พลังงานดีๆจะได้เกิด ไม่ได้ลบหลู่ในความปรีชาสามารถของพระอาจารย์นะคะ เราชื่นชมมากค่ะ แต่แค่มองว่าไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ก้ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้วกว่า 2500 ปี เพียงแต่ท่านไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาแบบนี้ได้เท่านั้นเองเนื่องด้วยเรื่องของยุคสมัย ท่านได้ตรัสว่า "สิ่งใดที่เรานำจิตไปจดจ่อ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง" ดังนั้นถ้าอยากให้เกิดภัยพิบัติขึ้น ก็เผยแพร่ไปเรื่อยๆเลยค่ะ คนจะได้คิดแบบนั้นทุกคน หมาจิตด้านลบใจได้เกิดขึ้น โลกจะได้แตกๆไปวันพรุ่งนี้รืนนี้เลยก็ดี ^^

ผู้แสดงความคิดเห็น สาวก วันที่ตอบ 2011-03-25 22:30:24


ความคิดเห็นที่ 8 (1537529)

ดังนั้นถ้าอยากให้เกิดภัยพิบัติขึ้น ก็เผยแพร่ไปเรื่อยๆเลยค่ะ คนจะได้คิดแบบนั้นทุกคน หมาจิตด้านลบใจได้เกิดขึ้น โลกจะได้แตกๆไปวันพรุ่งนี้รืนนี้เลยก็ดี ^^

 

เรียนคุณสาวก

คาดว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดภัยพิบัติขึ้นหรอกนะคะ

แต่สิ่งที่พวกเราทุกคนพยายามทำอยู่

คือการเตือนภัย ให้คนที่ยังประมาท ได้รู้ตื่นกับความจริงที่เราจะต้องเผชิญ

เพื่อให้เกิดสติ ตั้งรับกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น

ได้มีโอกาสเตรียมตัว เตรียมใจ เมื่อถึงวันจริงจะได้ไม่สติแตก

ที่สำคัญจะได้ใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่า เร่งสร้างความดีให้ได้มากที่สุด

เพราะความตายเป็นสิ่งไม่แน่นอน เมื่อรู้ว่าอาจจะตายเราจะได้ไม่เสียเวลาไปทำชั่ว

ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่คุณบอกมาว่าเราควรรณรงค์ให้คนตั้งมั่นในความดี เพื่อให้เกิดพลังบวก

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร วันที่ตอบ 2011-03-26 01:57:36


ความคิดเห็นที่ 9 (1537543)

 

"สิ่งใดที่เรานำจิตไปจดจ่อ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง"

อยากถูกหวย  ไม่เห็นถูกเลย

เรียนคุณสาวก

จากการนำเสนอ เรื่องราว ภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่ต้องการ

ให้จิตตก  หรือ กลัวกับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง

แต่เป็นการเตือน เพื่อ  หาทางรอด

ขอให้ คุณสาวก ไปอ่านในกระทู้อื่น ๆ บ้าง

เพื่อทำความเข้าใจ

ขอบคุณค่ะ...ในเจตนา

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-03-26 09:10:44


ความคิดเห็นที่ 10 (1537577)

 

  เห็นด้วยกับคุณแหวนและคุณแมวเป็นอย่างยิ่งค่ะ 

  อยากให้คนใด้ฉุกคิด หันมาสร้างความดี ละโลบ

  โกรธ   หลง  และมีสติตั้งรับอย่างน้อยถ้าเกิดขึ้นจริง

  จะใด้ไม่ช๊อก  และตอนนี้ก็บอกลูกหลานที่บ้าน

  ให้เขาตระหนัก อ่านเวปบ้านสวนให้เขาฟัง

  อ่านธรรมะของหลวงพ่อให้ฟังเขาก็สนใจขึ้น

  เขาต้องรู้สึกอะไรเกี่ยวกับบุญกุศลบ้างแหละ

  ไม่งั้นเขาคงไม่บอกว่า แม่..ครั้งหน้าจะไปบริจากเลือดอีกเมื่อไหร่

  บอกด้วยนะ  จะไปด้วย  แคนี้เราก็ชื่นใจละ

  และหลังจากคุยเรื่องธรรมะต่างๆของหลวงพ่อ 

  และได้ตอบคำถามมากมายในสิ่งที่เขาสงสัย

  เราก็ได้ถามคำถาม ที่สงสัยกับลูกไปบ้างว่า

  เรียนจบแล้วจะบวชเลยไม๊ เขายื่นมือมาให้จับ..

  พยักหน้ารับ และพูดว่าสัญญา..ทำให้คนเป็นแม่อย่างเราปลื้มมาก....

  เขาไม่เคยเป็นอย่างงี้มาก่อน  แสดงว่าธรรมะได้แทรกซึมใจเขาบ้างแล้ว

 แต่....จะทันหรือเปล่าหนอ....

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช พงษ์ดี วันที่ตอบ 2011-03-26 20:05:42


ความคิดเห็นที่ 11 (1537587)

เรียนจบแล้วจะบวชเลยไม๊ เขายื่นมือมาให้จับ..

  พยักหน้ารับ และพูดว่าสัญญา..ทำให้คนเป็นแม่อย่างเราปลื้มมาก....

**************************

ขออนุโมทนาบุญค่ะ .. คุณคนึงนุช

น่าปลื้มมาก ถึง มากที่สุด

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-03-26 21:38:56


ความคิดเห็นที่ 12 (1538836)

พลังพีระมิด พลังงานบำบัด ทางเลือกของสุขภาพ



จากราย ละเอียดของเหตุและผลหลายประการที่ผู้เขียนได้ให้ข้อมูลไว้แล้วในเบื้องต้น จึงพอสรุปได้ว่ามนุษย์กำลังเผชิญกับปัญหาอย่างวิกฤติด้านพลังงานที่สำคัญ อย่างไรบ้าง


1. การบีบรัด ฝังแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลก เป็นสาเหตุเสื่อมของระบบทางเดินหายใจ จนแทบหมดโอกาสแก้ไข การเสื่อมถอยของเซลล์อย่างรุนแรง ภัยพิบัติธรรมชาติทุกรูปแบบ


2. การขาดพลังกระแสลมปราณและพลังมโนธาตุในระดับชั้นบรรยากาศโลก เพราะพลังงานทั้งสองชนิดได้ลอยพ้นอยู่สูงขึ้นไปจนมนุษย์ไม่สามารถได้รับ พลังงานทั้งสองอย่างนี้ตามธรรมชาติโดยลมหายใจเข้า มนุษย์จึงมีภูมิต้านทานร่างกายและจิตใจต่ำลงเรื่อยๆ


3. การไร้สภาพแรงยืด-แรงหด, แรงรับ-แรงเหวี่ยง เป็นการเพิ่มฤทธิ์ให้กับเชื้อโรคทุกชนิด ความสมดุลของพลังงานในร่างกายถดถอย การฝึกจิตฝึกปฏิบัติให้เห็นผลทำให้ยากยิ่งขึ้น หรือกล่าวโดยรวมคือทำให้โทษจากข้อ 1-2 เพิ่มทวีคูณ
ด้วย การใช้แรงสืบต่อ หรือแรงสันตติ เพื่อค้นหาเหตุและผล,

เหตุและผล พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้นำ“พลังพีระมิด” มาช่วยแก้ไขปัญหาที่มนุษย์กำลังประสบในยุคพลังงานเสื่อม
อุปกรณ์ ประกอบพลังพีระมิด ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540 ผ่านการปรับปรุง ดัดแปลงให้เป็นปัจจุบันขณะไม่เคยหยุดนิ่ง เพื่อเติมสิ่งที่ขาดในข้อ 1-3 โดยเฉพาะข้อ 3 เมื่อโลกไร้สภาพแรงยืด-แรงหด, แรงรับ-แรงเหวี่ยงมนุษย์จะไม่เห็นการกระทบทั้ง 2 แรง ทำให้การฝึกจิตแทบทำไม่ได้ อุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิด รุ่นปรับปรุงใหม่จึงต้องสร้างสมดุลให้มีแรงทั้ง 2 แรง โดยตัวเหรียญสุขภาพหรือเหรียญธรรมจักร ช่วยเพิ่มแรงยืด-แรงหด และหลอดแกนพีระมิดช่วยทำให้แรงรับ-แรงเหวี่ยงเพิ่มมากขึ้น หากมีแนบไว้กับเนื้อใกล้หัวใจ

พลังพีระมิดสามารถดึงพลังกระแสลมปราณและพลังมโนธาตุจากชั้นบรรยากาศที่อยู่ สูง แทรกเข้าสู่ร่างกายได้ทางลมหายใจเข้า และยังช่วยสะเทินพลังงานแม่เหล็กโลกออกจากร่างกายได้บ้าง (ถึงแม้จะไม่ได้ถึง 90% เหมือนดังในอดีต แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ให้ความปลอดภัยต่อชีวิต) ดังนั้นในแง่ของการฝึกปฏิบัติฯ พลังพีระมิดจะช่วยให้ผู้ฝึก, ผู้ป่วย ได้สัมผัสกับพลังงานที่ขาดหายไป ช่วยทำให้การฝึกจิตทำได้ง่ายและเห็นผลเร็วขึ้น


ผู้ฝึก, ผู้ป่วย มีโอกาสเห็นอุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิดรุ่นใช้ปัจจุบันได้จากงานฝึกอบรม
หลักการ ประโยชน์ และวิธีใช้อุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิดทุกชนิด วิธี “ถู” และ “หมุน” อ่านได้จากหนังสือ“ทางรอด”
สำหรับหนังสือ “แสงสว่างที่ปลายทางรอด” จะแนะนำการหมุนวิธีเก่าที่นำมาใช้ใหม่ “ไหว นิ่ง ว่าง”
ก้อนพีระมิดที่นำมาประกอบเป็นอุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิดในปัจจุบัน เป็นแบบเจาะ 2 รู

 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัส 2009
ทุก คนต่างทราบดีว่า ไม่มียาสูตรใดทำลายเชื้อไวรัสได้ และเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายทางลมหายใจเข้าหากแต่การมีภูมิต้านทานร่างกาย สูงเป็นเสมือนเกราะป้องกันที่ทำให้เชื้อไวรัสไม่น่ากลัว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นการสร้างภูมิต้านทานร่างกายได้อย่างหนึ่ง แต่แนวทางของพลังพีระมิด (พลังงานบำบัด) เป็นองค์รวมฯของการสร้างภูมิต้านทานร่างกาย จึงควรเลือกใช้อุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิดแต่ละชนิดให้เหมาะสมกับตนเอง รวมทั้งการดื่มน้ำพลังพีระมิด, รับประทานอาหารเสริมพลังพีระมิด และการฝึกปฏิบัติฯโดยใช้พลังพีระมิดที่ช่วยให้หัวใจ ปอดได้ออกกำลังโดยอาศัยพลังขับเคลื่อนของจิต

 


เชื้อ ไวรัส 2009 เป็นเชื้อไวรัสที่เป็นธาตุความดับ (ด่าง) วัคซีนแต่ละชนิดเป็นธาตุความเกิด (กรด) กรดกับด่างเข้ากันไม่ได้ฉันใด วัคซีนที่ผลิตขึ้นมาน่าจะสูญเงินเปล่า และทุกคนมีโอกาสรับเชื้อไวรัส 2009 อย่างเท่าเทียมกันผ่านระบบทางเดินหายใจ

มนุษย์ ส่วนใหญ่หายใจได้เพียงแค่คอ อย่างน้อยประมาณ 5 ปี ทำให้หัวใจ ปอด ทำงานได้ไม่เต็มสูบอยู่ในสภาพอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหายใจได้ไม่สะดวก ปริมาณก๊าซออกซิเจนจึงไม่เพียงพอต่อกระบวนการสันดาปอาหาร เมื่ออาหารที่รับประทานเข้าไปถูกเผาผลาญได้ไม่หมด เหลือตกค้างในร่างกาย นอกจากทำให้อ้วนแล้วอาหารเหลือบางส่วนเปลี่ยนสภาพเป็นเสมหะ สะสมไว้มากที่ปอดกลายเป็นอาหารจานใหญ่ของเชื้อไวรัส

ทำไม คนหนุ่มสาว อายุยังน้อยเมื่อเป็นหวัดเชื้อไวรัส 2009 แล้วจึงเสียชีวิตมากกว่าผู้สูงวัยเนื่องจากผู้สูงวัยมักจะมีจุดเสื่อมของ ร่างกายได้หลายที่ เชื้อไวรัสจึงกระจายแทรกตัวอยู่ในเนื้อเยื่อที่มีปัญหาเหล่านั้นทั่วร่างกาย หากแต่คนหนุ่ม สาว มักจะไม่มีอาการปวดเข่า ปวดเอว เจ็บข้อ เจ็บคอ ฯลฯ เมื่อร่างกายรับเชื้อไวรัสโดยทางลมหายใจเข้า จึงไปรวมตัวที่ปอด ซึ่งอ่อนแอ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะการยืด-หด ของกล้ามเนื้อปอดทำได้ไม่เต็มที่มานานหลายปีแล้วเช่นกัน และเชื้อไวรัส 2009 เป็นเชื้อโรค ธาตุความดับ จึงชอบสิ่งที่เป็นธาตุความดับคล้ายคลึงกัน คือเส้นเลือดดำ มิหนำซ้ำเมื่อได้อยู่ในบ้าน(ปอด) ที่อุดมไปด้วยแหล่งอาหาร (เสมหะ) เชื้อไวรัสจึงโตวันโตคืนเร่งการแพร่กระจาย จู่โจมทำลายทำให้การฟอกโลหิตต้องหยุดชะงัก ผู้ป่วยจึงถึงแก่ชีวิตอย่างรวดเร็ว

ผู้ สนใจควรส่งเสริมและป้องกันสุขภาพด้วยหลักของพลังงานบำบัดเพื่อเพิ่มภูมิต้าน ทานร่างกายอย่างสม่ำเสมอทั้งการรับประทานอาหารเสริมพลังงาน (สาหร่าย พลูคาว มะรุม) น้ำพลังพีระมิดและการฝึกจิตด้วยพลังพีระมิดอนึ่งการฝึกจิตด้วยพลังพีระมิด ทุกวิธี ผู้ฝึกต้องมีพลังพีระมิดที่ใช้เป็นปัจจุบันอยู่ที่ร่างกาย 1 ชิ้น วางแถบแกนพีระมิดด้านหน้า 1แถบ ด้านหลัง 1แถบ และจะนั่งหันหน้าไปทางทิศใดให้ติดตามทิศที่ถูกต้องได้จากงานอบรม __

ที่มาข้อมูล

http://board.palungjit.com/f2/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AF%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AF-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7-274974-7.html

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด วันที่ตอบ 2011-04-04 21:16:12


ความคิดเห็นที่ 13 (1538859)

แบบว่าอารมณ์ต่อเนื่องคร๊าบบบบ...พี่น้อง ก็อปมาไว้ที่เดียวให้ตัวเอง จะได้หาเวลาอ่านไปเรื่อยๆ ฮิฮิ

 




จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์"





พุทธศาสนา - วิทยาศาสตร์ทางจิต


การศึกษาเกี่ยวกับ อายตนะ ขันธ์ 5 นิพพาน ฯลฯ พลังงานและพลังจิต ล้วนเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมาโดยตลอดไม่สามารถที่จะแยก เรียนรู้ เฉพาะเรื่องใดเพียงเรื่องเดียวได้เลย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “แรงดึง” หรือ “แรงยึดเหนี่ยวของตัณหา” ซึ่งเป็นแรงหรือพลังงานที่เกิดมาจากจุดศูนย์กลางของแต่ละสิ่ง และส่งแรงนั้นมาดึงดูดยึดเหนี่ยวผูกแต่ละสิ่งเข้าไว้ด้วยกันดุจลูกโซ่ โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางของแต่ละนิวเคลียสที่เล็กที่สุด ไปสู่แรงดึงของธาตุรู้ในใจ ขยายต่อไปยังแรงดึงที่ใหญ่กว่าของแรงโน้มถ่วงของโลก และแรงดึงจากสุริยจักรวาล และเข้าสู่แรงดึงของกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือตามลำดับ จนกระทั่งเข้าสู่อิทธิพลศูนย์กลางของแรงดึงสุดท้ายที่เป็นความว่างมหาศาล มีจุดศูนย์กลางเป็นรูปสามเหลี่ยมที่แหลมคมที่สุดซึ่ง เรียกว่า ศูนย์กลางของจักรวาล


มวลมนุษย์ควรที่จะหาโอกาสศึกษา เรียนรู้ถึงเหตุและผลตลอดจนความเกี่ยวเนื่องจาก “แรงดึง” ของพลังงานที่ปรากฏในโลก สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และจักรวาลกันบ้าง เพราะมนุษยชาติต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “แรงดึง” ตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


เหตุของพลังงานที่ได้สร้างไว้แล้วในอดีต (กฎแห่งกรรม) ส่งผลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ สัตว์ พืชที่แตกต่างกัน ในปัจจุบันชาติ (ทั้งนี้หมายรวมไปถึง พรหม เทวดา เปรต อสุรกาย สัมภเวสี ฯลฯ ที่อยู่ในสภาพของพลังงานด้วย) การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จึงมิใช่เรื่องบังเอิญ


รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นองค์ประกอบหลัก 5 อย่าง ที่นำมาคนรวมกัน แล้วเรียกว่า “มนุษย์” มนุษย์จึงสลัดให้พ้นไปจากอำนาจการครอบงำของขันธ์ 5
ได้ยากยิ่งนัก


ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีคำสอนเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม และประพฤติปฏิบัติได้จริง เป็นศาสนาที่แสดงถึงเหตุและผล สอนให้ทุกคนเคารพกฎแห่งกรรม แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บุคคลได้สร้างเหตุไว้เช่นไรย่อมได้รับผลจากเหตุที่ได้สร้างขึ้นเช่นกัน ไม่มีใครสามารถละเมิดไปได้แม้แต่สักคนเดียว เพราะ “กรรม” หรือ “การกระทำ” หรือ “พลังงาน” เป็นสิ่งที่ไม่สูญหาย การส่งผลของกรรมเป็นการสะท้อนกลับของพลังงานนั่นเอง


"พลังจิต" เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายของพลังงาน และสสารมาทุกยุคทุกสมัยด้วยความจริงที่ปรากฏอยู่ว่า ถ้าที่ใดมีสสารที่นั่นย่อมมีพลังงานอยู่คู่กันเสมอไป และเนื่องจากมนุษย์เราส่วนใหญ่จะยอมรับและเชื่อเฉพาะการเปลี่ยนแปลง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายของสสารเท่านั้น เนื่องจากเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดด้วยตา และสัมผัสได้ด้วยกาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ย่อมเกิดขึ้นกับพลังงานก่อนเสมอ แล้วจึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสสารในภายหลัง ดังเช่นการเกิด “ฝน” ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี
กระบวนการของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ของพลังงาน ได้เริ่มต้นตั้งแต่ เมื่อน้ำได้รับพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์เปลี่ยนสภาพเป็นไอจับตัวรวมกัน มากขึ้นๆ ในชั้นบรรยากาศ เรียกว่า “เมฆ” และเมื่อกระทบกับความเย็น เมฆเหล่านั้นจะเปลี่ยนสภาพกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ เรียกว่า ฝน ฉะนั้นกระบวนการของการเกิด “ฝน” ในแต่ละครั้ง ได้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ของพลังงานไปหลายรอบ


การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ “พลังงาน” มีอยู่หลายวิธี และทุกวิธีจะอยู่ภายใต้หลักการที่สำคัญ 2 หลักการ คือ ศึกษาโดยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน และศึกษาโดยการใช้วิทยาศาสตร์ทางจิต หรือพลังจิต
วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ศึกษาพลังงาน โดยการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นตามความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ ในแต่ละยุคและสิ่งที่จะหลีกหนีให้พ้นไปไม่ได้เลย คือการทำลายสภาพสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ถ้าสิ่งที่ผลิตขึ้นได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้นเท่าไร ก็จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้มากขึ้นเท่านั้น ยุคนี้เป็นยุคพลังงานน้ำมัน ความเจริญก้าวหน้าที่ผูกโยงต่อกันเป็นลูกโซ่ได้รัดแน่นจนแทบจะคลายออกไม่ได้ อีกต่อไป เพราะเกือบทุกคนสะสมความเคยชินอยู่กับความสะดวกสบายที่ได้รับกันอยู่เป็น ประจำทุกวัน


วิทยาศาสตร์ทางจิต หรือพลังจิต เป็นการศึกษาค้นคว้าพลังงาน โดยใช้พลังจิตที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละบุคคลได้มีโอกาสฝึกฝนเพื่อพัฒนาให้พลังจิตกล้าแข็งและชำนาญขึ้นหรือไม่ ผู้รู้ใช้พลังจิตศึกษาพลังงานจากธรรมชาติ เนื่องจาก “ธรรมชาติ” ได้แทรกซึมอยู่ในทุกสรรพสัตว์สิ่ง และเป็นสิ่งกำหนดการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายในจักรวาล ไม่มีอำนาจใดทรงอานุภาพยิ่งไปกว่า “ธรรมชาติ”


สิ่งที่แยกวิทยาศาสตร์ปัจจุบันออกจากวิทยาศาสตร์ทางจิตอย่างสิ้นเชิง คือ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันศึกษาได้เฉพาะเหตุและผลที่ปรากฏเป็นรูปธรรม และพลังงานในรูปหยาบเท่านั้น แต่พลังจิตสามารถศึกษาถึงเหตุและผลทั้งที่เป็นพลังงานหยาบและพลังงานละเอียด

การวนรอบของความรู้ทั้ง 2 อย่างนี้ได้เกิดขึ้นเป็นปกติมาโดยตลอด คือ ถ้าเมื่อใดวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเฟื่องฟู วิทยาศาสตร์ ทางจิตหรือพลังจิตแทบจะหมดความหมาย และในทางตรงกันข้าม ถ้าเมื่อใดที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเจริญก้าวหน้าไปจนถึงจุดสูงสุด และย้อนกลับมาทำลายตนเองแล้ว เมื่อนั้นพลังจิตจะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง
การศึกษาหรือการประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธศาสนามีความคลึง เหมือนกับการเรียนวิชาทางโลก ซึ่งผู้เรียนต้องเริ่มต้นจากวิชาพื้นฐานก่อนแล้ว จึงค่อยเรียนหลักสูตรเฉพาะทางตามความถนัดของผู้เรียน เพื่อออกมาประกอบอาชีพเลี้ยงตน ตามความรู้ความชำนาญที่แต่ละคนได้เรียนมา ยิ่งไปกว่านั้นผู้เรียนบางคนยังมีความสามารถพิเศษที่จะเลือกเรียนอีกหลายๆ อย่างตามที่ตนชอบและใช้เป็นอาชีพสำรอง หารายได้พิเศษ


วิชาหลักของพระพุทธศาสนา มีทั้งหมด 8 อย่าง เรียกว่า อวิชชา 8 (ความไม่รู้ 8 ประการ) ซึ่งผู้เรียนต้องสอบให้ผ่านไปทีละขั้นๆ และถึงแม้สอบผ่านได้แล้วก็ไม่มีแม้แต่เกียรติบัตร หรือประกาศนียบัตร หรือปริญญาใดๆ มอบให้ นอกจาก “คุณธรรม” ซึ่งใช้กิเลสในตนเป็นเครื่องวัด อวิชชา 8 ได้แก่
1. ไม่รู้จักทุกข์ สภาพที่ทนได้ยาก เกิดจากการครอบงำของขันธ์ 5
2. ไม่รู้จักสมุทัย สาเหตุของการเกิดทุกข์เพราะจิตหลงยึดมั่นในขันธ์ 5
3. ไม่รู้จักนิโรธ ความดับทุกข์ ซึ่งเป็นวิธีหรืออุบายที่ทำให้จิตไม่หลงยึดมั่น และรู้เท่าทันการเกิดดับของขันธ์ 5
4. ไม่รู้จักมรรค ทางพ้นทุกข์ที่เป็นผลเนื่องมาจากข้อ 3 ทำให้จิตหลุดพ้น มีดวงตาเห็นธรรม (เห็นทางเดิน)
5. ไม่รู้จักอดีต
6. ไม่รู้จักอนาคต
7. ไม่รู้จักการเชื่อมโยงอดีตและอนาคต เข้าด้วยกัน
8. ไม่รู้จักการวนรอบของปฏิจจสมปุบาท ซึ่งเริ่มต้น จาก
อวิชชา --> สังขาร --> วิญญาณ --> นามรูป --> อายตนะ --> ผัสสะ --> เวทนา --> ตัณหา --> อุปาทาน --> ภพ --> ชาติ --> ชรา มรณะ ฯลฯ (--> อวิชชา --> สังขาร --> ... ไปตามลำดับ)

 


ผู้เรียนต้องสอบ 4 วิชาแรกให้ผ่าน เนื่องจากเป็นวิชาบังคับพื้นฐาน เป็นความรู้เกี่ยวกับความจริง 4 ประการ (อริยสัจ 4) ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ผู้ที่สอบผ่านจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ คือ “ทาง” เฉพาะส่วนตน และจัดได้ว่าบุคคลผู้นั้น พ้นไปจากความไม่รู้ กลายเป็นผู้รู้ หรือผู้เห็นแล้ว


ถ้าผู้เรียนใช้ “มรรค” หรือ “ทาง” ที่ได้ประหารกิเลสไปเรื่อยๆ และสามารถสอบผ่านวิชาที่ 5-6-7 ได้ตามลำดับทำให้เป็นผู้สามารถรู้อดีต อนาคต และการเชื่อมโยงอดีตกับอนาคตในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ตลอดจนสิ่งอื่นๆ ที่ตนต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ด้วย จนกระทั่งไปถึงที่สุดของทางเดิน เห็นธรรมชาติการเกิดดับของการวนรอบอย่างชัดเจน จิตไม่หลงยึดในการวนรอบนั้นอีกต่อไปเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตามเหตุตามปัจจัยที่ยังมีอยู่ และจะได้คำตอบอย่างชัดเจนว่า “เมื่อ สิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป”


ผู้ที่มีพลังจิตสูงส่วนใหญ่จะได้รับความรู้ทั้งที่เป็นความรู้พื้นฐานและ ความรู้ละเอียดมาจากพระพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุให้บุคคลเหล่านั้นดำรงตนอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ใช้พลังจิตไปในทางที่เกิดประโยชน์เท่านั้น

 


มนุษย์เราเกิดมาพร้อมหน้าที่ เช่น หน้าที่ที่มีต่อครอบครัว คือ ความเป็นพ่อ แม่ บุตร ธิดา พี่ชาย น้องสาว ฯลฯ หน้าที่ต่อชุมชนหน้าที่ต่ออาชีพการงาน ตลอดจนหน้าที่ต่อประเทศชาติ และหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือหน้าที่ที่มีต่อมวลมนุษยชาติด้วยกัน ดังนั้นแต่ละบุคคลจึงควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดทั้งส่วนตนและผู้อื่น
เหตุ คือ พลังงาน (แรง) ที่ได้สร้างไว้แล้วในอดีต
ผล คือ การสะท้อนกลับของพลังงาน (แรง) ซึ่งพร้อมที่จะเกิดขั้นเมื่อการวนรอบได้เวียนมาบรรจบ
แอตแลนติส

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “ดาวเคราะห์โลก” ของเราได้มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมานับครั้งไม่ถ้วน การขุดพบโครงกระดูกของสัตว์โบราณอย่างเช่น ไดโนเสาร์ ช้างแมมมอธ ฯลฯ ได้มีประเด็นสำคัญที่นักโบราณคดีให้ความสนใจ คือการขุดพบโครงกระดูกของสัตว์บางชนิดในสถานที่ที่ไม่น่าจะเป็นแหล่งอาศัย ของสัตว์ชนิดนั้นๆ ได้เลย เช่นมีการขุดค้นในเขตหนาว แต่ทว่าสิ่งที่ขุดพบกลับเป็นโครงกระดูกของสัตว์ที่น่าจะเคยอยู่ในเขตร้อน เสียมากกว่า

 


จากการศึกษาโดยพลังจิต ทำให้ทราบว่า การเปลี่ยนแปลงของพลังงานจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิว โลก (สสาร) ในทุกรอบ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) การเปลี่ยนสภาพของสสารระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำ เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจน และอยู่ในอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วนและพื้นน้ำ 3 ส่วนเสมอ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกสักกี่ครั้งก็ตาม


เมื่อบุคคลได้ศึกษาสมาธิ-วิปัสสนา จนกระทั่งได้บรรลุธรรมและเจริญทางต่อไปจนกิเลสลดน้อยลงตามลำดับ บุคคลเหล่านี้จะเห็นสภาพการเกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่เนืองนิจ เห็นธรรมชาติของแรงสืบต่อของพลังงาน หรือแรงสันตติที่มีการสั่นสะเทือน ตึ๊บๆตึ๊บๆ อยู่ทุกๆ รอบของ 1 วินาที และใช้แรงสันตติหรือแรงสืบต่อนี้ ย้อนกลับไปดูพลังงานที่เคยสร้างเหตุไว้ในอดีต และจะส่งผลเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร ตลอดจนหาทางแก้ไขเพื่อเหล่ามวลมนุษย์ในปัจจุบัน และถ้า “ผู้รู้” เหล่านี้ สามารถดำรงตนอยู่เหนือวิมุตติได้ สิ่งที่จะเกิดตามมาตามวิถีของจิต คือการมี"ญาณทัศนะ" ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางสมองหรือใจ

 

บุคคลใดที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้แล้ว สามารถที่จะเลือกทางของตนเอง ระหว่างการไม่ลงมาระคนกับกิเลส ดำรงสภาพการเป็นพระอรหันต์ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย หรือ จะลงมาระคนกัน “โลก” เป็นโพธิสัตว์เพื่อทำหน้าที่ของตนให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามวิบากที่เคยสร้าง ไว้ในอดีต จนกระทั่งเชื้อ หรือเหตุ หรือพลังงานเหล่านั้นหมดไปโดยสิ้นเชิง จึงจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป


ระยะเวลา 10,000 ปี นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ถ้าทุกคนสามารถจำอดีตที่ผ่านมาได้ คงจะรู้ว่าแต่ละคนได้เวียนว่ายตายเกิดกันมาคนละหลายครั้งแล้ว และเนื่องจากทุกครั้งของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องอยู่ในท้องแม่นาน 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำในอดีต ทักษะ ความชำนาญ ความรู้พิเศษ ที่เคยมีในแต่ละชาติ อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ต้องใช้เวลาของการพัฒนาไปตามลำดับ และในบางครั้งการพัฒนาความรู้เหล่านั้นก็ต้องหยุดชะงักลงไปอีก เพราะอายุขัยของการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นสั้นเกินไป คือไม่ถึง 100 ปี ก็ต้องถึง “การตาย” อีกครั้ง

 


การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกครั้งล่าสุดได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา การศึกษาจากประวัติศาสตร์ ทำให้รู้ว่าในบริเวณที่เป็นมหาสมุทรแอตแลนติก ในปัจจุบันนี้ น่าจะเคยมีสภาพเป็นแผ่นดิน มีบ้านเมือง และผู้คนอาศัยมาก่อน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ยังคงให้ความสนใจและศึกษามาอย่างต่อเนื่องตราบจนปัจจุบันนี้
ความรู้ที่ได้จากการใช้ “พลังจิต” และ “แรงสันตติ” เข้าไปดูอดีตจึงทำให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา ทวีปแอตแลนติก (มหาสมุทรแอตแลนติกในปัจจุบันนี้) เคยมีอดีตที่รุ่งเรืองเป็นผืนแผ่นดินที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ หลากภาษา ต่างวัฒนธรรม รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย กระจายอยู่ทั่วทวีป โดยมีอาณาจักรแอตแลนตีสเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม
อาณาจักรแอตแลนตีสมีอดีตที่รุ่งเรืองมากในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “พลังจิต”
ถึงขั้นสามารถติดต่อกับชาวอังคารและได้ติดต่อมาโดยตลอด ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับ “ชาวดาวอังคาร” กันบ้างเล็กน้อยก่อนกลับมาสู่เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนตีสอีกครั้ง

มนุษย์ดาวอังคาร
ดาวเคราะห์โลกหรือโลกของเราไม่ได้เป็นดาวเพียงดวงเดียวในสุริยจักรวาล ดาวอังคารก็เป็นเพียงดาวดวงหนึ่งในจำนวนดาวหมื่นแสนล้านๆๆ ดวงในสุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และจักรวาล เฉกเช่นเดียวกับโลกของเรา

 

ฉะนั้นผู้ที่ศึกษาจึงไม่ควรรีบด่วนที่จะปฏิเสธว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏอยู่บนดาวอังคารหรือดาวดวงอื่นๆ เนื่องจากมนุษย์เราตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดจากศูนย์กลางที่เรียกว่า “แรงโน้มถ่วงของโลก” จึงทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆได้ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ จึงสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปถึงดาวดวงอื่นได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะลึกไปจนถึงขั้นทำความรู้จักและมีความสัมพันธ์ต่อกัน กับสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นๆ โดยเฉพาะบนดาวอังคารได้เลย พวกเราเคยจินตนาการหรือไม่ว่า ภาพของมนุษย์ชายหญิงอย่างพวกเราที่มี 2 ขา 2 เท้า 2 แขน 2 มือ ฯลฯ ได้กลายเป็นภาพของสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวในสายตาของชาวดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ฯลฯ ไปเสียแล้ว

 

โครงสร้างทางกายภาพหรือองค์ประกอบของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ บนดาวอังคารมีความแตกต่างจากดาวเคราะห์โลก โดยสิ้นเชิง จึงเป็นเหตุให้ชาวดาวอังคารมีรูปร่าง ตลอดจนการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนมนุษย์โลกด้วยเช่นกัน อาทิ การเกิดและการมีอายุขัย มนุษย์โลกอาศัยการเกิดจากเชื้อของพ่อและฝังตัวอ่อนอยู่ในท้องของแม่ประมาณ 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำที่มีในอดีต จนกระทั่งคลอดออกมาเป็นทารก เจริญวัยเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา และเสียชีวิต มีอายุได้ไม่เกิน 100 ปี หรือ 100 ปีเศษเท่านั้น แต่สำหรับชาวอังคาร พวกเขามีสภาพเป็น “พลังงาน” ไม่ได้ประกอบโครงสร้างเป็น “รูป” หรือ “ร่างกาย” อย่างชัดเจน

 

การเกิดของพวกเขาน่าจะเรียกว่าเป็นการ “อุบัติ” ขึ้นมากกว่าเพราะเป็นการรวมตัวของพลังงานขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยอาศัยพลังงานจากธาตุสีเหลือง หรือธาตุเมตตาเป็นตัวกำหนด (ไม่ต้องอาศัยการตั้งครรภ์) เมื่อกระบวนการเกิดใหม่เสร็จสิ้น พวกเขาจะดำรงความเป็น “พลังงาน” ไปเรื่อยๆ มีชีวิตเป็นนิรันดร์ คือมีอายุขัยมากเป็นหมื่นๆ ปี จึงทำให้พวกเขาได้รู้เห็นปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เคยเกิด ขึ้นบนดาวเคราะห์โลกมาโดยตลอด และเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง จึงสามารถล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย

 


เนื่องจากโครงสร้างของร่างกายมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มนุษย์โลกประกอบด้วยกายหยาบและกายละเอียด ในขณะที่ชาวดาวอังคารมีสภาพเป็นกายละเอียดหรือพลังงานเพียงอย่างเดียว ดังนั้น “อาหาร” และ “การดำรงชีวิต” ของมนุษย์โลกและชาวดาวอังคารจึงแทบจะไม่เหมือนกันเลย

 


กายหยาบ เป็นโครงสร้างที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่างกาย และมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตา อาหารที่ใช้บำรุงหล่อเลี้ยง คือ อาหารหลัก 5 หมู่ นำเข้าสู่ร่างกายโดยทางปาก ระบบทางเดินอาหาร และอาศัยก๊าซออกซิเจนเพื่อช่วยในการสันดาปและการทำงานของหัวใจและปอด


กายละเอียด เป็นกายในรูปของพลังงานที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณและวิญญาณ (ธาตุรู้) ฉะนั้นอาหารของชาวดาวอังคารจึงอยู่ในรูปของพลังงานด้วยเช่นกัน ได้แก่กระแสลมปราณ และธาตุเมตตา (กุศล) ซึ่งเป็นธาตุสีเหลืองๆ และมีอิทธิพลต่อความนึกความคิด ดังนั้นการกระทำหรือการทำลายชีวิตอื่นๆ ฯลฯ จะเป็นสาเหตุทำให้พลังงานหรือกายละเอียดและพลังจิตของพวกเขาอ่อนกำลังลง และจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างลำบาก
อาหารที่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกอย่างหนึ่ง คือ “น้ำ”


พระภิกษุสงฆ์หรือผู้ฝึกจิตที่เข้ากรรมฐานเป็นเวลาหลายๆ วัน หรือเป็นแรมเดือน บุคคลเหล่านี้มิได้ทานอาหาร พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำ ปิติ และกระแสลมปราณ


ชาวดาวอังคารไม่มีศาสนา ไม่รู้จัก “นิพพาน” เพราะพวกเขาส่วนใหญ่พอใจในการมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ เหตุการณ์วิกฤตใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกในอดีต ชาวดาวอังคารเคยรู้เคยเห็นมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการวนรอบของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครบรอบ 10,000 ปี ด้วยความปราถนาดีและอยากช่วยเหลือมนุษย์โลก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ในครอบครัว “สุริยจักรวาล” เดียวกัน ชาวดาวอังคารจึงได้ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกตั้งแต่ยุค “อาณาจักรแอตแลนตีส” ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับ “พลังจิต” อย่างแพร่หลาย พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการสร้างและการใช้ประโยชน์จากรูปทรงสาม เหลี่ยมพีระมิด

 


ชาวดาวอังคารสร้างบ้านเรือนอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน เพื่อให้ปลอดภัยจากรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากสภาพของการมีกายละเอียด (พลังงาน) ทำให้พวกเขาทนต่อแสงแดดได้ไม่มากนัก ประตูทางเข้าจะปิดสนิทเมื่อเวลา 03.00 น. เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด
ชาวดาวอังคารสามารถใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบให้ปรากฏต่อสายตามนุษย์โลกได้ แต่เนื่องจากการที่พวกเขาส่วนใหญ่มีพลังจิตสูงคลื่นความถี่จากพลังงานของพวก เขาอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์โลกได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องสะกดจิตมนุษย์โลกให้หยุดการเคลื่อนไหวก่อนที่พวกเขาจะ ปรากฏตัวขึ้น

องค์ธรรมมิกราช
พวกเราคงรู้จักและเคย “ฝัน” กันทุกคน มีทั้งฝันดีและฝันร้าย มิหนำซ้ำในบางครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วยังคงจำความฝันได้อย่างแม่นยำเหมือน กับได้ไปเผชิญกับสิ่งที่ฝันมาจริง การฝันเป็นการท่องเที่ยวด้วยกายทิพย์หรือกายละเอียด โดยมีกระแสลมปราณทำหน้าที่ดุจสายใยแห่งชีวิต ตามไปทั่วทุกหนแห่ง และหากสายใยของกระแสลมปราณขาดไป บุคคลผู้นั้นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากกายทิพย์ไม่สามารถกลับเข้าซ้อนอยู่กับกายหยาบได้ ผู้ที่มีพลังจิตสูงสามารถใช้กายทิพย์เดินทางไปที่ใดก็ได้ตามความต้องการ โดยที่กายหยาบหรือตัวรูปร่างกายอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง

 

พระพุทธองค์เป็นผู้ที่มีพลังจิตและญาณหยั่งรู้ที่เรียกว่า พระสยมภูญาณ ที่สามารถรู้เห็นความเป็นไปของสัตว์โลก พระพุทธองค์ทรงใช้ญาณหยั่งรู้เป็นประจำทุกเช้า เพื่อทรงตรวจดูว่าในแต่ละวันพระองค์จะไปโปรดใครได้บ้าง อย่างเช่นในกรณีของท่านองคุลีมาล ที่ถูกอาจารย์สอนให้ทำในสิ่งที่ผิดและเป็นบาปอย่างมหันต์ ด้วยการสั่งฆ่าคนให้ได้ครบ 1,000 คน ก่อนจึงจะได้เรียนขั้นสุดยอดของวิชา และคนลำดับที่ 1,000 ก็คือแม่ของตน เมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้โดยพระสยมภูญาณ จึงทรงเมตตาช่วยท่านองคุลี มาล ให้พ้นจากวิบากกรรมที่จะต้องฆ่าแม่ของตนเองด้วยความไม่รู้ และกลายเป็นบาปหนัก

 


ในเช้าวันเกิดเหตุนั้น พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่กันคนละเมืองกับท่านองคุลีมาล ไม่สามารถเสด็จด้วยพระองค์เองได้ทัน จึงทรงโปรดด้วย “กายทิพย์” ใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบปรากฏต่อสายตาของท่านองคุลีมาล ทรงช่วยท่านองคุลีมาลให้พ้นจากกรรมหนักที่กำลังจะทำมาตุฆาต (ฆ่าแม่) และทรงเทศนาโปรดจนสำเร็จ บรรลุเป็นพระอรหันต์

ในครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงถอดกายทิพย์ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรด พระพุทธมารดา ซึ่งกำลังเสวยผลบุญอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นสถานที่อยู่ของพระอินทร์หรือท้าวสักกะ (สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่ต่ำกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ผู้ที่เสวยผลบุญอยู่ในชั้นที่สูงกว่าสามารถเดินทางลงมายังสวรรค์ชั้นที่ต่ำ กว่าได้)
ส่วนกายหยาบหรือตัวรูปร่างกายของพระพุทธองค์ มีเทวดาอาสาคอยเฝ้าปกป้องรักษาไม่ให้เกิดภัยอันตราย เพราะถ้าหากกายหยาบสูญสลายหรือบาดเจ็บ กายทิพย์หรือกายที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณ จะไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างได้เลย บุคคลนั้นก็ต้องเสียชีวิต


พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาในการเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและเหล่าเทวดานางฟ้าบน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลาประมาณ 45 นาที แต่ถ้าเทียบเป็นเวลาของมนุษย์โลก จะนานประมาณ 3 เดือน ในครั้งนั้นพระพุทธมารดา ท้าวสักกะ (พระอินทร์) และกลุ่มเทวดาอีกเป็นจำนวนมาก ได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน ท้าวสักกะได้ปาวารณาตนอาสาขอทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม ให้มีอายุไปจนครบ 5,000 ปี และในระหว่าง 5,000 ปี นั้น พระพุทธศาสนาจะเข้าสู่กลียุคถึง 5 ครั้งด้วยกัน จำต้องมีเทวดาอาสาจุติลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยแก้ไขให้คำสอน (ธรรมะ) ของพระพุทธองค์ให้ดำรงอยู่อย่างถูกต้องเหมือนดังเดิม เทวดาที่อาสาลงมาทำงานรับใช้ศาสนาทั้ง 5 องค์ 5 วาระนี้เรียกว่า “องค์ธรรมิกราช” ดังนั้นพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม จึงเป็นศาสนาที่มีเทวดาคอยรักษาดูแล
เมื่อกล่าวถึงเทวดาทั้งหลาย ท่านเหล่านี้อยู่ในสภาพของกายละเอียด อาหารของเทวดาก็คล้ายคลึงกับชาวดาวอังคาร เนื่องจากเทวดา พรหม มีแต่เฉพาะกายละเอียดและวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ที่ยังดับไม่ได้ อาหารคือตัวบุญ ตัวกุศล ที่เคยทำไว้ในอดีตเมื่อครั้งเกิดมาเป็นมนุษย์ ใช้เป็นพลังงานบุญช่วยหล่อเลี้ยงสร้างแสงสว่างให้กายทิพย์ของตนเอง ดังนั้นบุญญาธิการของเหล่าเทวดา พรหม จึงวัดกันด้วย “แสงสว่าง” และในทำนองเดียวกันธาตุเมตตา (บุญ,กุศล) จะเป็นพลังงานที่ช่วยเสริมสร้างพลังจิตและหล่อเลี้ยงกายละเอียดของชาวดาว อังคารให้เข้มแข็ง

 

พลังงานเส้นแสง
บนดาวอังคารจะมีวัตถุรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดอยู่มากมาย เพื่อใช้ประโยชน์ในการสะเทินพลังงานความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ และยิ่งไปกว่านั้น พีระมิดยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยในการเดินทางท่องจักรวาล หรือเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆ โดยเฉพาะดาวเคราะห์โลกของเรา
การเดินทางในแต่ละครั้ง สิ่งที่พวกเขาใช้เป็นพาหนะคือสิ่งหรือวัตถุที่พวกเราเคยเห็นและเรียกกันว่า “ยาน” หรือ “จานบิน” อาจจะมีหลายๆรูปแบบ ก่อนการเดินทางพวกเขาต้องตรวจสอบหรือเช็คก่อนว่าจะใช้ “เส้นแสง” เส้นใด เดินทางไปยังจุดหมาย หลังจากนั้นผู้ที่จะเดินทางก็จะเข้าสู่กระบวนการ โดยเริ่มจากการนำยานพร้อมลูกเรือที่จะเดินทางเข้าไปยังพีระมิดใหญ่ เพื่อใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากวัตถุให้เป็นพลังงานแสงและพุ่ง ทะลุออกไปทางยอดแหลมของพีระมิด เข้าสู่เส้นทางของ “เส้นแสง” ที่ได้เลือกไว้แล้ว และเมื่อเข้าสู่เขตบรรยากาศของโลกแล้ว ถ้าหากพวกเขาอยากปรากฏตัวต่อสายตาของชาวโลก พวกเขาจะใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากพลังงานแสงให้เป็นวัตถุ ดังที่พวกเราบางคนเคยมีโอกาสได้พบเห็นมาบ้างแล้วในระยะที่ไกลพอสมควร เนื่องจากถ้ายานหรือจานบินปรากฏให้เห็นในระยะสายตาปกติ อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อนัยน์ตาหรือเซลล์ในร่างกายของมนุษย์โลกได้ เนื่องจากความถี่ของเสียงที่เกิดจาการทำงานของเครื่องยนต์ในยานอยู่ในระดับ ที่มีความถี่สูงมากเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์จะรับได้ เราจึงได้เห็นจานบิน หรือฝูงจานบินในระยะที่ไกลๆ เท่านั้น

 


ชาวดาวอังคารชอบที่จะเดินทางมายังดาวเคราะห์โลกของเราเสมอ ความรู้เกี่ยวกับพลังพีระมิดได้ถ่ายทอดให้กับชาวแอตแลนตีส และในยุคนั้น ชาวแอตแลนตีสได้ใช้

คริสตัลซึ่งเป็นแก้วหินใส สร้างเป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ไว้ทั่วราชอาณาจักร และแต่ละคนจะมีพีระมิดคริสตัลขนาดเล็กเก็บไว้ใช้ประจำตัว ชาวแอตแลนติสที่มีพลังจิตสูงโดยเฉพาะกลุ่มนักบวช จะเป็นผู้ที่เดินทางไปในสถานที่ต่างๆด้วยพลังจิต ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าไปในพีระมิดคริสตัล และใชัพลังจิตเปลี่ยนสภาพของกายหยาบให้เป็นพลังงานแสง พุ่งออกไปในทางยอดแหลมของพีระมิดคริสตัล เข้าสู่เส้นทางของ “เส้นแสง” ที่ได้เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว

 


ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่มนุษย์โลกก้าวไปถึงครั้งล่าสุด คือการสร้าง “ปรมาณู” เป็นอาวุธร้ายแรง และนำมาทำลายล้างมนุษย์ชาติ ดังเช่นการใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฺฮิโรชิมา และนางาซากิของประเทศญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2541-2542 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพลังงานตัวใหม่คือ “เส้นแสง” และเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดว่า “เส้นแสง” จะได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู เสียอีก “อาวุธเส้นแสง” เป็นอาวุธที่ผลิตขึ้นเพื่อทำลายนิวเคลียสและเซลล์ในร่างกาย ซึ่งตรงกันข้ามกับระเบิดปรมาณูซึ่งจะทำลายวัตถุ เช่นอาคารบ้านเรือน อาวุธเส้นแสงชนิดใหม่นี้สามารถปรับความถี่และอำนาจของการกระจายของเส้นแสง ได้ตามความต้องการ เหมือนกับการทำงานของเตาไมโครเวฟ

 

ชาวดาวอังคารมีความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทางจิตไปจนถึงระดับการใช้พลังจิต เปลี่ยนวัตถุให้เป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนจากพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุอีกครั้ง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของพลังงาน ซึ่งสูงกว่าพลังงาน “เส้นแสง”
จากแอตแลนติสสู่อียิปต์
มนุษย์โลกเมื่อครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา ในยุคของอารยธรรมแอตแลนตีส ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้เคยพัฒนามาจนถึงการสร้าง “อาวุธเส้นแสง” แล้ว ความมีอำนาจ ความแตกต่างกันในแนวความคิด และความศรัทธาความเชื่อ ได้ทำร้ายเหล่ามวลมนุษยชาติมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งกระหายอำนาจมากเท่าใด ย่อมส่งผลร้ายได้มากเท่านั้น

บนทวีปแอตแลนติกในครั้งนั้นประชาชนได้แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่ม จนในที่สุดเหลือประชาชนเพียง 2 กลุ่มใหญ่ที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ ต่างผ่ายต่างมียุทโธปกรณ์ที่ล้ำหน้า ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้โดยสันติวิธี สงครามและอาวุธที่ทันสมัยมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด คือศักดิ์ศรีของจอมทัพผู้อหังการ

ในครั้งนั้นนักบวชนามว่า รตะ (อ่านว่าระตะ) เป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ความเมตตา ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 1 เดือน ว่าจะเกิดสงครามใหญ่และอาณาจักรแอตแลนตีสจะถึงวาระของการล่มสลาย กลุ่มที่เชื่อคำพยากรณ์ของท่านรตะได้ต่อเรือขนาดใหญ่ บรรทุกผู้คนอพยพออกจากอาณาจักรแอตแลนตีส มาขึ้นฝั่งที่ดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ

 

เมื่อครบ 1 เดือน ตามคำพยากรณ์ของท่านรตะ สงครามใหญ่ได้เปิดฉากขึ้น และเนื่องจากผู้นำของทั้งสองกลุ่มต่างแข็งกร้าวเข้ากัน อาวุธ “เส้นแสง” ที่ทันสมัยที่สุดจึงถูกนำมาใช้ แรงกดอย่างมหาศาลที่เกิดจากการยิงอาวุธเส้นแสงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด ต่อมนุษยชาติ และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกตามลำดับ คือ
1. อาณาจักรแอตแลนตีส ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปแอตแลนติก ที่เคยเป็นศูนย์กลางของคาวามเจริญในแทบทุกด้าน ได้ถึงกาลอวสานล่มสลาย พื้นทวีปทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็วกลายสภาพเป็นพื้นน้ำในชั่วพริบตา ประชาชนที่กำลังสนุกสนานร่าเริง หรือขลุกอยู่กับภารกิจประจำวันต้องจบชีวิตลงอย่างเอน็จอนาจโดยที่ไม่ทันจะ รู้ตัว หมดโอกาสที่จะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากอันตรายได้ มนุษย์ สัตว์ อาคารบ้านเรือน พีระมิดคริสตัล และเค้าโครงของอารยธรรมทั้งหลาย ยังคงฝังซากของอดีตอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร เพื่อรอจังหวะเวลาของการวนรอบของเหตุการณ์ที่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง และถ้าหากคู่อริทั้ง 2 กลุ่มในอดีต ไม่สามารถก้าวพ้นไปจากวิบากหรือเหตุที่ได้สร้างไว้ได้ การย้อนรอยของกรรมหรือพลังงานคงจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อถึงเวลา

 


2. เพื่อเป็นการรักษาสภาพสมดุลของลักษณะทางกายภาพตามอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วน และพื้นน้ำ 3 ส่วน จึงทำให้พื้นน้ำแถบทะเลอาหรับ เปลี่ยนสภาพเป็นทะเลทราย ที่เรียกว่าสะฮาราในปัจจุบันนี้ เนื่องจากปริมาณของน้ำได้ถ่ายเทไปรวมตัวกันที่มหาสมุทรแอตแลนติกและฝังอาณา จักรแอตแลนตีสอยู่ใต้มหาสมุทร บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลทรายสะฮาราและคาบสมุทรอาหรับจึงกลายเป็นดิน แดนมหาเศรษฐีของโลก เนื่องจากมีทรัพยากรที่ล้ำค่าคือ น้ำมัน การใช้อาวุธเส้นแสงคือ เหตุ หรือพลังงานที่คู่อริได้ร่วมกันสร้างไว้แล้ว ตั้งแต่ในอดีตเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา

 


3. การเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้เกิดการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลง สภาพของพื้นน้ำและพื้นดินอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ทำให้แผ่นดินของทวีปยุโรปและทวีปเอเชียเคลื่อนเข้ามาชนกันในทันที แรงปะทะทำให้แผ่นดินทั้งสองทวีปถูกบีบ กลายเป็นภูเขาหิมาลัยสูงเสียดฟ้า และช่องว่างที่เกิดจากการคลายตัวของพื้นดินจะปรากฏให้เห็นเป็นแนวยาวจาก ภูเขาหิมาลัยในประเทศอินเดียผ่านหลายจังหวัดในประเทศไทย และไปสิ้นสุดที่ จ.กาญจนบุรี นักธรณีวิทยาเรียกช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้ว่า “รอยเลื่อน” และ ถ้าเมื่อใด “อาวุธเส้นแสง” ถูกนำมาใช้อีกครั้ง เมื่อนั้นยอดเขาหิมาลัยจะเปลี่ยนสภาพจากยอดเขาสูง กลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเอเชียและของโลก และอาณาจักรแอตแลนตีสคงจะถูกดันให้โผล่พ้นจากก้นมหาสมุทรเปลี่ยนสภาพไปเป็น พื้นทวีปที่กว้างใหญ่อีกครั้ง

 

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพื้นน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกจะไหลไปรวมอยู่ที่ใดของโลก เพื่อทำให้เกิดความสมดุลตามอัตราส่วนของการมีพื้นน้ำ 3 ส่วนและพื้นดิน 1 ส่วน เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้น อาณาจักรแอตแลนตีสเป็นผู้ยิงอาวุธเส้นแสงจึงทำให้เกิดแรงกดอย่างมหาศาลลงไป บนพื้นทวีปจนจมลงไป ชาวแอตแลนตีส จึงต้องรับผลของเหตุที่ได้สร้างขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นในอนาคตหากมีประเทศใดยิงอาวุธเส้นแสงขึ้นอีกครั้ง ประเทศนั้นก็จะถูกกดให้จมลงไปกลายเป็นพื้นน้ำในพริบตาเช่นกัน และแรงกดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง รวดเร็วนี้ จะไปดันอาณาจักรแอตแลนตีส ให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง

 


ท่านรตะสามารถล่วงรู้ว่า “อาวุธเส้นแสง” จะเป็นทั้งเหตุและผลของการล่มสลาย และฟื้นคืนกลับมาใหม่ ของอาณาจักรแอตแลนตีส ตามกฎของการวนรอบในทุกๆ 10,000 ปี ความรู้สึกเสียดายอาณาจักรแห่งความศิวิไลซ์และความโศกสลดเสียใจที่ไม่สามารถ ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเดียวกันได้ ในครั้งนั้นท่านรตะจึงได้ให้สัจจะหรือให้คำมั่นสัญญา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างเหตุของท่านไว้ ซึ่งสัจจะนั้นมีความหมายว่า “เมื่อใดที่ถึงวาระการวนรอบของเหตุการณ์เดิมท่านจะเป็นผู้มาช่วยฉุดแอตแลนตี สคืนกลับขึ้นมา”

 


สัจจะที่ได้ให้ไว้ถือว่าเป็นภารกิจผูกมัด จดบันทึกเก็บเป็นพลังงานไว้ในใจ ซึ่งเจ้าของสัจจะ จะเพิกเฉยหรือลืมไม่ได้ เพราะเป็นเหตุที่ตนได้สร้างไว้ในอดีต
คณะของท่านรตะที่รอดชีวิตมา ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวพื้นเมือง อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้แพร่กระจายในดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ จนพัฒนากลายเป็นอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ในยุคต่อมา

 

มหาพีระมิด
ท่านรตะเป็นเพียงมนุษย์โลกคนหนึ่ง ที่เมื่อถึงอายุขัยก็ต้องตายและไปเกิดเป็นธรรมดา ความทรงจำและความมีพลังจิตสูงย่อมถูกลบไปเมื่ออยู่ในท้องแม่ ฉะนั้นเมื่อถึงวาระของการกลับมาทำหน้าที่ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อชาว แอตแลนตีส ท่านรตะจำเป็นต้องสร้างวัตถุที่สามารถดำรงอยู่ได้เป็นเวลานับหมื่นปีเพื่อ เป็นสัญญลักษณ์เตือนความทรงจำ และใช้เป็นตัวช่วยในการทำหน้าที่เมื่อถึงวาระตามสัจจะที่ได้กระทำไว้
ในครั้งนั้น ท่านรตะได้รับความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคารมาช่วยสร้างสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายให้ปรากฎไว้ในประเทศอียิปต์โบราณ รอเวลาที่ท่านรตะเวียนกลับมาเกิดใหม่และไขปริศนาในอนาคต
สัญลักษณ์เหล่านั้นได้แก่ องค์สฟิงซ์ และมหาพีระมิดทั้ง 3 องค์ ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างที่สร้างขึ้นจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไป

พีระมิดทั้ง 3 องค์ได้สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของโลก พีระมิดแต่ละองค์ตั้งอยู่ในระยะที่ห่างเท่าๆกัน และทุกองค์มีขนาดเดียวกัน โดยพีระมิดองค์ที่สร้างอยู่ตรงกลางจะสร้างคร่อมศูนย์กลางของโลกซึ่งมีลักษณะ เป็นโพรง หรือหลุมพลังงานลึกลงไปใต้โลก ซึ่งท่านรตะได้ใช้พลังจิตวางแผ่นหินใหญ่สีดำที่เป็นแร่มโนธาตุ ปิดหลุมพลังงานเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านรตะกลับมาเปิดแผ่นหินใหญ่นี้ด้วยตนเองในอนาคต และภายในพีระมิดอีก 2 องค์ ได้ขุดเป็นโพรงเชื่อมไปถึงหลุมพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง และมีองค์สฟิงซ์ทอดลำตัวยาวไปทางทิศตะวันตกและหันใบหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยองค์สฟิงซ์และองค์พีระมิดกลางได้ถูกสร้างให้อยู่ในแนวที่ตรงกัน

 


ก้อนหินแต่ละก้อนที่ใช้สร้างพีระมิดทั้ง 3 องค์ล้วนมีขนาดใหญ่มากเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะยกวางได้ วิธีการหรือเทคนิคของการสร้างในครั้งนั้น คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุจากหินก้อนใหญ่ให้เป็นพลังงานแสงก่อน และนำพลังงานแสงนั้นมาจัดวางลงในรูปแบบที่ต้องการ แล้วจึงค่อยใช้พลังจิตเปลี่ยนพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุคือก้อนหินอีกครั้ง

 

สำหรับองค์สฟิงซ์ที่มีขนาดใหญ่มากได้สร้างขึ้นจากก้อนหินก้อนใหญ่เพียงก้อน เดียว สิ่งที่พิเศษที่สุด คือ ใบหน้าขององค์สฟิงซ์ที่มีลักษณะเหมือนใบหน้าของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากการแกะสลักลงบนหินแต่อย่างใด แต่เป็นผลงานการใช้พลังจิตกดประทับรูปหยาบของใบหน้าองค์ประมุขของชาวดาว อังคารลงไปบนก้อนหิน องค์สฟิงซ์ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 2 อย่าง คือ

  1. กระแสลมปราณจากดาวอังคารจะถูกเชื่อมไว้กับจมูกขององค์สฟิงซ์ เพื่อให้ชาวดาวอังคารได้ใช้ในระหว่างที่มาอยู่บนดาวเคราะห์โลก
  2. จมูกขององค์สฟิงซ์เปรียบเหมือนเป็นประตูกลประตูแรก ที่ใช้สำหรับไขปริศนาความลับของทฤษฎีพีระมิดแอตแลนติก
    พีระมิดและองค์สฟิงซ์ที่ท่านรตะและชาวดาวอังคารช่วยกันสร้างขึ้นในครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นตัวกลไกเชื่อมโยงการทำงานของพลังจิต พลังพีระมิด พลังงานในโลก และพลังงานของดวงดาว เมื่อถึงเวลาครบรอบ 10,000 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง

 

แนวความคิด และความเชื่อในพลังของพีระมิดในยุค 5,000 ปีของอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายว่า พวกเขาจะได้ไปอยู่ในเมืองที่มีความศิวิไลซ์มากที่สุด เส้นทางที่จะพาพวกเขาไป คือ โพรงพลังงานที่เป็นศูนย์กลางของโลกตั้งอยู่ภายในพีระมิดองค์กลาง

 

ฉะนั้นพวกเขาจึงนำศพและสมบัติไปเก็บไว้ในห้องโถงพีระมิดให้ปลอดจากการทำลาย ของพลังงานแม่เหล็กโลก ศพจึงไม่เน่าเปื่อยและรอวันที่จะมีชีวิตคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้นพีระมิดทั้ง 3 องค์ได้ถูกสร้างเพิ่มเติมจนกลายเป็นมหาพีระมิดที่มีขนาดแตกต่างกันเป็นองค์ ใหญ่ องค์กลาง และองค์เล็ก ตามลำดับ ดังที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้


องค์สฟิงซ์และพีระมิดทั้ง 3 องค์มีความสัมพันธ์ และมีความหมายซึ่งกันและกันเป็นอย่างยิ่ง ลึกลงไปใต้พื้นดินของเท้าคู่หน้าข้างขวาขององค์สฟิงซ์ จะเป็นแร่มโนธาตุสีดำชนิดเดียวกับที่เป็นแผ่นหินใหญ่สีดำที่ปิดทับส่วนที่ เป็นโพรงพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง ซึ่งกลไกของการทำงานจะเกิดขึ้นเมื่อครบวาระ 10,000 ปี และผู้ทรงพลังจิตได้กลับมาเกิดใหม่ เพื่อทำหน้าที่ตามสัจจะที่เคยให้ไว้ โดยการใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณจากดาวอังคารมาที่จมูกของสฟิงซ์เท่ากับเป็น การปลุกหรือสร้างความมีชีวิตใหม่ให้แก่องค์สฟิงซ์

 

พลังกระแสลมปราณจะพุ่งลงไปหาแร่มโนธาตุสีดำที่อยู่ใต้เท้าขวาข้างหน้า พลังมโนธาตุและพลังกระแสลมปราณจะพุ่งต่อไปยังโพรงพลังงานศูนย์กลางของโลก ซึ่งอยู่ใต้พีระมิดองค์กลาง และดันแผ่นหินสีดำเผยอออก และ “ลม” หรือพลังงานยังถูกดันต่อไปถึงศูนย์กลางของพีระมิดอีก 2 องค์ จนในที่สุด “ลม” หรือ “พลังงาน” นั้นถูกดันไปจนถึงอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ฝังตัวนิ่งสงบอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก

 


การคืนสัจจะได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 แต่เงื่อนไขสำคัญที่สุดที่จะช่วยดึงให้อาณาจักรแอตแลนตีส โผล่ขึ้นมาก็คือ ได้มีการใช้อาวุธเส้นแสงอีกครั้ง ซึ่งชนวนของการเกิดสงครามใหญ่ก็ได้ส่อเค้าให้เห็นกันบ้างแล้ว

 

พุทธศาสนาของพระสมณโคดม (บทส่งท้าย)
ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมได้สืบทอดอายุมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลาประมาณ 2,500 ปีแล้ว และจะดำรงอยู่ต่อไปจนครบ 5,000 ปี ยุคปัจจุบันนี้ เรียกกันว่า เป็น “ยุคกึ่งพุทธกาล” ที่หลักธรรมคำสอนของพระสมณโคดมถูกบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไปจากคำสอนเดิมที่ได้ รับการชำระและสังคายนาในครั้งแรก หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน เมื่อพุทธศตวรรษที่ 2 (พ.ศ. 200-300) ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ได้โปรดให้ส่งพระสมณฑูต 2 รูป นามว่า พระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระ ออกเดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ

 


พระโสณะเถระเป็นพระอรหันต์ ส่วนพระอุตตระเถระเป็นพระสงฆ์ที่ทรงพลังจิต (มีฤทธิ์) ได้แสดงฤทธิ์โดยการสร้างเท้าขวาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากและกดประทับฝ่าเท้าลงบน แผ่นหิน ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในหลายบริเวณของดินแดนสุวรรณภูมิ สร้างความเข้าใจผิดให้แก่เหล่าพุทธศาสนิกชนและผู้พบเห็นในยุคต่อมาตราบจน ปัจจุบัน โดยเข้าใจว่าเป็นรอยเท้าของพระพุทธองค์ ซึ่งถ้าศึกษาจากประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่าในช่วงที่ทรงมีพระชนม์ชีพและทรงเผย แพร่พระพุทธศาสนานั้น พระสมณโคดมไม่เคยเดินทางมายังดินแดนแถบสุวรรณภูมิเลย

 

พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญสูงสุด จนเรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว หลังจากเวลาที่ผ่านไปกว่า 1,000 ปี พระพุทธศาสนาได้แยกย่อยออกเป็นหลายนิกายหลายลัทธิ และลัทธิสำคัญได้เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้งในรัชสมัยของพ่อ ขุนรามคำแหงมหาราช คือลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งมีสิ่งที่แตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอยู่หลายประการ เช่น พระสงฆ์เริ่มฉันเนื้อสัตว์, มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ให้มีสมณศักดิ์ ฯลฯ

 


จากยุคสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา-กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ระยะเวลาผ่านไปอีกร่วม 1,000 ปี การถ่ายทอดและสืบทอดหลักธรรมคำสอนย่อมมีความผิดเพี้ยนเกิดขึ้นได้อย่างแน่ นอน หลักธรรมและวิธีฝึกปฏิบัติที่ถูกต้องยังคงมีเหลืออยู่ไม่ได้สูญหายไปจนหมด สิ้น เพียงแต่บุคคลที่สนใจจะมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นความถูก ต้องเหล่านั้นหรือไม่ (หรือจะรอเวลาให้เกิดเหตุการณ์ “การวนรอบ” เสียก่อนจึงค่อยคิด)

 


พลังงานเสียง พลังงานแสง ตลอดจนธาตุบริสุทธิ์ของพระสมณโคดมยังคงเป็นพลังงานที่มีอยู่ในโลกนี้ ฉะนั้นผู้รู้ ผู้มีพลังจิต ยังคงสามารถเข้าไปค้นพบพลังงานเสียง พลังงานแสง (ภาพพระพุทธองค์) และพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ได้อยู่เสมอ ตราบจนกระทั่งครบ 5,000 ปี ซึ่งในวันนั้น พลังงานเก็บพลังงานตกค้างทุกชนิดของพระสมณโคดมจะมารวมตัวกันและถูกทำลายโดย เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) จนหมดสิ้น

 

เป็นการปิดฉากพระพุทธศาสนาที่มีศาสดาทรงพระนามว่า “พระสมณโคดม” และเมื่อถึงยุคของศาสดาองค์ใหม่ที่ทรงพระนามว่า “ศรีอารยเมตไตรย” จะเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้คนในยุคนั้นจะมีอายุยืน มีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติธรรมได้นาน เนื่องมาจาก “แกนพลังงานโลก” ได้คืนกลับมาสู่ความเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว (ได้กลับคืนสู่สภาพปกติก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานแล้ว)

 

 

ที่มาข้อมูล

http://board.palungjit.com/f2/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AF%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AF-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7-274974-7.html







ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด วันที่ตอบ 2011-04-04 22:11:45


ความคิดเห็นที่ 14 (1538861)

อัพเดทข้อมูลใหม่ล่าสุด 3 เมษายน



....หาก เป็นการนั่งเพื่อความสงบ สบาย เป็นสมถะ

ยังคงให้หันหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้

ซึ่งเป็นเส้นเขตแบ่งระหว่างกาแลคซี่เบา( ไตรแองกูลั่ม)
และ กาแลคซี่หนัก( ทางช้างเผือก )


..แต่ขั้นตอน ที่จะนึกส่งเส้นแรงแม่เหล็ก และของเสียที่ออกจากตัวหลังการอาศัยพลังสองแกแลคซี่ช่วยเขย่าตัว ให้นึกไปทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ไปเท้าขวาสฟิงค์.....................................


เพื่ออ้อมรอยแตกของแผ่นดินไหวที่พม่า

เพราะพบว่า เส้นแรงแม่เหล็กที่ขับออกจากตัวและ พลังการนึกส่งของเสีย จะไปไม่ถึงเท้าขวาสฟิงค์ มีแรงดูด
จากจุดดำ ที่รอยแยกสะแกงที่พม่าดูดลงไป


เพื่อ หลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนร่วมจากกรรมที่จะเกิดหากจะมีการไหวตัวที่พม่าต่อ ไป เราจึงต้องส่งพลังจิตเลี่ยงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือแทน


.......แกนหมุนที่ใต้เท้าขวาสฟิงค์ ยังคงทำงานอยู่

ยังคงส่งไปได้อยู่นะครับ เพื่อฟอกปราณและพลังงานดีให้กลับขึ้นมาบนโลก จะมีผลต่อความแรงของแผ่นดินไหวที่รุนแรงน้อยลง



วันที่ 7-8-9 เมษายน มีอบรมที่สวนบูรณรักษ์ธรรมที่อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

วันที่ 9 เมษายน ดำหัวขอขมา ขอพร จากพระอาจารย์


เพื่อช่วยกันลดความแรงของภัยพิบัติ เราไม่ได้เปลี่ยนภัยพิบัติ แต่ให้โอกาสชาวโลกในการช่วยเหลือตนเอง
อีกครั้ง ก่อนการตอบแทนครั้งใหญ่กว่านี้จากธรรมชาติจะมาถึง

 

อนุโมทนาข้อมูล จากคุณนักรบเงา แห่งเว็บพลังจิต

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด วันที่ตอบ 2011-04-04 22:18:23


ความคิดเห็นที่ 15 (1538867)

เส้นแรงแม่เหล็กโลกที่ไหลเวียนในโลก พุ่งจากขั้วโลกใต้ และ กลับเข้าทางขั้วโลกเหนือ เป็นส่วนใหญ่

บางกลุ่มจะหมุนเป็นเกลียวสว่านขึ้นไปในอากาศ , หมุนเป็นเกลียวจากขั้วโลกใต้ไปขั้วโลกเหนือ, หมุนเป็นเกลียวจากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้


เส้นแรงแม่เหล็กโลกและลมปราณที่มีผลต่อสัตว์โลกนี้จะอาศัยกัน

ลมปราณจะอาศัยเส้นแรงฯ นำมันเข้าไปในตัวสัตว์โลก ทำให้สัตว์โลกดำรงชีพอยู่ได้ตามปกติ

และอาศัยเส้นแรงแม่เหล็กเข้าไปในแกนกลางโลกและส่งออกมาอีกครั้ง วนเป็นวัฏฏจักร

ประเภทลมปราณที่มีคุณต่อร่างกาย แบ่งเป็นรูปแบบง่ายๆคือ

ลมปราณสีเหลือง มาจากศูนย์กลางดาราจักร สะสมมากที่ดวงอาทิตย์ สำคัญต่อเลือดและร่างกาย เป็นลมปราณที่มีธาตุไฟมาก


ลมปราณสีขาว มาจากศูนย์ฯดาราจักร สะสมไว้มากที่ดวงจันทร์ เป็นธาตุเย็นหรือธาตุน้ำ เป็นพลังลมปราณที่ทำให้เกิดสภาพรู้ต่างๆ

ลมปราณไร้สี มีความใส มีความละเอียดมาก รองรับการมีอยู่ของปราณขาวและเหลือง เป็นพลังต้นกำเนิดของความนึกคิด

ลึกละเอียดกว่าลมปราณไร้สี คือ ความว่างทีรองรับสรรพสิ่ง



ปัจจุบัน การแกว่งตัวของโลกเสียสมดุลย์

จากการที่ สภาพมลภาวะที่สูงขึ้นจนน่ากลัว ไม่ว่าสารกัมมันตภาพรังสีที่เป็นโทษ ไอน้ำมัน สารซีเอฟซี ควันไฟจากการเผา ฯลฯ มีมากจนทำให้โลกเสียสมดุลย์ ไอน้ำมันทำให้อากาศหนัก ปราณต่างๆเคลื่อนตัวยาก ทั้งปราณในอากาศและปราณที่มีในที่ต่างๆ

ที่จะเคลื่อนเข้าสู่ตัวสัตว์โลกและเข้าสู่แกนกลางของโลก ก็ทำได้ยากขึ้น

อนุโมทนาข้อความจากคุณ นักรบเงา แห่งเว็บพลังจิต

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด วันที่ตอบ 2011-04-04 22:37:36


ความคิดเห็นที่ 16 (1539495)

   ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ...

                   จากที่ได้อ่านในกระทู้ด้านบนเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านพระอาจารย์รัตน์ เผยแพร่ผ่านลูกศิษย์ก็เป็นสิ่งที่บางทานอาจจะเชื่อหรือไม่ก็ตามก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของแต่ละท่านนะครับ อย่าได้ไปตำหนิคนที่ไม่เห็นด้วยเลยครับ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องอ่านและรับรู้ด้วยจิตพิจารณาด้วยจิต ซึ่งจิตของแต่ละท่านก็มีความหยาบมีความละเอียดไม่เหมือนกันนะครับ รวมทั้งการสะสมบุญบารมีมาไม่เหมือนกันนะครับ ก็มีคนน้อยนิดนึงเท่านั้นที่จะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเลย ก็จะเข้าใจยาก เพราะจิตจะหยาบกว่าคนที่ได้ปฏิบัติธรรมสมำเสมอนะครับ

                    ก็เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลนะครับ  แต่สำหรับผมแล้วจากที่เคยได้อุปสมบทอยู่กับพระอาจารย์มา1พรรษา ก็ได้ศึกษาเรื่องต่างๆๆมากมายที่เกี่ยวกับสมาธิ ของพระอาจารย์ หรือเรื่องที่ทุกท่านกำลังถกเถียงกันก็ดี ในเรื่องภัยธรรมชาติที่กำลังจะเกิดขึ้น และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามกระแสคำทำนายต่างๆ ว่าจะเกิดภัยพิบัติแก่โลกของเรา จนทำให้บางประเทศหายไปจากแผนที่โลก ก็ตามที จากคำเตือนต่างๆที่เริ่มออกมาหนาหูมากขึ้น ก็เพื่อที่จะเตือนสติให้ทุกคนอยู่ในความไม่ประมาท ให้หมั่นทำความดีเยอะๆ ทำบุญเยอะๆ ทำจิตใจให้ขาวบริสุทธิ์ เพื่อที่เราจะได้มีสติยามเมื่อเกิดเหตุร้ายได้ เพื่อเป็นทางรอดหนึ่ง เพราะคนเราไม่มีใครหนีความตายไปได้นะครับ แต่หากว่าเราตายแบบมีสติ รู้จักการปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับสิ่งใด จิตของเราก็จะพบแต่แสงสว่างนะครับ

                     ส่วนที่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตอบไม่ได้นะครับ แต่สิ่งที่พระอาจารย์ได้กล่าวไว้สมัยที่ผมบวชอยู่กับท่านพระอาจารย์ มีอยู่ 5 เรื่อง ล้วนเกิดขึ้นจริงหมดแล้ว.....(ผมบวชปี พ.ศ.2542)  เหลืออยู่เรื่องเดียว ที่ยังไม่เกิด ก็เรื่องที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี่แหละครับ

ก็ขอให้ทุกท่านอยู่ในศีลธรรมอันดีนะครับ แล้วชีวิตจะมีความสุขจากภายใน นะครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลูกศิษย์พระอาจารย์ วันที่ตอบ 2011-04-08 12:19:02


ความคิดเห็นที่ 17 (1539496)

 

ก็ขอให้ทุกท่านอยู่ในศีลธรรมอันดีนะครับ แล้วชีวิตจะมีความสุขจากภายใน นะครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลูกศิษย์พระอาจารย์ วันที่ตอบ 2011-04-08 12:19:02

 

 

ขอขอบพระคุณ อย่างสูงค่ะ

ในความกรุณา

ขออนุโมทนาบุญ กับธรรมทานค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว วันที่ตอบ 2011-04-08 12:32:50


ความคิดเห็นที่ 18 (1539527)

อนุโมทนากับธรรมทานจากคุณ ลูกศิษย์พระอาจารย์ ด้วยนะคะ

อ่านแล้วเหมือนมีแสงสว่างมาส่องที่ใจ

ยังไงก็แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนชาวเว็บบ้านสวนฯบ่อยๆนะค๊า...

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด วันที่ตอบ 2011-04-08 17:23:01


ความคิดเห็นที่ 19 (1539597)

ขออนุโมทนากับบทความที่พี่ชนิดานำมาให้อ่านกัน

ตอนนี้ง่วงมาก อ่านไปก็มึน แต่ก็อ่านจบจนได้ จะหาเวลาทบทวนอีกรอบนะคะ

และขออนุโมทนากับลูกศิษย์พระอาจารย์ด้วยคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร วันที่ตอบ 2011-04-08 22:44:58


ความคิดเห็นที่ 20 (1539638)

น้องทรายขออนุโมทนาสำหรับธรรมทานที่

พี่ชนิดาและคุณธนา

นำมาให้พวกเราญาติธรรมบ้านสวนฯทุกคนด้วยนะค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องทราย (นางสาวลักขณา ศรประสิทธิ์) วันที่ตอบ 2011-04-09 10:50:51


ความคิดเห็นที่ 21 (1568231)

มีเรื่องราวอีกมากมายที่เราควรรู้ แต่เราไม่เคยรู้

ลองอ่านลองศึกษากระู้ทู้นี้ดูนะคะ

แล้วคุณจะได้รู้ทุกๆคำตอบ ที่คุณสงสัย

ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ อย่างน้อยอ่าน คห.ที่ 13 ของกระทู้นี้ให้จบ

ก็ถือว่า เลิศแล้ว..

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-08 07:04:59


ความคิดเห็นที่ 22 (1568344)

 การฝึกอบรม(รักษาโรค+ธรรมะ) ประจำปี 2554


การอบรมที่กรุงเทพ จัดที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ห้องกาหลา ชั้น 3 โรงแรมสวนดุสิตเพลส

25-26 มิ.ย. 2554
23-24 ก.ค. 2554
17-18 ก.ย. 2554  (งานแสดงมุทิตาจิต เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดพระอาจารย์ 15.00 น. 18 ก.ย.)
26-27 พ.ย. 2554

ติดต่อสำรองที่นั่งที่ กองพัฒนานักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โทร 02-2445190-3

ขั้นตอนการสำรองที่นั่ง โอนเงินค่าอบรม 1,100 บาท เข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เลขที่ 420-1-72088-0 ชื่อบัญชี: โครงการวิปัสสนา พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ โอนเงินแล้วแฟกซ์หลักฐานไปที่ 02-243-6664 ไม่ต่ำกว่า 3 วันก่อนการอบรม




Meeting ศิษย์เก่าพระอาจารย์รัตน์ ที่ KU Home ครั้งที่ 3

พบพระอาจารย์รัตน์ที่ KU Home ในวันที่ อาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2554 เวลา 9.00 - 16.00 น. ห้องประชุมชั้น 2

ถาม-ตอบปัญหา , พบปะพูดคุย , นั่งสมาธิ (รับเฉพาะศิษย์เก่า)  ค่าใช้จ่ายท่านละ 600 บาท

(งานแสดงมุทิตาจิต เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดพระอาจารย์ 15.00 น.)

สอบถามรายละเอียด / สำรองที่นั่ง ติดต่อ คุณอินทิรา 084-671-9877

ท่านที่มีเหรียญพีระมิดรุ่นเก่า สามารถนำมาแก้ไขให้เป็นรุ่นปัจจุบันได้ที่หน้างาน 



สวนบูรณรักษ์ธรรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 

มีการจัดฝึกอบรมให้เป็นธรรมทาน ทุกๆ สัปดาห์ที่ 1 หรือ 2 ของแต่ละเดือน โดยให้ผู้สนใจหรือผู้ป่วยเข้าพักค้างคืน ครั้งละ 3 วัน 2 คืน รับได้ครั้งละไม่เกิน 50 คน

ผู้สนใจกรุณาติดต่อสำรองห้องพักที่ ป้าทองม้วน 089-635-9579   

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-08 20:25:33


ความคิดเห็นที่ 23 (1568346)

 โซบิเดย์ไปอบรมฯเกือบทุกเดือนมีหยุดไป2เดือนนี้เองเพราะถือศีล  วันที่11กันยานี้ก็จะไปอบรมฯเช่นกัน  ถ้าใครอยากไปดูตารางอบรมฯได้คะ่

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-08 20:32:38


ความคิดเห็นที่ 24 (1568399)

อนุโมทนากับข้อมูลการอบรมจากคุณโซบิเดย์ด้วยนะคะ

โห..คุณโซบิเดย์ ไปร่วมอบรมทุกเดือนเลยเหรอคะเนี่ย..

ขยันจริงๆเลย อนุโมทนาด้วยนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-09 07:35:14


ความคิดเห็นที่ 25 (1568654)

ขออนุโมทนาบุญค่ะ คุณโซบิเดย์ สาธุ

ขอบพระคุณมากๆค่ะ ที่ให้ทางสว่าง

หนูกำลังจิตตกว่าไม่ได้ไปบ้านสวนพีระมิด

ทำยังไงจะได้ไปกราบพระอาจารย์รัตน์

ก็ได้ทราบแล้วขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แอ๊ด อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-10 13:32:51



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.