ReadyPlanet.com


ค้นหาความลับของชีวิต ผ่านสายตา'ศ.ดร.นพ.'เทพนม เมือนแมน'


user image

 
หลายคนอาจคุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้ในฐานะกูรูเรื่องมนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโอ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ให้ ความสนใจ เพราะนอกจากนี้เขายังสนใจปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาคำอธิบายไม่ได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหลังความตาย การเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ และที่สำคัญเขายังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทยอีกด้วย
       
       แน่นอนว่า หลายคนอาจจะมองว่าเขาเพี้ยน และไม่เข้าใจ ทำไม ศ.ดร.นพ.เทพนมถึงต้องศึกษาเรื่องพวกนี้ด้วย เพราะฉะนั้นบทสัมภาษณ์นี้จะขอรับอาสาเป็นกุญแจที่จะมาเปิดเผยถึงตัวตนและแรง บันดาลใจของผู้ชายคนนี้ว่าคืออะไรกันแน่

       



ผู้ตั้งกระทู้ โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-07 12:30:35


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1562552)
image

  คุณหมอเริ่มสนใจเรื่องทางค้นคว้าทางจิตตั้งแต่เมื่อไหร่?

       ผมสนใจมานานแล้ว เชื่อไหมผมเห็นวิญญาณตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ ตอนนั้นคุณตาผมไปทำงานอยู่ที่บริษัทป่าไม้ศรีราชา แล้วตกรถไฟตาย แต่ไม่มีใครรู้ เพราะสมัยก่อนต้องใช้เวลา 3-4 วัน ต้องข้ามแม่น้ำบางประกง แต่วันที่ท่านเสียนั่นเอง ท่านมาหาที่บ้านตอนเช้าประมาณตี 5 กว่าๆ เรียกผมลั่นเลย “แดงๆๆๆ เปิดรับหน่อย ตาเข้าบ้านไม่ได้” คุณพ่อคุณแม่ก็ได้ยินหมด ผมก็งงเพราะคุณตาก็มีกุญแจเปิดบ้านไขเข้ามาได้
       
       คุณแม่ผมก็เลยบอกให้ไปเปิดประตู พอลงไปก็เจอคุณตายืนอยู่ รูปร่างเป็นคนปกติ ไม่เหมือนคนตาย แล้วท่านก็บอกว่ามาเยี่ยม แต่เข้าบ้านไม่ได้ ผมก็เลยเชิญท่านเข้ามา แล้วจู่ๆ ท่านก็บอกว่านึกขึ้นมาได้ว่าต้องเยี่ยมน้องชายที่พม่า ไว้วันหลังจะมาเยี่ยม แล้วก็เดินหายไปเลย หลังจากนั้นอีก 2 วันถึงรู้ว่าท่านตายแล้ว
       
       ตอนนั้นกลัวไหม?
       
       (ส่ายหน้า) น้องๆ ผมกลัวหมดเลย แต่ผมไม่กลัว เพราะท่านเลี้ยงผมตั้งแต่เล็กๆ มาทีไรก็ซื้อของเล่นมาฝากทุกที แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือเมื่อคุณตาตายแล้วเป็นผี ทำไมรูปร่างถึงเหมือนคนปกติ พูดจาเหมือนคนปกติล่ะ ผมก็เลยไปคุณน้าของผม พล.ท.สมาน วีระไวทยะ ซึ่งท่านฝึกสมาธิอยู่แล้วมาช่วยอธิบาย ผมก็เริ่มสนใจตั้งแต่นั้นมา แต่ยังไม่จริงจังอะไรมาก
       
       จนกระทั่งมาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิชาฟิโลโซฟี (Philosophy - ปรัชญา) ศาสตราจารย์ที่สอนก็มาบอกว่า มีเรื่องสำคัญในชีวิตที่มนุษย์น่าจะศึกษาให้รู้ความจริง ข้อหนึ่ง เราเกิดมาจากไหน เป็นใคร แล้วข้อสอง เกิดมาที่โลกนี้ เราทำอะไรอยู่ที่นี้ เกิดมาสัก 100 ปีแล้วก็ตายจากไป เคยคิดไหมว่าวัตถุประสงค์ของชีวิตมาอยู่ทำอะไร และข้อสุดท้ายหลังจากนั้นเราไปไหนต่อ แล้วแกก็ให้ไปหาคำตอบมา
       
       แล้วคุณหมอตอบได้ไหม?
       
       ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ผมก็ตอบไม่ได้ แต่แกบอกว่า ถ้าเราเรียนเรื่องนี้จะทำให้เรามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น มีศีลธรรมมีจริยธรรมอันดี เพราะมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกเยอะเลย ที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้และน่าสนใจ อย่างอาจารย์ผมที่ชื่อเวลเลอร์ (โทมัส ฮักเคิล เวลเลอร์) แกเก่งมาก เพราะเป็นผู้คนพบเชื้อโปลิโอเลยได้รางวัลโนเบลเคยเล่าให้ฟังว่า เดิมเขาเป็นแพทย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็เลยเชื่อว่าตายแล้วสูญ แต่ตอนนี้ไม่เชื่อแล้ว เราก็เลยถามว่าอะไรที่เปลี่ยนใจแก เพราะเรื่องผีแกก็ไม่เชื่อ แกก็เลยเล่าให้ฟังต่อว่า เช้ามืดคืนหนึ่งตื่นขึ้นมา แล้วเห็นแม่ซึ่งอยู่ที่แคลิฟอร์เนียมานั่งที่ปลายเตียง ก็แปลกใจว่าแม่มานั่งอยู่ได้ไง เพราะแกอยู่บอสตันซึ่งห่างไป 3,000 ไมล์ หลังจากนั้นแม่ก็บอกว่า ทอมฉันตายไปแล้ว แต่ฉันรักเธอมากก็เลยมาเยี่ยม แล้วก็เลือนหายไป พอสายๆ หน่อย น้องเขาที่ดูแลแม่อยู่ก็โทร.มาบอกว่า แม่ตายแล้ว เขาก็บอกเลยว่ารู้แล้ว แม่มาหาฉัน น้องก็หัวเราะใหญ่เลยบอกบ้าหรือเปล่า คุณได้รางวัลโนเบลนะ ผีไม่มีจริงหรอก
       
       จริงๆ มีอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นผมเป็นคณบดีคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วมีอาจารย์คนหนึ่งเป็นอาจารย์ทันตแพทย์เกิดอุบัติเหตุที่กลางดง กระเด็นออกจากรถแล้วหัวฟาดพื้นตาย เผอิญแกมีเพื่อนรักอยู่คน เป็นอาจารย์ที่ผมส่งไปเรียนที่นอร์ทแคโรไลนาแล้วเขาใกล้จะสอบ ผมก็เลยสั่งไว้เลยว่า ห้ามใครโทรไปบอกว่าภาณุตายแล้ว เดี๋ยวเขาจะเศร้าแล้วดูหนังสือไม่ไหว แต่แปลกนะที่จู่ๆ เขาก็โทรมาบอกผมเองว่า เมื่อคืนตอนเช้า ภาณุไปหาผม แล้วมาบอกว่าเขาตายแล้วก็เลยมาลา และทุกคนเวลาตายแล้วต้องเป็นผี
       

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 12:33:57


ความคิดเห็นที่ 2 (1562554)

    เจอคนเล่าเรื่องผีแบบนี้เยอะๆ คุณหมอเชื่อไหม?
       
       ผมเชื่อ เพราะเรื่องผีคือเรื่องแรกๆ ที่ผมศึกษาเลย ผีมีจริงไหม ตายแล้วไปไหน คือตอนที่ผมเข้าเรียนเตรียมแพทย์ วิชาที่เกี่ยวศาสนาผมเรียนหมดเลย เพราะผมสนใจ และฝรั่งเองก็พยายามเอาวิทยาศาสตร์มาศึกษาไสยศาสตร์ว่าเป็นยังไง เอาเครื่องมือมาตรวจสอบว่า ทำสมาธิแล้วสุขภาพดีหรือเปล่า ซึ่งเขาพบว่า พอเราทำสมาธิได้ดีแล้ว ชีพจรจะเต้นช้าลง ลมหายใจก็จะลดลง และถ้าคนไหนได้ฌาน คลื่นสมองจะเต้นช้ามาก จากเดิม 40 ครั้งต่อวินาที จะเหลือแค่ 4-5 ครั้งเท่านั้นเอง ซึ่งพอเต้นช้าแบบนี้จะสามารถรับสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตระดับอื่นได้ เรื่องแบบนี้แหละที่ฝรั่งมันศึกษา เพราะน่าสนใจ และเขาก็มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เวลามาสอนมีหนังสือให้อ่านเยอะเลยนะ
       
       คือเขาสอนเรื่องนี้เป็นของปกติ?
       
       ใช่ ที่สหรัฐอเมริกามีร้อยกว่ามหาวิทยาลัยที่เปิดสอนเรื่องนี้ ผมก็พยายามขอเปิดสอนที่เมืองไทย แต่เขาไม่เอา เขาหาว่าผมบ้า เขาไม่เปิดใจกว้าง ผมก็เลยบอกว่าถ้าบ้าแล้วจบฮาร์วาร์ดมาได้ยังไง และผมก็เป็นคนไทยคนเดียวที่ได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่นของที่นั่นด้วย
       
       ที่สำคัญที่ฮาร์วาร์ดก็สอนเรื่องนี้เป็นปกติไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะเขามีคำขวัญว่า ความจริงเท่านั้นที่ทำให้พ้นจากอวิชชาหรือไม่รู้ เพราะหลายๆ อย่างที่เราเชื่อว่าเป็นความจริงแต่มันไม่ใช่ เช่น แต่เดิมเราเชื่อว่าโลกแบน แต่จริงไม่ใช่ โลกมันกลมต่างหาก หรือโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางแต่หมุนรอบดวงอาทิตย์เราถึงต้องหาทางพิสูจน์ไง
       
       กลับมาที่เรื่องผีต่อดีกว่า คุณหมอมีวิธีศึกษาเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
       
       ผมถามผู้รู้ อย่างตอนแรกเลยก็ถามคุณน้า แล้วก็มีพวกพระซึ่งท่านก็มักจะบอกว่าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เรา นอกจากนั้นก็หาหนังสือมาอ่าน แต่อย่างว่าอยู่เมืองไทยของแบบนี้ก็หายาก ขณะที่พอไปอยู่อเมริกาหาง่ายมากเลย อะไรๆ มันเปิดไปหมด ทั้งทีวี วิทยุ โปรแกรมไล่ล่าผีก็มี แล้วสมัยนั้นเครื่องมือก็ไม่มีพร้อม แต่เขาก็พยายามเข้าทรงบ้าง เล่นผีถ้วยแก้ว ซึ่งอันหลังนี้ ผมก็เล่น ซึ่งเพื่อนๆ จะชอบให้ผมเป็นคนเชิญ เพราะพอผมเชิญทีไร ผีมาทุกทีเลย (หัวเราะ)
       
       คิดว่าทำไม?
       
       ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เขาบอกว่าผมติดต่อกับวิญญาณได้ และที่ฮือฮามากคือ ตอนนั้นผมเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่ที่บอสตัน เราก็ต้องอยู่เวร ช่วงดึกๆ มันไม่มีอะไรทำไง เพื่อนฝรั่งผมก็ไปชวนเล่นผีถ้วยแก้ว ตอนแรกมันเชิญเอง ทำยังไงก็ไม่เข้า มาตอนหลังให้ผมเชิญ วิ่งทุกคืนเลย (หัวเราะ) จำได้ว่ามีตัวหนึ่งบอกว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งอินเดียแดง
       
       อย่างนี้เราต้องมีวิธีเชิญแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?
       
       (ส่ายหน้า) แค่ทำสมาธินิดหน่อยก็ติดต่อได้แล้ว คือก่อนอื่น เราต้องทำจิตให้สงบก่อน เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก ทำสมาธิให้ได้สมถกรรมฐาน ซึ่งบางคนไม่รู้นะว่าทำแล้วจิตสงบหรือยัง แต่ที่ฮาร์วาร์ดเขาพัฒนา มีกระดาษพิเศษติดที่มือ ไว้วัดพลังจิต ซึ่งถ้าจิตสงบ เส้นเลือดฝอยที่มือมันจะขยายขึ้น กระดาษก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ส่วนเราก็ทำสมาธิไป บอกตัวเอง จิตสงบๆ แล้วก็ค่อยเหลือบตาดูว่า กระดาษเปลี่ยนหรือยัง
       
       แต่ถ้าเราอยากจะติดต่อหรือสัมผัสวิญญาณได้ ก็ต้องฝึกต้องศึกษาเพิ่มเติม อย่างผมก็ศึกษาอยู่กับหลายอาจารย์เหมือนกัน เพราะจิตต้องสงบมากๆ คือทางพระเขาบอกว่าต้องได้ฌาน 4 ขึ้นไปถึงจะเห็นวิญญาณได้
       
       เท่าที่ศึกษามา ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับวิญญาณคืออะไร?
       
       เอาง่ายๆ คือคนปกตินี้อยู่ในมิติที่สาม คือ กว้าง ยาว ลึก แต่เราควบคุมเวลาไม่ได้ แต่พอเราตายปุ๊บ เราไปอยู่ในมิติที่สี่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ แต่มันไม่เหมือนมิติที่สาม เพราะพวกผีอยากจะไปไหน พอนึกปุ๊บก็ไปอยู่เลย แล้วเราเองก็มองเขาไม่เห็น เพราะผีไม่มีวัตถุ มีแต่พลังงาน ซึ่งหากมีมากก็อาจเปลี่ยนส่วนหนึ่งเป็นวัตถุให้เราเห็นตัวได้ อย่างคุณแม่ผม (คุณหญิงพิณพากย์พิทยาเภท (จำนงค์ เมืองแมน) อดีตคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ที่ตายไปสิบกว่าปี ผมก็ถ่ายภาพได้ แถมถ่ายที่หอประชุมมหาวิทยาลัยมหิดลอีกต่างหาก
       
       แสดงว่าที่ผ่านมาก็ถ่ายภาพติดวิญญาณได้เยอะเหมือนกัน?
       
       เยอะเลย เพราะคนเราตายไปแล้วพลังงานมันเหลืออยู่ แล้วเราก็สามารถใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ถ่ายภาพหรือติดต่อทางจิตได้ อย่าง ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช (อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่ ฮ.ตกที่น่าน คนนี้ถือเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิผมเลยนะ ตอนนั้นวันที่ 22 สิงหาคม 2553 เขามีพิธีก็เลยเชิญผมไปที่วัดศรีมหาธาตุให้ดูว่าวิญญาณออกมาจากภูเขาแล้ว หรือยัง ผมก็ตั้งจิตอธิษฐานจากนั้นถ่ายรูปตอนกลางคืน ซึ่งก็ถ่ายวิญญาณออกมาได้ (มีวิญญาณอยู่สองจุด เพราะตรงนั้นมีโกศของ ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช และสหัส บุญญาวิวัฒน์ อดีตที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง)
       
       รู้ได้ยังไงว่าวิญญาณใครเป็นใคร?
       
       รู้ครับ เพราะผมทำสมาธิ แล้วเขาบอกเลยว่า ผม...ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเขายังฝากให้บอกพวกญาติพี่น้องของคนอื่นๆ ด้วยว่าพวกเราห้าคนออกจากภูเขาหมดแล้ว ผมก็ถามจริงเหรอ เขาก็บอกว่าจริง ไม่เชื่ออาจารย์ถ่ายรูปวิญญาณผมก็ได้ แต่เขาไม่เป็นร่างนะ เป็นวงกลมๆ สีขาวๆ
       
       วิญญาณแบบไหนที่สามารถถ่ายรูปได้ เพราะบางคนก็ถ่ายออกมาเป็นรูปขาวๆ บางคนก็ถ่ายออกมาเป็นรูปเป็นร่าง?
       
       มันแล้วแต่ บางคนถ้ามีพลังจิตสูงก็สามารถเปลี่ยนจากพลังเป็นวัตถุได้ คือต้องสูงเท่ากับ E=mc2 แต่แบบนี้ทำไม่ง่ายนะ มีน้อยมาก เพราะที่สหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษก็ศึกษาเรื่องนี้กันแยะเลย
       
       แล้วช่วงอายุของวิญญาณล่ะ ปกติจะอยู่ได้นานแค่ไหน?
       
       เท่าที่ผมศึกษามา 20 กว่าปี พอตายปุ๊บ จะเหลือแต่ E (energy พลังงาน) เท่านั้นแหละ แต่ m (mass มวล) มันหมดแล้ว ดังนั้น E ก็ต้องไปตามทางของมัน ซึ่งโดยปกติแล้ว วิญญาณจะอยู่ติดอยู่กับร่างจนกว่าจะถูกเผาหรือทำลายไป ประมาณเดือนครึ่งถึงสามเดือน
       
       อย่างนี้ถ้าเก็บไว้เป็นปี วิญญาณก็ต้องติดอยู่นานเลย?
       
       ก็แล้วแต่นะ อย่างบางคนไปเลยก็มีนะ ซึ่งเรื่องพวกนี้เคยมีการศึกษาที่ฮาร์วาร์ดเหมือนกันว่าตายแล้วไปไหน แล้วมันฉีดยาเข้าเส้นให้หัวใจหยุดเต้น 5 นาทีเพราะถ้าเกินกว่านั้นสมองจะถูกทำลาย แล้วก็เอากระแสไฟฟ้ายิงที่หน้าอกให้หัวใจเต้นเหมือนเดิม ศึกษากันอยู่ 50-60 คนเลย
       
       เผอิญเพื่อนผมเขาเป็นคณบดีอยู่ที่นั่น รู้เข้าแกก็เลยเรียกมาประชุมว่าถ้าใครทำอีกจะไล่ออกจากโรงเรียนแพทย์เลย แต่หลังจากนั้นอีกอาทิตย์ก็เรียกคนที่ทดลองมาสัมภาษณ์ว่า เป็นเจออะไรมาบ้าง ปรากฏว่าแต่ละคนบอกว่า พอตายไปแล้วจะถูกพาไปเข้าอุโมงค์ดำ เพื่อไปที่แห่งหนึ่ง แล้วเขาจะไปเจอพ่อแม่พี่น้องที่ตายไปแล้วคอยรับอยู่ แต่ก่อนหน้านั้น จะมีคณะกรรมการตัดสินคล้ายๆ คณะกรรมการยมบาลของเรา เพื่อพิจารณาว่า ทำบุญทำบาปมาเท่าไหร่ โดยทั้งหมดจะถูกบันทึกอยู่ทุกวัน แล้วถึงส่งไปนรกหรือสวรรค์ต่อไป
       
       แต่ถ้าเป็นการฆ่าตัวตาย วิญญาณจะไปไหนไม่ได้ต้องติดอยู่ตรงนั้นเป็นร้อยปีเลย อย่างครั้งหนึ่ง ผมเคยไปพักที่โรงแรมในจังหวัดอุดรธานี เขาบอกว่าชั้น 5 ผีดุมากเป็นผีแหม่ม เพื่อนผมเนี่ยเจอหนักเลย เพราะตอนที่มันนอนหลับอยู่ จู่ๆ มีคนไปขยี้หัวมัน เป็นแหม่มผมทอง หน้าตาสวย นุ่งขาสั้น กำลังขยี้หัวมันอยู่ แล้วหัวเราะลั่น มันก็เลยวิ่งออกมาแล้วร้อง ผีหลอก! ผีหลอก! ตอนเช้าเราก็เลยไปถามผู้จัดการ เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า ช่วงสงครามเวียดนาม สามีของผู้หญิงคนนี้มาประจำอยู่ที่อุดรฯ แล้วก็ไปมีเมียเช่า แต่เผอิญทั้งคู่แต่งงานกันไม่กี่เดือน แหม่มคนนี้ก็เลยมาเยี่ยมสามีแล้วเจอเมียเช่า ก็เลยน้อยใจ ฆ่าตัวตาย ซึ่งเดี๋ยวนี้คนก็ยังเจอกันอยู่ ไปไหนไม่ได้
       
       หรืออย่างเรื่องที่ผมเจอเองจริงๆ ก็คือเพื่อนของลูกสาวซึ่งสนิทกับผมมาก แกก็ไปยิงสามีตายเพราะสามีมีเมียน้อย จากนั้นก็ฆ่าตัวตาย แล้วแกก็มีที่นี่ (บ้านของ ศ.ดร.นพ.เทพพนม) ตอนกลางคืนผมก็เลยทดลองอัดเทปเอาไว้ พอเช้าขึ้นมา เปิดดูก็มีเสียงร้องของเพื่อนลูกสาวดังออกมาว่า “พ่อๆ ช่วยหนูด้วย หนูตกนรกลึกเหลือเกิน มืดและทรมานมาก” ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกมากเลย เพราะเทปก็ไม่มีใครไปยุ่งแม้แต่คนเดียว แล้วเสียงมันเข้ามาได้อย่างไร
       
       ที่เล่าก็พอสรุปได้ว่าชีวิตหลังความตายน่าจะมีจริงๆ แล้วเรื่องการกลับชาติมาเกิดล่ะถือว่ามีจริงไหม?
       
       (พยักหน้า) เรื่องพวกนี้ฝรั่งไม่เชื่อ เพราะโลกนี้มีแค่ 2 ศาสนาเท่านั้นที่เชื่อ คือพุทธกับพราหมณ์ ฝรั่งถึงเชื่อว่าคนในเอเชียเท่านั้นที่มีประสบการณ์เรื่องนี้ อย่างคุณพ่อผม (หลวงพิณพากย์พิทยาเภท (ศ.นพ.พิณ เมืองแมน) อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข) ก็เคยมีประสบการณ์มาก่อน คือท่านเป็นลูกคนสวน ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แต่พอท่านพูดได้ก็จะบอกตลอดว่า ชาติก่อนหนูเกิดเป็นฝรั่งอเมริกัน แต่ชาตินี้ไม่รู้ทำไมถึงมาเกิดอยู่ที่นี่ แล้วโตขึ้นฉันจะไปหาญาติฉันที่อเมริกาและจะไปเรียนไปทำอะไรที่นั่นด้วย พวกญาติได้ยินก็หัวเราะกันหมดเลยว่าจะไปเรียนได้ยังไง เพราะสมัยก่อนคนจะไปเรียนเมืองนอกได้ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์หรือต้องเป็นขุน นางเท่านั้น ขณะที่ปู่เองก็เป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่คนเฉลียวฉลาดอะไร
       
       ไม่เพียงแค่นั้น ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า สมัยเป็นคนอเมริกันตอนตายเขาให้มายืนเรียงแถวแล้วมีน้ำให้กินลืมความจำใน อดีต แต่ท่านไม่อยากลืม ดังนั้น พอเขาเอาน้ำใส่ปาก ท่านก็อมไว้พอผ่านไปก็บ้วนทิ้งๆ ท่านเลยจำได้ ซึ่งพอโตขึ้นท่านก็เรียนสวนกุหลาบฯ ได้ที่ 1 ประเทศไทย และสุดท้ายก็ได้ทุนของในหลวงไปเรียนแพทย์ที่อเมริกาจริงๆ
       
       ตอนที่คุณพ่อเล่าให้ฟัง คุณหมอเชื่อหรือเปล่า?
       
       ตอนแรกผมไม่สนใจอะไรมากนัก (หัวเราะ) มาสนตอนหลังจากเรียนจบจากอเมริกาแล้ว คือตอนนั้นท่านก็เล่าต่อนะว่าช่วงที่เป็นนายกสมาคมค้นคว้าทางจิตฯ ก็มีฝรั่งให้เงินสิบล้านเหรียญมาให้ศึกษาเกี่ยวกับเด็กที่ระลึกชาติได้ว่า เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องตลก แต่โดยส่วนตัวเขาก็ไม่เชื่อนะ เพราะเขาเป็นคริสต์ เขาเชื่อว่าชีวิตของคนเป็นเส้นตรง พอเกิดมาโตขึ้น มีลูกมีเต้าแล้วก็ตาย พอตายแล้วก็ไปรอวันสิ้นโลก แต่พอมีคนบอกว่าชีวิตมันไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นวงรี เวียนว่ายตายเกิด เขาก็เลยสนใจ
       
       หลังจากนั้นเขาก็ตั้งคณะกรรมการมาศึกษาในหกทวีป แล้วให้คุณพ่อรับผิดชอบในทวีปเอเชีย โดยให้เลือกเด็กอายุหกถึงเจ็ดขวบพอพูดได้ เพื่อจะได้ไม่มีคนสอนให้พูดแบบนั้นแบบนี้ เลือกมาทวีปละพันคน ใช้เวลาประมาณสองปี
       
       ผลปรากฏว่าทุกทวีปพบเด็กทั้งชายทั้งหญิงที่เริ่มพูดได้ที่อ้างว่า ชาติก่อนชื่ออะไร เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน ปีอะไร ตายเมื่อใด หมดเลย แต่ฝรั่งมันก็ไม่ยอมเชื่อนะ ก็เลยต้องทำแบบสอบถามต่อว่าจริงเท็จแค่ไหน เพราะนี่เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว ผ่านไปอีกสามปี ก็พบว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่าเป็นความจริง คราวนี้ฝรั่งตกใจเลย เพราะมันแสดงว่าชีวิตไม่ได้เป็นเส้นตรง และมันยังทำให้ปรากฏการณ์นี้ไม่ธรรมดา แต่เป็นยูนิเวอร์แซล (เรื่องสากล) คือไม่ใช่แค่ในเอเชียอย่างที่เข้าใจก่อน เพราะที่อเมริกาใต้ซึ่งเป็นคริสต์ก็เจอเด็กระลึกชาติได้ ที่ตะวันออกกลางซึ่งเป็นมุสลิมก็พบเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่ได้เกี่ยวกับศาสนาแล้ว
       
       และนี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฝรั่งสนใจเรื่องพระพุทธศาสนาแยะ เพราะท่านเป็นคนที่ออกมาบอกว่า มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และการกระทำของมนุษย์เนี่ย เป็นเครื่องบ่งบอกถึงชีวิตของเขาในชาตินี้และชาติต่อไป ที่สำคัญท่านยังบอกอีกว่า การเวียนแบบนี้ หรือเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดังนั้นหากเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องหาทางออกไปจากวงเวียนนี้ให้ได้
       

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 12:38:28


ความคิดเห็นที่ 3 (1562555)

  อย่างนี้คุณหมอเคยเจอเหตุการณ์แบบตรงๆ กับตัวเองบ้างไหม?
       
       ผมเคยศึกษาเรื่องนี้กับเด็ก 300 กว่ารายนะ มีอยู่รายหนึ่ง ชื่อเด็กหญิงจินตนา แกเกิดที่สลัมคลองเตยและยากจนที่สุด แต่เผอิญแกจำอดีตชาติได้ เพราะแกจะบอกกับพ่อแม่ที่ยากจนมากตลอดว่า ชาติก่อนหนูรวยมาก ชื่อกิมลั้งเป็นเศรษฐีอยู่ที่ชลบุรี แล้วมีอยู่วันหนึ่งแม่ก็พาลูกสาวก็ไปทำบุญที่วัดมหาธาตุ ก็เลยได้เจอกับแม่ชีคนหนึ่งชื่อ แม่ชีจันทร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกันในชาติที่แล้ว พอไอ้นี่ไปเห็นก็ไปดึงผ้า แล้วบอกจันทร์จำฉันได้ไหม ฉันกิมลั้ง ฉันกลับมาเกิดอีกแล้ว
       
       แม่ชีก็เลยสนใจ แต่แกไม่เชื่อก็เลยทดสอบดูว่าแม่กิมลั้งมีลูกกี่คน ชื่ออะไร ปรากฏว่าเด็กมันรู้หมด เขาก็เลยมาบอกที่สมาคมฯ เราก็เลยพาไปที่บ้านแม่กิมลั้งซึ่งตายมาตั้งนานแล้ว ซึ่งบ้านแกก็ใหญ่มากจริงๆ
       
       พอไปถึง ลูกเขาก็ไม่เชื่อนะ ก็เลยทดสอบโดยการเอาปากกา แว่นตาอะไรเต็มไปหมดวางไว้บนโต๊ะ ผมยังเอาปากกาตัวเองไปวางเลย (หัวเราะ) แล้วให้เลือกมา 10 อย่างว่าของชิ้นไหนเป็นของแม่กิมลั้ง พอเด็กเข้ามาก็เดินยิ้มมาเลย แล้วบอกว่าทำไมฉันจะไม่รู้ ก็ฉันคือกิมลั้ง จากนั้นก็ดึงๆ ออกมาปรากฏว่าถูกหมดเลย
       
       หลังจากนั้นก็มีการทดสอบอีกเต็มไปหมดเลย เช่นโฉนดมีอะไรบ้าง เครื่องเพชรชุดนี้มอบให้บ้าง คนนี้ชื่อจริงว่าอะไร ชื่อเล่นว่าอะไร ซึ่งก็บอกถูกเหมือนกัน ทำอยู่ทั้งวัน จนมั่นใจว่าใช่แน่นอน
       
       คราวนี้เด็กก็เลยสงสัยว่า ทำไมชาตินี้ถึงเกิดมายากจน เพราะชาติก่อนแกทำบุญเยอะมาก โรงพยาบาลต่างๆ ออกเงินช่วยเป็นล้านๆ เลย เผอิญวันนั้นเราก็นิมนต์หลวงพ่อสมชาย (พระวิสุทธิญาณเถร (สม ชาย ฐิตวิริโย) ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม) มาด้วย ท่านก็เลยถามเด็กว่า “โยม ชาติก่อนจำได้ไหมว่า เงินที่ทำบุญสร้างโรงพยาบาล สร้างวัดอะไรเยอะแยะ เป็นเงินมาจากไหน” แกก็บอกว่าจำได้ เงินมาจากซ่อง มาจากบ่อนการพนัน เงินมาจากเอาเหล้าฝรั่งหลบนี้เข้า มาจากที่ไม่ดีทั้งนั้นเลยนะ ท่านก็เลยบอกว่าเงินเป็นสิบๆ ล้านแต่ได้มาจากความเดือดร้อนของผู้อื่น เพราะฉะนั้นพอมาทำบุญมันก็เลยได้น้อย เพราะต้องไปชดใช้กรรมที่เคยทำคนอื่นเข้าไว้ ก็เลยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมหนูถึงเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ยากจนที่สุด
       
       หลังจากนั้น ครอบครัวก็เลยอยากจะออกเงินให้แก 10 ล้านส่งเรียนให้จบ แต่แกไม่รับ บอกว่าจบ ปวส.พอมีพอกิน แล้วขอชดใช้กรรมในชาตินี้ให้หมดแล้วกัน เพราะถ้าหนูรับเงินของท่านก็ต้องไปชดใช้ในชาติต่อไป
       
       แสดงว่า คำพูดที่บาปกับบุญมันลบล้างกันไม่ได้ก็เป็นเรื่องจริง?
       
       ใช่ๆ ตอนนั้นผมว่าแกคงเข้าใจว่า ทำบุญเยอะน่าจะช่วยลบล้างบาปที่ทำไว้ได้ แต่จริงๆ มันทดแทนกันไม่ได้
       
       หลังเรื่องชีวิตหลังความตาย คุณหมอศึกษาเรื่องอะไรต่อ?
       
       ผมศึกษาเรื่องมนุษย์ต่างดาว คือตอนที่อยู่สหรัฐฯ ผมไปเจอจานบินลอยอยู่ 2 ลำที่มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ยังไง แต่ก็ทำให้เรารู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ ก็เลยเริ่มสนใจศึกษาตั้งแต่นั้นมา
       
       มีวิธีศึกษาอย่างไรบ้าง?
       
       ศึกษาทางจิตเนี่ยแหละ ผมทำสมาธิอยู่ตั้ง 3-4 ปี จนสุดท้ายก็ติดต่อได้ ซึ่งเขาก็บอกว่ามาจากดาวอังคาร
       
       เขาพูดภาษาไทยเลย?
       
       ไม่ๆ เขามีภาษาของเขา แต่เขาสามารถพูดภาษาไทยก็ได้ หรือจะพูดทางจิตก็ได้ แล้วเราจะรู้เลยว่าหมายความว่าอย่างไร เพราะฉะนั้นข้อจำกัดเรื่องภาษาไม่เป็นปัญหา คือมันจะเหมือนว่าเขามีเครื่องแปลภาษาที่แปลภาษาได้ทั่วจักรวาล พอเขาเพ่งทางจิตเข้าไปมันจะออกเป็นภาษาต่างๆ ได้เลย
       

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 12:42:45


ความคิดเห็นที่ 4 (1562556)

  ตอนที่คุณหมอเจอ รูปร่างเขาเป็นอย่างไร?
       
       เขามาได้หลายรูปแบบนะ บางทีก็มาเป็นเสียงบ้าง มาเป็นตัวบ้าง อย่างตอนที่ผมเจอครั้งแรกมาเป็นรูปร่างให้เห็นกับตาเลย ซึ่งปกติแล้วแบบนี้จะพบได้น้อยสุด เพราะยังมีคลื่นต่างๆ ที่เรายังไม่เห็นอีกเยอะแยะเลย ซึ่งรูปร่างของเขานั้นไม่เหมือนเรา แต่มนุษย์พยายามจะไปกำหนดให้เขาเหมือนเรา ซึ่งมันเป็นไปได้ เพราะเขาอยู่คนละดาว และที่สำคัญเขาไม่มีร่างแบบเรา แต่มีพลังงาน ซึ่งเขาสามารถควบคุมมันได้
       
       แล้วอย่างตอนที่ผมไปประชุมนาซ่าอยู่ 3 เดือนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เขาเชิญไปเพราะผมสนใจเรื่องนี้มาสิบกว่าปี และก็มีรูปอะไรเต็มเลย พอประชุมเสร็จคนที่นั่นเขาก็ขอให้ผมช่วยเชิญจานบินมาให้เขาดูหน่อย ตอนกลางคืนผมก็เลยเชิญมา ปรากฏว่าเชิญได้จริงๆ เขาก็เลยถามต่อเลยว่า ทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงมาประเทศไทย เพราะเราถือว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนา หรือพูดง่ายๆ ว่ายากจน เขาก็บอกประเทศไทยเนี่ย มีดีหลายอย่าง โดยเฉพาะเรามีประตูมิติมากสุด เพราะมนุษย์ต่างดาวจะเข้ามาในโลกนี้ได้ ต้องเข้าทางประตู ซึ่งมีแค่ประเทศไทยกับชิลินี่แหละที่มีมากสุด เขาถึงมาที่ประเทศไทยเยอะที่สุดไง
       
       จากการศึกษาเรื่องมนุษย์ต่างดาวมากๆ คุณหมอพบว่าเกิดประโยชน์อะไรบ้าง?
       
       ผมว่ามันทำให้เรารู้ว่า จริงๆ ในจักรวาลนี้มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะเลย อย่างเรื่องสิ่งมีชีวิตที่ภูมิปัญญาเก่งกว่ามนุษย์ หรือดีเท่าก็มีอยู่เยอะแยะเลย ขณะที่คนเรากลับเชื่อว่า มีแค่โลกเดียวเท่านั้นที่มีมนุษย์อาศัยอยู่
       
       ซึ่งถ้าไปลองค้นในพระไตรปิฎกจะพบว่า เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เคยมีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่า มีคนอยู่ที่ดาวดวงอื่นหรือไม่ ซึ่งท่านก็บอกว่า มีและท่านก็เคยทำสมาธิแล้วไปมาตั้ง 5-6 ดาวแล้ว ถ้าใครอยากรู้มากกว่านี้ให้ไปถามพระโมคคัลนะเพราะท่านมีฤทธิ์ และท่านชอบเรื่องนี้ (หัวเราะ)
       
       หลังจากนั้น พอผมยิ่งศึกษามากขึ้น โดยไปถามหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน (วี ระ ถาวโร) วัดจันทาราม) เพราะผมเป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านก็บอกว่า “มนุษย์ต่างดาวมีจริง อาตมาเคยไปมาแล้ว อาตมาเป็นพระไม่โกหกหรอก” แล้วหลวงพ่อสมชายที่เขาสุกิม หรือหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวันก็บอกว่ามีจริงเหมือนกัน
       
       มนุษย์ต่างดาวเขาเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม?
       
       เขาบอกว่ามี และพระเจ้าเองก็มีจริงเหมือนกัน โดยมนุษย์แต่ละคนจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ขึ้นอยู่การกระทำของตัวเอง เรื่องนี้ถือเป็นประชาธิปไตยและสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ทำให้พระเจ้ารักแล้วตัวเองจะได้ดี การกระทำทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้หมด แล้วจะถูกตัดสินเองว่าจะเป็นอย่างไรต่อ
       
       ซึ่งการจะกระทำอะไรนั้น ก็ไม่ควรจะไปสนใจกับอดีตชาติว่าจะเป็นอย่างไร บางคนไปสมาธิแล้วเห็นชาติที่แล้วว่า ตัวเองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ่งกิสข่าน ก็เลยลอยตัว แต่ชาตินี้ตัวไม่ได้เป็นนั้นแล้ว ผมเคยไปศึกษากับโยคีอินเดียที่ภูเขา 3 เดือน ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่า อย่าไปยุ่งกับอดีต เพราะมันจะทำให้เราหลง ทำชีวิตตอนนี้ให้ดีที่สุด ให้เกิดประโยชน์ที่สุด แล้วชีวิตจะดีเอง ไม่ต้องไปมุ่งอะไรมาก บางคนมุ่งจะไปอยู่ในพุทธภูมิ แต่การจะเป็นพระพุทธเจ้าเป็นยากมากนะ มนุษย์ต่างดาวยังบอกเลยว่า คนหนึ่งต้องใช้เวลากี่ร้อยล้านปีก็ไม่รู้
       
       แสดงว่ามนุษย์ต่างดาวเองก็มีพระพุทธเจ้า?
       
       เขาไม่มี แต่เขามีพระผู้เป็นเจ้าที่ดูแลทั้งจักรวาล อย่างนิพพานเราอาจจะถือว่าเป็นมิติที่สูงสุด แต่พวกนี้เขาบอกว่าไม่ใช่ มีมิติที่สูงกว่านี้ เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าคล้ายๆ ศาสดาที่ถูกส่งมา
       
       อย่างตอนนี้ผมกำลังหาทุนให้พระที่ยูซีแอลเอ เพื่อทำด็อกเตอร์ แล้วท่านก็ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าว่าเคยพูดเรื่องที่เกี่ยวกับ พระผู้เป็นเจ้าว่าไงบ้าง ซึ่งผลการศึกษาที่ออกมาก็น่าสนใจมาก เพราะแกไปศึกษาในคัมภีร์ของทิเบตแล้วพบว่า ท่านพูดเรื่องนี้เยอะแยะเลย แต่ว่าพระพุทธศาสนาสายหินยานของเราตัดตรงนี้ออกหมด
       
       เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ก็เหมือนกัน เพราะมีเรื่องว่าพระเยซูเคยเข้ามาศึกษาในอินเดียตั้งหลายสิบปี พวกอินเดีย พวกทิเบตเรียกท่านว่า เซนต์ อิซซา (St. Issa) พอกลับไปเป็นพระเยซูไม่นานก็ถูกตรึงกางเขน และที่สำคัญท่านก็พูดเรื่องกลับชาติมาเกิดเยอะแยะเลยในคัมภีร์ไบเบิล
       

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 12:44:08


ความคิดเห็นที่ 5 (1562557)

     

จากการศึกษาเรื่องมนุษย์ต่างดาวมากๆ คุณหมอพบว่าเกิดประโยชน์อะไรบ้าง?

       
       ผมว่ามันทำให้เรารู้ว่า จริงๆ ในจักรวาลนี้มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะเลย อย่างเรื่องสิ่งมีชีวิตที่ภูมิปัญญาเก่งกว่ามนุษย์ หรือดีเท่าก็มีอยู่เยอะแยะเลย ขณะที่คนเรากลับเชื่อว่า มีแค่โลกเดียวเท่านั้นที่มีมนุษย์อาศัยอยู่
       
       ซึ่งถ้าไปลองค้นในพระไตรปิฎกจะพบว่า เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เคยมีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่า มีคนอยู่ที่ดาวดวงอื่นหรือไม่ ซึ่งท่านก็บอกว่า มีและท่านก็เคยทำสมาธิแล้วไปมาตั้ง 5-6 ดาวแล้ว ถ้าใครอยากรู้มากกว่านี้ให้ไปถามพระโมคคัลนะเพราะท่านมีฤทธิ์ และท่านชอบเรื่องนี้ (หัวเราะ)
       
       หลังจากนั้น พอผมยิ่งศึกษามากขึ้น โดยไปถามหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน (วี ระ ถาวโร) วัดจันทาราม) เพราะผมเป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านก็บอกว่า “มนุษย์ต่างดาวมีจริง อาตมาเคยไปมาแล้ว อาตมาเป็นพระไม่โกหกหรอก” แล้วหลวงพ่อสมชายที่เขาสุกิม หรือหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวันก็บอกว่ามีจริงเหมือนกัน
       
       มนุษย์ต่างดาวเขาเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม?
       
       เขาบอกว่ามี และพระเจ้าเองก็มีจริงเหมือนกัน โดยมนุษย์แต่ละคนจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ขึ้นอยู่การกระทำของตัวเอง เรื่องนี้ถือเป็นประชาธิปไตยและสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ทำให้พระเจ้ารักแล้วตัวเองจะได้ดี การกระทำทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้หมด แล้วจะถูกตัดสินเองว่าจะเป็นอย่างไรต่อ
       
       ซึ่งการจะกระทำอะไรนั้น ก็ไม่ควรจะไปสนใจกับอดีตชาติว่าจะเป็นอย่างไร บางคนไปสมาธิแล้วเห็นชาติที่แล้วว่า ตัวเองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ่งกิสข่าน ก็เลยลอยตัว แต่ชาตินี้ตัวไม่ได้เป็นนั้นแล้ว ผมเคยไปศึกษากับโยคีอินเดียที่ภูเขา 3 เดือน ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่า อย่าไปยุ่งกับอดีต เพราะมันจะทำให้เราหลง ทำชีวิตตอนนี้ให้ดีที่สุด ให้เกิดประโยชน์ที่สุด แล้วชีวิตจะดีเอง ไม่ต้องไปมุ่งอะไรมาก บางคนมุ่งจะไปอยู่ในพุทธภูมิ แต่การจะเป็นพระพุทธเจ้าเป็นยากมากนะ มนุษย์ต่างดาวยังบอกเลยว่า คนหนึ่งต้องใช้เวลากี่ร้อยล้านปีก็ไม่รู้

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 12:45:55


ความคิดเห็นที่ 6 (1562558)

    แสดงว่ามนุษย์ต่างดาวเองก็มีพระพุทธเจ้า?
       
       เขาไม่มี แต่เขามีพระผู้เป็นเจ้าที่ดูแลทั้งจักรวาล อย่างนิพพานเราอาจจะถือว่าเป็นมิติที่สูงสุด แต่พวกนี้เขาบอกว่าไม่ใช่ มีมิติที่สูงกว่านี้ เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าคล้ายๆ ศาสดาที่ถูกส่งมา
       
       อย่างตอนนี้ผมกำลังหาทุนให้พระที่ยูซีแอลเอ เพื่อทำด็อกเตอร์ แล้วท่านก็ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าว่าเคยพูดเรื่องที่เกี่ยวกับ พระผู้เป็นเจ้าว่าไงบ้าง ซึ่งผลการศึกษาที่ออกมาก็น่าสนใจมาก เพราะแกไปศึกษาในคัมภีร์ของทิเบตแล้วพบว่า ท่านพูดเรื่องนี้เยอะแยะเลย แต่ว่าพระพุทธศาสนาสายหินยานของเราตัดตรงนี้ออกหมด
       
       เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ก็เหมือนกัน เพราะมีเรื่องว่าพระเยซูเคยเข้ามาศึกษาในอินเดียตั้งหลายสิบปี พวกอินเดีย พวกทิเบตเรียกท่านว่า เซนต์ อิซซา (St. Issa) พอกลับไปเป็นพระเยซูไม่นานก็ถูกตรึงกางเขน และที่สำคัญท่านก็พูดเรื่องกลับชาติมาเกิดเยอะแยะเลยในคัมภีร์ไบเบิล
       
       มีโอกาสไหมที่คนเราพอตายไปจะไปเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาวบ้าง?
       
       เป็นไปได้ คือมนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่จะทำบุญไว้เยอะนะ เขาจะมีภูมิเกิดที่สูงกว่ามนุษย์ ซึ่งตรงนี้เกี่ยวกับพลังบุญพลังบาปในตัวว่ามีเท่าไหร่
       
       แต่จริงๆ ถ้าจะว่าไปแล้ว มนุษย์ต่างดาวก็เคยบอกผมเหมือนกันนะว่า มนุษย์บนโลกนี้ก็เหมือนญาติพี่น้องของเขานี่แหละ เพราะเขาเป็นคนเอามนุษย์มาไว้ที่โลกนี้ ซึ่งมนุษย์ผู้ชายคนแรกของโลกที่ในไบเบิลบอกว่าชื่อ ‘อดัม’ นี้มาจากดาวนายพราน โดยตั้งใจจะให้ร่วมเพศกับมนุษย์วานรซึ่งมีอยู่แล้วบนโลกนี้ เพราะอดัมมันสมองใหญ่กว่าแล้วก็เจริญ ขณะที่มนุษย์วานรมันโง่ ปล่อยได้ปีกว่า ปรากฏว่าอดัมไม่ยอม มันรังเกียจ เพราะว่าโง่กว่าเยอะ สุดท้ายก็เลยต้องส่งมนุษย์ผู้หญิงจากดาวซิริอุสมาให้ร่วมเพศแทน
       

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 12:52:33


ความคิดเห็นที่ 7 (1562570)

 โมทนาครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 16:15:45


ความคิดเห็นที่ 8 (1562603)

 

 


ถอดกายทิพย์ท่องเที่ยวไปในดวงดาว

เรื่องเล่ากับประสบการณ์ในสมาธิ กับความมหัศจรรย์แห่งจิต ที่ล้ำลึกยากที่เราจะจินตนาการไปถึง เรามิอาจพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เล่าบอกไปนี้มันเป็นจริงหรือไม่ เพราะเรายังไม่มีเทคโนโลยีด้านอากาศยานที่ก้าวหน้าถึงขั้นจะเดินทางไปยังที่ ต่างๆได้ทั่วจักรวาล 


ฉะนั้นขอให้ทุกท่านอ่านสนุกๆในแบบ นวนิยาย เพียงเท่านั้น 

และสำหรับเรื่องราวที่ได้เล่าบอกต่อจากนี้ไป เป็นสิ่งที่ตุ้ยเขารู้ เขาเห็น และเขาสามารถไปที่นั่นได้ด้วยวิธีการถอดกายทิพย์ด้วยสมาธิขั้นฌาน แล้วออกท่องเที่ยวไปในดวงดาวต่างๆ ทั่วทั้งจักวาล โดยการเข้าไปในประตูมิติจากโลก แล้วเข้าไปในอุโมงค์มิติที่เชื่อมโยงไปในดวงดาวต่างๆ 




วัตถุประสงค์ ในการนำเสนอนี้ เพื่อ
๑. ความบันเทิง ตามแบบนวนิยาย สนุกๆ
๒. เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ท่านที่สนใจ รวมถึงท่านที่เคยมีประสบการณ์ในสมาธิเช่นเดียวกันกับตุ้ย
๓. เพื่อเปิดเผยเรื่องราว ที่เรายังสงสัย ของการมีอยู่ของเพื่อนต่างดาว ว่ารูปร่างหน้าตา บ้านเรือน เครื่องไม้เครื่องมือ รวมถึงการเป็นอยู่เป็นเช่นไร



ขอให้สนุกกับ นวนิยาย ของการท่องดวงดาวไปกับตุ้ยนะครับ 

ตุ้ย อริยะบุญ


ปล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ครับ
รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
Name:	earth-graphics-200_1079954a.jpg
Views:	8602
Size:	8.3 KB
ID:	1558538
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 21:57:46


ความคิดเห็นที่ 9 (1562605)

 เมื่อเรามองไปออกไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน มันทำให้เราอดที่จะคิดไม่ได้ว่าที่นอกโลกที่ไกลออกไปนั้น มันจะมีเพื่อนต่างดาวบ้างหรือไม่ 




วิชาดาราศาสตร์ สอนเราว่า ดาวฤกษ์ เป็นดาวที่มีแสงในตัวเอง ลองสมมติว่านั่นคือดวงอาทิตย์อีกดวงที่ไกลออกไปไม่รู้กี่ล้านปีแสง

เมื่อเราจ้องดู เราจะเห็นแสงกระพริบๆ สลับไป สลับมา เป็นอีกหนึ่งสนามพลังงานเช่นกันกับดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะจักวาลของเรา มันคงมีชีวิตต่างดาวที่มีสภาพไม่ต่างจากเรา ทั้งวิวัฒนาการที่ไม่สูง หรือทั้งที่วิวัฒนาการขั้นสูงก็เป็นได้


ระบบสุริยะของเราที่มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศุนย์กลางมันเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆในกาแล็กซี่ทางช้างเผือก และในกาแล๊กซี่ทางช้างเผือกนี้ก็ยังมีดวงอาทิตย์อีกเป็นหลายล้านๆๆดวงดังนั้นระบบสุริยะของเราหากเทียบคงไม่ต่างจากหนึ่งเม็ดทรายในห้วงมหาสมุทรใหญ่ 

อะไรมันจะใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น 

แต่ไม่อยากให้คิดว่าเราจะมีขนาดเล็กเท่าไหน หากลองจินตนาการว่าเราเองไปเทียบกับความใหญ่โตของมัน แต่อยากให้คิดว่า เราคือส่วนหนึ่งในนั้น

สนามพลังงาน อันมหึมานี้มันมิได้มีเพียงกาแล๊กซี่ทางช้างเผือกนี้เท่านั้น แต่มันยังมีอีก กาแล๊กซี่ที่กระจายกันอยู่อีกหลายๆล้านกาแล๊กซี่ !

วิวัฒนาการในมุมมองของคนทั่วไปคงเข้าใจเพียงว่า มีความก้าวหน้าเทคโนโลยีที่ทันสมัย ล้ำยุคเท่านั้น แต่หากจะมองถึงวิวัฒนาการนี้ ผู้เขียนอยากให้สนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการที่ย้อนเข้ามาภายในนี้จะสำคัญยิ่งกว่า ซึ่งถือเป็นวิวัฒนาการที่แท้จริง 

แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหากวิวัฒน์หากถูกทางมันก็จะเชื่อมโยงและย้อน กลับมาเพื่อเกื้อหนุนให้มวลมนุษย์ทั้งดาวดวงนี้และดาวดวงอื่นเข้าถึง วิวัฒนาการภายในนี้เช่นเดิม ไม่ได้แยก แตกต่างไปที่ใดเลย 

ลองพิจารณาดูกระดูกพระอริยะเจ้าทำไมถึงเป็น คริสตอล แต่เราเรียกว่า พระธาตุ แล้วทำไมจิตที่หลุดพ้นดังกล่าวนี้จึงไม่มาเวียนเกิด เวียนตายอีก สมมติว่าจิตได้หลุดพ้นจากสนามพลังงานที่ว่านี้ไปเสียแล้ว 

วันนี้ก็เช่นเดิมเช่นทุกวัน ตุ้ยเข้ามาห้องพระพร้อมคุณพ่อเพื่อไหว้พระ และนั่งสมาธิ แล้ว วันนี้เรื่องที่คุณพ่อฟังจากตุ้ยนั้น ทำให้ต้องสะดุ้งโหยง เพราะมันแปลก พิสดาร เหนือจินตนาการจนมิอาจจะจะเข้าใจในสิ่งที่เขาเล่านั้นได้ทั้งหมด 


คุณพ่อจึงพยายามเก็บทุกรายละเอียดที่เขาเล่าแล้วนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านได้ ลองโปรดใช้วิจารณญาณเอาเองว่าสิ่งที่เขาเล่าให้คุณพ่อฟัง 

แต่ไม่ขอยืนยันว่ามันจะเป็นจริง หรืออาจจะจริงก็ไม่รู้ เพียงแต่เล่าตามที่เขาพูดออกมาหลังจากถอนจากสมาธิเป็นชั่วโมงๆ

และทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดสิ่งที่ตุ้ยเขายืนยันเองว่าเขาสามารถเดินทางไป สถานที่แห่งนั้นด้วยวิธี การถอดกายทิพย์ ในสมาธิขั้น ฌาน เมื่อพบเจอว่าเป็นอย่างไร เขาก็นำมาเล่าให้ฟัง พร้อมกับวาดภาพถึงสิ่งที่เขาเห็นมา 

ทั้งนี้และทั้งนั้นแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะเป็นผู้พิจารณาเอง และการนำมาเล่านี้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ท่านที่สนใจ 

 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:00:38


ความคิดเห็นที่ 10 (1562606)

 “ พ่อครับ พ่อสวดมนต์เสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่” 

เสียงตุ้ยถามขึ้น ในขณะที่คุณพ่อออกจากสมาธิ แล้วนั่งจ้องมองผู้เป็นลูกชายอยู่นานเกือบ ครึ่งชั่วโมง เพราะคุณพ่อเอง สวดมนต์เสร็จไปตั้งนานแล้ว แล้วก็เข้าสมาธิไปแช่อยู่ในอารมณ์ ปีติ สุข อยู่พักใหญ่ แต่ตุ้ยก็ยังมิได้ถอนออกจากสมาธิ แต่คุณพ่อก็แปลกใจอยู่ว่าวันนี้ ตุ้ยทำไมจึงเข้าสมาธินานกว่าทุกวัน 

“ นานแล้วครับ” 
“ ตุ้ยไม่ได้ยินเสียงพ่อเลย” 
“ พ่อ ตุ้ยเห็นประตูเปิดออกกลางหน้าอกตุ้ย” 

อีกและ..วันนี้งานเข้า ลูกชายมาแปลก คุณพ่อเริ่มใจระทึกอีกวันกับเรื่องที่เขาเล่า แต่ขณะที่ตุ้ยยังมิทันได้สบตากับคุณพ่อ เขากลับไปมองที่พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา เขาพูดขึ้นอีกว่า 

“ พ่อ พระพุทธเจ้าท่านเก่งมั้ย “ 

คุณพ่อไม่สนใจคำถามที่เจ้าตุ้ยถามตอนนั้นแต่สงสัยว่าประตูอะไร ยังไง คืออะไร ที่ว่าประตูเปิดออกที่กลางหน้าอก 

“ประตูอะไรครับ พ่อ งง!” 

คุณพ่อถามแบบยั่วยุให้ลูกชายเล่าออกมาเองโดยไม่ใช้คำถามนำ เพราะรู้ว่าสิ่งที่ตุ้ย พบเจอมาในวันนี้ มันคงไม่ธรรมดาเป็นแน่ 

“ ประตูที่หน้าอกตุ้ยเองครับ” 
“ ลองเล่าให้พ่อฟังซิลูก มันเป็นไงครับ “ 
“พอตุ้ยนับลมหายใจไปสามครั้งก็เห็นดวงอาทิตย์ จากนั้นตุ้ยก็มองดวงอาทิตย์สว่างจ้าเลยครับ มันเหมือนแก้วใสๆ ตุ้ยเห็นพระพุทธเจ้า ท่านนั่งสมาธิแล้วมีพระนั่งล้อมเต็มเลยพ่อ” 
“ แล้วตุ้ยทำไมไปเห็นครับ” 
“พ่อ ตุ้ยเห็นตัวเองเป็นพระนะ” 

ภาพนิมิต นี้มันคืออะไร คุณพ่อมีคำถามขึ้นมาในใจทันที ทำไมตุ้ยเห็นพระพุทธเจ้าบ่อยขนาดนี้ นี่นับได้ก็ เกือบสิบครั้งไปแล้วเพียงแค่เวลาไม่ถึง สองเดือน 

“แล้วตุ้ยก็นึกถึงตัวตุ้ย ที่อยู่บ้านกับพ่อ ทีนี้ตุ้ยกลับมาเห็นดวงแก้วใสๆนั้น มันเหมือนกับตุ้ยเคยเข้าไปในแสงนั้นตุ้ยเลยเดินเข้าไป พอเข้าไปใกล้ ๆ แสงนั้นมันเป็นรูเปิดออกครับ” 
“แล้วทำไมตุ้ยรู้ว่ามัน เปิดจากหน้าอกตุ้ยเองครับ” 

คุณพ่อถามไป ใจก็ระทึกไป กับสิ่งที่เขาเล่าให้ฟัง 
“แรกๆมันจะหมุนๆครับ” 
คุณพ่อไม่สนใจแล้วว่าทำไมมันหมุน แต่สนใจว่าเขาทำไงต่อ 
“ แล้วตุ้ยทำไงต่อลูก”

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:03:58


ความคิดเห็นที่ 11 (1562607)

 

ตอนนี้ แม่เจ้าตุ้ย เดินเข้ามาฟังด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ยืนฟังสิ่งที่คุณพ่อกับลูกชายคุยกันอยู่พักหนึ่ง เลยเดินเข้ามาสมทบ แต่มิได้ถามอะไร เพียงแต่นั่งฟังอยู่ข้างๆ

“ตุ้ยก็เดินเข้าไปในประตูนั้นครับมันเป็นรูนะพ่อเหมือนรูกระต่ายมันมีหลายรูนะไม่ได้มีรูเดียวเป็นท่อเชื่อมต่อกันไปมาครับ” 
“พอเข้าไปเป็นไงครับ” 

ตอนนี้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ นั่งมองตากัน ทำตาปริบๆ ใจก็จดจ่อเรื่องที่ตุ้ยเล่า เหมือนรอฟังนิทานจากผู้ใหญ่เล่าก่อนนอน 

“ตุ้ยเดินเข้าไป สอง สามก้าวครับ แล้วมันก็ วูบไปเลย” 
“วูบยังไงครับ” 
“มันวูบไป แล้วก็ไปโผล่ที่ไหนไม่รู้ครับ” 
“ที่ไหนครับ” 

คุณพ่อถามกระชั้นเข้าไปอีก 

“ไม่รู้ครับ ตุ้ยยืนดูอยู่ไม่นาน มันไม่เหมือนบ้านเรา ตุ้ยเลยเดินกลับมา แล้วก็เห็นพ่อนั่งจ้องตุ้ยอยู่นี่แหละ” 
“ที่ว่าไม่เหมือนบ้านเรา มันเป็นไงครับ “ 
“ตุ้ยเห็นต้นไม้ ต้นใหญ่ มากพ่อ ลูกโตด้วย ใบมันสีออกม่วงๆครับ หญ้าก็มีสีม่วงๆพ่อ ตุ้ยว่ามันแปลกๆตุ้ยเลยเดินกลับมาทางเดิมครับ” 

แล้วมันคือที่ไหนหว่า........คุณพ่อรำพึงในใจ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:05:30


ความคิดเห็นที่ 12 (1562609)

 จักวาลนี้มันช่างมีความมหัศจรรย์ ล้ำลึก ซึ่งในความมหัศจรรย์นี้ มันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบในสากลจักวาล เพราะหนึ่งคือสรรพสิ่ง ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกัน ประเภทที่ว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว 


โปรดลองพิจารณาไตรตรองในรายละเอียดกับการอยู่บนโลกใบนี้ของเราว่ามันคืออะไร?
โลก คือ ส่วนประกอบ ของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่หลอมรวมกันอย่างเป็นระบบและกลมกลืน แต่มันมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกัน !


แกนกลางของโลก คืออะไร ไฟ ใช่หรือไม่ ไฟที่หลอมหินจนละลายเละเป็นโจ๊กได้ เพียงแค่มันไหลผ่านไป ห่อหุ้มมาอีกชั้นคือ ดิน ที่ห่อหุ้มแมกม่าเอาไว้ มันมีทั้งที่พ้นน้ำขึ้นมาให้มนุษย์และสัตว์ ได้อยู่อาศัย นอกจากนั้นยังมี น้ำที่ปกคลุมเอาไว้จนเห็นดินเพียงหนึ่งในสี่ของพื้นผิวกลมๆของโลกเอาไว้ จากนั้นก็คือชั้นบรรยากาศ ที่ห่อกันเป็นชั้นๆ และเมื่อมันเคลื่อนที่ เราเรียกว่า มันคือลม

วิชาชีววิทยา บอกเราว่า บนโลกของเรา มีทั้ง สิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต นอกจากนี้ก็จำแนก แยกย่อย ออกไปตามประเภทของสิ่งต่างๆ จากหมวดใหญ่ ลงไปจนถึงเล็ก เช่น ระดับ เซลล์ ในเซลล์ที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งต่างๆ มีส่วนประกอบมากมาย จนเราไม่อยากจะเชื่อว่า เล็กขนาดจนตาเปล่ามองไม่เห็นมันยังมีสิ่งแยกย่อยลงไปอีกได้ 

วิชาเคมีทำให้เรารู้ว่า ในโลกของเรานี้มีธาตุต่างๆมากมาย ที่มีการเกาะยึดกันเป็น อย่างเป็นระบบ หากการเกาะยึดด้วยพันธะต่างกันไป หรือการเรียงตัวที่ต่างกันไปก็จะเกิดเป็นธาตุที่ต่างๆที่แตกต่างกันออกไป
วิชาฟิสิกส์แสดงให้เราเข้าใจว่า ในระดับอะตอมเล็กๆ เพียง หนึ่งอะตอม มันยังแยกย่อยออกไปได้อีก มีทั้ง โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน การทดลองหลายๆการทอลองพยายามอธิบายให้เราเข้าใจว่า มันยังสามารถแบ่งแยก แยกย่อยลงไปได้อีก

ลองพิจารณา ไฮโดรเจน ๑ อะตอม ลองสมมุติว่า มี ไฮโดรเจนอิสระ รวมทั้ง ออกซิเจนอิสระ หรือ ธาตุต่างๆที่ที่มิได้มีการเกาะยึดกันแต่อย่างใด ที่ลอยอยู่ แต่เมื่อมันถูกเหนี่ยวนำ ดึงดูด หรือผลัก อะตอมอิสระของธาตุต่างๆเหล่านั้นเคลื่อนที่ มันทำให้เรารู้ว่ามันคือลมที่มากระทบกับผิวกายของเรา

พิจารณาต่อไปว่า ไฮโดรเจน ๒ อะตอมกับ ออกซิเจน ๑ อะตอมที่เกาะยึดกัน วิชาเคมีทำให้เราเข้าใจว่ามันคือน้ำ และการเกาะยึดกันก็เป็นตาข่ายอย่างเป็นระบบ นอกจากนั้นยังมีธาตุต่างๆที่แทรกอยู่ในตาข่ายนี้ เช่น เกลือ ฯลฯ 

พิจารณาต่อไปถึงการเกาะยึดของอะตอมอย่างเป็นระบบด้วยพันธะที่มีการเกาะยึดเหนียวแน่นมากๆ ไม่หลวมเหมือน น้ำ หรือลม การเกาะยึดของอะตอมเหล่านั้น มันทำให้เราเห็นเป็นดินบ้าง เป็นหินต่างๆ ที่เราได้เหยียบย่ำ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย

 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:06:40


ความคิดเห็นที่ 13 (1562611)

 คงพอจะมองออกว่า ที่มันเกี่ยวข้องกัน มันเกี่ยวข้องยังไง ลองพิจารณาต่อ ในทุกอะตอม มันมีสิ่งที่เล็กลงไปอีกที่ 


จนเมื่อนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังท่านหนึ่งได้เสนอทฤษฏีสัมพันธภาพ ที่มีสมาการE=Mc2 เราจึงเข้าใจว่า พลังงาน กับสสาร มันคือสิ่งเดียวกัน แต่รูปแบบการเกาะยึดนั้นต่างกันไป

ใช่ ! โลกเราทั้งใบ ระบบสุริยะของเรา กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก มันก็คือสนามพลังงานที่ใหญ่โต มโหฬาร ที่เชื่อมโยง แทรกสอด ถ่ายเทพลังงานไปมา รวมอยู่ด้วยกันอย่างเป็นระบบ และจิตก็สามารถเชื่อมโยงกับพลังงานเหล่านี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

เมื่อวานนี้ว่าตุ้ยก็นั่งสมาธินานแล้ว แต่วันนี้นานกว่าเมื่อวานอีก คุณพ่อเข้าสมาธิอยู่นาน กะว่าวันนี้จะให้ผู้เป็นลูกชายถอนออกจากสมาธิแล้วค่อยมาเรียก 

แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะคุณพ่อถอนออกจากสมาธิก่อน คุณพ่อเข้าสมาธิเกือบชั่วโมง แต่พอถอนออกมาก็ยังเห็นเจ้าตุ้ยนั่งนิ่งเป็นหุ่นไม่ไหวติงดังเดิม เหมือนตอนที่คุณพ่อยังไม่เข้าสมาธิ 

พักใหญ่เจ้าตุ้ยก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า 

“พ่อ ตุ้ยไปเที่ยวมา” 
“อ้าว..... พูดเป็นเล่น ก็นั่งอยู่กับคุณพ่อ” 

ตุ้ยขยับตัวหันหน้ามาที่คุณพ่อ แล้วทำหน้าทะเล้น นิดๆ คุณพ่อเองก็มองแบบสงสัย ในสิ่งที่เขาพูดถึง 

“พ่อเมื่อกี่ตุ้ยไปเที่ยวมาจริงๆ เห็นพวกต่างดาวด้วย”

เอาละหว่าวันนี้ .....อะไรอีกหนอลูกชายคนนี้ มีแต่เรื่องแปลกๆ มาเล่าให้ฟังหลังจากถอนออกจากสมาธิ เออแต่แปลก ทำไมเจ้าตุ้ยพูดถึงต่างดาว ความสงสัยของคุณพ่อวิ่งปรูดขึ้นเต็มพิกัดทันที ความคิดผุดขึ้นในหัวทันทีว่าหรือมันจะเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน หรือว่า....!!! 

“ตุ้ยเข้าไปในรูที่เล่าให้พ่อฟังเมื่อวานนั่นรึ” 
“ครับ ตุ้ยเข้าไปในรูนั้นอีก” 

คุณพ่อหูผึ่งทันที มองไปที่ตุ้ยแต่ยังไว้ทีท่า เพื่อแสดงออกให้ลูกชายเห็นว่าเป็นเรื่อง ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ให้ความสนใจแต่อย่างใด แต่ในใจแล้ว ระทึก!!!!!!!!! 

 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:08:47


ความคิดเห็นที่ 14 (1562612)

 “พ่อครับ เขาสวมชุดเกราะด้วยนะ มีหนวดเหมือนปลาหมึกครับ แล้วมีตาสองตานะแต่ตาเขาไม่ได้ติดที่หัวนะ ตาเขาเป็นท่อต่อขึ้นไป อยู่ข้างบน แล้วมีสัญลักษณ์ที่กลางอกด้วยครับ “ 
“สัญลักษณ์ อะไรครับ” 
“ไม่รู้ครับ แต่มีเหมือนกันทุกคนเลย เขามีสามนิ้วครับ“ 
“ตุ้ยจินตนาการไปเองรึเปล่าหรือไปดูการ์ตูนอะไร” 

คุณพ่อถามลองเชิง เพื่อกระตุ้นให้เขาเล่าต่ออีก 
“พ่อ ตุ้ยเห็นมาจริงๆนะ ตุ้ยไปที่นั่นมาเพราะตุ้ยเข้าไปในท่อนั้น แล้วตัวตุ้ยเองก็ตัวขาวๆ นะ ลอยได้ด้วย ตุ้ยไม่ได้เดินดูนะพ่อ ตุ้ยลอยไปบนท้องฟ้าดูพวกเขา พวกลูกน้องไม่เห็นตุ้ยหรอก แต่หัวหน้าเขาเห็นตุ้ย” 
“อ้าว เขามีหัวหน้าด้วยหรือครับ” 
“ครับ หัวหน้าเขาตัวใหญ่กว่าพวกลูกน้อง แต่สวมชุดเกราะเหมือนกันนะพ่อ หัวหน้าหนวดยาวกว่าพวกลูกน้อง” 

คุณพ่อพยายามจะไล่เรียงถึงเหตุการณ์ รูปลักษณะของชาวต่างดาว พร้อมทั้งลักษณะสถานที่ที่ตุ้ยเขาไปเห็นมา ในตอนนั้นให้ได้มากที่สุด แต่ตอนนั้นคำถามคุณพ่อไม่เป็นระบบเอาเสียเลย มั่วมากๆ 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่พยายามไม่แสดงออกคือ น้ำเสียงที่ธรรมดา เรียบเฉย เขาพูดอะไรมาก็ถามต่อ 
“พ่อ หัวหน้าเขาถามตุ้ยด้วย ว่ามาได้ยังไง ตุ้ยบอกว่าตุ้ย เห็นประตูมันเปิด เลยเข้ามา” 
“แล้วเขาคุยอะไรกับตุ้ยอีกรึเปล่า อ้าว! ทำไมคุยกันรู้เรื่องครับ” 
“ไม่รู้พ่อ เขาถามมาตุ้ยก็ตอบ เขาชี้ให้ดูบ้านเรือนเขาด้วยพ่อ” 
“บ้านเขาเป็นไงครับ “ 
“พ่อตุ้ยวาดให้ดูดีกว่านะ มันบอกไม่ถูก” 
“ดีครับ งั้นตุ้ยวาดชาวต่างดาวด้วยนะ เดี๋ยวพอออกจากห้องพระ แล้วค่อยไปวาดให้พ่อดูที่โต๊ะทำงานพ่อก็ได้” 
“ครับ” 
“เออ... พ่อลืมถาม ดาวนี้มันอยู่ที่ไหนครับ” 
“มันอยู่ไกลจากบ้านเรามากเลยนะพ่อ มีดวงอาทิตย์ด้วยครับดวงใหญ่กว่าบ้านเราอีกนะ” 
“งั้นเขาก็มีกลางคืนซิ” 
“ใช่ครับเขามีกลางคืน กลางวันเหมือนเรา

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:10:48


ความคิดเห็นที่ 15 (1562613)

 

ประตูมิติแห่งกาลเวลา
ในจุดประทะระหว่างจักรวาลจุดเล็กในแต่ละจุดเราเรียกว่าสามเหลี่ยมแห่งมิติกาลเวลา คล้ายใยแมลงมุมที่มันเชื่อมโยงกันและกันในรูปแบบที่สลับซับซ้อนของอำนาจที่เสมอเหมือนและดึงดูดกันและกัน ในเชิงมิติและตรงจุดช่องว่างของหลุมขาวที่เชื่อมโยงเป็นใยแมลงมุมถ้ามนุษย์เข้าใจจะรู้ในความเป็นจริงว่ามันคือการเคลื่อนไปมาของมิติเชิงซ้อนที่ใช้ตาไปดูหรือเครื่องสแกนรังสีที่จะไม่มีทางได้พบเพราะมันเป็นประตูของจิตวิญญาณที่เคลื่อนย้ายภพภูมิไปมาของห้วงแห่งกาลเวลาอวกาศ


รูหนอนอวกาศของอุโมงค์แห่งการเชื่อมต่อช่องว่างแห่งการเวลาและการเคลื่อนมีความเชื่อมโยงเป็นเส้นใยแมลงมุมไปทั่วทุกจุด ทุกตำแหน่งทั้งยังรวมไปถึงการเชื่อมโยงไปยังมิติซ้อนเหลื่อม มิติภพภูมิต่างๆได้อีกด้วย

ดังนั้นถ้าจะมีสิ่งใดที่เคลื่อนไปได้ ก็มีเพียงแต่นามธรรมคือจิตเท่านั้น ที่เคลื่อนได้ในอุโมงค์แห่งมิตินี้ เพราะสภาพของพลังงานทุกๆชนิดที่ผ่านเข้าไปในหลุมดำจะไม่มีวันหลุดรอดออกไปได้ ต้องถูกย่อยสลายจนเป็นจุลพลังงานคือควาก์
แม้อะตอมก็ถูกย่อยสลาย แม้นิวตรอน โปรตรอน อิเลคตรอนก็ถูกย่อยสลายเพราะอำนาจแห่งการย่อยสลายเพื่อเข้าสู่จุดรวมศูนย์กลางนั้นมีอำนาจมากเพื่อแปรสภาพของสสารเป็นรูปแบบพลังงานอีกครั้งหนึ่ง มวลภายของหลุมดำจักรวาลสามเหลี่ยมตรงจุดประทะของขอบจักรวาลเล็กในแต่ละที่จึงมีอำนาจซึ่งยากที่จะคาดเดา

การเคลื่อนที่สิ่งใดๆของวัตถุธาตุตามหลักทฤษฎีสัมพันธภาพของพลังงาน สสาร ถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะวัตถุไม่สามารถเคลื่อนที่ด้วย ความเร็วเท่ากับแสง

แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าอนุภาคขนาดเล็กอย่างอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็ก ยังต้องใช้พลังงานเป็น จำนวนมหาศาลในการเคลื่อนที่ ด้วยความเร็วเทียบเท่าแสง แต่คนหรือวัตถุซึ่งมีมวลมากกว่าอนุภาคอิเล็กตรอนยิ่งนัก ก็ยิ่งต้องใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย

นั้นแสดงว่ามนุษย์หรือวัตถุธาตุนั้นได้ระเบิดกลายเป็นอนุภาคขนาดเล็กไปเสียแล้วขณะที่เคลื่อนที่เท่ากับความเร็วแสงและที่สำคัญภายใต้หลุมดำจักรวาลสามเหลี่ยมในจุดประทะของจุลจักรวาลนั้นแม้แต่อนุภาคของอิเล็กตรอนก็ถูกย่อยสลายหรือแม้แต่แสงก็ไม่มีทางจะผ่านพ้นหรือเล็ดลอดออกมาได้ จึงมีเพียงแต่สิ่งที่ไม่ใช่พลังงานหรือไม่ใช่สสารผ่านเข้าไปมาได้นั่นก็คือ จิต

จิตไม่ใช่พลังงาน ไม่ใช่สสาร มันเป็นธรรมชาติรู้ชนิดหนึ่งที่ไปติดข้องกับธรรมชาติเรียกว่าเข้าขั้นหลงธรรมชาติจนสร้างตัวตนสร้างช่องทวารวิญญาณและการเกิดดับที่เร็วมากของวิญญาณในแต่ละช่องวิญญาณทั้ง๖มันจะเหมือนดั่งหลอดไฟที่กระพริบถี่ยิบยิ่งกว่าหลอดไฟบนโลก วิญญาณทั้ง๖จึงดูเป็นหนึ่งเหมือนแสงไฟที่สว่างตลอดเวลา แม้จิตเองก็เชื่อว่ามันมีเพียงหนึ่งและมันก็เชื่อว่ากายก็มีเพียงหนึ่งเป็นตัวของมันอีกด้วย

สภาพของอุโมงค์มิติวิญญาณนั้นจึงไม่มีวัตถุหรือกายมนุษย์ที่จะผ่านไปได้จึงมีเพียงแต่ จิต ที่ไม่ใช่พลังงานหรือสสาร ที่ผ่านเข้าไปและออกไปอีกมิติหนึ่งหรือเคลื่อนย้ายทวีปอย่างโกลาหลเมื่อถึงคราววินาศของจุลจักรวาล

ขึ้นชื่อว่าจิตมันมีสภาพของขอบมิติที่เสมอกันในแต่ละระดับเราเรียกมันว่า ภพ จิตมันต้องอาศัยภพ อาศัยมิติที่เสมอกับมัน จิตหยาบจะมาอยู่ร่วมภพกับจิตละเอียด นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ และสภาพของตัวมิตินั้นๆอันเป็นสภาพแห่งความละเอียดย่อมผลักดันจิตหยาบนั้น คือช่องว่างของมิติที่จิตหยาบจะแทรกเข้ามานั้นจะไม่มีอำนาจที่จะผ่านเข้าถึงได้เลย

มิติของภพจึงมีช่องว่างของธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ไม่มีใครสร้างขึ้นแต่มันเป็นเหตุและผลในตัวมันเองคือการเสมอเหมือน

สิ่งที่เสมอเหมือนจะแทรกเข้าไปในมิติภพนั้นได้ กลมกลืนและอยู่ในห้วงแห่งการเวลาของจิตล้วนๆ เมื่อกาลเวลาเป็นสภาพของจิตล้วนๆที่ไม่ใช่วัตถุธาตุ กาลเวลาในมิติดังกล่าวจึงมีระยะเวลาที่ยาวนานอยู่ภายในที่เรียกว่าระดับลึกของมิติ ยิ่งลึก ยิ่งกว้างใหญ่ ยิ่งกว้างใหญ่กาลเวลายิ่งยาวนานเพราะไม่มีวัตถุธาตุ ไม่มีสภาพที่แปรเปลี่ยน มันเป็นมิติแห่งความว่างที่จิตไปสร้างขึ้น

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:12:14


ความคิดเห็นที่ 16 (1562616)

 

จักรวาลคู่ขนาน ข้ามช่องว่างแห่งกาลเวลาแต่จะมีสิ่งใดเล่าที่จะผ่านเข้าไปได้นอกจากจิตนี้เท่านั้น

เหมือนดั่งผุดขึ้นไปทั่ว มีจำนวนไม่รู้จบ นับไม่ถ้วน จักรวาลที่เคยเชื่อว่ามีเพียงหนึ่งเหมือนดั่งคนโบราณที่เคยเชื่อว่าโลกแบนและเริ่มเข้าสู่การขยายขอบเขตความเชื่อเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆตามความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุที่มีความสามารถที่จะส่องดูดวงดาวที่ไกลโพ้น คำว่าจักรวาลในจักรวาลเป็นเพียงทฤษฎีแต่ก็เริ่มมีการคิดค้นและการพิสูจน์

หลุมดำ…หลุมขาว
มันมีช่อง มีรูเข้า มีเวลาปิดเปิด มีการเคลื่อนไปมา

ทฤษฎีที่ถูกหักล้างคือไม่มีสิ่งเล็ดลอดจากหลุมดำได้แต่ภาพดังกล่าว…ได้ยืนยันเอาไว้ว่ามี คือมวลสารสามารถหลุดจาก event horizon ได้จริงๆ เพราะนักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุจับภาพลำอนุภาคความเร็วสูง ที่พุ่งออกจากใจกลางหลุมดำได้เป็นครั้งแรก 

ผลการวิเคราะห์ระบุภาพดังกล่าวเป็นหลักฐานตรงกับทฤษฎีที่ระบุการโค้งงอของ "กาล-อวกาศ" เนื่องจากมวลขนาดใหญ่ทำให้เส้นสนามแม่เหล็กบิดเป็นเกลียวจนเร่งอนุภาคให้มีความเร็วเข้าใกล้แสง
 

หลังจากที่จับภาพลำอนุภาคที่มีความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสงจากหลุมดำได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุจากหอดูดาววิทยุดาราศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา นักวิทยาศาสตร์ต่างประหลาดใจว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้อนุภาคถูกเร่งให้มีความเร็วได้ขนาดนั้น 

สมมติฐานที่สำคัญระบุว่ามวลมหาศาลของหลุมดำได้บิดกาล (time) และอวกาศ (space) รอบๆ ซึ่งทำให้เส้นสนามแม่เหล็กบิดเกลียวกลายเป็นเหมือนขดลวดที่ขับดันให้วัตถุออกมาภายนอก 



นักวิทยาศาสตร์พบว่าภาพลำอนุภาคที่พุ่งออกมาจากหลุมดำนี้มีหลักฐานที่แสดงว่ากระแสอนุภาคถูกพัดออกมาจากหลุมดำในวิถีบิดเกลียวตรงตามกับสมมติฐานสำคัญ จากการบันทึกภาพด้วยกล้องโทรทรรศน์หลายๆ แห่ง

แสดงให้เห็นว่าลำอนุภาคนั้น "บิดเป็นเกลียว" อย่างที่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนได้ทำนายไว้


สิ่งที่คาดการเอาไว้ของจุดดึงดูดดวงดาว กาแลคซีทำการย่อยสลายไม่เหลือซากแม้แสงก็ไม่สามารถเล็ดลอดและซากก็จะถูกย่อยจนกลายเป็นอะตอมขนาดเล็กและจะถูกย่อยต่อไปจนเหลือโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอนและในจุดศูนย์กลางมันจะมีเพียงแต่ควาร์กเท่านั้น 

กลับเริ่มมามีวี่แววว่าอาจจะมีมวลสารสามารถหลุดลอดออกมาได้และสิ่งนี้คือช่องประตูมิติที่มนุษย์ต่างดาวอาจใช้เป็นจุดข้ามห้วงแห่งกาลเวลาในจักรวาลคู่ขนานก็เป็นไปได้



ความมืดกลับมีสิ่งอันตรงกันข้ามเพราะมันมีมิติแห่งห้วงกาลเวลาอวกาศมิติเหลื่อมเพื่อก้าวข้ามไปสู่จักรวาลที่อยู่ใกล้กันอีกแห่งหนึ่งหรือหลายๆแห่งนั้น คืออุโมงค์ของหลุมขาวที่อยู่ในปลายสุดของหลุมดำ

เหมือนดั่งพายุทอนาโดสองลูกที่หมุนเป็นเกลียวแต่กลับหัวและกลับหางคือปลายหางชนกันเป็นจุดของการรวมศูนย์แผ่ขยายพลังงานอยู่ภายในแต่อีกจุดหนึ่งกลับถ่ายเทช่องว่างของมิติเพราะเป็นจุดประทะของจักรวาลเล็ก 

หลุมดำที่มีอยู่มากมายในจักรวาลเล็กก็มีหลุมขาวอยู่อีกปลายด้านหนึ่งแต่จะเปรียบเสมือนใยแมลงมุมเส้นเล็กๆที่เป็นเหมือนดั่งอุโมงค์มิติแห่งช่องว่างกาลเวลาเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเข้ามาสู่หลุมดำขนาดใหญ่

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:14:33


ความคิดเห็นที่ 17 (1562618)

 มิติทางจิตนี้ช่างล้ำลึก จนยากที่จะเข้าใจ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย คือเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพของจิต เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารกับโลกภายนอก 


เรามาลองพิจารณาดูเล่นๆ ถึงประสิทธิภาพของการรับสัมผัส โดยใช้ปัจจัยด้านระยะทางเป็นเกณฑ์ในการวัดความสามารถในการรับสัมผัส 

หากสมมติว่า เราไปยืนในทุ่งโล่งที่มีพื้นราบเรียบ ไม่มีต้นไม้ เนินดิน ภูเขาแต่อย่างใดในรัศมี ๓๖๐องศาจากจุดที่ยืนนั้น ทีนี้ลองพิจารนา

ดวงตา เมื่อเรามองออกไปไกลสุดลูกตา ที่จะพบว่า ระยะทางที่ท่านจะมองเห็นนั้นมันข้อจำกัด หมายถึงว่า เมื่อมองออกไป เราจะมองเห็นเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น แต่พอไกลออกไปมากๆ เราไม่อาจมองเห็นได้ว่า สิ่งที่กำลังมองนั้นคืออะไร

หู ย่นเข้ามาอีก เสียงที่เราจะได้ยิน เมื่อเทียบกับระยะของการมองแล้วเทียบกับระยะทางที่มองเห็นไม่ได้ เช่น เรามองเห็นฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นในกลุ่มเมฆที่เงาทมึนที่อยู่ไกลๆ แต่เราไม่ยักได้ยินเสียงฟ้าผ่านั้นเลย 

จมูก ใก้ลเข้ามาอีก เราจะได้กลิ่นที่มาจากจุดกำเนิดไม่ไกลมากนัก เช่น มีหมาเน่าที่มีแมลงวันตอมเต็มไปหมด ความเข้มของกลิ่นจะจางออกเรื่อยๆ เมื่อเราถอยห่างออกไป จนถึงจุดๆหนึ่งเราก็ไม่ได้กลิ่นนั้นเลย

ผิวกาย การสัมผัส อันนี้ หากจะเทียบแล้วระยะห่างกว่าการสัมผัสด้วยลิ้น บางครั้งเมื่อเรายืนอยู่ใกล้ๆใครบางคนแม้จะไม่ได้ถูกเนื้อ ต้องตัวแต่เราสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ห่อหุ้มกายไว้ แต่หากอยู่ใกล้ๆถึงจะทราบ 

ลิ้น นี้ต้องสัมผัสโดยตรง ถึงจะรู้ว่ารสนั้นเป็นเช่นไร เช่นเปรี้ยว หวาน เค็ม

แต่หากเมื่อเรา พิจารณาถึงมิติทาง จิต ที่เกิดจากการรับสัมผัสด้วยจิตนี้ มันมิได้ถูกกีดกั้นด้วยระยะทาง แต่ถึงกระนั้นก็อยู่ในวง ขอบ มิติในระดับพลังงานที่มีในจิตนี้เท่านั้น เช่น เหล่าเปรต จะไปรู้เรื่อง เทวดานี้ไม่ได้เลย แต่เหล่าจิตที่มีภูมิสูงกว่าจะสามารถสัมผัสได้ในภูมิที่ต่ำกว่าเสมอ

จึงเป็นเหตุให้ท่านผู้ใดที่บำเพ็ญเพียรทางจิต เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วจิตมีกำลังก็จะมิได้จำกัดขอบเขตของการรับสัมผัสนี้เช่นกัน ดังเช่นตุ้ย

 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:16:22


ความคิดเห็นที่ 18 (1562620)

 “ตุ้ยรู้จักชื่อดาวนี้มั้ย “

คุณพ่อถามขึ้น กับสิ่งที่อยากรู้ ถึงชื่อดาวซึ่งเป็นที่อยู่ของ ชาวต่างดาวที่มีหน้าตาแปลกประหลาด 

“หัวหน้าที่คุยกับตุ้ยเขาบอกว่า 
ชื่อดาวโอเอกซ์เอส ครับ”

 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:21:47


ความคิดเห็นที่ 19 (1562621)

 

เที่ยวดาว VOHOB


VOHOB (ออกเสียง"วอฮอบ " )

เมื่อวานตุ้ยไม่ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิพร้อมกับคุณพ่อเนื่องจากคุณพ่อเองกลับบ้านดึกด้วยมีงานที่ค้างยังเคลียร์ไม่เสร็จ และต้องคอยรับแม่เจ้าตุ้ยกลับบ้านด้วยหลังจากลงเวรบ่าย ทำให้ เจ้าตุ้ย กับเจ้านุ้ยอยู่กับตา ยาย

ผ่านจากการไปเที่ยวดาว โอเอกซ์เอส มาสองวัน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่คุณพ่อ พยายามเก็บรายละเอียดสิ่งที่ผู้เป็นลูกชายเล่าให้ฟังหลังจากที่เขาถอนออกมาจากสมาธิ วันนี้หลังจากที่สวดมนต์เสร็จ คุณพ่อไม่เข้าสมาธิต่อ แต่ เอานาฬิกามาจับเวลา ว่าวันนี้เจ้าตุ้ยจะใช้เวลาในการเข้าสมาธินาเพียงใด เพราะพักหลังมานี้ รู้สึกว่าตุ้ยจะใช้เวลามากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ 

หลังจากที่ตุ้ยถอนตัวออกจากสมาธิ คุณพ่อหันไปมองที่เข็มนาฬิกาทันที เพราะตั้งจับเวลาตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มแล้ว ทำให้รู้ว่าเขาใช้เวลาไป หนึ่งชั่วโมงกับอีกเกือบสิบนาที เวลาขนาดนี้หากใครไม่เคยนั่งเหน็บกินไปตามๆกันทีเดียว 
“ตุ้ยนั่งสมาธิทนเหมือนกันนะเนี่ย”

“พ่อ ที่ดาว วอฮอบอยู่ไกลกว่าดาวที่ตุ้ยไปเมื่อวานอีก”
“ดาวอะไรนะลูก”
“ดาว วอฮอบ ครับ”

โห....นี่ตุ้ยเล่นไปเที่ยวต่างดาว ยังกับไปเดินสนามเด็กเล่นเนี่ยนะ ตูจะถอดกายทิพย์แต่ละทีเล่นเอาลิ้นห้อย พอออกมาได้ก็ไปได้ไม่ไกล บางวันได้แค่เดินรอบบ้าน นี่เล่นไปเที่ยวต่างดาว คุณพ่อรำพึงในใจ 

“ตุ้ยไปมาอีกหรือครับ”
“ใช่ครับ ตุ้ยเข้าไปในประตูนั้นอีก แต่ไปรูใหม่นะ”
“ยังไงครับ พ่อไม่เข้าใจ”

ตอนนี้ตุ้ยลุกขึ้นไปหยิบเทียนที่ยังไม่ได้จุดมาสามเล่มแล้วมาวางบนพื้นซ้อนกันแต่แยกปลายเทียนเป็นคนละทาง
“นี่พ่อ รูนี้ก็ไปดาวนี้ รูนี้ก็ไปดาวนี้”

คุณพ่อถึงบางอ้อเลย เอ้ย..นี่มันเหมือนในหนังเรื่อง STAR GATE ของค่ายหนังฮอลิวู้ดนี่หว่า อ้าวงี้ไม่ใช่ไปแอบดูหนังที่ไหนมารึ...
“ตุ้ยเคยดูหนังเรื่อง STAR GATE หรือครับ”
“หนังเรื่องอะไรพ่อ”

ตุ้ย ทำท่างง ๆ กับคำถามที่คุณพ่อถามไป 
“คือมันมีหนังที่เขาสร้างขึ้นเหมือนเรื่องที่ตุ้ยกำลังเล่าอยู่นี่ครับ“
“มันเป็นไงพ่อ เช่ามาให้ตุ้ยดูได้ไม๊ ตุ้ยอยากดู“

อ้าว...กำ เอาไงดีเนี่ย จะต้องมาอธิบายหนังเรื่อง STAR GATE บอกให้ไปเช่าหนังมาให้ดูอีก ดันพูดขึ้นมาให้สงสัย คุณพ่อเลยพูดตัดบทไม่เล่าต่อ พร้อมกับถามถึงสิ่งที่เขาไปที่นั่นมา เพื่อดึงความสนใจกลับมา

“ดาวอะไรนะครับที่ตุ้ยไปมา”
“ดาววอฮอบครับ “
“มันเป็นไงครับไหนลองเล่าให้พ่อฟังดูซิ”
“เขามีตาอยู่สี่ตาบนหัวครับ มีมือสี่มือด้วย เดินสองขาเหมือนเรานี่แหละครับ สวมชุดด้วย”
“ เขาเห็นตุ้ยมั้ยลูก”
“ ไม่ครับ ตุ้ยลอยดูไปทั่ว สนุกมากเลย”
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:23:59


ความคิดเห็นที่ 20 (1562624)

 

ดาวนี้ไม่มีชื่อ


และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ตุ้ยเข้าสมาธินานเช่นวันก่อนๆ ทำให้คุณพ่อต้องนั่งคอยลูกชายจนกว่าเขาจะถอนออกจากสมาธิเอง เพื่อมาแผ่เมตตาดังเช่นทุกวัน 

คุณพ่อนั่งรออยู่เกือบยี่สิบนาทีหลังจากสวดมนต์และนั่งสมาธิแล้ว ตุ้ยจึงถอนออกจากสมาธิ เมื่อเขาถอนออกมาจากสมาธิ เขาก็หันมามองคุณพ่อที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ 

“พ่อสวดมนต์เสร็จนานรึยังครับ”
“ตุ้ย นี่พ่อสวดมนต์ก็แล้ว เข้าสมาธิก็แล้ว นี่มานั่งคอยตุ้ยอีกนะเนี่ย”
“ตุ้ยอยู่ในสมาธินานมั้ยครับ “
“นานครับ แล้วไม่ปวดขาบ้างรึ”
“ ไม่ครับ เพราะตุ้ยไปเที่ยวมา”
“เอ้า.......แล้วไปที่ไหนมาอีกลูก “
“ ไม่รู้พ่อ ดาวนี้เขาอยู่ในป่า อยู่ตามโพรงต้นไม่ใหญ่ๆ บางคนก็อยู่ตามรูในพื้นดินเขามีปีกบินได้ด้วยพ่อ หน้าตาน่ากลัวครับ”
“เป็นสัตว์ หรือครับ”
“เขาเดิน สองขานะครับ แต่คุยไม่รู้เรื่อง ถามก็ไม่ตอบ สงสัยมองไม่เห็นตุ้ย เค้าล่าเหยื่อเป็นอาหาร กินสดๆเลยนะพ่อ คือเขาล่าพวกที่กินหญ้า หรือกินพวกใบไม้ ผลไม้ครับ”
“หน้าตาเป็นไงครับ”
“ตุ้ยว่าตัวมันเหมือนเสือครับ แต่มีปีกเหมือนค้างคาว มีเล็บยาวๆ เหมือนกรงเล็บเสือครับ”
“ดึกแล้ว เดี๋ยวแผ่เมตตาก่อนนะ แล้วค่อยไปคุยต่อที่ห้องนะ”

คุณพ่อกับตุ้ยแผ่เมตตาเสร็จ ดับไฟเทียน แล้วจึงลุกขึ้น ไปคุยต่อที่ห้องนอน 

จากนั้นคุณพ่อให้ตุ้ยวาดรูปให้ดู ในขณะที่ตุ้ยกำลังลงมือวาดรูปให้ดู คุณพ่อพูดเสียงล้อเลียนกับสิ่งที่เขาวาดไปพร้อมบอกรายละเอียดไปด้วย 


“โห.... นี่มันพันธุ์ผสมอะไรลูก”
“เขามีปีกบินขึ้นฟ้านะพ่อ เวลาแผ่นดินไหว เพราะที่นี่ แผ่นดินไหวบ่อยมาก เวลาแผ่นดินไหวที พวกอยู่ตามป่า ตามโพรง หรือใต้ดิน จะบินขึ้นฟ้า”
“อืม แปลกดีนะ พ่อว่า”
“ครับ ตุ้ยก็ว่ามันแปลก มีสัตว์แปลกๆ เยอะมากครับ พวกกินหญ้า กินใบไม้ก็แปลกนะพ่อ “
“พวกกินหญ้า ตัวใหญ่ หรือตัวเล็กครับ”
“ตัวใหญ่ก็มี ตัวเล็กก็มีนะ หญ้าใบไม้ สีเขียวก็มี สีม่วงก็มี สีน้ำเงินก็มี มีหลายสีมากเลยครับ”
“ป่าใหญ่มั้ยครับ”
“พ่อ มันเป็นป่าเต็มไปหมดแหละ มันมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นนึงนะ ใหญ่มาก ชื่อต้นบู ลูกโตๆ ใบสีม่วงๆ”
“อ้าวทำไมรู้จักชื่อต้นไม่ต้นนี้ละ”
“ไม่รู้ครับ แต่มันชื่อต้นบูนะ ต้นใหญ่มาก”
“แล้วดาวนี้ชื่ออะไรลูก”
“ไม่รู้ครับ ตุ้ยว่ามันไม่มีชื่อนะ ตุ้ยคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่องเลย เลยคิดว่ามันคงไม่มีชื่อครับ”
ฯ ๗๑  

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-07 22:34:47


ความคิดเห็นที่ 21 (1562660)

อนุโมทนากับคุณ โซบิเดย์ ด้วยนะคะ

ที่นำบทความที่ส/ภท่านดร. เทพพนม มาให้อ่านอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าจะได้อ่านจากที่เว็บเขากะลาและที่คุณมาร์ค

นำมาลงในหน้าบทความมาแล้ว แต่ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้ง

ก็ยังน่าสนใจ และได้ความรู้มากมายอยู่ดี และสิ่งหนึ่ง

ที่ประทับใจที่สุดก็คือ ได้ทราบว่ามนุษย์คู่แรกของโลกในนี้

ก็คือ อดัม กับ สาวที่มาจากดาวซีรีอุส ซึ่งเป็นการคอนเฟิร์ม

อีกครั้งว่า มนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้ก็ล้วนแล้ว

แต่มีเชื้อสาย จากต่างดาวทั้งสิ้น..

 

ส่วนเรื่องราวของน้องตุ้ยกับคุณพ่อก็ยังน่าสนใจอยู่ดี ทั้

งเรื่องราวที่นำเสนอและสไตล์การเขียนที่ออกแนว นวนิยาย

มีซีนให้ลุ้น กระตุ้นให้ตื่นเต้นตาหล๊อด..

ขอบคุณค๊า..คุณโซบิเดย์

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 01:40:59


ความคิดเห็นที่ 22 (1562672)

 ขออนุโมทนากับคุณโซบิเดย์ด้วยเช่นกันค่า

ที่นำเรื่องราว ของท่าน ดร.เทพพนม เมืองแมน

มาลงให้ความรู้กับชาวเกาะทั้งหลาย

ได้รู้เรื่องส่วนตัวของท่านอีกเยอะเลย

จากที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ

เวปบ้านสวนเป็นแหล่งความรู้แทบทุกเรื่องเล๊ยยยย

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 03:23:34


ความคิดเห็นที่ 23 (1562707)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณโซบิเดย์ค่ะ สาธุ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-08 09:27:01


ความคิดเห็นที่ 24 (1562975)

 

                        

 

อนุโมทนากับคุณโชบิเดย์  สาธุ  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ศุภรัฐ ปานธุเดช ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 17:31:53


ความคิดเห็นที่ 25 (1563021)

 **บทสัมภาษณ์ระหว่างนายแพทย์ไทยกับมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร ชื่อ พาราซิทัลและดาวศุกร์ ชื่อ เอ็ดดี้**

1.ถาม-(หมอเทพนมฯ) ทำไมท่านจึงมาติดต่อกับผม เพราะบังเอิญหรือเพราะอะไร?

ตอบ-การมาติดต่อกับท่าน ไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ พวกเราติดต่อกับสายพันธุ์เดียวกันเท่านั้นหรือจะเรียกตามภาษามนุษย์ว่า มีกรรมพัวพันกันก็ได้ มนุษย์ต่างดาวจะมาที่โลกนี้ใน 3 รูปแบบ คือ

1)มาในรูปมนุษย์ต่างดาว อย่างพวกเราขณะนี้

2)มาในแบบถูกส่งมาจุติให้เป็นมนุษย์ ท่านได้ถูกส่งลงมายังโลกนี้ห้าพันกว่าปีแล้ว มีหน้าที่ประสานงานระหว่างมนุษย์กับต่างดาว

3)วิญญาณของมนุษย์ต่างดาวเข้าสิงอยู่ในตัวมนุษย์

2.ถาม-วิญญาณหรือจิต มีจริงหรือไม่?

ตอบ- วิญญาณ หรือจิต หรือพลังงานชีวิต มีจริง ในสิ่งที่มีชีวิตทั่วจักรวาล พลังชีวิตนี้ ไม่มีใครทำลายได้ เมื่อมนุษย์ตาย ร่ายกายเน่าเปื่อยไป แต่วิญญาณยังคงอยู่ และจะต้องไปจุติตามการกระทำ หรือกรรมที่ตนทำไว้ อาจไปเกิดเป็นสัตว์ก็ได้ พวกที่เกิดเป็นมนุษย์อีก มักเกิดใกล้สถานที่ที่กำเนิดในชาติก่อน มีจำนวนน้อยที่ไปเกิดข้ามทวีป และมีจำนวนน้อยมากอย่างยิ่ง ที่ไปเกิดในอีกดาวหนึ่ง......

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 21:11:56


ความคิดเห็นที่ 26 (1563023)
image

 ถ่ายแสงออร่าของหมอเทพนมฯขณะเข้าสมาธิจิตติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว โปรดสังเกตุแสงสีขาวด้านบนแผ่กว้างคลุมโดยรอบ แสดงว่าสภาวะจิตสงบลึกมาก นิ่ง สว่าง มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงมาก อยู่ในขั้นบรรลุธรรมขั้นสูงในระดับหนึ่งแล้ว....Webmaster
 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 21:14:05


ความคิดเห็นที่ 27 (1563024)
image

 ถ่ายแสงออร่าของหมอเทพนมฯขณะเข้าสมาธิจิตติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว โปรดสังเกตุแสงสีขาวด้านบนแผ่กว้างคลุมโดยรอบ แสดงว่าสภาวะจิตสงบลึกมาก นิ่ง สว่าง มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงมาก อยู่ในขั้นบรรลุธรรมขั้นสูงในระดับหนึ่งแล้ว....Webmaster
 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 21:14:51


ความคิดเห็นที่ 28 (1563027)

 3.ถาม-ท่านนับถือศาสนาอะไร? มีศาสนาแบบมนุษย์ไหม?

ตอบ-พวกเรานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเหมือนกัน มีองค์เดียวที่สูงสุด และทุกชีวิตมาจากหนึ่งเดียวนี้ ตามความจริงซึ่งท่านจะได้เรียนรู้และทราบในศตวรรษใหม่ที่จะมาถึง ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ มีพระผู้สร้าง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดอยู่ 1 องค์ ที่สร้างทุกอย่างในจักรวาลขึ้นมาแต่เริ่มแรก แต่การบริหารจัดการกับสิ่งมีชีวิตต่างๆนั้น มีคณะกรรมการจัดการระหว่างดวงดาว ซึ่งบรรดาศาสดาต่างๆของโลกมนุษย์ก็เป็นกรรมการอยู่ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำดี ไม่ควรมาเปรียบเทียบกันว่าศาสนาของฉันดีกว่าศาสนาของเธอ เพราะศาสดาทุกท่าน ก็มาจากที่เดียวกันหมด และถูกส่งลงมาช่วยพัฒนาจิตใจมนุษย์เป็นระยะๆไป.....

4.ถาม-ท่านอายุเท่าใด? และพวกท่านมีตายบ้างไหม?

ตอบ(ท่านพาราซิทัล)-เราอายุหลายพันปี ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงปัจจุบัน เคยเห็นพวกเราตายแค่ 3 คน ตายจากอุบัติเหตุยานอวกาศตก ทางด้านโรคต่างๆ เราสามารถพิชิตได้หมดแล้ว ขอให้ถามท่านเอ็ดดี้ ผู้ตรวจจักรวาลบ้าง

ท่านเอ็ดดี้- ท่านพาราซิทัลพูดถูกต้องแล้ว พวกเราอายุยืนมาก......
 
 
5.ถาม-ขอให้ท่านให้ความกระจ่าง เกี่ยวกับมนุษย์คู่แรกบนโลกนี้ว่า มาจากไหนกันแน่? มาจากลิงใช่หรือไม่?

ตอบ-มนุษย์ไม่ได้พัฒนามาจากลิงอย่างที่เข้าใจกัน ตามความเป็นจริง มนุษย์เพศชายคนแรกที่พวกท่านเรียกว่า"อาดัม"นั้น ถูกสร้างขึ้นมาที่ดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งนอกระบบสุริยะของท่าน พระผู้สร้างได้ให้พวกเรา นำมนุษย์ผู้นั้นมาไว้ยังโลกนี้ และต่อมาได้สร้างมนุษย์เพศหญิง ที่พวกท่านเรียกว่า "อีฟ" ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง และให้นำมาอยู่ด้วยกัน จนสืบเชื้อสายมีลูกหลานกันมากมายไปทั่วโลก พวกเราเปรียบเสมือนบรรพบุรุษของพวกท่านเหมือนกัน มีหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือพวกท่านอยู่เสมอมา ในระยะ 200 กว่าปีที่ผ่านมา มนุษย์เจริญทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมามาก แต่ทางด้านศีลธรรม และจริยธรรม กลับพัฒนาได้น้อยมาก เมื่อมนุษย์ค้นพบพลังงานใหม่ เช่นพลังปรมาณู ก็นำไปใช้สร้างอาวุธทำลายล้างกัน แทนที่จะนำไปใช้ในด้านพัฒนาสุขภาพและสันติภาพ......
 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 21:17:52


ความคิดเห็นที่ 29 (1563028)

  
6.ถาม-ถ้าพระผู้สร้างมีจริง และเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิตขึ้นมาจริงอย่างที่ท่านบอก สิ่งนี้ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาหรือไม่?

ตอบ- พระผู้สร้าง ได้สร้างทุกอย่างในจักรวาลขึ้นมา แต่ท่านได้ให้อิสระเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคน ที่จะทำดี หรือทำชั่วก็ได้ หากทำดี ก็ได้รับผบตอบแทนที่ดี ทำชั่ว ก็ได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดี นับว่ายุติธรรมที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ? ฉะนั้น ไม่ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาเลย และนี่คือ ความจริงของกฎจักรวาล........
 
 
7.ถาม-สิ่งมีชีวิตในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ แบ่งเป็นระดับอย่างไรบ้าง? และพวกท่าน(มนุษย์ต่างดาว)เป็นผี หรือเทวดา หรืออะไรกันแน่?

ตอบ-พลังงานชีวิต หรือจิตวิญญาณในจักรวาลนี้ แบ่งเป็นระดับต่างๆมากมาย จะเรียกว่า "ภพภูมิ" หรือ"มิติ"ก็ได้ มนุษย์อยู่ในมิติที่ 3 มีความกว้าง ยาว ลึก แต่ไม่สามารถควบคุม"เวลา"ได้ พวกเราอยู่ในมิติสูงกว่าพวกท่านหลายมิติ เราอยู่สูงกว่ามิติ"ผี" แต่เราก็ยังไม่ใช่พวกเทพ หรือพรหม อย่างที่พวกท่านเชื่อว่ามี เราเป็น"มนุษย์"อีกชนิดหนึ่ง ที่อยู่ยังดาวดวงอื่น มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และศีลธรรมสูงกว่าพวกท่านมาก ความโกรธ โลภ หลง ในพวกเรา แทบไม่มีเหลืออยู่เลย เรามีจิตวิญญาณที่เป็นอมตะแบบพวกท่าน แต่เราก็มี"ร่าง" ที่ไม่คล้ายกับพวกท่านนัก และมี"ยานบิน" ที่ทำให้เราเดินทางไปยังดาวต่างๆได้อย่างรวดเร็วกว่าแสง พวกเราเป็นสมาชิกของสมาคมระหว่างดวงดาว ซึ่งมนุษย์ยังไม่ได้เป็น แต่คาดว่า มนุษย์คงสามารถพัฒนาตัวเองให้เข้าเป็นสมาชิกได้ในศตวรรษที่ 21 นี้ หากมนุษย์สามารถลดกิเลส โกรธ โลภ หลง ลงได้ เทวดาและพรหมนั้นมีจริง เราสามารถติดต่อได้ทางจิต แต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกัน พวกเขามักเรียกพวกเราว่า"มนุษย์พิเศษ" ส่วนผีนั้น ไม่มีร่างถาวร มีแต่จิต และส่วนมาก ไม่สามารถออกไปจากโลกนี้ได้เกิน 50 กม. เพราะมีสิ่งที่บังคับควบคุมไว้ แต่"มนุษย์ต่างดาว"ไม่มีข้อจำกัดนี้......
 
 
8.ถาม-มนุษย์ต่างดาว จะมายังโลกนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากใครก่อนหรือเปล่า?

ตอบ- มนุษย์พิเศษจากดาวอื่นๆ จะมายังโลกนี้ ต้องขออนุญาตจากสมาคมระหว่างดวงดาวก่อนเสมอ หรือถูกส่งให้มาช่วยเหลือในบางเรื่อง แต่เมื่อมาถึงโลกนี้ ก็ยังต้องรายงานกับ"ผู้ตรวจโลก" ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ มนุษย์ต่างดาวที่แอบมาก็มีเหมือนกัน คือ มาโดยไม่ขออนุญาตก่อน ส่วนมากพวกนี้เป็นพวก"ไม่ดี" ซึ่งมีอยู่เหมือนกัน แต่เป็นจำนวนน้อย ปีที่แล้ว มีพวกกลุ่มไม่ดี ได้แอบเข้ามาในโลกของท่าน ด้วยยานอวกาศลำใหญ่ขณะมิติเปิด ขณะนี้สำหรับประเทศไทย กลุ่มไม่ดีลอยอยู่ในบริเวณเขาผีปันน้ำ ในภาคเหนือของประเทศท่าน หากพบยานบินสีดำ อย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อันตรายมาก......
 
 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 21:19:43


ความคิดเห็นที่ 30 (1563029)

 9.ถาม-มนุษย์ต่างดาวเช่นพวกท่าน หน้าตาคล้ายพวกเราไหม? หายใจด้วยออกซิเจนหรือไม่? กินอาหารและขับถ่ายอย่างไร?

ตอบ-ผู้ที่มาจากดาวดวงอื่น ที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์มากที่สุด คือ พวกที่มาจากกลุ่มดาวลูกไก่ และดาวพระศุกร์ เราจากดาวอังคาร(ท่านพาราซิทัล) หน้าตาไม่เหมือนพวกท่าน ตาจะใหญ่ดำ คางแหลม แบบในรูปที่ท่านวาดไว้ สูงกว่ามนุษย์ มือมี 3 นิ้ว และไม่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง แต่รู้ว่าใครเป็นเพศชาย เพศหญิง มนุษย์ต่างดาวเพศชาย มักตัวโตกว่าผู้หญิง เราไม่หายใจด้วยออกซิเจน แต่หายใจด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว เรามีปากเล็กๆ จมูกเล็กๆ ไม่กินอาหารเหมือนพวกท่าน เรากินพลังงานชนิดหนึ่ง กินหนึ่งครั้งอยู่ได้หลายเดือน เราไม่มีกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทวารหนัก ฉะนั้นพวกเราไม่ต้องขับถ่ายทั้งหนักและเบาระหว่างเดินทางในอวกาศ ความแตกต่างเหล่านี้ เป็นของธรรมดา "ท่านเอ็ดดี้" ก็หน้าตาเป็นสี่เหลี่ยม ตากลมใหญ่ แปลกไปจากเราอีก แต่เขาใจดีมากนะ หน้าตาแตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าคุยกันไม่ได้.....
 
 


10.ถาม- ผมอยากถามว่า มาตรฐานของดาวอังคาร ดูเพศชายว่าหล่อ หรือเพศหญิงว่าสวย เหมือนมนุษย์ดูหน้าตาและรูปร่างหรือเปล่า?

ตอบ- ไม่ใช่เลย ความหล่อและความสวย ไม่มีความสำคัญในโลกของเราเลย เราดูความ"งาม"ของเพศตรงข้าม คือ 1)ดูว่ารัศมีออร่า ที่ออกมารอบตัวและศีรษะของเขา เป็นสีที่บริสุทธิ์ เช่น สีขาวมากน้อยแค่ไหน? 2)ดูที่ความคิดอ่านของเขา เวลาเขาคิด ก็ออกมาเป็นคลื่นไฟฟ้า ให้พิจารณาได้แล้วว่า คิดดี คิดบริสุทธิ์หรือไม่? ถ้าคิดดี คิดถูกต้อง วาจาและการกระทำที่ตามมาก็จะดีตาม พวกเราถือสัจจะสำคัญกว่าชีวิต ไม่มีการพูดปดกันหน้าตาเฉย อย่างในโลกมนุษย์เลย เพราะหากพูดปด อีกฝ่ายก็ทราบทันที และตัวเองก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นเลย.......

11.ถาม-พวกมนุษย์สงสัยว่า ถ้าท่านไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านมีลูกกันได้อย่างไร? แต่งงานกันหรือไม่?

ตอบ- พวกเราเคยมีอวัยวะสืบพันธุ์ ตั้งนมนานมาแล้ว แต่หลังจากมีการพัฒนาทางด้านโคลนนิ่งมากเข้า เพศหญิงไม่ต้องอุ้มท้อง 9 เดือน แบบผู้หญิงของท่าน เพราะไม่ยุติธรรมต่อเพศหญิง เมื่อพัฒนาโน่นนี่กันมากขึ้น อวัยวะเพศก็หย่อนความสำคัญลงไป ไม่ค่อยได้ใช้กันบ่อย ขณะนี้ถ้าเราชอบพอกัน อยากไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราก็มีพิธีแต่งงานง่ายๆ มีคล้ายพระ ทำพิธีให้ และไปอยู่ด้วยกัน มีบ้านที่รัฐบาลสร้างไว้ให้แล้ว เมื่ออยากมีลูกกัน ทั้ง 2 คนก็ยืนจ้องตากัน เอา 2 มือแตะกัน "ปิ๊ง"เดียว ลูกตัวเล็กๆก็ลอยลงมาในแคปซูลน้อยๆ และก็เลี้ยงให้โตขึ้นมา ต้องไปเข้าโรงเรียนด้วย คล้ายของมนุษย์ ทุกครอบครัวถูกกำหนดว่า มีลูกได้ไม่เกิน 2 คน หากมีเกิน 2 คน จะถูกลงโทษ คือ ตายไปแล้ว ไม่ได้เกิดอีกเลย ซึ่งทุกคนกลัวมาก บางดาวแค่จ้องตากัน ก็มีลูกได้แล้ว แปลกไหม? ต่อไปโลกของท่าน อาจเป็นแบบของเราก็ได้........

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 21:21:57


ความคิดเห็นที่ 31 (1563030)

 12.ถาม-โลกดาวอังคารของท่าน ทำไมสหรัฐอเมริกา ส่งจรวดไปแล้ว ไม่เจอผู้คนเลย และท่านมีระบบการปกครองอย่างไร?

ตอบ-โลกของเรา เคยมีบรรยากาศ มีน้ำ เช่นโลกของท่าน แต่พวกเรากันเอง ก็ทำลายสิ่งแวดล้อมจนหมดสิ้น และทำสงครามกันด้วย คนต้องหนีลงไปอยู่ใต้ดินสำหรับผู้ที่รอดตาย เราอยู่ลึกลงไปหลายกิโลเมตร เรายังใช้ระบบบการปกครอง ที่มีหัวหน้า คล้ายพระเจ้าแผ่นดิน ทุกคนก่อนเกิด ถูกกำหนดไว้แล้วว่า ต้องเกิดมาเป็นเพศอะไร? และโตขึ้นทำอาชีพอะไร? เช่น เราถูกกำหนดให้เกิดเป็นทหาร จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โลกของท่านดีกว่า ที่เกิดแล้วเลือกเรียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ จะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง โลกของเราต้องเป็นคนดีเท่านั้น เป็นคนเลวไม่ได้ คนเลวจะถูกกำจัดออกไปทันที และไม่ได้เกิดอีกเลย......

13.ถาม-โลกของท่านมีนรกและสวรรค์ไหม? และการกลับชาติมาเกิดมีจริงหรือไม่?

ตอบ-ในระบบสุริยะของพวกเรา ในทางช้างเผือก มนุษย์เป็นดาวนพเคราะห์ดวงเดียว ที่มีทั้งนรกและสวรรค์ ดาวนพเคราะห์อื่นๆไม่มี เพราะเขาทำดีกันหมด ไม่มีคนทำชั่ว ที่ต้องถูกไปลงโทษในนรก แต่โลกของท่าน ก็มีดี ที่ตายไปแล้วได้เกิดอีก ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่าน ถ้าท่านทำดี ชาติต่อไป ก็ดีขึ้นกว่าเดิมม หากทำชั่ว ก็ตกนรก หรือเกิดเป็นสัตว์ หรือมนุษย์ที่แย่กว่าเดิม การกลับชาติมาเกิด มีจริง ส่วนมากจะเวียนว่ายตายเกิดในโลกของตัวเอง บางคนอาจจะเกิดข้ามดาว แต่มีน้อยมาก ที่จะทำได้เช่นนั้น ต้องพิเศษจริงๆ.....
 
 


14.ถาม-ผมมีรูปถ่ายจากแฟ้มลับของเคจีบี ที่เพิ่งเปิดเผย อ้างว่าเป็นภาพจานบินตกในรัสเซีย ราว 40 ปีมาแล้ว และมีมนุษย์ตัวเล็กๆสีเขียวตายอยู่ในนั้น และเขานำมาผ่าศพดู ท่านดูแล้วคิดว่าภาพเหล่านี้เป็นของจริงหรือภาพหลอกลวง?

ตอบ-จานบินตกทั่วโลกมาแยะแล้ว ในรัสเซีย ในจีนก็ตกหลายครั้ง ในประเทศไทยของท่าน ก็ตกที่ อ.สันกำแพง จ.เชีงใหม่ ในปี ค.ศ.1958 ท่านเอ็ดดี้รู้ดี เพราะรอดมาได้ รูปที่รัสเซียเปิดเผยนั้น เป็นรูปจริง มนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆเขียวๆ มี 4 นิ้ว ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขามาจากดาวดวงอื่น จะให้รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ คงเป็นไปไม่ได้ น่าสงสารเขานะ.....

15.ถาม-เพื่อนของผม ถ่ายภาพมนุษย์มีแสงออกมาจากตัว ที่ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เมื่อเดือนมีนาคม 2542 เวลากลางคืน ท่านบอกได้ไหมว่า เขาเป็นชาวบ้านหรือมนุษย์ต่างดาว หากเป็นมนุษย์ต่างดาว เขามาทำไมในป่าทึบ?

ตอบ- ผู้ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีแสงออกมาจากตัว ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน
จ.กาญจนบุรี เป็นพื้นที่ที่มิติเปิด คล้ายสามเหลี่ยมเบอมิวดา และบรรดายานอวกาศต่างๆ สามารถผ่านเข้า-ออกได้ง่าย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีแร่ธาตุหายาก ที่ใช้ในการเดินทางในอวกาศ เราเคยบอกท่านแล้ว เกี่ยวกับแร่ธาตุชนิดนี้ ว่าคล้ายแร่ธาตุที่ท่านเรียกว่า"เหล็กไหล"ไงล่ะ เราจะไม่บอกว่า เขามาจากที่ไหน บอกแต่เพียงว่า เขาไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่ผี!!!......
 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 21:24:55


ความคิดเห็นที่ 32 (1563031)

 16.ถาม-เมื่อ 6 สิงหาคม 2542ผมได้รับเชิญจากองค์การนาซ่าและInternational Space University ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมาจัดประชุมอยู่เงียบๆอยู่ที่มหาวิทยาลัยสุรนารี ให้ไปพูดถึงเรื่อง"การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับยูเอฟโอ และผู้ขับขี่ยานบินในประเทศไทย พ.ศ.2540-2542" และได้รับคำชมเชยจากฝรั่งนักวิชาการ 300 กว่าคนว่า ทำวิจัยได้ดีมาก ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องที่นาซ่าคิดจะไปยึดดาวอังคารทำเหมืองแร่ และส่งคนไปอยู่ 50,000 คน ใน 20 ปีข้างหน้านี้ และทำไมจานบินของท่านมาแล้ว ไม่ยอมบินลงมาต่ำตามที่ขอร้องให้ฝรั่งเห็นทั่วกัน?

ตอบ-เราไปฟังอยู่ตลอดเวลา และไม่พอใจอย่างมาก ที่เขาคิดจะไปยึดดินแดนที่มีเจ้าของแล้ว เช่นที่เคยทำมาในโลกนี้ในอดีต ขอบอกสั้นๆว่า หากรบกัน ก็ไม่มีทางสู้พวกเราได้ ขอให้บอกแก่พวกเขา 3 ข้อ คือ

1)จานบินและมนุษย์ต่างดาวนั้น มีจริง และได้มาเยือนโลกนี้ เป็นเวลานานหลายพันปีแล้ว มนุษย์เปรียบเสมือนลูกหลานของเรา

2)มนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องการมายึดครองโลกนี้ ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ก็ไม่ควรคิด จะไปยึดครองดวงดาวของเรา เพราะมีเจ้าของแล้ว และไม่มีทางสู้เราได้

3)ขอให้มนุษย์ใช้สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาโลกนี้ดีกว่า รวมทั้งเตรียมรับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ในปีหน้า(ค.ศ.2000 หรือ พศ.2543)

    ยานอวกาศของเรา ได้บินไปให้ท่านและบางคนเห็นแล้ว เราไม่บินลงต่ำ เพราะคิดว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกที่คิดจะไปยึดดาวของเรา.....
 
 


17.ถาม- เมื่อ 19 มีนาคม 2539 มีผู้ถ่ายภาพประหลาดได้ ที่พระเมรุพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี แสงนั้นเป็นแสงอะไร?(จะนำลงภาพปาฏิหาริย์ในเว็บฯนี้ต่อไป-Webmaster)

ตอบ-ขอตอบสั้นๆว่า กลุ่มเทพชั้นสูงมาแสดงคารวะต่อพระบรมศพ ไม่ใช่จานบินมาอย่างที่เข้าใจกัน.....

18.ถาม-ผมได้รับเชิญให้ไปพูดในสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของ ม.สงขลานครินทร์ เมื่อ 19 สิงหาคม 2542 ซึ่งท่านได้สั่งให้ผมไปพูดเตือนชาวใต้เกี่ยวกับปี 2000 แต่ทำไม"จานบิน" ไปปรากฏที่อ่างเก็บน้ำของ ม.สงขลาฯ ทุกคืน เป็นเวลาถึง 10 วัน ก่อนผมไปถึง ผมไม่ได้ร้องขอมากเพียงนั้น........
 
 


ตอบ-เราเป็นห่วงชาวใต้ของท่านมาก เกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ จึงไปหลายครั้ง ในปีหน้า เราจะพยายามช่วยให้หนักกลายเป็นเบา ได้ขอให้ท่านพูด อย่าให้เขาตกใจกลัว จนขาดสติ ที่บอกเขาว่า ให้ช่วยเหลือกัน มีความเมตตากรุณาต่อกันมากขึ้นนั้น ดีแล้ว ให้หมั่นสดับรับฟังข่าวสารต่างๆอยู่เสมอ รู้จักที่ๆปลอดภัย หากเกิดภัยพิบัติ อย่าประมาท เราหวังว่า ทุกท่านจะปลอดภัยในปีหน้า 2543 ส่วนคืนวีนที่ 19 สิงหาคม 2542 อากาศไม่ดี เราบินกันมา 3 ลำ ในระยะสูง แต่ให้ท่านถ่ายภาพได้ชัดๆ ตั้งแต่หัวค่ำแล้วไม่ใช่หรือ? ที่ดูคล้ายดวงอาทิตย์นั่นแหละ......

         สรุปว่า ตั้งแต่ต้นปี จนถึงเดือนกันยายน 2542 ขณะเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ผู้เขียนได้ติดต่อกับท่านพาราซิทัล และท่านเอ็ดดี้เป็นประจำ เดือนละ 1-2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ซึ่งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2542 ยูเอฟโอ ได้มาปรากฏให้เห็น เวลา 20.15 น.ที่เหนือบ้านผู้เขียนใน กทม. มีผู้พบเห็น และถ่ายภาพได้จำนวนมาก ซึ่งจากการสื่อด้วยโทรจิต พวกเขาบอกว่า บินผ่านทางจึงแวะลงมาเยี่ยมเยียน......สิ่งที่นำมาเล่าให้ฟัง เป็นสิ่งที่ได้รับสื่อทางจิต จากผู้ที่อ้างว่าเขามากับยานบิน และยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ที่ผู้เขียนได้จดบันทึกไว้

         อย่างที่บอกกับท่านผู้อ่านไว้แล้วว่า สิ่งที่เล่ามาให้ฟัง ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน เหมือนกับการถ่ายภาพยานบินได้ ก็ได้แต่บันทึกไว้ และรอเปรียบเทียบกับความจริงต่างๆ ที่จะค่อยเผยออกมาทีละน้อยๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ "ความจริงเท่านั้น ที่จะช่วยให้มนุษย์เราหลุดพ้นจากความโง่เขลาทั้งปวง".......(จบบริบูรณ์

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-09 21:27:40


ความคิดเห็นที่ 33 (1564032)

 ขอบคุณมากค่ะ อ่านแล้วตาสว่างขึ้นเยอะเลย 

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 21:49:45


ความคิดเห็นที่ 34 (1564053)

อ่านเพลินเลยค่ะ คุณโซบิเดย์

น่าติดตามมาก ขอบคุณมากค่ะ ที่ให้ความรู้เพิ่มขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา กะตะศิลา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-15 23:54:08


ความคิดเห็นที่ 35 (1564118)

ขอบคุณคะ คุณโซบิเดย์ หมอก็สนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาวมากคะ คอยติดตามอ่านเรื่องที่คุณหมอเทพพนมพูดถึงอยู่เสมอ

ไม่ทราบว่าระยะนี้มีเรื่องอะไรใหม่ๆ ที่ใกล้ตัวออกมาอีกใหม

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 11:22:28


ความคิดเห็นที่ 36 (1564251)

ขอบคุณค่ะคุณโซบิเดย์

อ่านไปด้วยตื่นเต้นไปด้วย

ไม่ว่าจะดาวดวงไหน ก็เน้น

ทำแต่ความดีนะค่ะ  แสดงว่า

โลกเราและเมื่องไทยเรา

ดีที่สุดค่ะ มีพระเจ้าอยู่หัว

มีหลวงพ่ออริยสงฆ์หลายองค์

ในน้ำมีปลาในนามีข้าว

มีศาสนาเป็นที่ยืดเหนียว

และมีบ้านสวนพีระมิด

เป็นที่ที่เราจะพบความสุข

ที่แท้จริง   ขอบคุณอีกครั้ง

ขอให้มีความสุขนะค่ะ สาธุๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น หมวย พรรณสรลี ชูตระกูล (wattanachai-dot-chut-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-16 22:28:42


ความคิดเห็นที่ 37 (1564390)

 

จับตาการเรียงตัวของดาวเคราะห์ช่วงวันที่ 14-29 สิงหาคม คศ 2011

ระดับความรุนแรง: มาก 
ช่วงเวลา: 
Sun, 2011-08-14 - Mon, 2011-08-29 
จากการคาดการณ์ครั้งที่แล้ว พอสรุปได้ว่าภัยพิบัติขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีปัจจัยหลายมาเสริมนอก เหนือจากปฏิกริยาดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ดาวเคราะห์เรียงตัวหรืออย่าง อื่นทั้งบนโลกและนอกโลกที่ยังไม่ทราบสาเหตุ จึงเป็นเหตุผลที่ต้องทำให้เราเก็บสถิติอย่างต่อเนื่องนำมาปรับปรุงวิธีการ คาดการณ์ภัยพิบัติในระยะยาวให้มีความเที่ยงตรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเน้นการเก็บสถิติข้อมูลจากนอกโลกเป็นหลักเนื่องจากมีข้อมูลมากกว่า
ซึ่งในช่วงคาดการณ์นี้อาจมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นโดยเฉพาะเกี่ยวกับภัย พิบัติในเรื่องแผ่นดินไหว และสภาพอากาศที่แปรปรวน อาจมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือเศรษฐกิจโลก ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป คาดว่าจะสังเกตุเห็นได้ชัดเจนระหว่างวันที่ 16-22 สิงหาคม 
วันที่ 16 สิงหาคม เวลา 12 UTC จะมีการเรียงตัวระหว่าง ดวงอาทิตย์ ดาววีนัส และ โลก ในแนว 180 องศา ซึ่งคาดว่าจะมีปฏิกริยาที่ดวงอาทิตย์มากเป็นพิเศษ และโลกมีความเสียงสูงต่อภัยพิบัติในวันเดียวกัน
วันที่ 17 สิงหาคม เวลา 1 UTC จะมีการเรียงตัวระหว่าง ดวงอาทิตย์ ดาววีนัส และ โลก ในแนว 0 องศา และมีการเรียงตัวระหว่าง ดวงอาทิตย์ ดาววีนัส และ ดาวพุธ ในเวลา 5 UTC 
นอกจากนั้นแล้วยังมีการเรียงตัวกับดาวหาง Elenin ในแนว 90 องศาโดยที่ดาวหางนี้เข้าสู่วงโคจรดาวศุกร์ อาจมีผลกระทบต่อปฏิกริยาดวงอาทิตย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโลกในระหว่างวันนั้น และประมาณวันที่ 20-21 สิงหาคม
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 15:43:24


ความคิดเห็นที่ 38 (1564391)

 วันที่ 22 สิงหาคม เวลา 3 UTC จะมีการเรียงตัวระหว่างดวงอาทิตย์ โลก และ ดวงจันทร์ในแนว 90 องศา 


สำหรับแนวเรียงตัวอื่นๆ ที่จะทำการเก็บสถิติในช่วงนี้ ได้แก่
1.        17 สิงหาคม  13 UTC  โลก-ดวงจันทร์-ยูเรนัส
2.        18 สิงหาคม  10 UTC  โลก-ดวงจันทร์-ดาวเสาร์  
3.        21 สิงหาคม  16 UTC  โลก-ดวงจันทร์-ดาวพฤพัส  
4.        21 สิงหาคม  12 UTC  โลก-ดวงจันทร์-ดาวพุธ  

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 15:46:01


ความคิดเห็นที่ 39 (1564392)

 เหตุการณ์ที่ดวงอาทิตย์ 
วันที่ 10 สิงหาคม เราเริ่มสังเกตุเห็นแนวปฏิกริยาสูงเคลื่อนตัวเข้ามาเรียงตัวโลก คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 14-15 สิงหาคม โดยที่แนวสนามแม่เหล็กเปิดจะเข้ามาเรียงตัวกับโลกในวันที่ 17 สิงหาคม ส่งผลให้เกิดลมสุรืยะความเร็วสูงมาที่โลกในวันที่ 20-21 สิงหาคม


วันที่ 12 สิงหาคม พบแนวสนามแม่เหล็กเปิดขนาดปานกลาง-ใหญ่ จะส่งลมสุริยะความเร็วสูงมาที่โลกประมาณวันที่ 15 สิงหาคม
วันที่ 13 สิงหาคม เวลา 13 UTC เกิดพายุสุริยะขนาดใหญ่ทิศทางตรงข้ามโลก คาดว่าจะส่งผลกระทบกับโลกไม่มากนักในวันที่ 16-18 สิงหคม 
http://stereo.gsfc.nasa.gov/brow ... 110813_cor2_512.mpg

วันที่ 15 สิงหาคม จำนวนจุดดับลดลงเป็นศูนย์ แต่ปริมาณรังสี X เพิ่มตัวสูงขึ้น
ตารางสรุปเหตุการณ์ที่ดวงอาทิตย์
วันที่        เหตุการณ์        ระดับความรุนแรง        ช่วงที่ส่งผลกระทบต่อโลก        ระดับความเสี่ยงภัยพิบัติ
12
13
14        สนามแม่เหล็กเปิด
พายุสุริยะ 13 UTC ด้านตรงข้ามโลก
พายุสุริยะ 11:39 UTC ด้านตรงข้ามโลก        ปานกลาง
ปานกลาง
ปานกลาง        15-17 สค
16-18 สค
-        ปานกลาง
ปานกลาง
-
                                    

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 15:48:01


ความคิดเห็นที่ 40 (1564399)

 เหตุการณ์บนโลก
15 สิงหาคม
- ลมสุริยะเพิ่มขึ้นสูงสุดระดับ ~550 km/s ในเวลา 0 UTC และเป็นช่วงเดียวกับที่พลังงานอิเล็คตรอนลดลงต่ำสุด นอกจากนั้นสัญญาญดาวเทียม ACE ขนาดหายในเวลา 15-17 UTC ในวันที่ 14 สิงหาคม คาดว่าเป็นผลมาจากพายุสุริยะในวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา

- แผ่นดินไหวขนาด 5.7 ริตเตอร์ เวลา 2:53 UTC ที่ Ecuador
- หิมะตกครั้้งแรกในรอบ 80 ปีที่ Auckland ประเทศนิวซีแลนด์
- ภูเขาไฟในประเทศรัสเซีย เกิดการปะทุขึ้น - ประเทศอินโดนีเซียเพิ่มระดับความรุนแรงของภูเขาไฟระเบิดมาอยู่ในระดับอันตราย 

- เกิดเหตุประท้วงระบบขนส่งมวลชนของเมืองซานฟรานซิสโก
•        Login or register to post comments
•        Printer-friendly version
Comments
10 comments posted 
ชาวบ้านแห่ดูฉลามวาฬเกยตื้น ที่เวียดนาม (เหตุเกิด 6 สค) 
  
MThai News : สำนักข่าวต่างประเทศ เผยภาพฉลามวาฬเกยตื้นบนหาดในจ.ก่าเมา (Ca Mau) ทางตอนใต้สุดของประเทศเวียดนาม
ฉลาม วาฬตัวนี้มีความยาว 5.5 เมตร หนักราว 2 ตัน มันว่ายหลงทางเข้าไปในโพงพางดักปลาของชาวประมง และ พยายามดิ้นรนหาทางออก จนเหนื่อยล้าและสิ้นชีวิต นับเป็นตัวแรกที่ตายในทะเลเวียดนามในปีนี้ เท่าที่มีการบันทึก
ทั้งนี้ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา ฉลามวาฬเคราะห์ร้ายตัวนี้ตายหลังจากชาวประมงนำเข้าถึงฝั่ง ประชาชนในท้องถิ่นได้ร่วมกันจัดพิธีฝังซาก ด้วยความเชื่อที่ว่าสัตว์ยักษ์จากท้องทะเลจะนำโชคลาภกับความผาสุกไปให้กับ ทุกคน
อย่าไรก็ตาม แม้จะได้ชื่อว่า “วาฬ” แต่ฉลามวาฬ (Rhincodon typus) เป็น “ปลา” ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เคลื่อนไหวช้าๆ อ้าปากกว้าง เพื่อกรองเอาแพลงตอนกับพืชน้ำเป็นอาหาร ไม่เป็นภัยต่อมนุษย์และสัตว์น้ำชนิดอื่นอย่างสิ้นเชิง เว้นพวกปลาเล็กที่ติดเข้าไปกับแพลงตอน จนได้ฉายา “ยักษ์ใหญ่ใจดี” โดยฉลามวาฬขนาดใหญ่ที่สุดเท่าทีมีการพบและบันทึกไว้ มีความยาวถึง 12.65 เมตร มีน้ำหนัก 36 ตัน
news.mthai.com/world-news/126635.html

Posted by Falkman on Tue, 2011-08-16 10:31 
•        Login or register to post comments
USA: นิวยอร์คสร้างสถิติน้ำฝน น้ำท่วม 8 นิ้วในหนึ่งวัน 
US: New York Breaks City"s Rainfall Record with Nearly Eight Inches Soaking City
Sun, 14 Aug 2011 15:33 CDT

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 16:01:37


ความคิดเห็นที่ 41 (1564417)

ขอบคุณค่ะคุณโซบิเดย์ มาตอบข้อสงสัยไอซ์ได้ทันทีเลย

ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับกรุงเทพกันแน่

บรรยากาศเกินคำบรรยายเลยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 17:45:19


ความคิดเห็นที่ 42 (1564477)

ขอบคุณ คุณโซบิเดย์ ครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ 

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์ โพธิ์อุ่น (kiattisp-at-scg-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-17 22:23:08


ความคิดเห็นที่ 43 (1564493)

ขออนุโมทนาด้วยคะ

คือข้อมูลเยอะมาก ๆ จะค่อย ๆ พยายามอ่านให้จบคะ

ได้อ่านคร่าว ๆ ไปบ้างแล้ว ได้ความรู้ดีคะ

อนุโมทนา สาธุ คะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-18 00:17:44


ความคิดเห็นที่ 44 (1565586)

อนุโมทนาบุญกับคุณโซบิเดย์หมอวัฒน้องไอซ์ ชนิดา น้องเบลล์และทุกท่านได้ความรู้เยอะที่ไม่เคยรู้ก้ได้รู้โมทนาสาธุด้วยคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 21:20:33


ความคิดเห็นที่ 45 (1565598)

 อย่างไรก็ตาม คงต้องรอความชัดเจนสำหรับการแถลงข่าวที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ รายงานข่าวจากเว็บไซต์ Telegraph ระบุว่า นักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์จากนาซ่าจะเปิดเผยหลักฐานการค้นพบสิ่งมีชีวิตเล็กๆ (microb) จากนอกพิภพที่สามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตในยุคก่อนหน้านี้ แต่ด้วยพัฒนาการของมันฉลาดพอที่จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้...

ทั้งนี้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เราไม่รู้จักมันมาก่อนนี้พบที่ด้านล่างของ Mono Lake ใน Yosemite National Park รัฐ California ซึ่งพวกมันสามารถดำรงชีวิตด้วยสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารหนู (Arsenic) ที่เป็นพิษ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญสิ่งมีชีวิตนอกโลกกล่าวว่า "พวกมันเป็นเอเลี่ยน และเอเลี่ยนพวกนี้กำลังอยู่กับพวกเราด้วย" สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข่าวนี้ ทางเว็บไซต์ arip จะติดตามนำมาเสนอกันต่อไป หลังจากที่มีการแถลงข่าวของ NASA ในวันนี้ 

ข้อมูลจาก: Telegraph

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 22:37:50


ความคิดเห็นที่ 46 (1565599)

 ทฤษฎีสมคบคิด: ตอนที่ 6 มนุษย์ดาวอังคาร เกรย์
 

 



Greys หรือ Grays เป็นชื่อเรียกมนุษย์ต่างดาวที่เราคุ้นเคยกันดี ที่มีลักษณะหัวโต ดวงตาสีดำใหญ่ไร้หนังตา ริมฝีปากบาง แขนยาว และผิวสีเทาซีด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เกรย์" ว่ากันว่าเกรย์นั้นเป็นชาวอังคารแต่อาศัยและสร้างอาณานิคมอยู่ใต้ดิน เพราะบนพื้นดินนั้นไม่อำนวยต่อการอาศัยอยู่ ทางเข้าไปยังนครของพวกเกรย์ที่อยู่ใต้ดินนั้นจะมีอุโมงค์ขนาดใหญ่ลึกลงไปถึงใจกลางดาว ถ้าใครเคยผ่านตาภาพลักษณะเหมือนอุโมงค์ใต้ดินที่นาซ่าถ่ายมาได้ คงพอจะนึกออกนะครับส่วนที่อยู่อาศัยของเกรย์นั้น จะเป็นลักษณะเหมือนยานอวกาศหรือยานยังชีพสำหรับตัวเองหรือครอบครัว ซึ่งจะใช้ไปไหนมาไหนได้ง่ายและสะดวก แต่ก็จะมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นสถานที่สำคัญๆ อยู่ด้วย แต่ปัจจุบันพวกเขายังอาศัยอยู่ในใต้ดินของดาวอังคารหรือเปล่า อันนี้ไม่เป็นที่แน่ชัด หรือว่า……..ตอนนี้พวกเขากำลังจะหาบ้านใหม่ !!!  


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากข่าวการพบเห็นจานบิน ปรากฏการณ์ประหลาด ในโลกเราอยู่เสมอและรายงานการพบเห็นปรากฏเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีจนถึงปัจจุบัน จากข้อมูลบางแหล่งได้รายงานว่า ส่วนหนึ่งของพวกเกรย์ได้เริ่มมาอาศัยอยู่บนโลกของเราบ้างแล้ว และรัฐบาลได้พยายามสร้างความเชื่อต่อสาธารณะชนให้พยายามคิดว่าเอเลี่ยนนั้นไม่เป็นอันตราย และพยายามริเริ่มมีนโยบายของการรับเอเลี่ยนเข้ามาอยู่ในโลกอย่างลับๆ และโครงการในอนาคตเพื่อเป็นการเตรียมการสร้าง New World Order หรือ NWO (ไม่ใช่กลุ่มนักมวยปล้ำ นะ หึ หึ หึ) หรือ นโยบายการจัดระเบียบของโลกใหม่ให้ทุกอย่างเป็นระบบหรือระเบียบมากขึ้น เพื่อง่ายและสะดวกต่อการควบคุมพลเมืองหรือประชาชน (อาจคล้าย The Matrix นา) โดยรัฐบาลได้พยายามสร้างสภาวะทางสังคมที่เอื้ออำนวยต่อเกรย์ ให้สามารถอาศัยได้เมื่อพวกเขามาถึง โดยจากการอาศัยพลังของสื่อเพื่อชักนำและชักจูงประชาชนทีละเล็กน้อย เพราะเหตุนี้เราถึงมีภาพยนตร์ เช่น ID 4 Men in Black X-Files ET รวมไปถึงการ์ตูน นิตยสาร ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีรูปของเกรย์ติดอยู่ ให้คุ้นเคยกับการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวหรือเอเลี่ยน และเพื่อดึงดูดและโน้มน้าวใจของประชาชน


 



รัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของพวกเกรย์หรือเพียงแต่จะใช้พวกเขา เพื่อปฏิบัติการอย่างอื่นใดต่อไปในอนาคตหรือไม่ ? คำตอบไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ในอนาคตเมื่อรัฐบาลเตรียมการทุกอย่างเสร็จสำหรับพวกเกรย์แล้ว เกรย์จะเริ่มสลัดเกราะหินที่ปกคลุมส่วนผิวยานออกและจะเริ่มมุ่งหน้ามายังโลกทันที และเกรย์ก็จะใช้โปรแกรมที่พัฒนามากว่าร้อยปี โดยโปรแกรมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ปกครองโลกเราและทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่รู้ว่าเป็นโปรแกรมประเภทใด แต่อาจจะคล้ายแบบ mind control ก็ได้ขะรับ เป็นการควบคุมเราให้อยู่ในปกครองของเกรย์และรับใช้ต่อพวกเขา ซึ่งว่ากันว่าในขณะนี้มียานอวกาศลำมหึมาลอยอยู่ในอวกาศห่างจากโลกออกไป ซึ่งมันแฝงตัวอยู่ในรูปของดาวเคราะห์หรือที่เราเรียกกันว่าดาวหาง "Hale Bopp" แต่จริงๆ แล้วมันคือสถานีอวกาศขนาดยักษ์ ซึ่งมีเกรย์กว่า 300 ล้านอาศัยอยู่เพื่อรอการครอบครองโลก และคุมเชิงอยู่นอกโลกเพื่อรอเวลาพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่เป็นมิตรแก่มวลมนุษย์แต่อย่างใด เป้าหมายของเกรย์คือมุ่งครองดวงดาวของเราและใช้ทรัพยากรจากดาวของเราเพื่อเป็นที่อาศัยอยู่เท่านั้น วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ อนาคตหมู่มวลมนุษย์ชาติจะเป็นยังไงต่อไป ก็จับตาคอยรอดูกันต่อไปก็แล้วกัน แต่ถ้าวันนั้นมาถึงก็ "May The Force Be With You" ละกัน หุ หุ หุ

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-23 22:43:53


ความคิดเห็นที่ 47 (1565796)

 

คุณโชบิเดย์คะ ข้อมูลล่าสุดนี้นำมาจากไหนคะ ไม่เห็นแจ้งแหล่งที่มาเลย

อ่านแล้วก็ทำให้รู้สึกว่ามันน่ากลัว  แต่ก็คงเหมือนกับคนที่มีทั้งคนดีคนชั่ว

ขอบคุณที่นำมาให้อ่านกันนะคะ โดยเฉพาะเรื่องของ คุณหมอเทพนมชอบมากค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช พงษ์ดี (kanungnuch03-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-24 22:16:04


ความคิดเห็นที่ 48 (1567915)
image

 "วิชาโทรจิต"...ของมนุษย์ต่างดาว? ผลพลอยได้อย่างหนึ่งจากการปฎิบัติธรรมตามแนวทาง "พุทธศาสนา" ก็คือการค้นพบหลักการที่เกี่ยวของกับพลังงานรูปต่างๆ ที่มีความละเอียดสูงมาก จนยังไม่มีเครื่องมือใดๆ ในปัจจุบันจะสัมผัสวัดได้ รวมทั้ง "คลื่นกระแสจิต" ซึ่งมีความคมและละเอียดสูงสุด 

"วิชาโทรจิต" เป็นความสามารถตามธรรมชาติที่แต่เดิมมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง โดยการใช้โทรจิตนี้ผู้ใช้จะสามารถถ่ายทอดความรู้สึก หรือสิ่งที่ตนรู้สึกในใจ ไปให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นได้ โดยต้องเป็นสภาวะแห่งจิตสำนึกที่ตื่นตัว หรือสภาวะที่ทำให้ใจเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "จิตสำนึกแห่งจักรวาล"
"โทรจิตจึงเป็นความรู้แห่งจักรวาลที่มีพรมแดนที่กว้างขวางยิ่ง"

หลักทฤษฎีโทรจิตที่ได้รับถ่ายทอดมานั้น มีอยู่ด้วนกัน 4 ข้อ คือ

1.จะต้องพิจารณาว่า "มหาสากลจักวาล" เป็นองค์แห่งจิตสำนึกอันหนึ่ง

2.สรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในมหาสากลจักรวาลนี้ล้วนเป็นร่างที่แบ่งภาคออกมาจากองค์แห่งจิตสำนึกอันนี้ทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเป็นเรื่อง
ธรรมดาที่มนุษย์แต่ละคนจะมีจิตสำนึกแห่งจักรวาลดำรงอยู่ในตัว

3.จิตสำนึกแห่งจักรวาลอันนี้เป็นทั้งพลังชิวิต เป็นทั้งปัญญา และเป็นความรู้ในสรรพสิ่งอีกด้วย

4.หากสามารถผนึกใจของตัวเองให้แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกอันนี้ได้ จิตสำนึกอันนี้ จะเป็นตัวจับและรับกระแสคลื่น ที่มาจากภายนอกพร้อมกับส่งต่อข่าวสารนั้นให้กับจิตของมนุษย์คนนั้น 

ดังนั้น "ความคิด" ที่คนหนึ่งๆเปล่งออกมา จึงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถรับคลื่นความคิดนี้ได้ ถ้าคนๆนั้นเปิดเครื่องรับในร่างกายตนรับคลื่นนั้นๆเข้ามา

ในอีกด้านหนึ่ง ตัวจักรวาลหาใช่เป็นสิ่งที่เป็นศูนย์กลางของข้อมูลนั้นไม่ การกระทำของสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลต่างเป็นศูนย์กลางโดยตัวมันเองต่างหาก ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะทุกสรรพสิ่งในจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาโดยปฐมเหตุของจักรวาล ดังนั้น รังสีที่เปล่งออกมาจากการกระทำใดๆของสรรพสิ่งนั้นๆ จึงกระจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ด้วยเหตุผลเช่นนี้

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-06 12:06:28


ความคิดเห็นที่ 49 (1567916)
image

 เซลล์แต่ละอันในร่างกายมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยคลื่นความคิดออกมาได้เช่นกัน และในทางกลับกันคลื่นความคิดก็ย่อมสั่นสะเทือนเซลล์แต่ละอันในร่างกายตนเองได้ด้วย 

ดังจะเห็นได้ว่าความเครียดที่สั่งสมนานๆ เป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์ เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง การมีความคิดที่ดี แจ่มใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์ บางครั้งเราจึงควรหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อยคลื่นความคิดร้ายๆ ถ้าหากทำได้ จะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นเข้ามา...
คลื่นความคิดที่ควรหลีกเลี่ยง

1.สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การไม่ให้คลื่นความคิดจำพวก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไร้สาระในเรื่องเล็กน้อย ความเกลียดชัง เหล่านี้ ไหลเขามาสู่ตัวเรา

2.พวกคลึ่นความคิดชั้นต่ำที่ถูกปล่อยออกมาจากดาวดวงอื่น ที่มีวิวัฒนาการล้าหลังกว่าโลกของเรา ก็เป็นคลื่นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ

3.คลื่นความคิดที่ปล่อยออกมาจากความทรงจำของชาวโลกที่เคยอาศัยอยู่บนโลกในอดีต ส่วนใหญ่เป็นคลื่นความคิดที่แตกแยกไม่ปรองดองกัน และอกุศล
มักทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว แต่ความจริงเป็นแค่คลื่นความคิดของผู้ตายที่ยังหลงเหลืออยู่ในอวกาศเท่านั้น

คลื่นความคิดที่ควรรับเข้ามา

1.พลังชีวิต (ปราณ) ของจักรวาลที่ไหลเข้ามา เป็นพลังภายในที่บริสุทธิ์ เป็นทั้งปัญญาแห่งจักรวาลภายในตัวด้วย สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทุกสรรพสิ่งได้อย่างเสมอภาค ไม่ลำเอียง ปัญญาและความรู้ที่บริสุทธ์ จึงมักเข้าไปใกล้ผู้ที่ถ่อมตัวและมีจิตใจปิดกว้าง มากกว่าคนใจแคบ 
มิใช่เพราะว่าปัญญาและความรู้ลำเอียง แต่เป็นเพราะคนที่ใจแคบนั้นมีความสามารถในการรับปราณหรือพลังจักรวาลน้อยกว่าคนใจกว้างต่างหาก

2.คลื่นความคิดจากรูปธรรมชั้นสูง ทั้งจากในโลกนี้และที่มาจากดาวดวงอื่นที่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงกว่าโลกของเรา คลื่นความคิดนี้เปี่ยมไปด้วยความรักความหวังดี และเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก

3.การสื่อสารไปมาระหว่างเซลหรืออะตอม จากสรรพสิ่งธรรมชาติรอบๆตัวเรา ด้วยภาษาร่วมหรือภาษาจักรวาลที่เป็นสากล

อนึ่งมีข้อห้ามพึงระวังในการฝึกโทรจิตก็คือ ผู้ฝึกจะต้องไม่ปล่อยคลื่นความคิดที่เป็นอกุศลใดๆ ออกมาเป็นอันขาด แต่จะต้องสร้างความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวก้บสรรพสิ่งให้ได้
วิธีฝึกโทรจิตของ"อดัมสกี้"ที่เป็นรูปธรรม มีดังนี้ครับ...
ก่อนอื่นผู้ฝึกจะต้องตระหนักถึงปัจจัย 3 ประการในการฝึกโทรจิต คือ

หนึ่ง ในการสัมผัสคลื่นความคิดที่เข้ามาจากข้างนอก จะต้องไม่มีการแบ่งแยกเกิดขึ้นระหว่างใจของเรากับผู้ที่เราต้องการสื่อสารด้วย

สอง สรรพสิ่งล้วนมีชีวิต เซลล์แต่ละอันไม่เพียงแต่ให้พลังชีวิตเท่านั้นแต่ยังมีปัญญาดำรงอยู่ในตัวด้วย เซลล์แต่ละอันจึงสามารถรับข่าวสาร และปล่อยข่าวสาร ที่เป็นประสบการณ์ของตนออกไปได้ 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-06 12:07:44


ความคิดเห็นที่ 50 (1567917)
image

 สาม ผู้ฝึกต้องควบคุมเซลล์ในร่างกายของตนโดยผ่านการตอบสนองของประสาทสัมผัสทั้ง 4 ในร่างกายของตน โดยทำให้อวัยวะแต่ละส่วน "เป็นกลาง" เสียก่อน

วิธีฝึก
1.ทดลองส่งโทรจิตระหว่างคนสองคน โดยเริ่มจากการอยู่ในห้องเดียวกันก่อน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มระยะห่างระหว่างคนสองคนให้ไกลออกไปเรื่อยๆ
-โดยผู้ส่งจิตจะต้องวาดภาพ หรือจินตการภาพที่จะส่งออกไปขึ้นไว้ในใจก่อน แล้งลองส่งออกไป
-ส่วนผู้รับโทรจิตก็ต้องมีสมาธิคอยรับด้วยท่าทางและจิตใจที่ผ่อนคลาย ก่อนจะบอกคำตอบออกมา ถ้าทดลอง 5 ครั้ง แล้วตอบถูกเกิน 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าใช้ได้

2.ทดลองรับคลื่นโทรจิตจากสี่งของใกล้ๆตัวของใครคนหนึ่ง เช่นทายราคาของสินค้าอันนั้น (เนื่องจากอะตอมของสิ่งของนั้น ได้รับข่าวสารจากผู้เป็นเจ้าของมาก่อนแล้ว) จะทายข้อความในจดหมาย หรือทายไพ่ก็ย่อมได้..

3.ฝึกโยนเหรียญ และออกคำสั่งให้เหรียญนั้นออก"หัว"หรือ"ก้อย" เมื่อตกลงพื้น โดยตอนออกคำสั่งนั้น ต้องแสดงความปรารถนาและจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเหรียญเสียก่อน นอกจากฝึกกับเหรียญแล้ว ทดลองฝึกกับลูกเต๋าก็ได้.. 

4.ฝึกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพื้นน้ำ หากมีโอกาสไปยืนที่สูงๆเหนือแม่น้ำ ทะเลสาบ บึง หรือเหนือทะเลกว้างๆ ลองจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคลื่นน้ำ เราจะได้สัมผัสความรู้สึกที่เย็นสดชื่นยิ่งขึ้น 

การพัฒนาความสามารถเชิงโทรจิตในตัวเรานั้น จำเป็นจะต้องฝึกฝนและฝึกฝน ๆ ๆ ในทำนองที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ หากมีใครทดลองฝึกแล้วยังไม่คืบหน้า นั่นย่อมแสดวว่า "อัตตา"(EGO) ของผู้ฝึกนั้นแรงไปนั่นเอง และปัจจัยความ เหนื่อยหน่าย เหนื่อยล้า และความเครียด อาจเป็นอุปสรรคของการฝึกโทรจิต

ต้องรู้จักผ่อนคลาย ให้เป็นเรื่องปกติธรรมชาติไปเองในที่สุด... 

การใช้วัตถุธาตุ เพื่อสื่อพลังโทรจิต

ชาวแอตแลนติสในยุคราว 40.000 ปีก่อน ได้เคยสร้างปิรามิดเพื่อใช้สื่อสารกับพลังจักรวาล ยังได้ใช้ผลึกคริสตัลมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพื่อการติดต่อ (รับคลื่น-ส่งคลื่น) กับพลังจักรวาลและจิตสำนึกแห่งจักรวาลด้วยวิธีการดังนี้..

ในการรับคลื่นจิตวิญญาณระดับสูง ให้นำผลึกคริสตัลขนาดเล็ก มาวางเบี้องหน้าเราสองก้อน ให้ตัวเรานั่งอยู่บริเวณยอดสามเหลี่ยมของทรงปิรามิด (ให้ตัวเราเป็นผลึกคริสตัลก้อนที่สาม) จากนั้นใช้ลวดทองแดงหนึ่งเส้นพันรอบผลึกคริสตัน 3 รอบ ก่อนจะนำลวดทองแดงนั้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง ในท่าหลับตาเข้าสมาธิ..

จากนั้นให้เพ่งจิตและพลังทั้งหมดของเราไปยัง "ผู้ที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย"

ในทางกลับกัน หากเราต้องการที่จะส่งคลื่นออกไป ข่าวสารของเราไปให้กับผู้ใด ก็ให้กระทำในรูปแบบตรงกันข้ามกับข้างต้น คือใช้สองมือเราแทนผลึกคริสตันสองก้อน (เป็นส่วนฐานของรูปสามเหลี่ยม) ในขณะที่ผลึกมีคริสตันเพียงหนึ่งก้อน มาเป็นปลายยอดของสามเหลี่ยมแทน (ตามรูป)

วัตถุธาตุเหล่านี้เป็นสื่อที่สามารถใช้ติดต่อระหว่างธาตุหยาบกับธาตุละเอียด หรือของมนุษย์กับเทวดา และรูปธรรมอื่นๆได้ เป็นเครื่องช่วยสื่อสารให้คมชัดขึ้น...(สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ การโทรจิตจึงเป็นเรื่องที่แพร่หลายมาก)ข้อผิดพลาดของชาวแอตแลนติสในอดีต ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ในปัจจุบันหรอกครับ..คือพวกเขาไม่สามารถควบคุม "อัตตา"(EGO) ของเขาได้ จึงนำพลังอันมหาศาลที่อารยธรรมของเขาได้สร้างขึ้นมา ไปใช้ในทางที่ผิดๆ โดยเฉพาะสงคราม (ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ)

ตั้งแต่มนุษย์คิดค้นระเบิดปรมาณูขึ้นมาได้ และนำมาใช้เข่นฆ่าสังหารมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นต้นมา จะว่าไปมนุษย์ในยุคนี้กำลังเจริญรอยตามจุดจบของชาวแอตแลนติสแทบทุกกระเบียดนิ้ว และถ้าหากข้อสัษฐานที่ว่าชาวแอตแลนติสมีเชี้อสายจากมนุษย์ต่างดาวเป็นจริง จึงไม่น่าแปลกที่ปรากฎการณ์จานบิน(UFO) จะมาปรากฎให้มนุษย์เห็นกันอย่างถี่ๆ นับแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เพื่อมาเตือนภัยแก่มนุษย์เรา ว่ากำลังเดินไปในทางที่ผิดๆกันอยู่...

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-06 12:09:22


ความคิดเห็นที่ 51 (1567918)
image

                                                                  การใช้ประสาทสัมผัสจากจักรวาล


มนุษย์ต่างดาวถูกอบรมตั้งแต่เด็กให้เข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกาย กับจิต และการ "ควบคุมใจ" เพราะฉะนั้น "ใจแห่งอวัยวะสัมผัส" ของเขาจึงถูกยกระดับให้สูงส่งระดับเดียวกับ ใจของฟ้า" (ปฐมเหตุแห่งจักรวาล) ทำให้เซลล์ในร่างกายทั้งหมดของพวกเขาสามารถตอบสนองคำสั่งที่ใจสั่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาจึงแข็งแรง และมีอายุยืนยาวเกินกว่าที่ชาวโลกจะคาดคิดได้เช่นกัน..

ชาวโลกก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน หากแต่บุคคลผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่าง เที่ยงธรรม มีชิวิตอยู่อย่างมีปณิธาน ศรัทธา ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า และมีความคิดในเชิงบวก เซลล์ในร่างกายก็จะตอบสนองต่อจิตใจบุคคลนั้นในทางบวกเช่นกัน ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมได้ผลเช่นเดียวกัน

แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง จิตสำนึกนี้ กลับมีชิวิตโดยใช้แค่ "ใจ" หรือ "สิ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้งหลาย "เท่านั้น ซึ่งผันผวนง่ายและแปรปรวนอย่างรุนแรง มาเป็นหลักของชิวิต ขณะที่มนุษย์ต่างดาวจะถือว่าจักรวาลเป็นองค์แห่งจิตสำนึก คือพระผู้สร้างหรือพระผู้เป็นเจ้า จึงพยายามประสานใจของตนให้สอดคล้องกับจิตสำนึกนี้...(คนที่นับถือพุทธะก็ยึดในหลักความเป็นหนึ่งเดียวกับ "ปฐมเหตุแห่งจักรวาล" ความหมายไม่แตกต่างกัน..)

กระแสคลื่นที่มนุษย์ต่างดาวปล่อยออกมา มีลักษณะเป็น "คลื่นความคิด" ซึ่งมีลักษณะคล้ายแสง ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว มันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีขอบเขต จนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่น หรือวัตถุอื่น...เช่นเดียวกันกับ "คลื่นความคิดของมนุษย์" เป็นคลื่นที่ส่งผ่านไปในอวกาศได้เช่นกัน แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรงทิศทางเดียวเหมือนลูกกระสุนจากปากกระบอกปืน หากแต่มีลักษณะเหมือนรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆทิศทาง และแผ่ขยายตัวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง.... 

เวบอ้างอิงจร้า  http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=8936
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-06 12:10:51


ความคิดเห็นที่ 52 (1567936)

 

 



ยานอวกาศต่างดาวขนาดยักษ์สามลำ กำลังมุ่งตรงมายังโลก !!! 
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ยานเหล่านั้นจะมาถึงโลกในเดือนพฤศจิกายน 2011 ปัจจุบันการเผชิญหน้ายาน UFO เริ่มมีเพิ่มมากขึ้น – ตามที่มีรายงานเอกสารใน WWN และนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบัน SETI( Search for Extraterrestrial Intelligence) องค์กรอิสระมิใช่เชิงพาณิชย์ ได้ประกาศอย่างจริงจังว่า




ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-06 13:10:10


ความคิดเห็นที่ 53 (1567937)

 

 
 
“ ยานอวกาศขนาดยักษ์สามลำ กำลังเดินทางตรงมาสู่โลก ลำที่ใหญ่ที่สุดกว้างถึง 300 ไมล์ อีกสองลำเล็กลงกว่าเล็กน้อย ปัจจุบันวัตถุทั้งสามดังกล่าวกำลังโคจรผ่านดาวพฤหัสบดีเข้ามา เมื่อดูจากความเร็วของยานทั้งสาม มันคงจะมาถึงโลกในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2011 “ ผู้รายงานข่าวนี้คือ John Malley ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุนอกโลกชั้นนำที่สถาบัน SETI


 

ยานอวกาศทั้งสามลำถูกจับได้โดยระบบสอดส่ายหาของ HAARP ระบบข่ายงานตั้งอยู่ที่ Alaska ถูกจัดตั้งเพื่อศึกษาปรากฎการณ์แสงเหนือ ตามผู้วิจัยของ SETI วัตถุที่เห็นคือยานอวกาศนอกโ,ก พวกยานเหล่านี้จะมองเห็นได้ด้วยกล้องโทรทัศน์เลนส์กระจก ทันทีที่มันมาถึงเส้นทางโคจรของดาวอังคาร( Mars) -- ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2011 รัฐบาลสหรัฐได้รับการบอกกล่าวให้ทราบเกี่ยวกับปรากฎการณ์นี้แล้ว 



ไม่ใช่ข่าวล้อเล่น แต่เป็นเรื่องความเป็นความตายของมนุษย์บนโลกที่ชื่อ Earth ใบนี้ และขอให้ติดตามตอนต่อไป อย่าได้กระพริบตา 

จะบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ข้อมูลนี้ไปตรงกับคำทำนายของนาย Harold Camping ที่ทำนายว่าจะเกิดวันสิ้นโลกจริงในวันที่ 21 ตุลาคม 2011 นี้ 

มิหนำซ้ำข่าวร้อนที่ NASA ยืนยันว่า ยานอวกาศต่างดาวขนาดยักษ์สามลำ กำลังมุ่งตรงมาสู่โลกเรา ทำท่าคุกคามขนาดไหนไม่ทราบได้ แต่ตอนนี้พวกเขาอาจกำลังเตรียมปกป้องโลกจากการโจมตีของมนุษย์นอกโลกแล้ว - แน่นอน



ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-06 13:11:25


ความคิดเห็นที่ 54 (1567940)

 

โทรจิต การสื่อสารด้วยจิต (Telepathy) ตอนที่ 1


 



โทรจิต คืออะไร

หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้ แต่จะมีสักกี่คนนะ ที่เข้าใจ ว่า โทรจิต คืออะไร

โทรจิต (Telepathy) คือ การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดจากใจของผู้ส่ง
ไปถึงผู้รับโดยไม่ผ่านวิธีการสื่อสารอื่นใด นอกจากใช้ใจเป็นสื่อเท่านั้น

เป็นความสามารถในการสื่อสารอีกระดับหนึ่ง ที่ใช้แทนการพูดและการเขียน
โดยใช้ใจเป็นสื่อในการรับและส่งข่าวสาร

เป็นการถ่ายทอดพลังทางกาย พลังทางอารมณ์ และพลังทางความคิด 
จากผู้ส่งไปยังผู้รับโดยไม่ต้องมีการสัมผัสกันทางกาย

โทรจิต เป็นสัญชาตญาณที่มนุษย์ในสมัยโบราณและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 
เคยใช้เป็นกลไกเพื่อความอยู่รอด ด้วยการติดต่อสื่อสารกันทางจิต

โทรจิต เป็นการสื่อสารที่ไม่ผ่านประสาทสัมผัสทางกายทั้ง 5
ตา  หู  จมูก  ลิ้น   กาย


โทรจิต มีกี่ประเภท


1. โทรจิต ถ่ายทอดเรื่องทางกายภาพ

เช่น ส่งกระแสจิตไปถึงผู้รับว่าเราเห็นอะไร เราได้ยินอะไร ฯลฯ


2. โทรจิต ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึก

เช่น กระแสจิตที่ส่งไปถึงผู้รับ ให้รับรู้ถึงความรัก ความเกลียดชัง ความเศร้า

ความกลัว ฯลฯ


3. โทรจิต ถ่ายทอดความคิดจิตใจ

เป็นการส่งกระแสจิตออกไปถึงผู้รับ ให้รับรู้ความคิดของเรา


คนเราทุกคนมีศักยภาพที่จะสามารถใช้โทรจิตได้ทั้งนั้น 

ด้วยการเรียนรู้และฝึกการใช้โทรจิต

ต้องรู้จักทำใจให้ว่าง และมีสมาธิในขณะที่จะส่งหรือรับโทรจิต


คนที่เป็นฝาแฝดกัน มักจะมีคลื่นความถี่ในระดับเดียวกัน และมักใช้โทรจิต

ในการสื่อสารกันโดยสัญชาตญาณ


คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เช่น คนในครอบครัวเดียวกัน

คู่รักกัน มักจะสื่อสารกันด้วยใจได้  หรือใช้โทรจิตรับส่งถึงกันได้

ยิ่งถ้ามีการฝึกฝนการใช้โทรจิตด้วยแล้ว จะได้ผลเร็วมาก

และใช้การโทรจิตถึงกันได้ตลอดชีวิต


อย่างเช่น ลูกที่เรียนอยู่ต่างประเทศ อยู่ๆก็คิดถึงแม่ เป็นห่วงแม่

จึงโทรศัพท์ทางไกลไปหา ก็ทราบว่าแม่กำลังป่วยหนัก  

เพราะกระแสจิตของแม่ที่กำลังป่วยอยู่นั้น ได้ถูกส่งไปหาลูก

ทำให้ลูกรับรู้ได้ว่าแม่กำลังป่วยอยู่


หรือคนที่เป็นคู่รักกัน  หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดถึงและโหยหา

อีกฝ่ายหนึ่งจะรับรู้ได้ด้วยใจ

 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-06 13:16:14


ความคิดเห็นที่ 55 (1567942)
image

 

จิตของคนที่ฝึกมาดี จิตที่ปราศจากอคติ  ปราศจากโทสะ 

ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงงมงาย ไม่อยากได้อยากมี 

ไม่อิจฉาริษยา ไม่โกรธแค้นอาฆาตพยาบาท มีใจสงบนิ่ง 

เป็นจิตที่ละเอียดอ่อน และมีพลัง  จะสามารถหยั่งรู้ใจคน 

และอ่านความคิดคนอื่นได้ 

 

กระแสจิตของคนเรา เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีความถี่สูง

และละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล 

กำลังความคิดของแต่ละคนที่ส่งออกไปนอกตัว 

สามารถไปกระทบจิตของคนที่มีความสามารถในการรับคลื่นกระแสจิตได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสจิตที่ส่งมาจากคนที่เรารู้สึกผูกพันใกล้ชิดสนิทสนม

จะสามารถติดต่อกันทางโทรจิตได้ 

บุคคลที่มีความสัมพันธ์กันทางอารมณ์อยู่แล้ว 

จะมีประสาทสัมผัสรับรู้พิเศษถึงกันได้

 

"คลื่นกระแสจิตเป็นพลังงาน ที่มีความละเอียดสูงมาก 

จนยังไม่มีเครื่องมือใดๆในปัจจุบันจะวัดได้  

คนเราทุกคน เป็นได้ทั้งผู้รับคลื่นกระแสจิต และเป็นผู้ส่งคลื่นฯ

 

โทรจิต”  (Telepathy) เป็นความสามารถถ่ายทอดความรู้สึก 

หรือสิ่งที่ตนรู้สึกในใจ ไปให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นได้ 

โดยการส่งกระแสจิตออกไปถึงผู้รับ

 

ดังนั้น “ความคิด” ที่คนหนึ่งๆเปล่งออกมา 

จึงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถรับคลื่นความคิดนี้ได้ 

ถ้าคนๆนั้นเปิดเครื่องรับในร่างกายตนรับคลื่นนั้นๆเข้ามา

 

เซลล์แต่ละอันในร่างกายมนุษย์

ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยคลื่นความคิดออกมาได้เช่นกัน 

และในทางกลับกันคลื่นความคิดก็ย่อมสั่นสะเทือนเซลล์แต่ละอัน

ในร่างกายตนเองได้ด้วย

 

ดังจะเห็นได้ว่าความเครียดที่สั่งสมนานๆ 

เป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์ 

เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง

 

การมีความคิดที่ดี แจ่มใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี 

จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์ 

บางครั้งเราจึงควรหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อยคลื่นความคิดร้ายๆ 

ถ้าหากทำได้ จะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นเข้ามา

 

คลื่นความคิดที่ควรหลีกเลี่ยง:

 

สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การไม่ให้คลื่นความคิดจำพวก ความโลภ 

ความโกรธ ความหลง ความไร้สาระในเรื่องเล็กน้อย ความเกลียดชัง 

ความเกียจคร้าน ความอิจฉาริษยา อคติ เหล่านี้ ไหลเข้ามาสู่ตัวเรา

 

คลื่นความคิดที่ควรรับเข้ามา:

 

คลื่นความคิดจำพวก ความรัก ความเมตตา ความหวังดี ความห่วงใย

ความเอื้ออาทร การมองโลกในแง่บวก การให้อภัย ความกระตือรือล้น

ความร่าเริงแจ่มใส เหล่านี้ ให้ไหลเข้ามาสู่ตัวเรา

 

ความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต 

เราควรฝึก “ควบคุมใจ” ทำให้เซลล์ในร่างกายทั้งหมด

สามารถตอบสนองคำสั่งที่ใจสั่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเราจึงจะแข็งแรง และมีอายุยืนยาว

 

เราทุกคนสามารถทำได้เช่นเดียวกัน 

หากแต่บุคคลผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่างเที่ยงธรรม 

มีชิวิตอยู่อย่างมีปณิธาน ศรัทธา ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า 

และมีความคิดในเชิงบวก 

เซลล์ในร่างกายก็จะตอบสนองต่อจิตใจบุคคลนั้นในทางบวกเช่นกัน 

ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมได้ผลเช่นเดียวกัน

 

แต่คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง จิตสำนึกนี้ กลับมีชิวิตโดยใช้แค่ “ใจ” 

หรือ "สิ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้งหลาย"เท่านั้น 

ซึ่งผันผวนง่ายและแปรปรวนอย่างรุนแรงมาเป็นหลักของชิวิต 

เราจึงควรพยายามประสานใจของตนให้สอดคล้องกับจิตสำนึกนี้

 

คลื่นความคิด” ซึ่งมีลักษณะคล้ายแสง 

ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว 

มันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีขอบเขต 

แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรงทิศทางเดียว

เหมือนลูกกระสุนจากปากกระบอกปืน 

หากแต่มีลักษณะเหมือนรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆทิศทาง 

และแผ่ขยายตัวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง…. 

จนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่นหรือวัตถุอื่น

 

นักพลังจิตเชื่อว่า

ความกดดันทางอารมณ์สูงสุดที่เกิดขึ้นทันทีทันใดของคนเรา 

เป็นสาเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ทางอำนาจจิตได้ 

อารมณ์ของคนเรานั้น

เป็นสวิตซ์ปิดเปิดการส่งโทรจิตธรรมชาติได้โดยอัตโนมัติ

 

อย่างเช่น 

 

เมื่อเราต้องประสบกับเหตุการณ์รุนแรง 

หรือเกิดอุบัติเหตุกับญาติพี่น้องหรือคนสนิท 

อารมณ์ที่เครียดสูงสุดนี้

ก็จะเป็นตัวเปิดสวิตซ์การส่งหรือรับโทรจิตโดยฉับพลันทันที 

 

อย่างในกรณีที่เกิดกับทหารเรือดำน้ำรัสเซียคนหนึ่งซึ่งป่วย

และต้องนอนพักอยู่ที่ฐานทัพ จึงไม่ได้เดินทางออกไปกับเรือเที่ยวนั้น  

พอตกบ่ายเขาก็ฝันไปว่า 

เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือในขณะที่เรือกำลังดำลง  

เขาไม่สามารถที่จะเข้าไปในเรือได้ 

ตัวเขาค่อยๆ จมลงไปในน้ำพร้อมกับเรือ  

เขาสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก  และรู้สึกว่ากำลังจะจมน้ำตาย 

 

จนบัดนี้เขายังจำฝันร้ายนั้นได้ติดตา 

เพราะหลังจากที่เราเข้าเทียบท่าที่ฐานทัพ 

เขาก็ทราบว่าเพื่อนของเขาจมน้ำตายเนื่องจากติดอยู่บนดาดฟ้าเรือ

ในขณะที่เรือกำลังดำลงสู่ใต้ผิวน้ำ

 

โทรจิตเป็นประสาทสัมผัสที่ 6 ของคนเรา 

ที่นอกเหนือไปจาก ตา หู  จมูก ลิ้น และกาย 

ซึ่งทุกคนมีความสามารถพิเศษทางโทรจิตนี้แฝงอยู่ 

หากแต่ถูกบดบังด้วยจิตใจที่หม่นหมอง 

 

ความจริงแล้วคนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ก็มีความสามารถในการส่ง

และรับกระแสจิตด้วยกันทั้งนั้น  แต่ความสามารถพิเศษนี้ 

จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและแน่นอน 

 

บางคนอาจมีความสามารถพิเศษนี้มากกว่าคนอื่นๆ

ผู้ส่งและผู้รับกระแสจิตนั้นมีความสำคัญเท่ากัน เพราะถ้าผู้ส่งกระแสจิต

ส่งมโนภาพที่เลือนลางมาให้เราก็จะได้แต่ภาพที่เลือนลางนั้นด้วย 

 

ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้รับและผู้ส่งข่าวสารทางจิต

จักต้องฝึกปรือกันมาอย่างดี และต้องสามารถสร้างมิตรสัมพันธ์ทางจิต

หรือรับคลื่นกระแสจิตให้เข้ากันได้เป็นอย่างดีด้วย

 

จงทำตัวให้สบายผ่อนคลายอารมณ์ 

ลดภาวะความตรึงเครียดทางกายและทางใจลง 

และควรจะกำจัดความกังวล หรืออารมณ์ที่ขุ่นมัวออกให้หมดสิ้น 

จงทำให้มีความเชื่อมั่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

 

เมื่อเริ่มส่งข่าวสารทางจิตไปยังผู้รับนั้น 

ปล่อยใจให้ล่องลอยจงแน่วแน่อยู่กับข่าวสารและข้อมูลที่จะส่ง 

พร้อมกับนึกถึงหน้าของผู้รับกระแสข่าวสารทางจิตจากเรา

ให้กระจ่างอยู่ในดวงจิต  เมื่อท่านฝึกเช่นนี้บ่อยๆ จนมีความคุ้นเคย

และสามารถปรับคลื่นกระแสจิตเข้ากันได้แล้ว 

ในไม่ช้าไม่นานท่านก็จะเปรียบเสมือนมีเครื่องรับส่งโทรจิตติดตัว 

ใช้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่และทุกสภาวะดินฟ้าอากาศ 

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น อำนาจจิตธรรมชาตินั้น น่าจะเกิดมาจากความสอดคล้องกัน

ระหว่างคลื่นสมองของผู้ส่งและผู้รับ ที่มีอำนาจสัมพันธ์กัน ซึ่งเรื่องนี้

คนทั่วไปสามารถฝึกปรับระดับจิตของพวกเขาให้เข้ากันได้ภายใน 3 เดือน 

 

แล้วยังมีข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า การฝึกโทรจิต ถ้าจะให้ได้ผลสูงสุด 

นอกจากจะปฏิบัติตามข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว 

เราควรจะมีการนัดหมายเวลาเพื่อให้ปฏิบัติพร้อมเพรียงและสอดคล้องกัน 

(ในที่นี้หมายถึงต้องสอดคล้องกันทั้งทางกาย จิตใจ และเวลาด้วย

 

ก็ขอให้ทุกๆคน  มีความรู้สึกนึกคิดที่ดี 

กระแสจิตที่ส่งออกมานอกตัว จะได้เป็นกระแสที่ร่มเย็น  

เป็นความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกัน

 

ส่วนคนที่มีกระแสความคิดเป็นในทางลบ  

เช่น อิจฉา หมั่นไส้  โกรธ เกลียด อคติ 

ก็ควรพยายามควบคุมกำลังความคิดของตนเองให้เป็นไปในทางบวก

เป็นไปในทางสร้างสรรค์  มีสันติสุข มีความสงบในใจ

เพราะผู้รับคลื่่นกระแสจิตจากคุณ  เขาจะได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ

และพลอยมีใจสงบร่มเย็นไปด้วย

 

---------------------------

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-06 13:20:42


ความคิดเห็นที่ 56 (1568073)

 

 

 

 ณัชชา อนุโมทนาบุญกับธรรมทานของคุณโซดิเบย์ด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ อ่านแล้วได้รับรู้ในสิ่งที่ณัชชา ไม่เคยรู้มาก่อน และเป็นประโยชน์มากเลยค่ะ  ขอบคุณมากๆนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ณัชชา พรหมทองแก้้ว (phueng9574-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-07 09:53:06



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.