ReadyPlanet.com


วิบากกรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน


 พระพุทธเจ้าของเราทรงเผยพระประวัติกรรมและผลของกรรมของพระองค์ กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะประทับเหนือพระศิลาอันน่ารื่นรมย์ใกล้สระอโนดาด 

ทรงกล่าวว่าครั้งหนึ่ง เห็นภิกษุผู้อยู่ป่ารูปหนึ่งจึงได้ถวายผ้าท่อนเก่า โดยตั้งปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลแห่งกรรมอันเนื่องด้วยผ้าท่อนเก่านั้น ได้สำเร็จในความเป็นพระพุทธเจ้า 

ครั้งหนึ่งเคยเป็นนายโคบาล ต้อนแม่โคไปสู่ที่หากิน เห็นแม่โคดื่มน้ำขุ่นจึงห้ามไว้ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นในภพสุดท้ายนี้ พระองค์กระหายน้ำ จึงไม่ได้ดื่มตามต้องการ เพราะเคยให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาถวาย พระอานนท์ไปแล้วไม่ตักมาบอกว่าน้ำขุ่น ต้องตรัสย้ำให้ไปตักใหม่เป็นครั้งที่สอง จึงได้น้ำใสกลับมาเพราะน้ำขุ่นนั้นกลับใส 

ชาติหนึ่งเคยเป็นนักเลงชื่อปุนาลี ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่าสุรภิผู้มิได้ประทุษร้าย ด้วยผลแห่งกรรมนั้นต้องไปท่องนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปี ด้วยกรรมที่เหลือในภพสุดท้ายก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ซึ่งเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นไปค้างคืนกับพระสมณโคดม ให้ใครต่อใครหลงผิดทั้งที่นางค้างที่อื่น แต่รุ่งเช้าก็ทำท่าโผเผมาจากเชตวนาราม อีกสองสามวันที่มีคนโจษจันกัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านาง ป้ายความผิดว่านางถูกฆ่าปิดปาก คนสงสัยว่าอาจจะจริง ร้อนถึงพระราชาส่งราชบุรุษไปสืบดูตามร้านสุรา ก็จับนักเลงที่ฆ่ากับเดียรถีย์ที่จ้างฆ่ามาลงโทษทั้งหมด 

อีกชาติหนึ่งเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ มีผู้เคารพสักการะ สอนมนต์แก่มานพ 500 ได้ใส่ความภีมฤษีผู้มีอภิญญา มีฤทธิ์มาก หาว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม มานพทั้งหลายก็พลอยชื่นชม เมื่อไปภิกขาจารในสกุลก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม ผลของกรรมนั้นภิกษุ 500 เหล่านี้ทั้งหมดก็พลอยถูกใส่ความด้วย เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกาทีถูกนักเลงฆ่าป้ายความผิดให้พระพุทธองค์ ภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเชตวนาราม พลอยถูกหาว่าร่วมกันฆ่าปิดปากนางสุนทริกา และถูกด่าว่า กระทั่งพระราชาจับนักเลงและเดียรถีย์ที่ร่วมกันฆ่านาง จึงสงบ 

อีกชาติหนึ่งไปกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภูพุทธเจ้า มีนามว่านันทะ จึงต้องท่องไปในนรกหลายหมื่นปี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถูกใส่ความมาก และด้วยกรรมที่เหลือ ชาติสุดท้ายนี้จึงถูกนางจิณจมาณวิกา ใส่ความว่าพระองค์ทำให้นางตั้งครรภ์ 

ชาติหนึ่งเคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผลักลงในซอกเขา เอาหินทุ่ม ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุ่มที่เขาคิชกูฏ จนสะเก็ดหินกระเด็นถูกหัวแม่เท้า ห้อพระโลหิตในชาติสุดท้าย 

อีกชาติหนึ่งเป็นเด็กเล่นอยู่ในทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเผาสิ่งต่างๆขวางทางไว้ ผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายจึงถูกพระเทวทัตส่งคนตามล่า 

ชาติหนึ่งเป็นนายควาญช้าง ไสช้างไล่กวดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต ผลแห่งกรรมนั้น ชาติสุดท้ายถูกช้างนาฬาคิรีดุร้ายเมามัน วิ่งเข้ามาเพื่อทำร้ายในนครอันประเสริฐมีภูเขาเป็นคอกคือกรุงราชคฤห์ ซึ่งมีภูเขาห้าลูกแวดล้อม 

อีกชาติหนึ่งเป็นพระราชา เป็นหัวหน้าทหารเดินเท้า ฆ่าบุรุษหลายคนด้วยหอก ผลแห่งกรรมนั้นต้องหมกไหม้อย่างหนักในนรก ด้วยผลที่เหลือแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้าย สะเก็ดแผลที่เท้ากลับกำเริบ กรรมยังไม่หมด 

ชาติหนึ่งเคยเป็นเด็กชาวประมง ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลาก็มีความชื่นชม ด้วยผลของกรรมนั้นจึงเกิดเจ็บที่ศรีษะ ในขณะที่วิทูฑภะฆ่าพวกศากยะในกรุงกบิลพัสด์ 

อีกชาติหนึ่งเคยเป็นบริภาษพระสาวกในพระธรรมวินัยของพระผุสสพุทธเจ้า ว่าท่านจงเคี้ยว จงกินข้าวเหนียวเถิด อย่ากินข้าวสาลีเลย ผลแห่งกรรมนั้นในชาติสุดท้ายนี้ ต้องบริโภคข้าวเหนียวอยู่สามเดือน เมื่อพราหมณ์นิมนต์ไปอยู่เมืองเนรัญชา แล้วลืมถวายอาหาร ได้อาศัยพ่อค้ามาถวายข้าวเหนียวแดงที่มีไว้ให้ม้ากิน 

ชาติหนึ่งสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เคยทำร้ายบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงเจ็บที่หลังเรื่อย 

ชาติหนึ่งเคยเป็นหมอ แกล้งให้ยาถ่ายแก่บุตรเศรษฐี เป็นยาถ่ายอย่างแรง ถึงแก่ชีวิต ผลแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้ายนี้ จึงเป็นโรคปักขันทิกะลงพระโลหิต 

อีกชาติหนึ่งได้ชื่อว่าโชติปาละ เคยกล่าวกับพระสุคตพระนามกัสสปะว่า การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จากควงไม้โพธิ์ที่ไหนกัน ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้ายนี้ต้องบำเพ็ญทุกกรกริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลาถึงหกปี ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ 

“เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ได้แสวงหาโดยทางที่ผิด เพราะถูกกรรมเก่าทวงเอา” พระองค์ทรงหมายถึง มิได้ปฏิบัติธรรมบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในทันทีเลย ต้องไปหลงผิดปฏิบัติทางอื่นอยู่หกปี อดอาหารจนแทบสิ้นชีวิตเมื่อบำเพ็ญทุกกรกริยา เปลี่ยนมาฉันอาหารอีก ทำให้ปัญจวัคคีย์โกรธเลิกนับถือหาว่าไม่มั่นคง แต่ภายหลังเมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติถูกทางจนบรรลุธรรม ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงไปโปรดปัญจวัคคีย์ ให้หายโกรธ หายเข้าใจผิด 

พระพุทธองค์ทรงสรุปการแสดงกรรมอันเกิดจากอดีตชาติทั้งหลายดังกล่าว “เราสิ้นบุญและบาปแล้ว เว้นแล้วจากความเดือดร้อนทั้งปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้นปราศจากอาสวะ จักปรินิพพาน” 



ผู้ตั้งกระทู้ ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-09-23 22:01:28


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1574272)

 

เหตุผลที่พระพุทธเจ้าต้องมีอายุ 80 ปี

แต่ว่าทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตนให้อยู่ถึงกัปหนึ่ง หรือกัลป์หนึ่งก็ได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับนิพพานเมื่อระหว่างอายุของพระองค์อายุได้ 80 ปี 

ตอนให้พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีความสงสัยแต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ได้อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของ อตีตังสญาณ

แต่ทว่าสำหรับอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโกนี้ต้องสงสัย เพราะว่าไม่ได้ญาณวิเศษ จึงได้ค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ 
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่เขากล่าวกัน แต่ทว่า การที่องค์สมเด็จพระรงธรรม์บรมศาสดาต้องมีอายุ 80 ปี เหตุผลก็เป็นอย่างนี้ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรีทรงกล่าวว่า

อตีเต กาเล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลตถาคตเสวยชาติพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิ์ สัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถอยหลังจากชาตินี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับไปหลายชาตินี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถทรงยำเพ็ญบารมีใกล้จะถึง ปรมัตถบารมี

พระวรกายของพระองค์นี้มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วยเป็นสีแดง

ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือเกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า ต่อมาบิดาตาย เหลือมารดาแต่ผู้เดียว ท่านปฏิบัติตนเป็นคนประกอบได้ความกตัญญูรู้ หาเช้ากินค่ำ
หรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดามาเลี้ยงมารดาเป็นที่รักคือว่าท่านเป็นคนป่าก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้าบ่าย จนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำบริโภคอาหารเสร็จ

แล้วก็นำเอาฟืนไปขาย ได้เงินเท่าไรก็มามอบแก่มารดา มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดหาอาหารมาเลี้ยงดูกัน

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 22:05:43


ความคิดเห็นที่ 2 (1574274)

 เจ้ารากษสขึ้นมาอาละวาด


เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสนา เวลานั้นเต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก ท่านกล่าวว่าในวันนั้น พระราชามีความลำบากด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า รากษส นี่ก็มีสภาพเหมือนยักษ์ที่อยู่ในโพรงและอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล เพราะอยู่ในโพรงและใต้ดิน มันมีมีบ่ออยู่ แต่ว่าทางขึ้นก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน


เจ้า รากษส ตัวนี้ ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเวลานี้เปรียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์ เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตกฤษ์ประจำปี
เจ้า รากษส ตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร ทำอย่างนี้เป็นเวลา 2- 3ปี ในแดนไกล


ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า เจ้า รากษส ขึ้นมา อาละวาด เจ้า รากษส ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล ถ้าถึงฤดูนั้นถึงเดือนนั้นมันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร จับไปเป็นอาหาร เพื่อ เป็นเสบียงกรัง ทำอย่างนี้เป็นเวลา 2-3 ปี จนเป็นที่แน่ใจของบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่า วันนี้แหละ เจ้า รากษส จะขึ้นมาจับคนไปกิน จึงได้กราบทูลพระราชาทรงทราบ


พระราชาก็ป่าวประกาศคนมีฝีมือ ให้สู้กับ รากษส ได้ไปดักอยู่ที่ปากปล่องของ รากษส ที่จะขึ้น ถ้า รากษส ขึ้นมาก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย
แต่ว่าบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย รากษส มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมากแทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า รากษส ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี คือ รากษส ไม่ต้องกินไกล จับคนที่ไปฆ่าเขา นำกลับไปกินเป็นอาหาร 


ต่อมาพระราชาเห็นว่า คนทั้งหลายไปสามารถสู้ รากษส ได้ การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน ไม่มีใครรับ อาสาไปปราบ รากษส 


ต่อมาพระราชาได้ประชุมอำอมาตย์ข้าราชบริพารว่า
เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราไม่สามารถจะคงอยู่ เพราะเราไม่สารารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้


แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ใช้ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลายบรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกัน ว่าถ้าหากพวกเราไม่สามารถจะฆ่า รากษส ได้ พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชทรงครองราชย์ต่อไป


ในที่ประชุมก็กล่าวกันว่า ทาวที่ดีควรประกาศ ให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศที่มีความสามารถเข้าใจกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และก็มีความดีอย่างนี้ 
ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย 


ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย
หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้เราหาได้ยาก ถ้าอย่างไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็นอยู่ เพราะเราอยู่ในแดนไกลในขอบเขตประเทศต่างๆ มีมากมาย ว่าควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะอาสาฆ่า รากษส ในที่สุดเขากราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 22:06:16


ความคิดเห็นที่ 3 (1574275)

 
มอบทองคำเท่าลูกฟักสำหรับผู้ที่อาสา 

ต่อมาพระราชาก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าใครสามารถจะฆ่า รากษส ให้ตายได้ ในช่วงการรับอาสา จะมอบทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าลูกตัวบุคคลผู้รับอาสา ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้เผื่อว่าไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย ทางบ้านจะได้ใช้ทองคำนี้จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขแทนผู้ตาย ถ้าหากว่าบุคคลใดฆ่า รากษส ตายแล้ว แล้วตัวเองไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิอยู่แล้ว 


แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนครพระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช คือมีตำแหน่งรองจากพระราชา


วันนั้นปรากฏ หน่อพระโพธิ์สัตว์เข้าป่าหาฟืนในป่า แต่ไม่ทันจะเข้าเดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงประกาศจากอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ว่าถ้าบุคคลผู้ใดอาสาฆ่า รากษส ได้ราชาจะประทานทองคำหนักเท่าลูกฟัก หนักเท่าเท่าผู้อาสาเป็นเดิมพัน แต่ถ้าฆ่า รากษส ไม่ได้ต้องตาไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว ถ้าห่าได้จะแถมรางวัลพิเศษ คือเป็นมหาอุปราช


หน่อพระโพธิ์สัตว์จึงคิดว่า เราเป็นลูกของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็กินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก ถ้าหากเรายอมเสี่ยงชีวิตของเราตายแต่เพียงผู้เดียว ให้แม่มีโอกาสได้รับ ทองคำลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินแบบสบายๆ แม้กระทั่งตาย ทองคำยังไม่หมด เมื่อหน่อเนื้อพระบรมโพธิสัตว์กำหนดอย่างนี้แล้วจึงได้รับอาสา แล้วรับทองคำมามอบให้แก่แม่ ตอนนี้แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตา


ในที่สุดก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่ ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชากับอำมาตย์ ที่ประกาศหาคน เข้าไปเฝ้าแล้ว พระราชาก็ถามถึงตุผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจจะฆ่า รากษส ได้หรือ เขาบอกว่า เขามั่นใจ


ต่อไปพระราชาถามว่า
เจ้าต้องการทหารเท่าไร? ต้องการอาวุธอะไรบ้าง? ที่จะไปฆ่า รากษส
หน่อพระโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า 


ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่าด้วยมือเปล่า
พระราชาก็หนักใจ แต่ว่าเขารับอาสาตามนั้น ก็ต้อปล่อยไป เขานำไปที่ปล่องของ รากษส แกขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน นำอาหารไปบริโภค เขาคอยอยู่ที่ปากปล่องที่ รากษสจะขึ้น 


ต่อมาเมื่อถึงเวลาวันนั้น คือวันกำหนดที่มันจะขึ้น มีเวลาประจำ ก็ขึ้นมาพอดี
พอ รากษส ขึ้นมาไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาปากปล่อง หน่อพระโพธิสัตว์ยกเท้าขึ้นหวังว่าจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ รากษส ให้คอหักตาย รากษส แหงนหน้าขึ้นมา อุ้งเท้าของหน่อพระโพธิสัตว์มีกงจักรในระหว่างท่ามกลางเท้า ก็คิดว่าเราตายแน่ เราสู้ไม่ได้ เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางเท้ามีกงจักรสีแดง จึงพูดว่า


ช้าก่อน ท่านอย่าเพิ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพรโพธิสัตว์ จะได้ตรัสเป้นพระพุทะเจ้าอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักรหากว่าท่านฆ่าเรา เราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าจะต้องมีอายุถึงหมื่นปีบ้าง สองหมื่นปีบ้าง ถึงสี่หมื่นปีบ้างก็มี อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถอธิฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่งก็ได้


หากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปีเท่ากัน การประกาศพระศาสนาของท่านจะไม่มีผลตามความประสงค์
หน่อพระบรมโพสัตว์ ก็กล่าวว่า


เจ้าเป็นสัตว์ดุร้ายมาก ไล่พิฆาตเข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้ว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณเป้นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อมยอมตามนั้น

ในที่สุดหน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กระทืบศีรษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตามที่องค์พระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าพระพุทะเจ้าทุกๆองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว สามารถอธิษฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง ก็ย่อมเป็นได้เพราะคล่องใน อิทธิบาท 4 แต่ว่าที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาจะต้องนิพพานภายในอายุ 80 ปีตามพระบาลีท่านกล่าวว่า เพราเหตุการณ์ฆ่า รากษส ตนนั้น จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องนิพพานในอายุยังสั้น


ถ้าจะกล่าวกันไปถึงเหตุผล ว่าในสมัยที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์ตอนนั้นองค์สมเด็จพระชินศรีทรงแสดงนิมิตต่างๆ ให้ พระอานนท์ ทราบ เพื่อจะทูลอาราธนา แต่มารก็เข้าดลใจให้พระอานนท์ คิดไม่ถึง

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 22:06:59


ความคิดเห็นที่ 4 (1574340)

 

เรื่องที่คุณทศวรรษเอามาให้อ่าน น่าจะคัดมาจากพระไตรปิฎกใช่ไหมคะ ขออนุโมทนาในความเพียรคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 11:00:49



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.