ReadyPlanet.com


จริงใจ...สบายจริง/ยายยิ้ม..ยิ้มเย้ยยาก


 ทำไมต้องกลัวความตาย?         

 

ความกลัวตาย สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น

ต้องหาหลักฐานใดๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่แน่ชัดอย่างยิ่ง และ

ผู้คนจำนวนมากมีความรู้สึกไวเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่อง

"ความตาย" และความเป็นจริงของมัน ดังนั้นเรื่องที่จำเป็

นก็คือการประสบกับมันด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องหา

หลักฐานและคำตอบที่เป็นเหตุผลสำหรับความกลัวและตื่น

ตกใจนี้ ว่าทำไมเราจึงกลัวความตาย?

 

เหตุผลสำหรับความกลัวตาย

1. ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

 
ผู้คนจำนวนมากเห็นว่าความตายคือการสูญสลายไปตลอด
 
 
กาลของตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นธรรมชาติที่พวกเขาจะกลัว
 
 
ความตายและมองเห็นภาพความมืดมนและเศร้าหมองของ
 
 
มัน เพราะความรักที่มีต่อความคงทนถาวรคือ
 
 
สัญชาตญาณตามธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ และ
 
 
มนุษย์แต่ละคนจะพยายามตามความสามารถของตนเพื่อ
 
 
ปกป้องตัวเองจากภัยพิบัติและโรคต่างๆ เพื่อเป็นหลัก
 
 
ประกันให้กับความคงทนถาวรของตัวเอง และความตายใน
 
 
ทัศนะของเขาคือความทุกข์ที่ใหญ่กว่าและเจ็บปวดมากกว่า
 
 
โรคหรือภัยพิบัติใดๆ เพราะมันคือการเริ่มต้นของการ
 
 
สาบสูญไปชั่วนิจนิรันดร์ของเขา
 

อย่างไรก็ตาม ถ้าความตระหนกหรือหวาดกลัวความตาย

 

เป็นผลมาจากการไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงของความตาย ดังนั้น

 

การขจัดความกลัวนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ถึงความ

 

เป็นจริงของมัน ซึ่งจะค้นพบได้จากการเรียนรู้และเข้าใจ

อิสลาม

 

ถ้าเรามีทัศนคติต่อความตายอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง ความ

 

กลัวต่างๆ เกี่ยวกับความตายจะหมดไป เพราะเมื่อเขา

 

เข้าใจว่าด้วยความตายนั้นเขาจะได้เข้าสู่อีกโลกหนึ่งที่มี

 

ความยืนยาวและเนิ่นนานกว่า และเขาจะถูกปลดปล่อยจาก

การผูกมัดทางวัตถุ ธรรมชาติ และการมีตัวตน แล้วเขาจะ

มองว่ามันน่าเกลียดและน่าขยะแขยงได้อย่างไร

 
2. เป็นหนทางใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
 
 
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์มักจะหวาดกลัวต่อความตายก็คือ

 

หลังจากความตาย มนุษย์จะก้าวเข้าสู่เส้นทางใหม่และการ

 

เดินทางไกลใหม่โดยสิ้นเชิง ปกติแล้วมนุษย์มักจะชอบเดิน

 

ทางบนเส้นทางที่น่ากลัว ซึ่งเขาเคยได้เดินทางมาหลายต่อ

 

หลายครั้งและไม่เคยพบกับปัญหาอุปสรรคใดๆ ดีกว่าเส้น

 

ทางซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วมีความปลอดภัยกว่า แต่เป็น

 

เส้นทางใหม่อย่างแท้จริง เนื่องจากมันเป็นเส้นทางที่ใหม่

 

และไม่คุ้นเคย มันจึงกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดความ

 

ลังเลใจและกังวลใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่เคยเดิน

 

ทางไปบนเส้นทางสายนั้นยังไม่เคยมีใครนำข่าวคราวเกี่ยว

 

กับเส้นทางนั้นมาบอกคนอื่นๆ เลย

 
อย่างไรก็ตาม ถ้าความกลัวตายมีสาเหตุมาจากความไม่

 

คุ้นเคยต่อเส้นทางและสถานที่เช่นนั้น ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะ

 

ต้องศึกษาและทำความเข้าใจถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับ

 

ความตาย และเสริมความเข้าใจให้หนักแน่นขึ้น นอกจากนี้

 

ยังจำเป็นที่จะต้องค้นหาข้อมูลจากรายงานฮะดีษและบท

 

รายงานของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์(อ.)

 
มีรายงานหนึ่งจากอิมามอะลี อิบนฺ มุฮัมมัด(ศ.) ที่รายงานว่า

 

ท่านอิมาม(อ.) ได้ไปเยี่ยมสาวกคนหนึ่งของท่านที่กำลัง

 

ป่วยหนัก และเขาอยู่ในสภาพที่ร้องไห้เศร้าโศกและ

 

คร่ำครวญเนื่องจากกลัวความตาย ท่านอิมาม(อ.) จึงกล่าว

 

แก่เขาว่า 

 

"โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ ท่านกลัวความตายเพราะท่านไม่เข้าใจ

 

มันอย่างถ่องแท้

 

ดังนั้น ท่านอิมาม(อ.) จึงแสดงตัวอย่างหนึ่งแก่เขาโดย

 

กล่าวว่า "

 

 

ถ้าเนื้อตัวท่านสกปรก และสิ่งสกปรกอย่างมากมายและ

 

ความสกปรกเลอะเทอะนั้นทำให้ท่านเป็นทุกข์และไม่สุข

 

สบาย และท่านรู้ว่าสิ่งเดียวที่จะปลดเปลื้องความสกปรก

 

ทั้งหมดนั้นออกไปได้คือการอาบน้ำ ท่านจะอยากไปอาบน้ำ

 

และทำความสะอาดร่างกาย หรือว่าท่านอยากจะอยู่ใน

 

สภาพที่สกปรกเช่นนั้นแล้วทนทุกข์กับสภาพนั้นต่อไป?

 

 ชายผู้ป่วยหนักคนนั้นกล่าวว่า

 

"แน่นอน ฉันอยากจะได้อาบน้ำ" ดังนั้น ท่านอิมาม(อ.) จึง

ตอบว่า 

 

"ความตาย(สำหรับท่าน) ก็เหมือนกันกับการได้อาบน้ำ..."

 

 (มะอานิล อัคบารฺ, หน้า 290)

 
3. ขาดความพร้อม
 บางคนมีความรู้ความเข้าใจในความเป็นจริงของความตาย

และมีความรู้และเข้าใจต่อความตายตามคำสอนของ

 

อิสลาม พวกเขาเหล่านั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่และการ

 

เดินทางหลังความตาย แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีความ

 

กลัวตาย ความกลัวนี้ไม่ได้มีเหตุผลเหมือนสองข้อแรก แต่

 

เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้จัดหาให้ตัวเองมีเครื่องมือและสิ่งที่

 

จำเป็นสำหรับการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขา ขณะที่พวก

 

เขากลับให้ความสำคัญมากกว่าที่จำเป็นไปกับชีวิตใน

 

ปัจจุบันของพวกเขา

 

 

เหมือนกับคนคนหนึ่งที่รู้ดีว่าเขาจะต้องไปใช้ชีวิตที่เหลือใน

 

อีกประเทศหนึ่ง แต่ไม่ได้สะสมเงินไว้สำหรับการเดินทาง

 

ของเขา แต่เขากลับเอาเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มีไปสร้าง

 

บ้าน สร้างร้านค้า ซื้อที่ดิน หรือทรัพย์สมบัติต่างๆ ซึ่งไม่

 

สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนย้ายได้ กล่าวคือเขา

 

ได้ทุ่มเททำงานและเก็บออมทรัพย์สินไว้ แต่ทรัพย์สินนั้นไม่

 

สามารถถ่ายโอนและไม่มีใครจะซื้อมันด้วย

 ด้วยเหตุนี้เอง อิมามฮุเซน(อ.) เคยกล่าวไว้ว่า 

 

"พวกท่านได้ทำลายและล้างผลาญปรโลกของพวกท่านไป

 

และได้สร้างที่อยู่ให้ชีวิตปัจจุบัน ดังนั้นพวกท่านจึงไม่ชอบ

 

การย้ายจากสถานที่อันน่าอยู่และสะดวกสบายนั้นไปยัง

 

สถานที่ที่ถูกทำลายและล้างผลาญ"

 

 (มะนาอิล-อัคบารฺ, หน้า 289)

 

ความกลัวตายประเภทนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดความ

 

พร้อมและไม่มีการเตรียมการเพื่อการเดินทาง มักจะเกิดกับ

 

ผู้มีศรัทธา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ความกลัวตาย

แต่มันเป็นความกลัวต่อการที่ไม่มีการเตรียมการอย่าง

เพียงพอที่จำเป็นสำหรับการเดินทางนี้

 

อีกประเด็นหนึ่งคือ ความกลัวเช่นนี้มักจะผสมผสานไปกับ

ความกระตือรือร้น เพราะในอีกด้านหนึ่ง ผู้ศรัทธาจะมี

ความกระตือรือร้นที่จะได้พบกับพระผู้เป็นเจ้า แลละได้อยู่

 

ร่วมกับบรรดาผู้อยู่บนหนทางอันถูกต้อง แต่อีกด้านหนึ่ง

 

เนื่องจากขาดความเคร่งครัดอย่างเพียงพอ และขาดการเต

 

รียมพร้อมที่จำเป็น ทำให้เขามีความกังวลและหวาดกลัว

 

นขณะที่ผู้ไม่ศรัทธาจะไม่มีความกลัวและความ

 

กระตือรือร้นเช่นนี้

 

 

ผู้ที่ไม่มีศรัทธาจะกลัวความตายอย่างจริงจัง เพราะพวก

 

เขาถือว่ามันเป็นการทำลายล้างโดยสิ้นเชิง อาจกล่าวได้ว่า

 

ความกลัวของผู้ไม่ศรัทธานั้นมีมากมายหลายอย่าง ทั้งที่

 

ระบุไปแล้วและที่ไม่ได้ระบุ

 

อย่างไรก็ตาม ความตายและการย้ายไปสู่อีกโลกหนึ่งเป็น

 

กฎสากล การยอมรับหรือการหวาดกลัว ไม่ได้สร้างความ

 

แตกต่างให้แก่กฎข้อนี้ และในที่สุดไม่ว่าจะช้าหรือจะเร็ว

 

ทุกคนจะต้องได้ลิ้มรสน้ำทิพย์หรือยาพิษของความตาย

 



ผู้ตั้งกระทู้ โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-02 00:04:03


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1555530)

อนุโมทนาค่ะคุณโซบิเดย์

เพราะพวกเราไม่รู้จัก"ความตาย"ดีพอ จึงยัง"กลัว"อยู่

 

อย่าว่าแต่่กลัวตายเล๊ย...มนุษย์เราก็กลัวทุกทุ๊กอย่าง

กลัวเจ็บ กลัวจน กลัวไม่สวย กลัวไม่มีคนรัก กลัวหิว กลัวผี.

กลัว กลัว กลัว ฯลฯ เพราะว่าไร้สติ จิตฟุ้งซ่าน

คุณพี่"อุปทาน" จึงมาครอบงำใจ ให้กลัว ไปซะทุกอย่าง...เช่นนี้แล

 

แต่อ่านธรรมทานที่คุณโซบิเดย์นำมาให้พิจารณาแล้ว

ก็ลดความฟุ้งซ่านลงได้มากทีเดียว ขอบคุณนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-02 06:37:29

ความคิดเห็นที่ 2 (1555545)


 

ขออนุญาตปรับตัวหนังสือนิดหน่อยค่ะ

ทำไมต้องกลัวความตาย?         

 

ความกลัวตาย สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว

ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น

ต้องหาหลักฐานใดๆ

เพราะมันเป็นสิ่งที่แน่ชัดอย่างยิ่ง และ

 

ผู้คนจำนวนมากมีความรู้สึกไวเป็นพิเศษ

เกี่ยวกับเรื่อง

"ความตาย" และความเป็นจริงของมัน

ดังนั้นเรื่องที่จำเป็น 

ก็คือการประสบกับมันด้วยตัวเอง

ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องหา

หลักฐานและคำตอบที่เป็นเหตุผล

สำหรับความกลัวและตื่น

ตกใจนี้ ว่าทำไมเราจึงกลัวความตาย?

 

เหตุผลสำหรับความกลัวตาย

1. ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

 
ผู้คนจำนวนมากเห็นว่าความตาย
 
คือการสูญสลายไปตลอด
 
 
กาลของตัวเอง ดังนั้น
 
จึงเป็นธรรมชาติที่พวกเขาจะกลัว
 
 
ความตายและมองเห็นภาพความมืดมน
 
และเศร้าหมองของ
 
 
มัน เพราะความรักที่มีต่อความคงทนถาวรคือ
 
 
สัญชาตญาณตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง
 
ของมนุษย์ และ
 
 
มนุษย์แต่ละคนจะพยายามตาม
 
ความสามารถของตนเพื่อ
 
 
ปกป้องตัวเองจากภัยพิบัติและโรคต่างๆ
 
เพื่อเป็นหลัก
 
 
ประกันให้กับความคงทนถาวรของตัวเอง
 
และความตายใน
 
 
ทัศนะของเขาคือความทุกข์ที่ใหญ่กว่า
 
และเจ็บปวดมากกว่า
 
 
โรคหรือภัยพิบัติใดๆ เพราะมันคือการเริ่มต้น
 
ของการ
 
สาบสูญไปชั่วนิจนิรันดร์ของเขา
 

อย่างไรก็ตาม ถ้าความตระหนกหรือ

หวาดกลัวความตาย

 

เป็นผลมาจากการไม่รู้ถึงข้อเท็จจริง

ของความตาย ดังนั้น

 

การขจัดความกลัวนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

ที่จะต้องรู้ถึงความ

 

เป็นจริงของมัน ซึ่งจะค้นพบได้จาก

การเรียนรู้และเข้าใจ

อิสลาม

 

ถ้าเรามีทัศนคติต่อความตายอยู่บนพื้นฐาน

ที่ถูกต้อง ความ

 

กลัวต่างๆ เกี่ยวกับความตายจะหมดไป

เพราะเมื่อเขา

 

เข้าใจว่าด้วยความตายนั้นเขาจะได้เข้าสู่

อีกโลกหนึ่งที่มี

 

ความยืนยาวและเนิ่นนานกว่า

และเขาจะถูกปลดปล่อยจาก

การผูกมัดทางวัตถุ ธรรมชาติ

และการมีตัวตน แล้วเขาจะ

มองว่ามันน่าเกลียดและน่าขยะแขยงได้อย่างไร

 
2. เป็นหนทางใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
 
 
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์มักจะหวาดกลัว
 
ต่อความตายก็คือ

 

หลังจากความตาย มนุษย์จะก้าวเข้าสู่

เส้นทางใหม่และการ

 

เดินทางไกลใหม่โดยสิ้นเชิง

ปกติแล้วมนุษย์มักจะชอบเดิน

 

ทางบนเส้นทางที่น่ากลัว

ซึ่งเขาเคยได้เดินทางมาหลายต่อ

 

หลายครั้งและไม่เคยพบกับปัญหาอุปสรรค

ใดๆ ดีกว่าเส้น

 ทางซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้ว

มีความปลอดภัยกว่า แต่เป็น

 

เส้นทางใหม่อย่างแท้จริง

เนื่องจากมันเป็นเส้นทางที่ใหม่

 

และไม่คุ้นเคย มันจึงกลายเป็นเหตุผล

ที่ทำให้เกิดความ

 

ลังเลใจและกังวลใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

เมื่อคนที่เคยเดิน

 

ทางไปบนเส้นทางสายนั้นยังไม่เคยมีใคร

นำข่าวคราวเกี่ยว

 

กับเส้นทางนั้นมาบอกคนอื่นๆ เลย

 
อย่างไรก็ตาม ถ้าความกลัวตายมีสาเหตุ
 
มาจากความไม่

 คุ้นเคยต่อเส้นทางและสถานที่เช่นนั้น

ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะ

 

ต้องศึกษาและทำความเข้าใจ

ถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับ

 

ความตาย และเสริมความเข้าใจ

ให้หนักแน่นขึ้น นอกจากนี้

 

ยังจำเป็นที่จะต้องค้นหาข้อมูลจากรายงาน

ฮะดีษและบท

 

รายงานของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์(อ.)

 
มีรายงานหนึ่งจากอิมามอะลี อิบนฺ มุฮัมมัด(ศ.)
 
ที่รายงานว่า

 

ท่านอิมาม(อ.) ได้ไปเยี่ยมสาวกคนหนึ่ง

ของท่านที่กำลัง

 

ป่วยหนัก และเขาอยู่ในสภาพที่ร้องไห้

เศร้าโศกและ

 

คร่ำครวญเนื่องจากกลัวความตาย

ท่านอิมาม(อ.) จึงกล่าว

 

แก่เขาว่า 

 

"โอ้บ่าวของอัลลอฮ์

ท่านกลัวความตายเพราะท่านไม่เข้าใจ

 

มันอย่างถ่องแท้

 

ดังนั้น ท่านอิมาม(อ.) จึงแสดงตัวอย่างหนึ่ง

แก่เขาโดย

 

กล่าวว่า "

 

 

ถ้าเนื้อตัวท่านสกปรก และสิ่งสกปรก

อย่างมากมายและ

 

ความสกปรกเลอะเทอะนั้นทำให้ท่าน

เป็นทุกข์และไม่สุข

สบาย และท่านรู้ว่าสิ่งเดียวที่จะปลดเปลื้อง

ความสกปรก

 

ทั้งหมดนั้นออกไปได้คือการอาบน้ำ

ท่านจะอยากไปอาบน้ำ

 

และทำความสะอาดร่างกาย

หรือว่าท่านอยากจะอยู่ใน

 

สภาพที่สกปรกเช่นนั้น

แล้วทนทุกข์กับสภาพนั้นต่อไป?

 

 ชายผู้ป่วยหนักคนนั้นกล่าวว่า

 

"แน่นอน ฉันอยากจะได้อาบน้ำ" 

ดังนั้น ท่านอิมาม(อ.) จึง

ตอบว่า 

 

"ความตาย(สำหรับท่าน)

ก็เหมือนกันกับการได้อาบน้ำ..."

 

 (มะอานิล อัคบารฺ, หน้า 290)

 
3. ขาดความพร้อม
 
บางคนมีความรู้ความเข้าใจในความเป็นจริง
 
 
ของความตาย

และมีความรู้และเข้าใจต่อความตาย

ตามคำสอนของ

 

อิสลาม พวกเขาเหล่านั้นมีข้อมูล

เกี่ยวกับสถานที่และการ

 

เดินทางหลังความตาย

แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีความ

 

กลัวตาย ความกลัวนี้ไม่ได้มีเหตุผล

เหมือนสองข้อแรก แต่

 

เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้จัดหา

ให้ตัวเองมีเครื่องมือและสิ่งที่

 

จำเป็นสำหรับการเดินทางครั้งนี้

ของพวกเขา ขณะที่พวก

 

เขากลับให้ความสำคัญมากกว่าที่จำเป็น

ไปกับชีวิตใน

 

ปัจจุบันของพวกเขา

 

 

เหมือนกับคนคนหนึ่งที่รู้ดีว่าเขาจะต้อง

ไปใช้ชีวิตที่เหลือใน

 

อีกประเทศหนึ่ง แต่ไม่ได้สะสมเงินไว้

สำหรับการเดินทาง

 

ของเขา แต่เขากลับเอาเงินทุกบาททุกสตางค์

ที่มีไปสร้าง

 

บ้าน สร้างร้านค้า ซื้อที่ดิน

หรือทรัพย์สมบัติต่างๆ ซึ่งไม่

 

สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง

หรือเคลื่อนย้ายได้ กล่าวคือเขา

 

ได้ทุ่มเททำงานและเก็บออมทรัพย์สินไว้

แต่ทรัพย์สินนั้นไม่

 

สามารถถ่ายโอนและไม่มีใครจะซื้อมันด้วย

 ด้วยเหตุนี้เอง อิมามฮุเซน(อ.) เคยกล่าวไว้ว่า 

 

"พวกท่านได้ทำลายและล้างผลาญปรโลก

ของพวกท่านไป

 

และได้สร้างที่อยู่ให้ชีวิตปัจจุบัน

ดังนั้นพวกท่านจึงไม่ชอบ

 

การย้ายจากสถานที่อันน่าอยู่

และสะดวกสบายนั้นไปยัง

 

สถานที่ที่ถูกทำลายและล้างผลาญ"

 

 (มะนาอิล-อัคบารฺ, หน้า 289)

 

ความกลัวตายประเภทนี้

ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดความ

 

พร้อมและไม่มีการเตรียมการ

เพื่อการเดินทาง มักจะเกิดกับ

 

 

ผู้มีศรัทธา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว

มันไม่ใช่ความกลัวตาย

แต่มันเป็นความกลัวต่อการที่ไม่มีการ

เตรียมการอย่าง

เพียงพอที่จำเป็นสำหรับการเดินทางนี้

 

อีกประเด็นหนึ่งคือ ความกลัวเช่นนี้

มักจะผสมผสานไปกับ

ความกระตือรือร้น เพราะในอีกด้านหนึ่ง

ผู้ศรัทธาจะมี

ความกระตือรือร้นที่จะได้พบกับพระผู้เป็นเจ้า

แลละได้อยู่

 

ร่วมกับบรรดาผู้อยู่บนหนทางอันถูกต้อง

แต่อีกด้านหนึ่ง

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล (ฉวีวรรณ นภาพรรณราย) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-02 09:33:31


ความคิดเห็นที่ 3 (1555546)

 

   อนุโมทนาบุญกับคุณโซบิเดย์ด้วยนะคะ

สำหรับตัวเองที่กังวลเรื่องความตาย 

เพราะเตรียมเสบียงยังไม่พร้อมที่จะนำไปใช้หลังความตาย

ก็จะเร่งเตรียมเพื่อให้ทัน  ขอบคุณที่ทำให้เข้าใจ  ความตาย  ได้ดีขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล (ฉวีวรรณ นภาพรรณราย) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-02 09:39:05


ความคิดเห็นที่ 4 (1555547)

 โมทนาครับ

ยอมรับว่ากลัวตาย

ดีอยู่อย่างที่ไม่ลืมว่าเกิดแล้วต้องตายแน่ๆ

ร่างกายตายแต่จิตไม่ได้ตาย ไม่ได้สูญสลายหายไปไหน

จิตของเราที่แท้จริงมีดวงเดียว

คือจิตพุทธประภัสสร  จิตทิพย์นิพพาน  แก้วใสประกายพรึก

ทุกดวงจิตมีจิตดังกล่าวนี้อยู่

เราจะค้นหาพบหรือเปล่า

อย่ามองว่าเขาเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วต้องเลวกว่าคน

อย่าติดที่รูปลักษณ์ภายนอก

จงมองดูที่จิตของทุกสรรพจิต

ว่าต่างก็ล้วนมีจิตพุทธประภัสสรกันทั้งนั้น

เพียงแต่ยังไม่พบหรือไม่ได้หาให้พบ

ที่สำคัญดูจิตของเราเองให้มากๆ

ว่าจิตเรามีจิตพุทธะอยู่หรือไม่

เรามีความเคารพรักในพระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาของเรา  พระธรรม  พระอริยสงฆ์อย่างจริงแท้  หรือไม่

ทาน  ศีล  ภาวนา  มีหรือไม่

เราพร้อมที่จะทิ้งร่างกายอันเหม็นเน่านี้แล้ว  คิดว่าเราต้องตาย  หรือไม่

เรามีจิตที่ปราถนานิพพานแล้วหรือไม่

เริ่มตระหนักและเห็นโทษของการเกิด  

ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้  

ที่พึ่งที่พึ่งได้จริงคือพระไตรสรณคม

เริ่มพร้อมทำความดีเดินตามรอยทางของพ่อแม่ครูบาอาจารย์

น้อมนำดวงจิตพุทธประภัสสรกลับบ้านพระนิพพาน

เข้าเฝ้าน้อมกราบนมัสการเบื้องพระบาทพระพุทธเจ้า  


 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-02 09:51:14


ความคิดเห็นที่ 5 (1555598)

เมื่อก่อนเคยกลัวตาย เพราะไม่รู้จักมันดีพอ..

แต่ตอนนี้ก็ยังกลัวตาย ทั้ง ๆ ที่ก็อยากตายอยู่ตลอดเวลา

กลัวตายไปตอนนี้แล้วต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่อีก

ไปนรก สวรรค์ เป็นคน วนอยู่แบบนี้ แล้วเราก็ทุกข์ไม่หยุด

ยังไง ขอโอกาสสร้างบารมี(กำลังใจ)ให้มากพอจะที่พ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ก่อน

แล้วจะยอมตายคะ อย่าเพิ่งมารับหนูตอนนี้เลยนะคะ

 

ขออนุโมทนากับคุณโซบิเดย์ และทุกท่านด้วยคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-02 15:45:18


ความคิดเห็นที่ 6 (1557680)

 ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ
อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด

เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน
ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก
ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับรถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ
ยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ยายไม่กลับ
ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะรวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม
ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
"แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย
เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก
พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หา
เลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง
หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน"


ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา
แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้
ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธาร
หล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้
และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก

กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าว
ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้
ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้


ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน
ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย
เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ
พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่มชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝาย
เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน
ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล
บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว
จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเล่นเอาเหงื่อตก
แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก
ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม
จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้
รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด
ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที
ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง
และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความสุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ 
เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์

พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน
             เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
              ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย

พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย
พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ
             ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร : เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่

พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม :
ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์ 

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-12 21:43:26


ความคิดเห็นที่ 7 (1557694)

ไม่ได้อ่านเสียใจแย่เลยครับ ขอบคุณและอนุโมทนาสาธุกับธรรมทานของคุณโซบิเดย์มากมายครับ อ่านแล้วรู้สึกดีสุดๆ น้ำตารื้นเลยครับ ตอนที่ยายบอกว่าทำถวายในหลวงและพระราชินีท่าน

ยายกล้าตัดสินใจ เลือกที่จะอยู่กับตัวเอง กับความดีและความตั้งใจ มุ่งมั่นและยอมทิ้งสิ่งที่แวดล้อมด้วยความสุขสบาย ห้อมล้อมด้วยลูกหลาน ใช้กำลังกาย สติ ปัญญาที่มีอยู่ พึ่งพาตนเองก่อนที่จะพึ่งพาผู้อื่น และก่อเกิดประโยชน์น้อยใหญ่ด้วยกำลังบุญจากใจที่เกินร้อยจริงๆ อ่านแล้วชอบจริงๆครับกับคำว่า

เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

ยายเขามีหลักความคิดที่สุดยอด เป็นแนวทางดีเยี่ยมแก่ผู้คนในยุคนี้ได้ดีจริงๆ ขออนุโมทนาสาธุกับคุณยายยิ้ม คนดีศรีแผ่นดีผู้ปิดทองหลังพระ และขอบคุณ คุณโซบิเดย์อีกครั้งครับ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-12 22:43:49


ความคิดเห็นที่ 8 (1557697)

ขออนุโมทนากับคุณ โซบิเดย์และความคิดเห็นของทุกๆท่าน ด้วยครับ คุณยาย สุดยอดมากๆ ใช้ชัวิต แบบพอเพียง จริงๆ แค่นี้ ชีวิตก็มีความสุขแล้ว แถมยังเดินจากเขาเพื่อมาวัดอีก  

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-12 23:05:27


ความคิดเห็นที่ 9 (1557703)

ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม

สหายธรรมทั้งหลาย

จงพิจารณาความตายตลอดเวลาที่หายใจ

แล้วเราจะไม่เบียดเบียนผู้อื่น

แต่

สิ่งที่สหายธรรมทั้งหลาย

นำและติดตัวไปได้

หาใช่ทรัพย์สมบัติก็หาใช่

แต่

บุญ เท่านั้นที่เอาไปได้

ฉนั้น

สหายธรรมทั้งหลาย

เร่งสร้างบุญกันเถอะ

เร็ว และ บุญใหญ่

ก็มีแต่ที่ทำ

กับ

ในหลวง

และ

บ้านสวนพีระมิด

ในตอนนี้ครับ

สหายธรรมทั้งหลาย

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-12 23:27:55


ความคิดเห็นที่ 10 (1557704)

 แต่ละเรื่องราวที่คุณพี่โซบิเดย์นำมาให้อ่านนั้นไม่ธรรมดาทุกครั้งร่ำไป...อย่างเรื่องราวยายยิ้มวันนี้ เล่นเอาผมนั่งยิ้มมมมมม ไปพักใหญ่ รู้สึกอิ่มเอิบใจ ที่ได้อ่าน

คล้ายๆ คุณยายของผม ที่ท่านขยันเข้าสวน ทำไร่ พอวันพระก็จะไปวัดทุกครั้ง ติดเจ้าหลานตัวแสบ ตัวดำๆ ให้ช่วยถือปิ่นโตไปด้วย...แต่ยายยิ้มผู้รักสันโดษ ยอมมอบกายถวายชีวิตเพื่อพ่อหลวง แม่หลวงของแผ่นดิน ทำให้ตลอดชีวิตของยายยิ้มมีแต่ความหวัง และความสุข จนไม่รู้ว่าความทุกข์นั้นเป็นเช่นไร ช่างเป็นชีวิตที่น่ายกย่อง โดยปราศจากสิ่งเจือปนทางโลกใดๆ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ และเข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว

โมทนาบุญกับพี่โซบิเดย์กับเรื่องราวที่นำมาให้อ่านเป็นธรรมทานครับผม

ปล.อยากรู้เฉยๆ คำว่า โมทนาบุญ ในชาวมุสลิม ใช้คำว่าอะไรครับ...แค่อยากรู้ (แล้วจะรู้ไปทำไมเรอะ)

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-12 23:29:36


ความคิดเห็นที่ 11 (1557800)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณโซบิเดย์และทุกท่านสาธุๆๆ สุขทุกข์อยู่ที่ใจทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-13 13:54:09


ความคิดเห็นที่ 12 (1558019)

อนุโมทนาบุญกับคุณโซบิเดย์

อ่านเรื่องของคณยายแล้วรู้สึกชื่นชมคุณยายมากๆเลย

ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างบุญ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตฤณ นาคทุ่งเตา (voravee_pat-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-14 19:51:38


ความคิดเห็นที่ 13 (1558092)

 เรียนคุณสิทธ์ค่ะคำว่าอนุโมทนา  ในหลักการของอิสลามความหมายหน้าจะไกล้เคียงกันกับคำว่า  อัลฮัมดุลิลละฮฺอิร็อบบิลอาละมีน.....  (มวลการสรรเสริญทั้งสิ้นเป็นสิทธ์ของอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก)....คำว่าสาธุ...กับคำว่าอามีน  ก็ลงท้ายเหมือนกันในการขอพร  ขอบคุณที่สงสัยแล้วถามถ้าหากว่าสงสัยก็ถามมาได้เลยค่ะยินดีมากเลยค่ะที่จะตอบเป็นการแลกเปลียนวัฒนธรรมภาษาธรรมมะดีๆอย่างนี้ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-15 01:38:54


ความคิดเห็นที่ 14 (1558101)

 


 

อย่าเปลี่ยนโลก

 

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งผู้ปกครองอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง วันหนึ่ง

พระองค์ได้ออกเดินทางไปยังดินแดนที่ห่างไกลในประเทศของพระองค์ เมื่อเสด็จกลับมาถึง

พระราชวัง พระองค์รำพึงว่าเจ็บเท้าทั้งสองข้างเป็นอย่างมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์

ได้เดินไกลขนาดนั้น และถนนที่พระองค์เดินผ่านก็เป็นถนนขรุขระที่มีก้อนหินเต็มไปหมด ดัง

นั้น พระองค์จึงสั่งให้ประชาชนปูถนนทุกสายทั่วประเทศด้วยหนังสัตว์

 

 

แน่นอนว่า งานนี้จำเป็นจะต้องใช้หนังสัตว์เป็นจำนวนมาก และต้องใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาล

 

ดังนั้น ข้าหลวงคนหนึ่งที่มีสติปัญญาหลักแหลมและมีความกล้าหาญพอที่จะทักท้วงต่อพระ

ราชาว่า "ทำไมพระองค์จะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากขนาดนั้นไปโดยไม่จำเป็นด้วยพะยะค่ะ?

ทำไมพระองค์ไม่ทรงเพียงแค่ตัดหนังชิ้นเล็กๆ มาห่อหุ้มพระบาททั้งสองข้างของพระองค์

แทนล่ะพะยะค่ะ?"

 

พระราชาประหลาดใจมากที่ได้ยินคำแนะนำนี้ที่พระองค์ไม่เคยคิดถึง แต่ในที่สุดพระองค์ก็

เห็นด้วยกับคำแนะนำของเขา จึงทรงสั่งทำ "รองเท้า" ขึ้นสำหรับพระองค์เอง

 

 

บทเรียนจากเรื่องนี้คือ : การทำให้โลกนี้เป็นสถานที่น่าอยู่ เราควรจะเปลี่ยนตัวเราเองดีกว่า

ไม่ใช่ไปเปลี่ยนโลก

 

 

 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-15 02:07:24


ความคิดเห็นที่ 15 (1558103)

 

 
 

อย่าหมิ่นคนจน...

 

ครั้งหนึ่ง ท่านศาสดา(ศ.) นั่งประจำที่ของท่านโดยมีสาวกของท่านมารายล้อมรอบท่านเพื่อฟังคำสอนแห่งวิทยปัญญาและการชี้นำ ทันใดนั้น ชายยากจนคนหนึ่งในชุดเก่าปอนปรากฏตัวขึ้น ทักทายกับที่ประชุมแห่งนั้น

 

"สลามุน อลัยกุม" แล้วหาที่ว่างนั่งลงตามสบาย

 

ท่านศาสดา(ศ.) ได้สอนพวกเขาว่า มุสลิมทุกคนล้วนเป็นพี่น้องกัน และในที่ประชุมนั้นเขาควรจะนั่งในที่ใดก็ตามที่มีอยู่ โดยไม่คำนึงถึงสถานะใดๆ ปรากฏว่าชายยากจนคนนี้บังเอิญไปนั่งติดกับชายที่ร่ำรวยมากคนหนึ่ง ชายผู้ร่ำรวยรู้สึกรำคาญและพยายามเก็บชายชุดของเขาเข้ามารอบตัว เพื่อชายยากจนคนนั้นจะได้ไม่สัมผัสโดนมัน

 

ท่านศาสดา(ศ.) สังเกตเห็นสิ่งนี้และกล่าวกับชายผู้ร่ำรวยว่า

 

"ท่านคงกลัวว่าความยากจนของเขาจะส่งผลกระทบต่อท่านใช่ไหม?"

 

"เปล่าเลย โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์" ชายผู้ร่ำรวยตอบ

 

"ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงเกรงว่าทรัพย์สินของท่านจะบินไปหาเขา?" ท่านศาสดา(ศ.) ถามต่อ

 

"เปล่าเลย โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์" ชายผู้ร่ำรวยตอบ

 

"หรือว่าท่านกลัวว่าเสื้อผ้าของท่านจะสกปรกถ้าเขาสัมผัสมัน?" ท่านศาสดา(ศ.) ถาม

 

"เปล่าเลย โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์" ชายผู้ร่ำรวยตอบอีกครั้ง

 

"ถ้าเช่นนั้น ทำไมท่านจึงขยับตัวและดึงเสื้อผ้าของท่านออกห่างจากเขาล่ะ?" ท่านศาสดา(ศ.) ถามในที่สุด

 

ชายผู้ร่ำรวยกล่าวว่า "ฉันยอมรับว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำมากที่สุด มันเป็นความผิดพลาด และฉันขอสารภาพในความผิดของฉัน ตอนนี้เพื่อเป็นการชดใช้ต่อความผิดนั้น ฉันจะมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของฉันให้แก่พี่น้องมุสลิมผู้นี้ เพื่อฉันจะได้รับการอภัย"

 

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ชายยากจนจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า "โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ฉันไม่รับสิ่งที่เขาเสนอให้"

 

ทุกคนในที่นั้นล้วนประหลาดใจ พวกเขาคิดว่าชายยากจนคนนี้เป็นคนโง่ แต่เขาอธิบายว่า "โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ฉันปฏิเสธไม่ยอมรับสิ่งที่เขาเสนอให้เพราะฉันกลัวว่าฉันอาจจะกลายเป็นคนหยิ่งยะโส และปฏิเสธกับพี่น้องมุสลิมของฉันเช่นเดียวกับที่เขาทำกับฉัน"

 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-15 02:15:00


ความคิดเห็นที่ 16 (1558104)

 


มนุษย์ 4 ประเภท

 

มนุษย์แบ่งออกเป็นสี่ระดับชั้น ตามรูปแบบความศรัทธาและการใช้ชีวิตของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจวบสิ้นอายุไข

  1. คือผู้เคร่งครัดในศาสนาตั้งแต่เยาว์วัย และพวกเขาดำรงความศรัทธานั้นอย่างเคร่งครัดไปจนกระทั่งสิ้นชีวิต พวกเขาเหล่านี้คือมนุษย์ที่มีความสุขมากที่สุด
  2. คือผู้ประพฤติตัวเหลวไหล เสเพลเมื่อครั้งยังเยาว์วัย แต่แล้วพวกเขาก็ได้รับการชี้นำ และอยู่ในทางนำด้วยความศรัทธาอย่างเคร่งครัดไปจนสิ้นชีวิต พวกเขาเหล่านี้คือมนุษย์ที่มีความสุข แต่น้อยกว่าประเภทแรก
  3. คือผู้เคร่งครัดในศาสนาเมื่อครั้งยังเยาว์วัย แต่แล้วพวกเขากลับกลายเป็นคนประพฤติตัวเหลวไหลเสเพล ใช้ชีวิตไปด้วยความมึนเมาและหันเหจากความศรัทธา พวกเขาเหล่านี้คือผู้พ่ายแพ้
  4. คือผู้ประพฤติตัวเหลวไหลเสเพลตั้งแต่เยาว์วัยไปจนกระทั่งสิ้นชีวิต พวกเขาเหล่านี้คือผู้ระทมทุกข์และคือผู้พ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุด

ท่านศาสดา(ศ.) กล่าวว่า "คนหนุ่มสาวที่ละเว้นจากความสนุกสนานเพลิดเพลินจากชีวิตนี้เพื่ออัลลอฮ์ และใช้วัยหนุ่มสาวของเขาไปด้วยการเคารพเชื่อฟัง(เคารพภักดี) ต่ออัลลอฮ์ อัลลอฮ์จะประทานรางวัลแก่เขาเป็นรางวัลของผู้สัตย์จริงเจ็ดสิบสองคน"

หนุ่มสาวคนใดอยากกีดกันตัวเองจากรางวัลที่ยิ่งใหญ่นี้หรือ?

ท่านศาสดา(ศ.) กล่าวว่า "ผู้เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮ์คือคนหนุ่มสาวที่อุทิศวัยหนุ่มและความงามให้แก่การเคารพเชื่อฟังอัลลอฮ์ คนหนุ่มสาวเช่นนี้เองที่พระผู้ทรงเมตตาทรงมีความภาคภูมิใจต่อหน้ามะลาอิกัตของพระองค์ และตรัสว่า : นี่คือบ่าวที่แท้จริงของข้า"

หนุ่มสาวคนใด อยากกีดกันตัวเองจากความภาคภูมิใจของพระผู้ทรงเมตตาหรือ?

ท่านศาสดา(ศ.) กล่าวว่า "อัลลอฮ์ทรงรักคนหนุ่มสาวที่ใช้วัยหนุ่มสาวของเขาไปด้วยการเชื่อฟังพระองค์"

หนุ่มสาวคนใด อยากกีดกันตัวเองจากความรักนี้หรือ?

ท่านศาสดา(ศ.) กล่าวว่า "การตั้งค่าของคนหนุ่มสาวที่เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ในวัยเยาว์กับคนชราที่เคารพภักดีหลังจากเขาล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว เหมือนกันตั้งค่าของศาสดากับประชาชาติทั้งปวง"

หนุ่มสาวคนใดอยากกีดกันตัวเองจากการตั้งค่านี้หรือ?

มารร้ายจะกระซิบกระซาบให้มนุษย์กระทำสิ่งต้องห้ามต่างๆ มันจะล่อลวงมนุษย์ด้วยการรบเร้าว่า "ไม่เป็นไรหรอก ทำแล้วค่อยขออภัยโทษจากอัลลอฮ์ ก็พระองค์คือผู้ทรงอภัยแก่บาปทั้งปวงไม่ใช่หรือ?" มารร้ายจะหลอกลวงมนุษย์ด้วยวิธีการเช่นนี้ แล้วมันจะคอยหัวเราะเยาะเขาเมื่อเขาเป็นผู้พ่ายแพ้

 
ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-15 02:24:07


ความคิดเห็นที่ 17 (1558105)

                                  จริงใจ....สบายจริง                           

                                คงเป็นเรื่องน่าเศร้า 
                              หากคนเราต้องบิดเบือน

 

ความจริงในใจ 
แล้วใส่หน้ากากเข้าหากัน

 

 

เราคงมีชีวิต

 

 

อยู่กับความสุขปลอมๆ 

 

 

 

 

ท่ามกลาง

 

 

 

 

 

ความกลัวที่จะผิดหวัง 

 

 

 

 

ทั้งที่ในที่สุดก็ต้อง

 

 

 

 

เผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

 

 

 

 

ถอกหน้ากากออกดีไหม 

 

 

 

 

จะเป็นไรไป

 

 

 

 

หากใครจะอ่านสายตาของเราได้ 

 

 

 

 

หรือแม้แต่จะมองทะลุ

 

 

 

 

ถึงใจของเรา

 

 

 

 

เพราะเมื่อใดก็ตาม

 

 

 

 

ที่เราไม่ต้องปิดบัง อำพราง 

 

 

 

 

ไม่ต้องไว้ท่าไว้ทาง

 

 

 

 

หรือมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ 

 

 

 

 

เมื่อนั่นใจของเรา

 

 

 

 

ย่อมมีพลังอย่างเต็มที่ 

 

 

 

 

ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ

 

 

 

 

ให้บังเกิดขึ้น

 

 

 

 

ซึ่งต่างค้นพบ

 

 

 

 

พลังแห่งความจริงใจ 

 

 

 

 

เป็นพลังที่เกิดขึ้น

 

 

 

 

อย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ 

 

 

 

 

แต่มีอานุภาพเหลือประมาณ

 

 

 

 

ฉะนั้น.. 

 

 

 

 

อย่ากลัวเลย..

 

 

 

 

ที่จะเป็นคนจริงใจ 

ความคิดเห็นที่ 18 (1558134)

 ขอโทษมีการผิดพลาด

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-15 10:57:39


ความคิดเห็นที่ 19 (1558503)

 

...จงร่ำรวยให้เข็ด...

 ยังไม่รวย.....อยู่อย่างรวย...จะยากจน

ยังไม่จน...อยู่อย่างจน....จะร่ำรวย

อยู่ให้เป็น...ทำให้เป็น...ร่ำรวยเร็ว

รวยใจ....รวยกาย...รวยจิต...

รวยความดี...รวยเมตตา

....ไม่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่มีจนไปวันตาย....

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-17 21:14:35


ความคิดเห็นที่ 20 (1562214)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณโซบิเดย์ด้วยนะคะ ที่นำบทความดี มีคุณค่ามาให้อ่าน ได้คิด ไม่ยึดติดกับสิ่งของภายนอก และตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ชอบประโยคนี้มากเหมือนกันค่ะ

เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

ขอเพิ่มอีกนิด เห็นอ.อุบลก็หายเหนื่อยด้วยค่า 

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-04 21:58:43



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.