ReadyPlanet.com


80 เรื่องของพ่อหลวงไทย ที่คนไทย(อาจ)ยังไม่เคยรู้


คำเตือน อ่านแล้ว อาจจะมีอาการน้ำตาซึมนะคะ

ทั้งซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและสรรเสิรญพ่อหลวงของเราอย่างที่สุด

เรารักในหลวง

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

80 เรื่องของพ่อหลวงไทย ที่คนไทย(อาจ)ยังไม่เคยรู้

เมื่อ ทรงพระเยาว์

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.

2 นายแพทย์ผู้ทำ คลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรก
ประสูติ 6 ปอนด์

3 พระนาม"ภูมิพล"ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระ
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4 พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพล
อดุลยเดช

5 ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6 ทรง เคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระ
ชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี
มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol"
หมายเลขประจำตัว 449

7 ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนี หรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดา
ว่า"แม่"

8 สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9 แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้
ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

10 สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยง สัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่
นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพ
อย่างใหญ่โต

11 สุนัขตัวแรกที่ทรง เลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้ง
ชื่อให้ว่า"บ๊อบบี้"

12 ทรง ฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่
เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้น บ่อยๆ

13 สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจา
กันก่อน ว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกิน
ไป 2 ทีพอแล้ว ระหว่างประทับอยู่ ส วิตเซอร์แลนด์ โดยระหว่าง
พี่น้องจะทรงใช้ภาษ ษฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

14 ทรง ได้รับการอบรมให้ รู้จัก"การให้"โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า"กระป๋องคนจน"หาก ทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก"เก็บภาษี"หยอดใส่กระปุกนี้ 10%
ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินใน
กระป๋อง นี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า
หรือทำกิจกรรม เพื่อคนยากจน

15 ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน
เพราะ เพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า"ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ
ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"

16 กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget
ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

17 ช่วง เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทน
รถพระที่นั่ง


พระอัจฉริยภาพ


18 พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก"การเล่น"สมัย
พระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์
ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระชษฐาน
ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ
แล้ว แบ่งกันฟัง

19 สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิ
ประเทศของ ไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่
ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้
ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์

20 ทรง เครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน
แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง
(แอกคอร์เดียน)

21 ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา
ทรงซื้อแซกโซโฟนมือ สองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดย
ใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

22 ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

23 ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา
18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ"แสงเทียน" จนถึงปัจจุบัน
พระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

24ทรงพระราช นิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้อง
ใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย
ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้น
เดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง"เราสู้"

25 รู้ ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร :
เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5

26 นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่าย
ภาพยนตร์ ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออก ฉายแล้ว
นำเงินรายได้มาสร้างอาคาร สภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ
โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

27 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง"นายอินทร์"และ"ติโต" ทรงเขียน
ด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์
ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

28 ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยน
ชื่อเป็น"กีฬาซีเกมส์")ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

29 ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับ
ฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่น
ไปโดนทุ่น เข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่
ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

30 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก ของโลกที่ได้รับ
สิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่
ผิว น้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เมื่อปี 2536

31 ทรงเป็นผู้ ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการ
เกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทด แทน เช่น แก๊สโซฮอล์,
ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลา
กว่า 20ปีแล้ว

32 องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุด
ด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม
2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้าน
การพัฒนา ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดย
มี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมา
ถวายรางวัลด้วยตนเอง


เรื่อง ส่วนพระองค์


33 พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา
มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

34 รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิส
เซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ
ทรงให้สัมภาษณ์ว่า"น่าจะ เป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ
เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึง เวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จ
มาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง

35 ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม
2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรส
เหมือน คนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไป
ทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

36 หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน

37 ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ใน
พระ บรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับ
จำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

38 ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

39 ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม
ดังนั้นการถวายของ ให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง
อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้ง นั้น


40 เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ
เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

http://ufokaokala.com/index.php?topic=455.0


ผู้ตั้งกระทู้ ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-24 03:30:45


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1559745)

41. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น


42. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยก
เว้น นาฬิกา


43. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ (เสี่ยอู๊ดไม่น่าได้มานะ)


44. หลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม


45. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

งานของในหลวง

46. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ


47. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำ พระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง (ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ


48. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน


49. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมา
ถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็น ดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน


50. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วม กับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน


51. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73 บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆ เติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้


52. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯ สวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯ ลงมา
อธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด


53. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ


54. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5
ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด

55. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

56. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย

57. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

58. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระ
ตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

59. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

60. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศสของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

61. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100 ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

62. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

63. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อ
ในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อจนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

64. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

65. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

รู้หรือไม่?

66. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “นายหลวง” ภายหลัง
จึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง

67. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน

68. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆ ทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”

69. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์
สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมี อายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

70. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับใน หลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า”อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”

71. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

72. หัวใจทรงเต้นไม่ปกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อ
ไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

73. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์ จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

74. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน

75. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่า เสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

76. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

77. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง

78. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่ง
รวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

79 - - - -

80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน

ที่มาข้อมูล

http://ufokaokala.com/index.php?topic=455.0

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-24 03:48:55


ความคิดเห็นที่ 2 (1559752)

ขอขอบคุณและอนุโมทนากับพี่ชนิดามากๆเลยนะคะ

หายไปนาน กลับมาก็มีสาระดีๆมาฝากลูกหลานบ้านสวนเสมอ

อะไรที่ไม่รู้ก็ได้รู้

ผู้ให้สิ่งประเสริฐ ย่อมได้สิ่งประเสริฐ สาธุ สาธุ


 

3 พระนาม"ภูมิพล"ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระ
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

ข้อนี้บอกตรงๆค่ะว่าเมื่อก่อนเนี่ย ไม่รู้เป็นอะไรค่ะ

อยากรู้จังว่าพระองค์ไหนทรงแต่งตั้งพระนามให้ในหลวงของเราน๊าาา

เพราะรู้สึกว่าชื่อนี้ ไม่ธรรมดาค่ะ

 

8 สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9 แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้
ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

พอย้อนกลับมาดูตัวเองรู้สึกว่า เราดีไม่ได้ครึ่ง ไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ

ของพระองค์เลยค่ะ พระองค์ท่านสอนให้เรารู้จักกินรู้จักใช้

ที่สอนมาพระองค์ท่านก็ทำให้เห็นจริงๆ ไม่ได้พูดแต่ปากแต่อย่างใด

ปลื้มใจจริงๆค่ะ ที่เกิดมาเป็นคนไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระพุทธองค์

 

15 ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน
เพราะ เพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า"ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ
ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"

ม้พระองค์ท่านจะมีศักดิ์เป็นถึงพระราชโอรสของสมเด็จย่า

พระองค์ก็ไม่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ละสิ่งที่จะได้มาก็ต้องแลกกับการอดออม

จากค่าขนมที่ได้  จะมีลูกกษัตริย์องค์ใดบ้างหนอ ที่ทำเยี่ยงนี้

 

44. หลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม

ข้อนี้ก็ให้ดาวไปเลยค่ะ กลับมาดูตัวเอง

บางทียังไม่ทันหมดหลอด แบบว่าพอหลอดมันแบน

แต่ยังไม่หมด ก็ทิ้งใช้อันใหม่ซะแล้ว ใช้ม่ายล่ายเล๊ยยยยย

ต่อไปต้องเอาแบบอย่างพระองค์แล้วค่ะ


49. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมา
ถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็น ดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

ยิ่งมาถึงข้อนี้น้ำตาจะไหลค่ะ ขนลุก

คงไม่มีกษัตริย์องค์ไหนในโลกนี้แล้วละค่ะ ที่ทำแบบนี้

 

69. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์
สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมี อายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

มาถึงข้อนี้แล้วถึงกับ หาา แม้ว่าพระวรกายของพระองค์จะเป็นยังไง

แต่พระองค์ก็ไม่เคยย่อท้อ ท้อแท้ แล้วก็ทำหน้าที่ปกครองประชาชนไทย

แบบว่ามองปัญหาของพระองค์เป็นเรื่องเล็กไปเลย

เพราะหากเป็นเรื่องใหญ่ป่านนี้คงรู้ทั่วไทยไปแล้ว

พระองค์ทรงห่วงใย รักคนไทยยิ่งกว่าชีวิตพระองค์เอง สมกับเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-24 06:09:53


ความคิดเห็นที่ 3 (1559753)

มาช่วยพี่ชนิดาโพสค่ะ

 

ในหลวง.....ดวงใจของคนทั้งชาติ




ผมเชื่ออย่างสุจริตใจว่า คนในผืนแผ่นดินไทยนี้ รักและเคารพในหลวง อย่างบริสุทธิ์ใจกันแทบทุกคน

เพราะ ในหลวง หรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั้น พระองค์ทรงรัก พวกเราก่อนด้วยความบริสุทธิ์พระราชหฤทัย

ทรงรักและเป็นห่วงพวกเราๆ ท่านๆ ซึ่งเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน อย่างพ่อรักลูก


ถ้าคุณเจ็บไข้ป่วย อยู่ในถิ่นที่ห่างไกล การคมนาคมไม่สะดวก จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้สะดวก เต็มไปด้วยความทุรกันดาร อาจจะต้องขึ้นเขาลงห้วย หรือเดินกันเป็นวันๆ

จะมีใครมาช่วยเหลือคุณ จะมีใครเดินทางมาหาคุณ ถ้าการไปมาหาสู่นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก หรือเต็มไปด้วยอุปสรรคต่างๆ

คนที่จะมาหาคุณได้นั้น ต้องเป็นคนที่ รัก คุณจริงๆ ต้องมีความห่วงใย ในความทุกข์ยากของคุณจริงๆ




จะ มีก็แต่พ่อแม่เท่านั้นที่ความรักและห่วงใยคุณ อย่างที่ไม่ต้องการอะไรมาตอบแทน เป็นความรักและความห่วงใยที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ

"ในหลวง" ก็ทรงเป็นเช่นนั้น

ทรงเป็นพ่อที่ห่วงใยลูกๆ ของพระองค์ท่าน

แม้ว่าลูกของพระองค์ท่านจะมีมากมายถึง 60 กว่าล้านคน

แต่ก็ไม่เคยทำให้ลูกๆ ทั้ง 60 กว่าล้านคนรู้สึกเลยว่า พ่อของพวกเขาเหล่านี้ทอดทิ้งพวกเขา

เพราะเมื่อใดๆ ที่ลูกๆ กำลังมีความทุกข์ พ่อของพวกเขาก็จะเป็น "กำลังใจ" ให้ตลอด

ด้วยการ "ปฏิบัติ" ให้พวกลูกๆ เห็นว่ายังคงทรงห่วงใยพวกเขาเหล่านั้นอย่างจริงจัง

ไม่ว่าจะเป็นข่าวเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียน ปลอบขวัญ ให้กำลังใจ หรือพระราชทานสิ่งของ เงินทอง ให้ผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้ที่กำลังถูกธรรมชาติและสังคมรังแก



บางครั้งก็ทรงให้กำลังใจและข้อคิด ด้วยพระราชกระแส ด้วยพระราชดำริ เป็นคำแนะนำที่มนุษย์ธรรมดาสามัญทำได้ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็น ไม่ได้เกินกำลังความสามารถของคนธรรมดาสามัญที่สามารถทำได้

บางเรื่อง บางคำแนะนำที่พระราชทานให้นั้น เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่คนอื่นมองข้ามไป อาจจะด้วยเพราะความที่อวดตัวว่าเรียนมามาก มีความรู้สูง เรียนสูง จบมาจากต่างประเทศ หรือไม่ได้ใส่ใจความเป็นอยู่ที่อยู่รอบข้างตัวเอง...ด้วยความเป็นจริง

แต่ "ในหลวง ทรงเห็น

ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า ไม่มีทุกข์ยากใดๆ ในแผ่นดินไทยนี้ที่พระองค์ไม่ทรงทราบ

พระองค์ทรงมีหูตาอยู่ทั่วไป

หูและตาที่ว่านี้ ก็คือข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ที่คอยถวายรายงานให้ทรงทราบ รวมทั้งประชาชนที่มีความจงรักภักดีในพระองค์ท่าน อย่างบริสุทธิ์ใจ




เมื่อทรงทราบแล้ว ไม่เคยไม่มีสักครั้งที่ทรงอยู่เฉย ทรงให้ "ความช่วยเหลือ" อย่างเร่งด่วน และตรงจุด

บาง ครั้งบางคราว ใครจะไปรู้ได้ว่า ความทุกข์ยากที่กำลังได้รับอยู่นั้น ถูกแบ่งเบาและได้รับความช่วยเหลืออย่างปัจจุบันทัน อย่างฉุกเฉิน ก็เพราะเป็นความช่วยเหลือจาก "ในหลวง"



แต่จะเป็นไปในรูปแบบใดนั้น เป็นอีกกรณีหนึ่ง
ยังมีอีกหลายเรื่องหลายกรณีที่เราๆ ท่านๆ ไม่รู้หรอกว่า มีสิ่งของ ความช่วยเหลือ และคำแนะนำ การแก้ไข ที่มาโดยตรงจาก "ในหลวง"

"ในหลวง" ไม่ได้ทรงทำให้คนรู้ แต่ทรงทำให้คนหายทุกข์ในเวลาที่ทุกข์



ข่าวคราวที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์ หรือทาง "ข่าวในพระราชสำนัก" ในโทรทัศน์นั้น เป็นแค่เพียง 1 ใน 1,000,000 หรือมากกว่านั้น ถ้าเทียบกับพระราชกรณียกิจที่พระองค์ท่านทรงทำ

เมื่อใดที่น้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ก็เหมือนน้ำท่วมในพระราชหฤทัยในพระองค์ท่าน

เมื่อใดที่เกิดภัยพิบัติ สร้างความทุกข์ให้ราษฎร พระองค์ก็ทรงทุกข์กว่า

จะมีใครล่วงรู้ว่า กว่าที่ความช่วยเหลือของทางการบ้านเมือง (หน่วยงานราชการ) จะไปถึงมือผู้กำลังมีทุกข์ น้ำพระราชหฤทัยของ "ในหลวง" เดินทางไปแล้ว เดินทางไปถึงมือราษฎรของพระองค์ท่านแล้ว



ข้าวสาร อาหาร ถุงยังชีพ ฯลฯ เดินทางไปในทันที โดยผ่านทางหน่วยงานของพระองค์ท่าน

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ลูกๆ กว่า 60 ล้านคน "รัก" พ่อของพวกเขาได้อย่างไร ?

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.......ในหลวง.......พ่อของแผ่นดิน



ที่ผมเกริ่นมาข้างต้นนี้ ก็เพราะอยากจะบอกให้เห็นว่า การที่ใครสักคนหนึ่งห่วงเรา รักเรา ด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้น สมควรหรือไม่ที่เราจะตอบแทนความรัก ความห่วงใยนั้น ด้วยการกระทำในสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่มีคุณค่า เพื่อเป็นการตอบแทน

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความรัก ความห่วงใยพวกเราขนาดนี้แล้ว สมควรที่เราๆ ท่านๆ จะต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตอบแทนความรักของพระองค์ท่านให้มากที่สุด

แต่ไม่ใช่เป็นการตอบแทนด้วยลมปากเพียงว่า "รัก"



เรานั้นมักจะทำอะไรไปโดยขาดความไตร่ตรอง หรือทำอะไรไปตามกระแส และบ่อยครั้งทำอะไรไปโดยไม่คำนึงถึง "คุณค่า" และ "สาระ" เท่าที่ควร

ขอให้ดูในสิ่งที่ "ในหลวง" ได้ทรงทำ

ทุกอย่างที่ทรงทำ มี "สาระ" ตลอด

เวลาที่พระองค์ห่วงลูกหลานราษฎร พระองค์ไม่เพียงรับสั่ง (พูด) แต่พระองค์ทรงทำให้เห็น ให้เป็นเรื่องราว

พระราชทานสิ่งของ สิ่งยังชีพ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือพระราชทานวิธีการแก้ไขความทุกข์นั้น ทรงหาทางแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นระยะยาว

ผมสังเกตอยู่เสมอว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมี "วิสัยทัศน์" ในระยะไกล

การแก้ปัญหาของพระองค์ท่านนั้น แก้ทั้งระยะใกล้ คือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แบบฉุกเฉิน เพื่อให้ความเดือดร้อนที่พสกนิกรได้รับนั้น บรรเทาความเดือดร้อนไปก่อน



คนเดือดร้อนจะเป็นจะตายอยู่แล้ว จะมานั่งรอให้คนมาช่วยเหลือ แล้วไม่มาสักที ไม่ช่วยสักที ไม่ดำเนินการสักที เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา แย่งเอาหน้าเอาตา เอาความดีความชอบ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการ มูลนิธิ หน่วยงานการกุศล

แต่ "ในหลวง" ทรงช่วยเหลือทันที ตามกำลังของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ทางหนึ่ง

ทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากเหล่านั้น

และบางเรื่องนั้น พระองค์ท่านก็ทรงมองไปในภายภาคหน้า บางเรื่องบางราวก็ทรงมองไปถึง 5 ปี หรือ 10 ปี หรือมากกว่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาได้เกิดเกิดขึ้น



จำเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่ได้มั้ย ?

ทรงเตือนมาตั้งนานเป็น 10 ปี ว่าถ้าทำอย่างนี้น้ำจะท่วม

แต่มีใครปฏิบัติตามมั้ย

ไม่มี !

แล้วสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น เพราะความดื้อรั้น และไม่ทำตามอย่างที่ "พ่อ" แนะนำ


หรือเรื่อง "น้ำท่วม" .ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ

ในหลวงก็ทรงแก้ปัญหาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ฝืนธรรมชาติ

ฝนตกก็เรื่องของฝนตก ห้ามกันไม่ได้

มีใครห้ามฝนตกได้

เมื่อฝนตก น้ำก็มาก มันเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ

ฝนมาก น้ำก็ต้องมาก ใครห้ามได้บ้าง

เมื่อมีน้ำมาก น้ำก็ท่วม ท่วมในเมือง หรือในกรุงเทพ ฯ นี่แหละ

ทรงมองว่า น้ำมีมาก เพราะไม่มีที่พักน้ำ น้ำรีบเข้ามามาก เพราะไม่มีที่พักน้ำ น้ำจึงทะลักเข้ามา

การระบายน้ำทำไม่ทัน
โครงการ "แก้มลิง" จึงเกิดขึ้น

ก็เป็นเรื่องธรรมชาติแท้ๆ

ลิงนั้น เวลาที่เห็นอะไรน่ากิน มันก็จะกิน และกินมากๆ ด้วยความที่มันงก ต้องการเก็บตุนอาหารไว้ให้ได้มากๆ

มันก็ตุนอาหารไว้ที่กระพุ้งแก้ม เพื่อเก็บเอาไว้กินในเวลาต่อมา

แก้มลิง ก็คือการเก็บตุนเอาไว้

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ

และคนที่เรียนมาสูงๆ อวดภูมิอวดเก่ง มากมายด้วยโครงการร้อยแปดพันเก้า

คิดไม่ออก คิดกันไม่เป็น

ไปนั่งแก้ปัญหาด้วยนั่นด้วยนี่ ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย หมดเงิน (งบประมาณแผ่นดิน) ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ และสุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ หรือได้ก็ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป

แล้วมานั่งอ้างว่า เป็นเพราะกรุงเทพ ฯ เป็นเมืองต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ยังงัยๆ น้ำก็ต้องท่วม คงแก้ไขได้ยาก

ไม่รู้เอาอะไรคิด !

แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาธรรมชาติด้วยธรรมชาติ เพราะไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ

ธรรมชาติชนะสิ่งทั้งหลายได้อย่างเด็ดขาด และเที่ยงตรง

เพราะฉะนั้น การจะแก้ปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติ......ก็ต้องด้วยธรรมชาติเท่านั้น



เมื่อมีน้ำมาก ระบายไม่มัน ก็ต้องมีที่พักน้ำ ไม่ให้ทะลักเข้ามามากเกินไป เมื่อมีที่พักน้ำ น้ำไม่รีบทะลักเข้ามา ถ้าไม่มีฝนตกเพิ่ม น้ำทะเลไม่หนุน น้ำที่พักไว้นั้น ก็ค่อยๆ ระบายไปเรื่อยๆ น้ำที่ท่วมก็จะลดน้อยลง

ก็ที่พักน้ำนี่แหละครับ คือโครงการแก้มลิง

ก็คือการพักน้ำเอาไว้ เหมือนที่ลิงพัก (เก็บตุน) อาหารไว้ที่กระพุงแก้ม

เป็นเรื่องง่ายๆ ที่มาจากธรรมชาติ เอาธรรมชาติแก้ไขธรรมชาติ

พวกที่เรียนมาสูงๆ อายกันบ้างมั้ย ?



ถ้าพูดถึงเรื่องน้ำท่วมนั้น ผมว่า "ในหลวง" ท่านแนะนำการแก้ปัญหามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

ทรงให้แก้ที่ "ต้นเหตุ"

ไม่ได้ให้แก้ที่ "ปลายเหตุ"

พระองค์ไม่ได้ละเลยเรื่องธรรมชาติ

น้ำมาก.....เพราะฝนตก ถึงแม้จะมีน้ำทะเลหนุน แต่น้ำทะเลก็มาจากฝนเป็นเรื่องสำคัญ

เมื่อมีน้ำมาก ก็ต้องป้องกันไม่ให้น้ำมันไหลเข้ามาในบ้านในเมือง หรือในป่าด้วยปริมาณที่มีมาก

ต้องมี "ตัวหยุด" น้ำ

ตัวหยุดน้ำที่ดีที่สุด ที่ดีกว่าเขื่อน ก็คือ "ป่าไม้"



ทรงมีพระราชดำรัสเรื่อง "ป่าไม้" มานาน นานมากเป็นหลายๆ สิบปี

ถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน ก็ต้องบอกว่า "ปากเปียกปากแฉะ"

แต่ถ้าเป็นราชาศัพท์ ไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร ? กลัวผิด

แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ

พระองค์ทรงบอกแล้วว่า "ป่าไม้" ป้องกันน้ำท่วมได้

แล้วใครเชื่อพระองค์ท่านบ้าง ?

หรือเชื่อ แต่ก็ไม่ทำตาม

แบบปากว่าตาขยิบ บอกว่าเชื่อที่ "ในหลวง" พูด แต่ไม่ทำตามที่ "ในหลวง" บอก

อาจจะเพราะมีเรื่องของผลประโยชน์ยังหูบังตา ยังบังสติปัญญาเอาไว้




ทุกวันนี้ ยังมีการลักลอบ ตัดและทำลายป่าไม้กันไม่เว้นแต่ละวัน

ด้วยสาเหตุเดียว ก็คือ "เงิน"

พวกรับจ้างนายทุนตัดไม้ทำลายป่า ก็เพราะได้รับ "ค่าจ้าง" ซึ่งก็คือเงิน

พวกที่เป็นนายทุน ก็ต้องการ "เงิน" ไม่ว่าจะเป็นการขายไม้ที่ลักลอบตัด หรือผลประโยชน์ต่างๆ ที่มาจากการตัดไม้ทำลายป่า

โลภ กันทั้งนั้น

ยังตัดไม้ทำลายป่ากันอยู่

ถ้าไปถามพวกนี้ว่า รู้มั้ยว่า "ในหลวง" ไม่อยากให้ตัดไม้ทำลายป่า

พวกนี้ก็ต้องตอบว่า "รู้"

แล้วถ้าถามว่า แล้วรักในหลวงมั้ย

ก็ต้องตอบว่า รักซิ

แล้วถ้ายิงคำถามไปอีกว่า ถ้ารักในหลวง แล้วในหลวงไม่อยากให้ตัดไม้ทำลายป่า แล้วคุณไม่ทำตามคนที่รักได้บอกบ้างหรือ

ใบ้รับประทานกันเป็นแถว

แล้วนี่หรือที่ปากบอกว่า "เรารักในหลวง"

รักแต่ปากนี่ (หว่า !)


เราๆ ท่านๆ นั้นนั่งบ่นนั่งรำพรรณกันว่า "เรารักในหลวง"

เห็นพูดกันทุกวัน พูดกันบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้เคยเห็นใครแสดงให้เห็นจริงๆ จังๆ เลยว่า รักในหลวงจริงหรือเปล่า

หรือจริงใจกับความรักที่มีต่อ "ในหลวง" อย่างจริงจังแค่ไหน ?

ผมก็เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า ทุกคนรักในหลวงจริง

รักมากด้วย

รักแบบถวายชีวิตได้ด้วย



แต่ถ้าเรารักแล้ว ไม่ได้แสดงออกให้เห็นได้ว่าเรารักในหลวงอย่างจริงจังนั้น ผมว่ายังไม่ครบถ้วน

ยังไม่ถูกต้อง

ยังไม่จริงใจในความรักนั้น

และยังไม่บริสุทธิ์ใจในความรักนั้น อย่างแท้จริง

อย่างที่ผมบอกว่า เวลาที่ในหลวงรักราษฎร ในหลวงไม่ได้เพียงแต่พูด (รับสั่ง) แต่ (ทรง) ทำให้เห็น

แต่เรารักในหลวงนั้น พูดมากกว่าทำ

เราไม่เคยดูเลยว่าในหลวงทรงทำอะไรให้ดูเป็นตัวอย่างบ้าง


ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวกับในหลวง ล้วนแล้วแต่เป็น "สาระ" ที่เราควรพิจารณา

ถ้าเราดูข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ หรือติดตามข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับในหลวง จะเห็นว่าทรงกระทำตัวอย่างให้เราได้ "พิจารณา"

เคยได้ยินหรือไม่ครับว่า ในหลวงทรงใช้ยาสีฟันจนหลอดยาสีฟันบิดเบี้ยว นั่นเป็นเพราะทรงและบีบเค้นจนยาสีฟันจนหมดจริงๆ ไม่หลงเหลือตัวยาสีฟันอยู่ในหลอด ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น สามารถใช้ยาสีฟันได้วันละเป็นร้อยหลอดพันหลอด

แต่ไม่ทรงทำ เพราะทรงถูกสอนมาจากสมเด็จย่าให้รู้จักคุณค่าของสิ่งของ และเรื่องของความประหยัด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของการดำรงชีวิตอย่างถูกต้อง


เคยได้ยินหรือไม่ว่า เวลาที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงงาน หรือทรงเยี่ยมราษฎรในที่ต่างๆ ไม่มีพระกระยาหาร (อาหาร) อะไรที่เลิศหรู บาง ครั้งบางหนก็เป็นเพียง "กะเพราไก่ไข่ดาว" หรือ "ข้าวผัด" ธรรมดาๆ นี่เอง ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น สามารถเสวยพระกระยาหารได้เลิศหรูที่สุดในแผ่นดิน หรือในโลกด้วยซ้ำ

เคยได้ยินหรือไม่ว่า เวลาที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายให้กับราษฎรของพระองค์ ท่านนั้น พระองค์ทรงบัญชาการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยพระองค์เอง จนมีเรื่องบอกว่า คนรับวิทยุเคยตอบโต้กับ "ในหลวง" โดยที่คาดไม่ถึงว่า คนที่ตอบโต้ด้วยนั้น คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น มีคนคอยรับใช้เป็นหมื่นเป็นแสนคน ไม่ต้องมาบัญชาการเอง



แต่ที่ต้องทรงทำอย่างนั้น ก็เพราะต้องการช่วยราษฎรของพระองค์ท่านให้ทันใจ ทันกับความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎร

ไม่อยากที่จะต้องทรงรอแต่เพียง "รายงาน" อย่างเดียว

เคยได้ยินหรือไม่ว่า ชาวบ้าน ชาวเขา ชาวดอย เวลาที่เข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้คำพูดธรรมดา ที่แสนจะธรรมดา บางครั้งไม่ต้องหมอบกราบ ยืนคุยกับ "ในหลวง" ก็เคยมี ไม่เคยถือพระองค์เลย ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น ยิ่งใหญ่กว่าใครทั้งหลายในแผ่นดิน จะหาใครเทียบเท่าเสมอเหมือนไม่มี



ผมนั้นจำได้ติดตา เมื่อคราวที่มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งยืนคุยกับในหลวง เมื่อคราวที่เสด็จราชดำเนินไปทรงงานที่ไหนสักแห่ง จำไม่ได้

ในหลวงทรงยืนคุยกับเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง พระราชทานคำสอน พระราชทานความรู้และคำแนะนำ อย่างใกล้ชิดๆ

ใกล้ชิดจริงๆ

มีบุญเหลือเกิน.....เด็กๆ เอ๋ย !


เคยได้ยินหรือไม่ว่า ในขณะที่เกิดความทุกข์ยากกับราษฎรนั้น ในหลวงของเราก็ร้อนรุ่มพระราชหฤทัย ไม่หลับไม่นอน ไม่ทรงบรรทม แต่จะทรงคิดหาทางแก้ไขเพื่อขจัดความทุกข์นั้นให้หมดไปโดยเร็ว ในขณะที่ผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะข้าราชการ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความลำบากเดือดร้อนนั้น กำลังนอนหลับสบาย หรือกำลังแสวงหาความสุขโดยไม่ใส่ใจกับหน้าที่ที่ควรจะทำ ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งเหนื่อยกับปัญหาอย่างนี้




เคยได้ยินหรือไม่ว่า ไม่ว่าใครจะสื่อสารกับในหลวงในด้านใด วิธีใด ในหลวงทรงรับรู้ทุกอย่างทุกเรื่องราว

อย่างในคราวที่เกิดน้ำท่วมแถวฝั่งธนบุรี ในหลวงทรงพระราชทานถุงยังชีพให้คนในชุมชนหนึ่ง เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และเมื่อคนในชุมชนนั้นได้รับความช่วยเหลือจาก "พ่อ" ของพวกเขา ด้วยความซาบซึ้งจึงเขียนจดหมายจ่าหน้าซองว่า ส่งถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความปลาบปลื้มปิติ โดยไม่คิดว่า "ในหลวง" จะได้อ่านจดหมายที่เขียนถึงพระองค์ท่าน

แล้วไม่กี่วันต่อมา ก็มีจดหมายตอบมาจากสำนักพระราชวังว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับจดหมายแล้ว ทรงขอบใจที่มีจดหมายมาถึง......."

จดหมายของราษฎร......พระองค์อ่านทุกฉบับ......

หรือเมื่อคราวที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในเรื่องของความโลภ โกรธ หลง ความไม่เข้าใจกันของคน 2 ฝ่าย ถึงขนาดมีการจลาจล นองเลือด ความวุ่นวายเกิดขึ้น



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกให้ตัวแทนคน 2 ฝ่ายนั้น (พลตรีจำลอง ศรีเมือง และพลเอกสุจินดา คราประยูร) มาพบกัน โดยมีพระองค์ท่านพระราชทานคำแนะนำ คำตักเตือน และทรงให้ "สติ" กับทั้ง 2 คน

เหตุการณ์วุ่นวาย จลาจลนั้น ก็สงบลงทันทีเป็นปลิดทิ้ง



ผมเองนั้นได้มีโอกาสเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง

ไม่ใช่เพราะได้สิทธิพิเศษอะไรหรอกครับ เป็นเพราะผมเป็นเด็กที่เรียนโรงเรียนวัด คือวัดเทพศิรินทร์ ที่วัดเทพศิรินทร์จะมีงานหลวงบ่อยครั้ง

พระราชวงศ์สิ้นพระชนม์ สิ้นชีพิตักษัย ถึงแก่กรรม ก็มาประกอบพิธีที่วัดเทพศิรินทร์

หรืองานที่เกี่ยวข้องกับในรั้วในวัง ที่เกี่ยวกับศาสนา ก็ต้องที่วัดเทพศิรินทร์

คราใดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาในงานพิธี ผมก็มีโอกาสได้เห็นพระองค์ท่าน

เห็นทีไร ก็ปลาบปลื้มปิติทุกครั้ง โดยที่ตอนนั้นไม่ทราบด้วยซ้ำว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น เพราะยังเด็ก

เมื่อโตขึ้น เรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับ "ในหลวง" ก็มีมากขึ้น





โดยเฉพาะคุณพ่อของผม (คุณพ่อทิพย์ เขตต์บรรพต) ได้มีโอกาสเข้าไปถวายพระอักษร (วิชาลูกเสือ) ให้กับพระราชวงศ์ในพระราชวังสวนจิตรลดา

สมัยนั้นผมยังเรียนชั้นประถมอยู่เลย



คุณพ่อก็จะนำเรื่องราวที่ได้รับรู้มาจากในพระราชวังว่า พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นมีอะไรบ้าง

และเล่าได้ไม่มีวันหมด

ในวังมีนา มีไร่มีสวน มีแปลงเกษตร มีแปลงทดลอง มีโรงงาน มีโรงนม มีวัวมีควายเลี้ยงเอาไว้เพื่อกิจการทดลอง ที่ต่อมาได้เอื้ออำนวยประโยชน์มหาศาลให้กับคนอื่นๆ ทั่วไป

หรือใครได้ยินว่า ที่บ้านของในหลวง (พระราชวัง พระตำหนัก) ของชนชาติอื่นมี "นา" อยู่ในบ้านบ้าง ?



และยังมีเรื่องราวอีกมากมาย มากมายมหาศาลที่เราอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำอะไรบ้าง ทุกวินาทีที่ผ่านไป พระองค์ทรงใช้อย่างคุ้มค่า และมีสาระ

คุณค่าและสาระนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง และความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์ท่านทั้งนั้น

แล้วพวกเราๆ ท่านๆ จะทำอย่างไรดี เพื่อให้สมกับ "ความรัก" ที่ในหลวงทรงมีให้



จะร้องตะโกนปาวๆ ว่า เรารักในหลวง เรารักในหลวง แล้วก็ยังนินทาว่าร้ายคนอื่น ยังโกงกินบ้านเมือง คอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง ยังทำตัว "ไร้สาระ" ให้ผ่านไปวันๆ

อย่างนั้นหรือ ?

จะเอาแค่ประดับธงชาติ ติดไฟสวยงาม ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาแค่นั้นหรือ ? พอแล้วหรือกับการตอบแทนความดีของ "ในหลวง"

ตอบแทนความดีของคนที่เรา "รัก"

จะเอาแค่วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันหยุด แล้วไปเที่ยวเฮอา สำมะเลเทเมา กินเหล้ากินเบียร์ เที่ยวสนุกสนาน

อย่างนั้นหรือ ?

หรือใครเคยเห็นว่า ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกๆ ปี ในหลวงของเราทรง "หยุด" ทรงงาน (ทำงาน)

เจ้าของวันเกิดไม่เคยทำตัวให้เราเห็นเลยว่า ใช้เวลาวันหยุดไปทำเรื่องราวที่ไม่เป็นประโยชน์

แต่เราเองนั้น ใช้วันหยุดที่อ้างมาจากวันคล้ายวันประสูติ (วันเกิด) ของในหลวง เอาไปทำเรื่องไร้สาระมากมาย

เอาไปเที่ยว (อย่างไม่มีสาระ) เอาไปกินเหล้าเมายา เอาไปดื่มไปกินไปเที่ยว หรือเอาเวลาไปใช้ โดยไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์ต่อตัวเองหรือต่อคนอื่น

คิดและพิจารณาบ้างเถิดครับ

ตอบแทนความดีของในหลวงให้ถูกต้องและมีสาระบ้างเถิด




วิธีการง่ายๆ ที่จะทำตัวให้รู้ว่า รักในหลวงจริงๆ นั้น ทำได้ไม่ยาก

มันขึ้นอยู่ว่า เราจะตั้งใจทำจริงๆ หรือไม่ ?



สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำนั้น มีมากมายมหาศาล นับไม่ได้ นับไม่ถ้วน ถึงขนาดพยายามจะนับว่า ทรงเคยกระทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง ผมเชื่อว่าไม่มีใครตอบได้หมด ไม่ว่าจะพยายามนับเท่าไหร่ก็ตาม

ด้วยเพราะว่าสิ่งที่ "ในหลวง" ทรงทำนั้นมีมากมายมหาศาลจริงๆ

ไม่ต้องทำทุกอย่างอย่างที่พระองค์ท่านทรงทำ เพราะทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะทำได้อย่างพระองค์ทรงทำ

แต่เลือกเอาเพียงอย่างน้อยสัก 1 อย่างที่พระองค์ท่านทรงทำให้เห็น หรือที่พระองค์ท่านได้ทรงสอนสั่ง ได้ทรงให้คำแนะนำ

เอาอย่างน้อยอย่างเดียวก็ได้

อย่างเดียวเอง....ทำได้มั้ย ?



แต่ถ้าใครทำได้มาก หลายๆ อย่าง ก็จะยิ่งดี และจะดีมากๆ ถ้าทำได้ตลอดกาล ตลอดชีวิต

มีเยอะแยะที่ในหลวงทรงทำให้เห็น ทรงสอนสั่ง ทรงให้คำแนะนำ

ไม่โกงกินบ้านเมือง (ทำกันได้มั้ย ?) เรื่องนี้ในหลวงรับสั่งนักรับสั่งหนาว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ควรทำ

เราจะไม่โกงกิน คอรัปชั่นบ้านเมือง ได้มั้ย ?



ไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นประชาชนคนธรรมดาก็สามารถทำได้

ไม่โกงไม่กิน ไม่เอาของบ้านเมืองหรือส่วนที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง เอามาเป็นประโยชน์ หรือหาทางนำมาซึ่งประโยชน์ให้กับตัวเอง

เรื่องของการเสียสละให้กับส่วนรวม โดยคำนึงเรื่องของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว

เสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อส่วนรวม ได้มั้ย ?



สนับสนุนคนดีให้มีส่วนร่วมในการทำงาน การบริหารบ้านเมือง หรือเพื่อชุมชุน สนับสนุนกันได้มั้ย

ไม่สนับสนุนคนชั่วคนเลว คนที่มีแต่ความโลภ คนที่ชอบเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมหรือของคนอื่นมาเป็นส่วนตัว ให้มีโอกาสครอบครองบ้านเมือง หรือให้มีโอกาสบริหารราชการบ้านเมือง

ปฏิบัติศาสนกิจในหลักของพระพุทธศาสนา เช่น ปฏิบัติ สมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน ทำบุญทำกุศล ฟังเทศน์ฟังธรรม ทำกันได้หรือไม่ ?





ฯลฯ


ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราสามารถทำได้ เพื่อให้เป็นเครื่องแสดงว่า เรารักในหลวง จริง

อย่ารักในหลวงแต่ปาก

แต่ขอให้รักด้วยใจเป็นเบื้องต้น แล้วรักด้วยการกระทำให้เห็นว่ารักในหลวงจริง เป็นประการต่อมา

เอาอย่างน้อยเพียงอย่างเดียวก็ได้
ถือให้เป็น "สัจจะ" ที่จะต้องกระทำชั่วชีวิต

และอย่าทำเพื่อพระองค์ท่านเพียงวันที่ 5 ธันวาคม เพียงวันเดียว

เพราะทำวันเดียว ยังไม่ถือว่า "รัก" พระองค์ท่านจริงแท้แน่นอน

ทำให้ทุกวัน ตลอดปี ตลอดชีวิตได้เลยยิ่งดี



ก็ดูจาก "ในหลวง" เป็นตัวอย่าง

พระองค์ท่านไม่เคยทำเพื่อ "ลูก" ของพระองค์ท่านเพียงวันเดียว !



ทำเพื่อในหลวงที่เราบอกว่าเรารักเหลือเกิน จะได้มั้ย

(ความจริงนั้น สิ่งที่เราจะทำเพื่อในหลวงนั้น ก็คือสิ่งจะเป็น "อานิสงส์" ให้ตัวเองในอนาคต)

ทำความดีให้ในหลวงกันดีกว่า

ความดีที่ว่านั้น พอจะบอกกันเป็นหลักได้ว่า

1.ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้ใครเดือดร้อน

2.ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน

3.ทำอะไรก็แล้วแต่ มีประโยชน์ให้กับคนอื่น

4.ทำอะไรก็แล้วแต่ มีประโยชน์กับตัวเอง

ทำความดีอย่างนี้ ถวายให้ "ในหลวง" ได้มั้ยครับ

อย่ารักในหลวงแต่ปากเลย



จำได้มั้ยครับ ที่ผมบอกไปตอนต้นว่า เวลาที่เราทำอะไรเพื่อในหลวงนั้น พระองค์ทรงรับทราบตลอด ไม่ว่าเป็นทางใดทางหนึ่ง หรือหลายๆ ทาง

ดวงจิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ท่านนั้น เปิดกว้างเพื่อรับรู้เรื่องราวต่างๆ ของราษฎรอยู่เสมอ

เมื่อใดที่ราษฎรของพระองค์ท่านทุกข์ยาก พระองค์ท่านก็รับรู้ถึงความทุกข์ยากนั้นด้วย จึงได้ทรงพระราชทานความช่วยเหลือให้อย่างทันที



ถ้าคุณจะทำความดีเพื่อแสดงให้เห็นอย่างจริงๆ ว่า "รัก" ในหลวง
คุณไม่คิดหรือว่า พระองค์จะทรงรับรู้ว่า ว่าคุณกำลังทำความดีเพื่อพระองค์ท่าน
มันขึ้นอยู่ว่า คุณจะตั้งใจทำจริงหรือไม่ เท่านั้นเอง !


ที่มา : บทความของ อโณทัย เขตต์บรรพต จากหนังสือ "สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้ 2"
ในหลวง.....ดวงใจของคนทั้งชาติ

http://board.palungjit.com/f8/ในหลวง-ดวงใจของคนทั้งชาติ-217010.html

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-24 06:30:24


ความคิดเห็นที่ 4 (1559756)

ทรงพระเจริญ

อนุโมทนากับพี่ชนิดา

อนุโมทนากับพี่หญิง

นะครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-24 06:59:39


ความคิดเห็นที่ 5 (1559773)

กราบพระบาทขอบพระคุณพระเจ้าอยู่หัวในทุก ๆ เรื่องคะ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ทรงพระเกษมสำราญ ตลอดไป

 

ขอบคุณและอนุโมทนากับพี่ชนิดา และน้องหญิงสุดสวย ด้วยนะคะ

อ่านกี่ครั้งก็ยังตื้นตันใจเหมือนเดิม หาคำพูดแทนความรู้สึกไม่ได้เลยคะ

รู้แต่ว่ามีหน้าที่ทำตามที่ท่านสอนและเป็นแบบอย่างแก่เราให้ได้มากที่สุด

แนวทางการเลี้ยงลูกของสมเด็จย่า ก็ช่างประเสริฐจริง ๆ เราต้องเข้มแข็งที่จะทำตามให้ได้

ขอบพระคุณผู้เขียนที่แบ่งปันความสุขและเรื่องราวที่ประเสริฐนี้ให้ได้รับรู้กันคะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-24 08:02:32


ความคิดเห็นที่ 6 (1559813)

ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับคุณชนิกาอ่านแล้วไม่เคยรู้มาก่อนเลยยิ่งรักในหลวงมากและจะทำตามคำสอนให้ได้คะอ่านแล้วซาบซึ้งใจจริงทรงทำเพื่อทุกคนแล้วจะแนะนำให้ลูกอ่านแล้วจะจำแล้วก็จะปฎิบัติตามคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-24 13:55:37


ความคิดเห็นที่ 7 (1559821)

ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญปวงชนชาวไทย และขออนุโมทนากับคุณ ชนิดา ด้วยนะครับ ที่ได้นำข้อความดีดี มาแบ่งปันครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-24 14:55:26


ความคิดเห็นที่ 8 (1559867)

ขออนุโมทนากับคุณชนิดาและน้องหญิง ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวมหามงคลและพระราชกรณียกิจของพระองค์ ที่เด็กรุ่นใหม่ๆส่วนใหญไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเหนื่อยยากเพียงไร ให้ลูกๆของพระองค์ ให้ประชาชนของพระองค์ได้อยู่ดีกินดี

ข้าราชการ ยังมีการเกษียนอายุ 60 ปี เพื่อพักผ่อน แต่พระองค์แม้จะมีพระชนม์มายุมากแล้ว แต่พระองค์ท่านไม่ยอมเกษียนตัวเอง เพื่อที่จะพักเลย แม้เจ็บป่วยยังต้องทรงงานตลอด

แล้วคนไทยยังจะทะเลาะกันให้พ่อหลวงกลุ้มใจทำไม

ทำไมไม่ช่วยกันทำความดีถวายในหลวง

อย่ารักในหลวงแต่ปาก

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า

ผู้แสดงความคิดเห็น เพชรดา วรรณรักษ์ (fareastinn-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-24 20:03:40


ความคิดเห็นที่ 9 (1559930)

ทำความดีให้ในหลวงกันดีกว่า

ความดีที่ว่านั้น พอจะบอกกันเป็นหลักได้ว่า

1.ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้ใครเดือดร้อน

2.ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน

3.ทำอะไรก็แล้วแต่ มีประโยชน์ให้กับคนอื่น

4.ทำอะไรก็แล้วแต่ มีประโยชน์กับตัวเอง

ทำความดีอย่างนี้ ถวายให้ "ในหลวง" ได้มั้ยครับ

............................................................................

อนุโมทนาจ่ะ น้องหญิง

เมื่ออ่านแล้ว พวกเราก็อย่า เพียงแต่พูดว่า

"เรารักในหลวง"อีกต่อไปเลยนะคะ แต่ควรจะเริ่ม"ทำ"

กันอย่างจริงๆจังๆซักที ทำให้ได้ตลอดเวลา และสี่ข้อที่ว่านี้

ก็ไม่ได้ดูยากจนเกินความสามารถพวกเราไปได้เลย..

 

อ่านเรื่องพระองค์ทีไรก็น้ำตาซึมทุกที แล้วก็นึกถึงท่านอ.อุบลเช่นกัน

เพราะตอนนี้บ้านสวนฯพีระมิด ก็จะคล้ายๆวังสวนจิตรฯเข้าไปทุกทีๆแล้

มีทั้งนา แปลงผัก และอีกสาระพัดโครงการ ฯลฯ

และอาจารย์อุบล ก็ไม่ได้พร่ำสอนพวกเราแต่"คำพูด"

แต่อาจารย์"ทำ"เป็นตัวอย่างที่ดี

ให้พวกเราได้เห็นมาโดยตลอดในทุกๆเรื่อง..

 

ชนิดาจะพยายามทำตัวให้ดีกว่านี้ค่ะ

จะเป็น"ลูกที่ดี"ของพ่อหลวง

และจะเป็น "ลูกศิษย์ที่ดี"ของอาจารย์อุบลค่ะ..

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-25 02:53:52


ความคิดเห็นที่ 10 (1559960)

 

        อ่านแล้วตาฝ้าฟาง  น้ำตาซึมตลอดค่ะ  เคยได้อ่านมาบ้างแล้ว

แต่นานแล้ว  กลับมาอ่านอีกครั้ง  ก็ยังตื้นตันใจเหมือนเดิม

ต่อจากนี้  ลูก  ขอทำ ความดี ให้มากขึ้น

อนุโมทนาบุญกับคุณชนิดาและน้องหญิงด้วยนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาล (ฉวีวรรณ นภาพรรณราย) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-25 09:43:11


ความคิดเห็นที่ 11 (1559996)

 อนุโมทนาบุญค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล (shindo_ploy-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-25 12:12:49


ความคิดเห็นที่ 12 (1560276)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณชนิดา

และน้องหญิงค่ะ

อ่านแล้วยิ้ม แถมน้ำตาซึมนิด ๆ ด้วยค่ะ

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ผู้แสดงความคิดเห็น จันทร์เพ็ญ อังคุกานนท์ (หนิง) (janpen-dot-ank-at-rd-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-26 13:13:29


ความคิดเห็นที่ 13 (1560328)

ขอขอบคุณ คุณชนิดาเป็นอย่างมากเลย  ไม่เคยเห็นรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อหลวงขนาดนี้มาก่อน

ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงทุมเทให้กับประเทศชาติ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ  สาธุ

 

และขออนุญาตคุณชนิดาปริ้นส์ข้อความไว้อ่านด้วยนะค๊ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญ/วรินทร์ธร รัศมีจรัสฐากร (varinthon_bla-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-26 16:54:49


ความคิดเห็นที่ 14 (1561111)

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน  รักในหลวงมากค่ะ นำข้อคิดดีๆที่ในหลวงทรงมอบให้กับปวงชนชาวไทย

มาใช้ปฎิบัติเพื่อให้เกิดความสุขแบบพอเพียง  ขอบพระคุณสำหรับบทความอันดีงามและมีคุณค่าทางจิตใจอย่างสูง

ขอบพระคุณทุกๆท่านค่ะ   ข้อความนี้ดิฉันน้ำตาไหลเลยค่ะ 

69. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์
สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมี อายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี

ไม่มีคำใดจะเอ่ยนอกจากทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ  พ่อมองเห็นเราเสมอ อยากให้ลูกๆทุกคนในประเทศรักและสามัคคีกัน  ท่านจะได้เบาพระทัย

รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหนๆ ก็ไทยด้วยกัน เชื้อสายประเภณี ไม่มีขีดกั้น

เกิดใต้ธงไทยนั้น ปวงชนทุกคนคือไทย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จารุวรรณ์ สุจินตนาธรรม (rkdragon999-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-30 12:30:57


ความคิดเห็นที่ 15 (1561229)

อนุโมทนากับทุกๆท่านเช่นกันค่ะ

แหม่..คุณ จารุวรรณ์ ค๊า ชนิดาเจอข้อนี้ก็น้ำตาไหลเหมือนกัลล์

แล้วก็อีกหลายๆข้อค่ะ.. อ่านแล้วก็แทบอยากจะกราบพระบาทพระองค์มั่กๆ

สุดแสนที่จะประเสริฐ ที่สุดของที่สุดเลยล่ะค่ะ..


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-31 07:40:26



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.