ReadyPlanet.com


กฏของธรรมดา


 

          ร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมดก็ดี ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลางมีการสลายตัวไปในที่สุด และร่างกายของแต่ละร่างกาย ก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นของเราเสียจริงๆ

          ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรเกินธรรมดา ท่านสอนให้ยอมรับนับถือกฏของธรรมดา วางทุกข์เสีย ให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรามีอยู่ในโลกเท่านี้เอง

          ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้ามันไม่เที่ยง เราจะเข้าไปยุ่งกับความไม่เที่ยง ให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์อารมณ์ของคนที่เป็นทุกข์มันก็เพราะไม่ยอมรับนับถือกฏของความเป็นจริง

          จำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยง มันก็ทุกข์แต่ทว่าจะสุขหรือจะทุกข์ก็ตาม อนัตตามันก็เข้ามาถึง อย่ายึดอย่าถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา คิดไว้เสมอ ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะอยู่กับมัน

          ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี นอกจากมันจะสกปรกแล้ว มันก็ไม่มีสภาวะเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะร่างกายเป็นกฏธรรมดาอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นมีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายไปในที่สุด ที่เรียกกันว่าเมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้น ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ สิ่งที่รักอยู่ก็ต้องพลัดพรากจากกันไป

          ให้พิจารณาให้มีความเบื่อหน่ายจากสังขาร เพราะสังขารเกิดแล้วดับในที่สุดนี้ประการหนึ่ง สังขารมีความดับเป็นปกติทุกวันเวลา หรือจะว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ไม่ผิด นี้ประการหนึ่ง สังขารเป็นภัย เพราะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นปกติ และทำลายในที่สุดประการหนึ่งสังขารเต็มไปด้วยความทุกข์และโทษประการหนึ่ง ฉะนั้นสังขารนี้เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นของน่ารัก นำปรารถนาเลย ญาณนี้ควรเอา อสุภสัญญา ความเห็นว่าไม่สวยไม่งามร่วมพิจารณาด้วย เอามรณานุสสติ ธาตุ 4 มาร่วมพิจารณาด้วยจะเห็นเหตุผลชัดเจน เกิดความเบื่อหน่ายได้โดยฉับพลัน

          ให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอๆ ว่า สังขารนี้ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่ พยายามหาเหตุในคำสอนนี้ให้เห็นชัด ดูตัวอย่างคนที่เกิดแล้วตาย ของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มี คิดว่านี้ไม่ช้าก็ต้องตายทำลายอย่างนี้และพร้อมเสมอที่จะไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้นพิจารณาอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่า นี้ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราน อะไรที่ไหน ที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาลไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้

          ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาเสียแล้ว ความอาลัยในชีวิตมันก็ไม่มี เราศึกษาพระธรรมวินัยกัน ปฏิบัติสมถวิปัสนาธุระกันก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือการตัดอาลัยในชีวิตเท่านั้น อารมณ์ที่จะตัดอาลัยในชีวิตเท่านั้น อารมณ์ที่จะตัดอาลัยในชีวิตได้ ก็มีอารมณ์รักธรรมดาคือยอมรับนับถือกฏของธรรมดา อย่าไปสนใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆให้มากนักไอ้เรื่องที่จะทำให้ถูกใจเราทุกอย่างมันไม่มีถ้าใจเราเลว แต่ว่าถ้าใจเราดีเสียอย่างเดียว ทุกอย่างในโลกมันไม่มีอะไรผิดใจเรา เพราะว่าเราทราบว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

          พิจารณาจนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็นเอตัคตารมณ์คือ จิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฏธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตน หรือคนอื่นเป็นของธรรมดาหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่มีความทุกข์ความเร่าร้อน ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฏของธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่าครอบงำ ความเกิด ความดับ ความตายได้เป็นต้น คำว่าครอบงำ หมายถึงความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวใครจะตายหรือเราจะตาย ไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธ ในระยะแรกอาจจะหวั่นไหวนิดหนึ่ง นอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิด เคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ ทุกขณะมีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ

          ทีนี้ความสุข ความทุกข์ของโลก มีความร้อนเกินไป ความหนาวเกินไป มีความหิว มีความกระหาย มีความป่วยไข้ไม่สลาย กระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ความแก่เข้ามาถึง ความตายจะเข้ามาถึง ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจจะเข้ามาถึง อาการทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นกฏของธรรมดาที่เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสบายใจมันเกิดอารมณ์จิตเกิดสุขนี่อารมณ์ของพระอนาคามีมีความสุขใจแบบนี้ไม่มีอะไรเป็นที่รับสัมผัสแห่งความทุกข์มีอารมณ์จิตสบาย

          การที่เราจะได้ดีหรือไม่ได้ดี มันอยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้นการเจริญพระกรรมฐานที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้ดี ก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่มีอะไรยากลำบากที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไมได้ทรงหาอะไรมาสอนเรา นอกจากนำกฏธรรมดาที่เรามีอยู่ ให้เรามาใช้ปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิต เราก็ใช้กันอยู่เป็นปกติ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินศรีเห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิ ไม่เป็นทางหมดทุกข์ องค์สมเด็จพระบรมครูต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิด้านกุศลจิตคิดหากุศลเข้าใส่ใจไว้ประจำ เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอนวิปัสสนาญาณ มีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ที่มันจะพึงมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา มีความผูกพันในร่างกาย ซึ่งมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็วางร่างกายเสียเพื่อพระนิพพาน

          ความจริงการไปพระนิพพานนี่เขาเทศน์กันยาวเหยียด ที่เทศน์กันยาวเหยียดนี่มันไม่ถึงพระนิพพาน ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยต่ออะไรอีก ตัดอยากเสียตัวเดียว ยอมรับนับถือกฏของธรรมดาเสียตัวเดียว ทำใจวางเฉยในเมื่อกฏธรรมดามันเกิด ถือว่าธรรมดาของมัน เท่านี้อารมณ์ก็เข้าถึงพระนิพพาน เข้าถึงอย่างไรเพราะตัววางเฉยเป็นตัวดับอารมณ์ ดับความจุ้นจ้าน ดับตัวเกาะ ไม่เห็นจะยากอะไร การไปนิพพานง่ายกว่าไปนรกตั้งเยอะ

ที่มา : หนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง 

        



ผู้ตั้งกระทู้ วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (weepasuth-at-gmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-06-22 19:35:49


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1555638)

 โมทนาครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-02 18:42:26



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.