ReadyPlanet.com


ทำไมต้องสร้างจิตมนุษย์


 

 

 

 
 
 

 

 
จิตเดิมจิตแท้ คือจิตปภัสสร หรือจิตบริสุทธิ์

 

 

เมื่อบริสุทธิ์อยู่แล้ว ทำไมต้องมาติดสมมุติยังโลกใบนี้....?

 

 

 ทำไมต้องสร้างพวกเราขึ้นมา แล้วทำไมทำให้พวกเราต้องมีทุกข์

 

 

 

 

มนุษย์เอ๋ย..อันความสุขแลความทุกข์ที่บังเกิดมีขึ้นกับพวกเจ้านั้น

 

 

 

 

ใครเป็นผู้สร้างขึ้นมากันแน่.. 

 

 

 

 

 

 

 "คำ ถามเหล่านี้ พ่อได้ยินได้ฟังจากปากพวกเจ้าผู้เป็นมนุษย์มากที่สุด เพราะยามใดที่พวกเจ้ามีความสุขก็มักจะหลงลืมตัวตนไป แต่ยามใดที่เจ้ามีความทุกข์ ก็มักจะเอ๋ยปากเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากฟ้าดิน จากพระเจ้าจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสรวงสวรรค์อยู่เสมอ.."

 

        ...มี คำถามต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย..จากปากพี่น้องร่วมโลกผู้มีอนาคตได้เพียงแค่แก่เจ็บตาย มีเพียงความสุขแลทุกข์เป็นรางวัลชีวิต ต้องต่อสู้ดิ้นรนหาอาหารมาหล่อเลี้ยงรูปร่างกายตนเองให้มันแก่เจ็บตายไป วันๆ หล่อเลี้ยงชีวิตด้วยเพียงลมหายใจเป็นอาหารหลัก  แต่ทำไม..ทำไม..? ถึงมีคำถามจากใจมนุษย์มากมายจริงหนอ...? ทำไมหรือ...?..พระผู้เป็นเจ้าผู้เฝ้าคอยดูแล ช่วยตอบปัญหาให้ลูกๆ หายข้องจิตข้องใจด้วยเถิดเจ้าข้าฯ..

 

 

 

"ลูก รักทั้งหลายของพ่อ พ่อจะตอบให้หายข้อข้องใจก็ต่อเมื่อ พวกเจ้าตั้งจิตตั้งใจรับฟัง แล้วนำไปคิดพิจารณาจนเกิดสติปัญญาด้วยตัวเอง นั่นแหละถึงจะไม่มีคำถามใดๆ ออกมาจากใจของพวกเจ้าอีก ..

 

 

         พ่อ เป็นจิตแรกดวงเดียวในโลกในจักรวาล ทั้งในภาคของส่วนทิพย์และส่วนหยาบ ไม่มีจิตดวงใดอีก พ่อจึงได้อธิษฐานจิตแยกจิตของพ่อออกมาเป็นดวงจิตพ่อจำนวนมาก แต่มีความรู้สู้จิตพ่อดวงเดิมไม่ได้ แต่ก็มีความสามารถตอบปัญหา หรือเรียนรู้ในทุกสภาวะที่่พ่อถาม-ตอบได้เป็นอย่างดี พ่อ..มักจะมีคำถามใหม่ๆ ถามพวกเจ้าอยู่เสมอเช่นว่า พวกเจ้าคือใคร ใครคือพวกเจ้า ในสมัยแรกเริ่มเดิมทีนั้น พวกเจ้ากลับตอบพ่อว่า  เจ้าก็คือข้า ข้าก็คือเจ้า  พ่อก็ตอบต่อไปว่าใช่..ข้าคือเจ้า แต่ไม่ใช่ว่า พวกเจ้าคือ..ข้า

 

 

 

เพราะ ข้า..เป็นผู้ตั้งจิตอธิษฐานสร้างพวกเจ้าขึ้นมา ไม่ใช่พวกเจ้าสร้างข้าขึ้นมา ทีนี้ถ้าพวกเจ้าอยากจะพิสูจน์ความรู้ว่า พวกเจ้าทุกๆ ดวงจิตในสถานที่แห่งนี้.. ใครจะมีสติปัญญามากกว่ากัน ก็จงพากันไปทดสอบยังสถานที่ๆ แห่งหนึ่งในโลกอื่นๆ ที่มีสิ่งมีชีวิต ถ้าใครมีสติปัญญาสูงส่ง ก็จงกลับคืนสู่สถานที่แห่งนี้ได้ด้วยตนเองโดยเร็ว อย่าหลงทางติดอยู่ในโลกเป็นอันขาด..." 

 

 

 

         "ดวงจิตพวกเจ้าต่างก็รับคำท้าจากข้าว่า ได้..พวกเราจะไปเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ แล้วค่อยมาตอบคำถามของเจ้า (จิตรู้กับจิตรู้คุยกัน ไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ จึงไม่มีการใช้ภาษายากๆ เหมือนโลกเรา มนุษย์สมมุติบัญญัติศัพท์ยากๆ ขึ้นมา เพื่อใช้กับผู้มียศในโลกนี้..เท่านั้น)  จากนั้นพวกเจ้าทั้งหลาย..ก็ได้ไปเรียนรู้ยังโลกใบนี้ โลกที่พวกเจ้าทั้งหลายยืนเดินนั่งนอนอยู่ จิตใจของพวกเจ้าทั้งหลายจึงผูกติดกับสิ่งสมมุติในโลก สิ่งที่ไม่มีชีวิตในโลกนี้..ยึดติดอยู่ในโลกได้ เพราะอาศัยแรงดึงดูดของโลก แต่พวกเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นจิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป แต่กลับมายึดติดเพียงรูปร่างกายตนเองและของผู้อื่น จึงติดอยู่ในโลก

 

 

 

 

 

 



ผู้ตั้งกระทู้ นิภา มุกดาม่วง (nu-toon-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-07 23:17:02


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1556807)

 

สมมุติ ด้วยตัวเจ้าเอง ที่นี้พวกเจ้าเชื่อมั่นได้หรือยังว่า พวกเจ้านั้นมีสติปัญญาไม่เท่าข้า  จะยอมรับหรือไม่..เพราะถ้าผู้ใด..จิตดวงใดมีสติปัญญามากพอ ก็แค่คิดพิจารณาให้เห็นถึงความน่าเบื่อหน่ายในการเรียนรู้สิ่งสมมุติของโลก ใบนี้ แล้วตั้งจิตกลับคืนสู่สถานที่พวกเจ้าจากมาในเวลานั้น แค่นี้จิตของพวกเจ้าก็ไม่ต้องกลับมาสู่ความไม่เที่ยงของโลกใบนี้อีก นั่นแหละถึงจะเรียกพวกเจ้าว่า จิตรู้ จิตปภัสสร จิตบริสุทธิ์  จิตคือพลังงานรู้ที่ว่างเปล่า หลอมรวมเป็นจิตดวงเดิมดวงแรก คือจิตพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างโลก ...ทีนี้เจ้ามีอะไรจะถามข้าอีกหรือไม่เจ้าช.."

 

         สำหรับ ลูกไม่มีอะไรจะถาม เพราะหมดปัญหาใดๆ ในโลก เพราะโลกนี้คือ ความว่างเปล่า จึงไม่มีคำถาม เพียงแต่พี่น้องเพื่อนพ้องร่วมโลก เขาชอบตั้งคำถามกันอย่างไม่

 

รู้จัก เหน็ดเหนื่อยในปัญหา(ความทุกข์) เมื่อเขาถามลูก ลูกขี้เกียจตอบด้วยตัวเอง ก็จึงมาถามพ่อให้ท่านเป็นผู้ตอบ เขาจะได้ไม่กล่าวหาว่าลูกอวดรู้..

 

          "..เจ้าถามข้าได้ความจริงแล้ว.. ตกลงข้าเป็นผู้ตอบคำถาม หรือว่าเจ้าเป็นผู้ตอบพวกเขากันแน่.."

 

          ..ลูก เองครับ.. ต้องพิมพ์ตำราเล่มนี้ด้วยตนเอง ต้องตอบทุกคำตอบด้วยตัวลูกเอง สรุปแล้วลูกเป็นผู้ทำหน้าที่แทนพ่อในโลกใบนี้ ลูกเป็นผู้เสียเปรียบพ่อ เพราะลูกเหนื่อยในการตอบปัญหา เหนื่อยกับการเขียนตำรา ต้องโดนด่าจากมนุษย์ผู้ไม่มีความเข้าใจในหน้าที่ของ ลูก สัญญาณความรู้นี้ทั้งหมดเป็นของพ่อ งานนี้พ่อก็สั่งให้ลูกทำ แล้วทำไมคนอ่านที่ไม่เข้าใจ..ทำไมไม่ไปด่าพ่อเองก็ไม่รู้สินะ..

 

"เจ้าก็รู้ว่า..เวลามนุษย์มีทุกข์..ก็ด่าทั้งหมดนะแหละ..

 

             งั้น..เจ้าก็จงใช้ชื่อของข้าเป็นผู้เขียนตำราสิว่ะ.."

 

             ชื่ออะไร....?

 

           "ก็ เจ้าใช้ชื่อว่า ช คนเขาเรียกเจ้าว่าท่านช ก็แค่เจ้าเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า "พระบิดาสวรรค์" แค่นี้เขาก็จะด่าข้า  ไม่ได้ด่าเจ้าแล้วนี่นา...ฮ่าฮ่า"

 

           ..เขา ไม่กล้าด่าพ่อหรอก...เพราะมนุษย์นั้นกลัวมากๆ กับการด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด..ที่พวกเขามองไม่เห็น เขาด่าลูกนี่แหละตัว เป็นๆ..ทุกวันนี้เขาก็หาว่าลูกบ้า เพี๊ยน..แค่นี้เขาก็หาว่าลูกเป็นมารศาสนา แล้ว..แต่พระภิกษุเลวๆ เต็มบ้านเต็มเมือง ชาวบ้านกลับไม่กล้าด่าว่า..เลว..แถมยังเอาเงินเอาทองไปส่งเสริมให้เขาเลว หนักไปกว่าเก่าอีก แทนที่จะยับยั้งไม่ส่งเสริมให้ภิกษุเลวตั้งอยู่ได้ ศาสนาจะได้

รุ่งเรืองเรียบร้อยดีขึ้น เหมือนกับสมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกครั้งหนึ่ง..


ผู้แสดงความคิดเห็น นิภา มุกดาม่วง (nu-toon-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-08 09:31:26


ความคิดเห็นที่ 2 (1556810)

 

"จริงๆ แล้ว..ก็ดีแล้วนี่ลูกรัก ชาวบ้านเขาส่งเสริมภิกษุเลวให้เลวยิ่งๆ ขึ้น ก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เขาได้รับผลกรรมที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง เมื่อเขาอยากเลวสร้างอาบัติผิดวินัยอยู่ ชาวบ้านก็เลยส่งเสริม..เพื่อให้เขาใด้เสด็จไปสู่อเวจีมหานรกตามที่เขาตั้งใจ เต็มที่ จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนานแสนนาน..เลยนี่ลูก แล้วเจ้ายังจะว่า..ไม่ดีได้อย่างไร.."

 

           ไม่ใช่อย่างนั้นครับพ่อ ลูกเพียงแต่ต้องการจะรู้ว่า ลูกมีหน้าที่อะไรกันแน่ในโลกใบนี้ในเวลานี้..

 

            "แล้วเจ้าคิดว่า...เจ้ามีหน้าที่อะไรอีกล่ะ..."

 

            รักษาลมหายใจเข้าออก  และทำหน้าที่ดูแลร่างกายจนกว่ามันจะตายไป เป็นชาติสุดท้าย ในขณะที่ยังไม่ตายยังมีลมหายใจอยู่..ก็จะต้องคุยกับพ่อ แล้วนำความรู้ที่ได้รับมา พิมพ์เป็นตำราให้มนุษย์คนอื่นๆ ได้อ่าน ใครฉลาดมีปัญญาก็ได้กลับคืนสถานที่พากันจากมา..ใครโง่แต่อวดฉลาด..ก็พากัน ถูกแรงดึงดูดของโลกสมมุติให้ติดอยู่ต่อไป..ก็แค่นั้น...

 

"เจ้าก็รู้ดีนี่นา จะถามทำไมอีกเล่า.."

 

          จริงๆ แล้วก็แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละครับ สรุปกันดีกว่า..ขี้เกียจพิมพ์แล้วล่ะ มันยาวไป...เดี่ยวคนอ่านจะเบื่อซะก่อน.. 

 

           "ดี แล้วลูกรัก พวกเจ้าลองคิดดูให้ดีดีว่า โลกมนุษย์ใบนี้มีอะไรดีให้พวกเจ้าต้องยึดติดลุ่มหลง เกิดขึ้นตั้งอยู่ได้ไม่นานดับสลายไปในที่สุด มนุษย์เกิดมาแล้วมีอนาคตเพียง แค่แก่เจ็บตายไปเท่านั้น มีเพียงความสุขเป็นเครื่องย้อมจิตใจให้ต่อสู้กับความแก่เจ็บตายไปเท่านั้น ส่วนผู้ใดมีความทุกข์เป็นรางวัลแห่งชีวิต ก็แทบจะยืนอยู่ไม่ได้ หาคนเข็มแข็งได้ยากเต็มที  มนุษย์ผู้ใด..ติดอยู่ในความสุขฉันใด ย่อมเป็นผู้แสวงหาทางออกจากโลกได้ยากฉันนั้น ส่วนผู้ใดได้รับความทุกข์แล้วมองเห็นแจ้งในเหตุแห่งทุกข์นั้น ย่อมเป็นผู้ประเสริฐเข้าถึงความพ้นทุกข์ตราบนิรันดร 

           พ่อคือพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างโลก พ่อคือจิตรู้ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่ง พ่อเป็นพลังงานจักรวาลที่ว่างเปล่า พ่อคือพระบิดาสวรรค์..พ่อคือสวรรค์ นิรันดร พ่อคือนิพพาน พ่อคือแดนทิพย์อมตะสุขตลอดกาล  แล้วพวกเจ้าแยกแยะกันออกหรือยังว่า ข้าเป็นใคร หรือว่าข้าก็คือเจ้า แต่ว่าเจ้าไม่ใช่คือข้า(พ่อก็คือลูก แต่ว่าลูกไม่ใช่คือพ่อ)..และในระหว่างดวงจิตของพวกเจ้าทั้งหลายที่ถูกส่งลง มาเรียนรู้ยังโลกสมมุติใบนี้ ใครคือผู้ที่มีสติและปัญญามากกว่ากัน ก็จงเรียนรู้กันเอาเองเถิด


ผู้แสดงความคิดเห็น นิภา มุกดาม่วง (nu-toon-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-08 09:36:20


ความคิดเห็นที่ 3 (1556812)

 

ใน สมัยอดีตที่ผ่านมา ในยุคที่โลกยังไม่เจริญทางวิทยาศาสตร์ ผู้รู้แจ้ง ผู้มีสติปัญญาสูงส่ง หรือผู้ที่ได้รับสัญญาณจากพระเจ้าได้ จะถูกยกย่องให้เป็นผู้นำประเทศ ผู้นำชุมชน เป็นปราชญ์ เป็นศาสดา เป็นจักรพรรดิ์ เพราะสามารถแก้ไขปัญหาชีวิตให้ผู้อื่นได้ในทุกๆ เรื่อง รวมทั้งนำจิตวิญญาณให้ออกสู่เส้นทางแห่งความพ้นทุกข์ได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้คำว่า ศาสดาจึงมีอยู่มากมายในโลก.. เพียงแต่ในปัจจุบันนี้..ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหาได้มีชีวิตอยู่เพื่อชี้แนะ ชี้นำใครได้อีก..จึงเหลืออยู่แต่คำสอนในตำรา..จะหาผู้ที่เข้าใจในคำสอนได้ ย่างลึกซึ้งยากเต็มที..มนุษย์ จึงตกเป็นทาสแห่งความรู้ยุคใหม่ ยุคที่มนุษย์ไม่ใส่ใจศีลธรรมจรรยาบรรณอีกต่อไป โลกนี้จึงตกเป็นทาสแห่งเทคโนโลยีอย่างแท้จริง ...

 

            พวกเจ้าคนใด..ที่ได้รับสัญญาณเตือนภัยอันตรายในวัฏฏะนี้จากพ่อแล้ว จงอย่าลุ่มหลงในสัญญาณความดี อย่าหลงในใครๆ ที่ว่าเก่ง เพราะสุดท้ายทุกคนก็ต้องตายสลายหมด อย่ายึดติดในนามต่างๆ ของพ่อ..ที่ส่งสัญญาณความรู้ลงมาในโลกนี้..แต่จงรีบเร่งทำลายสัญญาการยึดติด ความผูกพันในโลกให้สิ้นไป มองทุกสิ่งทุกอย่างให้ทะลุปรุโปร่งว่า โลกนี้ล้วนว่างเปล่า แล้วจิตของพวกเจ้า..ก็จะเข้าสู่จิตเดิมจิตแท้ตราบนิรันดร..ลูกเอ้ย...."

ที่มา www.dantip.com/

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นิภา มุกดาม่วง (nu-toon-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-08 09:43:04


ความคิดเห็นที่ 4 (1557075)

 

     อนุโมทนาบุญค่ะที่นำธรรมะดีๆมาให้อ่าน สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช พงษ์ดี (kanungnuch03-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-09 23:03:03


ความคิดเห็นที่ 5 (1557099)

อนุโมทนาค่ะคุณ นิภา แต่ถ้าจะกรุณาเปลี่ยนสีตัวอักษร

ให้เป็นสีเข้มกว่านี้ก็จะขอบคุณมากๆค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-10 05:56:07


ความคิดเห็นที่ 6 (1557103)

 โมทนาครับพี่นิภา

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-10 07:21:17



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.