|
ปัญญาคืออะไรกันแน่ ? หลวงพ่อฤษีได้เมตตาอธิบายตอบให้เรายิ่งเจริญใน ปัญญา | |
ปัญญาคืออะไรกันแน่
จาก หนังสือสู่แสงธรรม โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป
เมื่อข้าพเจ้าได้พิจารณา ทบทวนถึงปัญหาที่ข้าพเจ้าถาม และหลวงพ่อได้เมตตา อธิบายตอบมาแล้วโดยละเอียดหลายๆเรื่อง ก็เกิดความสงนสนเท่ห์ในคำๆหนึ่ง คือ คำว่า
“ปัญญา” เข้า อาทิเช่นหลวงพ่อพูดว่า “จิตยังไม่มีปัญญาเพียงพอ” หรืออธิบายว่า “เมื่อทรงฌานได้ก็เอากำลังของฌานไปพิจารณาวิปัสสนาญาณได้โดยง่าย และในที่สุดปัญญาก็จะเกิด และในที่สุดปัญญาก็จะเกิด เมื่อปัญญาเกิดก็นำปัญญานั้นแหละไปห้ำหั่นกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมได้” เป็นต้น ข้าพเจ้าจึงเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในคำว่า “ปัญญา” ขึ้นมา ปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้ต่อเมื่อทรงฌานได้เท่านั้นหรือ? ก็แล้วที่ข้าพเจ้าจำแม่น เรียนหนังสือเก่งล่ะ ไม่ใช่เพราะด้วยข้าพเจ้ามีปัญญาดีหรอกหรือ? ได้หาโอกาสถามหลวงพ่อว่า การที่ผมดูหนังสือเรียนเที่ยวเดียวแล้วจำได้โดยไม่ต้องท่องแล้วท่องอีกเหมือนคนอื่นเขา จะเรียกว่า ผมมีปัญญาดีไหมครับ?” ความจำดีก็ต้องมีปัญญาดีไม่ใช่หรือครับ” ข้าพเจ้ารีบถาม สมองดีก็คือเครื่องบันทึกความจำดี เหมือนเช่นเครื่องบันทึกเสียงดีหรือ เครื่องบันทึกความจำดีของ คอมพิวเตอร์ดีนั่นแหละ บันทึกไว้ หากต้องการใช้ก็นึกย้อนเอา รีไวด์เอา หรือกดข้อมูลต่างๆที่บันทึกไว้ก็จะออกมานั่นเอง เขาไม่เรียกว่าปัญญาดีนะ เขาเรียกว่า สัญญาดีต่างหากเล่าคุณ” หลวงพ่ออธิบาย ผมก็ไม่เคยไปให้สัญญากับใครที่ไหนนะครับ” ข้าพเจ้าชักงง น่ะเขาแปลว่า ความจำได้ อย่างงไปเลย คุณมีความจำดีก็เพราะสัญญาดี คุณหรือใครก็ตามเรียนหนังสือเก่ง ก็เพราะ จำคำสั่งสอนของครูบาอาจาร์ย และผู้รู้ได้ดีกว่าคนอื่น และเพราะความจำดีนี้เองทำให้มีโอกาสค้นคว้า อ่านตำรับตำราได้มากกว่าคนอื่นและจำได้แม่นยำกว่าคนอื่น ดังนั้นเมื่อสอบทีไร ใครเขาจะไปสู้คนที่มีความจำดีได้เล่าคุณ แต่อย่าลืมนะถ้าครูเขาสอนผิด ถ้าตรับตำราผิด คุณก็จำผิด เหมือนเครื่องบันทึกเสียงหรือเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นแหละ หากป้อนข้อมูลผิดเข้าไปล่ะก็เสร็จเลย มันก็ต้องบันทึกผิดจำผิดด้วยจริงไหม? โดยความหมายทั่วๆไปแล้ว แปลว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา หรือ จะแปลว่าความเฉลียวฉลาดก็ได้นะ มิใช่รู้อย่างเดียว ต้องนำเอาความรู้ที่ได้นั้นมาพิจารณาด้วย หรือ มิใช่ฉลาดอย่างเดียวต้องมีเฉลียวใจด้วย จึงจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงถึงแก่นแท้ของการรู้ในแต่ละอย่างได้นั่นแหละ จึงจะเรียกว่า “ปัญญา”ล่ะ”
หากคุณเห็นรถยนต์สวยคันหนึ่งแล่นผ่านมา คุณก็อาจจะบอกได้ทันทีว่าเป็นรถเบนซ์ รถวอลโว่ รุ่นใด กี่ซีซี. มีสมรรถนะอย่างไร ราคางวดเท่าไร สร้างจากประเทศไหน บริษัทอะไร เพราะ คุณฟังเขามาบ้าง จึงจำได้ด้วยสัญญาดี แต่ด้วยเพราะไม่มีปัญญา จึงทำให้จิตใจของคุณมีความหวั่นไหว กินไม่ได้นอนไม่หลับ เนื่องจากความอยากได้ในรถคันที่คุณเห็นขึ้นมา แต่ ............................................................ ถ้าคุณมีความเฉลียวใจ หรือ ได้มาพินิจพิจารณาให้รู้แจ้งแทงตลอดแล้ว คุณก็จะเกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาว่า........................ รถสวยรุ่นใหม่คันนี้ต่อไปอีก๓ปีข้างหน้า ก็จะกลายเป็นรุ่นเก่า ไม่ทันสมัยอีกต่อไป สีที่สวยงามหากกะเทาะออกก็คงจะดูไม่ได้ เบาะอ่อนนุ่มที่สวยเก๋นั้น หากลอกออกดูภายในก็คงมีสภาพเช่นเดียวกับเบาะนั่งของรถอื่น และถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้ให้ได้ ก็จะต้องเดือดร้อนในการวิ่งเต้นหาเงินทองมา และแม้เมื่อหาเงินได้แล้ว คุณจะรับภาระหนี้สินไหวไหม เมื่อคุณได้รถมาขับขี่ ก็คงจะไม่สบายใจนักด้วยเกรงว่าจะถูกรถอื่นชน หรือเฉี่ยวเอา ยิ่งในตรอกในซอยที่เต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อและฝุ่นเดินหนาทึบแล้ว ก็ยิ่งหนักใจใหญ่ และแม้เอารถให้เด็กล้าง ก็คงจะต้องไปควบคุมแจ ยิ่งต้องเอารถไปจอดในย่านชุมชน หรือตรอกซอยแคบๆหรือที่เปลี่ยวๆ ก็คงจะต้องนั่งเฝ้ารถคันใหม่ด้วยความเป็นห่วง หากได้พิจารณาโดยละเอียดเช่นนี้แล้ว ก็จะเห็นความทุกข์ในรูปแบบต่างๆที่ ความอยากได้ใคร่ดีในรถเบนซ์รูปงามคันนี้ก็ย่อมหมดไป นี่แหละคือ............................................... “ปัญญา”ล่ะ
หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังก็พูดต่อว่า “ปัญญา”ได้แก่ การเจริญวิปัสสนาญาณจนรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎธรรมดา ไม่มีอารมณ์ที่คิดจะฝืนกฎธรรมดาเหล่านั้น จนในที่สุดจะได้ญาณทั้ง ๘ คือ
นอกจากนั้น................ยังรอบรู้และเข้าใจภาษาอย่างอัศจรรย์อีกด้วย (ไม่ว่าจะเป็นภาษาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ อุสรกาย) เป็นยังไงคุณมนูญ แบบนี้ยังจะมีนักภาษาศาสตร์คนใดในโลกสู้ท่านได้จริงไหม? นี่ซิเขาจึงเรียกว่ามี “มีปัญญา” จริงใช่ไหมล่ะ” ที่หลวงพ่อว่า ก็นับว่ามีปัญญาเกินกว่า ปุถุชนคนธรรมดาในโลกนี้แล้วล่ะครับ ” ข้าพเจ้ายอมรับและสารภาพกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมขอยอมรับและสารภาพกับหลวงพ่อว่า ............................แต่เดิมก่อนที่ผมจะได้พบหลวงพ่อนั้น ผมมีความหยิ่งทระนงและเชื่อมั่นในตัวเองมาโดยตลอด ว่า..........เป็นผู้มีสติปัญญาดีที่อยู่ในขั้นดีเยี่ยมผู้หนึ่งทีเดียว และเรียนหนังสือเก่ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมไม่ค่อยจะเลื่อมใสศรัทธาที่จะรับฟังคำสั่งสอนจากพระภิกษุสงฆ์ เพราะคิดว่าพระภิกษุสงฆ์เหล่านี้เรียนน้อยกว่าผม บางองค์จบแค่ประถม๔ ก็มี เมื่อเรียนน้อยก็ย่อมจะรู้น้อย สติปัญญาก็น่าจะมีน้อยตามไปด้วย ดังนั้นท่านจะมีปัญญามาสอนอะไรผมได้ และในบางครั้งผมยังเคยแอบนึกขำว่า คนระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ไปทนนั่งฟังพระแก่ๆอบรมสั่งสอน กันได้อย่างไร โดยเฉพาะ...............................................ท่านผู้อ่าน......ซึ่งเป็นคนมีมิจทิฐิเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
| |
ผู้ตั้งกระทู้ อาริยา รัตนพรศิริ (procoachariya-at-gmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-20 03:03:10 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1558957) | |
อนุโมทนาค่ะคุณอาริยา และกราบอนุโมทนา กับคำตอบที่ชัดเจนจากท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ..
อ่านแ่ล้วก็แอบนึกถึงตัวเองเหมือนกัน เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยเข้าใจคำว่า"วิปัสสนา" เลย ได้ยินบ่อยๆ วัดนี้ วัดนั้น สอนวิปัสสนากรรมฐาน ก็คิดเหมารวมๆว่า ก็คือ การทำสมาธินั่นแหล่ะ
แต่เพิ่งถึงบางอ้อ เมื่อปีที่แล้ว จากการไปฝึกสมาธิ และท่านอาจารย์โกเอ็งก้า ก็ได้แปลคำว่า วิปัสสนา เป็นภาษาอังกฤษฟังง่ายๆ แปลเป็นไทยแล้วก็ประมาณว่า วิปัสสนา ก็คือ การเปิดหูเปิดตาเปิดใจของเรา ให้สามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นไปตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น แล้วก็ยอมรับ"มัีน"ให้ได้
ซึ่งการที่เราจะยอมรับความจริงทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ เราจะต้องใช้ "ปัญญา" นั่นเอง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA วันที่ตอบ 2011-07-20 04:21:54 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1559140) | |
sawaddee satu satu satu | |
ผู้แสดงความคิดเห็น อิสรีย์ เพเตอร์ (info-at-issaree-dot-de) วันที่ตอบ 2011-07-21 00:09:26 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1449792 |