ReadyPlanet.com


"พุทธวงศ์ อายุขัยของมนุษย์ ภัยธรรมชาติ" โดย พระปัญญาพิศาลเถระ (พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ)


คำปรารภ

        หนังสือเรื่อง "พุทธวงศ์ อายุขัยของมนุษย์ ภัยธรรมชาติ" เล่มนี้ ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบ กับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ที่กำลังเกิดขึ้นตามสถานที่ต่าง ๆ  ทั่วโลก ภัยธรรมชาติประเภทต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น จะมีความรุนแรงมากขึ้น ที่ยังไม่ทันเกิดก็จะเกิดในไม่ช้านี้  ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามธรรมชาติในตัวของมันเอง ไม่มีใครมีอำนาจควบคุม  หรือบังคับสั่งการอะไรได้  

        หากท่านผู้อ่านได้ทราบเรื่องราวที่มีในหนังสือเล่มนี้ ถ้ามีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามข้าพเจ้าได้โดยตรง ข้าพเจ้ายินดีที่จะให้ความกระจ่างในทุกเรื่องที่ได้เรียบเรียง ลงในหนังสือเล่มนี้ผู้มีปัญญาย่อมไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท สิ่งที่ผ่านมาก็ผ่านไปแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้   ขอให้ทุกท่านได้ใช้เวลาที่มีอยู่ สร้างบุญกุศลบารมีตัวเองเอาไว้ให้มาก พวกเรามีโอกาสได้เกิดมาในยุคสมัยที่พระพุทธศาสนายังคงบริบูรณ์อยู่ จงพากันตั้งใจหมั่นสร้างเสริมบุญบารมี ทาน ศีล ภาวนา ให้ถึงพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยนำพาท่านทั้งหลายข้ามพ้นวัฏฏะ อันเต็มไปด้วยความระทมทุกข์ ไปสู่ฝั่งพระนิพพานดังที่ได้ปรารถนาไว้โดยเร็วพลันด้วยเทอญ...

ที่มา http://www.nakdham.com/webboard/index.php?topic=2661.0#top



ผู้ตั้งกระทู้ เบญจรัตน์ สีทองสุก กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-06-06 05:44:25


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1550458)

         โลกที่เราอยู่มีภัยนานาประการอันเป็นผลกระทบต่อชีวิต ทำให้ได้รับความทุกข์จากภัยธรรมชาติเป็นอย่างมากทีเดียว หลายชาติในอดีตไ ด้เจอกับภัยธรรมชาติมาแล้ว เมื่อเกิดมาในชาตินี้  ขณะที่ภัยธรรมชาติ ยังไม่มาถึงตัวเราก็ไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่อีกไม่นานนัก เมื่อเราได้มาเกิดในโลกนี้อยู่บ่อย ๆ  ชีวิตก็ต้องเจอกับภัยธรรมชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีขึ้นในโลกมนุษย์มากขึ้น  และมีความรุนแรงมากขึ้น ในยุคต่อไป จะมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก จะไม่มีใครในโลกนี้ เอาชนะภัยธรรมชาตินี้ได้แต่อย่างใด 

        ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในตัวมันเอง เป็นภัยธรรมชาติที่มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหน ๆ เมื่อโลกนี้ ได้เกิดขึ้นมานานหลายล้าน ๆ ปี ถึงกาลสมัยเปลือกโลกเสื่อมหมดคุณภาพลง เกิดขึ้นในสถานที่มีมนุษย์อยู่อาศัย จะเกิดขึ้นน้อยหรือเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ขึ้นอยู่ตามกฎเกณฑ์ของโลก  ภัยธรรมชาติที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่อายุขัยของมนุษย์ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี เป็นต้นไป จะทำให้มนุษย์ทั้งหลายได้ตายเป็นจำนวนมาก หากมนุษย์มีอยู่ในโลกประมาณ ๒ หมื่นล้านคนจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น มนุษย์จะล้มตายจากภัยธรรมชาตินี้ จะหาที่หลีกหนีไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่รอดได้ประมาณ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหมือนยุคปัจจุบันภัยธรรมชาตินี้จะเกิดต่อ เนื่องกันยาวนาน จะหลบจากภัยธรรมชาติในจุดหนึ่งได้แล้ว ก็ไปเจอกับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอีก

 
       ภัยธรรมชาตินี้มีอยู่เป็นจุดใหญ่ ๘ จุดด้วยกัน คือ

๑. วาตภัย จะเกิดลมพายุใหญ่ทั้งบนบกและในทะเล
๒. อุทกภัย จะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
๓. ธรณีภัย จะเกิดแผ่นดินถล่มและแผ่นดินไหว
๔. อัคคีภัย จะเกิดความแห้งแล้ง ไฟไหม้ป่าส่วนภัยธรรมชาติอย่างอื่นก็จะเกิดตามมา เช่น
๕. มลพิษภัย จะเกิดมลภาวะที่ร้ายแรง มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสัตว์เป็นอย่างมาก
๖. โรคภัย จะเกิดโรคระบาดนานาชนิด
๗. อาหารภัย จะเกิดการอดอยากในอาหาร
๘. โจรภัย ภัยจากกลุ่มคนพาลปล้นจี้ลักขโมย
 
        ภัยธรรมชาติทั้งหลายนี้ จะทำให้มนุษย์ในยุคนั้น อยู่กันด้วยความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างมากทีเดียว ทั่วทุกมุมโลกจะมีภัยธรรมชาตินี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกประเทศเขตแดนจะไม่มีใครช่วยเหลือกันได้เลยล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจาก ภัยธรรมชาตินี้อย่างทั่วถึงกัน

         ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีทุกฤดูกาล ฤดูแล้ง ฤดูฝน ฤดูหนาว จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ เกิดขึ้นในที่ไหนจะทำให้เกิดความเสียหายในที่นั้นๆ เป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาตภัย เป็นภัยที่มาอันดับหนึ่ง ถ้าไม่มีฝนตกลงมา ลมก็จะพัดเอาน้ำมหาสมุทรเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้เรือ น้อยใหญ่ไม่สามารถวิ่งฝ่าคลื่นน้ำขนาดใหญ่ไปได้ เรือพวกพ่อค้าวาณิชที่เคยส่งน้ำมันส่งอาหาร จากประเทศนั้นไปสู่ประเทศนี้ก็จะจอดนิ่งทันที ถ้ามีบ้านเรือนที่ปลูกชิดกันกับชายฝั่งก็จะมีผลกระทบอย่างแน่นอน ประชาชนจะมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก   
 
          นี้เป็นส่วนหนึ่งที่วาตภัย ทำให้น้ำในทะเลเกิดความแปรปรวน จะเป็นอยู่อย่างนี้ติดต่อกันยาวนาน ต่อเนื่องกันทั้งกลางคืนและกลางวัน ลมที่อุ้มเอาน้ำทะเลให้เป็นคลื่นขนาดใหญ่พัดไปมา ประชาชนที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลจะมีความเดือดร้อน ซึ่งเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนได้รับผลกระทบจากลมที่พัดเอาน้ำทะเลทำให้เกิดความเสียหายมาแล้ว ในช่วงต่อไปไม่นานนักมนุษย์ที่อยู่ริมฝั่งทะเล ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จะทำให้ทรัพย์สินเสียหายและมนุษย์ล้มตาย   เป็นจำนวนมากทีเดียว นี้คือน้ำท่วมอันเนื่องจากลมเป็นต้นเหตุ   

         วาตภัยที่เกิดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่มีน้ำทะเล ไม่มีฝนตกลงมา ลมนี้จะพัดพาไปในทิศทางต่าง ๆ ของตัวลมเอง  ไม่มีสิ่งใด ๆ จะไปขัดขวางห้ามได้ ถ้าพัดเข้าไปในป่าจะทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่น ทำลายทรัพยากรป่าไม้   เป็นอย่างมาก ถ้าลมได้พัดเข้าที่ชุมชนอยู่อาศัยจะทำให้บ้านเรือนพังพินาศไป คนจะขาดที่อยู่อาศัยหรือ ล้มตาย  เพราะอาคารบ้านช่องพังทับถม

        ลมที่ว่านี้จะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ ชื่ออะไรไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ ความรุนแรงของลมแต่ละอย่าง จะทำให้เกิด ความเสียหายเหมือนกัน วาตภัยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วทุกหนแห่งของมุมโลก มนุษย์จะมีความทุกข์เดือดร้อน    เพราะลมไม่น้อย เงินของรัฐบาลจะสร้างบ้านที่พักอาศัยให้ทุกครอบครัวจึงทำได้ยาก เพราะบ้านได้พังเสียหาย    เนื่องจากลมที่มีความรุนแรง จึงยากที่จะได้รับความสงเคราะห์ให้ทั่วถึงกันได้ ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีผลกระทบ จากลมอย่างรุนแรงในภายภาคหน้าโน้น

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 05:45:52


ความคิดเห็นที่ 2 (1550459)

           วาตภัยเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีฝนตกลงมา จะเป็นพลังบวกกับลมอย่างรุนแรง ถ้าฝนตกลงมาแรงลมก็ เกิดขึ้นอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดน้ำท่วมในที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ถ้าบ้านปลูกในที่ต่ำ น้ำก็จะท่วมอย่างหลีกหนีไม่ได้ทั้งลมก็พัด  ทำให้บ้านเรือนเกิดความเสียหาย ทั้งน้ำก็ท่วมบ้าน ทรัพย์สินทั้งหลายเกิดความเสียหาย เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว  ไม่มีทรัพย์สมบัติใด ๆ พอจะนำเอาติดตัวมาได้เลย คนก็จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะพึ่งใคร ๆ ได้ 
   
          หน่วยราชการและหน่วยงานอื่นๆ ที่รับผิดชอบ ก็ถูกภัยธรรมชาตินี้ทำลายเช่นกัน ข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม  จะพากันอดอยากเป็นอย่างมาก เครื่องบริโภค เครื่องอุปโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค จึงยากที่ทาง รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือได้  ความทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว หากคนในครอบครัวมีการพลัดพรากจากกัน หรือได้ตายไป   เพราะภัยพิบัตินี้อีก คนทั้งหลายก็จะเพิ่มทวีความทุกข์เดือดร้อนยิ่งขึ้น ในช่วงนั้นจะเรียกร้องให้ใคร ๆ มาช่วยเหลือเรา  จึงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนก็ได้เจอกับภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน ในเหตุการณ์อย่างนี้ นับแต่จะทวีความ   รุนแรงมากขึ้น

         ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ก็เริ่มเกิดภัยธรรมชาตินี้ให้เห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งจะมีความรุนแรงมากขึ้น   และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้  ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีความรุนแรงในภายภาคหน้า ในอดีตหลายล้านปีที่ผ่านมา ก็ได้มีภัยธรรมชาตินี้มา แล้วหลายครั้ง   จะเกิดขึ้นในช่วงมนุษย์มีอายุขัยขาลง มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป ภัยธรรมชาติก็จะเริ่มก่อตัว เกิดขึ้นเรื่อย ๆ
เกิดขึ้นน้อยบ้างมากบ้าง และเกิดขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งลมทั้งฝนที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทั้งอากาศก็แปรปรวน ในที่ทั่วไป ทำให้เกิดเป็นภัยธรรมชาติ เป็นวงกว้างทุกมุม โลกทั่วถึงกัน  ทุกประเทศเขตแดน

      เครื่องบินที่เคยเหาะเหินเดินอากาศ ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้  เครื่องบินเป็นสิ่งอำนวยความ  สะดวกของชีวิต ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นประเทศนี้ก็จะสิ้นสุดลงไปตามยุคสมัย รถเรือที่เคยให้ความสะดวกในการไปมา ก็จะพากันจอดอย่างสนิท จะวิ่งไปมาไม่ได้ เลย มนุษย์จะอยู่กันเป็น กลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ใครอยู่กันที่ไหนก็อยู่กันไปในที่นั้นจะส่งข่าวสารติดต่อเลย 

        วาตภัย จะทำให้เกิดเป็นลมขึ้น ๒ จุดด้วยกัน คือ

         ๑. วาตภัยที่เกิดขึ้นจากความกดดัน ในชั้นบรรยากาศของโลกที่แปรปรวน ทำให้ลมเกาะกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่  จะเกิดเป็นช่องว่าง ให้ลมเกิดการหมุนตัว หลายคนเคยนั่งเครื่องบิน ได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศ เหมือนกับเครื่องบินได้วูบตัวลง หรือในบางครั้ง เครื่องบินได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินสั่นสะเทือนเพราะอากาศไม่ปกติ มีความแปรปรวน ถ้าเครื่องบิน เล็กเดินทางผ่าน ก็จะเกิดอันตราย บังคับไม่ได้ ทำให้เสียหลักในการทรงตัวแล้วหมุนไปตามกระแสลม หรือตกลงพื้นดิน ทำให้เสียชีวิตดังได้ดูข่าวในปัจจุบัน ถ้าเครื่องบินลำใหญ่ ลมกลุ่มเล็ก ก็พอจะบินผ่านไปได้ ถ้าลมกลุ่มใหญ่ มีกระแสพัดอย่างรุนแรง ถึง เครื่องบินจะใหญ่ ก็ไม่สามารถบินผ่านไปได้ เครื่องบินจะขึ้นจากสนามและลงสู่สนามก็เป็นอันตรายเช่นกัน ทุกสนามบิน  เมื่อมีลมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ห้ามเครื่องบินทุกชนิดขึ้นลง จะทำให้เป็นไปตามกระแส จนกว่าจะหมดกำลังลง เมื่อลมกลุ่มนี้หมดไป ลมกลุ่มใหม่เกิดขึ้นทั่วถึงกันในโลกนี้ ทุกสายการบินในโลกนี้ก็ต้องหยุดใน การเดินทาง ถ้าลมเกิดขึ้นยาวนานเครื่องบิน ก็จอดสนิทยาวนานเช่นกันดาวเทียมเป็นสัญญาณสื่อสารที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆ มีจำนวนมาก ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว เครื่องที่ใช้งานรับสัญญาณจากดาวเทียมเหล่านี้ ถ้าไม่มีสัญญาณของดาวเทียมในการสื่อสารจะทำงานไม่ได้

ให้ฝึกทำใจไว้เลยว่า อนาคตต่อไปภายภาคหน้า เมื่อดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องไม่สามารถส่งสัญญาณได้ จะไม่มีใคร ๆ ขึ้นไปแก้ไขให้ทำงานเป็นปกติได้ เพราะวาตภัยในห้วงอากาศกำลังหมุนตัวอย่างรุนแรง ท้องฟ้ากำลัง แปรปรวนอย่างหนัก เครื่องบินอวกาศทุกชนิดไม่สามารถขึ้นไปสู่บนท้องฟ้าได้ ดาวเทียมก็จะมีปัญหาขัดข้อง ส่งสัญญาณข้อมูลอะไรไม่ได้
 เครื่องอีเล็คทรอนิคส์ อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่น ๆ ก็ทำงานไม่ได้ เพราะสัญญาณของดาวเทียมเป็นต้นเหตุ ถึงมนุษย์จะมีความรู้ดี ได้สร้างดาวเทียม  คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ขึ้นมาเพื่ออำนวย ความสะดวกในการทำงาน ก็จะสิ้นสุดลง ในยุคสมัย นี้คือจุดจบของมนุษย์ที่จะต้องรับในยุคต่อไป กรมอุตุนิยมวิทยามีความชำนาญในการติดตั้งเครื่องเตือนภัยทั้งหลาย ที่ได้ติดตั้งเพื่อรับข่าวสารจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็จะหยุดตัวลง ทำงานไม่ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในลักษณะใดก็ไม่สามารถรู้ได้

      ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไรไม่มีใคร ๆ รู้ล่วงหน้า เมื่อภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบในทันที ทั้งวาตภัย อุทกภัยที่ได้เกิดขึ้น อย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ จะอยู่กินหลับนอนกันไปด้วยความลำบาก

       ในยุคต่อไปเปลือกโลกจะเสื่อมอย่างรุนแรง จะก่อให ้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นในตัวของมันเอง เมื่อครบ วงจรของเปลือกโลกเสื่อม ก็จะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น จะหาวิธีป้องกันหยุดภัยธรรมชาตินี้ไม่ได้ มนุษย์ที่เกิดมาอาศัยโลกอยู่ เมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ทุกคนต้องได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้ ในขณะนี้หลายพื้นที่หลายประเทศ ได้เห็นภัยธรรมชาตินี้อยู่แล้ว หลายประเทศได้รับผลกระทบ มีความทุกข์เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน ฉะนั้น ทุกคนอย่าประมาท ตั้งสติให้ดี ในโลกนี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 05:46:56


ความคิดเห็นที่ 3 (1550461)

        ๒. วาตภัยอีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ต้องได้รับ นั้นคือลมใต้พื้นภิภพ จะมีความกดดันอย่างรุนแรง เปลือกโลกจุดไหนที่เสื่อมคุณภาพก็จะเกิดความกดดัน แผ่นดินจะเกิดแตกแยกจากกัน เรียกว่าลมประทุให้หินในพื้นภิภพได้แตกและกระจายอย่างกว้างไกล ถ้าเกิดบนบกก็เรียกว่า แผ่นดินไหว จะไหวมากไหวน้อยขึ้นอยู่กับความกดดันของลม มนุษย์จึงคิดคำนวณความรุนแรงออกมาเป็นริคเตอร์ เท่านั้นเท่านี้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในที่ชุมชนอย่างรุนแรง ก็จะทำให้บ้านอาคารมีความเสียหายเป็นอย่างมาก อาคารต่างๆ ก็จะพังทับถม หมู่มนุษย์ได้ล้มตายกันไปไม่มีใครๆ ช่วยกันได้

        การเกิดแผ่นดินไหวในลักษณะนี้ มีวาตภัยและธรณีภัยเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะเกิดขึ้นบ่อยต่อเนื่องอย่างน้อย ๘ ริคเตอร์ขึ้นไป ถ้าเกิดขึ้น ๑๐ ริคเตอร์ หรือ ๑๒ ริคเตอร์ขึ้นไป เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อาคารบ้านช่องจะพังทลาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะแก้ไขป้องกันได้ ความเป็นไปในลักษณะนี้ ก็เพราะโลกธาตุได้เกิดขึ้นมายาวนาน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลง ไปตามเหตุปัจจัยในตัวมันเอง ธาตุเดิม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ทั้งบนอากาศหรือพื้นพิภพต้องเป็นอย่างนี้

     ภัยธรรมชาติอีกจุดหนึ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย ถ้าพื้นพิภพเสื่อม อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร   ลมก็จะเกิดความกดดันให้เปลือกโลก ส่วนที่เสื่อมแยกออกจากกัน ที่เรียกว่า แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอย่างรุนแรง   เมื่อแรงกดดันของลมปะทะกับชั้นหินที่มีความแข็ง ก็จะเกิดระเบิดอย่างกว้างขวาง หลาย ๆ ประเทศจะได้รับผลกระทบตายเป็นจำนวนมาก เมื่อชั้นหินได้แยกออกจากกันเป็นช่องใหญ่ หลายจุดพร้อมกัน น้ำทะเลก็จะไหลลงสู่โพรงใต้พื้นพิภพเป็นจำนวนมาก น้ำทะเลก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เมื่อน้ำทะเลไหลลงสู่โพรงดินขนาดใหญ่เต็มแล้ว วาตภัยในพื้นภิภพก็จะกดดันน้ำทะเลในส่วนนั้นกลับคืน น้ำทะเลก็จะถูกลมกดดันไหลขึ้นท่วมสถานที่ต่าง ๆ อาคารบ้านช่องก็จะพังเสียหายเป็นจำนวนมาก มนุษย์และสัตว์ก็จะล้มตายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน ที่เรียกว่า สึนามิ นั้นเอง
ในลักษณะอย่างนี้เป็นเพียงวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัยในพื้นพิภพเท่านั้น ถ้าหากเกิดวาตภัยขึ้นในช่องอากาศที่ มนุษย์อาศัยอยู่ ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว หรือหากมีอุทกภัยฝนได้กระหน่ำซ้ำเติมลงมาอีก ทั้งลมและฝนบนพื้นโลกไปบวกกับวาตภัยในพื้นพิภพ น้ำทะเลเดิมก็มีความปั่นป่วนอยู่แล้ว เมื่อลมและฝนซ้ำเข้าอีก มนุษย์จะอยู่กันอย่างไร

      เครื่องเตือนภัยสื่อสารกับสัญญาณดาวเทียมใช้ไม่ได้ ใครจะบอกว่าให้มนุษย์พากันหลบภัยในที่ไหน ในหมู่มนุษย์ก็จะเกิดความกลัวตายต่อภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก และยังเห็นเพื่อนมนุษย์ได้ตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา จะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย จะหลบตัวไปที่ไหนก็ไม่มีความปลอดภัย และภัยต่าง ๆ ก็จะเกิดตามมา เช่น โรคภัย มลพิษภัย อาหารภัย ความอดอยาก หิวโหย โรคภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากมลพิษภัย จะไม่มีหมอรักษา จะไม่มียาให้กิน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องประสบเหตุการณ์นี้ ลองคิดดูว่าเราจะเป็นอย่างไร

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 05:50:25


ความคิดเห็นที่ 4 (1550462)

      อัคคีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย
      อัคคีภัย หมายถึง ความร้อนจะเกิดขึ้นในโลกนี้อย่างรุนแรง ความแห้งแล้ง เพราะฟ้าฝนไม่ตกตามฤดูกาล ที่ผ่านมาเกิดภัยธรรมชาติขึ้น ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย และ ภัย เช่น โรคภัย อาหารภัย โจรภัย มลพิษภัยเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ทำให้มนุษย์ทั้งหลายอยู่ด้วยความลำบาก เป็นทุกข์เดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หากมีอัคคีภัยเกิดขึ้นซ้ำเติม ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากแร้นแค้นแสนเข็ญ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์อยู่ด้วยความอดอยากดิ้นรน ฝนจะตกลงมาน้อยไม่พอที่จะทำไร่ทำนา ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดความแปรปรวนไปทั่วหนแห่งทุกข์มุมโลก
      ในบางพื้นที่จะไม่มีฝนตกลงมาเลย ความร้อนจากแสงอาทิตย์แผดเผา ทำไร่ทำนาไม่ได้ผลแต่อย่างใด ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีความแห้งแล้งทั่วถึงกันในทุกมุมโลก อาหารการกิน จะขาดแคลนขัดสน คนจะล้มตายเป็นจำนวนมากเพราะ ความอดอยากหิวโหย จะเกิดโจรภัย ลักปล้นจี้ให้ได้มาซึ่งอาหารเพื่อให้ชีวิตอยู่ได้ ในหมู่สัตว์เดรัจฉานไม่มีอาหารที่จะกินก็จะล้มตายกันไปเช่นกัน  

       อัคคีภัยที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าโน้น คนที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้เผชิญต่อภัยธรรมชาตินี้อย่างแน่นอน จะหลบหลีกหนีไปอยู่ในมุมโลกซีกไหน ก็ไม่พ้นจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ได้ ในยุคสมัยที่ประชากรโลก มีจำนวนประมาณ ๒ หมื่นล้านคน ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดขึ้นเต็มรูปแบบทั่วทุกมุมโลก มนุษย์จะได้รับผลกระทบล้มตายไป เพราะอัคคีภัยเป็นจำนวนมาก ความร้อนจากแสงแดดจะเผาเพิ่มความร้อนขึ้นหลายเท่า การจะรักษาชีวิตอยู่รอดได้นั้นยากมาก นับจากวันนี้ไปความร้อนจะทวีความรุนแรงหลายเท่าตัว จะเกิดความร้อนไปทั่วทุกมุมโลก
      ความร้อนที่เกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์บนโลก และความร้อนที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน จะทำให้เกิดความร้อนระอุขึ้นทุกหนแห่ง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะล้มตายเป็นจำนวนมาก จะหาสถานที่หลบภัยในที่ต่าง ๆ หาได้ยาก   ถ้าหากเราเป็นคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้ ก็จะได้รับความเดือดร้อนเหมือนคนทั่วไป ก่อให้เกิด อาหารภัย คือ
      ข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภคจะขาดแคลนอดอยาก ตามมาด้วย โรคภัย คือภัยจากโรคต่าง ๆ ก็จะเกิดตามมา
      ในปัจจุบันมีโรคระบาดหลายชนิดที่เกิดขึ้นมา โดยไม่ทราบสาเหตุ และยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้น ทั้งมนุษย์ และสัตว์ เช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคซาร์ เมื่อเกิดโรคภัยอย่างรุนแรง จะหาหมอหายามารักษา จะหาได้ยากเมื่อประสบปัญหาอาหารภัย โรคภัย ก็จะเกิดโจรภัยการจี้ปล้น เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร มนุษย์จะเบียดเบียนกันเอง เกิดความกลัวความหวาดระแวงในทรัพย์สิน ชีวิตของมนุษย์จะมีความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แต่ละครอบครัวจะสูญเสียบุคคลที่เรารัก และพลัดพรากจากกันไป พ่อแม่ลูกหลาน ญาติมิตร เหมือนได้ติดอยู่ในความมืด ไม่รู้ข่าวสารซึ่งกันและกัน เพราะได้หนีตายไปคนละทิศละทาง การไปมาในที่ไหน จะไม่มีความสะดวกสบาย เหมือนในยุคปัจจุบัน ไฟฟ้าจะใช้ในเวลาค่ำคืนก็ไม่มี ฟืนที่จะ หามาก่อไฟเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นก็หาได้ยาก เสื้อผ้าที่จะนำมานุ่งห่มก็ขาดแคลน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว



ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 05:55:53


ความคิดเห็นที่ 5 (1550464)

       เหตุการณ์อย่างนี้จะมีเกิดขึ้นในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ภัยธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อไม่เกิดขึ้น กับตัวเองก็รู้สึกว่าเฉย ๆ เหมือนในยุคนี้ แม้มีภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นอยู่บ้างเราก็ไม่มีความเดือดร้อน ดังคำว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
เพราะถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องของเรา และไม่ใช่ญาติของเรา จึงไม่มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไร จึงจะได้เกิดความรู้สึกตัว

      อัคคีภัยความร้อนในยุคปัจจุบัน ก็เริ่มมีผลกระทบอยู่แล้ว ต่อไปจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบากเป็นอย่างมากทีเดียว ความร้อนที่เกิดขึ้นจะหาวิธีป้องกันได้ยาก เพราะเป็นภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในตัวของมันเอง
      หมู่มนุษย์แม้จะมีส่วนทำให้ความร้อนของโลกนี้เพิ่มพูนขึ้นอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกร้อนขึ้นเพราะเปลือกโลกเสื่อมนั่นเอง   อัคคีภัยความร้อนในพื้นพิภพ จะเป็นเหตุให้ภูเขาไฟเกิดการปะทุมากขึ้น ภูเขาไฟจะบวกกับวาตภัย ลมก็จะกดดันให้ภูเขาไฟระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ลาวาเถ้าถ่านก็จะฟุ้งกระจายขึ้นไป สู่อากาศและตกลงมา  มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จะเกิดเป็นมลพิษนานัปการ
      มนุษย์จะเกิดการเจ็บป่วยล้มตาย ที่อยู่อาศัยก็จะถูกฝุ่นเถ้าจากภูเขาไฟทับถม สถานที่อาศัยที่ได้ถูกภัยธรรมชาติอย่างอื่นทำลายมาก่อนแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟเพิ่มเติมซ้ำอีก มนุษย์จะอยู่ก็ด้วยความลำบาก ความทุกข์ยากก็จะเกิดตามมา จะหาสถานที่หลบภัยที่ไหนก็แทบไม่มี เพราะในช่วงนี้จะมีอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนจากอัคคีภัย จะทำให้ภูเขาไฟเกิดปะทุขึ้นหลาย ๆ จุด ต่อเนื่องกัน แต่ละวันมนุษย์จะหาที่หลบภัย จากกลิ่นไออันเป็นพิษอยู่ตลอดเวลา จะหาหน่วยงานใดเข้าไปช่วยเหลือนั้นเป็นของยาก มีความลำบากในการกินอยู่หลับนอน     เนื่องจากภัยธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้น ประเทศใดหรือสถานที่แห่งใด ไม่มีภูเขาไฟระเบิดก็ยังได้รับภัยธรรมชาติอย่างอื่น อยู่นั่นเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 05:57:55


ความคิดเห็นที่ 6 (1550465)

      อัคคีภัยความร้อนจะมีผลกระทบต่อคลังแสง หมายถึงอาวุธที่เป็นพิษภัยที่มนุษย์ได้สร้างเอาไว้มาก เช่น ระเบิดปรมาณู นิวเคลียร์ที่เป็นพิษอย่างรุนแรง หลาย ๆ ประเทศที่เก็บอาวุธเหล่านี้เอาไว้ในสถานที่ต่าง ๆ อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถูกความร้อนมากขึ้นก็จะเกิดการระเบิด สารพิษก็จะกระจายขึ้นสู่อากาศ ลมก็จะพัดไปทั่วทุกมุมโลก
      มนุษย์ที่รับสารพิษเหล่านี้ เกิดเป็นโรคภัย ก็จะพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้ที่คิดทำอาวุธร้ายแรงนี้ขึ้น ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา เรื่องอัคคีภัยอันเป็นภัยธรรมชาตินั้น อาจจะคิดไม่ถึง จึงได้สร้างอาวุธที่ร้ายแรงขึ้น
       ปัญหาโลกร้อนในขณะนี้ มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมนุษย์ ทำให้อากาศของโลกมีความร้อน แต่ส่วนใหญ่ความร้อน เกิดจากอัคคีภัยอันเป็นความร้อนจากภัยธรรมชาติเอง ดังความร้อนที่มนุษย์ได้รับกันอยู่ในขณะนี้ ทุก ๆ ปีความร้อนมีแต่จะเพิ่มขึ้น ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบาก
      ภัยธรรมชาตินี้ จะไม่มีวิธีป้องกันได้เลย ถ้าหวนคิดย้อนหลังสัก ๕๐ ปี ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะรู้ได้ชัดว่าความร้อนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และจะมีความร้อนเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี นี้คือมนุษย์ในยุคต่อไป จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง   มลพิษภัยที่เกิดขึ้นตามมา คือ

       มลพิษทางน้ำ น้ำใช้ที่เกิดการปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี และสิ่งสกปรก จนเน่าเสีย ซึ่งมาจากการปนเปื้อนสารเคมีของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
       มลพิษทางอากาศ อากาศมีฝุ่นควันที่เป็นพิษปนเปื้อน เมื่อคนหายใจเข้าไป ก่อให้เกิดโรคภัยและล้มตาย เป็นจำนวนมาก และมลพิษจากขยะและสิ่งปฏิกูลที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง ก็จะถูกน้ำพัดออกมาทำให้เน่า เกิดโรคระบาดติดเชื้อมากมาย  มลพิษเหล่านี้ จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่เป็นอย่างมาก จะมีผลกระทบต่อร่างกาย  ทำให้เกิดเจ็บไข้เป็นโรคร้ายต่าง ๆ ตามมานานัปการ ที่ผ่านมามนุษย์ได้คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ ทางเคมีที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดเป็นโทษในภายหลัง ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ยังได้รับผลกระทบดังที่เห็น กันอยู่ทุกวันนี้ แม้มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบอยู่ แต่ยังไม่รู้ตัว ที่เรียกว่า ตายผ่อนส่ง มลพิษภัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกาย และมีผลกระ ทบถึงทางใจ ทำให้เกิดอารมณ์ที่หงุดหงิด เพราะว่าได้รับผลจากมลพิษภัยธรรมชาตินั้นเอง เ มื่อสังคมของมนุษย์ได้รับมลพิษจากภัยธรรมชาติมากขึ้น  อารมณ์ที่แสดงต่อกัน ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ที่เป็นพิษด้วยกัน นี้เรียกว่า ถึงยุคสมัยในการเปลี่ยนแปลงไปของโลก

    คำว่า "โลก" มีคำจำกัดความอยู่ ๓ อย่าง คือ
   ๑. สิ่งที่มีจิตครองร่าง
   ๒. สิ่งที่ไม่มีจิตครองร่าง
   ๓. อากาศ
 
    ทั้ง ๓ อย่างนี้รวมกันจึงเรียกว่า "โลก" จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ภัยธรรมชาติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น ก็เพราะธรรมชาติ มีความเสื่อมไป ตามอายุขัยในตัวมันเองที่เรียกว่าเปลือกโลกเสื่อม จึงได้เกิดภัยธรรมชาติขึ้น ดังที่รู้เห็นกันในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า ผู้ที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้ประสบต่อภัยธรรมชาตินี้ต่อไป

      จุดจบของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในยุคสมัยที่พวกเราอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ จะมีปัญญาชนที่มีความรู้ดี ในหลักวิทยาศาสตร์ มีความฉลาดในอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี มีความสามารถทำดาวเทียมขึ้น โคจรในอวกาศ เพื่อเป็นสื่อถ่ายทอดข่าวสารลงมาสู่เทคโนโลยีและสื่อสารในอินเตอร์เน็ต อย่างคล่องตัวฉับไวในการทำงาน ได้นำมาใช้เป็นประโยชน์ในสังคมยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นยุคของปัญญาชนมีความโดดเด่นที่สุดเช่นกัน
เหตุผลที่ว่านี้ในกลุ่มปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้ยังศึกษาไม่ถึง จึงได้มองโลกไปในทางที่ดีไปเสียทั้งหมด ส่วนความไม่ดีที่เลวร้ายไม่ได้คิดวางแผนรองรับไว้เลยนั้น คือภัยธรรมชาติที่จะเกิดในยุคต่อไป

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 06:01:35


ความคิดเห็นที่ 7 (1550466)

     หลังจากภัยธรรมชาติได้ผ่านไปแล้ว แทนที่ชีวิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์จะมีความสุขสบาย ก็ตรงกันข้าม ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งย่ำแย่เลวร้ายลง จะได้รับมลพิษจากภัยธรรมชาติที่ตกค้างอยู่ เป็นอย่างมาก  ดินฟ้าอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงไป จะมีมลพิษภัยนานาประการได้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายจะอยู่กันด้วยความเป็นทุกข์ มีความลำบากอย่างแสนสาหัส ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตอยู่รอด ไม่มีใคร ๆ ช่วยเหลือกันได้

      ทางฝ่ายบริหารการปกครอง บ้านเมืองเหมือนได้ถูกยุบตัวลงโดยปริยาย หน่วยงานราชการ ทุกกระทรวงทบวงกรม ก็ได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน เอกสารข้อมูลในการทำงานต่าง ๆ เกิดความเสียหาย ข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมสื่อสารต่อกันไม่ได้ เพราะดาวเทียมเองก็เกิดมีปัญหาขัดข้องในการส่งสัญญาณ ไม่ทำงานสื่อสารลงมาสู่คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือ เครื่องรับสัญญาณอื่นใดได้เลย
ผู้มีความรู้ในทางคอมพิวเตอร์ในแผนกใดก็ตาม เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมส่งเข้าไม่ได้ คอมพิวเตอร์ก็ทำงานไม่ได้ ความรู้ที่มีอยู่ก็เอาไปทำงานอะไรไม่ได้ นี้คือการทำงานสื่อสารในทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็จะสิ้นสุดจบลงตรงนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะต้องเริ่มต้นใหม่ตามธรรมชาติเอง
      มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ยอมรับว่ามีปัญญา ค้นคิดเอาสิ่งต่าง ๆ มาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก ได้ดี คิดประดิษฐ์สื่ออุปกรณ์ ในการทำงานช่วยความจำแทนสมองเก็บความรู้เอาไว้ แต่ก็น่าเป็นห่วง ที่มนุษย์อ้างตัวว่าเป็นผู้มีความฉลาด แล้วเอาความรู้ความสามารถไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมยังทำงานได้อยู่ ก็ทำงานให้สำเร็จได้ เมื่อสัญญาณดาวเทียมมีปัญหาขัดข้อง คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ก็เกิดความขัดข้องเช่นกัน จะทำงานให้สำเร็จเป็นไปได้ยากหรือเป็น ไปไม่ได้เลย วิธีการไม่ตรงต่อเป้าหมาย จะนำมาใช้ กับปัญญาความรู้ความสามารถของตัวเองไม่ได้ ในหลักการข้อมูลต่าง ๆ ทางหลักปฏิบัติ การเอาปัญญาความรู้ความสามารถ ไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ต ก็มีปัญหาไปด้วย จึงไม่สามารถดึงข้อมูลข่าวสารออกมาใช้งานได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ความรู้ความฉลาดก็จะกลายเป็นความโง่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศาสตร์อื่นก็เอามาใช้งานไม่ได้ แม้แต่คณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หาร ด้วยกระดาษ ปากกาด้วยปัญญาความรู้ของตัวเองก็ทำไม่ได้ ต้องอาศัยเครื่องคิดเลขหรือหรือ เทคโนโลยีอย่างอื่นช่วยให้ทำงานได้ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็บันทึกเก็บเข้าในเครื่องไว้ทั้งหมด เมื่อสัญญาณของดาวเทียมมีปัญหา โทรศัพท์ก็มีปัญหาไปด้วย หรือสถานที่ทำงานของราชการและเอกชน จะต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต กระแสไฟฟ้า และอาศัยสัญญาณของดาวเทียมช่วยให้ทำงานได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ ถูกทำลายจากภัยธรรมชาติจนหมดสภาพไปแล้ว หลักการวิธีการแผนงานที่เป็นโครงสร้างพัฒนาก็มีปัญหาตามมาเช่นกัน เมื่อในยุคนี้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะอยู่กันอย่างไร
     การพัฒนาหรือธุรกิจต่าง ๆ เหมือนกับว่า ได้ปิดตัวลงแบบถาวร จากนั้นไปจะไม่มีเทคโนโลยีทุกประเภทมาประกอบสื่อในการทำงานอะไรได้เลย คำว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ก็จะพลอยหมดความหมายทำอะไรไม่ได้ ความรู้ความสามารถความฉลาดจะหดหายไปจากตัวเองโดยไม่รู้ตัว จะเป็นผลกระทบในการทำงาน และการปกครองอย่างใหญ่หลวง

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 06:04:22


ความคิดเห็นที่ 8 (1550467)

      ในยุคนี้สมัยนี้เราได้สร้างความเจริญไว้ในโลก มีมากมายหลายอาชีพ ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ตัวเองและส่วนรวมเอาไว้ จะทำงานในแผนกใดจะทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทำได้ทั้งดาวเทียมการใช้สัญญาณสื่อสาร ทำเครื่องบิน รถ เรือ เพื่อเป็นสิ่งอำนวย ความสะดวกในการเดินทางจะไปไหนมาไหนได้รวดเร็วทันใจตามที่ต้องการ

     เมื่อภัยธรรมชาติยังไม่เกิดความรุนแรง ก็พออาศัยขับขี่ไปมาได้ ในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติขึ้นรุนแรง สิ่งอำนวยความสะดวกในการไปมา ก็จะหมดยุคหมดสมัยไป มิใช่ว่ามนุษย์มีความรู้ดีมีปัญญาที่ฉลาดมีความสามารถจะรักษาไว้ได้ ตัวภัยธรรมชาตินั้นเองจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดแทนมนุษย์อยู่แล้ว เพราะเทคโนโลยีที่มนุษย์คิดขึ้นมาใช้งาน จะเป็นเพียงบางยุคบางสมัยเท่านั้น ถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกว่ามีความเป็นอยู่และเป็นมาอย่างไร ก็ไม่ปรากฏว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลเหมือนในยุคปัจจุบัน
      ฉะนั้น มนุษย์ไม่ควรลืมตัวว่า "สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นใช่ว่าจะอยู่ถาวรตลอดไป" เพราะในทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นจากความสามารถของมนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตาม ทุกอย่างจะต้องตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยนั้น ๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 06:05:51


ความคิดเห็นที่ 9 (1550468)

       เมื่อวาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย และภัยต่าง ๆ ได้ทำลายในสิ่งอำนวยความสะดวกที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นให้หมดไปแล้ว หมู่มนุษย์ในยุคนั้นก็จะเหลืออยู่น้อย และอยู่กันเหมือนเศษมนุษย์เดนตาย จะพากันอยู่สถานที่ใดก็หาเลี้ยงชีพพอให้มีชีวิตอยู่ได้ไปวันต่อวัน ไม่มีความคิดในการเสริมสร้างพัฒนาความเจริญในทางโลก  ไม่มีความเจริญในทางพัฒนาแต่อย่างใด การไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันต่างสถานที่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางเหมือนในยุคปัจจุบัน จะส่งข่างสารต่อกันด้วยวิธีใด ก็จะทำไม่ได้ว่าใครพากันอยู่ที่เมืองอะไรอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน จึงเป็นต่างกลุ่มต่างอยู่ ไม่รู้กันว่าใครเป็นญาติของใคร พี่น้องอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน
 
     แม้แต่การศึกษาหาความรู้ในหลักวิธีการต่าง ๆ ก็ไม่มีครูผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน จะอ่านหนังสือไม่ได้ เขียนหนังสือไม่ได้ ต่างคนต่างกลุ่มทำมาหากินเท่านั้น ถ้าจะดูประวัติศาสตร์ประกอบเพื่อเป็นพยานหลักฐาน ก็ให้ดูประวัติแต่ละประเทศว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมตัวหนังสือไม่เหมือนกัน ทั้งภาษาสื่อต่อกันแต่ละประเทศ ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เพราะครั้งก่อนได้ประสบภัยธรรมชาติ ที่เดนตายก็เกาะกันเป็นกลุ่ม นาน ๆ เข้าเป็นกลุ่มใหญ่ กลายเป็นประเทศจึงแตกต่างกันทางภาษา

     ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องภัยธรรมชาติให้ท่านรู้ ก็เพราะมีหลักฐานในประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกัน เรื่องภาษา ; ตัวหนังสือ วัฒนธรรม ประเพณี ที่เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง นับจากถูกภัยธรรมชาติ ในยุคนั้นผ่านมา อีกยาวนาน จนกว่าจะเกาะกลุ่มกันได้ จึงได้ตั้งสื่อภาษาเป็นของตัวเองขึ้น เพื่อสื่อสารต่อกัน จนกลายเป็น ประเทศในปัจจุบัน มีประเทศใหญ่บ้าง ประเทศเล็กบ้าง ตามประชากรของแต่ละประเทศนั้น ๆ แต่ละประเทศจะมี ภาษากลาง ของแต่ละประเทศ ในการสื่อสารกัน แต่ละประเทศก็มีชนเผ่าหลายกลุ่มผนวกไว้ด้วยกัน แต่ละเผ่าก็มี ภาษาเป็นของตัวเอง พูดเฉพาะในกลุ่มของตัวเอง แต่ก็ต้องศึกษาภาษากลางของประเทศตัวเองเพื่อสื่อสารกันเอาไว้ หลาย ๆ ชนเผ่าที่เล็ก ๆ ก็หลงลืมในภาษาเผ่าของตัวเอง เพราะเคยชินต่อภาษาของประเทศจนลืมตัว ภาษากลางแต่ละ ประเทศจะพูด ไม่เหมือนกัน ถึงความหมายจะเหมือนกัน แต่สื่อในการพูดจะไม่เหมือนกัน ส่วนภาษากลางของโลกใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจะสื่อสารกันได้ทั่วโลก

       บทสรุป
       ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องภัยธรรมชาติ ก็ได้อธิบายไว้แล้ว ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่มีการศึกษามาก และมีการศึกษาน้อย หรือผู้ไม่เคยศึกษาในประวัติศาสตร์เหล่านี้ หลายๆ ท่านต้องคิดกันหนักพอสมควร ว่าเรื่องเหล่านี้จะพอ เชื่อถือได้แค่ไหน หรือไม่เชื่อเลยก็เป็นได้

       เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติ บางคนไม่เชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้น บางคนอาจจะเชื่ออยู่บ้างแต่คิดว่ากว่า จะเกิดขึ้นอีกนาน หากตายไปก่อนแล้วจะไม่ได้เจอ ไม่มีผลกระทบกับตัวเอง ให้ท่านคิดต่อไปอีกว่าเชื่อในผลของกรรมหรือไม่ และเชื่อในภพชาติการเกิดใหม่หรือไม่ เมื่อจิตยังมีกิเลสตัณหาเป็นเชื้อพาให้มาเกิด จิตก็ต้องกลับมาเกิด เป็นชาติใหม่ได้ เมื่อได้มาเกิดในชาติใหม่ก็จะได้เจอต่อภัยธรรมชาตินี้อีก มิใช่หรือ

       เรื่องความไม่เชื่อต่อผลกรรมดีกรรมชั่ว เรื่องไม่เชื่อในภพชาติ ในการเกิดใหม่ ความไม่เชื่อในเรื่องอย่างนี้นั้น เป็นความเห็นเฉพาะตัวเท่านั้น ในหลักสัจธรรมความจริงจะเป็นสิ่งตายตัว ไม่เป็นไปตามความเห็นตามที่เรามีความเข้าใจอยู่นั่นเอง

      ความเห็นของหมู่มนุษย์ในอดีตมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ในยุคปัจจุบันหรืออนาคต ภายภาคหน้า ความเห็นของมนุษย์ ก็จะมีความแตกต่างกันตลอดไป ใครจะมีความเห็นผิด ใครจะมีความเห็นถูกเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เช่นนับถือศาสนาต่างกัน นับถือพระเจ้าคนละองค์ ความเห็นก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง  ขึ้นอยู่กับนำสื่อคำสอนของพระเจ้า มาตีความเพื่อให้เกิดความเชื่อ ใครเชื่อในคำสอนของพระเจ้าอย่างไรก็ปฏิบัติกันไป หรือนับถือศาสนาอะไรก็ได้
เรื่องบาปบุญคุณโทษ ตายไปจะเกิดใหม่หรือไม่เกิด ก็จะไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้
 
      ถึงจะไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร ข้อสำคัญให้เราทำดีเอาไว้ใ นชีวิตนี้ก็แล้วกัน เพราะการทำดี การพูดดีและมีความเห็นที่เป็นธัมมาธิปไตยนี้ต่างหาก ที่จะเป็นเส้นทางให้จิตจะต้องได้รับผลในทางที่ดี ถ้ามีความเห็นเป็นอัตตาธิปไตย ในทุกเรื่องจะเข้าข้างตัวเอง จะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาแก่ตัวเองและ สังคมส่วนรวม ที่เรียกร้องความสมานฉันท์ความรักสามัคคีให้เกิดขึ้น แต่ไม่หยุดความก้าวร้าว กล่าวคำนินทาว่าร้ายซึ่งกันและกัน จะให้ความสมานฉันท์เกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า นี้คือเอาอัตตาธิปไตยมาเป็นหลักยืนโดยไม่รู้ตัว ความสมานฉันท์ในกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่จึงเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย

     การศึกษาไม่ควรผูกขาดในใบประกาศนียบัตร ว่าจบในระดับนั้นระดับนี้มา จึงจะเชื่อถือได้ ที่จริงใบประกาศนียบัตร เป็นเพียงหลักฐานยืนยันในวุฒิการศึกษาเท่านั้น หรือจำกัดว่าผู้มีความรู้มาก มีความรู้น้อยในสาขาอาชีพนั้น ๆ สำหรับความผิดถูกชั่วดี จะเอาวุฒิการศึกษามาเป็นตัวตัดสินไม่ได้ เพราะความผิดถูกชั่ว ดีเป็นผลที่เกิดจากความเห็น

     ถ้ามีความเห็นผิด จะจบการศึกษาในระดับไหนมา ก็ลบล้างความเห็นผิดไม่ได้ หนำซ้ำความรู้ยังเป็นตัวหนุนให้เกิดความเห็นผิดเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้ามีความเห็นถูก ถึงจะมีความรู้น้อยความรู้มาก ก็เป็นประโยชน์มี คุณค่าให้แก่ตัวเองและสังคมส่วนรวมได้ หรือผู้ไม่มีความรู้ทางหลักวิชาการ ในภาคการศึกษามา แต่ใจมีความรักความสงสารในหมู่คณะ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว มีความเห็นใจและเข้าใจคนอื่น เพียงเท่านี้ความสมานฉันท์ก็เริ่มตั้งหลักได้แล้ว เมื่อตั้งหลักของเหตุปัจจัยในคำว่าสมานฉันท์ไม่ถูกต้องและเข้าข้างตัวเอง ความรักสามัคคีความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไปเอาความรู้เอาวุฒิในการศึกษามาประกอบอัตตาของตัวเอง แล้วไปเรียกร้องเอาความถูกต้องชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมในใจตัวเองยังมีอคติ สมานฉันท์จึงเกิดขึ้นไม่ได้

      คำสอนของพระพุทธเจ้า หลายหมวดหมู่มีเหตุผลเชื่อถือได้ ข้าพเจ้าได้นำประวัติพุทธวงศ์ ประวัติของอายุขัยของมนุษย์ และภัยธรรมชาติ ทั้ง ๓ หมวดนี้ นำมาอธิบายโดยย่อพอให้เข้าใจอยู่บ้าง เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติให้เราสังเกตติดตามดูให้ดี ว่าภัยธรรมชาติทั้ง ๘ จุดนั้นเป็นอย่างไร ในอดีต จนถึงปัจจุบัน ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไร นับแต่ปัจจุบันไปสู่อนาคต ต่อไปจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น อย่างไรบ้าง

      เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต้องตั้งสติให้ดี ใช้ปัญญารอบรู้เท่าทัน ในความเป็นอยู่ของโลกนี้ ให้ได้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ช่วยเหลือไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ศึกษามา และได้สังเกตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในอดีต และมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติในอนาคตนั้นมีสูง จึงได้บอกเตือนเอาไว้ว่าจะหาวิธีป้องกันตัวเองได้อย่างไร มิใช่ว่าเมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้นถึงตัวแล้วจึงตื่นตัว จะตั้งหลักก็ไม่ทัน ปัญหาต่าง ๆ ก็เกิดตามมา จะหาที่หลบซ่อนตัวก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ อย่าไปคิดว่าภัยธรรมชาตินี้เป็นเรื่องไกลตัว หลาย ๆ ประเทศ ภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อมนุษย์มากทีเดียว เราคนหนึ่งจะต้องได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ในยุคต่อไป วาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย ธรณีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย ภัยทั้ง ๘ นี้ จะมีอย่าง ใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เราจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะหาวิธีป้องกันอย่างไร ที่จะผ่อน หนักให้เป็นเบา เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด พวกเราทั้งหลาย จงอย่าประมาท ให้มีความกลัวต่อธรรมชาตินี้เอาไว้

      ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายในเรื่องภัยธรรมชาตินี้ ก็เพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาท ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ว่าอีกวันหนึ่งข้างหน้า เราต้องเจอต่อภัยธรรมชาตินี้อย่างแน่นอน เ พราะเราได้มาเกิดในยุคสมัยที่โลกกำลังแปรปรวน หรือ มาเกิดในยุคเปลือกโลกเสื่อม ไม่ควรที่จะไปกล่าวโทษต่อภัยธรรมชาตินี้ ต้องโทษตัวเองว่า เรามาเกิดในในยุคนี้ทำไม เราต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะโลกเป็นอย่างนี้ โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง อย่าไปเชื่อมั่นในเทคโนโลยี และหลักวิทยาศาสตร์จนลืมตัว สิ่งเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในชั่วระยะเวลาหนึ่ง เท่านั้น เมื่อถึงกาลเวลาของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลักวิชาการต่าง ๆ ก็ไม่สามารถช่วยเราได้เลย

    ข้าพเจ้าขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายเอาไว้ในที่นี้ หากมีประโยคที่บกพร่องไม่เหมือนกับที่ท่านได้ศึกษามา คิดว่าท่านคงไม่ติดใจ เพราะข้าพเจ้ามีความรู้น้อย คิดว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายคงให้อภัย

หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
มรณภาพแล้ว เมื่อเวลาประมาณ ๖ นาฬิกา วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
ณ วัดป่าบ้านค้อ อ. บ้านผือ จ.อุดรธานี
 (อัฐิท่านเป็นพระธาตุแล้ว)


ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-06 06:11:44


ความคิดเห็นที่ 10 (1550787)

 

อนุโมทนาสาธุกับธรรมทานนี้ค่ะ

ทุกสิ่งทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

ไม่จีรังยั่งยืน จงหมั่นทำความดี ทำทาน รักษาศีลและทำสมาธิภาวนา

เพื่อเป็นเสบียงบุญไปใช้ในภายภาคหน้าต่อไปค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หน่อย (สมศรี พวงพันธ์) (noi-92012-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-07 10:35:20


ความคิดเห็นที่ 11 (1550995)

ขอบคุณมากค่ะ คุณเบ็ญจรัตน์ที่นำข้อเตือนใจมาให้อ่านเพื่อเตรียมตัวและทำใจ

อนุโมทนาสาธุ กับธรรมทานนี้ด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น Pattanan (pattanan_ya-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-08 00:34:49


ความคิดเห็นที่ 12 (1551255)

ขอขอบคุณ...คุณเบ็จรัตน์สำหรับบทความที่นำมาให้พวกเราได้อ่านและได้ทราบถึงภัยธรรมชาติทึ่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้ค่ะ จะรีบเตรียมเสบียงบุญไว้ให้มากๆ ตามที่ท่านอาจารย์อุบลได้อบรมสั่งสอนพวกเราค่ะ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัชฎาพร เกษมคุณ (ทิพย์) (speedway2549-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-09 12:34:35


ความคิดเห็นที่ 13 (1551369)

อนุโมทนาค่ะคุณเบญจรัตน์...

สงสัยพวกเราส่วนใหญ่ จะมีความรู้เฉพาะด้านมากจนเกินความจำเป็นนะเนี่ย

แต่ทางที่ดีพวกเราควรจะมีความรู้รอบด้าน ที่เป็นความรู้พื้นฐาน

เพื่อเอาตัวรอดในยุคต่อไปจะดีกว่า

เฮ้อ..ปลูกข้าวยังไม่เป็นเล๊ยชนิดา....

น้องๆที่โรงเรียนสัตยาไส ยังทำเป็นทุกอย่างเลย

 

อ.อุบล จึงได้ฝึกให้ทุกคนได้เรียนรู้งานทุกอย่าง ทั้งงานปลูก งานสร้างและงานครัว..

เรียกได้่ว่า ลูกบ้านสวนฯ ต้องทำได้ทุกอย่าง มีความสามารถรอบตัว

จะโยน"จอบ"ให้ก็พร้อมขุด จะโยน"อาวุธ"ให้ก็พร้อมรบ.. หรือ..

จะโยน"ทัพพี"ให้ก็ไม่ลังเลที่จะ"ทำอาหาร" ....แต่ถ้า

ตอนนี้อาจารย์โยนไมค์ให้ ก็อย่าเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์

ให้"ร้องคาราโอเกะ"นะจ๊ะ แต่อาจารย์ให้ มาสารภาพบาปต่างหากเล่า.. ฮิฮิ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-10 04:38:27


ความคิดเห็นที่ 14 (1551721)

ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานค่ะ  สาธุ  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-12 14:14:06


ความคิดเห็นที่ 15 (1553466)

โมทาบุญกับทุกท่านสาธุๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-22 11:37:00


ความคิดเห็นที่ 16 (1553667)

อนุโมทนา สาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธันย์วรินทร์ ศรีรักษา (thanva_chanit-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-23 11:26:54



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.