ReadyPlanet.com


ขอนมัสเตสู่ทุกท่าน


ขอนมัสเตสู่ทุกท่าน

ขอให้ทุกท่านจงก้าวสุ๋ความเพียรอย่าได้ย่อท้อ

จงชำนะความง่วงหาวให้ได้

แล้วจงเพียรหนีความขี้เกียจนั้นแลท่าน

เราขอขอบคุณที่ได้มีโอกาสมาลับปัญญาธรรมที่นี่

เราจำขออภัยนัก

หากเราจากไปแล้วไซร้

ธรรมบางประการ

เหมาะกับบางท่านมิเหมาะในบางท่านเรามิมีโอกาสมาแก้ไขความปรามาสนั้น

จักเป็นอกุศลเขาเหล่านั้นแลท่าน

 

แต่เราคงเหลือไว้ในบางธรรมที่เห็นว่างาม

ฝากไว้พิจารณา



ผู้ตั้งกระทู้ เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ (weruwan-we-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-05-07 19:30:45


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1544263)
ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-07 19:36:29


ความคิดเห็นที่ 2 (1544330)

 

ขอกล่าวคำว่า

สวีสดี ค่ะ

คุณ เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

( ศิษย์ตถาคต )

ผู้มาจาก ป่าไผ่

เคยได้อ่าน

บทความ ของคุณในเวปฯ อื่น ๆ

ดีใจค่ะ ที่ได้พบคุณ ในเวป บ้านสวนพรามิด

*******************

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-08 11:23:37


ความคิดเห็นที่ 3 (1544338)

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณประกอบจิตร (prakobjitr-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-08 12:26:42


ความคิดเห็นที่ 4 (1544356)
ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-08 15:41:28


ความคิดเห็นที่ 5 (1544379)

ขออนุญาติ ขยาย ขนาด ตัวอักษร

ภาษา สวย อ่าน ยาก แต่ สวย

ตัวต้องขอขนาดใหญ่หน่อย จะได้พิจารณาได้นาน ๆ

ขออนุญาตินะคะ

 

 

เราก็หารู้ไม่ดอกท่าน

เป็นเยี่ยงไรเสียจึงมาพานพบเวปนี้

แลพอจักลางลาง

คงเป็นบรมครูชี้นำมา

สู่อักษราวาระนั้น

ขอเหล่าท่านเข้าสู่ความเพียรแห่งกุศล

อกุศลกาลนั้นจักมิก่อเกิด

ภาพภาพหนึ่งที่ก่อขึ้น

ย่อมแปรเปลี่ยนตามแรงกุศลแลอกุศลในจิตมนุษสา

ภาพแห่งอนาคตมิอาจตั้งยืนอยู่ได้ตามแรงอกุศลแลกุศล

หากปัจจัยเปลี่ยนเหตุย่อมแปรผันตามปัจจัยนั้น

หากจิตมัวหมองย่อมนำอกุศลดำสูงเด่นในแรงกรรม

แม้นต้นกล้วยแปลกมิรู้ความ

ผู้คนน้อมจิตกราบบูชา

ยังเป็นแรงหนุนสัมเวสีมีเดชฤทธิ์

สายามประเทศก็หาแตกต่างกันอย่างไรไม่

ภาพ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ จักมิซ้ำสิ้นภาพอโยธยาศรีรามเทพนครนองน้ำตาในแผ่นดินสยาม

ขอเหล่าท่านผองชนชาวสยามเบื้องบาทกษัตริย์เจ้า

เข้าสู่ราตรีความเพียรอย่าได้ลดละ

น้อมนำกุศลอุทิศหนุนประเทศ

หากปัจจัยเปลี่ยนเหตุย่อมแปรผันตามปัจจัยนั้น

แลเหล่าผองท่านผู้จำเริญธรรมสาคร

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

 

 

ภาษาสวย ต้องอ่าน นาน นาน จึงพอจะเข้าใจ..บ้าง..

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พิชญ์นันท์ (pitcha_nate-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-08 20:02:26


ความคิดเห็นที่ 6 (1544401)

เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

ผู้มาจากป่าไผ่

########

สวัสดีค่ะ คุณเวฬุวัน ว.มุจลินทร์

ยินดีต้อนรับค่ะ

ธรรมะโดนใจค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-08 21:19:45


ความคิดเห็นที่ 7 (1544449)

อนุโมทนากับธรรมทานอันลึกล้ำจากคุณ เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ด้วยนะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ..

มาด้วยภาษาสสะสลวยแต่เข้าใจได้ยากแบบนี้

แสดงว่าตั้งรหัสลับไว้ให้เฉพาะผู้อ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเจาะจงเท่านั้น.....

ที่อ่านแล้วเข้าใจ... รึเปล่าค๊า.....

 

ขอบคุณนะคะที่มาเน้นและย้ำให้พวกเรา

เพียรสร้างความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

มิใช่เพียงแต่เชื่อและบูชาอะไรตามๆกันไป โดยไร้เหตุผล

อย่างที่คุณยกตัวอย่าง แม้แต่เห็นต้นกล้วยที่ดูแปลกตา

ก็กลายเป็น"ของวิเศษ"ในชั่วพริบตา....เพียงแค่มีคนไปบูชาเซ่นไหว้...นั่นเอง..


แต่อย่างไรก็ดี ชนิดาเองก็ไม่รู้อยู่ดีว่าวันที่30 สิงหาคมนี้

มีความสำคัญยังไง แหะ แหะ รู้แต่ว่าเป็นวัน

คล้ายวัน"สวรรคต"ของเจ้าหญิงไดอาน่าค่ะ..

 

ป.ล. คุณเวฬุวันฯ ดูจากชื่อแล้ว เดาว่าน่า

จะมีความเกี่ยวเนื่องกับท่านท้าวเวสสุวรรณรึเปล่าคะเนี่ย...

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-09 04:30:35


ความคิดเห็นที่ 8 (1544453)

คุณชนิดา น้องว่า มันอยู่ตรงนี้

ภาพ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ จักมิซ้ำสิ้นภาพอโยธยาศรีรามเทพนครนองน้ำตาในแผ่นดินสยาม

แต่ว่า ประวัติศาสตร์ กับ น้องนี่ ไปกันไม่ค่อยได้..

(ถึงเรียนแค่คำนวณงัย)

อโยธยาศรีรมเทพนคร คือ พระนครศรีอยุธยา

เมืองหลวงที่เราเคยเสีย แต่น้องว่าเราเสียกรุง 13 เมษนะ

อ่า แบบว่า...ประวัติศาสตร์..ง่ะ ไม่ค่อยรู้

แล้ว 30 สิงหา 2554 ก็คึืออนาค

การทำนายลักษณะแบบนี้เรียก อนาคตังสญาณ..

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เห็นในอนาคตคได้

ต้องขึ้นอยู่กับการสร้างเหตุในปัจจุบัน..

เท่าที่อ่านแล้วอ่านอีก..คงมาเตือน..

ให้ใช้สติในการดำเนินชีวิต..อย่า งมงาย

เอ...งมงาย อีกแล้ว..

ขอเหล่าท่านผองชนชาวสยามเบื้องบาทกษัตริย์เจ้า

เข้าสู่ราตรีความเพียรอย่าได้ลดละ

ให้หมั่นเพียรในยามราตรี..ทำมัยต้องเฉพาะราตรี

1 ราตรี นี่คงไม่ใช่ 1 คืน แต่เป็น 7 วัน..

ดังนั้นอาจหมายถึง ทั้ง 7 วันของสัปดาห์ ให้หมั่นทำความเพียร..มั้ง

เฮ่อ..

ก็สนุกดี แต่ว่า โง่ งัย ต้องออกแรงเยอะก็เหนือย

แต่..สาธุ ค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พิชญ์นันท์ (pitcha_nate-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-09 07:15:17


ความคิดเห็นที่ 9 (1544513)

ขออนุโมทนา

ด้วยค่ะ ทุกท่าน สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-09 13:51:15


ความคิดเห็นที่ 10 (1544686)
image

ขออนุโมทนาด้วยครับ

สาธุ ส่าธุ สาธุ

ภาษาสวยจัง

คนเขลาเบาปัญญาอย่างผม พิจารณาหลายรอบกว่าจะเข้าใจ

เตือนสติ คนบาปหนาอย่างผมได้มากเลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 10:40:34


ความคิดเห็นที่ 11 (1544717)
ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 14:04:54


ความคิดเห็นที่ 12 (1544721)
image

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 14:11:19


ความคิดเห็นที่ 13 (1544726)

 

ขออนุโมทนาค่ะ

คุณเวฬุวัน ว.มุจลินทร์

************************

อ่านข้อความของคุณแล้ว

มีความรู้สึก

เป็นชาว อโยธยา  ยุค ไฮเทค ค่ะ

เพราะ อ่านไป พิมพ์มา

เอ...นี้เราใช้กระดานชะนวน หรือป่ะเนี้ย

เป็นข้อความที่ได้อ่าน

แล้วต้องทำความเข้าใจ

ในด้านของสำนวน

ชอบค่ะ

( สงสัยต้องหากระจก ทวิภพ มาแล้วแหละ )

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมวประวีณา (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 14:19:19


ความคิดเห็นที่ 14 (1544728)

เรานี้ยังเขลาเสียยิ่งนัก

ที่มีเพียงรู้ในความหมายอักษรา

แต่มิกระจ่างในปัญญาธรรม

ผู้คนมากมายให้ความหมายที่เลิศจากปัญญา

แต่จักมีผู้ใดเห็นธรรมในอักษรานั้น

*****************

ขอขอบพระคุณใน อักษรา ค่ะ

แต่เราเองโง่ ง่าว มาก

อ่านคำสอน

ของ อ.อุบล

ที่ใช้สำนวน แบบ

พื้น ๆ ในสมัยปัจจุบัน

ยังจะไม่เข้าใจ

หรือปฏิบัติไม่ได้

ตามที่อ.อุบล สั่งสอนเล๊ย

แล้วอ่านข้อความคุณ

คนโง่ ... ก็ต้อง

แปล..ไทย...เป็นไทย

เรานี้ไซร้ฤา จัก พายายาม

ผู้แสดงความคิดเห็น แมวประวีณา (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 14:31:23


ความคิดเห็นที่ 15 (1544740)

                               ขออนุโมทนาค่ะคุณเวฬุวัน ว.มุจลินทร์

ผู้แสดงความคิดเห็น ดอกไม้ (dokmai-at-dokmai-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 15:50:23


ความคิดเห็นที่ 16 (1544753)

 

555+++

ขำตัวเองค่ะ

ว่าง ๆ มาอ่านกระทู้นี้

ช่วยผ่อนคลายได้ดีนะคะ

*********************************

ได้ข้ามวัฎสู่ปลายทางกลางสระนาฬิเกร์

เราก็มิกระจ่างในอักษราธรรมเฉกเช่นกัน

รู้กับมี

ต่างกันโดยสิ้นเชิง

*****************************

ผู้ใดเกิดทัน...สมัย อโยธยา ช่วยข้อยเด้

*****************************

อ่านแล้วเป็น งง

สรุปว่า  รู้ หรือ มี คะ  คุณเวฬุวัณ ฯ

เนื่องด้วย ลูกบ้านสวนฯ

โง่ ถึงขั้น ชัตง่าว เชียวนะคุณ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมวประวีณา (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 17:07:25


ความคิดเห็นที่ 17 (1544820)

อาจจะอ่านงงไปบ้าง แต่ก็อนุโมทนาบุญในคำสอนค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชุติมณฑน์ (eawnarak-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 22:17:04


ความคิดเห็นที่ 18 (1544827)

ขออนุโมทนาในธรรมทานค่ะได้อ่านแล้วรู้สึกแปลกตาแปลกใจดีค่ะ แต่แปลออกมั่งไม่ออกมั่งสงกะสัยต้องอ่านหลายรอบ เพราะรู้สึกชอบและอยากรู้ความหมายที่ถูกต้องใครก็ได้ช่วยด้วย

ผู้แสดงความคิดเห็น ปูค่ะ (kajadu-at-sanook-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-10 23:40:12


ความคิดเห็นที่ 19 (1544842)

อนุโมทนากับภาษาธรรมสวยๆจากคุณเวฬุวันฯ ด้วยนะคะ

โอ๊ย..เหมือนจะโดนตัวเอง..ไงไม่รู้

จริงค่ะ คนส่วนใหญ่ รู้หลักธรรมคำสั่งสอนจากการอ่านและการศึกษานั้นเยอะ

แต่จะให้เข้าใจและ"ปฏิบัติ"จนเข้าถึงแก่นธรรมนั้น ก็ยังถือว่า"น้อยนัก"

 

ชนิดาก็เป็นคนนึงที่"มี"น้อยกว่า ที่"รู้" ค่ะ...

ละอายใจเหมือนกันนะเนี่ย...

 

และขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ แต่ท่านท้าวเวสสุวรรณในภาคนี้

ชนิดาก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

แหะ แหะ จริงๆก็ไม่เ่คยเห็นพระองค์ในภาคใดๆมาก่อนทั้งสิ้น

ที่ว่าได้เห็นน่ะ ส่วนใหญ่ก็เห็นจากรูปทั้งน๊าน..ค่ะ 

 

เอ่อ...แล้วคุณ เวฬุวันฯ จะยอมเฉลยเกี่ยวกับวันปริศนา 30สิงหา นี้

ให้พวกเราคลายความสงสัยรึเปล่าค๊า..

คุณน้อง อุตส่าห์พยายามวิเคราะห์สุดฤทธิ์ ....

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-11 05:54:44


ความคิดเห็นที่ 20 (1544847)

อนุโมทนากับธรรมทานจากท่าน เวฬุวัน ว.มุจลินทร์  ค่ะ 

เอ๋....ท่านเป็นพระภิกษุรึเปล่าน้อ.....เวฬุวัน....มุจลินทร์ 

ในฐานะที่ทำงานอยู่สำนักงานพระพุทธฯ  คุ้นชื่อนี้มากค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น สวรส (doddew_p13-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-11 07:52:59


ความคิดเห็นที่ 21 (1544907)

เราจำต้องขออภัยในต่อท่านด้วย

ที่หากอักษราวาจาเรา

กระทำการสร้างหมองใจในผู้ใด

เราหามีจิตในก้าวล่วงปรามาสธรรมผู้ใดไม่

เราก็ยังหารู้เหตุไม่

ว่าเยี่ยงไรแล้วจึงมาสู่สถานที่นี้

แต่ชั่งเถอะ

ก่อนสิ้นราตรี ๑๕ พฤษภาคมนี้

ทิวาแห่งการเชื่อมต่อสายญาณเรากับผู้มีว่าสนา

เราจักกลับมาลบอักษราเราสิ้นไป

ในทุกกระทู้ความ

เราขอเพลาสักเพียงมิเกิน ๕ ราตรี

ก็จักสิ้นความนั้น

เรานี้เป็นเพียงปุถุชนเยี่ยงสามัญ

เพียงเพียรรักษ์มั่นในองค์แห่งศีลห้าให้ผ่องพรรณ

ที่จำต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเพียรอีกมากนัก

ที่จักถึงฝั่งธรรมธารา

จำขออภัยทำให้หมองจิต

ด้วยเหตุแลปัจจัยที่พึงมี

หากปัจจัยที่เกลื้อหนุนเหตุเปลี่ยน

ผลของเหตุก็จักเปลี่ยนตามอกุศลแลแรงกุศล

อาจเพียงแค่ยืดเพลามิใช่ขจัดสิ้น

 เราก็ขอเพียงเหล่าท่านที่รู้ความในสายญาณ

พบประจักษ์ในทิวาแห่งการเชื่อมต่อสายญาณ

๑๕ พฤษภาคมศกนี้เรารอท่านเพียงพระฉันเพลสิ้น

ในพระบัญชาแห่งข้ารองบาท

ในสัจวาจาสัตย์ที่ท่านเคยลั่นไว้เมื่อคราก่อนจากอโยธยาศรีรามเทพนคร

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-11 13:36:24


ความคิดเห็นที่ 22 (1544937)

มันจะกระทบกับจิตใจคนไทยทุกคนรึเปล่าครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น vutti8340 ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-11 16:18:53


ความคิดเห็นที่ 23 (1544949)

ที่หากอักษราวาจาเรา

กระทำการสร้างหมองใจในผู้ใด

เท่าที่อ่านเพื่อน พี่ น้อง ทั้งหลายของบ้านสวนพีระมิด

ทุกคนชอบ คุณ เวฬุวัน นะคะ..

มิมีผู้ใด หมอง ใจ อัน ใด ไม่

ก่อนสิ้นราตรี ๑๕ พฤษภาคมนี้

ทิวาแห่งการเชื่อมต่อสายญาณเรากับผู้มีว่าสนา

เราจักกลับมาลบอักษราเราสิ้นไป

ในทุกกระทู้ความ

ตรงนี้ตื่นเต้น..น้องคิดว่า..เว็บมาสเตอร์เท่านั้นที่จะ ลบ ข้อความใด ๆ ได้

คุณ เวฬุวัน หาใช่ เว็บมาสเตอร์ แล เหตุ ใด จึ่ง มี อำ นาจ ได้เล่า

อิ อิ อย่าเคืองนะคะ..น้องเลียนแบบ..เท่านั้นเอง ก็ภาษาไพเราะ ซะ ขไหนขนาด

ดังนั้น หาก จะมีอะไรที่สามารถลบข้อความในเว็บบ้านสวนโดยไม่ใช่ฝีมือของเว็บมาสเตอร์

เท่าที่น้องคิดออก..คงเป็นท่านท้าวเวสสุวรรณ ผู้เป็นใหญ่ปกครองเว็บ แห่งนี้

แล้วทำมัย เสด็จพ่อ(เรียกตามคนอื่น  ขี้กลากจะขึ้นมัยเนียะ) ท่านต้องลบด้วย...

มีเหตุ มีผล ที่แฝงแน่ ๆ โดยเฉพาะตรงนี้


๑๕ พฤษภาคมศกนี้เรารอท่านเพียงพระฉันเพลสิ้น

 

กำหนดวัน เวลา ด้วย..น่าคิด น่าคิด..จะมีเหตุอันใด ใน ทิวา นั่น..

ที่จะล่ม เว็บ บ้านสวนพีระมิด (คือด้วยจิต คิดว่า ไม่มี ใคร จะ ทำ อะไร นอกเหนือบัญชาแห่งท่านท้าวเวสสุวัณ ได้..ยกเว้น..ถึงเวลาที่ท่านเคยบอกไว้..เว็บจะใช้ได้จนถึงวัน..เพื่อใช้เตือนภัย)

 

หากปัจจัยที่เกลื้อหนุนเหตุเปลี่ยน

ผลของเหตุก็จักเปลี่ยนตามอกุศลแลแรงกุศล

อาจเพียงแค่ยืดเพลามิใช่ขจัดสิ้น

 

อันนี้ประจักษ์แน่.. เหตุเปลี่ยน ผลเปลี่ยน

เหตุดับ ผลก็ดับ..

เอาเป็นว่า..15 พฤษภา หลัง 11:00 น. ไม่มีไรเกิดขึ้น..

ก็อย่านอนใจ เพราะเพียงแค่เลื่อนไป เท่านั้นเอง

และคุณ เวฬุวัน เป็นเพียง สื่อ..สายญาณ มาบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า

ให้กับผู้ที่ติดสัญญามาเกิด แต่จำไม่ได้.. ว่าลั่นวาจาใดไว้ในกาลก่อน...

เฮ่อ..เหนื่อย แต่ก็ สนุกดี เหมือนได้อ่าน นิยายที่คุณทมยันตี เขียนไว้

เรื่อง ... จำชื่อเรื่องไม่ได้ เกี่ยวกับ บางระจัน..คืน สิ้นอโยธยา...

 

 

.

ผู้แสดงความคิดเห็น พิชญ์นันท์ (pitcha_nate-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-11 18:45:53


ความคิดเห็นที่ 24 (1544967)

เราจำต้องขออภัยในต่อท่านด้วย

ที่หากอักษราวาจาเรา

กระทำการสร้างหมองใจในผู้ใด

เราหามีจิตในก้าวล่วงปรามาสธรรมผู้ใดไม่

**********************

ท่านผู้มา จากป่าไผ่

ทำไม ท่านถึงคิดเยี่ยงนั้น

เราพี่น้อง..บ้านสวนฯ ยินดี

และชอบใน อักษรา ที่ท่านไขขาน

แต่ก็เป็นอะไร ที่แปลกสำหรับเรา

รัตรโกสินทร์ ไซร้หามี อักษราเยี่ยงนี้

ที่อยากถามตรง ๆ จาก ท่านผู้มาจากป่าไผ่

ว่าผู้มีบารมี ที่ท่านต้องการรอคอย

คือ อ.อุบล ของเรา ใช่หรือไม่

หากใช่...ท่านนั้นไซร์...ไม่เอยวาจา

*********************************

อุ้ย...ไม่ไหวค่ะ..รู้สึก แดะ แด๊ะ ค่ะ

คุณป่าไผ่ ... ช่วยสงเคราะห์

ลูกบ้านสวนพิรามิด

ด้วยค่ะ...ขอแบบตรง ๆ

ว่า คุณต้องการ..รอ ให้อาจารย์อุบล

มาเขียนกระทู้นี้ ...หรือเปล่า

ในเรื่องของ คำถามที่คุณตั้งมา

หรือ คุณต้องการจะบอกอะไร กับพวกเราคะ

********************************

๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ เป็นวันอันใด

ท่านเหล่าใดโปรดเมตตากล่าวความ

เหตุวันนั้นด้วยเถิด

************************

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมวประวีณา (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-11 20:59:40


ความคิดเห็นที่ 25 (1544978)

วันที่ 30 สิงหาคม 2554

ยังอยู่อีกไกล

แต่

15 พฤษภานี้แล้วไซร้

อยู่ใกล้ยิ่งนัก

***************************

ตัวเล็ก ยินดีที่ได้อ่านอักษราของท่าน

เวฬุวัน ว.มุจรินทร์

ช่างตรงกับที่น้องมีหมี่กล่าวไว้

ยิ่ง ท่านเวฬุวัน กำหนดเวลาหลังเพล(11.00 น)

***************************

และ

ที่บอกว่าอีก 5 ราตรีจักสิ้นความนั้น

อาจจะเป็นไปได้ว่า(เดา)

อีก 5 ราตรี อินเตอร์เนตจะใช้การไม่ได้(ล่ม)

**********************

แต่

ตัวเล็ก ก็ดีใจที่ท่านได้ชี้ไปที่ประเด็นที่ว่า

ให้รักษา ศีล 5 ให้ผ่องใสสะอาด

เหมือนที่ ท่านอาจารย์แม่ ได้กำชับนักหนา

เพราะถ้าทุกๆคนในโลกทำได้จะช่วยยืดเวลา

กับเหตุที่จะเกิดขึ้นกับพวกเรา

************************

แต่

ก็อีกนั่นแหละ

แค่ยืด มิใช่ ขจัดสิ้น

(สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)

********

ต่อนี้ไป

ตัวเล็ก ขอให้ญาติธรรมทุกๆท่าน

จง

รักษา ศีล5 ให้จงได้ด้วยเถิด

สาธุ สาธุ สาธุ

***************************

ขอขอบคุณ

ท่านอาจารย์ แม่อุบล

ที่ชี้แนะมาตลอดเวลา

ญาติธรรมทุกๆท่าน

และ

ท่านเวฬุวัน ว.มุจรินทร์

 

****************************

ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ สร้างเหตุไว้เช่นไร

ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก/พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-11 22:41:28


ความคิดเห็นที่ 26 (1545198)

ทุกท่านเอย

เราจำต้องขออภัยสิ้น

หากตีความเป็นเยี่ยงนั้น

อัน ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔

นี้หามีความอันใดไม่ในเหล่ามวลมนุษยชาติสิ้น

อัน ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔

เราเพียงหมายจิต

เพียงจักมีคนมิกี่คน

จักพานพบประสบเรา

ในวาระสัญญาเก่า

ผู้มาจากอโยธยาจักตื่นความ

อันเรานี้มีหน้าที่ประการหนึ่ง

นำน้ำตุ่มเดิมที่เขาตักไว้

นำมาตักต่อมิต้องตักตุ่มใหม่ให้เสียความตามกุศล

คนจำนวนนั้นจักเป็นวาระสำหรับเรา

ก่อนเราจักจากไป

 

ฉนั้นวันที่ ๑๕ นี้หามีปริศนาต่อผู้อื่นไม่

เป็นเพียงเขาผู้นั้นจักพบเราเขาผู้มาจากอโยธยาฯ

เรากล่าวต่อเขาท่านผู้นั่้นจักรู้่ความ

เพราะวันนั้นจักเป็นวันสุดท้ายที่เราจักปรากฎต่อสาธารณชนในนามแห่งเรา

หากเรามิพบราตรีแห่งธรรม

เราจักมิกลับมาแลท่าน

 


http://board.palungjit.com /f179/เธ•เธทเนˆเธ™เน€เธ–เธดเธ”เธชเธฒเธขเธ�เธฒเธ“เธญเธ‡เธ„เนŒเน€เธซเธ™เธท เธญเธซเธฑเธงเธ™เน€เธฃเธจเธงเธฃเธกเธซเธฒเธฃเธฒเธŠเน€เธˆเน‰ เธฒ-287575.html#post4590000

 

แลผู้ใดอ่านกระทู้นี้แล้วเกิดอาการเจ็บอกหรือเจ็บที่หัวใจ

จงกระทำตามที่กล่าวไว้แล้วในบางกระทู้นั้นในวิธีแก้ความนั้น

 

อันผู้มีวาสนาต่อเราในสายญาณนั้น

เท่านั้นที่จักบังเกิดความรู้สึกเมื่ออ่านอักษรานั้น

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 00:56:38


ความคิดเห็นที่ 27 (1545200)

น่ายินดีในหมู่มวลมนุษชาติชาวสยามเสียยิ่งนัก

ที่ปัจจัยเปลี่ยนเหตุจึงเปลี่ยน

ภาพ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ จักมิซ้ำสิ้นภาพอโยธยาศรีรามเทพนครนองน้ำตาในแผ่นดินสยาม

เรานี้รู้สึกโล่งใจเสียยิ่งนัก

แต่ก็อย่าได้นอนใจ

เพราะทุกเพลามนุษชาติเข้าทำลายอยู่ทุกเมื่อ

ทุกสิ่งท่านยังมิรู้ความมีอีกมากนัก

เฉกเช่นกายต้นธาตุกาย 12DNA ผังลัดการนำน้ำตุ่มเก่ามาใช้ให้เติมเต็ม

มีอีกมากที่จักต้องเพียรศึกษาในธรรมคถาคตเจ้า

ทุกวันนี้มีมนุษย์ทั้งชาวโลกและมิใช่ชาวโลก

ต่างอุทิศตนเข้าช่วยเหลือในพลังงานโลกธรรม

จึงเบี่ยงปัจจัยยืดเหตุยืดเพลา

แต่ก็น่าเสียด้ายที่มิอาจกำจัดเหตุให้สิ้นได้

 

อัน ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ เป็นเพียงคำทำนายปริศนานั้น

ก็จำต้องแปรไปตามปัจจัยนั้น

 

บัดเดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่า

ต่อไปจักมิกล่าวความมาเตือนให้เศร้าหมอง

มิต่างจากเราจีักไปตลาดซื้อมะม่วงกินกับข้าวเหนี่ยวในจิตหมาย

แต่ไปถึงตลาดกลับมิได้มะม่วง

แต่ไปซื้อทุเรียนมาแทนที่

ด้วยปัจจัยเปลี่ยนเหตุจำต้องเปลี่ยน

บางคราจำจักไปตลาดหมายซื้อสิ่งของสิ่งนั้น

แต่ใครเล่าจักไปรู้ว่าไปมิถึงตลาด

บางคราก็ประสบพบมีขายอยู่ปากซอย

บางคราก็มีรถมาขายที่หน้าบ้าน

จึงมิต้องไปตลาดตามจิตหมาย

ภาพแห่งคำทำนายก็มิต่างกัน

ทุกเพลาต่างมีปัจจัยเกื้อหนุนเหตุ

ภาพนั้นจึงแปลเปลี่ยนไปตามกำลังปัจจัย

ปีนี้เหตุแลปัจจัยเปลี่ยนไปมากแล้วแลท่าน

ในบัดเดี๋ยวนี้

เหลือเพียงจักมีผู้ใดที่จักเมตตาช่วยลดปัจจัยในความล่มสลายมวลมนุษชาติ

หรือยืดเพลาออกไปให้ลูกหลานได้เติบใหญ่

กระทำหายากไม่

เพียงมีจิตเมตตาหยุดเบียดเบียน

 

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 01:19:31


ความคิดเห็นที่ 28 (1545223)

โมทนาสาธุในธรรมคำสอนค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปูค่ะ (kajadu-at-sanook-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 11:16:15


ความคิดเห็นที่ 29 (1545228)

ขอขอบคุณ

ในเมตตาจิต

ของ

คุณเวฬุวัณ ว. มุจลินทร์

***************************

แมวคิดว่า

คุณคง มีอะไรอีก หลาย ๆ สิ่ง

ที่ต้องการจะบอกกล่าว

ขอน้อมรับ ด้วยความยินดี นะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แมวประวีณา (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 13:42:55


ความคิดเห็นที่ 30 (1545229)

ได้ไปอ่านเจอบทความของคุณใน เว็บญาณทิพย์ ด้วยค่่ะ

 

อ่านแล้วยังไม่เข้าใจว่า 30 สิงหาคม 2554 คุณสื่อถึงอะไรหรือคุณต้องการถามอะไร

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตฤณ (voravee_pat-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 13:45:33


ความคิดเห็นที่ 31 (1545252)

ขอเชิญ

เจ้าของกระทู้นี้

ที่บ้านสวนพีระมิด

15 พ.ค.54 ค่ะ

 

กรุงศรีอยุธยา

มิสิ้นคนดี

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 19:24:25


ความคิดเห็นที่ 32 (1545270)
image

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 20:38:05


ความคิดเห็นที่ 33 (1545273)

ท่านตฤณผู้มีธรรมเอย

อันบัดเดี๋ยวนี้ปัจจัยได้เปลี่ยนเหตุจึงเปลี่ยนไปแล้ว

ตามที่เรากล่าวในความนั้่น

มิต่างจากอุปมาความนี้

อันผู้ตั้งน้ำบนเตาร้อน

หากหมายให้น้ำเดือดพล่านให้เร็วพลัง

ต้อเร่งสุมไฟเพิ่มเชื้อไป

หากมิต้องให้เดือดในเพลาตามปกติ

ก็ปล่อยแรงไฟไปตามกาล

อีกมิเท่าใดน้ำก็เดือดในวาระที่พึงเหมาะสม

หากลดไฟเชื้อเพลิงมิเฝ้าเติม

น้ำนั้นก็จักเนิ่นนานนักที่จักร้อนพล่าน

หากมิใส่ปัจจัยอันเป็นเชื้อเพลิง

ผลของน้ำก็จักมิร้อนพล่านให้ลวกมือ

เหตุคือการต้มน้ำก็มีความดังนี้แลท่าน

อันเชื้อเพลิงมิต่างกุศลแลอกุศลที่สุมเติม

ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนตามเชื้อเพลิงนั้นแลท่าน


ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ (weruwan-we-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 20:47:51


ความคิดเห็นที่ 34 (1545281)

ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ และทุก ๆ ท่านคะ

หนูเองก็เชื่อว่า "การทำความดี" ที่อาจารย์อุบล

หรืออีกหลายองค์กรช่วยกันทำ

และถ่ายทอดให้คนหลาย ๆ คนเปลี่ยนการกระทำ

ย่อมส่งผลให้วันเวลา เหตุการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปได้

ดังนั้น เราจะไม่ย่อท้อต่อการทำความดีคะ

และถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในเนื้อหาทั้งหมดได้

ด้วยปัญญาที่น้อยนิด และภาษาที่ไม่คุ้นเคย

แต่ก็รับรู้ได้ว่า เรามาได้ถูกทางแล้ว

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 21:05:20


ความคิดเห็นที่ 35 (1545285)

ยิ่งได้อ่านยิ่งลึกล้ำคำสำนวน

ช่างเชื้อชวนตามติดคิดไขสง

ไม่นานคงคลายจิตที่คิดลง

เจตจำนงที่หวังดังเฝ้ารอ

**********************

เวฬุวัน ว.มุจรินทร์ กลับป่าไผ่

ท่านแม่อุบล คอยอยู่เขาเพิ่ม

ต่างคนต่างมี กิจสำคัญ

เมื่อไหร่จะได้เจอกันน๊า

ถ้าไม่ใช่วาระของจิตทั้งสองท่าน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก/พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 21:15:13


ความคิดเห็นที่ 36 (1545290)

เรามีวาสนามาเยือนท่านในบ้านนี้

ตามสายญาณที่เราต่างเคยเกลื้อหนุน

*****************

ท่าน อ.อุบล

ได้เคยบอกกล่าวกับพวกเรา

ลูกบ้านสวนฯ

ที่ได้มาพร้อม พบ กัน

ก็เพราะ

เรามีบุญสัมพันธ์กันทั้งสิ้น

แต่.........

ขาดซึ้งความขยัน หมั่นเพียร

ขี้เกียจ เป็นอาจิณ

ในการทำ สมาธิตามที่

อาจารย์อุบล สอน...

ถึงเวลานี้ ... รู้สึกว่า

ตัวเอง แย่จัง

จะขอปรับตัวเองใหม่

เพื่อ

บุญ  แปลว่า ความดี

ความดี

จะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย

จากร้าย เป็นดี

ได้ จริง จริง

**********

สาธุ ๆ ๆ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมวประวีณา (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 21:22:15


ความคิดเห็นที่ 37 (1545292)

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปูค่ะ (kajadu-at-sanook-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 21:24:58


ความคิดเห็นที่ 38 (1545295)

แลผู้ใดอ่านกระทู้นี้แล้วเกิดอาการเจ็บอกหรือเจ็บที่หัวใจ

จงกระทำตามที่กล่าวไว้แล้วในบางกระทู้นั้นในวิธีแก้ความนั้น

 

อันผู้มีวาสนาต่อเราในสายญาณนั้น

เท่านั้นที่จักบังเกิดความรู้สึกเมื่ออ่านอักษรานั้น

๙๙๙๙๙๙๙๙๙

ขอกราบท่าน เวฬุวัน ว. มุจลินทร์ ที่เป็นสือ

                     สาธุ  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 21:31:44


ความคิดเห็นที่ 39 (1545296)

ท่านแมวประวีณาผู้จำเริญยิ่ง

ท่านคิดชอบแล้วในราตรีนี้

หากท่านเพียรพบธรรมรมณ์หมาย

มิยากนักหนาดอกท่านหากเพียรเรียนรู้จิต

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 21:35:18


ความคิดเห็นที่ 40 (1545297)

ปฐมฌาน

อันข้อมูลดังต่อไปนี้หากขัดต่อจิตผู้ใดก็ขออภัยยิ่งนัก
ก็ขอให้ท่านผู้รู้โปรดเมตตาชี้แจ้งแถลงไขในกิจอันควรด้วยเถิด
ทุกท่านที่ก้าวมาใหม่ในเส้นทางเดินสายธรรมธารานี้คงมีจริตและปัญหาที่แตกต่างกันออกไป
ดังตัวเรานี้
ได้เริ่มก้าวเดินอย่างจริงจังเมื่อ กรกฎาคม 2553 ไม่นานมานี้
ได้เพียรตามหาวิธีที่ต้องจริตอยู่เสียหลายเพลาจนพบจริตแห่งตน
ปัญหา ข้อสงสัยมีอย่างต่อเนื่อง
ดับเป็นข้อๆ ไป
ก็ใคร่ขอนำข้อมูลนี้มาเป็นแนวทางสำหรับผู้มาใหม่
ผู้ที่ยังสงสัย
ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ
ผลิว่าผู้ใดจักมีวาสนาได้นำพาไปเป็นแนวทาง
หากผิดพลาดประการใดขอท่านผู้รู้จงเมตตาแถลงความในกิจอันควร

เรานี้ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์อุบล

ขอนำธรรมวาระนี้มาแจ้งจิต

เรายังเป็นนวกะผู้ที่ต้องเพียรอีกมาก
หากมีสิ่งใดชี้นำยินดีน้อมมาสู่ตนสัมมาทิฏฐิ
อันทางสายกลางของแต่ละผู้คนย่อมต่างกัน
อิ่มท่านอิ่มเราย่อมต่างกันเช่นกัน
เรามีความเห็นเป็นเยี่ยงนี้แลท่าน

 

..................

ปฐมฌาน 

 ฌานที่ ๑

ปฐมฌาน  เป็นฌานที่หนึ่ง  ในรูปฌาน ประกอบด้วยองค์ ๕  คือ วิตก   วิจาร   ปีติ  สุข  เอกัคคตา
(พระธรรมปิฎก (ป.อ.อยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์  ฉบับประมวลธรรม,  หน้า ๘๑.)
วิตก  มีลักษณะ  การคิด   การหมายรู้อารมณ์   ความเป็นผู้ตั้งมั่น  การนึกตามและการปรารถนาที่ถูกต้อง  แม้ปราศจากความ เข้าใจ   เปรียบได้กับการท่องจำบทสวดมนต์   เช่น  ผู้ที่กำลังเจริญปถวีกสิณ   ท่องคำว่า  ปฐวี ๆ  ๆๆ  หรือ ดิน ๆๆ     อยู่ตลอดในขณะที่คิดถึงด้วยความตั้งมั่น  ขณะนั้น  ชื่อว่า  วิตก   ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ปฏิบัติ

วิจาร  มีลักษณะ  การพิจารณา การไตร่ตรอง   การผูกพันจิตไว้ในอารมณ์  โดยไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย   ในอารมณ์ที่เกิดในระหว่างที่พิจารณาอยู่ นั้น   ทำใจให้เป็นอุเบกขาในอารมณ์  ผู้เจริญปถวีกสิณ   ใส่ใจอยู่ในอาการหลายอย่างที่จิตหยั่งเห็นในขณะที่เพ่งปถวีนิมิตอยู่   นี้เรียกว่าวิจารได้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติอยู่

เปรียบเทียบความแตกต่าง   ของวิตกกับวิจาร   อุปมาเหมือนการตีระฆัง   เสียงที่เกิดขึ้นครั้งแรก  เปรียบได้กับวิตก   เสียงสะท้อนที่เกิดตามมา   เปรียบได้กับวิจาร   อนึ่งเปรียบเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับอารมณ์ของจิต (ธรรมารมณ์)   ตอนเริ่มต้นเป็นวิตก  ตอนที่เหลือเป็นวิจาร  ความประสงค์ที่จะได้ฌานเป็น วิตก  การรักษาฌานไว้เป็นวิจาร  สภาพจิตที่หยาบเป็นวิตก   สภาพจิตที่ละเอียด  เป็นวิจาร  ที่ใดมีวิตกที่นั่นมีวิจาร  ที่ใดมีวิจาร   ไม่จำเป็นต้องมีวิตก
(พระอุปติสสเถระ,  วิมุตติมรรค.  หน้า ๘๖.)
ปีติ   ในขณะที่จิตมีความอิ่มเอิบสบายอย่างเหลือเกิน   ประกอบด้วยความเย็นสนิท  นี้เรียกว่า  “ปีติ”  เกิดได้จาก สาเหตุ    ประการ   คือ

๑.  เกิดจากราคะ   เพราะความชอบ   ความหลงและความอิ่มใจที่เกิดจากกิเลส
๒.  เกิดจากศรัทธา   เพราะความอิ่มใจของบุคคลที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า   ต่อสิ่งที่ตนเคารพ  เชื่อถือ เช่น   การได้เห็นพระพุทธเจ้า  เป็นต้น
๓.  เกิดจากความไม่ดื้อด้าน   เพราะเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ต่อสิ่งต่าง ๆ จนเกิดความอิ่มอกอิ่มใจ
๔.  เกิดจากวิเวก  ได้แก่ความอิ่มใจของบุคคลผู้ได้ปฐมฌาน
๕.  เกิดจากสมาธิ  ได้แก่ความอิ่มใจของบุคคลผู้เข้าทุติยฌาน
๖.  เกิดจากโพชฌงค์   ได้แก่ความอิ่มใจที่เกิดจากการดำเนินตามโลกุตรมรรคในทุติยฌาน

ปีติ    แสดงถึงปริมาณของปีติที่เกิด   ดังนี้
๑.  ขุททกาปีติ  ปีติทำให้ขนชูชันเล็กน้อย  แล้วก็หายไป
๒.  ขณิกาปีติ  ปีติที่เกิดขึ้นชั่วขณะเหมือนฟ้าแลบแปลบปลาบ
๓.  โอกกันติกาปีติ  ปีติที่กระทบกายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง   คือ  เกิดขึ้นแล้วก็หายไปเกิดขึ้นแล้วก็หายไปอยู่อย่างนั้น
๔.  อฺพเพงคาปีติ  ปีติที่ซาบซ่านแผ่ไปทั่วร่างกาย  เหมือนก้อนเมฆหนาทึบที่เต็มไป
๕. ผรณาปีติ  ปิติที่ซาบซ่านแผ่ไปทั่วร่างกาย  เหมือนก้อนเมฆหนาทึบที่เต็มไปด้วยฝน

ขุททกาปีติและขณิกาปีติ  สามารถเข้าถึงได้ด้วยศรัทธา  โอกกันติกาปีติที่มี มากย่อมทำอุปจารสมาธิให้เกิดขึ้นได้  อุพเพงคาปีติที่ยึดดวงกสิณทำให้เกิด กุศลและอกุศลได้ และขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้เพ่ง  ส่วนผรณาปีติอันบุคคลทำให้เกิดขึ้นใน สภาวะแห่งอัปปนาสมาธิเท่านั้น
สุข การประสบกับสิ่งที่ชอบใจคือความสุข  มีความสงบเยือกเย็นเป็นปทัฏฐาน
(พระอุปติสสเถระ,  วิมุตติมรรค.  หน้า ๘๖.)

สุข  แปลว่า  ความสุข  หมายถึงความสำราญ  ชื่นฉ่ำ  คล่องใจ  ปราศจากการบีบคั้นหรือรบกวนใด ๆ
(พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) พุทธธรรม. หน้า ๘๗๓.

เอกัคคตา   หมายถึง   การที่จิตมีอารมณ์เดียว คือ   จิตที่ยึดอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด  โดยไม่คิดส่ายไปในอารมณ์อื่น   เลย  แม้ช่วงขณะจิต  เช่น จิตอยู่กับปถวีนิมิต  หรืออยู่กับลมหายใจ  เป็นต้น เรียกจิต  เช่นนั้นว่า  จิตเตกัคคตา
ก็เมื่อองค์ ๕   เหล่านี้เกิดขึ้นแล้วย่อมเชื่อว่า  ปฐมฌาน  ได้เกิดขึ้นแล้ว

 

เมื่อสามารถทำปฐมฌานให้เกิดขึ้นได้แล้ว   อย่างเพิ่งรีบร้อนทำทุติยฌาน เพราะอาจจะทำให้ปฐมฌานนั้นเสื่อม   และก็ไม่อาจทำทุติฌานให้เกิดได้อีกด้วย   จะต้องสร้างความชำนาญในปฐมฌานที่ท่านเรียกว่า วสี    ประการให้ชำนาญเสียก่อน  ดังนี้
๑.  อาวัชชนวสี ความสามารถในการพิจารณาองค์ฌาน   ด้วยมโนทวาราวัชชนจิต
๒.  สมปัชวสี ความสามารถในการเข้าฌาน
๓.  อธิฏฐานวสี    ความสามารถในการให้ฌานดำรงอยู่ตามกำหนด
๔.  วุฏฐานวสี ความสามารถในการออกฌานตามกำหนด
๕.  ปัจจเวกขณวสี ความสามารถในการพิจารณาองค์ฌานด้วยชวนจิต

เมื่อฝึกวสีทั้ง    ประการในปฐมฌานดีแล้วจึงค่อยเริ่มการฝึกเข้าสู่ทุติยฌานต่อไป  ดังนี้
ทุติยฌาน  ฌานที่ ๒  มีองค์ ๓  คือ  ปีติ  สุข  เอกัคคตา
(พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) พจนานุกรมพุทธศาสตร์  ฉบับประมวลธรรม.  หน้า ๗๑.)

เธอบรรลุ  ทุติยฌานซึ่งมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน   เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ไม่มีวิตก  ไม่มีวิจาร  เพราะวิตกวิจารระงับไป  มีแต่ ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่
(ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๒๖๗ มหาจุฬาเตปิกํ ๒๕๐๐.)

จากคำอธิบายข้างต้นที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ทุติยฌาน   เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ   วิตกและวิจาร  ระงับไป   คงเหลือแต่ปีติ  สุข  และเอกัคคตา
การเข้าทุติยฌาน

ทั้งก่อนและหลังอาหาร  ทั้งปฐมยามและปัจฉิมยาม   ภิกษุฝึกน้อมนึกการเข้า   ความตั้งมั่นการออก  และการพิจารณา  ตามความปรารถนาของเธอ (ฝึกวสี ๕ ประการนั่นเอง)   ถ้าเธอเข้าปฐมฌานและออกปฐมฌานบ่อย   และได้รับความสะดวกในการบำเพ็ญปฐมฌาน  เธอย่อมได้รับสุข  และทำทุติยฌาน ให้เกิดขึ้นได้ และก้าวพ้นปฐมฌาน   อนึ่ง  ภิกษุนั้นพึงคิดอย่างนี้ว่าปฐมฌานนี้  ยังหยาบทุติยฌานละเอียด   เธอมองเห็นโทษของปฐมฌานและอานิสงส์ของทุติฌาน  เมื่อน้อมนึกอยู่อย่างนี้ ย่อมเห็นโทษของปฐมฌานและอานิสงส์ของทุติยฌาน   ในที่สุดก็จะเข้าสู่ทุติยฌานได้ตามความปรารถนา
(พระอุปติสสเถระ  วิมุตติมรรค,  หน้า ๙๘-๙๙.)

 

ตติยฌาน  ฌานที่ ๓  มีองค์  ๒ คือ  สุข  เอกัคคตา
การเข้าตติยฌาน
การเข้าคติยฌานก็ปฏิบัติในทำนองเดียวกับการเข้าทุติยฌาน  คือ   เมื่อเข้าสู่ทุติยฌานได้แล้วก็   ทำวสี  ให้เกิดขึ้นคล่องแคล่วแล้ว  จิตก็จะยกขึ้นสู่   ตติยฌาน ได้เอง   เมื่อปีติจางหายไปดังพระบาลีว่า

เธอมีอุเบกขา  มีสติสัมปชัญญะ  เสวยสุขด้วยนามกาย   เพราะปีติสิ้นไป   บรรลุตติยฌานที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า  ผู้ได้ฌานนี้  เป็นผู้มี อุเบกขา   มีสติ  อยู่เป็นสุข
(ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๒๖๗ มหาจุฬาเตปิกํ ๒๕๐๐.)
จตุตถฌาน  ฌานที่ ๔   (the  Fourth Absorption )  มีองค์ฌานเดียว  คือ เอกัคคตา

การเข้าจตุตถฌาน
การเข้าจตุตถฌานก็ปฏิบัติในทำนองเดียวกับการเข้าตติยฌาน  คือ เมื่อเข้าสู่ตติยฌานได้แล้วก็ทำวสีให้เกิดขึ้นจนคล่องแคล่วแล้ว  จิตก็จะยก ขึ้นสู่จตุตถฌานได้เองเพราะจิตที่ปฏิบัติไป ๆก็จะเห็นความหยาบกระด้างของฌานเก่าที่ได้อยู่  ใคร่จะได้ฌานที่ละเอียด ประณีตยิ่ง     ขึ้นไป  ก็จะปล่อยอารมณ์ที่หยาบ (สุข)  ไปจับอยู่ในอารมณ์ที่ประณีตยิ่งขึ้น   (อุเบกขา)   ผู้เข้าสู่จตุตตถฌานจะเป็นดังพระบาลีว่า

เธอบรรลุจตุตถฌาน  ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข  เพราะละสุขและทุกข์  และดับโสมนัส และโทมนัสก่อน ๆ ได้  มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
(ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๒๖๗ มหาจุฬาเตปิกํ ๒๕๐๐.)
ฌานทั้ง   เรียกว่า  รูปฌาน  เพราะยังต้องอาศัยอารมณ์หยาบที่เป็นรูปธรรมเป็น เครื่องเพ่งเพื่อให้เกิดนิมิต  โดยเริ่มตั้งแต่ ขณิกสมาธิ จนถึงอัปปนาสมาธิ
เมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุฌาน  ๔ และเกิดวสีในฌานเหล่านั้น   พร้อมทั้งอนุโลมปฏิบัติในฌานทั้ง ๔   จนเกิดความชำนาญ   จิตก็อ่อนโยนควรแก่การงานทางจิต   พร้อมที่จะนำจิตนั้นไปกระทำกิจต่าง ๆ เช่น  ทำฌานให้ยิ่ง     ขึ้นไป   แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ จนถึงการเจริญวิปัสสนาจนสามารถทำตนให้หลุดพ้นจากอาสวกิเลส  บรรลุอรหัตตผล ซึ่งเป็นเป็นหมายอันสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้

 

นัตถิ  ฌานัง  อะปัญญัสสะ  นัตถิ  ปัญญา  อะฌายิโน
    ตัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญัญจะ นิพพานะสันติเก
                            คำแปล
ฌานไม่เกิดกับคนไม่มีปัญญา  ปัญญาก็ไม่เกิดกับคนไม่มีฌาน
       ผู้ใดมีฌานและปัญญา ผู้นั้นได้อยู่ใกล้นิพพาน
                 พราหมโณ  ฌายี  ตะปะติ
  นักพรตผู้มีฌานจึงรุ่งเรือง มีตบะกล้าในหมู่สมณะ

ถ้าท่านปฏิเสธฌาน ญาณจะเกิดได้อย่างไร
เพราะฌานเป็นเหตุ ญาณเป็นผล
นั่นคือสมถะเป็นเหตุ วิปัสสนาเป็นผล
เย ธัมมา เหตุปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต.
ผลทุกอย่างเกิดจากเหตุ เมื่อต้องการผลก็ต้องสร้างที่เหตุ
ถ้าค้นหาสาเหตุเจอ สถานการณ์ต่างๆ ก็แก้ไขได้
นอกจากนี้ วิธีการทำกรรมฐานในยุคปัจจุบัน แทบทุกแห่งล้วนแต่ปฏิเสธการได้ฌานทั้งนั้น  สอนแต่เพียงให้ผู้ปฏิบัตินั่ง ใช้สติเฝ้าจับอารมณ์ที่เกิดขึ้นทางอายตนะทั้ง  ๖  เป็นการไล่จับอารมณ์ไปตาม อายตนะต่างๆ ที่รับรู้  ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เกิดฌานได้ เพราะฌานจะเกิดได้จิตจะต้องนิ่งอยู่ในใจอย่างเดียว พยายามตัดการรับรู้อารมณ์ภายนอกทั้งหมดทิ้ง จิตจะนิ่งอยู่กับอารมณ์ทางใจอย่างเดียว(เอกัคคตา - One Way) ฌานจึงจะเกิดได้

ถ้าหากว่าการใช้กรรมฐานซึ่งเป็นวิธีการฝึกจิตที่เป็นระบบตามหลักการของพระ พุทธศาสนาจริง ๆ เรื่องของฌานสมาธิก็ไม่ได้เกินวิสัยของมนุษย์ที่จะทำได้   

ในข้อนี้พวกเราในยุคหลังก็ควรท่องคติพจน์ของพระพุทธองค์ตอนที่ไปศึกษายัง สำนักอาจารย์สองท่านจนทำให้ได้ฌาน ระดับไว้ในใจด้วย เผื่อจะเป็นกำลังใจในการลงมือปฏิบัติดู เพื่อให้เกิดฌานจริงๆ โดยพระพุทธองค์ตั้งคติประจำใจว่า     

            ท่านเป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์  
      ท่านมีความเพียร เราก็มีความเพียร
     ดังนั้น ถ้าท่านทำได้ เราก็ต้องทำได้

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้พูดถึงเรื่องฌานที่มีผลต่อการบรรลุธรรมและทำให้ เกิดอานุภาพต่างๆ ไว้หลายอย่าง  เพื่อความเข้าใจกระจ่างในเรื่องนี้  จะขอนำความหมายและผลที่ ได้จากสมาธิมาอธิบายให้ฟัง ดังนี้

           ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ตรัสถึงภิกษุผู้ได้ฌานแม้ได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ชั่วดีดนิ้วมือครั้งหนึ่งว่า การได้ฌานเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ขนาดนั้นก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ห่างไกลจากฌาน ที่จะทำได้ในกาลต่อไป ชื่อว่าได้ทำได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดา  ได้ปฏิบัติตามโอวาทของพระศาสดา แล้ว  ถ้าผู้นั้นเป็นพระภิกษุก็จะฉันบิณฑบาตของชาวบ้านอย่างไม่สูญเปล่า นี้พูดถึงการปฏิบัติได้ชั่วเวลาสั้น ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผู้ที่ทำได้นาน ๆ หรือทำได้มากกว่านี้

           นอกจากนี้แล้ว พระพุทธองค์ยังตรัสต่อไปอีกว่า ฌานสมาธินี้สามารถที่จะทำให้สิ้นอาสวะกิเลสได้  ตั้งแต่ฌานขั้นแรกขึ้นไปก็ สามารถปราบนิวรณ์ให้สงบระงับได้แล้ว แม้จะไม่หมดไปทีเดียวแต่ก็สามารถปราบได้เป็นคราวๆไป ไม่จำเป็นต้องพูดไปจนถึงฌานระดับที่สูงกว่านี้  ซึ่งแต่ละฌานล้วนมีหน้าที่ ในการเผากิเลสเหมือนกันทั้งหมด  

ในตอนหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่า เพียงแค่คนที่ทำฌาน อย่างได้  คือ ตั้งแต่ขั้นแรกไปจนถึงขั้นที่ อย่างใดอย่างหนึ่งนี้จนเกิดความชำนาญผู้นั้นจะไหลไปสู่นิพพาน(นิพพานนิ นโน)  จะน้อมไปสู่นิพพาน(นิพพานโปโณ)  และทำนิพพานให้เต็มบริบูรณ์ได้ (นิพพานปัพภาโร)

ในพระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกได้บรรยายคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงได้ปัญญาในการ ตรัสรู้ว่า เพราะสาเหตุมาจากการได้ฌานเหล่านี้เป็นฐานให้ ตั้งแต่ฌานที่ ไปจนถึงฌานที่ ๘  หรือจะพูดให้ถูกต้อง ก็เป็นเพราะผลมาจากฌานสมาธินี้เองที่ทรงทำให้มีปัญญาตรัสรู้ได้  ดังนั้น แสดงว่าฌานสมาธินี้มีผลต่อการบรรลุธรรมในทางพระพุทธศาสนาโดยตรง และที่สำคัญฌานยังเป็นข้อสำคัญของมรรคมีองค์ ประการ ข้อสุดท้าย คือ สัมมาสมาธิ (สมาธิที่ประกอบด้วยฌาน) ถ้าขาดข้อนี้ มรรคก็คงเหลือแค่ มรรค ไม่ครบองค์แห่งการตรัสรู้แน่นอน

 

ในพระพุทธพจน์บทหนึ่งได้พูดถึงฌานที่ทำให้เกิดปัญญาและปัญญาได้มาจากฌาณว่า  

นัตถิ  ฌานัง  อะปัญฺญัสสะ แปลว่า ฌานไม่มีกับคนที่ไม่มีปัญญา  
นัตถิ  ปัญญา  อะฌายิโน แปลว่า  ปัญญาก็ไม่เกิดกับคนที่ไม่มีฌานเหมือนกัน

และพระพุทธองค์ก็ยังทรงย้ำสรุปต่อไปอีกว่า
ถ้าผู้ใดมีฌานจนทำให้เกิดปัญญาหรือมีฌานและมีปัญญา ผู้นั้นจะได้อยู่ใกล้นิพพาน (นิพพานสันติเก) อย่างแน่นอน

           การได้ฌานสมาธิที่เป็นผลมาจากการฝึกจิตเป็นระบบตามวิธีการสอนของพระ พุทธเจ้า ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้ฝึกสามารถสำเร็จผลของการเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ อย่างสมบูรณ์  ดังมีคราวหนึ่งในตอนเย็นวันพระ  ๑๕  ค่ำ  พระอานนท์ได้ยืนมอง พระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินที่มีรัศมีส่องประกายก่อนจะลับขอบฟ้าไปอย่างสวย งามมาก  ท่านยืนมองไปจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ครั้นหันกลับมามองไปยังทางทิศตะวันออกซึ่งพระจันทร์เต็มดวงกำลังโผล่ขึ้นพ้น ขอบฟ้าขึ้นมาอีกฟากหนึ่ง พระจันทร์เต็มดวงในวันเพ็ญก็สวยงามไม่แพ้พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเหมือนกัน ท่านพระอานนท์กำลังดื่มด่ำกับการมองพระอาทิตย์และพระจันทร์อยู่ แต่เมื่อกลับหลังหันมามองพระพุทธเจ้าซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางหมู่ภิกษุสงฆ์ภาย ใต้แสงจันทร์อันนวลผ่อง แต่พระรัศมีของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายออกมากลับมีความสวยงามกว่าแสงพระ อาทิตย์และแสงดวงจันทร์ที่กำลังโผล่ขึ้นขอบฟ้ามาเสียอีก
           พระอานนท์ได้กราบทูลเรื่องนี้แก่พระพุทธองค์ว่า แสงแห่งพระอาทิตย์ในเวลาจะตกดินและแสงพระจันทร์เต็มดวงที่ขึ้นสู่ขอบฟ้าใน ยามที่ปราศจากเมฆหมอก ยังสวยสู้พระรัศมีของพระพุทธเจ้าไม่ได้
พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบายถึงสิ่งที่รุ่งเรืองและงดงามในโลกนี้ อย่าง  คือ  

พระอาทิตย์  จะรุ่งเรืองในตอนกลางวัน  
พระจันทร์จะรุ่งเรืองในตอนกลางคืน  
พระราชาจะรุ่งเรืองในขณะทรงเครื่องพระราชอิสริยยศ
เหล่านักพรตผู้ที่จะรุ่งเรืองที่สุด ก็คือ ผู้มีฌาน
แต่พระพุทธเจ้าจะรุ่งเรืองทั้งกลางวันทั้งกลางคืนเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
จากเรื่องฌานสมาธิที่พูดมานี้ แสดงว่าการมีฌานสมาธิไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจตามที่มีหลายคนเข้าใจ แต่เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญควรยกย่องและควรเชื้อเชิญให้มีการนำไปฝึกปฏิบัติ กันมากๆ เพื่อผลแห่งการชิมรสพระสัทธรรมของพระพุทธองค์

           การทำสมาธิด้วยวิธีการทางพระพุทธศาสนาที่สามารถทำฌานสมาธิให้เกิดได้นี้ ไม่ว่าจะเป็นกสิณชนิดใดก็ตาม สามารถทำฌานได้สูงสุดเหมือนกัน และเมื่อเราทำภาพนิมิตกสิณให้เด่นชัดขึ้นมาในใจได้ ภาพกสิณที่ผุดขึ้นมาในใจนั้นจะเด่นชัดยิ่งกว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดินหรือ กำลังโผล่พ้นขึ้นขอบฟ้าในยามเช้ามืดเสียอีก  ในขณะที่เราเห็นภาพกสิณนิมิต เช่นนี้บ่อยๆ จิตจะสามารถหยุดนิ่งอยู่กับอารมณ์กสิณนั้นได้ และเมื่อเพ่งอยู่กับนิมิตกสิณนั้นนานๆ จิตเริ่มเป็นสมาธิมากขึ้น

ดังนั้น ผลของสมาธิที่ได้จากฌาน จึงทำให้เกิดปัญญารู้เข้าใจความจริงขึ้นมาได้ เพราะอำนาจของฌานสมาธินี้เป็นผลทำให้เกิด ท่านจึงเรียกว่า ฌานเป็นเหตุ  ญาณ(ความรู้)เป็นผล  หรือสมถะเป็นเหตุ  วิปัสสนาเป็นผล  

ทั้งฌานและปัญญา ๒  สิ่งนี้จะต้องเกิดต่อเนื่องกันไปไม่ใช่แยกกันทำ

   การปฏิบัติธรรมด้วยวิธีการปฏิเสธฌานสมาธิ  จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เกิด ฌานได้ เพราะเมื่อปฏิเสธฌานที่เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาแล้ว ปัญญาที่หวังกันจึงเกิดขึ้นไม่ได้ และอีกอย่างหนึ่งเพราะความเข้าใจผิดของผู้ปฏิบัติเอง ที่มุ่งเน้นเพื่อให้เกิดปัญญาโดยทั้งๆที่ไม่มีฐานรองรับจึงไม่อาจจะทำให้ สำเร็จได้ เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้คนจำนวนมากคิดว่า ฌานสมาธิเป็นเรื่องเกินเลยวิสัยไม่อาจทำได้ในยุคปัจจุบัน แต่ถ้าเรารู้ถึงหลักวิธีการและปฏิบัติตามวิธีที่พระพุทธเจ้าวางไว้ก็สามารถ ที่จะทำได้ เพราะว่าวิธีปฏิบัติหรือการบรรลุมรรคผล พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็น    อกาลิโก  แปลว่าไม่ขึ้นต่อยุคต่อสมัย สามารถปฏิบัติได้ตลอดทั้งในอดีต  ปัจจุบัน  และในอนาคต  ถ้าเราชาวพุทธรู้ หลักการข้อนี้แล้ว การเดินตามรอยบาทของพระพุทธองค์ก็คงไม่ยากเท่าที่ควรนัก ขอเพียงอย่างพึงด่วนสรุปว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้นก็พอ
ในแต่ละองค์ฌานนั้นจะมีสิ่งที่สามารถละนิวรณ์ให้สงบลงได้ ตามขั้นของฌานที่นักปฏิบัติเข้าได้ (ในที่นี้ขอเอ่ยถึง เฉพาะ สัมมาสมาธิ หรือ ฌาน ๑-๔)
ฌาน วิตก ละ ถีนมิทธะ , วิจาร ละ วิจิกิจฉา
ฌาน ปีติสุข  ละ พยาบาท
ฌาน สมาธิ ละ ความฟุ้งซ่าน
ฌาน อุเบกขา ละ กามฉันทะ
การที่นักปฏิบัติจะสามารถเข้าองค์ฌานในแต่ละฌานได้นั้น จำเป็นที่จิตจะต้องสามารถละนิวรณ์ในแต่ละตัวลงได้เสียก่อน มิเช่นนั้นจิตก็จะไม่เข้าสู่องค์ฌานในแต่ละขั้นนั้นๆ ดังนั้น สัมมาสมาธิในฌาน
๑-๔ นี้ จึงเป็นสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญาในการละกิเลสไปในตัว เพียงแต่ตรงจุดๆนี้จะเป็นจุดที่เป็นเหมือนทางเชื่อมที่แบ่งเป็นสองทาง ขึ้นอยู่ที่สภาวะจิตของนักปฏิบัติแต่ละท่านว่า จะน้อมจิตไปสมาธิโดยใช้ปัญญาที่เกิดขึ้นแต่เพียงเพื่อให้จิตเข้าสู่ความสงบ หรือเข้าสู่องค์ฌานอย่างเดียว หรือ จะสามารถใช้ปัญญาในการพิจารณาคุณและโทษเหตุเกิดและเหตุดับของกิเลสต่างๆควบ คู่กันไปด้วยจนกระทั่งจิตรวมเป็นสมาธิเข้าสู่องค์ฌาน
หากเป็นแบบแรก ก็จะเรียกจิตที่หลุดพ้นจากนิวรณ์และกิเลสต่างๆ(ชั่วคราว)ว่าเจโตวิมุตติ ซึ่งองค์ฌานเช่นนี้จะไม่ได้ตัดกิเลสให้ขาดหมดจดออกไปจากจิต แต่แม้ว่าจะไม่ได้ตัดกิเลสให้ขาดไป แต่การเจริญฌานบ่อยๆจะเป็นการเสริมสร้างอินทรีย์ของนักปฏิบัติให้มีความแก่ กล้ามากขึ้น ทำให้รู้สึกหรือรับรู้ได้ว่า กิเลสต่างๆนั้นเบาบางลง และเราสามารถควบคุมจิต มีสติ และ สัมปชัญญะ ได้ดีขึ้น
ส่วนแบบที่สองคือ นักปฏิบัติที่เข้าสมาธิ เข้าสู่องค์ฌาน โดยการใช้ปัญญาพิจารณาเห็นถึงคุณโทษ เหตุเกิด และ เหตุดับของกิเลสต่างๆประกอบกันไปด้วย(ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะมีความแยบคายแตก ต่างกันไปตามจริตและอินทรีย์ของแต่ละบุคคล) เมื่อจิตเข้าสู่องค์ฌานในแต่ละฌาน ด้วยกำลังของจิตที่เป็นสมาธิ ควบคู่ไปกับญาณปัญญาที่เกิดขึ้น ก็จะทำให้ในขณะที่จิตเลื่อนขั้นไปสู่ฌานต่างๆนั้น นิวรณ์และกิเลสสังโยชน์ต่างๆ ก็จะถูกประหัตประหารถูกขจัดให้หมดไปโดยเด็ดขาด ด้วยกำลังของทั้งสมาธิและญาณปัญญาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ตรงนี้เราเรียกการหลุดพ้นจากกิเลสแบบนี้ว่า "ปัญญาวิมุตติ" เป็นการหลุดพ้นที่กิเลสจะไม่กลับมาเกิดขึ้นอีก

 

หากเหล่าท่านก้าวสู่ความเพียรนั้น

ธรรมรมณ์นี้หาใช่สิ่งยากอันใดไม่

แล้วจิตท่านจักแยกสรรพสิ่งออกจากความมืดได้ใสงามเสียยิ่งนัก

จักขจัดสิ้นนความมัวหมองพบธรรมที่เบิกบานแลท่านผู้จำเริญ

แลธรรมนี้เราจักกลับมาลบในราตรีที่เรากลับสู่ป่าไผ่

ขอเหล่าท่านจงสำเนาไว้ตีความเถิด

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ (weruwan-we-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 21:36:42


ความคิดเห็นที่ 41 (1545298)

ขออนุโมทนาบุญอันยิ่งใหญ่กับท่านผู้มาจากป่าไผ่ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เพ็ญศิริ บุตรมนต์ (opensirio-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 21:37:26


ความคิดเห็นที่ 42 (1545304)

 ถ้อยคำไพเราะตรึงจิต ทุกประโยคแฝงไว้ด้วยธรรมะเตือนใจ ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานค่ะ ท่านเวฬุวัน ว.มุจลิทร์ ผู้มาจากป่าไผ่

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 22:02:32


ความคิดเห็นที่ 43 (1545305)

 

ท่านแมวประวีณาผู้จำเริญยิ่ง

*****************

อุ้ย...เรียก แมว ว่า ท่านเลย

เขิลล์ ค่ะ

ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ให้เกียริต์

เรียก แมว ก็พอค่ะ

อ่านแล้ว...รู้สึก อาย

และไม่เป็นกันเองเลย

และที่สำคัญ นะคะ

ตัวแมวเอง...

เป็นเพียงผู้ต่ำต้อย

แต่มัคุณค่า นะคะ

ตั้งแต่ได้

ได้สัมผัสกับ

อ.อุบล บ้านสวนพิรามิด ค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมวประวีณา (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 22:03:42


ความคิดเห็นที่ 44 (1545308)

 ขออนุญาตใช้ถ้อยคำอย่างปุถุชนคนธรรมดานะครับ...ผมเฝ้าคอยอ่านข้อความของท่าน เวฬุวัน ว.มุจลินทร์  มาตั้งแต่เริ่มตั้งกระทู้ ซึ่งก็ให้รู้สึกแปลกใจนิดๆ กับการใช้คำอันสละสลวย แฝงไปด้วยธรรมะ และยิ่งอ่านก็ยิ่งได้รับรู้ถึงความละเอียดในเนื้อความ อีกทั้งรูปท่านท่าวเวสสุวรรณ เมื่อเห็นครั้งแรก ผมก็ขนลุกด้วยความศรัทธาในทันที และคิดว่าท่านเวฬุวัน น่าจะมีอะไรจะบอกกล่าวมากกว่านี้...และวันนี้ก็ได้อ่านสิ่งอันเป็นธรรมทาน และเป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ขอกล่าวอนุโมทนาสาธุ กับสิ่งดีๆ เหล่านี้ด้วยนะครับ

ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งรับรู้และเข้าใจ กับสิ่งที่ท่านได้เปรียบเปรยเป็นเชิงอุปมา ดั่งเช่น ไปซื้อมะม่วงที่ตลาด แต่กลับได้ทุเรียน ด้วยเหตุปัจจัยที่แปรเปลี่ยนไป...นำน้ำตุ่มเดิมที่เขาตักไว้ มาตักต่อเพื่อไม่ให้เสียความตามกุศล ด้วยจิตใจที่เกื้อหนุนให้ต่อยอดกุศลด้วยความเพียรพยายาม...และอีกหลายๆ เนื้อความที่น่าสนใจใฝ่หาธรรม

ด้วยจิตอันเป็นกุศลของท่าน ที่คิดจะฝากธรรม หรือเป็นอีกแรงจิตแรงใจหนึ่ง ที่ยินดีจะช่วยผ่อนแรงท่านอาจารย์อุบล ในทางจิตใจของญาติธรรมในที่นี้ ซึ่งสำหรับตัวผมเอง สิ่งที่ท่านนำเสนอให้อ่านนั้น ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ อย่างน้อยตัวผมเองก็ซาบซึ้งใจอยู่พอสมควร...

ดังนั้น จะสมควรมั้ยครับ ถ้าหนึ่งดวงจิตของผม ขอให้ท่านเวฬุวัน ได้อยู่เป็นแรงใจและเป็นธรรมทานต่อไป เพื่อกาลข้างหน้า ที่เราจักต้องเดินรอยตาม ตถาคต ด้วยความศรัทธายิ่งครับ...ขอท่านโปรดพิจารณาด้วยนะครับ 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 22:48:14


ความคิดเห็นที่ 45 (1545316)

ขออนุโมทนาบุญอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้กับท่าน เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ด้วยนะคะ  ได้รับสัมผัสจากสื่อของท่านแล้ว ขอกราบขอบพระคุณค่ะที่ช่วยมาเตือนบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญ เพื่อจะได้เร่งความเพียรนับแต่นี้

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญชลา บุตรโส (anchala_23580-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 23:44:38


ความคิดเห็นที่ 46 (1545320)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เรารียนรู้ความมาเยี่ยงนี้แลท่าน

 

ขอความจำเริญในธรรมจงมีแด่ท่านแล

 

ในความนั้น

 

ผลจึงเปลี่ยน

 

เหตุจึงเปลี่ยน

 

ด้วยปัจจัยเปลี่ยน

 

 

 

ในชัยชำนะของลมหายใจให้ต่อความในชีวิต

 

ให้ชีวิตเจ้าได้ก่อเกิดต่อดำรง

 

กุศลที่กระทำในเจ้าปลา

 

จึงเข้าใจในปัจจัยที่แปรเปลี่ยนเหตุ

 

ท่านอาจารย์เห็นเช่นนั้น

 

 

 

บุรุษผู้นั้นได้เล่าแจ้งแถลงไขตามความที่เกิด

 

เจ้าศิษย์รักได้กระทำการเช่นไรบ้าง

 

จึงถามไถ่ในเพลาใกล้ความนั้น

 

เยี่ยงใดศิษย์รักจึงมิสิ้นตามที่เคยทายชะตาไว้

 

ท่านอาจารย์เห็นเช่นนั้นจึงแปลกจิต

 

 

 

จึงออกเดินทางไปสู่อาจารย์เพื่อถามความ

 

เช่นไรครานี้หนอจึงพลาดผิดสิ้นชื่อเสียงได้เยี่ยงไร

 

ท่านอาจารย์ทำนายมิเคยผิดทุกกระทงความ

 

เยี่ยงไรหนอเรานี้ยังหาตายสิ้นลมอันใดไม่

 

ครั้นล่วงเลยไปสิบกว่าวัน

 

กลับสู่ถิ่นเกิดด้วยจิตที่อาลัยในลมหายใจ

 

จึงจับเจ้าปลาทั้งหมดไปปล่อยในแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ที่มิไกล

 

ด้วยจิตเห็นว่าทุกข์ความตายทรมารหนักหนา

 

รอน้ำหมดสิ้นจากแอ่งจักพบความตายมิหวนกลับ

 

ดินไปมาด้วยทุกข์แสนสาหนักหนา

 

มิต่างจากเจ้าปลาอยู่ในแอ่งน้ำที่แห้งขอด

 

อาลัยหนักหนาที่รู้วันเพลาแห่งสิ้นลมหายใจ

 

ด้วยจิตที่เมตตารู้ทุกข์ในความตายชั่งหมองหม่นนัก

 

อยู่ในแอ่งน้ำที่กำลังแห้งขอดด้วยทุกข์ทรมารนัก

 

ระหว่างทางได้พานพบประสบเหล่าปลาสักสิบตัว

 

เด็กชายผู้นั้นยิ้มรับความตายกลับไปตายถิ่นเกิดด้วยจิตเศร้าหมอง

 

ด้วยเหตุดังคำทำนายมิเคยผิดผัน

 

จึงได้ออกเดินทางแลสั่งลาทุกกระทงความ

 

ด้วยประเพณีชาวจีนจักต้องกลับไปตายในบ้านเกิด

 

เมื่ออายุจักย่างก้าวเข้า ๕๐ ปี

 

ได้พานพบประสบความสำเร็จกิจตามคำทำนายทุกอย่างสิ้น

 

เด็กชายวัยเติบโตได้เพียรมานะสู่หนทาง

 

 

 

เมื่ออายุผ่าน ๗ วันเมื่อเข้าสู่ ๕๐ ปีบริบูรณ์

 

แต่ท้ายสุดเด็กชายวัยเติบโตได้เติบโตนี้จักต้องสิ้นชีพชะตาทราม

 

แลอีกมากมายที่ท่านอาจารย์ผู้นี้ทำนายไว้ในเด็กชายวัยเติบโต

 

จักเป็นเอกเลิศในแผ่นดินงานข้าแผ่นดิน

 

เจ้าจักเติบใหญ่ได้เป็นเจ้าคนนายคนที่ยิ่งใหญ่มิมีผู้ใดเหมือน

 

ได้กล่าวกับเด็กชายวัยเติบโตวันจบการเรียนรู้

 

ถูกความสิ้นมิผิดผัน

 

สอนสั่งมนุษสาเป็นเอกในแผ่นดินศรี

 

เป็นปราชญ์เลิศปัญญาชี้ทางธรรม

 

อาจารย์ท่านนี้ทำนายทายทักเหมือนดังฟ้าดินกำหนดชะตามนุษสา

 

เพียรจบเอกเลิศเป็นศิษย์รักท่านอาจารย์มีเมตตา

 

มีเด็กชายวัยเติบโตได้เพียรเรียนรู้ในวิชา

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-13 23:54:40


ความคิดเห็นที่ 47 (1545326)

 

 

อนุโมทนาค่ะ..ยิ่งอ่านยิ่งเพลินจริง ๆ

สาธุ สาธุ สาธุ

 

(น้องเข้าใจแล้ว..ลบ..ข้อความที่เขียนได้ แต่ลบกระทู้่ไม่ได้นั่นเอง)

(ที่ไม่เข้าใจ ทำมัย ต้องลบทิ้งด้วยคะ..อักษรางดงามควรค่าแก่การธำรงค์)

ผู้แสดงความคิดเห็น พิชญ์นันท์ (pitcha_nate-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 00:59:34


ความคิดเห็นที่ 48 (1545337)

ทุกสิ่งที่เกิด หาใช่เหตุบังเอิญไม่ แต่ถึงแม้ว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้วก็ตาม

แต่ชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอน

เพราะถ้าเหตุ..เปลี่ยน ผล...ก็ย่อมเปลี่ยน...ได้เสมอ

 

อนุโมทนาในภาษาธรรมอันสละสลวยและแยบยลล้ำลึก

จากคุณเวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ด้วยนะคะ ที่ยื่นเทียนพร้อมแสงสว่าง

ส่งมาให้พวกเราได้จุดต่อ..กันไปเรื่อยๆ ซักวันนึง ผืนแผ่นดินนี้

อาจจะสว่างตั้งแต่บ้านสวนฯจนถึงป่าไผ่ก็ได้...สาธุ.....

เพราะในที่สุดแล้วภาระกิจของคุณเวฬุวัน อาจจะไม่ใช่แค่เพียง

เฟ้นหาทหารของท่านพระนเรศวรเท่านั้น..ก็ได้นะคะ...

เพราะสิ่งที่คุณเวฬุวันฯ ทำอยู่นี้ อาจจะส่งผลต่อมวลชน..

ได้มากกว่าที่แรกเริ่ม..ตั้งใจไว้ก็ได้

 

ว่าแล้วก็อยากยลโฉมเจ้าของสำนวนงามๆแบบนี้บ้างจังเลยนะคะ

ถ้าหาโอกาสได้ ก็แวะไปที่บ้านสวนฯให้พวกเราได้ทำความรู้จักบ้างนะค๊า...

 

อนุโมทนาล่วงหน้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 05:48:07


ความคิดเห็นที่ 49 (1545339)

อักษราบางวลีจารออกจากจิต

หากปล่อยทิ้งไว้เกรงจัดเกิดอกุศล

ผู้มิเข้าใจในความนั้น

จักก้าวล่วงในปรามาสความ

เพราะเรามิได้เข้ามาตอบแก้ไขตามความนั้น

เขาจักติดขัดในวาระที่หารู้ไม่

เราเกรงเป็นเยี่ยงนั้นแลท่าน

เราก็หวังว่า

ในวันพรุ่ง

เราคงมีวาสนาในเหล่าท่าน

ที่จักได้พานพบประสบพักต์

ในวาสนาที่เราจักร่วมต่อ

นำน้ำที่ท่านเคยตักไว้เมื่อภพก่อน

นำมาตักต่อในภพนี้มิต้องให้เหนื่อยมากความ

.............

ท่านอาจาย์อุบลผู้มากด้วยเมตตา

ผลิว่าสักครู่นี้

เพลา ๐๗.๒๕ น. แลเมื่อราตรีที่ผ่านมาเพลา ๒๑.๑๐ น.

ท่านรู้สึกเช่นไรบ้าง

หากเรามีวาสนาในธรรมแล้วไซร้

ท่านคงรับได้ในสิ่งนั้น


 

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 06:11:25


ความคิดเห็นที่ 50 (1545342)

แต่ก็จริงค่ะ บางคนมองผ่านแค่เปลือก..เห็นสีแปลกๆ ไม่คุ้นชิน

ก็อาจจะ"มีความคิด"ก้าวล่วงและจาบจ้วงได้...อย่างรวดเร็ว..

ฉะนั้น ชนิดาก็คงจะเคารพการตัดสินใจ ที่ผ่านการพิจารณา

มาอย่างถ้วนถี่ของคุณเวฬุวันฯแล้ว....

 

แต่"ธรรม"ซ้อน"ธรรม" ที่มาในรูปแบบเช่นนี้

หาอ่านได้ยากจริงๆค่ะ....ถ้าอย่างไรก็ลองพิจารณาอีกทีนะคะ

 

แต่สงกะสัยว่า ท่านอ.อุบลและคุณเวฬุวัน คงจะได้พบกันแล้ว...

ตามเวลา...นั้น...

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 06:39:15


ความคิดเห็นที่ 51 (1545344)

นมัสเตสู่ท่าน

เรารู้แล้วล่ะท่าน

เยี่ยงไรเราต้องมาสู่บ้านท่าน

ด้วยเหตุในสหายเก่านี่เอง

บัดเดี๋ยวนี้ท่านมาเป็นหญิงผู้ชี้ทางธรรมนำผู้คน

เราขออนุโมทนาในกุศลจิตนี้ด้วยท่าน

 

ชั่งน่าเสียดายเราติดต่อโทรสู่ท่านเมื่อสักครู่

เราหาได้มีวานสนาสนทนากับท่านไม่

แม้นผู้รับสายก็มิเข้าใจความเรานี้หนา

คงเป็นโชคชาตาที่มิอาจกล่าวต่อกันได้

แต่เยี่ยงไรหนอคำถามอื่นจึงได้รู้เกิดในจิต

 

 

 

 

ก็คงมิแปลกคำถามสุดท้าย

ที่เราถามต่อองค์ท่านมิกล่าวเฉลยไขในวาระหนึ่ง

คงเป็นนัยที่เรามิอาจสนทนาสู่ท่านได้

 

เราก็ยินดีที่ได้พบประสบอักษราท่านอาจารย์ในกายนี้

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 07:52:15


ความคิดเห็นที่ 52 (1545353)

ผู้ใดปลูกมะม่วงย่อมได้กินผลมะม่วง

หาได้กินผลอื่นไม่

เรียนรู้การปลูกต้นมะม่วง

เรียนรู้เฝ้าถนอมบำรุงรักษา

สักวันหนึ่งจักรู้ความเจนจัดในเรื่องต้นมะม่วง

ท่านจักสามารถบังคับผลมะม่วงให้ออกนอกฤดูการอันเลิศรสขายมากราคา

หากเรียนรู้เข้าใจในความความปลูกมะม่วง

ผู้ใดมีปัญหาในเรื่องมะม่วง

ท่านก็สามารถแก้ไขความปัญหาในมะม่วงนั้น

ณ ตรงนั้นต้องใช้สิ่งใดแก้ไขความ

ณ ตรงนี้ต้องใช้อันใดมาเยียวยา

มะม่วงต่างหลากสายพันธุ์

ต่างมีปัญหามากมายในต้นนั้น

ต้องผู้มีปัญญาในต้นมะม่วงนั้นจักชี้ความได้แจ้งชัดธรรม

แก้ไขแก้ความตามเหตุแห่งปัญญา

มะม่วงย่อมเติบใหญ่ออกผลได้เลิศรส

อันวาระธรรมนำจิตในผู้คน

เป็นไปตามจริตที่พึงเพียรพบในแต่ละท่าน

บ้างต้องการรู้บ้างต้องการเห็นบ้างต้องการเป็นต่างๆนาๆ

บ้างรู้หมดเจนจัดในอักษรธรรม

 

วันหนึ่งนายอินกับนายสมชายมารู้จักกันในป่าท่องเที่ยว

มิต่างความนายอินมีเงินเพียงพันบาท

นายสมชายมากรู้ในค่าเงิน

สามารถนำเงินมาลงทุนแปรเปลี่ยนทรัพย์มากค่าได้ตามความรู้

หยังเย้ยนายอินผู้จนนัก

ข้านี้หนาจบจากนอกทำงานในสถาบันการเงินอันลือชา

ทำกำไรให้บริษัทเป็นพันล้าน

ส่วนเจ้าทำนาเหนื่อยหนักหนาข้าสงสารนัก

ข้าก็มิอาจจักช่วยอันใดในความรู้เจ้า

นายอินได้แต่ยิ้มกล่าวมิเป็นไรในความหวังดี

คราครั้งออกจากป่าต่างเพลิดเพลินเกินเพลา

รถมิรอช้าทิ้งทั้งสองตกรถให้อาวรณ์

นายสมชายตกใจเสียการใหญ่

ท้องหิวโหยมิมีอันใดดับกระหาย

เงินแม้นสักบาทมีอาจมีนำมาจับจ่าย

ด้วเหตุติดอยู่บนรถที่จากไป

ซื้ออาหารดับหิวให้สิ้นทุกข์

นายอินเดินเข้าร้านสั่งข้าวผัดอิ่มอุรา

ชวนนายสมชายผู้รู้ความมาแบ่งกันกินจนอิ่มหนำ

"ท่านสมชายมิต้องกังลวเอย

อันเรานี้มีเพียงพันบาทจักช่วยท่านได้

เสร็จกิจอาหารนี้เราจักนั่งสองแถวเข้าเมื่อไปท่ารถ

กลับบ้านเราตามเคหะตนมิต้งกังวล

เรานี้จักตีตั๋วส่งท่านถึงถิ่นบ้านท่านมิต้องอาวรณ์

มีเงินเพียงพันบาท"

 

อุปมาแลท่านคำว่ารู้จึงต่างจากคำว่ามี

รู้ค่าของเงินมิอาจจับจ่ายบำบัดตนได้

มิต่างจากต้นมะม่วงเฉกเช่นกันแลท่าน

รู้ธรรมมีธรรมก็ต่างเฉกเช่นนั้น

ขอให้ทุกท่านจงเพียรมีตามจริตแห่งตนเพื่อพ้นวังวนวัฎฎ

จงอย่าได้นำศราตราธรรมไปเป็นศาสตราวุธเข้าห้ำหั่นกัน

จงนำศราตราธรรมไปประหากจิตแห่งตน

เข้าสู่ราตรีแห่งความเพียรนั้นจักสิ้นสงสัยแล

ผู้แสดงความคิดเห็น เวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 09:36:28


ความคิดเห็นที่ 53 (1545358)

โมทนาบุญด้วยคะคุณวุฬุวัน   ว.มุจลินทร์

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 09:56:39


ความคิดเห็นที่ 54 (1545360)

ขอแก้คำผิดคุณเวฬุวันจากข้อความที่53  ยังไม่ได้สักฌาณเลยจึงไม่ค่อยรู้ แต่รู้ว่าดีแค่นั้นพอเมื่อถึงนั้นคงรู้แน่นอนดิฉันเป็นแม่บ้านเวลาไม่นอนฝึกตอนทำงานว่างก็หาที่ตั้งให้จิต

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 10:03:39


ความคิดเห็นที่ 55 (1545386)

 

ขออนุโมทนาในทุกๆธรรมทานค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์วิญาณ์ (tata_su22-at-windowslive-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 12:00:38


ความคิดเห็นที่ 56 (1545413)

ปูขออนุญาติบันทึกข้อความของคุณเวฬุวันไว้อ่านนะคะ ปูไม่ฉลาดค่ะต้องอ่านหลายรอบถึงจะเข้าใจ ขออนุญาตินะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปูค่ะ (kajadu-at-sanook-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 13:27:38


ความคิดเห็นที่ 57 (1545414)

ขออนุโมทนา

ในธรรมทานนี้ค่ะ

คุณ

เวฬุวัน...ว มุจลินทร์

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 13:58:42


ความคิดเห็นที่ 58 (1545447)

อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

บทความของท่านอ่านแล้วไพเราะมากค่ะ

ขอบคุณค่ะสำหรับธรรมทานในครั้งนี้

ผู้แสดงความคิดเห็น ตฤณ (voravee_pat-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 17:12:50


ความคิดเห็นที่ 59 (1545479)

อนุโมทนาค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น kuris (kurissala-at-william-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 19:20:35


ความคิดเห็นที่ 60 (1545484)

 

ขออนุโมทนาในธรรมทาน และ อักษราที่ไพเราะ ซึ่งยากนักจักมีผู้ใด

ประดิษฐ์คำได้เทียมท่าน เวฬุวัน ว.มุจรินทร์

กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีจริงๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น เพชรดา วรรณรักษ์ (fareastinn-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 19:48:00


ความคิดเห็นที่ 61 (1545489)

ได้อ่านอักษราอันไพเราะ

อ่านแล้วทำไมสุขใจยิ่งนักเหมือน

ได้อยู่ในเพลานั้น

รู้สึกสุขใจยิ่งนัก

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 20:04:20


ความคิดเห็นที่ 62 (1545494)

 

ขออนุโมทนาบุญกับท่านเวฬุวัน ว.มุจลินทร์ด้วยค่ะ

ได้อ่านข้อความแล้ว ชอบมากค่ะ

ภาษาไพเราะมาก ๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น จันทร์เพ็ญ (janpen-dot-ank-at-rd-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-14 20:41:45


ความคิดเห็นที่ 63 (1545607)

 

ขออนุโมทนาในทุกๆธรรมทาน และคุณเวฬุวัน ว.มุจลินทร์ ด้วยค่ะ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาฝากชาวบ้านสวนพีระมิด

คน..ที่ท่านตามหานั้นท่านเจอแล้วหรือไร

แจ้งข่าวให้เราฟังบ้างจะได้หรือไม่หนอ

เพื่อเราจะได้ตระเตรียม ไว้สำหรับการณ์ข้างหน้าได้ทันท่วงที

แม้ข้อความนี้ ก้าวล่วงต่อท่านจงอย่างใส่ใจ

ด้วยความโง่นี้ไซร้ จึงใคร่อยากถามท่าน

ผู้แสดงความคิดเห็น กัญญ์วิญาณ์ (tata_su22-at-windowslive-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-15 00:51:13


ความคิดเห็นที่ 64 (1545759)

ขออนุโมทนาในทุกคำสอนและญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ  สาธุ  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น siri sutjai (siri-dot-1978-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-16 10:09:06


ความคิดเห็นที่ 65 (1546404)

ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-19 12:39:20


ความคิดเห็นที่ 66 (1546456)

 


นมัสเตเช่นกันค่ะ

อ่านข้อความคุณแมวแล้วขำมาก  ลูกตลกมากมายนะ

คงจะเป็นคุณหญิงมุข.............มาเกิด

ชอบค่ะ

และก็ชอบค่ะเจ้าของกะทู้

แล้วเจอกันใหม่นะจ๊ะ>>>>>>>>>>>

ผู้แสดงความคิดเห็น sobiday (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-19 15:37:06



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.