ReadyPlanet.com


ธรรมะจากพระนิพพาน : ประสบการณ์สมาธิตรงของผู้ปฏิบัติตามพระพุทธองค์


ผมเห็นว่า เป็นบทความที่ดีมาก มีสาระ ความรู้ จากประสบการณ์ในการทำสมาธิของผู้ประพฤติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ และธรรมะของพระพุทธองค์ที่ท่านผู้นี้นำมาถ่ายทอดนั้น มีคุณค่ามากมาย ปฏิบัติง่าย เป็นกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรม อ่านแล้วเพลิดเพลิน ไม่เครียด อย่างที่ท่านอาจารย์อุบลสอน ว่าธรรมะ ของพระพุทธองค์นั้น ทำง่าย แต่พวกเราไม่เข้าใจ ไปทำยากกันเอง

ที่มา : ขอบคุณและโมทนาบุญคุณ Me,Myself จากเว็ปพลังจิต



ผู้ตั้งกระทู้ ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-19 20:30:00


[1] 2 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 1 (1540949)

คนใกล้ตายถ้าจิตนึกถึงพระนิพพาน จะไปพระนิพพานได้จริงหรือไม่

คืนหนึ่ง ได้ขึ้นไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่มีคำถามค้างคาใจจะไปถามด้วย ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม องค์ตถาคตก็เอ่ยขึ้นก่อน

ตถาคต - เอ้า ว่าอย่างไร มีอะไรจะถามเรา

ดิฉัน - เจ้าค่ะ ตถาคต คือมีเรื่องสงสัยน่ะค่ะ จากที่ศึกษาหนังสือที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้ว่า คนที่ใกล้จะตาย ถ้าหากว่าจิตตอนนั้นนึกถึงนิพพาน ก็ไปนิพพานเลย จริงเหรอเจ้าคะ

ตถาคต - จริง

ดิฉัน - เพราะบางเรื่อง เห็นมีคนก็ทำชั่วไว้เหมือนกัน แต่พอจะตาย ก็เห็นพระอริยะ แล้วก็เลยได้ปิติ กลายเป็นได้ไปนิพพานเลย ไม่ลงนรก

ตถาคต - ถูกต้องแล้ว

ดิฉัน - งั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องทำดีก็ได้นี่คะ ในเมื่อพอจะตาย ก็นึกถึงพระ นึกถึงนิพพาน เราก็ไปสวรรค์ ไปนิพพานได้เลย อย่างนี้คนก็ต้องคิดว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องทำดี ทำชั่วซะก็ยังได้ไปสวรรค์นิพพาน แล้วจะทำดีไปทำไมละเจ้าคะ

ตถาคต - ดูก่อน...(ชื่อดิฉัน)....เธอคิดหรือว่า คนที่ไม่เคยฝึกจิตให้นึกถึงแต่นิพพาน ไม่เคยคิดเรื่องทำดี ทำแต่กรรมชั่ว พอท้ายที่สุด จิตจะนึกถึงพระหรือนิพพานได้

ดิฉัน - ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เจ้าค่ะ

ตถาคต - ถูกต้องแล้ว คนที่ทั้งชีวิตทำแต่กรรมชั่ว ไม่เคยทำกรรมดี พอตอนจะตาย จิตก็คิดแต่เรื่องที่ตัวเองทำไม่ดีไว้ อีกทั้งกฎแห่งกรรมก็จะคอยจ้องอยู่ ทำอย่างไร เขาก็ไม่มีทางที่จะเห็นพระหรือนิพพานได้หรอก ดังนั้นหนทางที่จะได้ไปสวรรค์หรือนิพพานจึงไม่มี สำหรับบางคนที่ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง พอตอนใกล้จะตาย จิตเป็นกุศล ก็ได้ไปสวรรค์หรือนิพพานได้ แต่ถ้าหากจิตเป็นอกุศลก็ต้องลงนรก ตถาคตถึงสอนว่าให้ทำดี ฝึกจิตให้นึกถึงแต่นิพพานเข้าไว้ บุคคลผู้ฝึกจิตให้นึกเห็นแต่นิพพาน ย่อมต้องเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรมอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะไปทำกรรมชั่ว ย่อมไม่อาจทำได้ง่าย ดังนั้นเมื่อจิตเป็นกุศล คิดแต่เรื่องดีๆ พอใกล้จะตาย ย่อมได้ขึ้นสวรรค์หรือนิพพานแน่นอน จงจำเอาไว้

ดิฉัน - สาธุ ลูกได้ความกระจ่างแล้วค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:31:58


ความคิดเห็นที่ 2 (1540951)

การมีอาชีพที่ไม่สมควร เป็นเหตุให้ตกนรกได้

จะเล่าเรื่องจากบันทึกที่จดไว้ ในการทำสมาธิของวันที่ 23 มีนาคม 2552

ว้นนี้องค์ตถาคตได้เสด็จลงมารับ แล้วก็พากันขึ้นไปที่นิพพาน ก็ได้สนทนากัน

ตถาคต - เป็นอย่างไร

ดิฉัน - ทุกข์ค่ะ

ตถาคต - ทุกข์เพราะอะไร

ดิฉัน - ทุกข์เพราะไม่มีงานทำ ทุกข์เพราะกลัวเงินจะหมด แล้วจะไม่มีเงินใช้ ทุกข์เพราะเป็นห่วงลูกแล้วก็พ่อแม่

ตถาคต - แล้วรู้สึกอย่างไร ยังอยากเกิดอีกไหม

ดิฉัน - รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากเกิดอีกแล้ว หากชาตินี้ตายไป ก็ขอไปนิพพานค่ะ

ตถาคต - ก็ต้องตั้งจิตให้นึกถึงแต่นิพพานไว้

ดิฉัน - ค่ะ วันนี้ได้เข้าไปอ่านเกี่ยวกับเรื่องนรกภูมิค่ะ แล้วก็ไปอ่านที่นักกรรมฐานคนหนึ่งบันทึกไว้ ก็เกิดความสงสัยเจ้าค่ะ

ตถาคต - สงสัยเรื่องอะไรรึ

ดิฉัน - เรื่องมีอยู่ว่า ผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกผู้ชายข่มขืน แล้วก็ตั้งท้อง ผู้ชายก็ให้ไปทำแท้ง ผู้หญิงก็ไม่ยอมทำ ผู้ชายก็ทำร้ายจนแท้ง ผู้หญิงคนนั้นจึงประชดชีวิตด้วยการขายตัว เพราะฐานะก็ยากจน ก็ขายตัวเลี้ยงพ่อแม่พี่น้อง เวลาได้เงินมา พ่อก็เอาไปกินเหล้า ใช้จ่ายจนหมด เธอไม่เคยมีความสุข ได้แต่เสียใจกับชีวิตของตัวเอง ตอนหลังเธอก็เป็นโรค สุดท้ายก็ตาย เธอเลยไปตกนรก...ทำไมเธอถึงต้องตกนรกละคะ ก็เธอทำงานหาเลี้ยงพ่อแม่พี่น้อง ก็น่าจะได้ผลบุญตรงนี้ แล้วก็ไม่ได้ทำผิดอะไรอีก นอกจากขายตัว

ตถาคต - การที่เธอเลี้ยงพ่อแม่ก็เป็นความดีที่ทำให้เธอจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี หรือไม่ก็ได้ขึ้นสวรรค์แน่ แต่เพราะจิตของเธอมีแต่ความเศร้าเสียใจ คิดแต่ว่าตัวเองไม่มีความสุข เวลาจะตาย จิตก็ไม่ได้ยึดติดกับนิพพานหรือความดี จึงทำให้เธอต้องตกนรก

ดิฉัน - แล้วทำไมเธอถึงต้องตกนรกล่ะคะ การขายตัวก็เป็นอาชีพสุจริตไม่ใช่หรือคะ

ตถาคต - ในทางโลก ในแต่ละที่ก็แตกต่างกัน บางที่ก็เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย แต่ถึงแม้จะถูกกฎหมาย ในทางกฎแห่งกรรม ตถาคตถือว่าเป็นอาชีพที่มิชอบมิสมควรจะกระทำ เพราะเป็นอาชีพที่ส่งเสริมให้คนผิดศีลข้อกาเม ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่สมควรจะกระทำ กรรมอันนี้จึงทำให้ต้องไปตกนรก

ดิฉัน - อ๋อ...เข้าใจแล้วค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:33:49


ความคิดเห็นที่ 3 (1540953)

พบสมเด็จองค์ปฐมครั้งแรก ทรงสอนให้พิจารณาว่าสังขารนี้มันไม่เที่ยงฯ

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 1 พ.ค. 52

วันนี้พอจิตเป็นสมาธิ ก็เห็นพระศาสดาเสด็จลงมารับ ก็เลยได้ตามท่านขึ้นไปที่นิพพาน ท่านก็ถามว่าเป็นอย่างไร ดิฉันก็ตอบว่า ก็เหมือนเดิมค่ะ ดำรงชีวิตเป็นปกติเหมือนทุกวัน ท่านก็ว่า ไม่ทุกข์ร้อนหรือวันนี้ ก็บอกท่านว่าก็ทุกข์ร้อนเป็นปกติของมนุษย์อยู่แล้วค่ะ ท่านก็ว่า ใช่ แล้วท่านก็ถามว่า วันนี้จะไปดูนรกอีกไหม ก็บอกท่านว่า วันนี้ไม่ไป ท่านก็เลยพาไปที่ลานแสดงธรรม ก็เดินผ่านมวลมนุษย์ เทวดา พรหมทั้งหลายไปที่ประทับ ดิฉันเดินตามหลัง มองเห็นจีวรของตถาคตสีสรรสดใสเชียววันนี้ ยังคิดในใจว่า วันนี้เห็นสีจีวรของตถาคตชัดดีแท้ๆ พอตถาคตนั่งในที่ประทับ ดิฉันก็กราบนมัสการท่านรวมถึงพระอรหันต์องค์อื่นๆด้วย

ก็ถามตถาคตว่า ทำไมให้ดิฉันมานั่งใกล้ที่ประทับ คนอื่นๆ เขานั่งกันอยู่ตั้งไกล เขาจะไม่ว่าเอาเหรอ ท่านก็บอกว่า ไม่มีใครว่าหรอก คนอื่นเขาก็เข้ามาเหมือนกัน ตถาคตไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เขามาจนกลับออกไปแล้ว ส่วนดิฉันน่ะมาช้า แล้วท่านก็ว่า เรายังไม่เคยพบสมเด็จองค์ปฐมใช่ไหม อยากเจอใช่ไหม (แหม...ท่านอ่านใจออกทุกที) ท่านก็บอกว่า สมเด็จองค์ปฐมนั่งอยู่ข้างหน้าเธอนั่นไง ดิฉันก็มองไปเห็นสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องแต่งกายแบบกษัตริย์ ดิฉันก็นั่งจ้องท่านอยู่พักหนึ่งแบบงงๆอึ้งๆ แล้วหลังจากนั้นก็ได้ก้มลงกราบท่าน

สมเด็จองค์ปฐมก็ถามถึงเรื่องการปฎิบัติ ก็ตอบท่านว่าก็ยังไม่เก่ง บางครั้งก็สงสัยแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังโง่อยู่อีกมาก พระศาสดาเลยว่า นี่แหละท่านสมเด็จองค์ปฐม คนนี้น่ะปัญหาเยอะ ข้อสงสัยก็เยอะ ท่านมีวิธีสอนบ้างหรือไม่

สมเด็จท่านก็ว่า เจ้านี่มันคิดยิบคิดย่อยไปหมด แต่เอาเถอะมีข้อสงสัยแล้วมาหาความรู้ ดีกว่ามีข้อสงสัย ไม่เชื่อ แล้วยังไม่ศึกษาหาความจริง ท่านว่าวันนี้จะสอนธรรมะง่ายๆก็แล้วกัน เรื่องสังขารของคนเรา ให้เจ้าพิจารณาว่าสังขารนี้มันไม่เที่ยง ไม่ช้าไม่นานก็ต้องแตกสลายไป มีแต่จิตเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เมื่อร่างกายสังขารแตกดับ จิตก็ต้องไปหาที่จุติ หากว่าตอนจะตายจิตมีอกุศลมากก็จะจุติในนรกทันที หากว่าจิตมีบุญมีกุศลก็จะไปจุติในสวรรค์ในพรหมหรือในนิพพานทันทีเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ทำมา

อยากให้เจ้าพิจารณาว่า ร่างกายนี้เป็นสิ่งเน่าเหม็น เป็นที่เก็บของที่ตายแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่พวกเจ้ากินเข้าไป ก็ไปหมักหมมกันอยู่ในนี้ เกิดการเน่าเสีย ร่างกายของพวกเจ้าประกอบไปด้วยของเน่าของเสีย ทั้งเลือดเนื้อที่มีอยู่ก็เกิดมาจากของเสียทั้งหลาย ให้พิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นของโลก เมื่อถึงเวลาก็จะแตกสลายกลับไปเป็นธาตุทั้งสี่ของโลกเหมือนเดิม ร่างกายนี้ไม่ได้อยู่ถาวรไม่ได้ยั่งยืน มีแต่จิตเท่านั้นที่ยังคงอยู่ อย่าคิดเป็นห่วงสังขารร่างกายนี้ ดูให้ดีจะเห็นว่ามันเป็นทุกข์ จะต้องหาอาหารมากินเพื่อให้สังขารนี้อยู่ได้ ต้องคอยดูแลเอาใจใส่มันทุกอย่าง ขอให้เจ้าอย่ายึดติด ให้ละสักกายทิฐินี้เสีย ให้คิดว่าร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย อย่าไปคิดว่านี่คือตัวกูของกู ให้ละซะให้หมดเพื่อชำระจิตใจเจ้า เพื่อการฝึกฝนเพื่อไปให้ถึงซึ่งนิพพาน หากเจ้าละสักกายทิฐินี้ได้ ก็จะทำให้เจ้าฝึกจิตได้ วันนี้ก็เอาเท่านี้ก่อน วันหน้าค่อยมาว่ากันเรื่องอื่น

ดิฉันก็ได้ถามสมเด็จองค์ปฐมว่า เห็นแต่ละคนก็เขียนแนวทางการฝึกปฎิบัติต่างกัน เห็นต่างกัน ดูแล้วสับสนงุนงง

สมเด็จองค์ปฐมมีเมตตาตรัสสอนว่า คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีมากมายหลายทางอยู่ เพื่อให้เหมาะให้ถูกจริตกับคนทุกประเภท และคำสอนนั้นๆก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควร เป็นคำสอนที่ถูกต้อง แต่พวกมนุษย์นี่ซีที่เอาไปทำกันซะจนเละ ต่างคนต่างความคิด เห็นแต่ของตัวเองดี ตัวเองถูก ของคนอื่นที่ไม่ตรงกับตัวเองก็หาว่าเขาผิด ที่จริงคำสอนของพระพุทธองค์ไม่มีอันไหนผิด ทุกสิ่งทุกอย่างสอนให้มุ่งไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ทั้งนั้น

แล้วการที่เจ้าอ่านมากเจอมาก ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องไปเอามาทำตามเสียทั้งหมด ให้ดูว่าอันไหนเราทำได้ถูกจริตกับเรา ก็ให้รับอันนั้นมาปฎิบัติ ไม่มีตำราไหนถูกต้องตรงกับเรา 100% เราต้องรู้จักเอามาปรับปรุงให้เหมาะแก่ตัวเราเอง ให้ใช้ปัญญาในการพิจารณาเอา

ดิฉันก็น้อมรับคำสั่งสอนจากสมเด็จองค์ปฐมมา จากนั้นก็ได้ลากลับลงมา แวะไปกราบหลวงพ่อโตก่อนออกจากสมาธิ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:35:25


ความคิดเห็นที่ 4 (1540954)

การสะเดาะเคราะห์ที่ถูกต้องควรทำอย่างไร

วันนี้จะมาพูดกันถึงเรื่องการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาค่ะ อันนี้ก็ไม่ได้มีเจตนากล่าวหาผู้ใด หรือ วัดใด ใครใคร่ทำก็ทำไปค่ะ เป็นเพียงการสงสัยของดิฉันเองผู้เดียว ก็เลยต้องหาคำตอบ ดังนั้นท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายโปรดใช้ปัญญาในการพิจารณาค่ะ

ดิฉันเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องการสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีบังสุกุลเป็น-บังสุกุลตาย หรือว่านอนในโลง ก็เลยทำให้ไม่ได้สนใจที่จะไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีนี้ แต่เพื่อนดิฉัน (คนที่เคยทำแท้ง) เป็นคนที่ชอบมากๆเลยเรื่องแบบนี้ ใครว่าที่ไหนดีเป็นต้องไป ไกลแค่ไหนก็ไป ดิฉันเคยบอกว่าให้ไหว้พระ สวดมนต์ แล้วก็ไปใส่บาตรทำบุญบ้าง เธอก็ไม่เคยทำ เวลาดิฉันชวนไปวัด ชวนไปทำบุญ ก็จะอ้างแต่ว่าเงินไม่มีแล้วก็ไม่ไป เคยชวนไปถวายอาหารให้แก่พระอาพาธที่โรงพยาบาลสงฆ์ เธอก็ว่าไม่ไป ไม่มีเงิน ทั้งๆที่ดิฉันไม่ได้ให้เธอออกเงิน เพราะว่าเวลาไปก็จะมีเพื่อนๆอีกหลายคนที่ไปทำบุญร่วมกันประจำ ก็จะช่วยกันแชร์ค่าใช้จ่าย แค่อยากให้เธอไปประเคนอาหารร่วมกับเราจะได้มีบุญไว้ช่วยตัวเอง เธอก็ไม่เอา ดิฉันก็จนปัญญาไม่รู้จะช่วยให้เธอพ้นทุกข์ได้ยังไง

แต่ที่ทำให้ดิฉันพูดไม่ออก บอกไม่ถูกก็คือ เวลาที่เธอไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการต่างๆ เธอกลับมีเงินไป ไหนจะค่าน้ำมันรถ ค่าอะไรต่อมิอะไร ใครว่าที่ไหนดีช่วยได้ เธอก็ให้เขาพาไปหมด ทั้งสมุทรสงคราม นครนายก ฯ เธอก็ไปมาหมดแล้ว แต่ดิฉันก็ไม่เห็นชีวิตเธอดีขึ้นเลย ล่าสุดเธอบอกว่าที่นครนายกเธอไปมาสามครั้งแล้ว ดิฉันถึงกับอึ้งไปเลย ยังถามเลยว่า ไปทำไมตั้งสามครั้ง ที่วัดสลุดเธอก็ไปบ่อย เธอก็เคยชวนดิฉันไปเป็นเพื่อนด้วย

เห็นเพื่อนก็ไปมาทุกที่ ชีวิตก็ยังย่ำแย่อยู่เหมือนเดิม ด้วยความสงสัยคืนหนึ่งได้ขึ้นไปเฝ้าพระศาสดาก็เลยได้ถามท่านถึงเรื่องนี้

ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ การสะเดาะเคราะห์ด้วยการบังสุกุลเป็น-บังสุกุลตาย หรือว่าไปนอนในโลง จะทำให้เราพ้นเคราะห์พ้นกรรมได้จริงๆหรือคะ

พระศาสดา - เป็นไปไม่ได้เลย และตถาคตก็ไม่เคยสอนอย่างนี้ด้วย

ดิฉัน - แต่เห็นหลายวัดก็ทำพิธีนี้นะคะ คนก็ไปเยอะด้วยเจ้าค่ะ

พระศาสดา - ก็เป็นอุบายในการให้คนเข้าวัด แล้วก็หาเงินเข้าวัดทางหนึ่ง ตถาคตไม่เคยสอนให้คนงมงาย สอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาถึงปัญหาต่างๆ ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมพ้น แล้วกรรมก็ไม่สามารถลบล้างได้ด้วยการไปนอนในโลงหรือด้วยวิธีที่งมงาย ผู้ที่ไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการนี้ ตถาคตถือว่าบุคคลนั้น ไร้ปัญญาโดยแท้ หากจะไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีนี้ สู้ไปปล่อยสัตว์ที่ถึงฆาตยังจะได้บุญกุศลกว่า

ดิฉัน - แต่ก็มีคนบางคนเขาก็ดีขึ้นจริงๆนะคะ เห็นเขาว่ากัน

พระศาสดา - เป็นเพราะกรรมดีส่งผลพอดี เลยทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ไม่เกี่ยวกับการสะเดาะเคราะห์อันนี้หรอก แต่ถ้าคนที่ไม่ใช้ปัญญาก็จะคิดว่าทำอย่างนี้แล้วได้ผลจริงๆ

ดิฉัน - ก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่พระศาสดาว่า เพื่อนของลูกเขาก็ไปมาหลายที่ บางที่ก็ไปมาหลายหนแล้ว

พระศาสดา - แล้วชีวิตเขาดีขึ้นไหมล่ะ

ดิฉัน - ไม่เลยเจ้าค่ะ แถมอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ

พระศาสดา - เธออยากรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงไม่ดีขึ้น

ดิฉัน - อยากรู้เจ้าค่ะ

พระศาสดา - ศีลห้าข้อ ทำไม่ได้สักข้อนึงเลย ข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เขาก็ทำแท้งมาสองครั้ง ข้อสองห้ามลักขโมย เขาก็ยักยอกเงินบริษัท โกงบริษัท ข้อสามห้ามประพฤติผิดในกาม ก็คบชู้สู่ชาย ข้อสี่ห้ามพูดปด ก็ต้องโกหกสามีเพราะเรื่องที่ตัวเองทำ ข้อห้า ห้ามดื่มของมึนเมา เขาก็ดื่ม แล้วอย่างนี้จะให้ชีวิตของเขาดีขึ้นอย่างไร

ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็อึ้งไปกับคำบอกเล่าขององค์พระศาสดา เพราะที่ท่านกล่าวมานั้นถูกทุกข้อ ดิฉันรู้เกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนเป็นอย่างดี จนบางครั้งแทบจะไม่อยากรับรู้ซะด้วย เนื่องจากเหมือนน้ำท่วมปาก จะพูดบอกใครก็ไม่ได้ จะว่าไม่เคยเตือนเพื่อนเลยก็ไม่ใช่ ทั้งเตือนทั้งว่าจนเพื่อนไม่คุยด้วยไปพักนึงเลย ตอนหลังดิฉันเลยเฉยๆไม่อยากว่ากล่าว ก็คิดว่ากรรมของใครก็ของคนนั้น

ดิฉัน - ที่พระศาสดากล่าวมานั้นถูกต้องทุกอย่างเลยค่ะ

พระศาสดา - ศีลห้ายังรักษาไม่ได้ แล้วจะให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร การสะเดาะเคราะห์ที่ดีก็คือเป็นผู้ตั้งตนอยู่ในศีล ทำบุญทำทานตามแต่ฐานะ ปล่อยสัตว์ที่ถึงฆาต หมั่นเจริญสมาธิภาวนา เพื่อให้บุญมาช่วยให้หนีห่างพ้นจากกรรมที่ไม่ดี หากทำได้ดังนี้ ชีวิตนี้จะต้องมีความสุขความเจริญแน่นอน

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:37:05


ความคิดเห็นที่ 5 (1540955)

พบพระสยามเทวาธิราช ท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๑๖

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 3 มิ.ย. 52

เข้าสมาธิก็ไปกราบหลวงพ่อโตที่โบสถ์เป็นปกติ

ดิฉัน - นมัสการค่ะหลวงพ่อ

หลวงพ่อโต - เจริญพร สบายดีแล้วหรือ

ดิฉัน - ค่ะ เอ่อ..หลวงพ่อคะ เรื่องที่ให้ปล่อยปลาแก้โรค มันได้ผลจริงๆนะคะ เดือนนี้หนูไม่ปวดหัวหนักเหมือนก่อน แค่มึนๆ

หลวงพ่อโต - ก็พยายามไปปล่อยเรื่อยๆ เอาให้ที่มันเจ็บป่วยต่างๆให้หายไปเลย ที่เจ็บเข่าเส้นเอ็นอะไรน่ะ ก็เอาให้มันหายด้วย (คือดิฉันเป็นเอ็นหัวเข่าอักเสบ)

ดิฉัน - ค่ะ หนูจะพยายามปล่อยปลาไปเรื่อยๆ

หลวงพ่อโต - ดีแล้วๆ พยายามทำบุญทำกุศลให้มาก เป็นพระโสดาบันแล้วนี่เรา

ดิฉัน - โหย..หลวงพ่อ ขอคืนได้ไหมคะ เดี๋ยวนี้จะทำอะไรๆ ก็เป็นโสดาบันนะ จะคิดจะพูดจะทำอะไรก็โสดาบันนะ แหม..คำว่าโสดาบันเนี่ยมันค้ำคอหนูอยู่ตลอดเลย แทบจะไม่กล้ากระดิก ระแวงไปหมด

หลวงพ่อโต - ไม่ได้ สมเด็จท่านคงไม่ยอมง่ายๆหรอก ท่านให้มาแล้ว ห้ามลดลงมีแต่จะต้องทำให้เลื่อนขั้นขึ้นไป จริงๆโสดาบันมันก็ไม่ได้มีอะไรพิสดารเลย มันก็เป็นสิ่งที่เจ้าปฏิบัติตัวอยู่เป็นปกตินั่นแหละ เพียงแต่เดี๋ยวนี้พอเจ้ารู้ ก็เลยทำให้เจ้ากังวลไปเท่านั้นเอง ก็ทำให้เหมือนปกติของเจ้านั่นแหละ ม้นก็ทรงตัวอยู่แล้ว

ดิฉัน - ค่ะ หลวงพ่อ เอ่อ..มีเรื่องจะถามค่ะ

หลวงพ่อโต - ขึ้นไปถามข้างบนเลย

ดิฉัน - อ้าว..งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ

หลวงพ่อโต - เชิญ

ก็ลาหลวงพ่อโตเพื่อขึ้นไปหาพระศาสดา ก็กำหนดจิตเรียกหาท่าน

ดิฉัน - พระศาสดาคะ อยู่ไหนเจ้าคะ

พระศาสดา - อยู่ที่วิหาร

ก็เลยไปตามที่พระศาสดาบอกมา แต่ก็งงเหมือนกัน วิหารไหนหว่า ที่เห็นมันไม่เหมือนวิหารของพระศาสดาเลยนี่นา เหมือนโรงลิเกไงๆไม่รู้ มีภาพวาดพระราหูอมจันทร์บนผนังด้านหลังใหญ่เบ้อเร่อ เห็นพระศาสดาประทับนั่งอยู่บนแท่นตรงกลางวิหาร ก็เลยเดินเข้าไปจะไปกราบนมัสการพระศาสดา แล้วพอใกล้ถึง หางตาก็เห็นเหมือนเทวดานั่งอยู่ข้างซ้ายมือ แต่..แหม..ชุดอลังการมากเลย แบบว่าคุ้นๆนะ แต่ก็ผ่านเลยไปก่อน ไปกราบพระศาสดา

ดิฉัน - นมัสการค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ดิฉัน - ที่นี่มันที่ไหนกันแน่เจ้าคะ มันไม่ใช่วิมานของพระศาสดานี่คะ แล้วก็เหมือนไม่ใช่ที่นิพพานด้วยค่ะ

พระศาสดา - วิมานของพระสยามเทวาธิราช

ดิฉัน (ตาโต) - หือ???

พระศาสดา - วิมานของพระสยามเทวาธิราชเค้า อยู่บนพรหมชั้นที่ 16

ดิฉัน - อ้าว..พระสยามเทวาธิราช ไม่ใช่เป็นเทวดาหรอกเหรอคะ เป็นพรหมเหรอ คิดว่าเป็นเทวดา

พระศาสดา - ไม่ใช่ อันนี้อยู่บนพรหมชั้นที่ 16 แล้วท่านก็อยู่ข้างๆนั่นน่ะ

ดิฉันก็หันไปมองท่าน วุ๊ย..หน้าตาผ่องใสงามเชียว ยิ้มแบบคนอารมณ์ดี

ดิฉัน - ถวายบังคมค่ะ เอ้ย..สวัสดีค่ะ เอ..มันต้องพูดยังไงคะนี่

พระสยามเทวาธิราช - เอาแบบธรรมดาๆเถอะ

ดิฉัน - ค่ะ งั้นขอถามท่านหน่อยค่ะ ดวงเมืองไทยเป็นยังไงคะ (เอาเชียวตรู)

ขอโทษนะคะ เป็นอะไรที่ไม่สมควรพูดจริงจริ๊ง เพราะพาดพิงถึงบุคคลอื่นอีกหลายคน ดิฉันขอไม่เล่า เอาเป็นว่าตัดข้ามไปข้อธรรมะเลยดีกว่า

ดิฉัน - พระศาสดาคะ มีคนเขาสงสัยว่าการที่เราขับรถแล้วมีแมลงบินมาชนรถเราตาย หรือมีกบหรือสัตว์กระโดดเข้ามาแล้วโดนเราเหยียบตาย อย่างนี้เราบาปข้อปาณาหรือเปล่าเจ้าคะ

พระศาสดา - อย่างนี้ไม่บาปเพราะไม่ได้มีเจตนา การที่จะบาปต้องเป็นไปในลักษณะต่อไปนี้ คือ รู้เห็นว่ามีสัตว์เหล่านั้นอยู่จริง รู้เห็นว่าสัตว์เหล่านั้นมีชีวิตอยู่ มีเจตนาที่จะทำลายสัตว์เหล่านั้น มีความพยายามที่จะทำลายสัตว์เหล่านั้น และสัตว์นั้นตายด้วยความพยายามของเรา หากเราไม่ได้ทำอย่างที่กล่าวมาก็ไม่บาป แล้วบางทีก็เป็นกรรมของสัตว์เหล่านั้นด้วย

ดิฉัน - ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ พระศาสดาคะ แล้วที่ว่าลูกถูกเลือกให้มาเกิดนี่มันยังไงคะ

พระศาสดา - ใช่ มีหลายคนถูกเลือกให้ไปช่วยคน เนื่องจากเดี๋ยวนี้จิตใจคนเสื่อมทรามลงมาก ไม่ค่อยสนใจในพระพุทธศาสนา อีกทั้งพระที่ดีๆเดี๋ยวนี้ก็หายาก ดังนั้นจึงต้องมีคนมาช่วยชี้นำทาง แล้วแต่ละคนแต่ละกลุ่มก็มีกรรมเกี่ยวเนื่องกับบุคคลแตกต่างกัน หากไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องมาด้วยกันแล้วก็จะสอนไม่ได้ จึงต้องใช้บุคคลที่เคยมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมา อย่างเธอมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความรู้ด้านธรรมะเพื่อช่วยเหลือบริวารของเธอทั้งหลายให้หลุดพ้น

ดิฉัน - แต่ถ้าต้องมาให้ลูกต้องมาทำสำนักแล้วตั้งตัวเป็นหัวหน้าเหมือนคนอื่นๆที่เห็น ลูกไม่เอาค่ะ นั่นมันไม่ใช่การหลุดพ้น ยิ่งเป็นการหลงในตัวตนมากเข้าไปอีก

พระศาสดา - ดูก่อน เธอไม่คิดเหรอว่า ทำไมเธอถึงได้มโนมยิทธิมาได้อย่างง่ายดายโดยที่เธอไม่ต้องเรียนรู้จากที่ไหนเลย ผิดกับหลายๆคนที่เขาทั้งฝึก ทั้งมีอาจารย์แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ แล้วตลอดระยะยี่สิบกว่าปีมานี่ เธอก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอเองก็ไม่ได้หลงไปกับสิ่งที่รู้ที่เห็น แล้วยังสงสัยพิสูจน์อยู่ตลอดเวลา ทำให้ตถาคตเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวเธอว่าเธอจะไม่มีทางหลงไปในทางไม่ดีแน่นอน ส่วนอภิญญาอื่นๆที่เธอเคยได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะได้ เพราะว่าจิตใจเธอมันดีเกินไป คอยแต่จะช่วยเหลือคนอื่นไปหมด เดี๋ยวเธอจะไปขวางกฏแห่งกรรมแล้วเธอจะลำบาก เอาไว้ให้จิตใจเธอยอมรับเรื่องกฏแห่งกรรมให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน เมื่อนั้นจึงจะถึงเวลา

ดิฉัน - อภิญญาอะไรเหรอคะ

พระศาสดา - ก็อภิญญาที่เธอมีความคิดจะฝึกอยู่นั่นแหละ (แหม..รู้อีก หลบไม่ได้เล้ย)

ดิฉัน - ค่ะ งั้นลูกขอลากลับก่อนนะคะวันนี้ นมัสการค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:38:59


ความคิดเห็นที่ 6 (1540956)

สมเด็จองค์ปฐม ทรงสอนน้องฝน

อันนี้เป็นของน้องฝนนำมาโพสต์ไว้นะคะ คำแนะนำจากสมเด็จองค์ปฐมค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------

เมื่อกี้นั่งสมาธิสมเด็จองค์ปฐมท่านสอนเราว่า

ให้สวดมนต์โดยใช้จิตเป็นหนึ่งอย่าเเยกจิตสวด จิตหนึ่งสวดอีกจิตหนึ่งฟุ้งซ่านนั้นไม่ได้

ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้งให้อธิษฐานจิตทุกครั้งว่า ถ้าเป็นอะไรไปขณะนั่งสมาธิขอไปพระนิพพาน อธิษฐานอย่างนี้ทุกครั้งเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกิดความหนักเเน่นในจิต สุดท้ายเเล้วจิตจะไปไหนไม่ได้นอกจากพระนิพพาน

ที่ท่านสอนเราเเบบนี้เพราะพระอาจารย์ท่านบอกเราว่า เราต้องเกิดอีก บุญเรายังไม่เต็มไปพระนิพพานยังไม่ได้ เเต่ท่านบอกว่าการที่เเม่เราไปได้เพราะเเม่ของเรามีศีล เราก็ถามพระอาจารย์ว่าถ้าเรามีศีลเราจะไปพระนิพพานได้ไหม ท่านบอกว่า เรื่องนี้ยากเเก่การทำนาย

เราก็ฟ้องสมเด็จท่านหลายรอบเหมือนกันว่าพระอาจารย์บอกว่าหนูยังต้องเกิดอีก ท่านบอกว่า พระอาจารย์ดูจากจิตเราในปัจจุบันนี้ เรายังไม่ถึงจริงๆ ทั้งทางด้าน ทาน ศีล สมาธิ เเละภาวนา ท่านบอกว่าที่คนพูดกันเเค่ ทาน ศีล เเละภาวนา เพราะว่ารวมสมาธิไปในภาวนาเเล้ว

เราเองก็บ่นว่าหนูอยู่ตั้งไกล กลับเมืองไทยปีละสองครั้งเอง หนูจะสร้างบุญ บารมีจากที่ไหน ท่านบอกว่าเราห่างจากพระอาจารย์เเค่ทางกาย ทางจิตพระอาจารย์ท่านปกป้อง ดูเเลอยู่ ทาน ให้หยอดกระปุกวันละ $1 พยายามอย่าลืม ศีล ดีเเล้ว รักษาเอาไว้ให้ได้ ส่วนภาวนาอย่าลืมสมาธิ ให้เอาสมาธิไว้ในการภาวนาด้วย

ถ้าวันไหนจะรักษาอุโบสถศีล ไม่ต้องทำอะไรมาก สวดมนต์ ฟังเทศน์หลวงปู่เหรียญที่พระอาจารย์ท่านให้มา นั่งสมาธิอานาปานุสติกรรมฐาน สลับกับมโนยิทธิ เท่านี้ก็พอเเล้ว

ทุกครั้งในการปฏิบัติท่านสอนให้เราหนักเเน่นในการไปพระนิพพาน ท่านบอกให้เราไปคุยกับพระอาจารย์ใหม่ ว่าเราจะไม่ไป สวรรค์ พรหม จะไปที่เดียวคือพระนิพพาน จะพูดอย่างหนักเเน่นอย่างเดียวไม่ได้ ต้องควบคู่กับการปฏิบัติเพื่อหนทางเเห่งพระนิพพานด้วย

เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของเราเองค่ะ เราไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องของคนอื่น ท่านบอกเราไว้ตั้งเเต่เราได้วิชานี้จากครูเเล้ว เวลาถามเรื่องของคนอื่น ท่านมักจะพูดว่า "เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเจ้า เเล้วเจ้าไปยุ่งอะไรกับเรื่องของเขา"

ใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:40:26


ความคิดเห็นที่ 7 (1540958)

พระบรมศาสดาทรงสอนเรื่องวิกฤตโลก

แหม...ถามกันจังเลยเรื่องวิกฤตโลก คำตอบที่ได้ไม่ได้เหมือนที่อื่นหรอกจ้า เล่นเอาหงายหลังไปละไม่ว่า อิอิ

-------------------------------------------------------------------

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 9 มิ.ย. 52

หลังจากกราบหลวงพ่อโตเสร็จแล้วก็ขึ้นไปเฝ้าองค์พระศาสดาเพื่อที่จะถามคำถามยอดฮิตที่หลายคนอยากรู้

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ดิฉัน - พระศาสดาคะ อยากจะถามถึงเรื่องวิกฤตโลกที่เขาพูดกันนะค่ะ ตกลงว่าจะเกิดจริงหรือเปล่าเจ้าคะ

พระศาสดา - อยากรู้ไปทำไม

ดิฉัน - ก็จะได้หาทางป้องกันไงคะ

พระศาสดา - ถ้าพระศาสดาทำนายว่าเธอจะตาย ณ เวลานั้น เธอจะป้องกันยังไง

ดิฉัน (อึ้งๆๆ) - ก็คงจะไม่ได้มังคะ

พระศาสดา - แล้วเธอจะกังวลหรือไม่

ดิฉัน - ก็คงจะกังวลมังคะ

พระศาสดา - ถ้าหากพระศาสดาทำนายว่าโลกนี้จะถูกไฟบันลัยกัณฑ์แผดเผา น้ำท่วมใหญ่ ไม่เหลือผู้รอดชีวิต เธอคิดว่าจะมีคนกังวลไหม จะกลัวกับการรับรู้นี้ไหม

ดิฉัน - มีแน่นอนเจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วเมื่อทุกคนเกิดการกังวลเกิดการกลัว เธอคิดว่าเขาจะเสียเวลามานั่งปฎิบัติไหม

ดิฉัน - ก็อาจจะเป็นบางคนเจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วสมควรที่พระศาสดาจะทำนายเพื่อให้คนเกิดความวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือยังไง ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร จะไปรู้เรื่องนี้มาจากที่ไหน จะจริงหรือไม่ ถ้ามาทางกลุ่มนี้ พระศาสดาจะไม่พูดไม่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระศาสดาตั้งใจให้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องปฎิบัติตนเพื่อการหลุดพ้น เป็นกลุ่มที่มีปัญญา ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา ไม่ใช่งมงายแบบไม่มีเหตุผล เธอเองก็เหมือนกัน หน้าที่ของเธอคือการใช้ปัญญาในการนำพาเพื่อนพ้องบริวารไปสู่การหลุดพ้น ด้วยธรรมะ ด้วยการปฎิบัติ ด้วยการที่เข้าถึงพระรัตนตรัย ไม่ใช่ด้วยการวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้รู้อยู่กับปัจจุบันแล้วทำให้ดีที่สุด หากใครที่ต้องการอยากรู้อยากกังวลกับเรื่องวิกฤตโลก ก็ให้เขาไปหาข้อมูลจากที่อื่น แทนที่จะมัวมานั่งวิตกกังวล สู้เอาเวลามาฝึกตัวเองไม่ดีกว่าหรือ เมื่อถึงเวลาคับขัน ผู้ที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบเท่านั้นถึงจะรอดชีวิต บุญกุศลจะส่งให้บุคคลเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ดังนั้นพวกเธอทั้งหลายจงเตรียมพร้อมอย่าถึงซึ่งความประมาทใดๆ จงเร่งปฎิบัติตัวให้อยู่ในศีลในธรรม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม จำเอาไว้

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:42:04


ความคิดเห็นที่ 8 (1540960)

คนตกปลาเล่นๆ กับตกปลาเป็นอาชีพใครบาปกว่ากัน

ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝนค่ะ

------------------------------------------------------------------------

เมื่อคืน ฝนเห็นคนรู้จักกำลังล้างทำความสะอาดปลาอยู่ ปลาค่อนข้างสดค่ะเลยสงสัย เค้าบอกว่า เค้าไปตกปลากับเพื่อนมาเลยเอามาทำเป็นอาหาร

ตอนจะนอนเลยขึ้นไปถามสมเด็จองค์ปฐมท่านว่า ระหว่างคนที่ตกปลาเป็นอาชีพกับคนที่ตกปลาเพราะความสนุกอันไหนจะบาปกว่ากัน

ท่านบอกว่า จริงๆเเล้วก็บาปด้วยกันทั้งคู่ เเต่ตกปลาเพื่อความสนุกสนานนั้นบาปมากกว่า คนที่ตกเป็นอาชีพนั้นมีความจำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด เเต่คนที่ตกเพื่อความสนุกนั้น มีอย่างอื่นให้เลือกทำเเต่ไม่ทำดันไปเลือกทำบาปตกปลา

ท่านยังสอนให้คิดว่า ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ก็มีจิตดวงเดียวเหมือนกับเราทั้งนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปรังเเกสัตว์เหล่านั้น เพราะมันต่างรักตัวกลัวตายเหมือนกับเรา


ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:43:20


ความคิดเห็นที่ 9 (1540961)

ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก

หลวงพ่อโตท่านบอกบ่อยๆว่า ขนาดพระศาสดายังโดนนินทา นับประสาอะไรกับเรา พี่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อวานเกิดความสงสัยว่าองค์พระศาสดาท่านทำยังไงเวลาเจอคนนินทา ก็เลยได้ไปถามท่าน

ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ เวลาที่มีคนติฉินนินทาพระองค์ พระองค์ทรงทำอย่างไรเจ้าคะ

พระศาสดา - เราก็วางเฉยไม่โต้ตอบ หากว่าเราโต้ตอบไปก็เท่ากับว่าเราเป็นอย่างที่เขาว่า แล้วเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย ดังนั้นตถาคตจึงวางเฉยซะ

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - เจ้าก็สมควรวางเฉยไปซะ จงทำตนให้เป็นผู้ที่เจริญแล้วทั้งทางโลกและทางธรรม อย่าได้ไปสนใจเลย ให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเขาก็ไปเอง

ดิฉัน - เจ้าค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:44:49


ความคิดเห็นที่ 10 (1540962)

การปรามาสพระรัตนตรัย มีโทษหนัก ควรระมัดระวัง

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 24 มิ.ย. 52

เมื่อคืนขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา แบบว่ามีคำถามอยากรู้ไปถามท่าน

ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ หากว่าเราเผลอไปปรามาสพระอริยเจ้าตั้งแต่ขั้นโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ เราบาปไหมคะ

พระศาสดา - บาปซี

ดิฉัน - แล้วอย่างนี้มีสิทธิ์ตกนรกไหมคะ บาปหนักแค่ไหน

พระศาสดา - ทำให้ตกนรกได้ บาปหนักเบาขึ้นอยู่กับว่าพระอริยเจ้านั้นอยู่ในระดับไหน

ดิฉัน - แล้วเราจะป้องกันยังไงคะ ถ้าหากเราไม่รู้ว่า คนๆนั้นหรือพระองค์นั้นเป็นพระอริยะหรือเปล่า

พระศาสดา - ก็พระศาสดาถึงสอนว่า อย่าได้กล่าวโทษผู้อื่นยังไงละ จงกล่าวโทษตัวเองไว้ตลอด อย่าว่าแต่คนๆนั้นเป็นพระอริยะหรือเปล่าเลย ถึงเขาเป็นแค่คนธรรมดาๆอย่างเธอ เธอก็ไม่สมควรกล่าวโทษผู้อื่นอยู่ดี เพราะจะทำให้เกิดเป็นกรรมใหม่เกี่ยวเนื่องกันต่อไป

ดิฉัน - แล้วหากว่าเราทำไปแล้ว เราจะมีวิธีแก้หรือเปล่าเจ้าคะ

พระศาสดา - ก็ให้ไปขอขมาพระรัตนตรัย

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ....แล้วอย่างหากว่าเราใช้พระอริยะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เราละเจ้าคะ บาปหรือเปล่า และบาปแค่ไหนเจ้าคะ

พระศาสดา - บาปแน่นอนอยู่แล้ว มีสิทธิ์ตกนรกหรือไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำได้

ดิฉัน - ค่ะ เกิดหากว่าเราไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นพระอริยะละเจ้าคะ จะทำยังไง

พระศาสดา - ไม่ยาก อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราก็ต้องสมควรทำงานทำการของเราด้วยตัวเราเอง อย่าไปใช้คนอื่น นอกเสียจากว่าเขาจะรับอาสามาช่วยเราเอง

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:46:08


ความคิดเห็นที่ 11 (1540963)

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ

ช่วงนี้เครียดๆเลยไม่ค่อยได้ขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาเลยได้ขึ้นไปเฝ้าท่าน (ปกติตื่นขึ้นมาต้องขึ้นไปเฝ้าท่านขอพรตอนเช้า) ช่วงหลังมานี่ไม่ได้ขึ้นไปหลายวันแล้ว

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - อ้าว ทำไมเช้านี้ขึ้นมาได้ สบายใจหรือยัง

ดิฉัน - ก็ยังหรอกค่ะ ก็ยังเครียดอยู่เหมือนเดิม ยังไม่รู้จะทำไงกับชีวิตดี

พระศาสดา - ไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีขึ้นเองแหละ

ดิฉัน - ดียังไงคะ มองไม่เห็นทางเลยค่ะ งานก็ยังไม่ได้เลย เศรษฐกิจตอนนี้งานหายากค่ะ มีแต่บริษัทปลดพนักงานออก เลิกจ้างกันอยู่เรื่อยๆ ลำบากกันไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง เงินก็จะหมดแล้วค่ะ ต้องแย่แน่ๆ เมื่อไหร่จะหมดกรรมคะเนี่ย มันหลายปีมากเลย

พระศาสดา - อีกไม่นานนี่แหละ อย่าบ่นนักเลย พระศาสดาไม่ให้เจ้าตายหรอกน่า

ดิฉัน - แต่ก็ใกล้จะตายเต็มทีแล้วละค่ะ เฮ้อ..เห็นไหมคะ ที่ไม่ขึ้นมาเฝ้าพระศาสดาก็เพราะไม่อยากเอาปัญหาขึ้นมาน่ะค่ะ เลยเครียดอยู่ข้างล่างดีกว่า

พระศาสดา - หนังสือสองเล่มที่ยืมมา เจ้าคิดว่าเป็นการบังเอิญหรือไม่ที่ทั้งสองเล่มเป็นธรรมะสำหรับคนที่จะเป็นพระอริยะชั้นอนาคามี

ดิฉัน - ไม่ทราบซีคะ อาจจะบังเอิญก็ได้ ก็เห็นๆว่าเป็นหนังสือของหลวงพ่อฤาษี รื้อๆดูเจออยู่สองเล่มก็หยิบมาเลยค่ะ

พระศาสดา - ไม่มีอะไรบังเอิญหรอกนะ มันถูกกำหนดมาแล้ว

ดิฉัน - อืมม...ตอนนี้ลูกคงยังฝึกไปถึงขั้นนั้นไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเรื่องราวของชีวิตบนโลกก็ยังวุ่นๆอยู่เลย ยังไม่รู้ว่าจะไปยังไงเลยค่ะ ก็ได้แค่อ่านๆไว้เป็นความรู้ก่อนเท่านั้นเอง

พระศาสดา - ไม่เป็นไร ก็อ่านเตรียมไว้

ดิฉัน - แล้วเรื่องที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นนี่ ลูกก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปช่วยนะคะเนี่ย ความรู้ก็นิดเดียว ปฏิบัติก็ยังไปได้ไม่ถึงไหน จะไปช่วยใครได้ยังไง กัลยาณมิตรบางท่านยังเก่งกว่าลูกด้วยซ้ำ เขาน่าจะมาช่วยได้มากกว่าลูกอีก

พระศาสดา - อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนหันกลับเข้ามาหาธรรมะ ไม่หลงทางไปอบายภูมิก็ถือว่าดีแล้ว

ดิฉัน - ค่ะ งั้นลูกกลับก่อนดีกว่าค่ะ

พระศาสดา - แล้ววันนี้ไม่เอาพรเหรอ

ดิฉัน - เอาก็ได้ค่ะ

พระศาสดา - ขอให้เจ้าร่ำรวยทันตาเห็นเอาไหม

ดิฉัน - แหม...พระศาสดาก็ ไม่ต้องมาลองใจหรอกค่ะ ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้

พระศาสดา - อ่ะ งั้นก็เอาใหม่ ขอให้เจ้าเป็นคนมีความคิดพิจารณาให้มองเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้น เรื่องไหนที่ยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปคิดให้ฟุ้งซ่าน ให้คิดรู้อยู่แต่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าช่วงไหนที่อารมณ์มันเริ่มฟุ้งซ่าน ก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจแล้วภาวนาไป จะได้ไม่ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านได้ ให้คิดพิจารณานึกถึงความตายไว้ทุกขณะจิตอย่าได้ประมาท มองชีวิตที่เกิดมานี้ให้รู้ว่ามันเป็นทุกข์ เกิดมาก็ทุกข์ การใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ทุกข์ แล้วก็สมควรปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ แล้วก็พยายามอย่าเอาจิตส่งออกนอก ให้เอาจิตดูรู้อยู่ในตนเอง แล้วก็....

ดิฉัน (พรอะไรทำไมไม่เหมือนครั้งก่อนๆเลย) - เอ่อ...พระศาสดาคะ ไม่ยาวไปเหรอคะ ต้องตื่นแล้วค่ะ

พระศาสดา - อ้าว..จะไปแล้วเหรอ ยังไม่จบเลย

ดิฉัน - ค่ะ ตกลงจะให้พรไหมคะ เมื่อกี้มันเทศน์ค่ะ

พระศาสดา - งั้นก็ขอให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในวันนี้

ดิฉัน - กราบขอบคุณพระศาสดาค่ะ นมัสการลาเจ้าค่ะ

ว่าแล้วก็ลาท่านมา เหตุเพราะไม่ได้ขึ้นไปหาท่านหลายวัน เลยโดนเทศน์ตอนขอพรซะเลย

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:47:28


ความคิดเห็นที่ 12 (1540965)

มีศีลต้องมีพรหมวิหาร ๔ ด้วย

มีเพื่อนกัลยาณมิตรถามคำถามไว้ เพิ่งมีโอกาสไปถามพระศาสดาค่ะ

ดิฉัน - พระศาสดาค่ะ มีคนเขาอยากรู้ว่า ถ้าเขาจ่ายเงินใต้โต๊ะ ให้คนขายของให้เขาคนเดียว เขาผิดศีลไหม แล้วถ้าคนนั้นพูดขึ้นก่อน แล้วเขาจ่ายเงิน อย่างนี้ผิดศีลไหมคะ

พระศาสดา - ถ้าถามเกี่ยวกับศีลห้าไม่ผิดศีล แต่ไม่ถูกต้อง

ดิฉัน - อย่างไรเจ้าคะ

พระศาสดา - ศีลห้ามีอะไรบ้างละ เธอก็พิจารณาดูซิ ข้อแรก ห้ามฆ่าสัตว์ ข้อสอง ห้ามลักขโมย ข้อสาม ห้ามประพฤติผิดในกาม ข้อสี่ ห้ามโกหก ข้อห้า ห้ามดื่มของมึนเมา ที่เขาถามมาไม่มีข้อไหนตรงกับศีลห้าเลยไม่ผิดศีล แต่ที่พระศาสดาว่าไม่ถูกต้องนั้น เพราะการทำธุรกิจการค้า ควรทำด้วยความสุจริต จริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คนเราเมื่อรักษาศีลห้าแล้วควรจะควบคู่ไปกับพรหมวิหาร 4 ซึ่งก็คือต้องมี เมตตา กรุณา ความพลอยยินดีกับผู้อื่น และการวางเฉย

ดิฉัน - เจ้าค่ะ กราบขอบคุณพระศาสดาเจ้าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 20:48:53


ความคิดเห็นที่ 13 (1540969)

การปรามาสพระรัตนตรัย มีโทษหนัก ควรระมัดระวัง

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 24 มิ.ย. 52

เมื่อคืนขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา แบบว่ามีคำถามอยากรู้ไปถามท่าน

ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ หากว่าเราเผลอไปปรามาสพระอริยเจ้าตั้งแต่ขั้นโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ เราบาปไหมคะ

พระศาสดา - บาปซี

ดิฉัน - แล้วอย่างนี้มีสิทธิ์ตกนรกไหมคะ บาปหนักแค่ไหน

พระศาสดา - ทำให้ตกนรกได้ บาปหนักเบาขึ้นอยู่กับว่าพระอริยเจ้านั้นอยู่ในระดับไหน

ดิฉัน - แล้วเราจะป้องกันยังไงคะ ถ้าหากเราไม่รู้ว่า คนๆนั้นหรือพระองค์นั้นเป็นพระอริยะหรือเปล่า

พระศาสดา - ก็พระศาสดาถึงสอนว่า อย่าได้กล่าวโทษผู้อื่นยังไงละ จงกล่าวโทษตัวเองไว้ตลอด อย่าว่าแต่คนๆนั้นเป็นพระอริยะหรือเปล่าเลย ถึงเขาเป็นแค่คนธรรมดาๆอย่างเธอ เธอก็ไม่สมควรกล่าวโทษผู้อื่นอยู่ดี เพราะจะทำให้เกิดเป็นกรรมใหม่เกี่ยวเนื่องกันต่อไป

ดิฉัน - แล้วหากว่าเราทำไปแล้ว เราจะมีวิธีแก้หรือเปล่าเจ้าคะ

พระศาสดา - ก็ให้ไปขอขมาพระรัตนตรัย

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ....แล้วอย่างหากว่าเราใช้พระอริยะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เราละเจ้าคะ บาปหรือเปล่า และบาปแค่ไหนเจ้าคะ

พระศาสดา - บาปแน่นอนอยู่แล้ว มีสิทธิ์ตกนรกหรือไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำได้

ดิฉัน - ค่ะ เกิดหากว่าเราไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นพระอริยะละเจ้าคะ จะทำยังไง

พระศาสดา - ไม่ยาก อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราก็ต้องสมควรทำงานทำการของเราด้วยตัวเราเอง อย่าไปใช้คนอื่น นอกเสียจากว่าเขาจะรับอาสามาช่วยเราเอง

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:11:26


ความคิดเห็นที่ 14 (1540973)

อนุโมทนาค่ะ

อ่านด้วยความซาบซึ่งในคำสอน

และขอบคุณที่กรุณานำมาเผยแพร่ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก วันที่ตอบ 2011-04-19 21:14:14


ความคิดเห็นที่ 15 (1540974)

การอุทิศบุญกุศลให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ผลจริงหรือไม่

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ naruphos
ถามนิดครับเวลาผมทำบุญผมมักจะให้พวกท่านด้วยเสมอ พ่อ แม่ และพี่ชาย แต่ผมไม่เคยบอกเลยว่าผมทำบุญไรไป แบบนี้พวกเขาจะได้รับบุญไหมครับ

ปัญหานี้เคยไปถามพระศาสดามาเหมือนกัน เพราะอ่านเจอที่ว่าถ้าบุคคลที่เราอุทิศบุญให้ยังมีชีวิตอยู่ ต้องไปบอกให้เขาอนุโมทนาบุญด้วย ไม่งั้นจะไม่ได้ แต่ก็อีกละ ก็ไปอ่านเจออีกเหมือนกัน ที่เขาอุทิศบุญให้คนป่วย แต่คนป่วยก็ได้รับ ทำให้เกิดอาการงงๆๆ เพราะคนป่วยก็ยังไม่ตายใช่ไหม แต่ว่านอนป่วยแบบไม่รู้สึกตัวอยู่ในโรงพยาบาล ถ้าคิดว่าต้องไปบอกเขาให้มาอนุโมทนาบุญด้วย จะไปบอกยังไงละ ก็นอนนิ่งอย่างนี้ ไม่ได้การละอย่างนี้ต้องไปถามพระศาสดาให้รู้แจ้งเห็นจริง

ดิฉัน - พระศาสดาคะ การที่เราอุทิศบุญให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เราต้องไปบอกให้เขาอนุโมทนาด้วยเหรอคะ ไม่งั้นจะไม่ได้เหรอ แล้วทีทำไมคนป่วยที่นอนไม่รู้ตัวอยู่ในโรงพยาบาลเขาถึงได้รับโดยที่ไม่ต้องบอกให้เขามาอนุโมทนาละคะ แล้วจริงๆเราต้องทำประการใดถึงจะถูกคะ

พระศาสดา - การอุทิศบุญกุศลให้บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ไม่จำเป็นต้องให้เขามาอนุโมทนา เขาก็ได้รับเหมือนกัน แต่ทางที่ดีถ้าเขารู้แล้วได้ร่วมอนุโมทนาด้วย บุญกุศลที่ได้มันจะมากกว่าเนื่องเพราะจิตใจเขามีใจร่วมอนุโมทนาในบุญที่เธอทำด้วย ส่วนคนป่วยไม่สามารถรับรู้หรือมาร่วมอนุโมทนาด้วยได้ เราก็อาศัยกำลังจิตของเราอุทิศให้เขาได้ ซึ่งการที่เราอุทิศให้ด้วยใจบริสุทธิ์และตั้งใจจริง ผลบุญนี้ก็สามารถถึงคนป่วยได้เหมือนกัน

ดิฉัน - สาธุ


ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:14:56


ความคิดเห็นที่ 16 (1540976)

ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ย่อมเป็นที่รักของเทพพรหมและสรรพสัตว์ทั้งหลาย

เอาคำสอนของพระศาสดาเรื่องพรหมวิหาร 4 มาฝากค่ะ เมื่อก่อนพระอาจารย์อนุรุททะ ท่านเคยเทศน์สอนมาหนหนึ่งแล้วเหมือนกันว่า ถ้าไม่มีพรหมวิหาร 4 ศีลห้าก็จะไปไม่ถึงไหนเหมือนกันค่ะ คราวนี้พระศาสดาก็เลยเทศน์โปรดอีกรอบ


ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ วันนี้พระศาสดามีอะไรจะสอนไหมคะ

พระศาสดา - เจริญพร พระศาสดาจะสอนเรื่องพรหมวิหาร 4 ก็แล้วกัน เอาธรรมะพื้นฐานก่อน สำหรับบุคคลทั่วๆไป

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - คนเราทุกคนควรมีพรหมวิหาร 4 อยู่ในใจตลอดไป ต้องทรงให้ได้ หากว่าเราทุกคนมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจทุกคน โลกนี้คงจะไม่วุ่นวายเหมือนทุกวันนี้หรอก พรหมวิหาร 4 ประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

อันแรกเมตตา เราควรจะมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน มีความคิดดี ทำดีให้แก่กัน รู้จักให้อภัยแก่กัน ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข และการกระทำนั้นต้องไม่หวังผลตอบแทนใดๆ นั่นคือเมตตา

อันกรุณานั้น เป็นความต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีความสงสารในเพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย เป็นการสงเคราะห์ในสิ่งที่ผู้อื่นขาดแคลนหรือต้องการ และการกระทำนั้นๆก็ต้องไม่หวังผลตอบแทนเช่นกัน

มุทิตาคือความรู้สึกพลอยยินดีที่ผู้อื่นได้ดี โดยที่ไม่มีความอิจฉาริษยา เห็นเขามีชีวิตที่ดีก็พลอยยินดีด้วย เห็นเขามีปัญญาดีก็พลอยยินดีด้วย โดยความยินดีนี้ทำไปก็โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆเช่นกัน

อุเบกขาคือการวางเฉยในทางธรรม ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยไม่เป็นธรรม การที่เรามีเมตตา กรุณา มุทิตา กับผู้อื่นแล้ว แต่เราไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ไม่ให้เก็บเอามาคิด ก็ต้องให้วางเฉยกับเรื่องนั้นไป ถือว่าเป็นกรรมของเขา

หากทุกคนมีเมตตา กรุณา อยู่กับตัวแค่สองข้อนี้ ก็ทำให้การผิดศีลข้อ 1-3 ทำได้ยากขึ้น ในเมื่อเรามีเมตตา กรุณา คือความรักความสงสารในเพื่อนร่วมโลก เราก็ไม่สามารถที่จะไปฆ่าหรือทำร้ายใครได้ เราไม่สามารถไปลักขโมยของๆใครได้ เราไม่สามารถที่จะไปทำร้ายครอบครัวของใครได้ หากว่ามีพรหมวิหาร 4 ครบทุกข้อ บุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศีลบริสุทธิ์ได้ ตถาคตถึงสอนว่าการถือศีลจึงต้องควบคู่ไปกับพรหมวิหาร 4 หากว่าใครทรงพรหมวิหาร 4 ได้นี้ก็จะทำให้การปฏิบัติในเรื่องอื่นๆก็จะทำได้ง่ายขึ้น และผู้ที่ทรงพรหมวิหาร 4 ก็จะทำให้เป็นที่รักของเหล่าเทพเทวดา พรหมทั้งหลาย อีกทั้งสัตว์โลกทั้งหลายด้วย ทำให้ชีวิตมีความสุข ความเจริญ มีคนนับหน้าถือตา ให้ความเคารพยำเกรง มีปัญญาดี มีความปลอดภัยในชีวิต มีหน้าตาผ่องใส จิตใจดี ไม่ขุ่นมัว นอนหลับสนิท ผลดีมีเยอะอย่างนี้ ทำไมถึงไม่รีบปฏิบัติกัน

ดิฉัน - กราบขอบพระคุณในคำสอนของพระศาสดาค่ะ นมัสการลาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:16:27


ความคิดเห็นที่ 17 (1540979)

กรรมบท ๑๐

บันทึกการทำสมาธิของวันที่ 11 ก.ค. 52

เข้ามโนฯขึ้นไปเฝ้าพระศาสดาค่ะ

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร เป็นยังไงวันนี้

ดิฉัน - ปวดหัวเจ้าค่ะ เป็นมาหลายวันแล้ว ไม่ทราบว่าเพราะอะไรค่ะ

พระศาสดา - เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง ช่วงนี้เป็นช่วงที่กรรมชั่วของเธอกำลังจะหมด กรรมดีจะเริ่มส่งผล เจ้ากรรมนายเวรเลยเร่งเข้ามาเยอะ เพราะกลัวว่าจะตามเธอไม่ทัน

ดิฉัน - เหรอคะ มิน่าถึงปวดหัวทุกวันเลยค่ะ วันนี้พระศาสดาจะสอนธรรมะเรื่องอะไรคะ

พระศาสดา - เรื่องกรรมบท 10

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - กรรมบท 10 เป็นสิ่งที่ช่วยให้ศีลของพวกเธอสมบูรณ์มากขึ้น สำรวมกาย วาจา ใจ เพิ่มมากขึ้น กรรมบท 10 ประกอบไปด้วย อกุศลกรรมสามอย่าง คือ กาย 3 วจี 4 มโน 3

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - กาย 3 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม จะเห็นว่าสามอย่างนี้ก็คืออยู่ในศีลห้าข้อที่ 1ถึง 3 นั่นเอง

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - วจี 4 คือ ไม่พูดปด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดส่อเสียดนินทาทำให้เขาแตกแยกกัน ไม่พูดไร้สาระ อันนี้จะเพิ่มเติมในส่วนของศีลห้าข้อที่สี่มาอีกสามอย่าง ซึ่งศีลข้อมุสานั้นได้แก่ ไม่พูดปดอย่างเดียว แต่กรรมบท 10 จะเพิ่มขึ้นมาอีกสามอย่าง

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - มโน 3 คือ ไม่มีความคิดอยากได้ของของคนอื่น ไม่มีความอาฆาตพยาบาทจองเวรกับใคร ไม่ค้านกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - เมื่อทรงศีลห้ากับพรหมวิหาร 4 ได้อยู่ตัวแล้ว สมควรนำกรรมบท 10 มาเสริมเพื่อทำให้ศีลของพวกเธอดียิ่งๆขึ้นไป หากว่าทรงกรรมบท 10 ได้ด้วย จะทำให้ศีลของพวกเธอบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น

ดิฉัน - เจ้าค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ ขอกราบแทบพระบาทพระศาสดาเจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะนำไปบอกกล่าวแก่ท่านกัลยาณมิตรค่ะ

พระศาสดา - ดีแล้ว เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:17:56


ความคิดเห็นที่ 18 (1540983)

อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

คุณธนา

สมควรอ่านอย่างยิ่งค่ะ

ทุกๆ คน นะคะ โดยเฉพาะ

........

ผู้ยังไม่เข้าใจ

ความหมายของ

คำว่า

พระอริยะเจ้า

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล บ้านสวนพีระมิด (pamela-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:19:47


ความคิดเห็นที่ 19 (1540985)

เมื่อเกิดภัยพิบัติ คนดีมีศีลธรรมเท่านั้นที่จะอยู่รอด

กระทู้นี้น่าจะเป็นที่ถูกใจและติดตามของทุกท่านนะครับ และคอนเฟิร์มที่ท่านอาจารย์อุบลพร่ำบอกเสมอ และตลอดมาว่า คนดีเท่านั้นที่จะอยู่รอด สำหรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น

บันทึกการนั่งสมาธิวันที่ 6 ส.ค. 52

ขึ้นไปเฝ้าพระศาสดาที่วิหารของท่าน

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร เป็นอย่างไรบ้าง

ดิฉัน - เฮ้อ...เห็นชีวิตคนอื่นๆก็หลากหลายเรื่องเหมือนกันนะคะ ยิ่งกว่านิยายอีก

พระศาสดา - รู้แล้วเห็นทุกข์ไหม

ดิฉัน - ทุกข์ค่ะ

พระศาสดา - แล้วยังอยากเกิดอีกไหม

ดิฉัน- ไม่ละค่ะ

พระศาสดา - ดีแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญเพียรไป

ดิฉัน - ค่ะ เอ่อ..พระศาสดาคะ ตกลงต้องฝึกกสิณจริงๆหรือคะ แล้วเรื่องต่างๆมันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าคะ คือลูกไม่อยากฝึกแล้วอ่ะค่ะ มันเครียด

พระศาสดา - ต้องฝึก แต่ตอนนี้ก็พักไว้ก่อนก็ได้ให้ใจสบายๆก่อน

ระหว่างนั้นรู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อนขึ้นมา ตอนแรกก็ยังไม่ค่อยสังเกตุ แต่เอ๊ะ...ดูไปดูมา มันเป็นภาพน้ำท่วมใหญ่นี่นา แล้วก็เหมือนตัวเองมองเห็นประเทศไทยจากข้างบนลงมา เห็นท้องทะเลปั่นป่วน คลื่นซัดเข้าสู่ประเทศไทย ท้องฟ้าก็มืดมิด แล้วก็เห็นว่ามีคนลอยคอโต้คลื่นกันอยู่ เรือก็ถูกคลื่นซัด ดูน่ากลัว

ดิฉัน - พระศาสดาค่ะ ลูกเห็นภาพน้ำท่วมใหญ่ แสดงว่าเรื่องนี้มันต้องเกิดจริงๆน่ะซีคะ แต่เห็นแต่น้ำกับลมพายุ แล้วที่เขาว่ามันจะมีไฟละคะ

พระศาสดา - ลองดูให้ดีๆ

จากนั้นก็เห็นว่ามีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินแยกออก แล้วภาพก็หายไป

ดิฉัน - แล้วประเทศเราจะเป็นยังไงคะ ประเทศอื่นอีกละคะ เราแก้ไขหรือป้องกันได้อย่างไรบ้างคะ

พระศาสดา - คนดีมีศีลธรรมเท่านั้นถึงจะอยู่รอด ประเทศไทยจะโชคดีกว่าประเทศอื่นเพราะว่าเป็นเมืองพุทธ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่โดน มันถึงเวลาล้างโลก เพื่อให้คนดีๆได้อยู่ต่อไป และช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนาของพระศาสดาให้คงอยู่ต่อไปจนถึงห้าพันปี ถ้าทุกคนช่วยกันบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็อาจจะช่วยทำให้สถานการณ์มันทุเลาลงได้

ดิฉัน - ค่ะ งั้นเดี๋ยวลูกก็ลาไปหาพระอาจารย์อนุรุทก่อนนะคะ

พระศาสดา - ได้ ตามสบาย

ดิฉัน - นมัสการลาเจ้าค่ะ

แล้วดิฉันก็ไปหาพระอาจารย์อนุรุททะ

ดิฉัน - นมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ - เจริญพร เป็นยังไงละ

ดิฉัน - ไปเฝ้าพระศาสดามาค่ะ คือว่าช่วงนี้ก็ไม่ได้ฝึกกสิณเพราะเครียด แล้วก็ไปเจอเรื่องราวเพื่อนๆอีก รู้แล้วก็เหนื่อยแทน

พระอาจารย์ - รู้เห็นไว้แล้วก็อุเบกขาซะ เราทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เหรอ กรรมของใครก็ของคนนั้น

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ - พระศาสดาท่านสอนไว้เรื่องอริยสัจ 4 นั่นยังไง ธรรมะข้อนี้ของพระองค์เป็นสัจธรรมจริงแท้แน่นอน ดังนั้นทุกคนก็ควรหาทางพ้นจากทุกข์พ้นจากวัฏสงสารนี่ซะในชาตินี้

ดิฉัน - ค่ะ

พระอาจารย์ - พระอาจารย์ก็ไม่เข้าใจคนอีกหลายคนว่าทำไมต้องขอไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ ทั้งๆที่สามารถจะไปนิพพานกันได้ในชาตินี้ เกิดอยู่ในยุคของพระศาสดาแท้ๆยังปฏิบัติไม่ได้ แล้วไปเกิดในยุคนั้นมันจะไปได้อย่างไร

ดิฉัน - แต่บางคนเขาก็ปรารถนาพุทธภูมินี่เจ้าคะ ก็เลยต้องเกิดไปเรื่อยๆ

พระอาจารย์ - ใช่ แต่คนที่ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ แทนที่จะศึกษาพระธรรมแล้วก็หาวิธีดับทุกข์เพื่อไปนิพพานในชาตินี้ก็กลับไม่ทำ กลับคิดที่แต่จะตั้งใจขอไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ กว่ายุคของพระศาสดาสมณโคดมจะหมดไปก็ยังอีกหลายปี แล้วหลังจากนั้นก็เป็นยุคที่ว่างเว้นพระพุทธเจ้าไปอีกนานเลย กว่าพระศรีอารย์ท่านจะมา หากหลงไปเกิดในยุคนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่ในยุคปลายๆศาสนาก็พระสมณโคดมเองก็เริ่มไม่ดีแล้ว ศาสนาก็เริ่มเสื่อม คนก็มีจิตใจทราม แทนที่จะไปเกิดใหม่ก็สู้ไปนิพพานในชาตินี้ไม่ดีกว่าเหรอ

ดิฉัน - ก็ยังมีหลายคนที่เขายังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของศาสนาน่ะเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ - อืมม ก็เป็นไปตามวาระกรรมของแต่ละคนแหละ ถ้าเมื่อใดเกิดดวงตาเห็นธรรมแล้วเขาถึงจะคิดได้

ดิฉัน - ค่ะ งั้นเดี๋ยวศิษย์ขอลากลับก่อนนะเจ้าคะ นมัสการลาเจ้าค่ะ

พระอาจาย์ - เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:20:58


ความคิดเห็นที่ 20 (1540986)

สมบัติทางธรรมมีค่าสูงสุดดีกว่าสมบัติทางโลก

เมื่อคืนขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา ก็ได้เจอสมเด็จองค์ปฐมด้วย ก็นั่งสนทนาไปหลายเรื่องเหมือนกัน ทั้งเรื่องที่โดนทดสอบจิตตอนฝัน แล้วก็เรื่องงาน เรื่องส่วนตัว

เรื่องที่ถูกทดสอบนี่ รู้สึกว่าจะเจอทุกคืนเลยค่ะ ดิฉันจะเจออยู่สองเรื่องคือ เรื่องอารมณ์โกรธกับเรื่องเพศตรงข้าม คืนก่อนฝันว่ามีเด็กผู้ชายจับลูกแมวไปใส่ในกระสอบแล้วให้ลูกชายดิฉันทุบให้ตาย เราก็ยั้งอารมณ์ไม่ได้โกรธลูกว่าลูกทำไมทำอย่างนี้ ตีลูกค่ะ แล้วก็ว่าเด็กชายคนนั้นไล่เขาไป พอตื่นขึ้นมามีสติคิดได้ว่าโดนอีกแล้ว เพราะปกติลูกชายก็เป็นคนใจบุญ เขาไม่ยอมทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่เราอ่ะระงับอารมณ์ไม่ได้ ส่วนใหญ่เรื่องที่มาทดสอบจะมีลูกเป็นตัวประกอบตลอด เพราะเราจะหงุดหงิดง่ายกับลูกค่ะ เลยไม่ผ่านสักที

ส่วนเรื่องเพศตรงข้ามยังผ่านได้ง่ายกว่า แต่ก็มีบางทีเหมือนกันช่วงที่จิตตกมากๆ โดนไปเหมือนกันค่ะ แสดงว่าเรายังเลวอยู่มาก ต้องสำรวมตัวเองและปฏิบัติให้มากกว่านี้

ได้สอบถามท่านเรื่องงานเพราะว่าจริงๆที่ดิฉันยังไม่ได้งานเนี่ย เป็นเพราะท่านไม่อยากให้ทำงานกับคนหมู่มาก เดี๋ยวศีลจะขาด ท่านต้องการให้เราฝึกปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น ท่านว่าให้ทำงานตัวเอง ซึ่งดิฉันก็เลิกหางานไปแล้วค่ะ เริ่มที่จะทำงานฝีมือที่ตัวเองถนัดก็ค่อยๆเริ่มไป ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับใครมากด้วย สบายใจดี แต่พวกนี้มันไม่รวยหรอกนะคะ ก็พออยู่พอกิน
ท่านเลยว่าสมบัติอะไรก็ไม่ดีเท่าสมบัติทางธรรม สมบัติทางโลกตายไปก็เอาไปไม่ได้ สู้มาสร้างสมบัติธรรมไม่ดีกว่าเหรอ

แล้วก็ได้สอบถามท่านถึงเรื่องที่ไปฝันเห็นเรือโบราณ เหรียญทองโบราณ กับเจดีย์ที่อยู่ใต้ดิน โดยมีหลวงพ่อองค์นึงพาไป ซึ่งจะไม่ขอเล่าในตอนนี้ เนื่องจากว่าไปพาดพิงถึงพระท่าน แต่ว่ามีเรื่องต้องรอให้ไปพิสูจน์ก่อน โดยบอกกับท่านว่าขอยังไม่เชื่อในตอนนี้ ขอไปพิสูจน์ก่อน ท่านก็ว่าแล้วแต่ แล้วสักพักก็ลาท่านกลับลงมาค่ะ แวะไปกราบหลวงพ่อโตแล้วก็ออกจากสมาธิ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:23:46


ความคิดเห็นที่ 21 (1540988)

อบายมุข คือหนทางแห่งความเสื่อม

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 15 ส.ค. 52

ขึ้นไปเฝ้าพระศาสดาแล้วก็นั่งสนทนากันและได้สอบถามในเรื่องที่สงสัยอยากรู้

ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ คือว่าลูกสงสัยน่ะเจ้าค่ะ เมื่อก่อนนี้ลูกจะเป็นคนที่ฝันเห็นเลขเห็นหวยประจำเลย ส่วนใหญ่ก็ตรงนะคะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เคยฝันเลยค่ะ เป็นเพราะอะไรคะ

พระศาสดา - ยังอยากจะเล่นหวยอยู่อีกเหรอ

ดิฉัน - ไม่ค่ะ ปกติก็ไม่ค่อยได้เล่น แต่ส่วนใหญ่จะเอาไปบอกคนอื่นน่ะค่ะ

พระศาสดา - หวยมันเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง ในเมื่อเธอเดินเข้ามาในทางสายนี้แล้ว ทางที่ต้องปฏิบัติไปเพื่อการหลุดพ้น ดังนั้นเธอจึงต้องละทุกอย่าง ปกติบุคคลทั่วไปก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขอยู่แล้ว

ดิฉัน - เจ้าค่ะ...ก็แค่สงสัยน่ะค่ะ เพราะเมื่อก่อนฝันเรื่อยเลยค่ะ แต่เดี๋ยวนี้มันหยุดไปเฉยๆ

พระศาสดา - เมื่อก่อนพวกเทวดาพรหมเขาก็มาช่วยสงเคราะห์น่ะซี แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโชคกับเรื่องแบบนี้หรอก แล้วตอนนี้เธอต้องปฏิบัติตน เรื่องแบบนี้จึงไม่สมควรอย่างยิ่ง เทวดาหรือพรหมก็เลยไม่สงเคราะห์ตรงนี้เพราะจะทำให้บาปได้เนื่องจากจะเป็นการส่งเสริมให้ลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุขแล้วยังขัดขวางการบำเพ็ญธรรมอีกด้วย

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วรู้ไหมว่าอบายมุขคืออะไร

ดิฉัน - ทราบเจ้าค่ะ อบายมุขคือหนทางแห่งความเสื่อม

พระศาสดา - ถูกต้อง แล้วอบายมุขมีกี่อย่าง

ดิฉัน - มีสองหมวดค่ะ คือ อบายมุข 4 กับอบายมุข 6

พระศาสดา - อบายมุข 4 คืออะไร

ดิฉัน - นักเลงผู้หญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน และคบคนพาลเป็นมิตรค่ะ

พระศาสดา - แล้วอบายมุข 6 ละ

ดิฉัน - เที่ยวกลางคืน ดื่มสุรา ชมมหรสพ เล่นการพนัน คบคนพาลเป็นมิตร แล้วก็เกียจคร้านเจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วโทษของอบายมุขทั้งหมดมีอะไรบ้าง

ดิฉัน - แต่ละข้อมีแยกย่อยไปค่ะ ลูกจำได้ยังไม่หมด แต่รู้ว่าโดยรวมๆแล้วจะทำให้เกิดความเสียหายกับทรัพย์สิน ร่างกาย การงาน ผู้คนรอบข้างค่ะ

พระศาสดา - ไปอ่านให้รู้แจ้งนะ แล้วจำเอาไว้

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

หลังจากนั้นก็สนทนากับท่านอยู่อีกพักหนึ่ง แล้วก็ลาท่านกลับลงมา ก็ตรงไปกราบหลวงพ่อโตที่โบสถ์ จากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลแล้วก็ออกจากสมาธิ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:25:25


ความคิดเห็นที่ 22 (1540991)

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝนค่ะ

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ |ฅนจร|
ช่วงนี้สอบภาษาเยอรมันเลยต้องอ่านหนังสือหน่อย เลยไม่ค่อยได้มาอ่านเลยครับยังห่างจากหน้าปัจจุบันอยู่เลย T_T พอดีจากหน้า 125 ครับ ที่บอกว่าหากเราไม่ได้ฝึกมโนยิทธิแล้วเลยไม่รู้ว่าพระนิพพานนั้นเป็นยังไง ให้เราทำจิตนึกถึงพระนิพพานเหรอครับ(คือให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเหรอครับ แล้วคิดว่าชาตินี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียวเหรอครับ) ตอนนี้ยังไม่ได้ฝึกมโนยิทธิครับ เพราะผมนั่งกรรมฐานกับพี่ๆๆเค้าบอกว่าเอาทีละอย่างเดียว เพราะกลัวผมจะบ้าเอาเพราะชอบเพ่ง เลยกะว่าเอาทีละอย่าง ต้องพยามยามให้ได้ฌาณ 4 ตอนนี้ยังอยู่ปฐมฌาณหรือฌาณ 2 อยู่เลยมั้งครับไม่มีความคืบหน้าเลยจิตนิ่งอย่างเดียวนั่งเป็นชั่วโมงแต่รู้สึกว่าไม่ไปไหนสงสัยกิเลสยังหนา กลัวผิดทางจังเลย -T_T- .....Guten Tag!! ครับ

ที่บอกว่าหากเราไม่ได้ฝึกมโนยิทธิแล้วเลยไม่รู้ว่าพระนิพพานนั้นเป็นยังไง ให้เราทำจิตนึกถึงพระนิพพานเหรอครับ(คือให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเหรอครับ แล้วคิดว่าชาตินี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียวเหรอครับ)

ระลึกถึงบุญคุณของพระพุทธเจ้าท่าน ที่ท่านลำบากบำเพ็ญเพียรเพื่อหลุดจากทุกข์ เเละนำพระธรรมคำสอนของพระองค์มาสั่งสอนเรา เพื่อให้เราพ้นทุกข์เหมือนกันกับท่าน ความเมตตาของพระองค์หาที่สิ้นสุดไม่ได้

สมเด็จองค์ปฐมท่านสอนพี่ฝนว่า เเค่ทำจิตใจให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเเล้วขอไปพระนิพพานโดยไม่ปฏิบัติเลย เเค่คิดอย่างเดียวนั้นไปไม่ได้เพราะการคิดอยากของจิตนั้นเป็นกิเลส ท่านสอนพี่ฝนไว้สองข้อ

1. เวลาทำบุญอะไรก็เเล้วเเต่ให้ อธิษฐานว่า "เราทำบุญในครั้งนี้เพื่อถวายเเด่ พระพุทธ พระธรรม เเละพระสงฆ์ ขอให้พระสงฆ์นี้(ที่เราได้ตักบาตร ถวายปัจจัยต่างๆ)เป็นตัวเเทนสงฆ์รับไว้เพื่อใช้ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนานี้ด้วยเถิด"

2. หลังจากทำบุญเสร็จเเล้วให้อธิษฐานว่า "ขอให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม ในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นเป็นไปเพื่อการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด สาธุ"

การตั้งจิตไว้ให้นึกถึงพระนิพพานเป็นเพียงให้จิตมีที่ยึดเกาะ เวลาเราตายไปเราจะได้รู้ว่าเราจะไปที่ไหน เเต่การจะไปถึงพระนิพพานได้นั้นเราต้องปฏิบัติเอง จิตต้องตั้งมั่นเเละเเน่วเเน่ตรงต่อพระนิพพานนั้นจริงๆ

ถ้าจะถามต่อว่าสองข้อที่กล่าวมาเเล้ว พี่ฝนปฏิบัติเห็นผลเเล้วหรือยัง พี่ฝนกล้ายืนยันค่ะว่าเห็นเเล้ว เเต่ไม่ได้เห็นทั้งหมดโดยทันที เริ่มมีดวงตาการมองเห็นสิ่งรอบข้างภายนอกไปในทางของไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ซึ่งน้อมนำไปตามคำสอนของสมเด็จองค์ปฐมที่สอนพี่ฝนไว้ว่า "พยายามมองสิ่งรอบตัวให้เห็นเป็นไตรลักษณ์" ว่าทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เเละในที่สุดมันก็ดับไป

การออกไปสนุกสนาน เฮฮา ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง มันสนุกก็จริง เเต่เป็นความสนุกที่มีวันจบซึ่งเป็นของไม่เที่ยง (ในความคิดพี่ฝนความสนุกเหล่านั้น เป็นความสุขที่หลอกลวง) ไม่ใช่ความสุขที่เเท้จริง เเล้วเราจะไปหาความสุขที่เเท้จริงได้จากที่ไหน ตอนนี้คิดได้เเล้วว่า ได้จากการปฏิบัตินำไปสู่การหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารตามเเนวทางของพระพุทธเจ้า

ตอนนี้เหลืออีกข้อที่ยังไม่ได้เริ่มทำ เเต่สมเด็จท่านเมตตาสอนทุกวันคือ มองปัจจัยภายในตัวเราให้เป็นอสุภะ เเล้วพิจารณาขันธ์ 5 เริ่มค่อยๆตัดมันทีละน้อย

สรุปคำสั่งสอนที่สมเด็จท่านเมตตาสอนพี่ฝนเพื่อเป็นไปเพื่อการเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน คือ

- ใช้ไตรลักษณ์เป็นการมองเห็นปัจจัยภายนอกว่าสังคมโลกเป็นเรื่องน่าเบื่อ หาความเที่ยงเเท้นั้นไม่ได้เลย เมื่อเริ่มคิดได้ มองเห็น จิตจะเริ่มปลงไปเอง

- ใช้อสุภะกรรมฐานเป็นการมองเห็นปัจจัยในร่างกายของตัวเองว่าไม่เที่ยงเเท้เเน่นอน เป็นเพียงสภาวะธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประกอบกันเป็นร่างกาย เมื่อเริ่มเห็นจิตที่ยึดมั่นในความเป็นตัวตนของเราจะน้อยลง เริ่มปลงไปเรื่อยๆ

ทั้งสองข้อที่สมเด็จองค์ปฐมท่านสอนพี่ฝนมานั้นเป็นหัวข้อยึดถือปฏิบัติเป็นเเนวทางเพื่อการหลุดพ้น เข้าสู่พระนิพพานอย่างเเท้จริง โดยไม่ต้องใช้มโนยิทธิเป็นตัวช่วย

เป็นกำลังใจให้ในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:28:22


ความคิดเห็นที่ 23 (1540992)

จงโทษที่ตัวเรา อย่าไปกล่าวโทษผู้อื่น

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 22 ส.ค. 52

เข้าสมาธิขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร เป็นอะไรไปละ หน้าตาไม่ค่อยสบาย

ดิฉัน - มาสารภาพค่ะ ว่าลูกยังระงับความหงุดหงิดกับบางคนกับบางเรื่องไม่ค่อยได้เลย

พระศาสดา - แล้วเธอเอาใจไปคิดทำไม ใครเขาจะว่าอะไรจะทำอะไรมันเรื่องของเขา ถ้าเธอไม่ไปใส่ใจซะอย่าง จิตเธอก็ไม่ต้องเศร้าหมอง ไม่ต้องมีอารมณ์หงุดหงิดใช่หรือไม่

ดิฉัน - ใช่ เจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วเมื่ออารมณ์หงุดหงิด ทำให้ไม่สบายใจทำให้ทุกข์ใช่หรือไม่

ดิฉัน - ใช่ เจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วเธอยังจะพกเอาความทุกข์ไว้อีกเหรอ อย่าพยายามไปกล่าวโทษคนอื่น มันต้องโทษตัวเราที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์ ถ้าเรายังหงุดหงิดกับสิ่งที่มากระทบ เรายังใช้ไม่ได้ ให้ทำใจปล่อยวางไปซะ ทุกคนก็ต้องมีอารมณ์รัก อารมณ์โกรธกันเป็นธรรมดา แต่ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราระงับได้ไหม เราปล่อยวางได้ไหม ถ้าไม่ได้แสดงว่าเรายังปฏิบัติตนได้ไม่ดีพอ จงโทษที่ตัวเราอย่าไปโทษคนอื่น

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - ตอนนี้สบายใจขึ้นหรือยัง

ดิฉัน - เจ้าค่ะ ได้ฟังคำสั่งสอนของพระศาสดา สติก็เริ่มกลับมาค่ะ อารมณ์ก็เย็นลงค่ะ

พระศาสดา - จำเอาไว้ เมื่อมีคนหรือเหตุการณ์อะไรมาทำให้เราไม่พอใจ ก็ให้รับรู้ไว้แล้วก็ปล่อยวางซะ อย่าไปแบกความทุกข์ไว้ ไม่เกิดประโยชน์ จงฝึกจิตของตนให้หลุดพ้นแทนที่จะไปโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:29:56


ความคิดเห็นที่ 24 (1540994)

จงโทษที่ตัวเรา อย่าไปกล่าวโทษผู้อื่น

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 22 ส.ค. 52

เข้าสมาธิขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร เป็นอะไรไปละ หน้าตาไม่ค่อยสบาย

ดิฉัน - มาสารภาพค่ะ ว่าลูกยังระงับความหงุดหงิดกับบางคนกับบางเรื่องไม่ค่อยได้เลย

พระศาสดา - แล้วเธอเอาใจไปคิดทำไม ใครเขาจะว่าอะไรจะทำอะไรมันเรื่องของเขา ถ้าเธอไม่ไปใส่ใจซะอย่าง จิตเธอก็ไม่ต้องเศร้าหมอง ไม่ต้องมีอารมณ์หงุดหงิดใช่หรือไม่

ดิฉัน - ใช่ เจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วเมื่ออารมณ์หงุดหงิด ทำให้ไม่สบายใจทำให้ทุกข์ใช่หรือไม่

ดิฉัน - ใช่ เจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วเธอยังจะพกเอาความทุกข์ไว้อีกเหรอ อย่าพยายามไปกล่าวโทษคนอื่น มันต้องโทษตัวเราที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์ ถ้าเรายังหงุดหงิดกับสิ่งที่มากระทบ เรายังใช้ไม่ได้ ให้ทำใจปล่อยวางไปซะ ทุกคนก็ต้องมีอารมณ์รัก อารมณ์โกรธกันเป็นธรรมดา แต่ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราระงับได้ไหม เราปล่อยวางได้ไหม ถ้าไม่ได้แสดงว่าเรายังปฏิบัติตนได้ไม่ดีพอ จงโทษที่ตัวเราอย่าไปโทษคนอื่น

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - ตอนนี้สบายใจขึ้นหรือยัง

ดิฉัน - เจ้าค่ะ ได้ฟังคำสั่งสอนของพระศาสดา สติก็เริ่มกลับมาค่ะ อารมณ์ก็เย็นลงค่ะ

พระศาสดา - จำเอาไว้ เมื่อมีคนหรือเหตุการณ์อะไรมาทำให้เราไม่พอใจ ก็ให้รับรู้ไว้แล้วก็ปล่อยวางซะ อย่าไปแบกความทุกข์ไว้ ไม่เกิดประโยชน์ จงฝึกจิตของตนให้หลุดพ้นแทนที่จะไปโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:31:46


ความคิดเห็นที่ 25 (1540996)

สิ่งที่เท่ากันของผู้ที่บรรลุพระนิพพานคือการไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 26 ส.ค. 52

ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระศาสดา ท่านก็ได้สนทนาสอบถามถึงเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย จากนั้นดิฉันก็ได้ทูลถามพระองค์ว่า

ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ เรื่องของชบากับลำดวนนี่ ลูกยังสงสัยมากเลยนะคะ

พระศาสดา - สงสัยเรื่องอะไร

ดิฉัน - ก็ทั้งสองคนมานิพพานง๊าย ง่าย เจ้าค่ะ แค่จิตนึกถึงนิพพานตอนจะตายก็มาได้แล้วเหรอคะ

พระศาสดา - ถูกต้อง

ดิฉัน - แล้วคนอื่นเขาต้องฝึกกันตั้งนาน ทำไมต้องฝึกละค่ะ ตอนตายเอาแบบชบากับลำดวนก็ไปได้แล้ว

พระศาสดา - คนเราสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน อย่างเธอต้องฝึกเป็นพระอริยะไปตามขั้นตอนแล้วค่อยเข้านิพพาน เป็นบารมีของแต่ละคน ส่วนพวกที่เข้านิพพานแบบชบาและลำดวนก็มีพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็ต้องมีจิตรักในนิพพานเป็นนิจ ก่อนตายจิตก็ต้องละทุกสิ่งทุกอย่างได้จริงๆ ถึงจะเข้านิพพานได้

ดิฉัน - ค่ะ แล้วทำไมเขาไม่มีวิมานเป็นเอกเทศละคะ ทำไมต้องมาเป็นบริวารอยู่ในเขตวิมานของลูก

พระศาสดา - ก็เพราะว่าบารมีของเขาไม่มากพอที่จะมีวิมานแยกเป็นเอกเทศ เขาก็ต้องไปเป็นบริวารอยู่ร่วมกับคนที่เคยเกื้อกูลกันมา

ดิฉัน - แต่ลูกเข้าใจว่าคนที่เข้านิพพานแล้ว ก็เป็นอิสระไม่ใช่หรือคะ ไม่ต้องมีบริวาร ไม่ต้องมีนาย มีลูกน้อง อะไรแบบนี้

พระศาสดา - ยังมีอยู่ เพราะว่าบารมีของแต่ละคนไม่เท่ากัน

ดิฉัน - ลูกก็ยังงงๆอยู่ดีแหละค่ะ (คิดถึงหลวงพ่อฤาษีในทันทีทันใด) ตกลงมันเป็นยังไงคะหลวงพ่อเจ้าขา

หลวงพ่อฤาษี (ท่านก็มาในทันทีเหมือนกัน) - ที่พระศาสดาตรัสน่ะ ถูกต้องแล้วลูก

ดิฉัน - สรุปก็ยังมีบริวารกันหรือคะบนนิพพาน ทำไมทุกคนถึงไม่เท่ากันละคะ ไหนๆก็เข้านิพพานแล้ว

หลวงพ่อฤาษี - อ้าว...ถ้าลูกพูดยังงั้น อย่างนี้หลวงพ่อเข้านิพพานแล้ว หลวงพ่อก็เท่ากับพระศาสดาเรอะไง

ดิฉัน - แว๊กกกกกกก...ไม่เท่าเจ้าค่ะ จะไปเท่าได้ไง พระพุทธเจ้าก็พระพุทธเจ้า หลวงพ่อก็หลวงพ่อ

หลวงพ่อฤาษี - ใช่ไหม เจ้าก็รู้นี่ ต่อให้เข้านิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า หลวงพ่อก็คือหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ไช่ไหมละ คนธรรมดาก็ไม่สามารถเป็นพระได้ใช่ไหมละ เป็นเพราะอะไร ก็เพราะบารมีที่ทำมามันไม่เท่ากันถูกไหม ดังนั้นทุกคนก็อยู่ในฐานะที่ต่างกัน เพราะว่าบารมีไม่เท่ากัน เพียงแต่ว่าทุกคนที่เข้านิพพานแล้วไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้วเท่านั้นแหละ เข้าใจหรือยัง

ดิฉัน - เข้าใจค่ะ หายโง่ไปเลยค่ะ ถูกต้องจริงๆเลยค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:33:11


ความคิดเห็นที่ 26 (1541002)

สมเด็จองค์ปฐมและพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ฯ เสด็จงานกฐินวัดกู่เสือ

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 12 ก.ย. 52

จะขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา เจอท่านเสด็จมาพอดี ท่านก็สั่งให้ตามพระองค์ท่านไปที่จุฬามณี ไปถึงก็มีพวกเทพยดา พรหม นั่งรอกันอยู่เต็มไปหมด ท่านก็เสด็จผ่านไปยังที่ประทับโดยดิฉันก็ได้เดินตามมาทางด้านหลัง พอมาถึงที่พวกท้าวจตุบาลทั้ง 4 และพระอินทร์นั่งอยู่ ท่านก็ตรัสว่า

พระศาสดา - รามาวตี เธอไปนั่งกับพ่อของเธอก็แล้วกัน

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

แล้วดิฉันก็เลยได้เดินไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างที่นั่งของท่านพ่อเวชสุวรรณ เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับนั่งเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้กล่าวว่า

พระศาสดา - สวัสดีท่านทั้งหลาย วันนี้เป็นวันดีเป็นวันธรรมสวนะ ดังนั้นตถาคตจะมาเทศน์โปรดพวกเธอ ขึ้นชื่อว่าเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา หรือ พรหม ทั้งหมดนี้ยังไม่พ้นจากห้วงวัฏสงสาร จึงจะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก หากว่าไม่อยากเกิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ก็ขอให้รีบเร่งบำเพ็ญเพียรตนเพื่อการหลุดพ้น เพื่อไปนิพพานกันเถิด หากว่ายังหลงใหลได้ปลื้มอยู่กับความสุขจอมปลอม ท่านก็จะต้องพบกับความทุกข์ทั้งหลายไปตลอด ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดอยู่คงทนถาวร ทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วนเวียนไปอย่างนี้ หาความสงบไม่ได้ ความสงบที่แท้จริงนั้นหาอยู่ในภพภูมิเหล่านี้ไม่ หากแต่อยู่ที่นิพพานดุจเดียวเท่านั้น หากพวกท่านทั้งหลายต้องการพบความสงบที่แท้จริง พวกท่านก็ต้องเร่งปฏิบัติตนเพื่อให้ถึงยังที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหม พวกท่านต่างก็ยังไม่หลุดพ้นไปจากกฏของกรรมเลย

มนุษย์นั้นโชคดีกว่าภพภูมิอื่นตรงที่สามารถบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีให้หลุดพ้นไปได้ง่ายกว่าคนอื่น มีโอกาสทำบุญทำกุศลแล้วสร้างบารมีได้โดยง่าย หากว่าทำไม่ได้ก็น่าเสียดายโอกาส ให้พิจารณาดูอริยสัจ 4 หนทางแห่งการพ้นทุกข์ก็คือมรรค 8 ซึ่งอันแรกคือสัมมาทิฏฐิ หากว่าไม่มีสัมมาทิฐิซะแล้ว ข้ออื่นๆก็ไม่มีผล แต่ถ้ามีสัมมาทิฐิประจำใจ ข้ออื่นๆก็จะตามมาได้ไม่ยาก

ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงเร่งทำความเพียรเพื่อการหลุดพ้นไปจากวัฏสงสารนี้เถิด

จากนั้นท่านก็ให้เหล่าเทวดาซักถามถึงข้อสงสัยต่างๆ แล้วก็เสด็จกลับวิหารของท่าน ซึ่งท่านก็ให้ท้าวจตุบาลทั้ง 4 ท่านพระอินทร์ แล้วก็ดิฉันตามท่านไปที่วิหารด้วย เมื่อถึงยังวิหารของท่าน หลังจากประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ตรัสถามว่า

พระศาสดา - ว่าอย่างไรรามาวตี เรื่องงานกฐินเรียบร้อยไหม

ดิฉัน - เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ทุกอย่างไปได้ด้วยดี จะไปติดต่ออะไรที่ไหนก็สะดวกและเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ

พระศาสดา - ดีแล้ว ได้ท่านท้าวทั้งสี่และก็องค์อินทร์ท่านคอยดูแลอยู่ คงจะไม่มีปัญหาอะไร ฝากพวกท่านด้วยก็แล้วกัน

ท่านท้าวทั้งสี่และองค์อินทร์ก็รับคำ

พระศาสดา - หลังงานกฐิน กรรมหนักของเธอก็จะหมดไป ชีวิตของเธอก็จะดีขึ้น ให้อดทนไว้นะ

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - งานกฐินนี้เป็นงานใหญ่ได้บุญมาก ปกติกฐินก็จัดได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นกฐินธรรมดาๆ แต่งานนี้เป็นมหากฐินด้วยบุญยิ่งมากเป็นหลายเท่า ฝากบอกทุกคนด้วยว่า ให้น้อมใจถวายผ้าพระกฐินนี้ด้วยใจที่ตั้งมั่นและศรัทธา แล้วก็ให้อธิฐานขอในสิ่งที่เราปรารถนาจะสมหวัง ใครที่มีกรรมหนัก กรรมนั้นจะบรรเทาเบาบางลง ใครที่มีเจ้ากรรมนายเวรตามรังควาญอยู่มาก เจ้ากรรมนายเวรก็จะอโหสิกรรมให้ได้ง่ายๆ จงได้ขออโหสิกรรมต่อกันซะ ใครที่ดีอยู่แล้ว ก็จะส่งผลให้ดียิ่งๆขึ้นไป ดังนั้นจงได้ตั้งจิตอธิฐานให้ดีๆ ฝากบอกทุกคนด้วย

ดิฉัน - เจ้าค่ะ...แล้ววันงานพระศาสดาจะเสด็จไหมคะ

พระศาสดา - ทั้งสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ อีกทั้งพระอรหันต์ทั้งหมด รวมถึงเทวดาและพรหมทั้งหมดจะพร้อมใจกันไปในงานนี้

ดิฉัน - สาธุ

พระศาสดา - เอาละ วันนี้เธอสมควรกลับได้แล้ว ไว้ค่อยพบกันใหม่วันหน้า

ดิฉัน - เจ้าค่ะ นมัสการกราบลาเจ้าค่ะ...ลาท่านพ่อแล้วก็ท่านท้าวทั้งสามและก็องค์อินทร์ด้วยเจ้าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:35:27


ความคิดเห็นที่ 27 (1541003)

 

อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

คุณธนา

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว (prawinakamp-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:38:22


ความคิดเห็นที่ 28 (1541005)

โอ้วว วันนี้ลงพอแค่นี้ก่อนนะครับ ที่ลงรวดเดียว เพื่อที่ว่าคนที่สนใจ หากอ่านแล้วจิตใจ เบาสบาย เกิดสมาธิ รักพระนิพพาน มีความซาบซึ้งในธรรมะของพระพุทธองค์ จะได้อ่านอย่างต่อเนื่อง จิตจะได้เกิดสมาธิต่อเนื่องครับ เป็นบทความที่ผมมานานแล้วครับ ยิ่งอ่านยิ่งชอบ เพราะว่าพระพุทธองค์สอนง่ายๆ ชัดเจน วันนี้พอดีนึกได้ก็เลยอยากให้ทุกท่านได้อ่านบทความธรรมะดีๆเช่นกัน

ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้อ่านนะครับ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 21:40:44


ความคิดเห็นที่ 29 (1541025)

 ขออนุโมทนากับคุณธนาด้วยครับ ที่นำธรรมะมาให้อ่านเป็นธรรมทาน...สาธุ สาธุ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์ (สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 22:21:22


ความคิดเห็นที่ 30 (1541027)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนาด้วยค่ะ

อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมากค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น จิดาเพ็ญพัฒน์ ฟักอินทร์ (kajadu-at-sanook-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-19 22:28:48


ความคิดเห็นที่ 31 (1541066)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนาด้วยครับ

ถ้าบังเอิญสิ้นลมไปขณะอ่านต้องขอบคุณ

คุณ ธนา เลยทีเดียว ผมคงได้สมหวังดังปราถนา

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์(จรัล) โพธิ์อุ่น (kiattisp-at-scg-dot-co-dot-th)วันที่ตอบ 2011-04-20 00:13:30


ความคิดเห็นที่ 32 (1541098)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนาด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น สำราญ เลสกิเนน (samrantu-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 03:15:14


ความคิดเห็นที่ 33 (1541104)

หลวง พ่อฤาษี - ใช่ไหม เจ้าก็รู้นี่ ต่อให้เข้านิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อก็คือหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ไช่ไหมละ

คนธรรมดาก็ไม่สามารถเป็นพระได้ใช่ไหมละ เป็นเพราะอะไร

ก็เพราะบารมีที่ทำมามันไม่เท่ากันถูกไหม ดังนั้นทุกคนก็อยู่ในฐานะที่ต่างกัน

เพราะว่าบารมีไม่เท่ากัน เพียงแต่ว่าทุกคนที่เข้านิพพานแล้วไม่ต้องไป

เวียนว่ายตายเกิดอีกแล้วเท่านั้นแหละ เข้าใจหรือยัง

 

อนุโมทนาค่ะคุณธนา ที่นำธรรมทานขั้นสูงสุดมาให้พวกเราได้พิจารณากันอย่างถ้วนถี่

ซึ่งคำสอนแห่งพระพุทธองค์ เป็นคำสอนที่เข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อนจริงๆค่ะ

เพียงแต่เราต้องตั้งเข็มทิศในใจให้ตรงกับคำว่า "สัมมาทิฏฐิ"ซะก่อน

หลังจากนั้นเราก็จะเดินได้ถูกทางแน่นอน....สาธุ สาธุ สาธุ

 

ถึงแม้จะไม่เคยคิดสงสัยว่า บนแดนนิพพาน ทุกคนมีความเท่าเทียมกันหรือไม่อย่างไร

แต่เมื่อได้มาอ่านแล้วก็ได้องค์ความรู้เพิ่มขึ้น ซึ่งคำอธิบายจากท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ชัดเจนและแจ่มแจ้งมากๆค่ะ...สาธุ....

 

ตอนแรกกะว่าจะนอนเร็วนะคะเนี่ย ตั้งใจจะอ่านแค่ไม่กี่กระทู้ก่อนแล้วค่อยมาอ่านต่อวันหลัง

แหะ แหะ แต่พอได้เริ่มอ่านแล้ว ก็"หยุด" ไม่ได้ มา รู้ตัวอีกทีก็"จบ"ซะแล้ว...

ก็เลยต้องนอนดึกอีกตามเคย แต่ก็เป็นการนอนดึกที่ "คุ้มเกินคุ้ม" ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด วันที่ตอบ 2011-04-20 06:45:38


ความคิดเห็นที่ 34 (1541132)

 โมทนาสาธุค่ะ สำหรับธรรมทาน

ชอบมากมากค่ะ รู้สึกมีสติอีกครั้ง ได้เตือนย้ำตัวเอง

มี  link ไหมคะคุณธนา

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญมณี สีทองสุก วันที่ตอบ 2011-04-20 09:26:31


ความคิดเห็นที่ 35 (1541196)

 

ขอ อนุโมทนา สาธุ นะค่ะ สำหรับธรรมะจากพระนิพพาน

(แต่ยัง อ่านไปจบเลยค่ะ  ) แต่ยังไง ก็ขอ สาธุ สาธุ ค่ะ

ซึ่งบางตอน ก็ตรง กับการปฏิบัติ ของตัวเราเลย ซึ่งได้ประโยชน์ ดีมากค่ะ (นี่ และ ธรรมะทาน จริงๆ )

ผู้แสดงความคิดเห็น พลังบุญ/ วิสรีร์ ถิรเลิศจุมพล (wiky20092009-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 13:06:45


ความคิดเห็นที่ 36 (1541246)

ขออนุโมทนากับคุณธนาด้วยคะ

ได้รับความสุขและความรู้ขึ้นมากเลยคะ

อ่านมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เพิ่งจบคะ

มีความสุขมากคะ ขอบคุณมากคะ

สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 16:51:44


ความคิดเห็นที่ 37 (1541252)

มาต่อกันนะครับ

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

มีหลายครั้งมากที่ดิฉันนอนหลับ แล้วชอบตื่นขึ้นมา แบบหลับๆตื่นๆแล้วก็จะได้ยินเสียงคนมาสอนธรรมะเรื่อยเลย ตอนที่ฟังก็จำได้อยู่แล้วก็จะหลับต่อเพราะความง่วง เช้าขึ้นมาก็ลืม

หลายคืนมานี้ก็เป็นเหมือนเดิม ได้ยินแต่พอตื่นมาก็จำไม่ได้ เมื่อคืนก็หลับๆตื่นๆทั้งคืน แล้วก็ได้ยินเสียงคนสอนธรรมะตลอดคืน คราวนี้ได้ยินชัดมาก ฟังดูรู้ได้เลยว่าเป็นเสียงของสมเด็จองค์ปฐมท่าน ตามความคิดของดิฉันคิดว่าท่านกำลังเทศน์สอนใครบางคนอยู่ แต่หูดิฉันดันไปได้ยินมาเอง เพราะว่าเหมือนท่านพูดไปเรื่อยๆเป็นข้อๆแล้วดิฉันก็ไปได้ยินกลางเรื่องยังงั้น ก็จำได้มั่งลืมมั่ง มีบางช่วงก็ตั้งใจฟังแล้วก็ทวนไปด้วย จากนั้นก็หลับต่อ เป็นอยู่อย่างนี้ทั้งคืน

ก็จำมาได้ไม่หมด ได้มานิดหน่อยค่ะ ที่ได้ยินท่านสอนมาก็ตามนี้ค่ะ

  • อย่ามัวเมาหลงตัวตน ตัวกูของกู เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ยึดติดและเกิดกิเลสตัญหาตามมา
  • อย่าหลงมัวเมาไปเที่ยวยังโลกกว้าง เพราะจะทำให้ติดสุขในโลก
  • พยายามฝึกจิตให้ดีๆ ให้เตรียมพร้อมยอมรับกับความตายอยู่เสมอ
  • ความตายเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา ขอพวกเจ้าจงได้อย่าประมาท
  • ให้พิจารณาดูกายตนว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นของไม่เที่ยง

จริงๆมีเยอะค่ะ แต่จำมาได้เท่านี้เอง เพราะว่าตอนที่ได้ยินก็พยายามสลัดความง่วงแล้วก็ทวนความจำไว้ แล้วก็ผล๊อยหลับไปอีกทุกที เดี๋ยวลองดูว่าคืนนี้จะได้ยินอีกไหมค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:42:01


ความคิดเห็นที่ 38 (1541253)

สมเด็จองค์ปฐม ทรงสอนทางลัดสู่พระนิพพาน

ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝนค่ะ

---------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค้าบ พ่อเเม่พี่น้องทั้งหลาย

ฝนมีเรื่องมาโม้ให้ฟังล่ะ รวมมิตรเลยละกันเพราะก็ไม่เคยจำว่าได้รับคำสอนมาตอนไหนบ้างเนื่องจากไม่เคยบันทึก เเต่ที่ยังจำได้เพราะสมเด็จท่านจะสอนย้ำซ้ำๆเรื่องเดิมตลอดเวลา

เมื่อวานพี่ลมโทรมาจากวัดพระอาจารย์ พี่เค้าว่าพระอาจารย์เทศน์สอนเรื่องของศีลกับสมาธิว่าเป็นของคู่กัน พระอาจารย์ท่านว่าถ้าศีลไม่บริสุทธิ์การนั่งสมาธิก็จะไม่มั่นคง ศีลเเละสมาธิเป็นเหตุเเละผลของกันเเละกัน เมื่อการด่างพร้อยของศีลนั้นเกิดขึ้นสมาธิก็ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ลึกๆฝนก็คิดในใจพระอาจารย์ฝากมาถึงฝนรึเปล่าหนอเพราะฝนก็นั่งสมาธิไม่นิ่งเหมือนกัน

ฝนก็นั่งคิดๆ นู่นๆนี่ๆ จนถึงเวลาที่ฝนต้องขึ้นไปเฝ้าท่านพอดีโดยไม่ต้องเอ่ยถามท่านก็รู้ว่าฝนคิดอะไรอยู่ในใจ

สมเด็จ - ทาน ศีล สมาธิ เป็นของคู่กันจะขาดตัวได้ตัวหนึ่งไม่ได้ ทำทานเยอะเเต่ศีลไม่มี อย่างนี้ก็หลุดพ้นไปไม่ได้ มีศีลเเต่ไม่ให้ทานก็ไม่ครบเพราะ การให้ทานคือการลดความตระหนี่ถี่เหนียวในตัวเอง ส่วนศีลเเละสมาธิต้องเป็นของคู่กัน เพราะถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ จิตไม่บริสุทธิ์จะทำให้การนั่งสมาธิสงบนิ่งเกิดผลได้อย่างไรกันละลูก

สมเด็จ - ตัวลูกเองพ่อว่าเจ้าเริ่มเรียนใหม่หมดก็ดีเหมือนกัน เริ่มอ่านเรียนเขียน ก. เอ๋ย กอไก่ ข.ไข่ ในเล้า ใหม่หมดเลย ไปอย่างช้าๆเเต่มั่นคงปูพื้นฐานให้เเน่น เมื่อเรารู้ว่า ก ไก่ เขียนยังไง ต่อไปเมื่อประสมกับสระก็จะได้เป็นคำ จากคำก็เริ่มเรียนเขียนเป็นประโยค เรียนธรรมะก็เหมือนกัน อย่ารีบเร่งไปอย่างช้าๆ ปูพื้นฐานให้เเน่นเเล้วเราจะก้าวหน้าเอง

สมเด็จ - ทางลัดของพระนิพพานนั้นมีอยู่จริง เอาจิตเกาะเเน่นกับพระนิพพานไว้ ไม่จำเป็นต้องได้มโนมยิทธิก็ได้ เเค่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นอารมณ์ตลอด อย่ายึดติดกับร่างกาย
อย่างเจ้าเมื่อถึงเวลาที่เจ้าจะตาย เจ้าจงอย่าอาลัยอาวรณ์ในร่างกายของตัวเอง ให้ทิ้งร่างกายของลูกซะเเละมาหาพ่อที่วิหารนี้ อย่าเถลไถลไปที่ไหน มาเจอกันตรงนี้เเล้วพอถึงเวลาตายดวงจิตของเจ้าก็มาอยู่ที่พระนิพพานเอง

สมเด็จ - เเต่ทว่าจิตยึดติดกับพระพุทธเจ้าเเค่นี้ยังไม่พอ ยังต้องปฏิบัติมองให้เห็นว่าการเกิดมีชีวิตอยู่นั้นเป็นทุกข์ มองทุกอย่างให้เห็นว่าเป็นทุกข์ พยายามฝึกละกิเลสที่มีในตัวทีละเล็กทีละน้อย เป็นการสร้างบารมีให้เพิ่มขึ้นด้วย เมื่อละกิเลสได้เพิ่มขึ้นการเห็นโทษของการเกิดก็จะมากขึ้น กำลังใจที่จะปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ก็จะมากขึ้น ทำให้บารมีขึ้นมาเต็มได้ สามารถเข้าสู่ดินเเดนที่เรียกว่าพระนิพพานได้อย่างเต็มภาคภูมิ

สมเด็จ - การฝึกจิตเป็นเรื่องสำคัญนะลูก อย่าส่งจิตออกไปข้างนอก ยกเว้นคุยกับพ่อเเละพระอาจารย์ เราควรฝึกสติให้รู้เท่าทันจิตไว้เสมอ การรู้เท่าทันจิตจะมีผลโดยตรงกับการฝึกนั่งสมาธิ เพราะเราจะสามารถตัดนิวรณ์ที่เข้ามารบกวนจิตได้ในทันที เมื่อมีสติเท่าทันจิตการที่เราจะล่วงเกินศีลนั้นไม่มี เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งๆขึ้นสติจะเตือนให้เรารู้เท่าทัน ไม่กระทำการใดๆที่มีผลทำให้ศีลเราด่างพร้อย

สมเด็จ - การฝึกสติให้รู้เท่าทันจิตวิธีง่ายๆคือ การฝึกตรวจดูลมหายใจเพราะลมหายใจเป็นสิ่งที่ละเอียด เราจะไม่รู้ว่าทางเดินของลมหายใจเป็นยังไงจนกว่าเราสำรวมจิตให้อยู่ภายในกายไม่ส่ายออกไปข้างนอกโดยใช้สติเป็นตัวควบคุม เริ่มเเรกมันอาจจะยากเเต่ค่อยๆฝึกฝนไป การฝึกตรงนี้จะมีผลโดยตรงต่อความก้าวหน้าในด้านของสมถเเละวิปัสสนากรรมฐาน

ฝน - เเต่ว่าวันๆคนเราก็มีเรื่องต้องคิด เช่น คิดเรื่องการทำมาหากิน จะไม่ให้จิตคิดอะไรเลยนั้นเป็นไปไม่ได้

สมเด็จ - คิดได้ลูก ถ้าการคิดไม่ละเมิดศีล กรรมบท 10 เเละมรรค 8 เจ้าติดค้างพ่อเรื่องศึกษามรรค 8 ตั้งเเต่พ่อสอนลูกเรื่องอริยสัจ 4 ไว้นานเเล้วนะลูก รีบไปศึกษาเดี๋ยวนี้เลย

ฝน - เจ้าค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นก็ทวงหนูตลอดอ่ะ
---------------------------------------------------

ขอเกริ่นจากเมื่อนานมาเเล้ว สมเด็จท่านสอนฝนเรื่อง อริยสัจ 4

ฝน: ฝนอยากฟังอริยสัจ 4 ค่ะที่พระอาจารย์ท่านเคยเทศน์สอนฝนเเต่ฝนจำไม่ได้

สมเด็จ: เเล้วลูกรู้อะไรเกี่ยวกับอริยสัจ ๔ บ้าง

ฝน: ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการซึ่งเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านใช้โปรดปัจจัควคีทั้ง ๕ เเละเป็นธรรมเเรกที่พระอาจารย์ท่านสอนฝนด้วยค่ะ

สมเด็จ: อริยสัจ ๔ คือธรรมอันประเสริฐ ๔ ประการคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ ๔ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

ฝน: ท่านไม่เห็นเทศน์เหมือนพระอาจารย์เลยค่ะ

สมเด็จ: ถ้าหนูจะให้เทศน์เหมือนกัน หนูต้องไปฟังพระอาจารย์ท่านเทศน์ที่วัดเเล้วล่ะ ตอนนี้ฟังพ่อไปก่อน

สมเด็จ: ตัวที่สำคัญที่สุดของอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ ถ้าเรารู้ เข้าใจคำว่า ทุกข์ อย่างถ่องเเท้เเล้วล่ะก็ เราจะเข้าใจความเป็นไปของวัฏฏะสงสาร คือ การเกิด เเก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ คืออะไร ทุกข์นั้นเริ่มต้นตั้งเเต่เกิด เหมือนกับที่พระอาจารย์ท่านเคยสอนเจ้าที่วัดว่า เด็กพอเกิดลืมตาดูโลกขึ้นมา เค้ากำมือมาด้วย นั้นก็คือเค้าพาความทุกข์มากับตัวเค้าเองด้วย โตขึ้นมาก็จะเห็นความทุกข์นั้นมากขึ้น วันพรุ่งนี้จะกินจะอยู่ยังไง พรุ่งนี้จะมีเงินใช้ไหม อย่างเจ้าก็ เมื่อไหร่หนูจะได้งานทำ ถ้าหนูไม่มีงานทำหนูจะอยู่ยังไง พอไม่สบายขึ้นมาก็เป็นทุกข์อีกเเล้ว ปวดทรมานร่างกาย กายเป็นทุกข์ยังไม่พอใจก็เป็นทุกข์อีกเพราะต้องหาเงินมารักษาร่างกาย ความเเก่ก็เป็นทุกข์ ทุกข์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดังใจ ว่องไว คล่องเเคล่วเหมือนกับวัยสาว หงุดหงิด อารมณ์เสียก็เป็นทุกข์อีก ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นความทุกข์

สมเด็จ: ต่อไปก็ สมุทัย ตัวนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ สาเหตุเพราะเราไม่มีปัญญาที่จะวิเคราะห์ความจริงเเห่งทุกข์ ทำให้เรายังคงติดอยู่ในทุกข์ ถ้าเราวิเคราะห์ทุกข์ลงไปให้เห็นว่า ทุกข์นั้นเป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง เเละอนัตตา เราก็จะไม่เกาะติดตัวที่ทำให้เกิดทุกข์ เช่นว่า อย่างเรื่องของหนูก็จะเป็น ถ้าเดือนหน้าหนูไม่ได้งานนะ หนูจะไม่มีกิน ไม่มีอยู่ หนูจะหนีกลับเมืองไทยเเล้วจริงๆด้วย ถ้ามาวิเคราะห์เรื่องของเจ้าให้ดีๆเเล้วจะพบว่า เหตุการณ์ของวันพรุ่งนี้ เดือนหน้านี้มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าตีโพยตีพายไปเอง ไม่ได้ทำจิตให้เป็นปัจจุบันเเละไม่ได้พยายามมองเห็นทุกข์ตามความเป็นจริง ถ้าเกิดวันพรุ่งนี้มีคนโทรมาหาเจ้าให้ไปทำงานได้ ที่เจ้าคิดมาคิดไปนั่นเท่ากับไม่ได้อะไรเลย เป็นการปล่อยจิตให้ฟุ้งซ่าน ดังนั้นวิธีการเเก้สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้นคือ มองให้ออกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เเละ ดับไปในที่สุด

สมเด็จ: นิโรธ คือการดับทุกข์ จะดับทุกข์ยังไง ก็ดับทุกข์ให้เห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เที่ยง ที่ยั่งยืน ที่คงทนเเละถาวร ควรค่าพอที่เราจะยึดติดเเละเกาะกุมไว้ พยายามมองให้เห็นเป็นภาพของไตรลักษณ์ เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นมาเราควรเรียนรู้ที่จะวิจารณ์ทุกข์ให้เป็นอย่างที่ผู้ที่เค้ามีปัญญาวิเคราะห์กัน อย่าวิตกกังวลอะไรในเรื่องที่มาไม่ถึง เพราะสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงจะเร่งวันเร่งคืนให้มันมาถึงเร็วขึ้นก็ไม่ได้ ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้ด้วยเวรกรรมเเล้ว ไม่ต้องไม่เร่งกรรมหรือผลของกรรมดีเเละกรรมชั่วให้มันเร็วขึ้น เพราะนอกจากจะไม่ได้มีอะไรให้ดีขึ้นเเล้ว ยังทำให้จิตของเราฟุ้งซ่านอีกด้วย เจ้านี้เเหล่ะไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนตัวดีเลย เจ้าลูกคนนี้ วันๆเอาเเต่โวยวายนู่นๆนี่ หัดทำใจให้สงบนิ่งๆ ค่อยๆคิด ค่อยๆวิจารณ์

สมเด็จ: มรรค มรรคคือหนทางไปในทางดับทุกข์ที่เรียกว่ามรรคมีองค์เเปด มีอะไรบ้างรู้ไหม

ฝน: ไม่รู้ค่ะ

สมเด็จ: ไปอ่านมาเเล้วพ่อจะสอนให้ทีหลัง ต้องอ่านเองบ้างไม่ใช่อะไรก็ถามๆ พระอาจารย์เจ้าว่าให้เจ้าไปเรียนรู้ด้วยตัวเองมาก่อน สงสัยเเล้วค่อยถาม ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่คิดจะขวยขวายหาความรู้ อยากรู้อะไรก็ขึ้นมาถามนั้นไม่ถูกต้อง

-----------------------------------------------------

ฝน - อ่านจบเเล้วค่ะ

สมเด็จ - หนูอ่านเเล้วได้อะไรบ้างละลูก

ฝน - ได้ตามที่อ่าน เค้าเขียนไว้ยังไงหนูก็อ่านตามนั้น

สมเด็จ - พ่อถามว่าลูกเข้าใจตามนั้นไหม

ฝน - เข้าใจตามที่เค้าเขียนไว้ค่ะ มากกว่านั้นหนูก็ไม่เข้าใจ

สมเด็จ - กวนเนาะ

ฝน - อ้าว

สมเด็จ - พ่อสอนให้ฟังก็ได้ พ่อจะสอนเป็นหมวดๆไม่เรียงลำดับก่อนหลังนะ เพราะเวลาเราพิจารณา เราจะพิจารณาเป็นหมวดหมู่ไป มรรค 8 พูดง่ายๆเป็นการรวมตัวของหลักธรรมด้าน ศีล สมาธิ เเละปัญญา

สมเด็จ - ตัวทางด้านปัญญามีอยู่ 2 ตัว คือ สัมมาทิฎฐิ ซึ่งคือการใช้ปัญญาให้เห็นตามความเป็นจริง ตัวที่สองคือ สัมมาสังกัปปะ ซึ่งก็คือการดำริชอบ เป็นการพิจารณาใคร่ครวญด้วยการใช้สติเเละปัญญาประกอบกันเข้า

สมเด็จ - สรุปก็คือ ทางด้านของปัญญาต้องใช้สัมมาทิฏฐิเเละสัมมาสังกัปปะเป็นตัวร่วมกันจะขาดตัวใดตัวหนึ่งนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ยกตัวอย่างก็เช่น เรื่องของมโนมยิทธิที่พระอาจารย์ดุเจ้าเรื่องนี้ที่วัด ปัญหาของมโนมยิทธิก็อยู่ตรงนี้ บางคนไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบในสิ่งที่ตัวเองรู้มาหรือได้ยินมา ทำให้ความเข้าใจในสิ่งที่รับมานั้นคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง ดังนั้นคนเราเมื่อรู้อะไรในจงใช้ปัญญาของตัวเองพิจารณาใคร่ครวญในสิ่งที่เรารับรู้มาว่าถูกต้องตามความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ไหม ขัดเเย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านไหม

สมเด็จ - ต่อไปก็เป็นหมวดของสมาธิ ได้เเก่ สัมมาวายามะ หรือ ความเพียรชอบ สัมมาสติ คือ การรู้เท่าทันจิต สัมมาสมาธิ คือ การไม่ส่งจิตออกไปข้างนอก ฝึกจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในกาย ทั้ง 3 ตัวนี้ต้องอยู่ร่วมกันขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้อีกเหมือนกัน

สมเด็จ - ยกตัวอย่างจากการฝึกนั่งพระกรรมฐาน จากคนที่ไม่รู้อะไรเลยอยากจะฝึกนั่งจุดเเรกที่ต้องมีเลยคือ สัมมาวายามะ คือ ความเพียร ถ้าคนเราขาดตัวนี้ซักตัวคิดจะทำอะไรก็ไม่สำเร็จ เช่นเจ้าเป็นต้น ขาดเยอะมากตัวนี้ วันๆเอาเเต่คิดนู่นคิดนี่เเต่ไม่ปฏิบัติอะไรให้เห็นผลเจออุปสรรคเข้าหน่อยก็ท้อเเล้ว อย่างนี้ถือว่าขาดสัมมาวายามะ

สมเด็จ - สัมมาสติ คนเราจะทำงานการหรือเเม้เเต่จะคิดอะไรก็ต้องมีสติคอยกำกับไว้เสมอ การฝึกนั่งกรรมฐานต้องมีสติให้รู้เท่าทันจิตเพื่อป้องกันไม่ให้นิวรณ์เข้าเเทรกในขณะที่เราฝึกปฏิบัติ สัมมาสมาธิคือ การไม่ส่งจิตออกไปข้างนอกเพื่อให้เรารู้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงที่ถูกต้องตามกำลังของจิตเพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

สมเด็จ - สรุปก็คือในการปฏิบัติพระกรรมฐาน เราใช้สัมมาวายามะเพื่อสร้างความเพียรชอบ ในการตั้งมั่นที่จะปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น การปฏิบัติจะก้าวหน้าได้ต้องอาศัยตัวนี้ ความหมายของมันในทางปฏิบัติก็เป็นตัวเดียวกับ วิริยะ ในอิทธิบาทสี่ สัมมาสติเเละสัมมาสมาธิต้องควบคู่กันไป ถ้าไม่มีสติเเละสมาธิ วันๆเอาเเต่ส่งจิตออกไปข้างนอกส่ายไปส่ายมาโอกาสที่เราจะได้รับรู้สิ่งที่ถูกต้องนั้นไม่มีเลย

สมเด็จ - กลุ่มสุดท้ายคือ ศีล ได้เเก่สัมมาวาจา คือเจรจาชอบ พูดง่ายๆคือ พูดให้เข้าหูคน ควรหลีกเลี่ยงการพูดเพื่อให้เกิดความขัดเเย้ง ประเด็นเดียวกับกรรมบท 10 ในส่วนของวาจา อันได้เเก่ ไม่พูดโกหก ไม่พูดจาส่อเสียดให้คนทะเลาะกัน ไม่พูดจาหยาบคาย ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ
สมเด็จ - สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติชอบ ได้เเก่กลุ่มของกรรมบท 10 ของส่วนที่เรียกว่า กาย 3 อันได้เเก่ การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม

สมเด็จ - สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตั้งใจในการประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองด้วยความสุจริตโดยไม่ประพฤติละเมิดศีล 5

สมเด็จ - พ่อสอนไว้ ไม่ใช่สักเเต่ว่าฟังพ่อสอน ให้นำเอาไปคิดไปปฎิบัติด้วย อยากฝึกกรรมฐานให้สำเร็จใช้ความอยากตัวเดียวนำพาไปไม่ได้ อยากเเล้วต้องนำไปปฏิบัติด้วย ศีล กรรมบท 10 มรรค 8 ควรนำไปท่องจำให้ได้เพื่อใช้ในการปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าเป็นไปเพื่อการละกิเลสเเละมุ่งสู่พระนิพพาน

ฝน - ค่ะ

----------------------------------------------------

ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยนะคะ อย่าสักเเต่ว่าเชื่อฝน

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:44:43


ความคิดเห็นที่ 39 (1541254)

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม เรื่องขันธ์ ๕

ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝนค่ะ

---------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ

ตั้งเเต่เมื่อวานเเล้วที่สมเด็จท่านเรียกไปเรียนเรื่องขันธ์ ๕ เเต่ฝนก็เบี้ยวไปเบี้ยวมา จริงๆก็อยากรู้เหมือนกันว่าขันธ์ ๕ คืออะไร มีความสำคัญยังไงทำไมเราควรต้องละขันธ์ ๕ ก่อนจึงจะเข้าสู่เขตเเดนพระนิพพานได้

สมเด็จ - ขันธ์ ๕ คืออะไรลูก

ฝน - คือรูป ๑ นาม ๔

สมเด็จ - ทำไมถึงเรียกว่าขันธ์ ๕

สมเด็จ - ขันธ์ ๕ คือกิเลส ๕ ประการที่เราควรละเพื่อการเข้าสู่ดินเเดนที่เราเรียกว่าพระนิพพาน กิเลสเหล่านี้เเหละ คือสิ่งที่ฝังอยู่ในตัวเรา ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร การที่เราจะหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้เราต้องกำจัดกิเลสทั้ง ๕ นี้ให้หมดในวันที่เราหมดลมหายใจ คนหลายคนจะตัดได้หมดก็ตอนใกล้ตาย

สมเด็จ - ดังนั้นตอนที่เรายังมีสติครบสมบูรณ์เราควรที่จะเรียนรู้ไว้เพื่อฝึกปฏิบัติในการละ อย่าคิดว่ามันยาก อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์เท่านั้นที่ควรปฏิบัติ เพราะการฝึกละกิเลสเป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทุกคนที่ต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

สมเด็จ - ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย รูป ๑ นาม ๔ อย่างที่ลูกตอบมานั้นถูกต้องเเล้ว รูปคือ ธาตุทั้ง ๔ ที่รวมประกอบเข้ากันเป็นร่างกาย อันได้เเก่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบเข้าด้วยกัน ที่วัดพระอาจารย์จะเน้นสอนกันมากเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

สมเด็จ - พระอาจารย์ท่านจะเน้นสอนให้เห็นว่าการมีเรายังดำรงขันธ์อยู่นั้นเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะร่างกายนั้นเป็นของไม่เที่ยง มันปรวนเเปร เเละเมื่อถึงเวลาธาตุทั้งสี่ก็ดับไปในที่สุด

สมเด็จ - ร่างกายมันเป็นของไม่เที่ยง ถ้ามันเที่ยงมันจะไม่มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ถ้าร่างกายเป็นของเราจริงผิวหนังต้องไม่เหี่ยวย่นต้องตึงเหมือนผิววัยเเรกเกิด เส้นผมก็ไม่ต้องหลุดเวลาเราหวีหรือสระผม ถึงเเม้เราจะทะนุถนอมผิวพรรณด้วยเครื่องสำอางราคาเเพง หรือยาสระผมราคาเเพง มันก็ไม่สามารถดึงรั้งร่างกายเราให้ขาวๆผิวพรรณเปล่งปลั่งไว้ได้ตลอดไป ดังนั้นเราควรที่จะเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมาพิจารณาในทุกๆวัน เช่น เมื่อเราหวีผมๆร่วงตามหวีลงมา ให้พิจารณาว่า โอ้ร่างกายเรานี้หนอ เส้นผมที่เราทะนุถนอมสระมันทุกวัน หวีมันทุกวันให้สวยงาม เเต่มันไม่เห็นคงสภาพอยู่ติดหัวเราเลย

สมเด็จ - สุดท้ายคืออนัตตาความไม่มีตัวไม่มีตน เพราะถ้ามันเป็นของเราจริงผมมันก็ต้องอยู่กับเราสิ มันจะหลุดจากเราไปทำไม พิจารณาไปเรื่อยๆทุกๆวัน ซักวันจะเข้าใจความไม่มีตัวไม่มีตนของร่างกาย

สมเด็จ - นาม ๔ ได้เเก่ เวทนา สัญญา สังขารเเละวิญญาน

สมเด็จ - เวทนาคือการสัมผัสรู้ อันได้เเก่ ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กายซึ่งก็คือผิวหนัง เเละใจ ซึ่งจากการสัมผัสได้ทางจิต ทำไมเราถึงเรียกว่าเวทนาเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ลูกรู้ไหม

ฝน - ไม่รู้ค่ะ จำได้เเต่ว่า พระท่านสอนไว้ เวทนาคือสิ่งที่ตามองเห็นเเละจิตสัมผัสได้ เเละเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกเพราะไม่เที่ยง ทำไมถึงไม่เที่ยง ที่ไม่เที่ยงเพราะเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง

สมเด็จ - (หัวเราะ) น้องสอนเจ้าเเบบนี้ใช่ไหม มึนเลยเนาะ จะว่าน้องก็ไม่ได้เพราะพี่น้องเค้าสอนกันมาเเบบนี้ พระอาจารย์ท่านเน้นเรื่อง ความไม่มีตัวตนเป็นสำคัญ เพราะถ้าในเมื่อเราไม่เห็นอะไรเป็นตัวเป็นตนที่เราจะยึดเกาะได้เเล้ว สัญชาตญานของมนุษย์จะปล่อยวาง ดังนั้นเพื่อการหลุดพ้นเราควรที่จะหาอุบายเพื่อที่จะปล่อยวาง

สมเด็จ - เวทนาคือสิ่งที่เราสัมผัสได้ทั้งกายสัมผัสทั้ง 5 อันได้เเก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เเละ จิตสัมผัสหรือที่เราเรียกว่าใจ ทีนี้เรามาวิเคราะห์คำพูดของพระท่านกันว่า ทำไมเวทนาถึงไม่เที่ยง

สมเด็จ - เมื่อเราดีใจมีความสุขก็เป็นเรื่องของเวทนาเพราะเราเอาจิตของเราไปตั้งไว้บนตัวสุข ความสุขที่มันเกิดขึ้นนี้มันไม่เเน่ไม่นอนเพราะความสุขทางโลกมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น เเปรปรวนในท่ามกลางเเละดับไปในที่สุด การสัมผัสร้อน หนาวก็เป็นเรื่องของเวทนาเพราะเมื่อร่างกายหนาวเย็นเกินไปเราก็เป็นทุกข์ อากาศร้อนเราก็เป็นทุกข์ ถ้าร่างกายมันจะหนาวจะร้อนก็ปล่อยมันช่างมัน ที่สำคัญอย่าทำให้จิตเรารุ่มร้อนเป็นพอ

สมเด็จ - ต่อไปก็เป็น สัญญา คือ ความทรงจำหมายรู้ในเรื่องของอดีตเเละปัจจุบัน น้องสอนเจ้าไว้ว่ายังไง

ฝน - ท่านสอนให้พิจารณาว่าทำไมคนเราเมื่อพยายามจำในเรื่องบางเรื่อง พยายามจะจำเเต่ทำไมมันถึงลืม ท่านว่าลืมเพราะว่ามันไม่เที่ยง พอมันไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์ เเล้วท่านก็กลับไปกลับมาเหมือนเดิมว่าที่มันเป็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง

สมเด็จ - (หัวเราะ) เออ ต้องเข้าใจบารมีมันยังไม่เเก่กล้าพอ น้องเค้าเอาสิ่งที่เรียนมาจากพระอาจารย์เอามาเรียบเรียงใหม่เพื่อสอนเจ้า เเต่ถ่ายทอดตรงๆเหมือนเค้าสอนตัวเอง เจ้าที่ไม่รู้เรื่องอะไร มาเจอคำสอนเเบบนี้ยิ่งงงกว่าเดิม ดูพวกเจ้าสองคนคุยกันเเล้วตลกดี คนรู้กับคนไม่รู้คุยกันไปคุยกันมา ยิ่งงงหนักเลย

สมเด็จ - สัญญาเป็นเรื่องของความทรงจำหมายรู้ซึ่งที่เราได้รู้มาทั้งในอดีตเเละปัจจุบัน สัญญาเป็นตัวที่ทำให้เกิดความทุกข์เพราะว่า เรื่องบางเรื่องที่เรารู้มาทั้งในอดีตเเละปัจจุบัน เมื่อเรารู้เเล้วเราไม่วางมันลงไป เรากลับเอาจิตไปติดข้องหมองใจในเรื่องเหล่านี้ เช่น เรื่องการเสียชีวิตของเเม่เจ้า หรือการเลิกรากันของคนที่คบกันเป็นคู่หมายดูใจ

สมเด็จ - เมื่อมีสาเหตุที่พลัดพรากจากคนที่เรารักไป ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่าการพลัดพรากจากของที่เรารัก เราชอบใจนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้จิตของเราเป็นทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากความจำได้หมายรู้ของเรานั่นเอง

สมเด็จ - เเละเหตุที่เป็นอนัตตาก็เพราะว่าเรื่องทั้งหมดการมีชีวิตอยู่ของเเม่เจ้านั้นจบไปเเล้ว กลายเป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่มีตัวตนบนโลกมนุษย์ เเต่คนเราก็ยังทำใจไม่ได้จากการจากไปของคนที่ตัวเองรัก ดังนั้นจึงเอาสิ่งที่ตัวเองเคยรู้มาเเปะไว้ในความคิด คิดไปคิดมาย้ำๆซ้ำกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน

สมเด็จ - สังขาร หัวข้อนี้น้องสอนเจ้าไว้ดีนะ พ่อขอชม จำได้ไหมว่าพระท่านสอนเจ้าไว้ว่ายังไง

ฝน - ท่านสอนว่าสังขารคนทั่วไปคิดว่าเป็นเรื่องของร่างกายเเต่ในทางธรรมสังขารเป็นเรื่องการปรุงเเต่งของจิต เเล้วท่านก็สอนต่อว่าสังขารทำให้เกิดทุกข์ ที่ทุกข์เพราะว่าไม่เที่ยง

สมเด็จ - (หัวเราะ) พ่อก็ได้ยินตอนที่ท่านสอนเจ้า พ่อฟังเเล้วก็ขำ พระอาจารย์ท่านก็ยิ้ม

สมเด็จ - สังขารที่เป็นทุกข์เหตุเกิดเนื่องจากการปรุงเเต่งของจิต จิตที่ปรุงเเต่งทางอารมณ์เเละทางความคิดจะเกิดขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากอุปาทานเเละความไม่รู้คืออวิชชานั่นเอง ทำให้จิตเกิดความฟุ้งซ่านซึ่งตัวนี้จะไปทำลายความถูกต้องการรับรู้ของจิต เมื่อเราเอาเรื่องเหล่านั้นมาพิจารณาอย่างถ้วนถี่เเล้วเราจะพบว่าเรื่องเหล่านั้นไม่มีตัวตนเลย

สมเด็จ - เช่น เมื่อมีคนมาด่าว่าเราให้เราโกรธข้องหมองใจ เมื่อเรามาพิจารณาว่าเค้าว่าเราจริงหรือ มีตรงไหนของร่างกายที่ว่าเป็นตัวเรา ร่างกายก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ดังนั้นร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา หรือเค้าว่าจิตเรา จิตเราจับต้องได้หรือ ถ้าได้จิตอยู่ตรงไหน เมื่อเราพิจารณาได้เเล้วเราก็จะรับรู้ว่า จริงๆเเล้วจิตเป็นเพียงสภาวะธาตุที่เรียกว่าตัวรู้ หรือธาตุรู้เท่านั้นเอง เมื่อเราพิจารณาได้อย่างนี้เเล้วเราจะเห็นว่าการปรุงเเต่งของจิตมีเเต่ทำให้จิตตัวเองขุ่นข้องหมองมัวทั้งๆที่จริงๆเเล้วเรื่องราวทั้งหมดไม่มีอะไรเลยหรือที่เรียกว่าอนัตตา

สมเด็จ - ตัวสุดท้ายเเล้วทนฟังหน่อยลูก ตัวสุดท้ายเรียกว่าวิญญาน วิญญานจะไปเกี่ยวข้องสัมผัสกับเวทนา สัญญา เเละสังขารทั้งหมดเลย เพราะวิญญานคือตัวรับรู้ คือตัวเเรกที่มาสัมผัสกับการรู้ การเห็น ของเรา เเละจำเเนกลงไปในรายละเอียดว่าเป็นเรื่องของเวทนา สัญญา หรือสังขาร

สมเด็จ - พ่อก็รู้ว่ามันหนักเหมือนกันสำหรับเจ้าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ พระอาจารย์เองท่านก็เคยสอนรายละเอียดเเล้วเเต่ลูกศิษย์คนนี้ จำไม่ได้ ใช่ไหม

ฝน - จำไม่ได้เลยค่ะ

สมเด็จ - เพราะตอนนั้นเจ้ายังไม่ค่อยรู้อะไรมาก ค่อยๆเรียนรู้กันไปนะลูก

ฝน - ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:46:45


ความคิดเห็นที่ 40 (1541255)

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม สนิมเกาะใจ

ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝน

--------------------------------------------------------------------------------

เมื่อเช้านี้ฝนได้รับคำสอนที่เป็นอุบายทางพระพุทธศาสนาเล็กๆน้อยๆจากสมเด็จท่าน

ตอนเเรกฝนก็ว่าจะไม่เขียนเพราะดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากในคำสอนของท่าน เเต่เมื่อฝนนำคำสอนของท่านมาพิจารณาเเล้วฝนว่า เป็นคำสอนอุบายที่เเยบยลมาก

สมเด็จ - คนเรานะลูกเกิดกี่ชาติๆก็มีจิตดวงเดิมตามกันมาด้วยกันทั้งนั้นเเหละลูก เเต่ด้วยเพราะความไม่รู้เลยปล่อยให้กิเลสตัณหาครอบงำดวงจิต เปรียบเหมือนมีสนิมเกาะในดวงจิต

สมเด็จ - มีเเต่พระอรหันต์ท่านเท่านั้นที่สามารถขัดดวงจิตของท่านให้สว่างไสวได้ ดวงจิตของท่านก็เลยเกิดความเป็นทิพย์ อยากรู้ อยากเห็นอะไร จิตท่านสามารถรู้ สัมผัสได้ทันที เพราะดวงจิตของท่านใสไม่มีสนิมเกาะเเล้ว

สมเด็จ - เเท้จริงเเล้วจิตของคนมีความเป็นทิพย์ด้วยกันทั้งนั้นเเต่เพราะมีสนิมมาเกาะดวงจิตทำให้ดวงจิตมืดสลัวไป ดังนั้นเจ้าควรที่จะเริ่มขัดสนิมออกจากดวงจิตของเจ้าตั้งเเต่วันนี้เพื่อให้ความเป็นทิพย์ของดวงจิตเจ้านั้นกลับมา

ฝน - ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:47:57


ความคิดเห็นที่ 41 (1541256)

ผลของการเจริญเมตตา

วันนี้ตื่นนอนมาตอนตีสี่แล้วก็ไม่หลับต่อ เลยได้ไปกราบหลวงพ่อโตที่โบสถ์

ดิฉัน - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกมากราบเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ - เออ...ทำไมถึงมาได้ละนี่

ดิฉัน - แหม..หลวงพ่อก็

หลวงพ่อ - เป็นไง งานกฐินผ่านไปแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง

ดิฉัน - ก็รู้สึกสบายใจขึ้นค่ะ

หลวงพ่อ - แล้วพวกเจ้ากรรมนายเวร ศัตรู คนคิดร้ายต่อเราดีขึ้นบ้างไหม

ดิฉัน - ก็ดีขึ้นค่ะ คนที่คิดร้าย เกลียดเรา ไม่ชอบเรานี่ พระศาสดาสอนไว้ว่าให้เราอุเบกขาค่ะ แล้วก็ให้แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ่อยๆ ขออโหสิกรรมกันซะ จะได้จบกรรมกันในชาตินี้ค่ะ

หลวงพ่อ - แล้วได้ผลไหมละ

ดิฉัน - ได้ผลค่ะ เขาก็ไม่ค่อยมาวุ่นวาย ก็เงียบๆไป

หลวงพ่อ - แล้วสำหรับตัวเราละรู้สึกยังไง

ดิฉัน - ก็ตั้งแต่พระศาสดาสอนให้แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลเป็นประจำ ก็ทำให้ฝึกอารมณ์ไปได้ในระดับนึงค่ะ เจอใครร้ายมาหรือด่าว่าเรา ก็ไม่คิดไรค่ะ ก็แผ่เมตตาให้เขาไป เขาอยากด่าอยากว่าก็ตามใจเขา คิดว่าเราคงเคยทำกรรมกับเขาไว้ค่ะ ก็ขออโหสิกรรมกันในชาตินี้เลย ก็รู้สึกว่าใจเราก็เย็นสบายไม่รุ่มร้อนไปกับคำด่านั้น แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ อารมณ์มันจะรุ่มร้อนใจมากเลย โกรธ โมโห อยากจะต่อปากต่อคำด้วย เต้นไปตามอารมณ์เขาค่ะ

หลวงพ่อ - นี่แหละผลของการเจริญเมตตา ทำให้อารมณ์เราเย็นสบายไม่รู้สึกร้อนรน การที่เราอุเบกขาต่อการว่าร้ายของคนที่ไม่ชอบเราแล้วก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขา จะทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรเราได้ แล้วเขาก็จะแพ้ภัยตัวเองในที่สุด เวลาเจออะไรแบบนี้ก็ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับเขา ก็ให้แผ่เมตตาเป็นประจำ อุทิศส่วนกุศลให้เขาเรื่อยๆ ขออโหสิกรรมกันไปในชาตินี้ จะได้ไม่ต่อกรรมกับเขาไปอีก เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะลูก

ดิฉัน - สาธุเจ้าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:49:16


ความคิดเห็นที่ 42 (1541257)

หลวงพ่อฤาษี สอนเรื่องการทำบุญอย่าให้เบียดเบียนตนเอง

คืนถัดมาขึ้นไปกราบพระศาสดา ได้พบกับหลวงพ่อฤาษีท่านด้วย ก็เลยได้สนทนากับท่านถึงเรื่องการทำบุญ

ดิฉัน - หลวงพ่อเจ้าคะ ช่วงนี้ลูกรับปากเรื่องบอกบุญไว้หลายที่เจ้าค่ะ แต่ว่าก็คงจะทยอยๆทำไป ทีนี้ลูกเป็นห่วงว่าท่านกัลยาณมิตรจะเดือดร้อน เดี๋ยวจะหาว่ามีแต่เรื่องทำบุญตลอด หลวงพ่อว่าลูกควรจะทำยังไงดีเจ้าคะ

หลวงพ่อฤาษี - ไม่ต้องคิดมากหรอก คนในกระทู้เขาก็เป็นคนจิตใจดีทุกคน เขาไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็ต้องรู้ตัวแหละว่าควรทำเท่าไหร่ยังไง

ดิฉัน - ค่ะ ก็ห่วงเหมือนกัน ปัจจัยไม่ได้หาได้ง่ายๆ งานบุญนี่คงจะมีไปเรื่อยๆแน่เลยค่ะ หลังจากนี้ ก็ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเพราะการทำบุญนะคะ อย่างลูกก็จะทำตามกำลังตัวเอง มีน้อยก็ทำน้อย มีมากก็ทำมากเจ้าค่ะ

หลวงพ่อฤาษี - ถูกต้องแล้ว ทำบุญมันก็ต้องตามกำลังทรัพย์ที่ตัวเองมี ไม่ใช่ทำแล้วเบียดเบียนตนเอง ทำแล้วตัวเองมานั่งทุกข์ ไม่ใช่ทำบุญเอาหน้าแต่ตัวเองไม่มีจะกิน ครอบครัวเดือดร้อน อย่างนี้ไม่ถูก ทำบุญก็ต้องทำอย่างฉลาด อย่าโง่ มีน้อยก็ทำแต่น้อย แต่ว่าความศรัทธามุ่งมั่นมีเยอะ อย่างนี้ก็ได้บุญเยอะ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำบุญด้วยเงินเยอะๆเลย หากบางครั้งเราไม่มีปัจจัยที่จะทำ เราก็ร่วมอนุโมทนาในบุญที่คนอื่นทำก็ได้เหมือนกัน ไปบอกทุกคนว่าการทำบุญอย่าให้เบียดเบียนตนเอง ทำแล้วให้ได้เกิดจิตใจผ่องใส ยินดีในผลแห่งการทำบุญนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องทำบุญทุกงานบุญหรอก เอาที่เราสบายเงินแล้วก็สบายใจดีกว่า จำเอาไว้นะลูก

ดิฉัน - สาธุ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมากๆเจ้าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:50:31


ความคิดเห็นที่ 43 (1541258)

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะทั้งหมด

เมื่อวานได้ขึ้นไปกราบพระศาสดา แล้วได้สนทนากับท่านถึงเรื่องในกระทู้ด้วย

ดิฉัน - พระศาสดาคะ เดี๋ยวนี้ในกระทู้ ลูกไม่ค่อยได้มีธรรมะ คำสอนจากพระองค์ไปบอกเล่าเลยค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เดินสายไปทำบุญซะเยอะ เลยได้แต่เอาเรื่องที่ไปทำบุญมาเล่า จนบางคนอาจจะคิดว่าเราเน้นแต่ไปทำบุญ ไม่เห็นจะมีธรรมะอะไรเลย

พระศาสดา - ถ้ามองทุกอย่างให้มันเป็นธรรมะ มันก็คือธรรมะทั้งนั้น คำสอนของพระศาสดาจริงๆไม่ได้มีอะไรมากเลย แค่อริยสัจ 4 เท่านั้น ไปพิจารณาให้ถ่องแท้ มองให้เห็นทุกข์ในทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ บางคนก็ดีแต่ชอบฟังคำสอน ฟังเรื่อยไปแต่ไม่เคยปฏิบัติ การที่ลูกไปทำบุญทำทานนั่นก็เป็นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างหนึ่ง เป็นการเสียสละทรัพย์ทำให้ลดความตระหนี่ขี้เหนียวลงแล้วก็เป็นบุญด้านการทำทานบารมี การไปปฏิบัติธรรมที่วัดหรือที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม เราก็ได้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แล้วตรงไหนที่มันไม่เกี่ยวกับธรรมะ

ดิฉัน - ก็เกี่ยวหมดทุกอย่างค่ะ เพียงแต่ว่าข้อธรรมะ ไม่ค่อยจะมีเหมือนก่อนนั่นเอง

พระศาสดา - ธรรมะมันก็มีอยู่ในทุกๆสิ่ง อยู่ที่ว่าพวกเจ้าจะคิดได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะต้องเอาคำสอนมากมายมานั่งสอนกันทุกวัน เพราะโดยสรุปแล้วก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งทุกคนควรนำไปปฏิบัติ ไม่ใช่แต่จะมานั่งอ่านๆๆ อยากได้ธรรมะข้อโน้น ข้อนี้ สิ่งที่สอนๆกันไปทำได้หรือยัง ศีลถือกันได้ครบหรือยัง พรหมวิหารสี่ทรงกันได้ตลอดเวลาหรือยัง กรรมบทสิบละทำกันได้ไหม แล้วสังโยชน์ละกันได้กี่ข้อแล้ว ไปสำรวจดูกันเอาเอง เจ้าเองก็ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องของคนอื่นหรอก ดูจิตตัวเองเท่านั้นพอ ใครเขาจะเป็นยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า วางเฉยซะ คนที่เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนที่มีปัญญาจะคิดได้เองว่าอะไรเป็นอะไร อย่าได้ไปคิดแทนคนอื่น เจ้ามีหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องทำก็ทำไปตามหน้าที่ เรื่องอื่นก็อย่าไปใส่ใจ ทุกคนมีกรรมเป็นตัวกำหนด ต่างคนก็ต่างกรรมกันไป ผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับเจ้าเขาก็จะคงอยู่ คนไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เดี๋ยวเขาก็ไปเอง ก็ให้วางเฉยซะ ทุกสิ่งทุกอย่างมีกรรมเป็นตัวกำหนด เจ้าก็อยู่ในที่ที่ของเจ้านี่แหละ ทำหน้าที่ของเจ้าไป

ดิฉัน - สาธุ ทราบแล้วเจ้าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:51:50


ความคิดเห็นที่ 44 (1541259)

หนี้สงฆ์ และการชำระหนี้สงฆ์ต้องทำอย่างไร

12-2-10

เมื่อวานคุยกับคุณหนิงและน้องๆเรื่อง "ของสงฆ์" กัน เหตุจากว่ามีน้องคนหนึ่งไปแวะที่ศูนย์แล้วตอนล้างจานพลาดทำจานแตกไปใบหนึ่ง ก็ว่าจะบอกกับ อจ ชนะ แต่น้องเขาก็ลืม แล้วมาเล่าให้คุณหนิงฟัง คุณหนิงก็เลยไปบอก อจ ชนะ พร้อมกับถามว่า ของของสงฆ์นี่ถ้าเราไม่ได้เจตนาทำแตก ก็ไม่น่าผิดใช่ไหม ซึ่ง อจ ชนะ บอกว่า ขึ้นชื่อว่าของของสงฆ์ จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ผิดก็บาป ของสงฆ์นี่ยิ่งบาปหนัก อจ ชนะบอกว่า แม้แต่พริกที่อยู่ในวัดแล้วอีกามาคาบไปกินนอกวัด เม็ดพริกแตกแล้วงอกเป็นต้นขึ้นมา คนมาเก็บไปกินก็ติดหนี้สงฆ์

เล่นเอาพวกเราอึ้งกันไปเลย ขนาดว่าเม็ดมันแตกงอกเป็นต้นใหม่แล้ว เราไปเก็บมากินก็ติดหนี้สงฆ์ อย่างนี้คนไม่รู้จะทำไง อยู่ๆก็ติดหนี้สงฆ์มาโดยไม่รู้ตัว แล้วทำไมถึงต้องติดหนี้สงฆ์ เกิดความสงสัยเลยคิดว่าต้องขึ้นไปถามพระศาสดาสักหน่อย

เลยได้ขึ้นไปถามพระศาสดาให้หายข้องใจค่ะ

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาเจ้าค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ดิฉัน - มีเรื่องอยากจะถามพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เรื่องอะไรเหรอ

ดิฉัน - เรื่องที่ว่าถ้ามีอีกามาคาบพริกจากในวัดไปกินนอกวัด แล้วเม็ดพริกมันแตกแล้วงอกเป็นต้นพริกใหม่ขึ้นมา แล้วถ้ามีคนเก็บไปกิน ก็เป็นการติดหนี้สงฆ์เหรอเจ้าคะ

พระศาสดา - ถูกต้อง

ดิฉัน - ทำไมถึงติดหนี้สงฆ์ละคะ ก็เม็ดพริกมันงอกเป็นต้นใหม่อยู่นอกวัดไปแล้ว (อยู่ๆ ไอ้ตัวรู้มันเกิดขึ้นมาทันที รู้ได้เองถึงคำตอบนั้น แต่ไม่แน่ใจเลยรอคำตอบจากพระศาสดาท่าน)

พระศาสดา - ของๆสงฆ์ ถึงไปอยู่ ณ ที่แห่งใด ก็เป็นของสงฆ์

ดิฉัน - ถึงแม้ว่าจะออกไปนอกวัดแล้ว กลายเป็นต้นใหม่ไปแล้วน่ะเหรอคะ

พระศาสดา - ถูกต้อง...เอาอย่างนี้ พระศาสดาจะถามเธอว่า ถ้าเกิดมีขโมยขึ้นบ้านเธอ แล้วขโมยเอาทรัพย์สินเงินทองของเธอไป พ้นออกจากบ้านไปแล้ว ของสิ่งนั้นยังเป็นของเธอไหม

ดิฉัน - ยังเป็นเจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วหากขโมยผู้นั้น นำของไปขายให้บุคคลอื่น บุคคลผู้นั้นจะเป็นเช่นไร จะถูกลงโทษหรือไม่ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าคนนี้ขโมยมา

ดิฉัน - ก็จะเข้าข่ายรับซื้อของโจรเจ้าค่ะ รู้หรือไม่รู้ก็ต้องมีโทษเจ้าค่ะ...อ้อ..ลูกเข้าใจแล้วค่ะ พริกที่ถูกอีกาขโมยมา ยังไงก็ต้องเป็นของสงฆ์ ไม่ว่าจะออกมานอกวัดแล้วก็ตาม แล้วถึงแม้จะแตกออกงอกเป็นต้นใหม่ ก็เป็นผลพวงของของเดิม ซึ่งยังไงก็เป็นของสงฆ์วันยังค่ำ กรณีเดียวกับที่ขโมยขึ้นบ้านเอาของเราไป แม้จะเอาไปแปรสภาพเป็นอย่างอื่น หากตำรวจตรวจสอบได้ก็ต้องนำกลับมาเช่นเดียวกัน แล้วผู้ที่รับซื้อหรือมีส่วนเกี่ยวข้องโดยที่ไม่รู้ก็ผิดอยู่ดี...กราบขอบพระคุณพระศาสดาค่ะ ลูกกระจ่างแจ้งแล้วค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ดิฉัน - อย่างนี้ก็แย่เหมือนกันนะเจ้าคะ เป็นแบบนี้จะทำให้คนกลัวการเข้าวัดไปเลยหรือเปล่าคะ แล้วคนที่ไม่รู้เหมือนเรื่องต้นพริกนี่ จะทำยังไงละเจ้าคะ อยู่ๆก็เป็นหนี้สงฆ์โดยไม่รู้ตัว

พระศาสดา - คนที่คิดดี ทำดี พูดดี เข้าวัดเข้าวาปฏิบัติตัวดี เขาก็จะรู้ในเรื่องของการเป็นหนี้สงฆ์อยู่แล้ว เขาก็ต้องพร้อมที่จะชำระหนี้สงฆ์ เขาไม่กลัวเรื่องการเข้าวัดหรอก แล้วถึงแม้ว่าเขาจะบังเอิญไปเก็บพริกที่อีกาคาบมาแล้วติดหนี้สงฆ์โดยไม่รู้ตัว ยังไงเสียคนพวกนี้ก็จะไม่มีบาปหรอกเพราะเขาชำระหนี้สงฆ์เป็นปกติอยู่แล้ว

ดิฉัน - จริงเจ้าค่ะ..แต่ที่ได้ยินมา ถ้าเราไม่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ หนี้นี้ก็ไม่มีวันหมดไม่ใช่เหรอเจ้าคะ แค่เราชำระนิดหน่อยหนี้ไม่หมดแน่ๆ

พระศาสดา - ไม่หมด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอตกนรกนะ เพราะว่ายังไงเสียเธอก็มีเจตนาชำระหนี้ให้สงฆ์ เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์เท่านั้นเอง ในเมื่อเธอมีเจตนาดี มิได้หลบหนีหนี้ ก็จะยกผลประโยชน์อันนี้ให้จำเลยไป แต่ถ้ามีโอกาสได้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ก็ดี แต่ถึงแม้จะสร้างพระแล้ว เธอเข้าวัดอีก กรวดทรายติดรองเท้าเธอออกไปก็ติดหนี้สงฆ์ต่ออยู่ดี ดังนั้นจึงควรชำระหนี้สงฆ์เป็นประจำจะเป็นการดีที่สุด

ดิฉัน - เจ้าค่ะ...แย่เลยถ้าขโมยของสงฆ์นี่ลงนรกอเวจีเลยนะเจ้าคะ

พระศาสดา - ครั้งเดียวก็ลงอเวจีแล้ว ถ้าหลายครั้งก็ไปโลกันต์เลย

ดิฉัน - หว๋าย...ไปโลกันต์เลยเหรอเจ้าคะ อย่างนี้ก็ไม่ต้องผุดต้องเกิดอีกนานเลยนะเจ้าคะ

พระศาสดา - ใช่

ดิฉัน - เจ้าค่ะ งั้นเดี๋ยวลูกจะเอาไปบอกเพื่อนๆกัลยาณมิตรทั้งหลายนะเจ้าคะ จะได้ไม่เผลอทำผิดโดยไม่รู้ตัว นมัสการลาพระศาสดาเจ้าค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:53:38


ความคิดเห็นที่ 45 (1541260)

หนี้สงฆ์ที่คนทำผิดกันมากโดยไม่รู้ว่าผิด

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ชนะ สิริไพโรจน์
สาธุครับ ที่กรุณาถามต่อ การอนุญาตของสงฆ์ที่ถูกต้อง ทางภาษาพระ
ท่านเรียกว่าการอุปโลกน์ คือจะมีพระที่ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์
กล่าวคำอุปโลกน์ คือการกล่าวอย่างเป็นพิธีการ ท่านจะขึ้นด้วยภาษาบาลี
ว่า ยัคเคภันเตสังโฆชานาตุฯลฯ จากนั้นท่านก็แจกแจงอาหารหรือของสงฆ์
อื่นๆ อย่างเช่นกล่าวว่า อาหารส่วนหนึ่งถวายพระเถระ และพระภิกษุสามเณร
ส่วนที่เหลือจากพระฉันแล้วอนุญาตให้ญาติโยมนำไปรับประทานได้
และคณะสงฆ์จะกล่าวพร้อมกันว่า สาธุ เป็นอันเสร็จพิธีซึ่งญาติโยมก็
รับประทานได้โดยไม่มีโทษ แต่การอนุญาตนั้นโดยปกติคือให้ทานในวัด
บางคนถือโอกาสนำกลับไปทานที่บ้านอีก อันนี้ไม่สมควร แต่จะมีโทษ
มากน้อยเพียงใด ต้องขอให้ท่านกัปตันช่วยอนุเคราะห์ครับ


ทีนี้ถ้าวัดเขาไม่ได้อุปโลกน์ จะเป็นอย่างไร ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งมากล่าวว่า
อนุญาตให้ญาติโยมรับประทานกันได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้องตามพระวินัย
ทานน่ะทานได้แต่ก็เป็นหนี้สงฆ์ ทางที่ดีควรทำบุญชำระหนี้สงฆ์กันบ่อยๆ
จะปลอดภัยที่สุดครับ

ผิดถูกประการใดท่านผู้รู้กรุณาให้คำแนะนำด้วยครับ

อ้าว..ท่านพ่อ ไฉนโยนกลองมาให้ลูกยังงั้นละคะ งานเข้าละซีทีนี้ ว่าแล้วขึ้นไปกราบพระศาสดาถามก่อนนะคะ

-----------------------------------------------------------------------

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาเจ้าค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร มีอะไรรึ

ดิฉัน - มีคำถามอีกแล้วค่ะ อาหารที่พระท่านอนุญาตให้ทานได้หลังจากที่พระท่านฉันแล้ว แต่ต้องทานในวัดเท่านั้น ห้ามนำกลับ ถ้านำกลับไปมีโทษไหมเจ้าค่ะ แล้วโทษหนักแค่ไหนคะ

พระศาสดา - มีโทษ เพราะว่าท่านอนุญาตให้ทานเฉพาะภายในวัดเท่านั้น ทานได้เท่าไหร่ก็ทานไป แต่ห้ามนำกลับไปบ้าน หากนำกลับไปมีโทษหนักเท่ากับขโมยของสงฆ์

ดิฉัน - โห..อย่างนี้โดนกันไปทั่วหน้าแล้วละค่ะ กรรม..แล้วมีคำถามอีกค่ะ หากว่าเรานำอาหารไปเป็นหม้อใหญ่ แล้วเราตักไปถวายพระแล้ว อาหารที่เหลือในหม้อนี้เป็นของเราหรือว่าของสงฆ์เจ้าคะ

พระศาสดา - เจตนาที่นำอาหารไปถวายพระ คือถวายแบบไหนละ ถ้าถวายทั้งหม้อก็เป็นของสงฆ์ ถ้าถวายแค่เฉพาะที่ตักใส่ถ้วยไปถวาย ของในหม้อก็เป็นของเธอ

ดิฉัน - เจ้าค่ะ...มีคนถามว่า อย่างต่างจังหวัดเนี่ยเวลาวันพระทำบุญกันพระฉันเสร็จแล้วญาติโยมก็จะไปนำเอาอาหารมากินกันหรือเอากลับบ้าน แต่ไม่แน่ใจว่าพระอนุญาตหรือยัง เพราะเห็นทำกันมาแบบนี้เป็นประเพณีไม่ทราบว่าผิดหรือไม่ เพราะทำกันแบบนี้กันมานานยังงี้เท่ากับคณะสงฆ์อนุญาตหรือไม่ แล้วถ้าผิดต้องชำระหนี้สงฆ์โดยร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ถือว่าหมดหนี้แล้วใช่หรือไม่ เจ้าคะ

พระศาสดา - ที่ทำๆกันมาแบบนั้นน่ะผิด ถ้าคณะสงฆ์ไม่อนุญาตเราก็ทานไม่ได้ แล้วที่ทำกันมาจนเป็นปกตินั้นจริงๆแล้วผิด จะถือว่าคณะสงฆ์อนุญาตแล้วไม่ได้ ต้องอนุญาตทุกครั้งไป แต่ส่วนใหญ่ปฏิบัติกันมาผิดๆจนเป็นความเคยชิน จนทำให้คิดว่าทำได้ ซึ่งจริงๆแล้วผิด ก็ให้ไปชำระหนี้สงฆ์เป็นประจำเพื่อลดโทษ

ดิฉัน - เจ้าค่ะ แล้วถ้าชาวบ้านถวายอาหารมาแล้วพระ หรือลูกศิษย์วัดแยกเอาไปฉันหรือกินเองตามลำพังอันนี้ผิดแค่ไหน และแก้ไขโดยการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์แล้วหนี้หมดใช่หรือไม่เจ้าคะ

พระศาสดา - ถ้าถวายโดยเจาะจงเป็นรายบุคคล พระท่านนั้นก็ไม่ผิด แล้วถ้าท่านจะให้ลูกศิษย์วัดต่อไป ท่านอนุญาตได้ด้วยตัวของท่านเองไม่จำเป็นต้องรอคณะสงฆ์เพราะเป็นของส่วนบุคคล แต่ถ้าญาติโยมถวายของเป็นของส่วนรวม ถ้าพระหรือลูกศิษย์วัดแยกเอาไปเป็นของส่วนตัว อันนี้ผิด เพราะถือว่าเป็นของคณะสงฆ์ การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ต้องเป็นพระขนาดหน้าตักสี่ศอก ถ้าไม่ได้ปิดทอง จะได้สำหรับคนเดียวนะ ถ้าปิดทองทั้งองค์ถึงจะได้ทั้งคณะ

ดิฉัน - เจ้าค่ะ ...แล้วการกินผลไม้ของวัดโดยได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับอนุญาตผิดเท่ากันหรือไม่ แล้วใช้หนี้ด้วยการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์แล้วหมดหนี้ใช่หรื่อไม่เจ้าคะ

พระศาสดา - ใครเป็นผู้อนุญาต ถ้าทางคณะสงฆ์เป็นผู้อนุญาตก็ไม่ผิด ถ้าพระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้อนุญาตนั้นไม่ได้ เพราะถือเป็นของสงฆ์ ต้องให้สงฆ์ทั้งหมดอนุญาตเท่านั้น แล้วโทษก็เหมือนกับกินของวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตนั่นแหละ

ดิฉัน - อย่างนี้การป้องกันการติดหนี้สงฆ์ที่ดีที่สุดก็คือ ให้พยายามชำระหนี้สงฆ์เป็นประจำใช่ไหมเจ้าคะ

พระศาสดา - ถูกต้องแล้ว

ดิฉัน - ขอกราบแทบพระบาทพระศาสดาค่ะ สำหรับธรรมะที่สั่งสอน ลูกจะนำไปบอกเพื่อนๆกัลยาณมิตรเจ้าค่ะ นมัสการลาเจ้าค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:55:42


ความคิดเห็นที่ 46 (1541261)

นำไข่มาทำอาหารบาปและผิดศีลหรือไม่

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Apinya17

เมื่อปี ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท มีตาอะไรหรือ อีตานี่เมื่อก่อนมาอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นไปแกก็มาเฝ้าอยู่ตลอด ถ้ายังไม่กลับเพียงใดแกก็ยังไม่กลับบ้าน ให้ลูกสาวเอาข้าวต้มมาถวายเช้า ตอนเพลเอาข้าวสวยมาถวายตัวแกเองต้องมาอยู่ตลอดเวลา

พอแกตายไปแล้ว ลูกสาวก็มาหาที่กรุงเทพฯ บอกว่าอยากจะทำศพพ่อและบวชน้องชายในวันเดียวกัน อยากจะให้หลวงน้าเป็นประธาน ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าเป็นประธานก็ได้ แต่ว่าถ้างานเอ็งจะมีบาปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้นะ แม้แต่ไข่ลูกนึงก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย


จากข้อความตัวหนังสือสีแดง การตอกไข่เป็นบาป ผิดศีล ข้อปาณา ไหมค่ะ สงสัยจริงๆ ค่ะ ทำไม ไข่ไม่เป็นตัวก็บาป ทำไมใจไม่สบาย วอนผู้ได้มโน ช่วยถามพระท่านให้หายข้องใจด้วยค่ะ เพราะถ้าผิดศีลข้อปาณา ลูกอิฉันยังเล็กจะกินอะไรแทนดีค่ะ

พอดีช่วงที่ไปบวชที่ศูนย์พุทธศรัทธาตอนเดินจงกรมอยู่ก็ได้เอาปัญหานี้ไปถามพระศาสดามาเหมือนกันค่ะคำตอบก็ได้มาดังนี้

---------------------------------------------------------------


ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ


พระศาสดา - เจริญพร


ดิฉัน - มีปัญหามาถามอีกแล้วค่ะ เรื่องไข่ การที่เราทุบไข่นี่บาปไหมเจ้าคะ


พระศาสดา - ถ้าไข่มีตัวก็บาป ไม่มีตัวไม่บาป


ดิฉัน - แล้วทำไมหลวงพ่อถึงบอกว่าแม้แต่ไข่ลูกนึงก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ใจมันไม่สบาย


พระศาสดา - สมัยก่อนนั้นการเลี้ยงไก่ก็เป็นไปแบบชาวบ้านธรรมดาๆไม่ได้มีเครื่องมืออะไรล้ำหน้าเหมือนสมัยนี้การที่จะดูว่าไข่นั้นมีตัวหรือไม่มีตัวก็ทำได้ยากหลวงพ่อท่านเกรงว่าไข่ที่เอามาทำอาหาร อาจจะเป็นตัวก็ได้ถึงแม้ใครจะบอกว่าไม่มีตัวก็ตามดังนั้นเพื่อความสบายใจท่านก็เลยสั่งห้ามซะเลยดีกว่าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม


ดิฉัน - อ๋อ...ค่ะ งั้นไข่ที่ไม่มีตัวก็ทานได้


พระศาสดา - ใช่ สมัยนี้วิวัฒนาการมันก้าวหน้าไข่ที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นไข่ที่เกิดจากการเลี้ยงให้ไม่เป็นตัว เป็นไข่ที่ไม่มีเชื้อไม่สามารถไปฟักเป็นตัวได้ อีกอย่างก็ดูเจตนาของเราด้วยถ้าเราไม่ได้มีเจตนาจะทำลายชีวิตใคร เราก็ไม่บาปหรอก


ดิฉัน - ค่ะกราบแทบเท้าพระศาสดาในความกระจ่างเรื่องนี้ค่ะ


พระศาสดา - เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 18:01:43


ความคิดเห็นที่ 47 (1541262)

การทำสมาธิวันที่ 12 มี.ค. 53

ขึ้นไปกราบพระศาสดาที่นิพพาน

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร มาแล้วรึ กำลังรออยู่ทีเดียว

ดิฉัน - มีอะไรหรือเจ้าคะ

พระศาสดา - จะให้ดูอะไร

ดิฉัน - อะไรเจ้าคะ

พระศาสดา - แบมือออกมาซิ

ดิฉันก็แบมือออกไป แล้วทันใดนั้นก็ปรากฏว่ามีดวงแก้วสว่างใสส่งประกายเจิดจ้าอยู่ในมือดิฉัน

ดิฉัน - นี่คืออะไรเหรอเจ้าคะ

พระศาสดา - แก้วประกายพฤกษ์

ดิฉัน - เอาไว้ทำอะไรละเจ้าคะ

พระศาสดา - ให้เธอเก็บไว้ดูว่า เธอจะต้องทำจิตของเธอให้ใสดั่งแก้วประกายพฤกษ์นี้

ดิฉัน - (แป่วววว...โดนอีกแล้ว อิอิ)

พระศาสดา - ช่วงนี้จิตของเธอขุ่นมัว ไม่ใสเพราะมัวแต่ไปคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง คิดแล้วก็เป็นทุกข์ เธอก็รู้อยู่แล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นทุกข์ เมื่อมีทุกข์ก็จงมองหาเหตุแห่งทุกข์นั้น แล้วดับมันเสีย ใจจะได้ไม่ทุกข์ไปกับสิ่งเหล่านั้น ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นปกติธรรมดาของมัน มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่มีสิ่งไหนยืนยาว แล้วเธอจะไปคิดให้รกสมองทำไม มองทุกอย่างให้มันเป็นปกติ รู้เท่าทันทุกข์ทั้งหลาย ทำจิตใจให้ผ่องใส คิดพิจารณาในทุกข์นั้นๆ อย่าได้เผลอตัวเผลอใจไปตามความทุกข์ทั้งหลาย จงรู้จักแยกแยะ มองให้เห็นเป็นธรรมดา แล้วเจ้าจะได้ไม่ทุกข์ไปกับสิ่งทั้งหลายในโลกนี้

ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ...แล้วจะให้เก็บแก้วประกายพฤกษนี้ไว้ที่ไหนละเจ้าคะ

พระศาสดา - เก็บไว้ในดวงจิตของเธอนั่นแหละ ใส่ลงไปในกายทิพย์ของเธอซิ

ดิฉันก็เลยเอาแก้วใส่ไว้ในกายทิพย์ ตรงช่วงหัวใจ พอแก้วเข้าไปแล้วก็ส่องแสงสว่างแวววาวออกมาจ้ามาก

พระศาสดา - เห็นไหมดวงจิตของเจ้าต้องให้ใสแบบนี้ ต้องฝึกจิตของเจ้าทุกวัน ให้รู้เท่าทันกับทุกสิ่ง

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - พยายามทรงฌานให้ได้ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ อย่าได้คิดว่าจะทำเฉพาะตอนที่เวลาสงบๆเท่านั้น ไม่ว่าจะทำงานทำการอะไร ก็ให้ทรงฌานไว้ นึกถึงพระให้ได้ตลอด เอากายทำงานทางโลกและเอาใจทำงานทางธรรม

ดิฉัน - ลูกก็จะพยายามนะเจ้าคะ แบบว่าชอบเผลอน่ะค่ะ ไม่ค่อยได้ทำ

พระศาสดา - พยายามฝึกให้ได้ตลอดเวลา หากว่าเธอตายไปในระหว่างที่ทรงฌาณ เธอจะได้ไม่ลงอบายภูมิ

ดิฉัน - เจ้าค่ะ กราบแทบเท้าพระศาสดาในคำสั่งสอนค่ะ ขอนมัสการลาก่อนนะเจ้าคะ

พระศาสดา - เจริญพร

----------------------------------------------------------------------

มโนมยิทธิเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน โปรดอย่าเชื่อในทันทีตามกฏกาลามสูตร โปรดใช้ปัญญาพิจารณาในการอ่าน

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 18:03:59


ความคิดเห็นที่ 48 (1541263)

ปวดหัวมากมายมาตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อคืนก็แทบไม่ได้นอน ตื่นทั้งคืน แอบไปนอนพักช่วงบ่าย แต่ก็นอนไม่ค่อยหลับอีก ปวดหัวแทบระเบิด อยากอ้วกด้วย เลยต้องเอาจิตขึ้นไปกราบพระศาสดา

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาเจ้าค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร เป็นอย่างไร ปวดหัวรึ

ดิฉัน - เจ้าค่ะ ปวดหัวมากมาย ทรมานมากเลยเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหายจากโรคปวดหัวนี่ซะที นี่ถ้าตัดหัวได้ เปลี่ยนหัวได้คงดีนะเจ้าคะ

พระศาสดา - ใช่ ถ้าไม่มีหัว ก็ไม่ปวด

ดิฉัน - จริงด้วยค่ะ ถ้าไม่มีรูป มันก็ไม่รู้สึกอะไร

พระศาสดา - แต่จริงๆ แล้วรูปน่ะ มันมีความรู้สึกหรือเปล่า มันขึ้นอยู่กับจิตเราใช่ไหมละ

ดิฉัน - จริงค่ะ

พระศาสดา - ถ้าเราไม่เอาจิตไปคิด ไปใส่ใจ รูปนี้ก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะจิตตัวเดียว

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - จงพยายามฝึกแยกกายกับจิตให้ออกจากกัน แล้วเธอจะได้ไม่ทุกข์มาก

ดิฉัน - แหม..พูดง่ายแต่ทำยากนะเจ้าค่ะ ก็รู้ทั้งรู้ แต่จิตก็ยังไปจับอยู่กับกายนี่แหละค่ะ แล้วพอยิ่งปวดหัว จะให้แยกจิตออกยิ่งยากไปอีกค่ะ ปวดแล้วจิตตกแยกไม่ออกเจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วจะเอาจิตไปจับให้ทุกข์ทำไม เอาจิตขึ้นมาบนนิพพานซะ อย่าไปสนใจในกาย ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างซะ

ดิฉัน - ลูกจะพยายามนะเจ้าคะ จริงๆก็คือการทรงอารมณ์ฌานเองนะเจ้าคะ ถ้าอยู่ในฌานซะแล้ว อะไรๆก็ไม่สนใจแล้วนะคะ แต่แหม..เวลามันปวดแล้ว ไม่อยากทำอะไรเลยค่ะ มัวแต่เอาจิตไปจับกับกายนี่แหละค่ะ

พระศาสดา - ก็พยายามอย่าไปสนใจมัน ต้องพยายามฝึกเอาจิตแยกออกจากกายให้ได้ หากแยกจิตกับกายได้เสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ทุกข์แล้ว

ดิฉัน - เจ้าค่ะ กราบแทบเท้าพระศาสดาในคำสอนค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 18:05:07


ความคิดเห็นที่ 49 (1541265)

ธรรมะในวันอาสาฬหบูชา

ได้มีโอกาสขึ้นไปกราบพระศาสดาในวันอาสาฬหบูชา

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ดิฉัน - วันนี้พระศาสดามีธรรมะอะไรจะสอนบ้างไหมเจ้าคะ

พระศาสดา - เอาเรื่อง "เมตตา" แล้วกัน

ดิฉัน - เจ้าค่ะ

พระศาสดา - รู้ไหมทำไมที่เวลาเธอเจอเรื่องราวอะไร พระศาสดาถึงบอกว่าให้แผ่เมตตา

ดิฉัน - ก็คงเพราะจะทำให้เราไม่ทุกข์ แล้วก็ไม่ต้องก่อเวรก่อกรรมกันไปอีกน่ะเจ้าค่ะ ใช่ไหมเจ้าคะ

พระศาสดา - ก็ถูกส่วนหนึ่ง จริงๆมีอะไรมากกว่านั้น เมตตาค้ำจุนโลก ถ้าหากทุกคนในโลกนี้มีเมตตาต่อกัน โลกนี้ก็จะไม่วุ่นวายอย่างทุกวันนี้หรอก เมื่อเรามีเมตตา เราก็ไม่ฆ่าสัตว์ เมื่อเรามีเมตตาเราก็ไม่อยากขโมยของใคร เมื่อเรามีเมตตาเราก็ไม่ไปทำลายครอบครัวของใคร เมื่อเรามีเมตตาเราก็ไม่อยากโกหกกล่าวร้ายใคร เมื่อเรามีเมตตาเราก็ไม่ทำผิดศีล และเมื่อเรามีเมตตาเราก็จะมีจิตใจที่ร่มเย็นไม่เร่าร้อน ไม่ก่อเวรกับใคร ย่อมเป็นที่รักของคน สัตว์ เทวดาแหละพรหม คนที่ไม่มีเมตตาเพราะมีแต่ โลภะ โทสะ โมหะ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ จิตใจก็รุ่มร้อนไปด้วยอารมณ์แห่งโลภะ โทสะ โมหะ ไม่สามารถหลุดพ้นได้ คนที่ไม่มีเมตตาย่อมไม่เป็นที่น่าคบหา ไปที่ไหนก็มีแต่คนรังเกียจ และเมื่อมนุษย์ไม่มีเมตตาต่อกัน ก็จะทำให้มีเรื่องต่างๆตามมา เพราะทุกคนก็จะทำผิดศีลได้ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมย ผิดลูกเมียเขา โกหก เสพสุรายาเมา ความสงบก็จะไม่มี ตถาคตจึงสอนเธอให้มีแต่เมตตาต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ใครเขาจะว่าอะไร จะทำอะไร กล่าวหาเธอว่าอย่างไร เราก็เฉยเสีย เพราะว่าเราไม่มีทางจะดีหรือเลวไปกับคำของบุคคลอื่น แต่เป็นที่การกระทำของเราเอง แล้วเราก็สมควรที่จะแผ่เมตตาให้แก่เขาไป ไม่ต้องไปก่อกรรมต่อเนื่องกันไปอีก ให้อภัยและอโหสิต่อกัน อย่าได้อาฆาตจองเวรแก่กันและกัน แล้วจิตใจเราก็จะเป็นสุขไม่ต้องเป็นทุกข์ ความเมตตาเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ค้ำจุนโลก ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ชนะได้ด้วยการเมตตา ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าความเมตตาอีกแล้ว จงแผ่ความเมตตาออกไปให้กว้างไกลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งมิตรและศัตรู ถ้าเธอเป็นคนมีเมตตาเป็นนิจไปที่ไหนก็มีแต่คนรักใคร่ คนเคารพ เป็นที่รักของทั้งคน สัตว์ และเทวดาพรหม เมตตาเป็นสิ่งแรกในพรหมวิหารสี่ สิ่งที่ทุกคนสมควรต้องมีประจำตัวแล้วก็ฝึกให้ทำให้ได้ ชีวิตจึงจะเป็นสุข ผู้ใดเจริญเมตตาเป็นนิจ ตถาคตถือว่าผู้นั้นคืออริยบุคคล

ดิฉัน - สาธุ กราบอนุโมทนาแทบพระบาทของพระศาสดาในธรรมะเรื่องเมตตาเจ้าค่ะ คิดว่าคนอื่นๆคงจะได้นำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้ สำหรับลูกค่อนข้างจะเข้าถึงเมตตาอยู่เป็นนิจเพราะพระศาสดาคอยพร่ำสอนอยู่เป็นปกติเนืองๆ ทำให้ลดอารมณ์ต่างๆไปได้เยอะแล้วเจ้าค่ะ

พระศาสดา - ดีแล้ว จงอย่าเป็นคนที่ตั้งอยู่ในความประมาท จงเจริญเมตตาเป็นนิจ แล้วเธอจะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต

ดิฉัน - เจ้าค่ะ สาธุเจ้าค่ะ นมัสการลาเจ้าค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 18:06:47


ความคิดเห็นที่ 50 (1541266)

ทำไมบุญจากการทำกรรมฐานถึงได้บุญมากกว่าสิ่งอื่นๆ
 

บันทึกการทำสมาธิวันที่ 4 สิงหาคม 2553

ได้ขึ้นไปกราบพระศาสดาที่พระนิพพานและได้ถามข้อปัญหาที่สงสัย

ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ดิฉัน - วันนี้ลูกมีปัญหามาถามอีกแล้วเจ้าค่ะ

พระศาสดา - ปัญหาว่าอย่างไรละ

ดิฉัน - ทำไมบุญจากการทำกรรมฐานถึงได้มีบุญมากกว่าการให้ทานและการถือศีลเจ้าคะ

พระศาสดา - การทำกรรมฐานแม้เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็มีบุญมหาศาล มากกว่าการให้ทานและถือศีลมากมายนัก เพราะว่าการให้ทานและการถือศีลนั้นมันทำง่าย แต่กรรมฐานนั้นทำยาก เพราะอะไร เพราะว่าจิตของคนมันไม่นิ่ง มันไม่มักอยู่เฉย คอยแต่จะสอดส่ายหาทางไปอยู่ร่ำไป ฟุ้งซ่านตลอดเวลา คิดแต่จะเอาจิตส่งออกนอก วุ่นวายไม่รู้จบ จิตไม่มีวันนิ่ง ตราบที่บุคคลนั้นไม่รู้จักบังคับจิตใจของตนเอง ดังนั้นบุคคลใดสามารถทำจิตให้นิ่งได้แม้เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ถือว่าเป็นบุญมาก และถ้าทำได้ยาวนาน บุญกุศลก็จะยิ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ การที่บุคคลใดจะทำจิตให้นิ่งให้อยู่ในความสงบได้นั้น จะต้องมีความเพียรพยายามอย่างมาก เพราะต้องบังคับจิตใจที่ปกติคอยแต่จะแล่นไปตลอดเวลา เหมือนโคถึกที่พร้อมจะหลุดจากคอกไม่ยอมอยู่เฉย หากบุคคลผู้นั้นไม่มีความเพียร ไม่มีความตั้งใจ ไม่มีความมุ่งมั่น การทำกรรมฐานก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย เพราะว่าจะท้อซะก่อน ไม่เหมือนกับการให้ทานหรือถือศีลซึ่งไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายนักก็ทำได้ ถ้ามีพรหมวิหารสี่อยู่กับตัว ทานและศีลก็อยู่ในบุคคลผู้นั้น ส่วนกรรมฐานนั้นเป็นสิ่งที่ต้องฝืน ต้องต่อสู้กับความไม่นิ่งของจิต เพราะคอยแต่จะคิด จะฟุ้งซ่านตลอดเวลา ถึงทำได้ยากกว่าการให้ทานและศีล ดังนั้นบุญจากการทำกรรมฐานจึงได้มากกว่าการให้ทานและถือศีลดังนี้แล

ดิฉัน - สาธุ ขอกราบแทบเท้าพระศาสดาในธรรมะที่สั่งสอนค่ะ นมัสการลาเจ้าค่ะ

พระศาสดา - เจริญพร

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 18:07:59


ความคิดเห็นที่ 51 (1541267)

หมดแว้วนะครับ สำหรับธรรมะชุดนี้ คิดว่าน่าจะช่วยทุกๆคนได้เข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้มากเลยทีเดียว และได้ปัญญาทั้งโลกและทางธรรมเยอะเลย ขออนุโมทนา สาธุ กับคุณ Me,myself รวมทั้งเวปพลังจิต และท่านผู้อ่านทุกๆท่านด้วยนะครับ ท่านผู้ใดที่สนใจ อยากอ่านจากต้นฉบับก็สามารถดูได้จากลิงค์ด้านล่างเลยนะครับ

http://board.palungjit.com/f23/ธรรมะจากพระนิพพาน-230652.html

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 18:13:32


ความคิดเห็นที่ 52 (1541275)

_/_ สาธุ _/_ สาธุ _/_ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก วันที่ตอบ 2011-04-20 19:47:29


ความคิดเห็นที่ 53 (1541300)

กราบนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทุก ๆ พระองค์

 

 

ขออนุโมทนา กับธรรมทานด้วยค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น สมรัก เปล่งเจริญศิริชัย (bumsomrak-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 21:08:02


ความคิดเห็นที่ 54 (1541322)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนาค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น จิดาเพ็ญพัฒน์ ฟักอินทร์ (kajadu-at-sanook-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 22:06:10


ความคิดเห็นที่ 55 (1541332)

อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

สนุกมากกกกก  และตื่นตา ตื่นใจมากกกก

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พิชญ์นันท์ สุขวัจนี วันที่ตอบ 2011-04-20 22:39:14


ความคิดเห็นที่ 56 (1541347)

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

ได้รับธรรมะ ได้รับประโยชน์มากๆ ค่ะ

คำสอนของพระพุทธองค์เหมือนน้ำทิพย์ช่วยให้ลูกได้ปัญญาเพิ่มขึ้นทันทีทันใด

ลูกจะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปาริชาติ เฟื่องไพบูลย์ วันที่ตอบ 2011-04-20 23:59:59


ความคิดเห็นที่ 57 (1541391)

ขออนุโมทนา ในธรรมทานค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-21 09:54:57


ความคิดเห็นที่ 58 (1541427)

สาธุ ขออนุโมทนาในธรรมทานครั้งนี้ด้วยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-21 12:11:20


ความคิดเห็นที่ 59 (1541432)

ขอขอบคุณๆธนาที่ให้ธรรมะและธรรมทานนี้

ขอให้ถึงพระนิพพานเร็วไวด้วยเทอญ

                   สาธุ  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ็อด (emaiqod5961-at-hotmqii-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-21 12:44:52


ความคิดเห็นที่ 60 (1541438)

          ธรรมะของพระพุทธองค์ ช่างดูเรียบง่าย สามารถที่จะนำไปปฎิบัติได้ง่าย  แต่ช่างลึกซึ้งเหลือเกิน

          บางครั้งคนเรามองหาแต่สิ่งที่ดูเป็นพิธีการ มีระเบียบวิธีการขั้นตอนเยอะแยะไปหมด  เราเคยชินกับการทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก  คิดว่าจะทำให้เราดูดี

          แต่พระพุทธองค์ท่านสอนธรรมะ จากเรื่องเข้าใจยากสำหรับสติปัญญาของเรา  ให้เป็นเรื่องที่ดูจะทำได้ง่ายๆ

          ลูกจะพยายามปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ค่ะ

           

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย ( ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-21 13:04:28


ความคิดเห็นที่ 61 (1541445)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนาด้วยคะ  สาธุ  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา (pouging-at-1yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-21 13:27:52


ความคิดเห็นที่ 62 (1541479)

 

 

                                                             ดีใจมากที่ได้พบธรรมะทานในครั้งนี้ขอขอบคุณและขออนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ณัฐธิญาณ์ อนุรักษ์ (phupang-at-tdim-dot-co-dot-th)วันที่ตอบ 2011-04-21 17:17:01


ความคิดเห็นที่ 63 (1541632)

ขอขอบคุณ คุณธนามาก ๆ คะ

และขออนุโมทนากับคุณธนา

และผู้เขียนจากเว็ปพลังจิตทุกท่านด้วยคะ

ได้ประโยชน์ดีมาก ๆ เลยคะ

ทำให้เห็นข้อโหว่ของตัวเอง

และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไป

จะพยายามฝึกจิตให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปคะ

สาธุ คะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แหวน พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-22 11:21:13


ความคิดเห็นที่ 64 (1541750)

 

     อนุโมทนาบุญในธรรมทานของคุณธนาด้วยค่ะ

     อ่านแล้วความรู้ขึ้นมากเลยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช (kanungnuch03-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-22 23:37:19


ความคิดเห็นที่ 65 (1541754)

ขออนุโมทนา

กับทุกท่านด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-23 00:01:15


ความคิดเห็นที่ 66 (1541791)

ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ให้ธรรมะเป็นท่าน

สาธุสาธุสาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ดวง บ้านตาก (duang2543--at--hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-23 08:41:26


ความคิดเห็นที่ 67 (1541844)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานทุกท่านค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น เพ็ญศิริ บุตรมนต์ (opensirio-at-hot mial-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-23 19:01:17


ความคิดเห็นที่ 68 (1542753)

 

ขออนุโมทนาบุญกับน้าธนาด้วยน่ะคะ

สาธุ  สาธุ  สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น มิ้วและครอบครัว (nongmamiw-at-Gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-28 18:57:05


ความคิดเห็นที่ 69 (1546030)

ขออนุโมทนาบุญกับคุณธนาคะ สาธุๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-18 09:34:23


ความคิดเห็นที่ 70 (1552932)

โมทนาสาธุกับคุณธนา และทุกๆท่านสำหรับธรรมทานนี้

อ่านแล้วสัมผัสได้และเป็นเรื่องง่ายถ้าเราปฏิบัติขัดเกลาจิตอยู่เสมอ

ผู้แสดงความคิดเห็น นนลณีย์ พงศ์วุฒิภรณ์ (walailux20-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-19 14:23:58


ความคิดเห็นที่ 71 (1553451)

อนุโมทนาบุญกับธรรมทานด้วยค่ะ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตฤณ นาคทุ่งเตา (voravee_pat-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-22 10:42:48


ความคิดเห็นที่ 72 (1553494)

ขอโมทนาบุญกับคุณธนาด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉันทนา ชูนุ่น (coffe-dot-i-joker-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-22 13:40:51


ความคิดเห็นที่ 73 (1553495)

ขอโมทนาบุญกับคุณธนาด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉันทนา ชูนุ่น (coffe-dot-i-joker-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-22 13:40:58


ความคิดเห็นที่ 74 (1554923)

โมทนากับธรรมทานทุกๆบทความที่่คุณธนาคัดสรรมาให้ศึกษานะค่ะ

เพราะตัวเองได้ความรู้เพิ่มเติมจากการต่อยอดไปตามลิงค์ต่างๆ

ธรรมจัดสรรค่ะอ่านแล้วได้คำตอบที่อยากรู้หลายเรื่อง

ขอบคุณและขอให้คุณธนานำบทความดีๆมาจุดประกายปัญญาเลื่อยๆนะค่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นนลณีย์ พงศ์วุฒิภรณ์ (walailux20-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-28 21:56:49


ความคิดเห็นที่ 75 (1574339)

ขออนุโมทนากับคุณธนา และทุกๆท่านด้วยค่ะ

ที่ทำให้ได้รับความกระจ่างในหลายๆเรื่อง

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 10:58:01


ความคิดเห็นที่ 76 (1574567)

 กะ ว่าจะนำมาลง อยู่พอดีเลย คับ   โมทนาบุญทั้งหมดด้วย คับ


พี่ธนามาลงก่อน อิอิ  พี่คนนี้ เขาชื่อฝน ครับ ประมาณว่า คล่องทางอภิญญาสมาบัติ  แค่นึกก็นึกทันที  สามารถอ่านได้ที่ เว็ป พลังจติ ครับ^^

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 00:14:22


ความคิดเห็นที่ 77 (1574769)

 

 

 ณัชชาอนุโมทนากับธรรมทานของคุณธนา และทุกๆท่านที่ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ณัชชา พรหมทองแก้้ว (phueng9574-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 22:38:23


ความคิดเห็นที่ 78 (1574938)

 

 

                                  ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับคุณธนาฯ

                         ด้วยน๊ะค๊ะ !!!

                                       สาธุๆๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น กันต์สินี อัครวิชนนท์(นี/พันธ์) (podduang-dot-p-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-27 16:15:22


ความคิดเห็นที่ 79 (1574943)

การสร้างพระ

ชำระหนี้สงฆ์

ต้องเป็นพระขนาด

หน้าตักสี่ศอก

 

ถ้าไม่ได้ปิดทอง

จะได้สำหรับคนเดียวนะ

 ถ้าปิดทองทั้งองค์

ถึงจะ

ได้ทั้งคณะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-04-20 17:55:42

คราวนี้

รู้หรือยังว่า

ทำไม อ.อุบล จึงจะ

ปิดทองพระ

ที่พวกเราสร้างมาน่ะ

 

พ่อใหญ่

ธนา

 

หรือว่า

พวกเราไม่อยาก

ได้บุญ

หลุดหนีสงฆ์

กันจ๊ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-27 16:54:28


ความคิดเห็นที่ 80 (1585957)

อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อร อุ่นศรี (aon_aunsri-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 16:07:18


ความคิดเห็นที่ 81 (1586769)

โมทนาบุญกับธรรมทานของคุณธนาค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น สาวิตรี คงศรี (m0812769555-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-02 19:45:14


ความคิดเห็นที่ 82 (1586793)

อนุโมทนาสาธุ ด้วยคับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกรียงศักดิ์ สกุลคลานุวัฒน์(เบน) (koy8870-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-03 00:30:44


ความคิดเห็นที่ 83 (1586830)

ขออนุโมทานาสาธุ สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น มยุรฉัตร สุดจิตต์ (mayurachut-dot-ch-at-rd-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-03 17:42:03


ความคิดเห็นที่ 84 (1590227)

 

ขอบคุณคุณธนามากๆ ที่ทำให้หมอได้รู้จักเวปที่ให้คำตอบข้อสงสัยที่มีมานาน แถมช่วยให้เข้าใจการปฏิบัติมากขึ้น คงไม่ต้องพรรณนาอานิสงค์ของการให้ธรรมทานที่คุณธนาจะได้รับว่าจะมากมายขนาดไหนนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-26 11:16:36


ความคิดเห็นที่ 85 (1590408)

คราวนี้

รู้หรือยังว่า

ทำไม อ.อุบล จึงจะ

ปิดทองพระ

ที่พวกเราสร้างมาน่ะ

 

พ่อใหญ่

ธนา

 

หรือว่า

พวกเราไม่อยาก

ได้บุญ

หลุดหนี้สงฆ์

กันจ๊ะ

..............................

รับทราบแล้วค่ะอาจารย์

กราบอนุโมทนาด้วยนะคะอาจารย์

สาธุ สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-27 07:41:04


ความคิดเห็นที่ 86 (1590609)

 

อนุโมทนาสาธุบุญค่ะคุณธนา

ผู้แสดงความคิดเห็น หน่อย (สมศรี พวงพันธ์) (noi-92012-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-28 11:55:05


ความคิดเห็นที่ 87 (1590672)

ขออนุโมทนาด้วยคะ

 

ตอนแรกที่จะมีการสร้างพระ เคยได้ยินอาจารย์บอกเรื่อง

การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ว่าถ้าปิดทองจะได้ทั้งคณะ

ก็มาแปลกใจนิดหน่อยตอนที่พระเสร็จ นึกว่าจะเป็นทอง

แต่เป็นสีขาว..

ตอนนี้รู้แล้วคะ กราบอนุโมทนาที่พระจะได้ปิดทองแล้วคะ

สาธุ ๆ ๆ

 

อนุโมทนากับธรรมทานทั้งหมดอีกครั้งนะคะ

อ่านอีกก็ทำให้มีปัญญาอีกทุก ๆ ครั้งคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-28 21:30:20


ความคิดเห็นที่ 88 (1590797)

     อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น จรีพร แก้วนวล (ศิลป์) (kaewnuan-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-29 17:54:30


ความคิดเห็นที่ 89 (1591053)

 image

 

 

ขอให้เจ้าของกะทู้มีแต่ความสุข

 

ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรงและเปี่ยมด้วยความเบิกบาน
ดุจดั่งมีกระเป๋าแห่งทองคำ ขอให้ฐานะมั่งคั่งร่ำรวย
ขอให้ความฝันที่เธอใฝ่ กลายเป็นจริงสมดั่งใจปรารถนา
ความเอื้ออาทรที่เธอมักแบ่งปันต่อผุ้อื่น
ขอให้กลับคืนมาสู่เธอเสมอไป สุขสันต์วันปีใหม่จ๊ะ

โซบิเดย์  ยมโดย

ผู้แสดงความคิดเห็น โซบิเดย์ ยมโดย (sobiday9-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-31 10:29:29


ความคิดเห็นที่ 90 (1591300)
image

 ขออนุโมทนา

กับ

คุณธนาค่ะ

 

สาธุ สาธุ สาธุ

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.

ผู้แสดงความคิดเห็น ตาต้า(ชรินทิพย์ ลิ่มอรุณ) (tata14012544-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-03 15:00:01


ความคิดเห็นที่ 91 (1593986)

 อนุโมทนากับคุณธนาด้วยค่ะ สาธ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-24 15:16:20


ความคิดเห็นที่ 92 (1594098)

                   ขออนุญาติ copy ธรรมมะที่คุณธนานำมาโพส

                        เพื่อที่จะได้นำมาสำรวจจิตใจของตนเอง

                    และนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติให้ถูกต้อง

                                   และขออนุญาตินำไปพิมพ์

                                   เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน

                             ให้กับกัลยาณมิตรท่านอื่นๆด้วยค่ะ

                           ขออนุโมทนาผู้เขียตจากเว็บพลังจิต

                             และคุณธนาด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-25 01:09:57


ความคิดเห็นที่ 93 (1594297)

 

ศาสนาทุกศาสนา เมื่อตายไปแล้วก็เหมือนกันหมด

21-04-2009

สวัสดีค่ะ ท่านกัลยาณมิตรทั้งหลาย พอดีช่วงสงกรานต์ไม่ได้อยู่เมืองไทย ไปประเทศมาเลเซียมาค่ะ มีเรื่องแปลกๆมาเล่าให้ฟังด้วยค่ะ

เช้าวันที่เดินทาง ตื่นขึ้นมาก็ได้ไปเฝ้าองค์พระศาสดาก่อน เพื่อขอพรให้เดินทางโดยปลอดภัย (กลัวเครื่องบินตกง่ะ แหะ แหะ) ท่านก็ให้พรมาแล้วบอกว่าไปแล้วจะเจอเรื่องแปลกๆ เราก็ถามว่า เรื่องแปลกอะไรเหรอคะ ท่านก็ว่าแล้วจะรู้เอง

วันที่เดินทางไปถึงที่พัก ก็ประมาณหกโมงเย็นแล้ว พักแถวไชน่าทาวน์ พอเช็คอินเข้าห้องพักเสร็จ ก็ไปหาอาหารรับประทานกัน พร้อมทั้งเดินเล่นในตลาดไชน่าทาวน์ จากนั้นก็กลับที่พัก เพื่อพักผ่อน อาบน้ำเสร็จ ก่อนนอนก็สวดมนต์ก่อน พร้อมทั้งแผ่ส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ทั้งหลายไปด้วย แล้วก็นอนทำสมาธิ (เหนื่อยเลยไม่อยากนั่ง) อีตอนจิตเข้าสู่สมาธิ เห็นผู้หญิงผู้ชายมุสลิมหลายคน ยืน ก้มๆเงยๆ มองดิฉันอยู่ ตอนแรกก็คิดว่า เราคิดมากไปหรือเปล่า ก็เลยไม่ได้ทัก ไม่ได้ถาม แต่ตัวเองตรงดิ่งไปหาหลวงพ่อโต ไปนมัสการท่านเป็นปกติ พอไปนั่งในโบสถ์ หญิงชายมุสลิมกลุ่มนี้ก็ตามไปด้วย หลวงพ่อก็ทักทันที

หลวงพ่อ - พาคนมาด้วยเหรอ

ดิฉัน - เปล่าค่ะ ดิฉันไม่รู้จัก


หลวงพ่อ - แล้วเป็นใครกันละ (ท่านถามพวกนั้น) เข้ามาข้างในซิ

หญิงมุสลิม ท่าทางเป็นหัวหน้า ตอบว่า - พวกดิฉันเป็นมุสลิม อยู่ที่ประเทศมาเลเซียค่ะ เสียชีวิตแล้ว ได้แต่เร่ร่อนอยู่ ไปไหนไม่ได้ พอดีได้ยินแม่หญิงคนนี้สวดมนต์ แล้วแผ่เมตตา ก็เลยได้ตามมาด้วย

ดิฉัน - อ้าว แล้วตามมาทำไมล่ะ

หญิงมุสลิม - ก็อยากจะมาให้ช่วย อยากจะให้หลวงพ่ออุทิศส่วนกุศลให้หน่อย พวกเราจะได้ไม่ต้องเร่ร่อนอยู่อย่างนี้

ดิฉัน - พวกท่านเป็นมุสลิมไม่ใช่เหรอ ไหว้พระได้ยังไงกันละ แล้วจะรับผลบุญกุศลเหมือนเราได้เหรอ


หญิงมุสลิม - ตายแล้วก็เหมือนกันหมด ไม่มีเส้นพรมแดนว่าเป็นคนประเทศนั้นประเทศนี้ ศาสนานั้น ศาสนานี้ คนในศาสนาของเราไม่มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เหมือนศาสนาท่าน พวกเราเลยลำบากไปไหนก็ไม่ได้ ได้แต่รอให้เจอคนที่จะสื่อสารได้ อยากจะขอส่วนกุศลให้เราหน่อย จะได้ไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้

ดิฉัน - ทำได้เหรอคะ หลวงพ่อ เป็นจริงอย่างที่เขากล่าวเหรอคะ


หลวงพ่อ - เป็นจริง เราสามารถที่จะอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาได้ ถึงแม้นว่าตอนที่มีชีวิตอยู่ จะนับถือคนละศาสนาก็ตาม พอตายแล้ว ทุกคนก็เหมือนกันหมด (หลวงพ่อบอกกับคนกลุ่มนั้นว่า) หลวงพ่อเป็นพระพุทธรูป อุทิศบุญกุศลให้ไม่ได้หรอก ให้ลูกศิษย์ (หมายถึงดิฉัน) อุทิศให้ก็แล้วกัน เขาเป็นคนมีบุญเยอะอยู่

หญิงมุสลิม - ได้ค่ะ หลวงพ่อ


ดิฉัน - ท่านชื่ออะไรกันบ้างคะเนี่ย แล้วคนผู้ชายคนนั้นน่ะค่ะ ได้แต่นั่งก้มหน้าอย่างเดียวเลย ไม่พูดอะไรบ้างเลย หน้าตาก็หมองคล้ำเชียว


หญิงมุสลิม - ดิฉันชื่อชารีฟ ส่วนผู้ชายคนนั้นชื่อ ฟามา (ขำแทบตาย คนอะไรชื่อยังกะร้านขายยา แต่ขำอยู่ในใจคนเดียวนะ) ส่วนคนโน้นชื่อ...อีกคนชื่อ...(โอย..เยอะค่ะ จำได้ไม่หมด จำมาได้แค่สองชื่อ เพราะเห็นหน้าชัดที่สุด) ฟามาเขาไม่ค่อยกล้าพูดค่ะ เป็นคนเงียบๆ คนอื่นๆก็เหมือนกัน เขาให้ดิฉันเป็นหัวหน้าในการพูดคุยครั้งนี้


ดิฉัน - อ๋อ เหรอ..โอเค งั้นดิฉันจะอุทิศส่วนกุศลให้พวกคุณนะ ก็ขอให้พวกคุณอนุโมทนาในบุญที่ดิฉันอุทิศให้นะคะ จะได้ไปดีค่ะ

ชารีฟ - ค่ะ

จากนั้นดิฉันก็อุทิศผลบุญที่ทำมาทั้งหลายทั้งปวง ตั้งแต่อดีตชาติถึงบัจจุปันให้พวกเขา ซึ่งพวกเขาก็อนุโมทนาในบุญนี้ พออนุโมทนาเสร็จ ดิฉันก็เห็นการเปลี่ยนแปลงทันที โดยเฉพาะฟามา ซึ่งตอนแรกหน้าตาหมองคล้ำ ผิวกายก็ดำไม่สดใส เสื้อผ้าก็เก่า กลายเป็นหน้าตาสดใส ยิ้มแย้มแจ่มใส ผิวกายผุดผ่อง เสื้อผ้าเป็นชุดใหม่สะอาดตา น่ายินดีเป็นยิ่งนัก ส่วนคนอื่นๆก็เหมือนกัน และทั้งหมดได้ไปเกิดเป็นเทวดาค่ะ และทั้งหมดก็ได้กล่าวขอบคุณดิฉันเป็นการใหญ่ จากนั้นก็ได้ลาหลวงพ่อ ขึ้นไปสวรรค์กันค่ะ

พอทั้งหมดไปแล้ว ดิฉันก็ได้สนทนากับหลวงพ่ออีกนิดหน่อย ท่านว่าเป็นการดีแล้ว ที่ได้อุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก เราโชคดีแล้วที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา มีโอกาสทำบุญทำกุศลมากกว่าคนในศาสนาอื่นๆ จงอย่าได้ละในการทำบุญทำกุศลในเมื่อมีโอกาสทำได้ ก็น้อมรับคำสอนของหลวงพ่อมา แล้วก็ลาออกจากสมาธิ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-25 23:10:53


ความคิดเห็นที่ 94 (1594307)

22-04-2009

ระหว่างที่สนทนากับตถาคต พระอาจารย์อนุรุททะเข้ามาพอดี พระอาจารย์ได้การบสักการะพระศาสดา แล้วองค์ศาสดาก็เลยบอกกับพระอาจารย์ว่า รับช่วงต่อจากเราไปที ตถาคตจะไปเทศน์โปรดสาวกอื่นๆ จากนั้นท่านก็เสด็จจากไป พระอาจารย์จึงรับหน้าที่สั่งสอนดิฉันแทน

พระอาจารย์ - วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ดิฉัน - ก็เหมือนเดิมค่ะ คิดว่ายังโง่อยู่

พระอาจารย์ - ไม่โง่แล้วละ แต่ต้องปฎิบัติต่อไป การที่มีปัญหาหรือข้อสงสัย จะทำให้ตัวปัญญาเกิดขึ้น เพราะต้องหาความจริง หาเหตุและผลของปัญหานั้น... อยากไปดูนรกภูมิไหม

ดิฉัน - ก็อยากไปดูค่ะ แต่ความสามารถยังน้อยนิด เดี๋ยวจะไปไม่ได้

พระอาจารย์ - ไม่เป็นไร เดี๋ยวพระอาจารย์จะพาไป ตามมาก็แล้วกัน

ดิฉัน - ค่ะ

จากนั้นก็เดินตามพระอาจารย์ไป แค่นึกก็ถึงนรก เจอยมฑูตสองคน ยมฑูตก็ว่า

ยมฑูต - พระอรหันต์ ไม่ทราบว่าท่านจะลงมา

พระอาจารย์ - ไม่เป็นไร เราแค่พาลูกศิษย์มาดูนรก

ยมฑูต - เชิญครับ กระผมจะพาไป

ท่านยมฑูตก็พาไป เราก็มีคำถามอยากถามยมฑูต พระอาจารย์รู้ได้ทันทีในสิ่งที่เราคิด ก็บอกให้ถาม

ดิฉัน - อยากถามท่านยมฑูตค่ะ

ยมฑูต - ว่าอย่างไรหรือท่าน

ดิฉัน - ในนรกนี่มีเหล้ากินเหรอคะ แล้วยมฑูตกินเหล้าได้ด้วยเหรอ ไม่ได้อิ่มทิพย์เหมือนพวกเทวดาหรือพรหมหรือ

ยมฑูต - ไม่มี ยมฑูตไม่ต้องกินอาหาร กินเหล้าไม่ได้ มีหน้าที่ที่ต้องทำ หมดเวรหมดกรรมเมื่อไหร่ก็ไปเกิด

เราก็สับสน เพราะไปอ่านเจอที่เขาเขียนว่า เขาไปเห็นยมฑูตตกนรกต้องรับกรรม เพราะไปกินเหล้า แล้วก็ไปทำมิดีมิร้ายกับผู้หญิงในนรก...งง...ไอ้เราก็คิด ถ้าในนรก ยมฑูตยังทำยังงั้นได้จริงๆ มนุษย์มิต้องตกนรกกันมากขึ้นเหรอ เพราะว่าพวกยมฑูตนี่ เขาต้องเลือกคนมาเป็นแล้วนี่นา ไม่น่าจะมีการทำผิดศีล ผิดกฎหรือเป็นคนที่ยังมีกิเลสพวกนี้อยู่ อีกทั้งในนรก ก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นหรอก ไม่งั้นนรกคงวุ่นวายเหมือนโลกมนุษย์...

ยมฑูตพาไปดูนรกขุมหนึ่ง เห็นมีกระทะทองแดง มีไฟสุมอยู่ใต้กระทะ มีคนทั้งหญิงชายอยู่ในกระทะนั้น แล้วก็มีพวกยมฑูตคอยเอาหอกแทงหญิงชายเหล่านั้น ทั้งหมดต่างก็ร้องเสียงโหยหวน พอมองมาเห็นพระอาจารย์ ต่างก็ร้องขอความช่วยเหลือกันระงมไปหมด ดิฉันเห็นแล้วก็รู้สึกอนาถ หดหู่ ก็เลยขอไปต่อ
ยมฑูตก็พาไปต่อ เห็นมีเป็นสระบัวสวยงามเต็มไปหมด น้ำใส แล้วก็เห็นว่า มีหญิงชายหลายคน พอเห็นก็เกิดความยินดีปรีดา ปากก็พูดพร่ำกันว่า "โอ้โฮ..น้ำใสไหลเย็น" แล้วก็ต่างวิ่งแข่งกันไปกระโจนลงสระบัวนั้น พอร่างตกลงไปในสระบัว ก็เกิดไฟลุกไหม้บุคคลเหล่านั้น แล้วเผาจนตาย ดิฉันก็เกิดความหดหู่อีก ดูน่ากลัว ท่านยมฑูตถามว่า อยากเห็นอะไร ดิฉันก็ว่าอยากดูต้นงิ้ว

ท่านก็พาไปดู เห็นมีต้นงิ้วเต็มไปหมด ต้นงิ้วไม่ได้มีต้นอยู่แล้วนะ มันจะค่อยๆโผล่มาจากพื้นดิน แทรกแผ่นดินขึ้นมา จนรู้สึกได้ว่าพื้นสั่นสะเทือนไปหมด พวกยมฑูตก็บังคับให้คนทั้งหลาย ซึ่งมีทั้งหญิงชายให้ปีนขึ้นไป ต้นงิ้วที่ตอนแรกเหมือนกับเสาธรรมดาๆ ก็จะมีหนามแหลมงอกออกมาจากต้นทิ่มแทงบุคคลเหล่านั้นระหว่างที่ปีนขึ้นไป เจ็บปวดทรมาน แต่ก็ต้องปีนขึ้นไป จะลงมาก็ไม่ได้ เพราะยมฑูตคอยเอาหอกทิ่มแทงอยู่ด้านล่าง พอปีนไปถึงยอดก็มีอีกาคอยจิกทึ้ง แล้วก็ร่วงลงมาด้านล่าง ข้างล่างก็มีสุนัขคอยกัดกินอีกจนเมื่อเหลือแต่กระดูก ยมฑูตก็จะเอาหอกแทงกระดูกเหล่านั้นไปโยนลงบ่อน้ำ แล้วก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็ถูกบังคับให้ไปปีนต้นงิ้วอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้

ดิฉันบอกยมฑูตว่า อยากเห็นโลกัณฑ์นรก ยมฑูตก็พาไปดู แค่นึกก็ถึง เป็นดินแดนที่มีแต่ความมืดมิด ในนรกยังมองเห็นสีแดงของเปลวเพลิง แต่โลกัณฑ์นรกไม่เห็นอะไรเลย อยู่แต่ในความมืด ก็พอมองเห็นว่ามีสัตว์นรกปีนป่ายเกาะอยู่ ถ้าร่วงลงมา ข้างล่างก็จะเป็นน้ำ แล้วก็ตาย จากนั้นก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ แล้วก็ปีนกลับไปเหมือนเดิม ได้ยินเสียงสัตว์นรกคร่ำครวญว่า "หนาวๆ ที่นี่มันคือที่ไหน"

ดิฉันถามยมฑูตว่า นรกขุมที่แปดกับโลกัณฑ์นรกนี่ อันไหนมันแย่กว่ากัน ยมฑูตบอกว่าโลกัณฑ์นรกแย่กว่า นรกอเวจียังมีเวลาใช้กรรมหมดถึงจะนานก็เถอะ แต่นรกขุมโลกัณฑ์ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นไปได้ ไม่มีทางได้รับส่วนบุญส่วนกุศล เฮ้อ...ดูแล้วน่ากลัวจริงๆ

จากนั้นยมฑูตก็พาไปเฝ้าท้าวเวชสุวรรณ ท่านเห็นดิฉันก็ว่ามาอีกแล้ว จากนั้นก็สนทนากันอยู่สักครู่หนึ่งพระอาจารย์ก็ลากลับ ก่อนกลับท่านท้าวเวชสุวรรณฝากบอกว่า บอกให้ทุกคนทำความดีกันมากๆหน่อย จะได้ไม่ต้องตกนรก ข้างล่างนี่เยอะมาก ดิฉันเลยถามท่านว่า "นรกมันเต็มแล้วหรือ รับไม่ได้อีกหรืออย่างไร" ท่านท้าวเวชสุวรรณหัวเราะแล้วบอกว่า "นรกยังมีที่มากพอสำหรับคนชั่ว ไม่มีทางเต็ม ที่กว้างใหญ่ไพศาลเท่าไหร่ก็รับได้ แต่ไม่ได้อยากให้ลงนรกกัน"...

จากนั้นพระอาจารย์ก็พาไปเข้าเฝ้าองค์ตถาคต ก็สนทนากันอีกสักครู่ท่านก็ให้เรากลับ แล้วสั่งว่าให้แวะไปวิมานของตัวเองก่อนแล้วค่อยกลับ


ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-25 23:41:15


ความคิดเห็นที่ 95 (1594310)

ข้อความจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (จากเว็บพลังจิตค่ะ)

"อยากฝากบอกลูกศิษย์ลูกหาทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่ โดยเฉพาะพวกที่เล่นๆ ทำไม่จริงไม่จัง ให้ปฏิบัติกันให้จริงๆหน่อย ทำเป็นของเด็กเล่นไม่ได้ บางคนเห็นนิด เห็นหน่อย ก็เอาไปโม้กันซะยาวยืด ทั้งๆที่ยังไม่เป็นอะไรเลย อุปทานกันซะละมากกว่า ตั้งใจกันให้จริงๆหน่อย

ศีลห้านี่สำคัญ เป็นพื้นฐานของวิชามโนมยิทธิ ส่วนใหญ่เห็นศีลห้ายังรักษากันไม่ได้เลย แล้วจะมาฝึกให้มันได้อะไร ไปรักษาศีลห้าให้มันครบถ้วนก่อน ถ้าศีลห้ายังรักษาไม่ได้ มันก็ฝึกไม่ได้หรอก อย่างน้อยเวลาที่จะฝึกก็ควรจะมีศีลครบแล้ว ณ เวลานั้น ใจต้องสะอาด ศีลบริสุทธิ์ ไม่ใช่นึกจะมาฝึก ก็แห่กันมาตามกระแสแฟชั่น ของอย่างนี้มันไม่ได้เล่นขายของ จะได้มากันได้ง่ายๆ เดี๋ยวนี้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ ฝึกกันไม่จริงไม่จัง ท้อถอยก็ง่าย อยากจะได้อะไรกันเร็วๆ ต้องคิดด้วยว่า บุญเก่าเราทำมาเท่าไหร่ มากน้อยแค่ไหน ถ้าบุญเก่าเยอะ ก็ไปไว ถ้าบุญเก่าทำมาน้อย ก็ต้องค่อยๆฝึกไป แต่ถ้าคนที่ไม่เคยมีบุญเก่ามาเลย อันนี้หลวงพ่อก็ต้องขอบอกว่า ต้องทำใจหน่อย เพราะว่ามันยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นได้ ขอให้ตั้งใจแน่วแน่ มันต้องเห็นผลสักวัน

สำหรับลูกศิษย์ที่ทำได้แล้ว เก่งแล้ว อันนี้ไม่ค่อยเป็นห่วง เพราะก็พบเจอกันเป็นประจำ ห่วงแต่พวกที่เล่นๆ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ของอย่างนี้มันมาทำเล่นๆไม่ได้ ต้องให้จริงให้จัง ถ้าศีลห้ายังรักษาไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาฝึกหรอก เสียเวลาเปล่าๆ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเถอะ หลวงพ่ออยากให้ลูกศิษย์ทุกคนได้ดี มีธรรมะ เอาเวลามาฝึกไปนิพพานกันเถอะ โลกนี้มันวุ่นวาย แต่ถ้าใครอยากเกิดอีก ก็ไม่ต้องฝึก ปล่อยผ่านไป หลวงพ่อก็อยากฝากบอกแค่นี้แหละ ก็ขออวยพรให้ลูกศิษย์ทุกคน ฝึกมโนมยิทธิกันให้คล่องๆ ไปนิพพานกันได้ทุกคน คราวนี้ก็ขอฝากแค่นี้ก่อน เจริญพร"

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-25 23:49:14


ความคิดเห็นที่ 96 (1594314)


บันทึกการทำสมาธิของวันที่ 28 เม.ย. 52

วันนี้พอเข้าสมาธิก็ไปกราบหลวงพ่อโตเป็นปกติ แล้ววันนี้ตัวเองก็ใส่ชุดกิโมโนสีแดง แขนเสื้อดูยาวรุ่มร่ามพิก๊ล (เดี๋ยวขออธิบายหน่อย เรื่องการแต่งตัว คือดิฉันชอบมีความคิดว่าเรื่องที่ดิฉันเห็นมันอาจจะไม่จริง ยิ่งถ้าเห็นภาพซ้ำๆ ยิ่งไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ไม่ว่าทุกคนที่ดิฉันเคยพบเจอ หากมาเจอคราวหลังแล้วยังมีอิริยาบถในแบบเดิมๆ ดิฉันจะสงสัยทันทีว่าตัวเองอาจจะคิดไปเอง ความคิดนี้ของดิฉันได้โดนพระศาสดาแล้วก็อาจารย์ทั้งหลายติงมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ดังนั้นหลังๆท่านเลยบันดาลให้เห็นภาพแตกต่างกันไปทุกครั้งเพื่อยับยั้งความคิดฟุ้งซ่านของดิฉัน บางวันดิฉันจะเห็นตัวเองแต่งชุดขาวเหมือนถือศีล บางวันก็แต่งตัวเป็นนางฟ้า บางวันก็ใส่ชุดแขก บางวันเกล้าผม บางวันผมสั้น ส่วนมาวันนี้มาแปลก ใส่ชุดกิโมโนซะสีแดงเดียว ส่วนใครที่มีประสบการณ์แตกต่างออกไป ช่วยมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ)

จากนั้นดิฉันก็ขึ้นไปที่นิพพานไปเฝ้าพระศาสดา พร้อมทั้งนำเรื่องราวปัญหาของเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งไปถามพระศาสดาด้วย ท่านก็เมตตาชี้แจงถึงเหตุแห่งปัญหานั้นพร้อมทั้งบอกวิธีแก้ไขมาด้วย หลังจากเสร็จเรื่องของเพื่อน ก็เลยได้สนทนากับพระองค์ท่าน
ตถาคต – แล้ววันนี้จะไปดูนรกอีกไหม

ดิฉัน – ก็น่าจะไปดูอีกนะคะ แต่ต้องไม่ซ้ำกับครั้งก่อน

ตถาคต – ดีแล้ว ไปดูเรื่อยๆ แล้วก็เอามาบอกคนอื่นว่ามันน่ากลัวยังไง จะได้ไม่ต้องทำบาปกัน วันนี้พระอาจารย์อนุรุททะไม่อยู่ ไปบำเพ็ญศีลที่เขาไกรลาศ เดี๋ยวให้พระอาจารย์โมคคัลลาพาไปแทนก็แล้วกัน .....ท่านโมคคัลลา เดี๋ยวท่านพาไปที

พระอาจารย์โมคคัลลา – ขอรับ

ดิฉัน – นมัสการพระอาจารย์โมคคัลลาค่ะ

พระอาจารย์โมคคัลลา – เจริญพร ไม่ได้พบกันนาน คงสบายดีนะ

ดิฉัน – สบายดีค่ะ


พระอาจารย์โมคคัลลา – องค์พระศาสดา ถ้ายังงั้น ข้าพระองค์ขอทูลลาไปเลยนะขอรับ

ตถาคต – เชิญท่าน

พระอาจารย์โมคคัลลา – เอาล่ะ... (ชื่อดิฉัน).....ตามอาจารย์มา

ดิฉัน – ค่ะ

จากนั้นก็เดินตามอาจารย์ไป แป๊ปเดียวก็ถึงวังของท่านพระยายม วันนี้ท่านพระยายมราชใส่ชฎาเป็นรูปเขาควายดูแปลกไป เหมือนในหนังทีวีเรื่องพิภพมัจจุราชเลย
พระยายมราช – ท่านโมคคัลลา นมัสการขอรับ

พระอาจารย์โมคคัลลา – เจริญพรท่านพระยายมราช องค์ตถาคตใช้ให้เราพาลูกศิษย์มาดูนรก

พระยายมราช – เอ๊า..มาอีกแล้วเรอะเรา มาบ่อยนะ วันนี้จะดูอะไรล่ะ

ดิฉัน – อะไรก็ได้ค่ะ ที่ไม่ซ้ำกับครั้งที่แล้ว

พระยายมราช – เชิญท่านโมคคัลลา เดี๋ยวกระผมจะพาไป
จากนั้นท่านพระยายมราชก็เดินนำไป โดยมีพระอาจารย์กับเราเดินตามหลัง ไปที่ลานโล่งๆ ตอนแรกไม่เห็นมีอะไรเลย จากนั้นก็เห็นมีสัตว์นรกเข้ามาในลานแห่งนั้น แล้วก็ปรากฏว่ามีลูกหินกลมๆ ขนาดใหญ่มาก กลิ้งมาทับพวกสัตว์นรกจนร่างแหลกเหลว ลูกหินจะกลิ้งไปกลิ้งมาไม่มีการหนีพ้นไปได้ ท่านพระยายมราชบอกว่า ที่นี่เขาเรียก ลานหินบด เราก็ถามว่าทำกรรมอะไรถึงต้องมารับโทษอย่างนี้ ท่านก็ว่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำร้ายผู้อื่น ต้องมารับโทษที่นี่

มีต่อตอนสอง...>>

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-26 00:04:06


ความคิดเห็นที่ 97 (1594319)

ต่อตอนสอง..

ท่านพระยายมก็พาไปแห่งที่สอง มองเห็นเป็นสระน้ำใสๆ แล้วก็เห็นพวกสัตว์นรกที่หิวกระหายพากันวักน้ำในสระนั้นกินดื่มกันใหญ่ ไม่นานหลังจากนั้นพวกสัตว์นรกก็นอนร้องครวญครางดิ้นทุรนทุรายไปมา แล้วท้องก็แตกออก ตับไตไส้พุงก็ทะลักออกมาหมด ทรมานอยู่ไม่นานก็ตาย ท่านพระยายมบอกว่าที่นี่คือ สระน้ำกรด พวกที่มารับโทษที่นี่ตอนเป็นมนุษย์เป็นพวกโกงกินสินบน ฉ้อราษฏร์ บังหลวง

จากนั้นท่านก็พาไปดูแห่งที่สาม เห็นเป็นแท่นหินแล้วก็มีสัตว์นรกนอนอยู่บนแท่นนั้น มือและขาถูกตรึงด้วยยมฑูตสองคน จากนั้นก็เห็นยมฑูตอีกสองคนเอาเลื่อยอันใหญ่มากๆ มาเลื่อยร่างสัตว์นรกนั้นให้ขาดจากกันดูน่าสยดสยอง ท่านพระยายมราชบอกว่าที่นี่คือ แท่นแยกร่าง พวกชอบฆ่าสัตว์ ทำลายชีวิตผู้อื่นจะต้องโทษที่นี่ เราก็เกิดการสงสัยว่า ที่ลานหินบดนั่นก็เป็นพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แล้วทำไมรับโทษไม่เหมือนกัน (บอกแล้วว่าดิฉันน่ะ ปัญหาเยอะ) ท่านพระยายมบอกว่า ขึ้นอยู่กับลักษณะกรรมที่ทำ ความร้ายแรง ความมากน้อยของกรรมที่ทำ ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับโทษที่แตกต่างกัน (อืมม...กรรมนี่มันลึกลับซับซ้อนดีแท้) ดิฉันก็เลยถามต่อว่าแล้วนรกแต่ละขุม มีเวลาเท่ากันหรือเปล่า ท่านก็บอกว่าไม่ ยิ่งลึกระยะเวลายิ่งยาวนานกว่า แต่แค่ชั้นต้นๆก็กินเวลาหลายร้อยหลายพันปีมนุษย์แล้ว ดิฉันก็ว่า โห....อย่างนี้ถ้าใครตกนรกนานเป็นพันๆหมื่นๆปี แล้วจะไปเกิดกันตอนไหนล่ะ เพราะยุคนี้ศาสนาของพระศาสดาองค์ปัจจุบันก็เหลือเวลาอีกประมาณสองพันกว่าปีเอง แล้วจะไปเกิดกันยังไง ชาติไหน กี่ปีกี่กับป์กัน

พระอาจารย์โมคคัลลา ท่านเลยว่า เจ้าเองก็เกิดมาหลายชาติแล้วจำไม่ได้รึ ก่อนยุคนี้อีก โลกเราไม่ได้มีแค่ยุคนี้ก่อนหน้านั้นก็มีมานานแล้ว ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ เจอพระอาจารย์ว่าอย่างนี้ก็เลยเงียบไปเลยดิฉัน

เดี๋ยวต่อตอนสามค่ะ...

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-26 00:11:32


ความคิดเห็นที่ 98 (1594321)

เอ.....ทำไมตอนสามหนูเอามาลงไม่ได้อ่ะคะ พยายามอยู่หลายครั้งแล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ....^^"

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-26 00:16:30


ความคิดเห็นที่ 99 (1594331)

 

                                    พระคาถาแผ่เมตตาทั่วไตรภพ

"สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดคือ ร่างกายของคน อย่าหลงรักของชั่วร้าย คือ กายเรา กายเขา คือขันธ์ 5 เราขันธ์ 5 เขาต้องไล่ ขันธ์ 5 ร่างกายนี้ออกจากจิต ถ้าไม่ไล่ร่างกายของเจ้าออกจากจิตเจ้า เจ้าก็จะทุกข์กายทุกข์จิตใจแน่นอน ที่บอกมาก็เพราะต้องการให้เจ้าใช้กรรมด้วยปัญญา ไม่ให้หลงฤทธิ์ ถอดจิตหนีขึ้นนิพพานอย่านึกว่าพ้นนะ การทำบุญ เปรต สัมภเวสี เทวดา เขารอโมทนาเยอะ ถ้าผีวิญญาณที่เขาได้รับบุญกุศลที่เราอุทิศแผ่ไปเขาก็จะได้รับอภัยโทษ ให้ไปเกิดเป็นคนบ้าง ไปเกิดเป็นเทวดาบ้าง จงใช้มโนมยิทธิของเจ้าดู บ้างก็ไปเสวยบุญชั่วขณะตามกำลังของบุญ เมื่อหมดก็มาขอบุญอีกก็มีเยอะ ดังนั้นเจ้าควรจะทำสมาธิภาวนาแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกยิ่งดี

ผู้ที่ขยันแผ่เมตตาจิตไปทั้ง 3 โลก คือ 1.นรกโลก 2.มนุษย์โลก 3.เทวโลก พรหมโลก จึงเป็นที่รักใคร่ของมวลเทพเทวดา และมนุษย์ผีวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป ปรทัตตูปชีวเปรตจะคอยโมทนา จงท่องคำอุทิศส่วนกุศลให้ทุกท่านได้โมทนาอยู่เป็นประจำก็จะดีมาก จะผ่านท่านปู่พระยายมราชได้ยิ่งดี ท่านจะจำนำเป็นพยานที่เจ้าได้ทำบุญกุศลไว้ตอนเป็นคนให้ จงพูดถึงข้า คือท่านปู่พระยายมราชทุกครั้งเมื่อกระทำบุญ

เมื่อเจ้าลงนรกไปด้วยความประมาท ไม่ได้นึกถึงบุญความดีหรือพระพุทธเจ้าก่อนตาย ข้าหรือท่านปู่พระยายมราชจะได้บอกว่า เจ้าเคยฝากบุญไว้กับข้า คือท่านปู่พระยายมราชมาก่อน ข้าก็จะบอกให้เจ้าที่ผ่านสำนักพระยายมราชว่า จงโมทนาสาธุยินดีในบุญความดีเสีย บาปจะได้ตามไม่ทันจะได้พ้นนรก ถ้าเจ้ามีกำลังจิตจะฝากบุญกุศลให้แก่จิตวิญญาณของ คนทั้งโลกก็ได้ ข้าก็จะได้บอกเขาว่ามีคนฝากบุญกุศลให้เขาโมทนา ถ้าเขารับได้เขาก็จะพ้นทุกข์ตามกำลังของจิตของเขาที่ ทำบุญกุศลได้
ถ้าหากเจ้าคิดจะแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ทั้ง 3 โลกให้ทำดังนี้จะสะเทือนไปถึงทั้ง 3 โลก แต่เจ้าต้องมีศีล 5 บริสุทธิ์ เป็นอย่างต่ำ และมีบุญทานภาวนาเป็นอย่างสูง ให้ว่าดังนี้

 
พระคาถาแผ่เมตตาทั่วไตรภพ

สวดในนามพระพุทธเจ้าแล้ว แผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก(นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก) สวดอย่างน้อย 9 จบ อย่างมากตลอดเวลา
                      "นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า

             ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก
            ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง 
                         ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ

                      ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ
                          ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส
                      หลุดพ้นไซร้ สู่บ้านนิพพานเทอญ
                                       สัมปะจิตฉามิ"

คุณประโยชน์ของการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกไปกับฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกเริ่มมีดังนี้

1. โปรดช่วยสรรพสัตว์ได้ แดนเปรต อสุรกาย มนุษย์โลก สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเป็นภูมิผีวิญญาณเร่ร่อน แผ่ไปทั่วเทวโลก พรหมโลก ได้รับโมทนาบุญกับเรา
การแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก รวมถึงเจ้ากรรมนาย
เวร จงทำทุกวัน จงตัดเวรตัดกรรม ให้อโหสิกรรมต่อกัน ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเราโกรธตอบจะเพิ่มภพชาติให้เกิดมาใช้หนี้เวรกรรมกันอีก

2. สวดด้วยจิตศรัทธาแท้ เทพ พรหมรักใคร่ สรรเสริญ เมตตาติดตามรักษาเราให้อยู่เย็นเป็นสุข

3. สวดตลอดเวลา คิดปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง

4. สวดตลอดเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาวนาจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสะอาดปราศจากนิวรณ์

5. จิตสะอาดสว่างไสว จิตหลุดพ้นจากการหลงยึดติดในขันธ์ 5 จิตเป็นจิตประภัสสร เป็นจิตพระอริยบุคคลได้ง่าย เพราะเป็นจิตที่มีเมตตา เคารพบูชา พระรัตนตรัยมองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นจิตฉลาดไม่มีอวิชชา เป็นจิตที่มีพระนิพพานเป็นกรรมฐาน

ขออนุโมทนากับเจ้าของบทความนี้ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

 
ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-26 01:22:29


ความคิดเห็นที่ 100 (1594541)

 บันทึกการทำสมาธิวันที่ 15 มิ.ย. 52


เข้าสมาธิพิจารณาตัดขันธุ์ห้า ไม่นานก็เห็นแสงสว่างจ้า แล้วก็เห็นองค์พระศาสดาลงมารับ
 
(ตอนแรกกะว่าจะไปหาหลวงพ่อโตก่อน) ก็เลยได้ไปกราบท่าน
 

ดิฉัน - นมัสการค่ะ พระศาสดา

พระศาสดา (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)    - เจริญพร ตามพระศาสดามา

ดิฉัน - จะพาไปไหนเหรอคะ

พระศาสดา - พาไปเฝ้าสมเด็จองค์ปฐม

ดิฉัน - เพิ่งขึ้นไปเฝ้ามาเมื่อคืนเองเจ้าค่ะ

พระศาสดา - แล้วไปอีกไม่ได้หรือยังไง

ดิฉัน - ได้ค่ะ

พระศาสดาพาไปเข้าเฝ้าสมเด็จ ท่านทรงชุดกษัตริย์นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง
 
แวดล้อมไปด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์อีกทั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
 
พระศาสดาได้เข้าไปกราบสมเด็จองค์ปฐม ซึ่งดิฉันก็ได้เข้าไปกราบท่านรวมถึงพระพุทธเจ้า
 
และพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์
 

สมเด็จ(องค์ปฐม) - ว่าอย่างไร เจ้าฝนดีขึ้นไหม
 

ดิฉัน - ค่ะ คิดว่าเริ่มเข้าใจอะไรดีขึ้นค่ะ
 

สมเด็จ - ดีแล้ว ช่วยฝากดูด้วย เพราะพระอาจารย์ท่านก็เหนื่อยกับการที่ต้องเผยแผ่ศาสนา
 
 
ยังต้องมาคอยคุมเจ้าฝนอีก ยังไงๆก็ช่วยกันอีกแรงนะ

 
ดิฉัน - ค่ะ
 

สมเด็จ - ท่านสมณโคดม ท่านมีอะไรรึ

พระศาสดา - พระเจ้าค่า หม่อมฉันนำ...(ชื่อดิฉัน)....มาเฝ้าสมเด็จ เนื่องด้วยเห็นว่าตอนนี้กัลยาณมิตร
 
ทั้งหลายที่ทาง......ได้ให้ความรู้เรื่องธรรมะเริ่มมากขึ้น
 
ภารกิจของ...ได้สำเร็จลุล่วงไปขั้นหนึ่งแล้วพระเจ้าค่า
 
 

สมเด็จ -    ใช่ๆ ตอนนี้เริ่มมีญาติธรรมเข้ามาเยอะแล้ว แล้วอย่างไรเรอะ
 

พระศาสดา - หม่อมฉันก็เลยอยากจะให้....ได้ให้สัตย์ต่อหน้าองค์สมเด็จว่าจะทำภารกิจช่วยเหลือ
 
กัลยาณมิตรนี้ต่อไปตราบจนสิ้นอายุขัยพระเจ้าค่า

 
 
ดิฉันคิดในใจ (เฮ้ย..อะไรหว่า ซวยแล้วตรู เพิ่งไปพูดกับหลวงพ่อโตอยู่เมื่อคืนแท้ๆ)
 

สมเด็จ - นั่นซิ เจ้าจะว่าอย่างไร

ดิฉัน - เอ่อ....อ่า...
 

พระศาสดา - เธอต้องทำหน้าที่ของเธอให้บรรลุเป้าหมาย ไม่สามารถทิ้งญาติธรรมไปได้
 
ต้องรับหน้าที่ต่อไป

 
สมเด็จ - ว่าอย่างไรละ

ดิฉัน - (เงียบอย่างเดียว)

สมเด็จ - อ้าว..เงียบเลย

ดิฉัน - พระศาสดา เอาจริงๆเหรอคะ ต้องให้ทำจริงๆเหรอเจ้าคะ

พระศาสดา - อันนี้พระศาสดาไม่ได้บังคับเธอนะ แต่เป็นด้วยสัญญาของเธอที่ให้ไว้ก่อนที่จะลงจาก
 
ดาวดึงส์เพื่อไปจุติยังโลกมนุษย์ เธอมีหน้าที่ที่ต้องนำผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอให้กลับขึ้นมายังข้างบน
 
ตอนนี้กัลยาณมิตรเริ่มมากขึ้น ถึงเวลาที่เธอต้องรับรู้สัญญานั้นแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการไม่ทำให้เธอผิด
 
สัญญาที่ให้ไว้ พระศาสดาจึงต้องนำเธอมาให้สัตย์ต่อหน้าองค์สมเด็จและพระพุทธเจ้า
 
และพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
 

ดิฉัน - ความรู้ลูกก็น้อยนิด ปฎิบัติก็ได้แค่งูๆปลาๆ จะเอาอะไรไปสอนใครได้คะ ที่แนะนำไป
 
ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะผิดบ้างหรือเปล่า ตอนนี้ก็เริ่มเห็นว่าจะมีกัลยาณมิตรบางคนใกล้จะได้มโนกันแล้วนะคะ
 
 
ดูท่าว่าก็น่าจะไปได้ไกลกว่าลูกด้วย เขาคงช่วยคนได้เยอะกว่าลูกแน่ๆค่ะ
 
 
ลูกเองก็ยังปฎิบัติไปยังไม่ถึงไหนเลย
 
 

พระศาสดา - ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้กัน ที่จะเริ่มได้ก็ยังไม่ชัดเจน มีเธอเท่านั้นที่จะขึ้นมาสอบถาม
 
 
จากข้างบนได้ ดังนั้นเธอจึงต้องทำหน้าที่นี่ต่อไป การให้ธรรมะเป็นทาน


ได้บุญกุศลมากแล้วนั่นจะช่วยส่งผลให้เธอไม่ลงอบายภูมิ ช่วยให้เธอไปนิพพานในชาตินี้ได้
 

สมเด็จ - ใช่ ลูก รับหน้าที่ของเจ้าไปเถอะ ว่าอย่างไรละ
 

ดิฉัน - ตลอดไปเลยหรือเจ้าคะ หากว่าต่อไปไม่มีคนสนใจในกระทู้นี่แล้วละคะ ลูกจะหยุดได้หรือเปล่า
 

พระศาสดา -    ไม่เฉพาะในกระทู้นี้ ยังไงเธอก็ต้องสอนธรรมะให้แก่คนอื่นไปเรื่อยๆ
 
 
จนกว่าเธอจะสิ้นอายุขัยแล้วกลับขึ้นมาที่นิพพานตามที่เธอให้สัญญาไว้
 

ดิฉัน - หากว่าทุกคนไม่สามารถไปนิพพานได้หมดละคะ
 

พระศาสดา -    อย่างน้อยก็ไม่ลงอบายภูมิกัน ถ้าไม่ทันนิพพานในชาตินี้
 
ก็จะได้ไปนิพพานในยุคพระศรีอารย์แทน
 
 

ดิฉัน - หากว่าเป็นสัญญาที่ลูกเคยให้ไว้ ลูกก็จะขอรับทำหน้าที่ต่อไปก็ได้ค่ะ

พระศาสดา - เธอให้สัญญา

ดิฉัน - สัญญาเจ้าค่ะ

พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ - สาธุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ท่านผู้เจริญแล้ว
 

ดิฉัน - กราบขอบคุณพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์อ่ะ สำหรับพร
 
 

ดิฉัน - สมเด็จคะ วันนี้มีอะไรเหรอเจ้าคะ
 
ถึงได้มีพระพุทธเจ้าแล้วก็พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์มาอยู่ ณ ที่นี้
 
 

สมเด็จ - ก็ท่านสมณโคดมเชิญให้มา ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้รู้แล้ว

 
ดิฉัน - โอ..แสดงว่าต้องให้ลูกมาสัญญาต่อหน้าทุกพระองค์เลยเหรอคะ แล้วถ้าลูกผิดสัญญาละคะ

สมเด็จ - ลงไปข้างล่างไง

ดิฉันคิดในใจ (ซวยเลย ทำไงละทีนี้) - งั้นลูกขอลาไปหาพระอาจารย์หน่อยนะคะ

พระศาสดา - ได้ซิ

ดิฉัน - นมัสการลาองค์สมเด็จ อีกทั้งพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ค่ะ

ทั้งหมดพร้อมใจกัน - เจริญพร
 

จากนั้นดิฉันก็กำหนดจิตเรียกพระอาจารย์

ดิฉัน - พระอาจารย์เจ้าคะ อยู่ที่ไหนเจ้าคะ

พระอาจารย์อนุรุท - อยู่ที่โคนต้นโพธิ์

ดิฉัน -  นมัสการค่ะพระอาจารย์

พระอาจารย์ - สวัสดี หน้าที่ของเจ้าสมบูรณ์แล้วใช่ไหม

ดิฉัน - สมบูรณ์ยังไงคะ ศิษย์ยังงงๆอยู่เลยค่ะ

พระอาจารย์ - เป็นสัญญาเมื่อครั้งเจ้ายังอยู่ในดาวดึงส์ไง

ดิฉัน - จริงเหรอเจ้าคะ จำไม่ได้ค่ะ

พระอาจารย์ - จะไปดูไหม

ดิฉัน - ดูค่ะ

แล้วพระอาจารย์ก็ทำให้เห็นว่าสมัยก่อนดิฉันเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 
ตอนนั้นสมเด็จท่านเรียกประชุมแล้วกล่าวว่า
 

สมเด็จ - เราต้องการอาสาสมัครเพื่อลงไปจุติยังโลกมนุษย์เพื่อนำลูกหลานทั้งหลาย
 
กลับขึ้นมาข้างบนนี้ ใครจะอาสาบ้าง

ดิฉัน (ในคราบนางฟ้าสมัยนั้น) - หม่อมฉันขออาสาเจ้าค่ะ

สมเด็จ - การลงไปจุติครั้งนี้ เจ้าต้องไปช่วยญาติพี่น้องเจ้าให้กลับขึ้นมาข้างบนให้ได้มากที่สุด
 
แต่ว่ากรรมเก่าทั้งหลายก็จะไปสนองผลกับเจ้าด้วยเพราะว่าเจ้าจะเกิดเป็นชาติสุดท้าย
 
ก่อนเข้านิพพาน เจ้าจะทนได้ไหม ยอมรับกับผลกรรมอันนี้ได้ไหม
 
 

ดิฉัน - หม่อมฉันยอมรับได้เจ้าค่ะ

สมเด็จ - ดีมาก เราจะส่งเจ้าลงไปจุติยังโลกมนุษย์ แล้วก็ญาณของเจ้าเราก็จะให้ไปด้วย
 
เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้ญาณนั้นเองโดยไม่ต้องฝึก แล้วก็พยายามช่วยคนของเจ้าให้ขึ้นมา
 
ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้

 
ดิฉัน - เจ้าค่ะ

จากนั้นก็เห็นตัวเองกลายเป็นแสงสว่างพุ่งลงไปโลกมนุษย์แล้วก่อนที่จะเข้าไปจุติในท้องแม่
 
ก็ไปยืนมองดูแม่ที่นอนหลับอยู่ครู่นึงแล้วก็กลายเป็นแสงพุ่งเข้าท้องแม่ไป

พระอาจารย์ - เป็นยังไง เห็นแล้วใช่ไหม

ดิฉัน - ค่ะ เอ..แล้วศิษย์ให้สัญญากับสมเด็จแล้วทำไมพระศาสดาถึงเป็นคนมาเตือนสัญญานั้นเล่าคะ

พระอาจารย์ - พระศาสดาเคยเป็นพระอาจารย์ของเธอมาก่อน ท่านก็ตามโปรดเธอตลอดนั่นแหละ
 
 
ครั้งแรกที่เจอ เธอก็เจอพระศาสดากับพระอาจารย์โมคคัลลามาก่อนไม่ใช่เหรอ
 
 
ทุกคนที่เธอเจอก็มีกรรมเกี่ยวเนื่องกับเธอทั้งนั้นแหละ


ใครมีกรรมเกี่ยวเนื่องกับใครก็จะพบเจอกับคน


เหล่านั้น สายใครก็สายใคร ไม่ยังงั้นก็จะสอนกันไม่ได้


จะสอนได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวเนื่องกันมาเท่านั้น
 

ดิฉัน - ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ แต่ตัวศิษย์เองก็ว่าจะใช่เก่ง จะช่วยใครได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้

พระอาจารย์ - ตอนนี้เจ้าได้โสดาบันไปขั้นนึงแล้ว
 
ถ้าปฎิบัติต่อไปเจ้าจะเข้าถึงอรหันต์ผลแล้วก็ไปนิพพานในชาตินี้

ดิฉัน - จริงเหรอเจ้าคะ

พระอาจารย์ - พระอาจารย์มิได้เป็นคนพยากรณ์ ผู้ที่พยากรณ์เจ้าคือพระศาสดา
 
บุคคลใดที่พระศาสดาพยากรณ์แล้วจักต้องเป็นไปตามพยากรณ์นั้นแล

ดิฉัน - สาธุ...หากว่าผู้ไม่สำเร็จอรหันต์ สามารถจะไปนิพพานได้หรือไม่เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ - ก็ได้อยู่

ดิฉัน - ค่ะ งั้นศิษย์ขอลากลับก่อนนะคะ นมัสการค่ะ

พระอาจารย์ - เจริญพร

ลาจากพระอาจารย์มาก็ไปแวะหาหลวงพ่อโตที่โบสถ์

ดิฉัน - นมัสการค่ะหลวงพ่อ

หลวงพ่อ - สวัสดี เป็นยังไงละ
 

ดิฉัน - แย่แล้วค่ะ เมื่อวานหนูเพิ่งบอกกับหลวงพ่อไปเองเรื่องว่าไม่ได้บอกว่าจะช่วยตลอดชีวิต
 
 
วันนี้พระศาสดาเลยเรียกขึ้นไปให้สัญญาเลย

หลวงพ่อ - ก็มีหน้าที่ก็ทำไป

ดิฉัน - ไปสัญญาต่อหน้าสมเด็จแล้วก็พระพุทธเจ้าแล้วก็
 
พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เลยนะคะหลวงพ่อ ถ้าหนูผิดคำสัญญาละคะ
 

หลวงพ่อ - ก็ลงนรกไปเลย แค่พระพุทธเจ้าองค์เดียวก็บาปมากแล้ว นี่ทุกพระองค์เลยนะ 

ดิฉัน - นั่นซีคะ เฮ้อ.

หลวงพ่อ - แล้วรู้สึกเป็นไงจิตวันนี้

ดิฉัน - จิตมันนิ่งๆค่ะหลวงพ่อ 

หลวงพ่อ - ดีแล้ว ไปพักผ่อนเถอะไป ไว้ค่อยมาคุยกันใหม่

ดิฉัน - ค่ะ งั้นนมัสการลาค่ะ

หลวงพ่อ - เจิรญพร

ก่อนออกจากสมาธิก็อุทิศส่วนกุศลให้กับสัตว์ทั้งหลายก่อนค่ะ

-------------------------------------------------------------------

อ่านแล้วพิจารณาด้วยค่ะ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เพราะดิฉันก็ยังงงๆ มึนๆ
 
เหมือนปลาถูกทุบหัวยังไงยังงั้น ไม่รู้ว่าโดนมารหลอกหรือเปล่าเนี่ย
 
แต่มันไม่ใช่มารเลยแหละ สัญญาไปแล้วด้วยทำไงดี อ๊ากกกกกกกก
ผู้แสดงความคิดเห็น ทศวรรษ ฉิมวงศ์ (amilk_tza-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-26 22:51:17



[1] 2 ถัดไป >>


Copyright © 2010 All Rights Reserved.