ReadyPlanet.com


ธรรมจากท่านอาจารย์ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


user image

ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา

เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและคุณงามความดี 

ของท่านอาจารย์

ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 

ที่มีต่อประเทศไทยและต่อโลกใบนี้

 

ลูกหลานบ้านสวนท่านใดที่มีข้อมูลองค์ความรู้

ทั้งทางโลกและทางธรรม

ของท่านอาจารย์

ก็ช่วยกันนำมาลง

เป็นธรรมทานอันยิ่งใหญ่

เป็นบุญโดยเสด็จพระราชกุศล

ร่วมบุญด้วยกันนะครับ

ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้า สาธุ

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง



ผู้ตั้งกระทู้ โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-01-18 23:19:18


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1593293)

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

 

อย่างวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้ารู้ไหม

ถ้าไม่แน่ใจก็ให้ไปถาม ดร.อาจอง ดร.อาจอง

คนนี้ได้กรรมฐาน ได้ทิพจักขุญาณ

เคยสอนลูกศิษย์ได้ทิพจักขุญาณเยอะ

ต่อมาฝรั่งก็จ้างไปทำจรวดอะไร มันพังเรื่อย

ต่อมาแกเป็นหนึ่งในร้อย

ของนักวิทยาศาสตร์ที่เขาคัดไว้

คือเขาคัดไว้ ๑๐๐ คน

เธอเป็นคนไทยคนเดียวในหนึ่งในร้อยของเขา

ทีนี้มาวันหนึ่ง เธอคิดว่าทำไง แก้ๆ ยังไง

มันก็ไม่หายมันก็พังเรื่อย

และที่ข้างห้องที่แกพักมันก็มีเนินดิน

ก็ไปนั่งอยู่ที่เนินดินจิตสบายๆ

ก็ขอบารมีพระพุทธเจ้า

ขอสูตร เอาเพียงแค่แก้ให้หาย

ไม่ได้ทำทุกอย่าง

ปรากฏสูตรขึ้นมาในอากาศ

แกก็รีบเขียนตามนั้น และแก้ไขอยู่

ที่มา : board.palungjit.com/f23/เมื่อหลวงพ่อพูดถึง-ดร-อาจอง-224053.html#post2885665

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

 

ดร.อาจอง

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-18 23:51:08


ความคิดเห็นที่ 2 (1593294)
 
 
นิทานเรื่อง “ตะเกียงวิเศษ”
โดย ท่านอาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
 
กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่ง
ในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถูตะเกียง
ก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียง
แล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า
 


“ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระ
ฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้
แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน”

ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดี
และเขาก็มั่นใจว่า เขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลาได้
ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง ยักษ์นั้นจึงถามว่า
นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้าง
แต่อย่าลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย”
 
ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า
“ฉันต้องการวังหลังหนึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่”

ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจ
เพราะเขานึกว่า ยักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวังเสร็จ
ทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี
เขาบอกยักษ์ให้ “สร้างถนนกว้างๆ ไปถึงหน้าวัง”
ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา
“ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง” เขาสั่งต่อไป
 
ทัชมาฮาลสวยมากๆ

ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา
“ฉันต้องการ.....” เขาก็ขอไปเรื่อยๆ แต่เขาเริ่มต้นวิตกว่า
อีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้ว
และอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้
เพราะเขาต้องคอยมานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา
 


ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้
เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุด
ซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด เขาขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆ
ไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน
พอถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง
แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย

ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย

ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้ว
ชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นมา

 


ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิดและจิตใจของเรา
ถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของเราให้ดี
เราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา

ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้อง
เราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทาน
ที่สามารถควบคุมยักษ์ตนนั้นได้
และสามารถทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้

ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้
มันจะสร้างปัญหาให้กับเรา เราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไร
จะไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯ
ความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา
ครอบคลุมอารมณ์ของเรา
เราจะหวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธและความอิจฉา เป็นต้น
 
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความคิดของเรา
เช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา

เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา
ชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้น
 
 
 
 
เราก็สามารถใช้
 
ลมหายใจเข้าออกของเรา
 
ซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน

หมายเหตุ :: นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้
คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิตของ
ท่าน อาจารย์ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
และได้รับอนุญาตจากท่านผู้เป็นเจ้าของหนังสือเรียบร้อยแล้ว
 

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-19 00:05:44


ความคิดเห็นที่ 3 (1593442)
image

กล่องกระดาษของพ่อ

มีพ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า
พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง
ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญ คือ
ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษา หาความรู้

ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท

เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ที่พบเห็น

แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า

ลูกมักจะกลับมาบ้าน ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง

เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ

จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

" ลูกรัก ระยะหลังมานี้ พ่อรู้สึกว่า ลูกไม่ค่อย มีความสุขนัก

หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน

มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมา เถิด "


ลูกชาย ไม่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว

เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า

พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก

จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก

แต่เมื่อพ่อเอ่ยปาก ถามมาเช่นนี้

เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

" ที่ห้องของผมมีนักเรียน ย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน

แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ

เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบ ได้คะแนนดีและได้รับ คำชมจากครูบ่อยๆ

เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา "

ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

 

" แล้วลูกทำอย่างไรเมื่อโดน เขาแกล้ง " ผู้เป็นพ่อถามต่อ

" ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ

ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ

สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมา

ล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง "

พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที

เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป

เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ

เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ

ไม่ทำตัวเกกมะเหรก เกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร

ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา

ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู ่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

" ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ

ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง

มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง "

ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อยๆ

เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

" อีกสามวันจะเป็นวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบของลูก

ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย

แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก "

ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก

และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็วๆ

ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย

คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา

เป็นกล่องกระดาษสีขาวและสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

 

 



" พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ

ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ

แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ

ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

 

" ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง

เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด "



ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ

จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก

แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย

เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

 

" เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก " พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก

แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว

นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

" พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ " ลูกชายบอกกับพ่อของเขา

" พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ

หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว

ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ "

ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี

 

ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

" พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้ แค่กล่องกระดาษสองใบนี้

แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง

 

กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข

ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดีๆ

หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข

ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษ

และนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว

 

ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์

ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง

ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ

แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน "

 

แม้จะไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้

แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี

 

ทุกๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมาย

ที่เขียนเรื่องราวดีๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว

และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดี

หย่อนลงไปกล่องสีดำ

โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบๆ

สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียน

ด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหนๆ

เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว

และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง

แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน

เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้

และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

" ผมทน ไม่ไหวแล้วครับพ่อ

ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา

มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน

มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ

แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย

ผมจะไปจัดการมัน

จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลย

ที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ "

 

คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า

" วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์

ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง "

ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า

" ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่า

เราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก "

" ลูกต้องไปเขียนก่อน " พ่อบอกเสียงเรียบ

 

" เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน "

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน

ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้น

ในเวลานี้ด้วย

แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธ

ลงชั่วคราวแล้วทำตาม ที่พ่อบอก



หลังจาก หย่อนกระดาษความสุข ความทุกข์

ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว

ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาว

มาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

 

" โอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป

ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้ "

ลูกชายอุทานอย่างคาด ไม่ถึง

ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า "

ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ "

 

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้ อีกนะครับ

เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว "

แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้น
จากที่ตั้งเดิมของมัน

เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายใน

ก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำ

ก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว

 

ลูกชาย หันไปมองหน้าพ่อ

" ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่า
กล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย

เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ "

แต่ ผู้เป็นพ่อบอกว่า

" เก็บไปทำไมล่ะลูก

เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็ คือ ขยะ

ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาด

มากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด

 

ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า

ไม่มีความขุ่นข้อง หมองใจเหลืออยู่อีก

ในขณะที่กล่องแห่ง ความสุขของลูก

จะเต็มไปด้วยความสุข ตลอดเวลา "



" อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า

ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น

พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย

เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย

เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ๆ

ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง

ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน

ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้

 

ดูในกล่องสีขาวสิลูก

ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น

ทำไมลูกถึงมองข้ามไปละทิ้งความทุกข์

ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก

แล้วอยู่กับสิ่งที่ ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ "

 

ลูกชาย มองหน้าพ่ออย่าง อัศจรรย์ใจ

เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้น

อย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้น

ค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่

ความเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะ

กล่องแห่งความทุกข์ ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง



บทสรุปของผู้แต่ง

ช่างน่าฉงนจริงๆ

ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ

และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก

สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชาย

ไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือ สีดำ

แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข

ด้วยการละทิ้งความทุกข์

แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม

เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้

ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

 ที่มา : จากหนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

www.dld.go.th/feedingstandard/index.php/community-of-practice/76-2010-07-10-23-46-28/539-2011-08-14-10-42-14

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-19 22:25:44


ความคิดเห็นที่ 4 (1593584)

 

 หากคนทั้งประเทศ
 
คนทั้งโลก

หันมามีความเมตตากรุณาต่อกัน
แม้เพียงครึ่งหนึ่ง
 
ภัยพิบัติก็จะไม่สามารถทำอะไรเราได้

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
 


ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-21 00:36:30


ความคิดเห็นที่ 5 (1593604)

ขออนุโมทนาด้วยคะ

ดี ๆ มากเลย

หากทุกคนจะอ่านและพิจารณาตาม

จะช่วยให้จิตละเอียด และมีความคิดทางบวกเพิ่มขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-21 12:07:56


ความคิดเห็นที่ 6 (1593613)

อนุโมทนาครับกับธรรมทานของท่าน  ดร.  อาจอง

ความสุขในชีวิตมีมากมาย

แต่เรากลับไปแบกเอาแต่ทุกข์

คิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

แต่สุขหรือความดีที่พึงคิดเรากลับไม่คิดเลย

หรือคิดก็น้อยเหลือเกิน

หันมาคิดใหม่ทำใหม่ดีกว่า

นึกถึงแต่สิ่งดีงาม

ความทุกข์  ความไม่ดี  ก็ลด  ละ  เลิก

หันมาเก็บสิ่งดีดีไว้ในกล่องสีขาวของดวงใจของเรานะครับ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-21 13:07:50


ความคิดเห็นที่ 7 (1593615)

ขอนุโมทนากับ โฆษิต ควรหาเวช  ด้วยครับ

เป็มธรรมมะที่สามารถทำให้เข้าใจได้ง่ายๆ และเห็นภาพชัดเจน

คนเราเมื่อเวลาโกรธ มักถูกครอบงำด้วยความหลงแบบขาดสติกำกับ

แล้วยิ่งถ้าขาดผู้ชี้แนะในทางที่ถูกก็จะยิ่งทำให้หลงลึกเข้าไปอีก

พอทำจนชินก็ติดเป็นนิสัย มีแต่ความลุ่มร้อนกลุ้มใจไปตลอดชีวิต

หาทางออกไม่ได้แก้ไม่ถูก

ทุกวันนี้ถึงได้มีบ้านสวน

และกัลยาณมิตร

เพื่อดึงสติที่เคยมีกลับ นำธรรมมะมาเตือนสติ

ค่อยๆ พินิจพิจารณา เห็นการให้อภัย การยึดถือพรหมวิหารสี่ มองผู้อื่นอย่างน่าสงสาร

ความหลงทำให้เขาหลงผิด คิดว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นถูก แต่มันเป็นเพียงมิจฉาทิจฐิ

บวกกับความยึดมัน เห็นว่าตัวเองถูกเสมอ บอกสอนไม่ได้

ถึงว่า อาจารย์ถึงบอก

 ตัวเราเองยังโง่อยู่เสมอ

สาธุครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์ โพธิ์อุ่น (kiattisp-at-scg-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-21 13:13:47


ความคิดเห็นที่ 8 (1593645)

 

ขออนุโมทนาค่ะ ที่นำสิ่งดีๆของอาจารย์พ่อ ดร.อาจอง  ชุมสาย ณ อยุธยา

ให้ได้อ่านเพื่อเป็นธรรมทานและควรนำไปปฏิบัติให้ได้

หากทุกคนพยายามยึดมั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่  ครอบครัวก็จะเป็นสุข

ตลอดจนบ้านเมืองก็จะสงบสุข  โดยเฉพาะความเมตตาช่วยสลายความ

ชั่วร้ายได้  ขอสนับสนุนค่ะเมตตาค้ำจุนโลก  สาธุ  สาธุ  สาธุ

 

 

โดยเฉ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุภาภรณ์ รังษีชัชวาล (supapone-at-windowslive-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-21 20:20:15


ความคิดเห็นที่ 9 (1593669)

                              อนุโมทนากับคุณโฆษิตด้วยค่

                                 อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ

                               ถ้าคนเราทุกคนทำได้แบบนี้

                                    มีเมตตาอยู่ประจำใจ

                                    สังคมและโลกของเรา

                    คงจะไม่วุ่นวายแบบทุกวันนี้แน่นอนเลยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-22 00:06:03


ความคิดเห็นที่ 10 (1593811)

 

 ณัชชาอนุโมทนาบุญกับธรรมทานของคุณ 

โฆษิต ที่นำธรรมทานและคำสอนดีๆมาเผยแพร่ให้ได้รับรู้

และได้อ่าน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้มีความเยือกเย็นมากขึ้นๆ ตามลำดับ

ของสภาวะจิต 

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ณัชชา พรหมทองแก้้ว (phueng9574-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-23 16:22:35


ความคิดเห็นที่ 11 (1594240)

อนุโมทนาบุญกับธรรมทานครับ

สาธ สาธุ สาธุ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น วิจิตร เขตเจริญ (jit7777-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-25 19:06:00


ความคิดเห็นที่ 12 (1594294)

 

การนั่งสมาธิด้วยแสงสว่าง
ท่านอาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

 

เราใช้แสงสว่างในการนั่งสมาธิ

เพราะแสงสว่างจะช่วยกำจัดความมืดให้ออกไป

ความมืดจะอยู่ไม่ได้เมื่อมีแสงสว่าง

แสงจะเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์

เปรียบดั่งดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างแก่ทุกสรรพสิ่ง

ให้ความอบอุ่น ช่วยให้พืชเจริญเติบโต

ให้พลังและให้ชีวิตแก่ทุกชีวิต

ดังนั้นแสงสว่างจึงมีความสำคัญต่อโลกเป็นอย่างมาก

ถ้าต้องการให้การนั่งสมาธิบังเกิดผลสูงสุด

เราควรเตรียมตัวของเราให้พร้อมก่อน

ก่อนอื่นเราควรกำหนดเวลาที่เราจะนั่งสมาธิ

ให้เวลาในแต่ละวันตรงกัน

เหตุผลก็คือ จิตใต้สำนึกของเราจะจดจำเวลาเอาไว้

และเมื่อเราปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอก็จะกลายเป็นนิสัย

จิตใต้สำนึกจะตั้งโปรแกรมช่วงเวลาของความสงบเอาไว้

ณ เวลานั้น ซึ่งจะทำให้เราฝึกสมาธิได้ง่ายขึ้น

เวลาที่ดีที่สุดคือ เวลาเช้าระหว่าง 4.00 น. ถึง 6.00 น.

ซึ่งเป็นเวลาที่มีพลังงานของความสงบ

แต่มิได้หมายความว่า

เราไม่ควรฝึกสมาธิในช่วงเวลาอื่นๆได้

อย่างไรก็ตามสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว

ตอนเช้าเป็นเวลาที่เราตื่นและรู้สึกสดชื่น

ส่วนตอนเย็นเราจะรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอน

เราควรจะมีสถานที่เฉพาะที่เรา

จะฝึกสมาธิไม่ปนกับกิจกรรมอื่น

มีแต่บรรยากาศของความสงบ

ซึ่งจะทำให้เราฝึกสมาธิได้ง่ายขึ้น

ถ้าเราฝึกสมาธิบนเตียง

มันก็จะมีบรรยากาศของการนอนหลับ

และเราก็จะรู้สึกง่วงนอนเวลานั่งสมาธิ

ถ้าเรานั่งสมาธิบนพื้น และพื้นเป็นไม้หรือคอนกรีต

เราควรจะมีเสื่อหรือผ้ารอง

เพื่อมิให้พลังงานไหลลงสู่พื้นหมด
 

สำหรับผู้ที่สามารถนั่งขัดสมาธิบนพื้นได้

ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย

นิ้วหัวแม่มือจรดกัน

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่สามารถนั่งบนพื้นได้

สามารถนั่งบนเก้าอี้แทนก็ได้

แต่ทั้งสองกรณี เราควรจะนั่งหลังตรง

ไม่เกร็งกล้ามเนื้อมากเกินไป

แต่ควรให้ร่างกายของเราผ่อนคลาย

ขั้นตอนการนั่งสมาธิด้วยแสงสว่าง

เราจะเริ่มด้วยการหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆ

ไปพร้อมๆกับการภาวนาคำว่า พุทโธ
(หรือ คำบริกรรม ตามความถนัดของแต่ละบุคคล)

การทำเช่นนี้จะช่วยให้จิตใจของเราสงบและ
เตรียมพร้อมสำหรับการนั่งสมาธิด้วยการใช้แสงสว่าง

 

 

 

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถนึกภาพแสงสว่างในใจได้

ควรจะจุดตะเกียงหรือเทียนไขไว้ข้างหน้า และ
เพ่งมองแสงสว่างจากเทียนหรือตะเกียงสักครู่

จากนั้นจึงหลับตาลง แล้วเริ่มนึกภาพตาม หรือ
คิดตามคำกล่าวนำสมาธิ ดังต่อไปนี้

 

(ครู หรือ ผู้ปกครอง อาจเป็นผู้กล่าวนำสมาธินี้ก็ได้)

1. ขอให้นึกถึงแสงสว่าง...

แสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าของเรา...

และให้จดจำแสงสว่างนี้ไว้..

2. นำแสงสว่างเข้ามาที่หน้าผาก

และเข้ามาในศีรษะของเรา..

ให้ศีรษะของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง..

แสงสว่างอยู่ที่ไหนความมืดย่อมอยู่ไม่ได้..

ศีรษะของเราเต็มไปด้วยความคิดที่ดี..

คิดในสิ่งที่มีประโยชน์..

เราคิดอย่างไร..เราก็เป็นอย่างนั้น..

ในความคิดของเรา..เต็มไปด้วยความรัก..

และความเมตตา…
 

3. จากนั้น..นำแสงสว่าง..มาไว้ที่หัวใจของเรา..

ให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง..

ให้คิดว่า..ที่หัวใจของเรานั้นมีดอกบัว..

เมื่อดอกบัวได้รับแสงสว่าง..

 

ดอกบัวก็ค่อยๆผลิบานเป็น

ดอกไม้ที่สวยงาม..เช่นเดียวกับจิตใจของเรา..

จิตใจของเราก็ดีและบริสุทธิ์..

เต็มไปด้วยความรัก..และความเมตตา…”
 

4. จากนั้น..นำแสงสว่าง..ลงมาไว้ที่แขนและมือ

ทั้งสองข้างของเรา..

ให้แขนและมือทั้งสองข้างของเรานั้น..

เต็มไปด้วยแสงสว่าง..

เราจะทำแต่ความดี..ทำในสิ่งที่มีประโยชน์..

เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด..

จะรับใช้ช่วยเหลือทุกๆคน..

ด้วยความรัก..และความเมตตา..

 

5. จากนั้น..นำแสงสว่างนั้น..

มาไว้ที่ขาและเท้าทั้งสองข้างของเรา..

ให้ขาและเท้าทั้งสองข้างของเรานั้น..

เต็มไปด้วยแสงสว่าง..

เราจะก้าวเดินไปข้างหน้า..

ก้าวเดินไปยังหนทางที่ดี..

ก้าวไปพบเจอกับคนที่ดีๆ..ไปในสถานที่ดีๆ..

ก้าวไปทำประโยชน์ให้กับสังคม..

และในทุกย่างก้าวของเรา..จะเต็มไปด้วยความมั่นใจ..

และตั้งใจที่จะทำความดี... 

6. จากนั้น..ให้นำแสงสว่าง..ผ่านร่างกาย..

กลับขึ้นมาเข้าไปไว้ที่ปากและลิ้นของเรา..

ให้ปากและลิ้นของเรานั้น..เต็มไปด้วยแสงสว่าง..

เราจะพูดแต่สิ่งที่ดี..พูดแต่สิ่งที่มีประโยชน์..

ด้วยคำพูดที่ไพเราะ..อ่อนหวาน..สุภาพ..

อ่อนน้อมกับทุกๆคน..และทุกคำพูดของเรา..

จะเต็มไปด้วยความรัก..และความเมตตา

7. จากนั้น..ให้นำแสงสว่าง..

มาไว้ที่หูทั้งสองข้างของเรา..

ให้หูทั้งสองข้างของเรา..เต็มไปด้วยแสงสว่าง..

เราจะรับฟังแต่สิ่งที่ดี..รับฟังแต่สิ่งที่มีประโยชน์..

ได้ยินแต่สิ่งที่ดีและมีประโยชน์..

เราจะรับฟังผู้อื่นทุกเมื่อ

ด้วยความรักและความเมตตา..
 
8. จากนั้น ให้นำแสงสว่าง..

มาไว้ที่ตาทั้งสองข้างของเรา..

ให้ตาทั้งสองข้างของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง..

เราจะมองไปข้างหน้า..มองในสิ่งที่ดี..

มองเห็นความดีในทุกๆคนและในทุกๆสิ่ง..

มองทุกๆคน..ด้วยความรัก..และความเมตตา...”
 
9. และจากนั้น..ให้นำแสงสว่าง..

กลับมาไว้ที่ศีรษะของเราอีกครั้งหนึ่ง..

ให้ศีรษะของเรา..เต็มไปด้วยแสงสว่างและปัญญา..

ขอให้เราแผ่ขยายแสงสว่างจากตัวเรา

ออกไปมอบให้ทุกๆคนที่เรารัก..

ไปมอบให้กับคุณพ่อคุณแม่..

ผู้ที่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่..

ผู้ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา..

ขอให้ท่านเต็มไปด้วยความสงบสุข..

แผ่กระจายแสงสว่างออกไป..ไปยังคุณครู..

ผู้อบรมสั่งสอน..ให้วิชาความรู้และปัญญาแก่เรา..

ขอให้ท่านเต็มไปด้วยความสงบสุข..

10. นำแสงสว่างแผ่กระจายไปยัง

ญาติพี่น้องและเพื่อนๆของเรา...

นำแสงสว่างแผ่กระจายไปยังทุกๆคน..

รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทุกๆชีวิตบนโลกนี้..ให้ทั่วทั้งโลก..

ไม่ว่าจะเป็นคน..สัตว์..หรือต้นไม้..ให้ทุกๆชีวิตนั้น..

ได้รับแสงสว่างแห่งความรัก..และความเมตตา..

ให้โลกของเราเต็มไปด้วยความรักและความสงบสุข...

11. แผ่กระจายแสงสว่างออกไปให้ ทั่วทั้งจักรวาล..

ให้ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยแสงสว่าง...

เรามองเห็นแสงสว่างในทุกๆชีวิต

และแสงสว่างในทุกๆชีวิต

ก็เหมือนกับแสงสว่างที่อยู่ในตัวเรา...

...เราอยู่ในแสงสว่าง...

...แสงสว่างอยู่ในตัวเรา...

...เรา..คือ..แสงสว่าง... 

(หยุดนิ่งประมาณ 1 – 2 นาที)
 
12. ในตอนนี้..

ให้เก็บความรู้สึกที่บริสุทธิ์ของแสงสว่าง

มาไว้ที่หัวใจของเรา..

(หรือ อาจนึกถึงรูปหรือพระนามของพระเจ้า

ที่เราบูชา ให้ปรากฏอยู่ในแสงสว่างในหัวใจของเรา)...

ให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยแสงสว่าง..เราจะเป็นคนดี..

มีความรัก..และความเมตตา..

และเราจะเก็บแสงสว่างนี้ไว้..

ให้อยู่กับตัวเรา..ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ที่ไหน
เราจะมีแต่แสงสว่างในหัวใจของเราตลอดไป




 
13. ขอให้นั่งสงบนิ่งสักครู่

นึกถึงแสงสว่างและความสงบ

ที่เราได้รับก่อนที่จะจบการนั่งสมาธิ

ที่มา : www.cmadong.com/board/index.php

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-25 22:57:39


ความคิดเห็นที่ 13 (1594360)

Motana ka

k Kosit

ผู้แสดงความคิดเห็น นนทพร สไตล์เฮ้าส์ (alittlethai-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-26 09:18:52


ความคิดเห็นที่ 14 (1595058)

ขออนุโมทนาบุญ

กับธรรมทานค่ะ

คุณ โฆษิต

สาธุๆๆค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจพร เลามาสุวพันธ์ (benjaporn-dot-tam-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-31 08:56:48


ความคิดเห็นที่ 15 (1595448)

เมื่อมองไปรอบๆ ตัวในเวลานี้

เราจะพบกับปัญหาน้อยใหญ่เกิดขึ้นมากมาย

ในสังคมมนุษย์

มีการทะเลาะเบาะแว้งฆ่าฟันกัน

มีการทำลายธรรมชาติ

ทำลายสิ่งแวดล้อม

คุณธรรมความดีงามของผู้คนตกต่ำ

 

ทุกปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่มนุษย์

"ไม่รู้จักตัวเอง"

Nuttanunt Thanutsubhasont

หมายถึงไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร มาอยู่ในโลกนี้ทำไม

เพื่ออะไร แล้วสุดท้ายจะต้องไปไหน

ทำให้เล่นเกมชีวิตผิดพลาดกันมาก

 

แต่ถ้ามนุษย์รู้ว่าชีวิตของตนเองนั้น

เริ่มต้นมาอย่างไรในอดีต

ปัจจุบันเป็นอย่างไร แล้วจะไปสู่อนาคต

หรือจุดหมายปลายทางของชีวิตได้เช่นไร

นั่นก็เท่ากับว่ามนุษย์ได้

"รู้จักตนเอง"

ตั้งแต่ต้นจนจบ

 

และเมื่อไรที่มนุษย์รู้จักตนเอง

จนเข้าถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่

ในฐานะ "มนุษย์" ได้

เมื่อนั้นเราจะได้คำตอบ

ในทุกคำถามที่เคยแสวงหา

และสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไป

ในทางที่ดีขึ้นได้

ที่มา : www.freemindbook.com/web/book_detail.php

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

บุญ เท่านั้น ศีลเท่านั้น
ที่จะช่วยตนเราทุกคนและครอบครัวได้

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-02 00:22:07


ความคิดเห็นที่ 16 (1595964)

      หากคนทั้งประเทศคนทั้งโลกหันมามีความเมตตากรุณาต่อกันแม้เพียงครึ่งหนึ่งภัยพิบัติก็จะไม่สามารถทำอะไรเราได้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
...........................................................

   อนุโมทนากับธรรมทาน และหากทุกคนทีเมตตาธรรม ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งฆ่าฟันกัน ไม่มีการทำลายธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีคุณธรรม มีจิตใจบริสุทธิ์ ของทุกคนทั่วโลก หรือแม้แต่เพียงครึ่งหนึ่งของโลก โลกก็เกิดความสมดุล มีพลังงานเชิงบวก เท่ากับพลังงานเฃิงลบ ภัยพิบัติคงจะไม่เกิดขึ้น หากมีพลังงานเชิงบวกที่มากกว่า แกนขั้นโลกคงจะไม่พลิก  ทำให้ขั้วโลกเหนือไปอยู่ขั้วโลกใต้  ก็ขอสิ่งศักดิ์สิทธิและ พวกจิตวิญญาณชั้นสูงที่มาจากจากมิติอื่น/จากดาวนพเคราะห์ดวงอื่น ๆ สื่อสารจิตใจมนุษย์ให้กระทำแต่ความดี มีเมตตาธรรมทั่วทุกคน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ศุภรัฐ ปานธุเดช ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-05 12:25:08


ความคิดเห็นที่ 17 (1596617)
image

ท่านอาจารย์ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
 
ได้กล่าวถึงความต้องการของคนเราไว้ว่า
 
ส่วนใหญ่มักจะพูดกันว่า
 
ฉันต้องการความสุข

ซึ่งประโยคนี้ แยกได้เป็นสามส่วน คือ

ฉัน ต้องการ ความสุข

จะเห็นได้ว่า
ถ้าปรารถนาความสุข
 
 
ก็จะต้องตัด คำว่า ฉัน ออกไป เป็นลำดับแรก
 
เพราะคำว่าฉัน คือ ตัวกู ของกู
เมื่อคนเรายังมีตัวกู ของกู
ยังยึดในการมีอัตตา ก็จะไปถึงความสุข ได้ยาก
 
ลำดับที่สอง
ต้องตัดคำว่า ต้องการ ออก
เพราะ คำว่าต้องการ เป็นความอยาก
ความเห็นแก่ได้
 
ก็ย่อมยากที่จะไปถึง
ความสุขอันแท้จริงได้

ดังนั้น เมื่อตัด คำว่า
 
ฉัน  และ ต้องการ ออก

เราก็จะ พบกับความสุข
 
 
ได้อย่างไม่ยาก 
 
ที่มา : ufokaokala.com/index.php

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


ลิงช่วยลูกสุนัขจากเหตุการณ์ท่อ ระเบิดในจีน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-08 23:53:48


ความคิดเห็นที่ 18 (1597080)

บรรยายเรื่อง ศาสนา กับ วิทยาศาสตร์

ท่านอาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

งานวิทยาศาสตร์ทางจิต ปี ๒๕๕๓

เริ่มต้น ท่านอาจารย์ ดร.อาจอง ได้นำภาพ

เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ฉายให้ดูทางโปรเจคเตอร์

 

แล้วถามว่า สิ่งที่เห็นนี้ เป็นความจริงหรือไม่
มีเสียงตอบมาจากผู้นั่งฟังข้างล่างว่า จริง และไม่จริง

อาจารย์อาจอง ได้ตอบว่า

อะไรที่เป็นความจริง มันต้องเป็นความจริงมาแต่ต้น
แม้เวลาจะผ่านมากี่ร้อยกี่พันกี่ล้านปี

มันก็ยังคงสถานะความเป็นจริงอยู่นั่นเอง

ดังนั้นภาพเก้าอี้ไม้ตัวนี้ ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่ความจริง

ความจริงแต่เดิม คือต้นไม้


 

เขานำมาตัด มาแต่ง มาประกอบกันขึ้นเป็นเก้าอี้ไม้
ซึ่งไม่มีความเป็นจริงแต่ต้นเหลืออยู่

เก้าอี้ไม้จึงไม่ใช่ความจริง ณ ปัจจุบัน

ท่านอาจารย์ก็ได้ยกตัวอย่าง

สิ่งของต่างๆ ที่มีการแปรเปลี่ยน

ให้ผิดไปจากสภาพความเป็นจริง

ท่านได้ ฉายภาพโลกของเรา


 

และบอกว่า โลกเรานี่ก็ไม่ใช่ความจริง

เพราะแต่เดิม ไม่เคยมี

แต่เกิดจากการระเบิดของดวงอาทิตย์

 

แตกออกมาเป็นโลก แล้วค่อยๆเย็นลง
ค่อยๆมีวิวัฒนาการ จนก่อเกิดสิ่งมีชีวิต

จนถึงปัจจุบัน

ดังนั้นโลกเรา ก็ไม่จริง

และหากเมื่อใด

เกิดหลุมดำขึ้นมาในจักรวาล
เจ้าหลุมดำนี้

ก็จะดูดเอาดวงดาวต่างๆในจักรวาลเข้าไป

และจักรวาลก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ที่ไม่มีอะไร

โลกเราจึงไม่ได้มีอยู่จริง ไม่ใช่ความจริง
พร้อมที่จะแตกลับดับสูญสลาย ไปในที่สุด

แล้วอะไรคือความจริง?

ที่มา : ufokaokala.com/index.php

 ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙


จิตเกาะเกี่ยวพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ
ท่านจะบังคับกระแสจิตเราไม่ให้ทำความชั่ว

คิดดี พูดดี ทำดี
ตั้งมั่นในพรหมวิหาร 4 และศีล 5

ละวางความโกรธ อภัยทาน

ถวายบุญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และพระสยามเทวาธิราชเจ้า
ขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระพลานามัย แข็งแรงในทันที

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-11 00:22:17


ความคิดเห็นที่ 19 (1597152)

อนุโมทนากับคุณโฆษิตด้วยค่ะ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น กัลยาณี ทิมขาวประเสริฐ ((ตั๊ก)) (ktkanlayani-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-11 21:26:54


ความคิดเห็นที่ 20 (1597409)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-13 23:52:30


ความคิดเห็นที่ 21 (1597745)

ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอสอนไปได้สัก 2 ปี รู้สึกว่าวิทยาการมันก้าวล้ำไปแล้ว ความรู้ ประสบการณ์ของเรามันล้าสมัย ผมก็เดินทางไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วไปที่สหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะได้ไปหาข้อมูลเรียนรู้อะไรต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อกลับมาสอนนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย ผมก็ลาราชการไป บังเอิญเขาประกาศเกี่ยวกับยานอวกาศขององค์การนาซาที่จะไปสำรวจดาวอังคาร ก็พยายามสมัครเข้าไป คือเสนอโครงการเข้าไป ตอนแรกๆ เขาก็จะไม่รับคนต่างชาติ เพราะว่าเป็นความลับทางเทคโนโลยี แต่ผมก็เห็นว่ามันมีช่องโหว่ในกฎหมายที่เขาจะรับคนต่างชาติได้ โดยเฉพาะกรณีที่เขาขาดแคลนคนที่มีความรู้ทางด้านนั้น

 

ผมก็เลยดูว่ามีอะไรที่ทางอเมริกาเขาขาด ทำไม่สำเร็จ ผมดูแล้วก็มีอยู่อย่างเดียว คือช่วงนั้นปี พ.ศ.1971 อเมริกาและรัสเซียก็พยายามส่งยานอวกาศไปลงที่ดาวเคราะห์ โดยเฉพาะดาวอังคาร ดาวพุธ กับดาวศุกร์ แต่ปรากฏว่าล้มเหลวทุกครั้ง พอเขาส่งไปถึงมันจะตกลงไป มันจะกระแทกพื้นดิน พังใช้การไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ห่างไกลจากโลก ไม่สามารถควบคุมการร่อนลงได้จากโลกของเรา ฉะนั้นต้องเป็นระบบที่มันควบคุมตัวเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งอันนี้ทางอเมริกายังไม่ประสบผลสำเร็จ ผมก็เลยเสนอโครงการเข้าไปว่าผมจะช่วยสร้างชิ้นส่วนอันหนึ่งที่จะบังคับยานอวกาศให้ร่อนลงโดยอัตโนมัติลงสู่พื้นดินของดาวอังคารอย่างปลอดภัย

ตรงนี้เองที่ทำให้เขาสนใจและทำให้ผมเข้าไปร่วมในโครงการยานอวกาศได้ โดยเริ่มไปทำงาน ไม่ใช่กับองค์การนาซาโดยตรง เพราะนาซาเขาจะไม่สร้างอะไรเอง เขาจะให้บริษัทต่างๆ เป็นผู้ผลิต ฉะนั้นผมก็ต้องไปทำงานกับบริษัทในสหรัฐอเมริกา โดยอยู่ในโครงการอันนี้ที่ผมเสนอไป ตอนแรกทางสหรัฐอเมริกาเขาเช็คประวัติของผมก่อนว่าผมมีแนวโน้มเอียงไปทางซ้ายหรือเปล่า เขาระมัดระวังมาก เขาจะส่งคนไปสืบดูในทุกๆ แห่งที่ผมเคยอาศัยอยู่ รวมถึงที่ปารีสซึ่งเคยอยู่ 2 ปี ปรากฏว่าผ่านทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร เขาเลยให้ทำงาน ทำวิจัยไปประมาณ 1 ปี สร้างต้นแบบมาหลายต้นแบบ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ใช้การไม่ได้



แต่หลังจาก 1 ปี ผมก็คิดขึ้นมาว่าวิธีการหาความรู้แบบตะวันตก มันใช้ไม่ได้ เพราะเราต้องอาศัยข้อมูลของคนอื่น เราต้องทำวิจัย เราต้องมาเปลี่ยนแปลงวิเคราะห์ ผมคิดว่าใช้วิธีของทางตะวันออกดีกว่าก็คือไปนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา ผมก็ปีนขึ้นไปอยู่บนภูเขาในรัฐแคลิฟอร์เนีย ใกล้ๆ เมืองลอสแองเจลิส และนั่งสมาธิอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งจิตนิ่ง สงบ ปัญญามันก็เกิด
ผมอยู่ 4 คืน 5 วัน วันที่ 5 กำลังนั่งอยู่เฉยๆ สงบนิ่ง ไม่คิดถึงโครงการยานอวกาศเลย อยู่ๆ มันก็แวบเข้ามา แล้วเราก็ได้คำตอบ เราก็ อ๋อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว แค่นี้ คือในการฝึกสมาธิจนปัญญาเกิด โดยที่เราไม่ต้องคิด มันจะไม่ผ่านระบบความคิดอะไร


ที่มา :  www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-02-15 23:37:21


ความคิดเห็นที่ 22 (1617834)
image


วันสิ้นโลกในอนาคตอันใกล้นี้ อาจยังไม่เกิดขึ้นก็จริง

แต่วันสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

ด้วยการกระทำของเราทุกคนเอง

และมันจะสำคัญอะไร

หากในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้โลกจะแตก

เพราะในเมื่อทุกวันนี้ มนุษย์เราเองยังตอบไม่ได้เลยว่า

เราเคยให้ประโยชน์หรือสร้างสรรค์สิ่งดีๆอะไรบ้าง

มนุษย์ต่างดาว วันสิ้นเผ่าพันธุ์ และโลกใหม่ ผ่านสายตา"อาจอง ชุมสายฯ" : มติชนออนไลน์

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-27 03:08:15



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.