ReadyPlanet.com


เกร็ดสุขภาพที่ควรรู้.....นิสัย 10 อย่างที่จะทำให้สมองฝ่อเร็ว


 

นิสัย 10 อย่างที่จะทำให้สมองฝ่อเร็ว

 

 


1. ไม่ทานอาหารเช้า

หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป

การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)

3. การสูบบุหรี่

เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป

การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง

5. มลภาวะ

สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ เข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

...........................

ที่มา-HISO



ผู้ตั้งกระทู้ ชนิดา เชิงสะอาด กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2013-10-13 05:55:43


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1668802)

6. การอดนอน

การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง

การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย

การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด

การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด

ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-13 05:57:06


ความคิดเห็นที่ 2 (1668804)

 

นอนไม่หลับ 33 วิธีนี้ช่วยได้

 

 


1. อย่าเข้านอนเพราะว่า "ถึงเวลานอนแล้ว" แต่จงเชื่อนาฬิกาในตัวคุณเอง ถ้าดูไม่ออกว่าตอนไหน ขอให้รู้ไว้ว่าร่างกายจะสื่อให้ทราบเมื่อถึงเวลา แต่ทว่า มนุษย์เรา ไม่รู้ ความหมายอยู่บ่อย ๆ ซึ่งได้แก่ การหาวนอน อาการแสบตา ความรู้สึกประเภท "ลานหมด" หัวจะทิ่มลงท่าเดียว ส่วนหนังตา ก็หย่อน พาลจะหลับให้ได้…. ถ้ายังไม่รับ ทราบสัญญาณเหล่านี้ คุณก็จะพลาดรถไฟ สายเจ้าหญิงนิทรา และจะต้องรอไปอีกสองชั่วโมง จึงจะง่วงนอนอีกครั้ง เนื่องจากต่าง คนต่างก็มีช่วงจังหวะของตัวเอง จึงเปล่าประโยชน์ที่ คุณ จะเข้านอนแต่เนิ่น ๆ ถ้าคุณเป็นสมาชิกครอบครัว นอนดึก หรือรอจนดึกดื่น จึงเข้านอน ถ้าคุณเป็นพวกนอนหัวค่ำ

2. อย่านอนผิดเวลาทุกวัน คุณรับประทานอาหารประมาณเวลาเดิม ก็ขอให้เข้า นอน และ ตื่นนอนตามตารางเวลา เดิมเป็น ประจำด้วย มิฉะนั้นคุณก็เสี่ยง ที่จะง่วง นอนผิดเวลา

3. ทดลองหลับแว่บเดียว ทำเหมือนจิตรกรซัลวาดอร์ ดาลี ที่ดูเหมือนเป็น หนึ่งใน บรรดา ลูกสมุนของเทคนิค "แสงแว่บ" เรียกสติคืนมา นั่งบน เก้าอี้โซฟา มือถือ ช้อนชาคันหนึ่ง ตรงปลายเท้าของคุณวางจานโลหะ ไว้หนึ่งใบ เมื่อผล็อย หลับ มือก็จะปล่อยช้อนหล่นลงมาบนจานโลหะ ส่งเสียงดัง ซึ่งจะปลุกคุณให้ตื่น…. ในทางทฤษฎีถือว่า อาการของคุณปกติดี คำอธิบาย….เมื่อหลับตา คุณตัดข้อมูล ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ควรฝึกวันละหลายครั้ง

4. พักกลางคัน ถ้าคุณไม่สนใจพักแป๊ปเดียวเพื่อให้ตนเอง กระปรี้กระเปร่า ก็ใช้วิธีนี้ นั่งท่าสบาย ๆ อยู่ที่โต๊ะ ทำงาน ของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้ กัน หรือนอนท่าเหยียด ยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย 5 นาที เพื่อผ่อนคลาย ง่าย ๆ

5. สะสมการนอน "ช่วงสั้น" ใน วันทำงาน คงยากที่ จะนั่งสัปหงกหน้าแป้นพิมพ์ คอมพิวเตอร์ตอน บ่ายอ่อน ๆ เก็บสะสมความอยากเอนหลังนาน ๆ เป็นชั่วโมง ครึ่งถึงสองชั่วโมง (ซึ่งเป็นหนึ่งวัฏจักรของการ นอนหลับพักผ่อน ที่เต็มอิ่ม) เอาไว้ชดเชยตอนบ่ายของวันสุดสัปดาห์ คุณจะได้พักผ่อนอย่าง อิ่มเอม ใช้หนี้ความเหนื่อยล้าตลอดสัปดาห์

6. บอกเลิกการตีเทนนิสหรือการออกกายบริหารที่ฟิตเนสทุกเย็นวันอังคาร นอกเสียจากว่าคุณไม่ กลัวนอนดึก การเล่นกีฬาตอนหัวค่ำยิ่งไม่เอื้อ ต่อการนอน เพราะทำให้ร่าง กายสดชื่นตื่นตัว แต่ก็อีกนั่นแหละ ต้องจับตาดูความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน เพราะสิ่งที่ทำให้คนใกล้ตัว หลับบางที คือสิ่งที่กลับปลุกให้คุณตื่น

7. ลงมือฝึกชี่กง (ลมปราณ) ชี่กงเหมาะมากสำหรับสงบความคิดจิตใจ และขจัด ความอ่อนเพลีย ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำท่าที่ชวนให้ง่วงนอนเป็น

8. รับประทานอาหารค่ำแต่หัวค่ำ คุณจะรู้สึกว่าเวลาช่วงค่ำยาวนานขึ้น ควรหลีก เลี่ยงการเข้านอน "ขณะยังย่อยอาหารอยู่" ปล่อยให้เวลาผ่านไป อย่างน้อย สอง ชั่วโมงหลังอาหารค่ำแล้วจึงค่อยนอน

9. ค้นพบความเพลิดเพลินและประโยชน์ของการเดินย่อยอาหารมื้อค่ำ

10. ละเว้นสารกระตุ้นต่าง ๆ

เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำชา….ความจริง ที่มนุษย ์ส่วนใหญ่ยังคงละเลยอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถจะรับและ มีปฏิกริยา โต้ตอบ พิเศษกับคาเฟอีนก็ตาม เพราะระบบเผาผลาญ บางคนต้อง ใช้เวลาสิบสอง ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อกำจัดกาแฟเพียงถ้วยเดียว ไม่น่าแปลกใจ ที่คำว่า "kawa" หรือ "กาแฟ" ในภาษาอาหรับ หมายถึง "ตัวทำลายความง่วง"

 

ก็อปมาจากเว็บพลังจิต

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-13 06:22:33


ความคิดเห็นที่ 3 (1668805)


11. จงหาว ถ้าเกิดง่วงนอนและมีอาการหาวบ่อย ๆ การบังคับตนเองให้หาว จะช่วย ผ่อนคลาย ได้และทำให้อยากนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ได้ยืดแข้งยืดขาด้วย

12. ดื่มเครื่องดื่มชาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการกล่อมประสาทอย่าง ชาคาโมมายล์ ลาเวนเดอร์….จะช่วยให้นอนหลับได้

13. ลดปริมาณอาหาร และ กลูไซด์ (อินทรียสารในคาร์โบไฮเดรต) ตอนมื้อค่ำ หลีกเลี่ยงน้ำตาล ของหวานที่หวานจัด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม…. เพราะเสี่ยงที่จะ เสริม ให้ โลหิตมี ปริมาณกลูโคสต่ำกว่าปกติในตอนกลางคืน

14. รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และผลิตภัณฑ์จากนม ตามความเชี่อที่ว่า อาหารเหล่า นี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักใน ตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน ควรเลือกผลิตภัณฑ ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่างโยเกิร์ต (นมเปรี้ยว) นมข้น และเนยแข็งสีขาว ดีกว่าพวกเนยแข็งที่ ไขมันสูงและผ่านการหมักเชื้อ สำหรับอาหารค่ำ ควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย เลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมูเนื้อ เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส

15. ก่อนเข้านอนอย่าดื่มน้ำมากเกินไป แต่ให้ดื่มมาก ๆ ในระหว่างวันตั้งแต ่เวลา 18 นาฬิกาเป็นต้นไปจงลดการบริโภคของเหลว

16. ปกป้องตนเองให้พ้นจากเสียงรบกวนหาสำลีอุดหูหรือติดกระจกซ้อนสองชั้น ปูพรมตลอดห้อง ใช้เพดาน เก็บเสียง….เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อม ทีเราใช้ ชีวิต อยู่มีส่วนในการลด ทอนคุณภาพการนอนได้

17. หัวเราะวันละหลาย ๆ ครั้ง
การหัวเราะเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติและ เกิดขึ้นเอง ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาท สำหรับบางคน "หัวเราะนาทีเดียวมี ค่าเท่ากับการ ผ่อนคลายร่างกายสี่สิบห้านาทีเต็ม"

18. การพักผ่อนนอนหลับเป็นเรื่องใหญ่ ที่นอนเป็นเรื่องสำคัญ จงหันไปเลือก ฟูก ขนาด 160 คูณ 200 ซ.ม. กว้างขวางกว่าฟูกมาตรฐานขนาด 140 คูณ 190 ซ.ม. หรือ ไม่ก็ไปหาฟูกแบบอเมริกัน เลือกตามชอบใจว่าจะเป็น คิงไซส์ ขนาด 190 คูณ 200 ซ.ม. หรือแคลิฟอร์เนียนคิงไซส์ ขนาด 180 คูณ 210 ซ.ม.

19. เพื่อความสมดุลสงบ เวลานอนควรตรวจสอบทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับการวาง เตียงนอน คือให้ศีรษะหันไปทางทิศเหนือ เท้าไปทางทิศใต้ตามทิศทาง ของคลื่นแม่ เหล็กโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ศีรษะหันไปทางทิศ ตะวันออก

20. ถ้าคุณต้องทาสีผนังห้องนอนใหม่ ขอให้ทราบด้วยว่าสีฟ้ากลาง ๆ เป็นสีสำหรับ การนอนที่ดีที่สุด

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-13 06:25:36


ความคิดเห็นที่ 4 (1668806)



21. กรองแสงสว่างเหมือนกับการหรี่ศูนย์ความรู้สึกตื่นของเราค่อย ๆ หรี่จาก แสง สว่างจ้าให้มืดลงเรื่อย ๆ ลดไฟฟ้าในห้องนอนของคุณ หรือปิดตาสักครู่ ก่อน ดับไฟ คุณจะ ช่วยร่างกายให้ปฏิบัติหน้าที่ ง่ายขึ้นโดยช่วงเวลา เปลี่ยนแปลงคือ สองสามนาที และปฏิบัติกลับกันในตอนเช้า

22. ไม่ควรนำต้นไม้ใบเขียวไว้ในห้องนอน อย่างน้อยเวลากลางคืน หลีกเลี่ยง ไม่ให้ มาแย่งออกซิเจน

23. ใช้วารีบำบัด สปาบางแห่งเสนอวิธีบำบัดที่ช่วย ให้คุณค้นพบกุญแจ สำหรับการ นอนหลับใน
โปรแกรม ประกอบด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ในสระว่ายน้ำ ที่ บรรจุน้ำทะเลอุ่น ๆ ตามด้วยเสียงดนตรีใต้น้ำ การแช่น้ำ ในอ่างจากุชซี่ที่ผสม หัวน้ำมันดอกลาเวนเดอร ์จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

24. อย่าให้ห้องนอนของคุณร้อนเกินไป จะดีที่สุดให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส

25. ควบคุมการหายใจขณะตื่นอยู่ ร่างกายเพิ่มการหายใจในระดับทรวงอกเอง โดยสัญชาตญาณ จงหายใจเข้าช้า ๆ และลึก ๆ โดยใช้ท้องอย่างไม่ต้องฝืน และ ต่อเนื่องกันราบ รื่น หายใจออกแล้วหยุดไว้สองวินาที ก่อนหายใจใหม่ อีกครั้ง การหยุดช่วงสั้น ๆ นี้มีบทบาททำให้ระบบประสาทสงบลง ให้ปฏิบัติ การหายใจ ในท่านอนเหยียดยาว ก่อนนอน

26. นวดตัว โดยเน้นที่เท้า กลุ่มเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือต่อมน้ำเหลือง ด้วยน้ำมันหอม ระเหยผสมลงไปในน้ำมันฐาน หรือครีมที่เป็นกลาง ถ้าชอบจะ เพิ่ม น้ำมันหอมระเหย (ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมาร์จอแลน ดอกบาซิลิก หรือเนโรลี) โดยหยดผสมไปกับน้ำมันฐาน (น้ำมันหอม ระเหยมากที่สุด 5 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันฐานถ้าเป็นไปได้ ใช้ชนิด บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ตามธรรมชาติ) เทคนิค อื่นในการคลาย เครียดได้แก่ การใช้ฝ่ามือทั้งสองนวด โดยกางนิ้วออก นวดศีรษะเบา ๆ ไล่จากคางขึ้น ไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับ ลง มาที่ท้ายทอย คุณนวดที่หางตาได้ ด้วยเช่นกัน

27. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วิธีนี้ช่วยลดภาวะตึงเครียด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ การนอนง่ายคือบังคับควบคุม ความรู้สึกของสายตาและ ไม่คิดอะไรอีกต่อไป ได้สำเร็จ ขณะ นอนหลับ สัมผัสทั้งห้าของเราถอดสายปลั๊ก ตามธรรมชาต ิเริ่มต้น จากการมอง การรับกลิ่น การรับรส การสัมผัส และสุดท้ายการได้ยิน

28. อาบน้ำร้อน โดยค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก 35 ถึง 39 องศาเซลเซียส การทำเช่นนี้มี ปฏิกริยากล่อมประสาทให้ง่วงนอน (สำหรับแปดในสิบหน) คุณสามารถเติมสมุนไพร สกัดลงในอ่างน้ำร้อนได้ แต่เพื่อความเพลิดเพลิน เท่านั้น เพราะมีเพียงความร้อนเท่านั้นที่ ทำปฏิกริยา คุณเพียงแต่แช่ เท้าใน น้ำร้อน ก็ได้ ซึ่งจะต่อเนื่องถึง อุณหภูมิของร่างกาย และมีผลผ่อนคลายกลุ่ม ร่างแหเส้นประสาท หรือเส้นโลหิต หรือหลอดน้ำเหลือง ให้ปฏิบัติ ก่อนเข้านอน

29. เพียงแค่วางมือทั้งสองข้างบนหน้าท้อง ความร้อนจากมือช่วยผ่อนคลาย อวัยวะภาย ในช่องท้องที่ ขวางการไหลเวียนพลังงาน

30. อย่าคาดหมายล่วงหน้า พยายามอย่านึกคิดล่วงหน้าถึง การนัดหมาย สำคัญทาง อาชีพการงานใน วันรุ่งขึ้น แนวคิดคือเข้านอนดึกด้วย ความกังวลจะทำให้ คุณหลับ ไม่ลง

31. ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหลับตาและจินตนาการถึงการอาบน้ำ ฝักบัวเย็น ฉ่ำ ที่ราดรด ลงมาจาก ศีรษะแล้วไหลไปตามลำคอ นำพาความเครียดทั้งวัน ที่ผ่านมาให้ไหลไป ตามทางน้ำ หรือใช้วิธีหายใจลึก ๆ อย่างรู้สติเป็นชุด ๆ ผสานกับการคิดแต่ในแง่ดี ("ฉันยอมหลับอย่างวางใจ" "ฉันรู้สึกผ่อนคลาย เต็มที่")

32. สามชั่วโมงก่อนนอน บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่างที่คร่ำเคร่งและใช้สติปัญญา หยุดอ่านหนังสือถ้ามัน จุดจินตนาการของคุณให้ทำงาน ผลักดันให้ฝันหรือ ใช้ความคิดใคร่ ครวญ

33. พยายามคอยสังเกตสิ่งที่คุณทำแล้วหลับได้สนิทดี จะได้นำมาใช้ใหม่ ในค่ำคืน ที่นอนไม่หลับสักที


ขอขอบคุณที่มา :
HeyhaParty: นอนไม่หลับ 33 วิธีนี้ช่วยได้

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-13 06:30:07


ความคิดเห็นที่ 5 (1668848)


5 โรคฮิต คนคลั่งแชท

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ใน ปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารผ่าน เฟซบุ้ก ไลน์ วอทแอพ และวีแชต ฯลฯ ผ่านสมาร์ทดฟน แทปเล็ต และโน้ตบุ้คได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน นอกจากความทันสมัย ฉับไว ด้านข้อมูลข่าวสาร ยังมีภัยสำหรับคนคลั่งแชทที่อาจเกิดกับคุณอยู่ตอนนี้ก็ได้ ไปดูว่ามีโรคอะไรกันบ้าง

1) โรคเศร้าจากเฟซบุ้ก ว่ากันว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนเล่นเฟซบุ้กมากที่สุดในโลกหรือราว 12 ล้านคน ส่วนทั้งประเทศมีผู้ใช้เฟซบุ้กทั้งหมด 18 ล้านคน คิดเป็น 27% ของประชากรทั่วประเทศ จัดอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก

การ เล่นเฟซบุ้กมีทั้งด้านบวกและด้านลบ การศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน นำโดยศาสตราจารย์ อีธาน ครอสส์ ได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 82 คน ซึ่งใช้บริการเฟซบุ้กบนสมาร์ทโฟนเป็นประจำ พบว่า การใช้ เฟซบุ้ก มากเกินไปอาจกลายเป็นการบั่นทอนความสุขและความพึงพอใจในการดำรงชีวิต เช่นโดดเดี่ยว เศร้า และเหงาหงอยมากขึ้น 

ทั้ง นี้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ้กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่ สอดคล้องกับงานวิจัยจากเยอรมนี เมื่อต้นปีที่ พบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เฟซบุ้ก มีทัศนคติต่อตัวเองในแง่ลบ เนื่องจากเห็นการอัพเดตสถานะของเพื่อน ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ที่มีแต่ความสำเร็จและความสุข ใครกำลังเริ่มหดหู่ เศร้า เริ่มออกห่างจากเฟซบุ้กด่วน!

2) ละเมอแชท (Sleep - Texting) ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน และโรคนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอนหรือป่วน แม้กระทั่งตอนที่คุณเข้านอนแล้ว เราสามารถเรียกโรคนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อาการติดแชทแม้ขณะนั้นตัวเองกำลังหลับอยู่

การ ศึกษาในต่างประเทศพบว่า Sleep - Texting เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้า ขั้น "ติด" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา ร่างกายและระบบประสาทจะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับ ไปในทันที ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง และข้อความนั้นก็เป็นข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ ร่างกายที่อ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดโรคอ้วน ภาวะซึมเศร้า และอาจส่งผลกระทบในการเรียนหรือการทำงานด้วย

ด้วย เหตุนี้ หากจะเล่นไลน์ เฟซบุ้ก วอทแอพ หรือวีแชต ก็ควรทำแต่พอดี แต่หากคุณติดงอมแงมก็ควรตัดใจปิดมือถือ ปิดเสียง หรือปิดสัญญาณ WiFi และ 3G ไปเลยก่อนนอนเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่

3) โรควุ้นในตาเสื่อม สำหรับบางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆ ชั่วโมง และบางคนก็จ้องแทปเล็ต สมาร์ทโฟนไม่วางตาจากการทำงาน เล่นอินเตอร์เน็ต แชท หรือเล่นเกมส์ อาจทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมได้ ทั้งนี้ จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่ามีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคน 

โรค นี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย อาการสำคัญ คือเวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่ ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ๆ เป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ผนังห้องขาวๆ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา และมีปัญหาด้านสายตาในที่สุด 

4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia) เป็นโรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร รวมถึงความเครียดเมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้ Nomophobia มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" ซึ่งจัดเป็นโรคกลัวทางจิตเวช เพราะมีอาการวิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ

อาการ โดยทั่วไปที่สามารถเช็กได้ง่ายๆ ว่าคุณเข้าขั้นเป็นโรคนี้หรือเปล่าก็คือ เกิดอาการเครียด วิตกกังวล ตัวสั่น หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้ เมื่อไม่มีโทรศัพท์ อยู่ในจุดอับสัญญาณ หรือแบตเตอรีหมด นอกจากนี้ ยังแสดงอาการด้วยการหยิบสมาร์ทโฟน หรือแทปเลต ขึ้นมาเช็กอยู่ตลอดเวลา ติดการส่งข้อความและการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ว่างไม่ได้ สเตตัส เช็กอิน โพสต์รูป ฯลฯ ต้องมีให้เห็น ที่สำคัญไม่เคยปิดมือถือเพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ 

ใน ปัจจุบัน จากการสำรวจของทั่วโลกพบว่า มีคนเป็นโรคนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน จะเป็นมากกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ในคนไทยประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มเยาวชนจะติดมือถือ และชอบเล่นไลน์ หรือเฟซบุ้ก และถ้าหากเป็นมากก็คงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา ไม่เช่นนั้นโรคอื่นๆ จะตามมาอีกเพียบ 

5) สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) ไปไหนมาไหนก็เห็นแต่ใครๆ เขากำลังก้มหน้าก้มตามองสมาร์ทโฟน หรือไม่ก็แทปเล็ต จนตาแทบไม่กระพริบ นอกจากบรรดาสารพัดโรคที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว เรายังมีชื่อโรคที่ไม่คุ้นหูเพิ่มมาอีกหนึ่ง นั่นคือ สมาร์ทโฟนเฟซ หรือ โรคใบหน้าสมาร์ทโฟน แต่คงไม่ใช่หน้าที่มีลักษณะยาวๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้านะ แต่เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟน หรือแทปเลตมากจนเกินไป เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกราม เกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง

ที่ เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการนั่งก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนหรือแทปเล็ตเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา และจะเห็นชัดเจนเมื่อถ่ายภาพด้วยตัวเอง ใครสงสัยโปรดใช้กล้องหน้าถ่ายรูปตัวเองด่วน นอกจากการป้องกันโดยไม่ก้มหน้าเป็นเวลานานๆ แล้ว เรายังมีวิธีแก้ไข แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะมีรายงานว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยการศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า โบท็อกซ์ กระชับด้วยคลื่นความถี่สูง รวมทั้งร้อยไหม แต่คงไม่ไหวใช่ไหมล่ะ ทางที่ดีเลี่ยงกันดีกว่า 

เป็น 5 โรคฮิต ของคนคลั่งแชทในยุคนี้ ...ว่าแต่คุณเป็นโรคไหน?

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-14 06:21:43


ความคิดเห็นที่ 6 (1668906)

อาหารที่ไม่ควรทานเมื่อท้องว่าง



...........ทราบกันมั้ยว่า เมื่อท้องว่างแล้ว รับประทานอาหารบางอย่างเข้าไป อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้

อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง (มีบางชนิดที่ ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันนะเนี่ย ว่าไม่ควรทานตอนท้องว่าง)




กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

กระเทียม.. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

นมและนมถั่วเหลือง.. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย

น้ำตาลหรืออาหารหวาน...ไม่ ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชา...ที่ แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ.. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร


ที่มา
อาหารอันตรายเมื่อท้องว่า

 

ก็อปมาจากเว็บพลังจิต

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-15 06:40:20


ความคิดเห็นที่ 7 (1668955)

อนุโมทนาสาธุครับ พี่ชนิดา

ได้ประโยชน์มากๆเลยครับ

เกร็ดความรู้ดีๆทำให้รู้ว่าจะดูแลร่างกายของเรายังไงดี

เพราะที่ผ่านมาทำร้ายตัวเองหลายๆอย่าง

ชอบนอนดึก กินของหวานมั่ก นอนหักโหม อาบน้ำตอนท้องว่าง แถมเป็นโรควุ้นในตาเสื่อมเพราะอีกเพราะชอบดูหนังโป๊

ผู้แสดงความคิดเห็น ชิม วัชระ เลิศวิทยากรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-15 21:16:39


ความคิดเห็นที่ 8 (1668960)

บอกตรงว่า หลายๆอย่าง

พี่ก็เพิ่งรู้เหมือนกัน น้องชิม..เอ๊ย...

 

โดยเฉพาะ

ห้ามกินกล้วย..ตอนท้องว่าง

แล้วในบทความก็ไม่ได้ระบุซะด้วยว่า

เป็นกล้วยหอม กล้วยไข่

หรือ กล้วยน้ำว้า

 

สงสัยจะกินไม่ได้ซักกล้วย

แต่ก็แปลกเนอะ เพราะเรามักจะเห็น

เค้าป้อนเด็ก ด้วยกล้วยน้ำว้าบด

ตอนท้องว่างๆกันทั้งนั้นเลย

 

สงสัย ร่างกายเด็กทารก

กับวัยผู้ใหญ่ กลไกในการทำงาน

คงจะต่างกันมากมายก็ได้ ....

 

 

หลายๆอย่าง รู้ไว้ก็ดีเหมือนกันเนอะ

จะได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

และจะได้มีแนวทาง

ในการดูแลสุขภาพกายของเรา

ได้ถูกต้องยิ่งขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-16 05:51:25


ความคิดเห็นที่ 9 (1669011)


ประโยชน์ของกล้วยหอม อ่านแล้วจะอึ้ง o_o

กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส
(sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร
มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยครับ

เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที
ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ ...นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก
(เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ)
ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์
ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกันครับ


ความเศร้าซึม

จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม
พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม
เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง
ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin
สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น



pms (premenstrual syndrome)

สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย
ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ
รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย....
มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ..............



โรคโลหิตจาง (Anemia)

ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)
ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้
แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ....ฮ่า...
(โรคนี้ผมเป็นบ่อย ๆ.....หุ...หุ...)



ความดันโลหิต (Blood Pressure)

กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ
เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration
อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ ยงความดันได้จริง



เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)

ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school
อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช ้า
รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น
เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื ่นตัวอยู่เสมอ


อาการท้องผูก (Constipation)

เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี



เมาค้าง (Hangovers)

วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้ว ยหอมปั่น banana milkshake
โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย
(ฮ่า.....ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย...........ต้องลองแน่ ๆ...)
ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็ วขึ้น......



จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)

กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่
ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว





Morning Sickness

ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่ นไม่อยากจะตื่นบ้าง...ฯลฯ
ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้



บรรเทาแผลยุงกัด

ก่อนที่จะใช้ยาทา
ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด
จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ



ระบบประสาท (Nerves)

วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด. .....อ่อนล้าได้

อ้วนจากทำงานมากเกินไป

ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า
ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเ ต้โต้ชิปส์มากเกินไป
ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม.
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจ ุกจิก



แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล (Ulcers)

สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้น
รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ
ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้



ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)

ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน
ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็ นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง
อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล ้วยหอมเป็นประจำ
เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น......so cool....



ลดความอยากสูบบุหรี่

สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่
กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม
ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสา รนิโคติน

เห็นไหมครับว่ากล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริง ๆ

เปรียบเทียบกับแอปเปิลแล้ว
กล้วยหอมมีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า
มีคาร์โบไฮเดรทมากกว่า 2 เท่า
ฟอสฟลอรัสมากกว่า 3 เท่า
วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า
วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆมากกว่า 2 เท่า
ดังนั้นจากที่ฝรั่งเคยพูดกันว่า
"An apple a day keeps doctor away."
ต่อไปคงจะต้องเปลี่ยนเป็น
"A banana a day keeps doctor away." ซะแล้วมั๊ง.....


ถ้ามันไม่ใช่เป็นการเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อโปรโมท พ่อค้ากล้วยหอมแล้ว
ผมว่ากล้วยหอมเนี่ยมันแจ่มจริง ๆ....
ถ้าต่อไปมันแพงมากก็ไม่ต้องกินมันหรอกครับ
(ผมว่ากล้วยน้ำว้าก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากนา....
กินมันทั้ง 2 อย่างแหละดีที่สุด)


อ้อ...แถมท้ายอีกอย่างหนึ่งรองเท้าหนัง
ถ้าอยากขัดให้มันวาวแบบเร็ว ๆ
ก็เอาเปลือกกล้วยหอมด้านในถูรองเท้าไปเลย
เสร็จแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดขัดออก...รองเท้าจะมันแผล็บเ ลย....


ก็อปมาจาก
http://www.dek-d.com


ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-17 06:31:27


ความคิดเห็นที่ 10 (1669018)

สวัสดีคะ คุณชนิดา ขอร่วมแจมกระทู้ด้วยน่ะค่ะ

รักท่าน อ.อุบล รักคุณชนิดาและทุกท่านค่ะ

 

ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกต้อง

ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกต้อง
หนึ่งในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือเรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1.
คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2.
คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3.
น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดาหรือว่าน้ำอุ่น
4.
ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้าดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5.
ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลมชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับพร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่งนั้นเป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับเดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสองคิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้วว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่าน้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะอุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับคนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(
แก้วละ 200 มล.)แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(
น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก.เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยากขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้าทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มามาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืดปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกันทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสามอย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่าหมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็นเสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆแต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้วข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับเป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำพอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลยผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้นร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อ คุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้วน้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมมพิษถูกดูดเข้าเส้นเลือดเพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาทีระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาทีทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกงและของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึกแต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัวจิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับเหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมดแล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยากแต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าวด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริงหรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากินกินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับสังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไปทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะมันควรกินแกล้มอาหารเลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอดท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อกินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับโดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโมเป็นต้นมีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหารอาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย
เหตุผลที่สอง คือน้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้วเป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียวยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับบางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้วคุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมีใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืดการย่อยอาหารก็ไม่ดีเสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับเพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อยรวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียงแต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่าท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆอร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
 
Create Date : 20 มิถุนายน 2552
Last Update : 20 มิถุนายน 2552 9:29:31 น.


ที่มา: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=accordingto&month=20-06-2009&group=7&gblog=15

ผู้แสดงความคิดเห็น สุระณี สิริมานุวัฒน์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-17 09:54:47


ความคิดเห็นที่ 11 (1669023)

โมทนาบุญกับคุณชนิดา  น้องชิม  คุณสุระนีค่ะสาธุๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-17 13:22:40


ความคิดเห็นที่ 12 (1669074)

ขอบคุณข้อมูลดีๆและมีประโยชน์สุดๆ

จากคุณ สุระณีเช่นกันค่ะ

 

เมื่อก่อนชนิดาก็เคยตื่นมาดื่มน้ำเป็นขวดเลย

รู้สึกว่าสุขภาพดีมากๆเลยค่ะ 

 

แต่หลังๆมา ตื่นสายมั่ง ไรมั่ง

เพราะมันใช้เวลานานกว่าจะดื่มหมด

พฤติกรรมก็เลยเปลี่ยนไป

 

แต่เรื่องดื่มน้ำเย็นเนี่ย...

ไม่ชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว อิอิ 

 

 

ชนิดาก็รักท่านอ.อุบล

คุณ สุระณี

พี่ตุ๊ก บุญภิบาล

และพี่น้องทุกๆคนเช่นกันค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-10-18 06:30:27


ความคิดเห็นที่ 13 (1672123)


อาการที่คุณเหนื่อยโดยไม่รู้สาเหตุ

 

ผู้หญิง จำนวนมากคุ้นเคยกับการจัดสรรเวลาในการทำงานกับการใช้ชีวิต แต่โชคไม่ดีที่หลายคนยังคงรู้สึก เหนื่อยล้า เครียด และไร้ซึ่งแรงจูงใจ อย่างไรก็ตาม ความเครียดและความรู้สึก เหนื่อยล้า อาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่เป็นสาเหตุของปัญหาเหล่านี้ แต่ทราบหรือไม่ว่า ความรู้สึกดังกล่าวอาจมีสาเหตุมากกว่านั้น

หากคุณนอนหลับอย่างเพียงพอ 7-8 ชั่วโมงในแต่ละคืน แล้วยังรู้สึก เหนื่อยล้า ก็ควรจะไปพบแพทย์ ซึ่งสาเหตุของความ เหนื่อยล้า นี้อาจเกิดจากเหตุผล 3 ประการ ได้แก่

1. ภาวะโลหิตจางที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ หรือ อะนีเมีย (Anemia) ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนมากของความรู้สึกเหนื่อยล้าในผู้หญิง ผู้ที่มีอาการดังกล่าวต้องได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็กมากกว่าปกติ เช่น ผักขม บร็อคโคลี และเนื้อแดง

2. ภาวะต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ หรือ อันเดอร์แอคทีฟ ไธรอยด์ แกรนด์ (Underactive thyroid gland) ถ้ารู้สึกเกียจคร้าน เหน็ดเหนื่อย และแม้แต่หดหู่ใจเล็กน้อย คุณอาจกำลังเผชิญกับโรคภาวะต่อมไธรอยด์ทำงานต่ำ หรือต่อมไธรอยด์ทำงานช้าลง

 
3. ภาวะหยุดหายใจชั่วขณะระหว่างนอนหลับ หรือ สลีป แอพเนีย (sleep apnea) หากคุณนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่ยังตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกหมดเรี่ยวแรง คุณอาจจะกำลังเผชิญกับภาวะการหยุดหายใจชั่วขณะระหว่างนอนหลับ และส่วนมากผู้ที่มีอาการดังกล่าวมักจะไม่รู้ถึงความผิดปกติของตนเอง

หากพบว่าตนเองมีอาการ เหนื่อยล้า ผิดปกติ แม้จะนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ต้องรีบหาสาเหตุ เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาให้ถูกจุด และคุณก็จะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ไม่ต่างจากคนปกติ

 
และไม่ว่าจะเป็นคำพูดใดระหว่าง “สุขภาพกายที่ดี นำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี” หรือ “สุขภาพจิตที่ดี นำไปสู่สุขภาพกายที่ดี” ล้วนแล้วแต่ถูกด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น การดูแลสุขภาพกายและใจ ต้องควบคู่กันไป เพื่อที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

 
 
 

ก็อปมาจากเว็บพลังจิตค่ะ
ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-12-03 06:23:48


ความคิดเห็นที่ 14 (1672124)

 

กรมสุขภาพจิตห่วงประชาชนเครียดทางการเมือง

กรมสุขภาพจิตห่วงประชาชน เครียด กับการเมือง จนอาจส่งผลให้เกิด โรคเครียดทางการเมือง ได้ แนะรับข้อมูลข่าวสารให้พอดี

 

ไม่ควรติดตามต่อเนื่องเกิน 2 ชม. ลดการรับข่าวสารที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์โกรธ หาวิธีคลาย เครียด ทั้งออกกำลังกาย นั่งสมาธิ สวดมนต์

นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ระหว่างรอฟังผลการพิจารณาของวุฒิสภาต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ความตึง เครียดทางการเมือง ย่อมเกิดขึ้น ซึ่งผลการพิจารณาจะออกมาเป็นเช่นไรนั้นย่อมมีคนที่พอใจและไม่พอใจอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องยอมรับว่า กรณีที่เกิดขึ้นประชาชนต่างมีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ เราคงไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง

 

 

ทั้งนี้ การคาดการณ์ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจะยิ่งทำให้เราวิตกกังวลและ เครียด อาจส่งผลให้เกิด โรคเครียดทางการเมือง ได้ (Political Stress Syndrome : PSS) โดยมีอาการ ดังนี้ อาการทางกาย ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตึงบริเวณขมับ ต้นคอหรือตามแขนขา นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ หรือหลับแล้วตื่นกลางคืนไม่สามารถหลับต่อได้ ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพปกติ หายใจไม่อิ่ม อึดอัดในช่องท้อง แน่นท้อง ปวดท้อง ชาตามร่างกาย อาการทางใจ ได้แก่ วิตกกังวล ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หงุดหงิดง่าย โกรธ ฉุนเฉียว ก้าวร้าว เบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง รู้สึกไม่มีทางออก สมาธิไม่ดี ฟุ้งซ่านหรือหมกมุ่นมากเกินไป และปัญหาพฤติกรรมและสัมพันธภาพกับผู้อื่น มีการโต้เถียงกันกับผู้อื่น หรือแม้แต่บุคคลในครอบครัว

โดยใช้อารมณ์ตั้งแต่ปานกลางถึงรุนแรง โดยไม่สามารถยับยั้งตนเองได้ มีความคิดที่จะตอบโต้โดยใช้กำลังในการเอาชนะ มีการลงมือทำร้ายร่างกายเพื่อตอบโต้ มีการเอาชนะทางความคิดแม้กับคนที่เคยมีสัมพันธภาพที่ดีมาก่อน จนทำให้เกิดปัญหาด้านสัมพันธภาพ เกิดการใช้กำลังและความรุนแรงขึ้นได้ ซึ่งความ เครียด ลักษณะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกกลุ่ม ทั้งผู้ชุมนุม นักการเมือง ผู้ติดตามข่าวสาร และกลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพจิต

++สำหรับผู้ที่มีความเครียดรุนแรงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดอารมณ์รุนแรงนั้นลง ด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

++บริหารเวลาให้เหมาะสม โดยแบ่งเวลาในการติดตามข่าวสารบ้านเมือง การดูแลครอบครัว การทำงาน และการพักผ่อน สำหรับการติดตามข่าวสารไม่ควรติดตามต่อเนื่องนานเกิน 2 ชม. หรือ ควรติดตามจากคนใกล้ชิดแทน

++ลดการรับข้อมูลข่าวสาร จากสื่อที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์โกรธ เช่น สื่อที่ให้ข้อมูลด้านเดียวหรือสื่อที่มีภาพและเสียงที่เร้าให้เกิดอารมณ์ รุนแรง เพราะจะยิ่งทำให้ มีความ เครียดทางการเมือง และความเครียดสูง ควรรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อที่สะท้อนความคิดที่หลากหลาย และมุ่งเน้นการหาทางออก

++ควรมีวิธีการลดความเครียด เช่น การออกกำลังกาย สวดมนต์ ทำสมาธิ หายใจคลายเครียด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น

++สำหรับการช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนในชุมชนหรือสถานที่ทำงานที่ มีความ เครียดทางการเมือง สูง ให้มีความสงบเพิ่มขึ้น ด้วยข้อปฏิบัติ รับฟัง ชื่นชม ห่วงใย ให้คำแนะนำ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

รับฟัง การลดอารมณ์รุนแรงทางการเมืองไม่อาจกระทำได้ด้วยการโต้แย้งด้วยเหตุผล เนื่องจากแต่ละคนที่มีความ เครียดทางการเมือง รุนแรงจะยึดถือในความเชื่อของตนเอง

 

 

 

ดังนั้น การโต้แย้ง จึงไม่ช่วยสร้างความสงบ ขณะเดียวกัน การหลีกเลี่ยงไม่พูดคุย ก็ไม่ได้ช่วยลดอารมณ์ลง ทางที่ดีที่สุด คือ การรับฟัง ด้วยความเห็นใจว่าเขามีความเครียด โดยเข้าใจว่าการรับฟังจะช่วยให้คนเราสงบลง

 

 

 

ชื่นชม การที่มีความเครียดทางการเมืองรุนแรง ล้วนเริ่มต้นจากความรักในบ้านเมือง ความหวังดีต่อสังคม เพียงแต่ความขัดแย้งมาจากการให้ความสำคัญในประเด็นที่ต่างกัน ดังนั้นจึงควรแสดงความชื่นชมในประเด็นที่ดีของเขา ก็จะทำให้เกิดการยอมรับกัน และนำไปสู่ความไว้วางใจ และช่วยให้เขาอารมณ์เย็นลงได้

ห่วงใย คือ การแสดงความเป็นห่วงใยต่อสุขภาพและภาพพจน์ของผู้มีความ เครียดทางการเมือง รุนแรง เพื่อช่วยให้เขากลับมามองตนเอง รวมทั้งเป็นห่วงตนเองและผลที่จะเกิดขึ้นกับคนใกล้ชิดด้วย

ให้คำแนะนำ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับผู้ทีมีความ เครียดทางการเมือง รุนแรง แต่ควรมาลำดับท้ายสุด โดยให้คำแนะนำตาม 3 วิธีข้างต้น

 

 

 

ในระดับสังคมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดอารมณ์ทางการเมืองที่รุนแรงในสังคม ลง ด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้ สื่อและผู้เกี่ยวข้องจะต้องลดการนำเสนอข่าวในส่วนที่สร้างความโกรธ ความเครียดของคู่ขัดแย้งและเพิ่มการเสนอข่าวของฝ่ายต่างๆ ที่นอกเหนือจากคู่ขัดแย้ง ข่าวที่ทำให้เข้าใจคนแต่ละฝ่ายที่ขัดแย้งกันและเสนอข่าวที่มุ่งเน้นการหา ทางออก

 

 

เครือข่ายสังคมในอินเทอร์เน็ตควรลดความรุนแรงในการแสดงอารมณ์และความคิดเห็น การแสดงออกในสื่อใหม่เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะขาดการควบคุมตนเองเนื่องจากไม่ ต้องแสดงตน แต่จะส่งผลกระทบให้เกิดบรรยากาศของสังคมที่รุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การสื่อสารในเครือข่าย Internet จึงควรเพิ่มความระมัดระวังในการออกความคิดเห็น ไม่ส่งต่อความคิดเห็นที่รุนแรงออกไป รวมทั้งช่วยกันตักเตือนการแสดงออกที่รุนแรง

 

 

ที่มา : [url=http://www.jsppharma.com/Pharma-knowledge]

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-12-03 06:31:59



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.