ใครกันแน่
ที่เป็นคน "นับถือ" "ลัทธิ"
"นอกศาสนาพุทธ"
เราเคยได้ยินคำว่า "ลัทธิ" กับคำว่า "เจ้าลัทธิ" กันมานาน
แต่จะีมีใครสักกี่คน หรือ มีบ้างไหม ที่จะให้คำจำกัดความ
หรือ ความหมาย ของคำว่า "ลัทธิ" ได้
แม้แต่คนที่มักพูด กล่าวหา ว่าคนนั้น คนนี้ เป็นคนลัทธิ นอกศาสนาพุทธ แต่พอถามเข้าจริงๆ ว่าลัทธิ แปลว่าอะไร แล้วคำว่านอกศาสนาพุทธนั้น จริงๆแล้วรู้ไหมว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง คุณรู้ทุกอย่างไหม และ คุณทำได้อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนทุกอย่างไหม ก็จอดไม่แจวสักราย และ พอให้แสดงแม้แต่ศีล 3 ชั้น ก็แสดงไม่ได้ ศีลขั้นหยาบ ก็รักษาไม่ได้ อันนี้และ ที่เรียกว่า คนนอกศาสนา คือ จัดเป็นคนในลัทธิใดลัทธิหนึ่งนั่นเอง
ดังนั้นวันนี้ เราน่าจะมาทำความรู้จักคำว่า "ลัทธิ" กันอย่างจริงจังเสียที จะได้ไม่ถูกมารหลอกเอาได้ หรือไม่ก็ จะได้ไม่อายใคร ที่อุส่าห์ใช้คำว่า "ลัทธิ" แต่พอคนถามว่าลัทธิคืออะไร มีกี่ลัทธิ อย่างไรบ้าง กลับตอบไม่ได้ มันน่าอาย ขายขี้หน้าเสียนี่กระไร
(1) ทิฏฐิ หรือ ทรรศนะ คือ ความเห็นต่างๆ
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จ พร้อมภิกษุมากมาย ระหว่างทรงพระดำเนิน มีนักบวชลัทธิหนึ่ง ชื่อ "สุปปิยะ" กับลูกศิษย์ชื่อ "พรหมทัติ" กำลังเดินทางไปทางเดียวกับพระพุทธเจ้า
สุปปิยะ ผู้เป็นอาจารย์ลัทธินี้ กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ ส่วนพรหมทัติ ผู้เป็นศิษย์ กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์
อาจารย์และศิษย์ลัทธินี้ ต่างถกเถียงกัน ขัดแย้งกันไปตลอดทาง
จนเวลากลางคืน พระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าภิกษุประทับแรม ณ สวนมะม่วงหนุ่ม สุปปิยะปริพพาชก และ พรหมทัต นักบวชลัทธินี้ก็พักแรมบริเวณเดียวกัน และยังคงกล่าวโต้เถียงกันไม่หยุด
จนเวลาใกล้รุ่ง พระภิกษุต่างสนทนากันเรื่องที่อาจารย์และศิษย์ลัทธิดังกล่าวโต้เถียงกันคนหนึ่งสรรเสริญ คนหนึ่งติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
พระพุทธเจ้าเสด็จมา ทรงทราบความ
จึงตรัสเตือนด้วยพระเมตตา...ว่า
"ถ้าใครกล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ ก็อย่าโกรธเคือง อาฆาตขุ่นแค้น เพราะถ้าโกรธเคืองเสียก่อนแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า เขากล่าวถูกหรือผิด อนึ่ง ถ้าใครกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็อย่าเพิ่งยินดี ลิงโลด ใจ เพราะถ้ายินดีเสียก่อนแล้ว รีบรับเอาแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าเขากล่าวถูกหรือผิด การที่ด่วนโกรธก็ตาม ด่วนพอใจยินดีก็ตาม จะเป็นอันตรายแก่เธอทั้งหลาย ทางที่ถูกต้องก็คือ ควรพิจารณาว่าที่เขากล่าวมานั้น เป็นจริงหรือไม่ "แล้วชี้แจงให้เขาทราบ ให้เข้าใจตามที่เป็นจริง"
พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ปุถุชนสรรเสริญพระองค์แต่เพียง"ศีล" เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งเล็กน้อย
พระองค์ทรงมีคุณธรรมอื่นๆที่สูงกว่าศีล เป็นอันมาก เช่น สมาธิ ปัญญา และ วิมุตติ(ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง) เป็นต้น
แต่ ปุถุชน หารู้ถึงคุณธรรมเหล่านี้ไม่
ทรงแสดงศีล 3 ชั้น
1.จุลศีล คือ ศีลอย่างหยาบ คือ เว้นจาก 1.การฆ่าสัตว์ 2.ลัก ทรัพย์ 3.ประพฤติผิดในกาม 4.พูดปด หยาบคาย ส่อเสียดฯ 5.ดื่มน้ำเมา เป็นต้น
2.มัชฉิมศีล คือ ศีลอย่างกลาง เช่น
1.เว้นจากการสะสมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม
2.เว้นจากเดียรัจฉานคาถา คือ คำเพ้อเจ้อ ไร้สาระ เป็นต้น
3.มหาศีล คือ ศีลอย่างละเอียด เช่น
เว้นจาก "การเลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวงต่างๆ"
เช่น "การทำนายทายทักนิมิตต่างๆ" เป็นต้น
จากนั้น พระพุทธเจ้าได้แสดงทิฏฐิหรือทฤษฎี หรือ ทรรศนะต่างๆ
ซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้น ถึง 62 ประการ ใครถือทิฏฐิอย่างไรก็เชื่อมั่นในอย่างนั้น และ ชักชวนผู้อื่นให้เห็นด้วย ซึ่งโดยสรุปพอจะรวมได้เป็น 6 ประการ หรือ 6 ลัทธิ ดังนี้
1.อกิริยทิฏฐิเห็นว่า
***ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ***
-เชื่อว่าคนทำบุญ ก็ไม่ได้บุญ ทำบาป ก็ไม่บาป
-บุญไม่มี บาปไม่มี
-ความดีไม่มี ความชั่วไม่มี
เจ้าัลัทธินี้คือ ปูรณกัสสปะ
2.อเหุกทิฏฐิ เห็นว่า
***ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย***
-คนและสัตว์ จะได้ดีได้ชั่ว ก็ได้เอง ได้สุขได้ทุกข์ ก็ได้เอง
-ไม่ใช่เพราะทำเหตุดี หรือ เพราะทำเหตุชั่ว
-คนและสัตว์ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดแล้ว จะบริสุทธิ์ได้เอง
เจ้าลัทธินี้คือ มักขลิโคสาล
3.นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่า
***ไม่มีผล*** คือ เชื่อว่า...
-ทำบุญทำทาน ไม่มีผล
-การบูชา ไม่มีผล
-คนและสัตว์ ตายแล้วสูญ
เจ้าลัทธินี้คือ อชิตเกสกัมพล
4.สัสสตทิฏฐิ เห็นว่า
***เที่ยง*** คือ เชื่อว่า...
-สิ่งทั้งหลายเที่ยง ยั่งยืนอยู่อย่างนั้น
-โลกเที่ยง
-จิตเที่ยง
-สัตว์ทั้งหลายเคยเกิดเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นต่อไปตลอดกาล
-ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของเที่ยง
-ไม่มีใครฆ่าใคร ไม่มีใครทำลายใคร เพียงแต่เอาศัสตราสอดไป
ในธาตุซึ่งยั่งยืน ไม่มีอะไรทำลายได้
เจ้าลัทธินี้คือ ปกุทธกุจจายนะ
5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
-เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
-เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
-เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
-เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
-ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
(อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)
เจ้าลัทธินี้คือ สัญชัยเวลัฏฐบุตร
(อาจารย์เดิมของพระโมคคัลลา และ พระสารีบุตร นั่นเอง)
6.อัตตกิลมถานุโยค และ อเนกกานตวาทะ เห็นว่า
***การทรมานกายจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์" คือ เชื่อว่า...
-มีความเป็นอยู่อย่างเข้มงวดกวดขันต่อร่างกาย
-อดข้าว อดน้ำ ตากแดด ตากลม ไม่นุ่งห่มผ้า
-ความจริงมีหลายเงื่อนหลายแง่
-เรื่องหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่ง เมื่อพิจารณาในแง่นี้อาจจะจริง ถูก
แต่เมื่อพิจารณาในอีกแง่หนึ่งก็ไม่จริง ไม่ถูก เป็นต้น
-เช่นพวก นิครนถ์
เจ้าลัทธินี้คือ นิครนถนาฎบุตร หรือ ท่านศาสดามหาวีระ ศาสดาองค์ที่ 24 ของศาสนาเชนนั่นเอง
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ประกาศพระพุทธศาสนาแล้ว เจ้าลัทธิทั้ง 6 ก็อับรัศมีลงเป็นอันมาก
ถึงกับมีเรื่องจ้างคนมาใส่ร้ายป้ายสีพระพุทธเจ้า หลายครั้ง
เพื่อทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของพระพุทธองค์
"แต่หาสำเร็จไม่"
ฯลฯ
หาอ่านเพิ่มเติมได้จาก
พระไตรปิฎก
ฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว
โดย
วศิน อินทรสระ เรียบเรียง หน้า 31-38
*******************
เมื่อท่านได้อ่าน ความหมาย ได้รู้จักความหมายของคำว่า ลัทธิ และ แต่ละลัทธิ มีความเห็น และ การกระทำอย่างไรแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณาการกระทำของตัวเราเอง ว่าสิ่งที่เรากำลังทำ กำลังคิด กำลังพูด กำลังเขียน หรือ กำลังดำเินินชีวิตอยู่นี้ เข้าได้กับลัทธิใด หรือไม่ จงอย่าไปสนใจ ว่ากล่าวใครอีกต่อไป ว่าใครเขาจะเป็นเจ้าลัทธิ หรือ เป็นลัทธิไหน นอกศาสนาพุทธ อย่างไร แต่จงสนใจ ที่ตัวเราเอง ว่าไอ้เราว่าเขานั้น แท้จริง อิเหนาเป็นเอง เราเป็นเองหรือไม่ หากเป็น ก็ขอให้ตัดสินใจ และ พิจารณาตัวเอง ณ บัดนี้ว่า เราจะอยู่ในลัทธิทั้ง 6 นี้ต่อไป หรือจะแก้ไข แล้วกลับมาใส่ใจ คำสั่งและ คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่ง
พระพุทธเจ้า สอนให้เรา
1.เชื่อว่า ทำดี ต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
2.ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ
3.กฏแห่งกรรมมีจริง สร้างกรรมไว้อย่างไร ต้องได้รับอย่างนั้น
4.กายเวียนว่ายตายเกิด มีจริง ชีวิตก่อน หลังความตาย มีจริง
5.ชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน แต่ความตายเป็นของเที่ยงแท้ฯ
6.ให้พูดความจริง ยอมรับความจริง กล้าหาญที่จะต่อสู้กับอธรรม และ นำเสนอความจริง
-ให้ บันลือสีหนาท คือ กล้าหาญและมั่นใจ ในทุกกาลสถานทีี
ขอเชิญทุกท่าน
มาขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6
ด้วยการ
1.สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และ ทำมา ตรงกับลัทธิใด
2.ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ขอขมาพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
3.ขอขมาบุคคลที่เราเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ
ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร
หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
4.ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า
ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด
ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง
หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล
5.จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป
โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง
เพราะนอกจากจะ-ทำให้คนทั้งหลายรู้ และ จับได้ว่า
-เรารู้ไม่จริง แล้วอวดรู้
-เราอิจฉาริษยา คนที่เขาทำดี ได้ดีกว่าเรา
-เราใส่ร้ายเขา เพราะเราเสียประโยชน์จากการทำความดีของเขา
-เราปฎิบัติไม่ได้อย่างเขา ก็เลยริษยา และ หาทางทำลาย
-เป็นบาปมหันต์ ถึงขั้นลง อเวจี และ โลกันต์ หากคนที่เราไป
กล่าว หาเขานั้น เขาเป็นคนดี เป็นผู้บริสุทธิ์ ปฏิบัติตามคำสอน
ของพระพุทธเจ้า เจริญในธรรมสูงส่งกว่าเรา และ ไม่ได้เป็นย่างที่
เรากล่าวหาเขา
-คนจะต้องหันมาสนใจ ค้นหาความจริงว่า เหตุใดเราจึงต้องไป
กล่าวหาเขา เขาทำอะไรให้เรา หรือเราต้องเสียผลประโยชน์ใด
อย่างหนักหนาสาหัส จึงคิดโกรธแค้นทำลายล้าง เหมือนที่พระ
พุทธเจ้าเคยถูกเจ้าลัทธิกระทำมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
-คนจะเฝ้ามองดู ความเจริญก้าวหน้าของเขา กับ เรา ว่าระหว่างคน
กล่าวหาเขา กับ เขา ใครมีชีวิตที่ดีมีสุข และเจริญก้าวหน้ากว่ากัน
-ชีวิตของผู้ล่วงเกินผู้อื่น ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ย่อมได้รับผลของกรรม
ถ้ายิ่งละเมิดผู้ทรงศีลทรงธรรม ชีวิตจะมีแต่ตกต่ำ ทั้งทางโลกทาง
ธรรม จะเจ็บป่วย มีเรื่องเสียเงิน ยากจน ขัดสน มีอุปสรรค ทุกข์
สาหัสทุกด้าน ไม่มีโอกาสเห็น สวรรค์ พรหม นิพพาน สถานที่
ไป คือ ทุคติภูมิเท่านั้น และ ต้องได้รับผลทันทีตั้งแต่เริ่มกระทำ
ขอให้ท่านที่หลงผิด
ไปเป็นสาวกของลัทธิใดก็ตาม ได้มีโอกาสหลุดพ้น
จากอเวจี และ โลกันต์ ด้วยการได้มาพบกระทู้นี้ ในเร้ววัน
และ ได้ืทำตามคำแนะนำข้างต้น แล้ว ให้เกิดปัญญา มีดวงตาเห็นธรรมอันงดงามของพระพุทธเจ้า ก่อนจะสายเกินแก้ด้วยเทอญ
|