ReadyPlanet.com


ใครกันแน่ ที่เป็นคน "นับถือ" "ลัทธิ" "นอกศาสนาพุทธ"


ใครกันแน่
ที่เป็นคน "นับถือ" "ลัทธิ"
"นอกศาสนาพุทธ"

เราเคยได้ยินคำว่า "ลัทธิ" กับคำว่า "เจ้าลัทธิ" กันมานาน
แต่จะีมีใครสักกี่คน หรือ มีบ้างไหม ที่จะให้คำจำกัดความ
หรือ ความหมาย ของคำว่า "ลัทธิ" ได้

แม้แต่คนที่มักพูด กล่าวหา ว่าคนนั้น คนนี้ เป็นคนลัทธิ นอกศาสนาพุทธ แต่พอถามเข้าจริงๆ ว่าลัทธิ แปลว่าอะไร แล้วคำว่านอกศาสนาพุทธนั้น จริงๆแล้วรู้ไหมว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง คุณรู้ทุกอย่างไหม และ คุณทำได้อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนทุกอย่างไหม ก็จอดไม่แจวสักราย และ พอให้แสดงแม้แต่ศีล 3 ชั้น ก็แสดงไม่ได้ ศีลขั้นหยาบ ก็รักษาไม่ได้ อันนี้และ ที่เรียกว่า คนนอกศาสนา คือ จัดเป็นคนในลัทธิใดลัทธิหนึ่งนั่นเอง

ดังนั้นวันนี้ เราน่าจะมาทำความรู้จักคำว่า "ลัทธิ" กันอย่างจริงจังเสียที จะได้ไม่ถูกมารหลอกเอาได้ หรือไม่ก็ จะได้ไม่อายใคร ที่อุส่าห์ใช้คำว่า "ลัทธิ" แต่พอคนถามว่าลัทธิคืออะไร มีกี่ลัทธิ อย่างไรบ้าง กลับตอบไม่ได้ มันน่าอาย ขายขี้หน้าเสียนี่กระไร

(1) ทิฏฐิ หรือ ทรรศนะ คือ ความเห็นต่างๆ

ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จ พร้อมภิกษุมากมาย ระหว่างทรงพระดำเนิน มีนักบวชลัทธิหนึ่ง ชื่อ "สุปปิยะ" กับลูกศิษย์ชื่อ "พรหมทัติ" กำลังเดินทางไปทางเดียวกับพระพุทธเจ้า

สุปปิยะ ผู้เป็นอาจารย์ลัทธินี้ กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ ส่วนพรหมทัติ ผู้เป็นศิษย์ กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์

อาจารย์และศิษย์ลัทธินี้ ต่างถกเถียงกัน ขัดแย้งกันไปตลอดทาง

จนเวลากลางคืน พระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าภิกษุประทับแรม ณ สวนมะม่วงหนุ่ม สุปปิยะปริพพาชก และ พรหมทัต นักบวชลัทธินี้ก็พักแรมบริเวณเดียวกัน และยังคงกล่าวโต้เถียงกันไม่หยุด

จนเวลาใกล้รุ่ง พระภิกษุต่างสนทนากันเรื่องที่อาจารย์และศิษย์ลัทธิดังกล่าวโต้เถียงกันคนหนึ่งสรรเสริญ คนหนึ่งติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์

พระพุทธเจ้าเสด็จมา ทรงทราบความ
จึงตรัสเตือนด้วยพระเมตตา...ว่า

"ถ้าใครกล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ ก็อย่าโกรธเคือง อาฆาตขุ่นแค้น เพราะถ้าโกรธเคืองเสียก่อนแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า เขากล่าวถูกหรือผิด อนึ่ง ถ้าใครกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็อย่าเพิ่งยินดี ลิงโลด ใจ เพราะถ้ายินดีเสียก่อนแล้ว รีบรับเอาแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าเขากล่าวถูกหรือผิด การที่ด่วนโกรธก็ตาม ด่วนพอใจยินดีก็ตาม จะเป็นอันตรายแก่เธอทั้งหลาย ทางที่ถูกต้องก็คือ ควรพิจารณาว่าที่เขากล่าวมานั้น เป็นจริงหรือไม่ "แล้วชี้แจงให้เขาทราบ ให้เข้าใจตามที่เป็นจริง"

พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ปุถุชนสรรเสริญพระองค์แต่เพียง"ศีล" เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งเล็กน้อย
พระองค์ทรงมีคุณธรรมอื่นๆที่สูงกว่าศีล เป็นอันมาก เช่น สมาธิ ปัญญา และ วิมุตติ(ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง) เป็นต้น
แต่ ปุถุชน หารู้ถึงคุณธรรมเหล่านี้ไม่

ทรงแสดงศีล 3 ชั้น
1.จุลศีล คือ ศีลอย่างหยาบ คือ เว้นจาก 1.การฆ่าสัตว์ 2.ลัก ทรัพย์ 3.ประพฤติผิดในกาม 4.พูดปด หยาบคาย ส่อเสียดฯ 5.ดื่มน้ำเมา เป็นต้น

2.มัชฉิมศีล คือ ศีลอย่างกลาง เช่น
1.เว้นจากการสะสมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม
2.เว้นจากเดียรัจฉานคาถา คือ คำเพ้อเจ้อ ไร้สาระ เป็นต้น

3.มหาศีล คือ ศีลอย่างละเอียด เช่น
เว้นจาก "การเลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวงต่างๆ"
เช่น "การทำนายทายทักนิมิตต่างๆ" เป็นต้น

จากนั้น พระพุทธเจ้าได้แสดงทิฏฐิหรือทฤษฎี หรือ ทรรศนะต่างๆ
ซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้น ถึง 62 ประการ ใครถือทิฏฐิอย่างไรก็เชื่อมั่นในอย่างนั้น และ ชักชวนผู้อื่นให้เห็นด้วย ซึ่งโดยสรุปพอจะรวมได้เป็น 6 ประการ หรือ 6 ลัทธิ ดังนี้

1.อกิริยทิฏฐิเห็นว่า
***ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ***
-เชื่อว่าคนทำบุญ ก็ไม่ได้บุญ ทำบาป ก็ไม่บาป
-บุญไม่มี บาปไม่มี
-ความดีไม่มี ความชั่วไม่มี
เจ้าัลัทธินี้คือ ปูรณกัสสปะ

2.อเหุกทิฏฐิ เห็นว่า
***ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย***
-คนและสัตว์ จะได้ดีได้ชั่ว ก็ได้เอง ได้สุขได้ทุกข์ ก็ได้เอง
-ไม่ใช่เพราะทำเหตุดี หรือ เพราะทำเหตุชั่ว
-คนและสัตว์ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดแล้ว จะบริสุทธิ์ได้เอง
เจ้าลัทธินี้คือ มักขลิโคสาล

3.นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่า
***ไม่มีผล*** คือ เชื่อว่า...
-ทำบุญทำทาน ไม่มีผล
-การบูชา ไม่มีผล
-คนและสัตว์ ตายแล้วสูญ
เจ้าลัทธินี้คือ อชิตเกสกัมพล

4.สัสสตทิฏฐิ เห็นว่า
***เที่ยง*** คือ เชื่อว่า...
-สิ่งทั้งหลายเที่ยง ยั่งยืนอยู่อย่างนั้น
-โลกเที่ยง
-จิตเที่ยง
-สัตว์ทั้งหลายเคยเกิดเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นต่อไปตลอดกาล
-ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของเที่ยง
-ไม่มีใครฆ่าใคร ไม่มีใครทำลายใคร เพียงแต่เอาศัสตราสอดไป
ในธาตุซึ่งยั่งยืน ไม่มีอะไรทำลายได้
เจ้าลัทธินี้คือ ปกุทธกุจจายนะ

5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
-เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
-เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
-เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
-เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
-ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
(อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)
เจ้าลัทธินี้คือ สัญชัยเวลัฏฐบุตร
(อาจารย์เดิมของพระโมคคัลลา และ พระสารีบุตร นั่นเอง)

6.อัตตกิลมถานุโยค และ อเนกกานตวาทะ เห็นว่า
***การทรมานกายจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์" คือ เชื่อว่า...
-มีความเป็นอยู่อย่างเข้มงวดกวดขันต่อร่างกาย
-อดข้าว อดน้ำ ตากแดด ตากลม ไม่นุ่งห่มผ้า
-ความจริงมีหลายเงื่อนหลายแง่
-เรื่องหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่ง เมื่อพิจารณาในแง่นี้อาจจะจริง ถูก
แต่เมื่อพิจารณาในอีกแง่หนึ่งก็ไม่จริง ไม่ถูก เป็นต้น
-เช่นพวก นิครนถ์
เจ้าลัทธินี้คือ นิครนถนาฎบุตร หรือ ท่านศาสดามหาวีระ ศาสดาองค์ที่ 24 ของศาสนาเชนนั่นเอง

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ประกาศพระพุทธศาสนาแล้ว เจ้าลัทธิทั้ง 6 ก็อับรัศมีลงเป็นอันมาก

ถึงกับมีเรื่องจ้างคนมาใส่ร้ายป้ายสีพระพุทธเจ้า หลายครั้ง
เพื่อทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของพระพุทธองค์

"แต่หาสำเร็จไม่"

ฯลฯ
หาอ่านเพิ่มเติมได้จาก
พระไตรปิฎก
ฉบับที่ทำให้ง่ายแล้ว
โดย
วศิน อินทรสระ เรียบเรียง หน้า 31-38

*******************
เมื่อท่านได้อ่าน ความหมาย ได้รู้จักความหมายของคำว่า ลัทธิ และ แต่ละลัทธิ มีความเห็น และ การกระทำอย่างไรแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณาการกระทำของตัวเราเอง ว่าสิ่งที่เรากำลังทำ กำลังคิด กำลังพูด กำลังเขียน หรือ กำลังดำเินินชีวิตอยู่นี้ เข้าได้กับลัทธิใด หรือไม่ จงอย่าไปสนใจ ว่ากล่าวใครอีกต่อไป ว่าใครเขาจะเป็นเจ้าลัทธิ หรือ เป็นลัทธิไหน นอกศาสนาพุทธ อย่างไร แต่จงสนใจ ที่ตัวเราเอง ว่าไอ้เราว่าเขานั้น แท้จริง อิเหนาเป็นเอง เราเป็นเองหรือไม่ หากเป็น ก็ขอให้ตัดสินใจ และ พิจารณาตัวเอง ณ บัดนี้ว่า เราจะอยู่ในลัทธิทั้ง 6 นี้ต่อไป หรือจะแก้ไข แล้วกลับมาใส่ใจ คำสั่งและ คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่ง

พระพุทธเจ้า สอนให้เรา
1.เชื่อว่า ทำดี ต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
2.ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ
3.กฏแห่งกรรมมีจริง สร้างกรรมไว้อย่างไร ต้องได้รับอย่างนั้น
4.กายเวียนว่ายตายเกิด มีจริง ชีวิตก่อน หลังความตาย มีจริง
5.ชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน แต่ความตายเป็นของเที่ยงแท้ฯ
6.ให้พูดความจริง ยอมรับความจริง กล้าหาญที่จะต่อสู้กับอธรรม และ นำเสนอความจริง
-ให้ บันลือสีหนาท คือ กล้าหาญและมั่นใจ ในทุกกาลสถานทีี

ขอเชิญทุกท่าน
มาขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6
ด้วยการ
1.สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และ ทำมา ตรงกับลัทธิใด
2.ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ขอขมาพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
3.ขอขมาบุคคลที่เราเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ
ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร
หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
4.ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า
ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด
ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง
หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล

5.จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป
โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง

เพราะนอกจากจะ-ทำให้คนทั้งหลายรู้ และ จับได้ว่า

-เรารู้ไม่จริง แล้วอวดรู้
-เราอิจฉาริษยา คนที่เขาทำดี ได้ดีกว่าเรา
-เราใส่ร้ายเขา เพราะเราเสียประโยชน์จากการทำความดีของเขา
-เราปฎิบัติไม่ได้อย่างเขา ก็เลยริษยา และ หาทางทำลาย
-เป็นบาปมหันต์ ถึงขั้นลง อเวจี และ โลกันต์ หากคนที่เราไป
กล่าว หาเขานั้น เขาเป็นคนดี เป็นผู้บริสุทธิ์ ปฏิบัติตามคำสอน
ของพระพุทธเจ้า เจริญในธรรมสูงส่งกว่าเรา และ ไม่ได้เป็นย่างที่
เรากล่าวหาเขา
-คนจะต้องหันมาสนใจ ค้นหาความจริงว่า เหตุใดเราจึงต้องไป
กล่าวหาเขา เขาทำอะไรให้เรา หรือเราต้องเสียผลประโยชน์ใด
อย่างหนักหนาสาหัส จึงคิดโกรธแค้นทำลายล้าง เหมือนที่พระ
พุทธเจ้าเคยถูกเจ้าลัทธิกระทำมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
-คนจะเฝ้ามองดู ความเจริญก้าวหน้าของเขา กับ เรา ว่าระหว่างคน
กล่าวหาเขา กับ เขา ใครมีชีวิตที่ดีมีสุข และเจริญก้าวหน้ากว่ากัน
-ชีวิตของผู้ล่วงเกินผู้อื่น ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ย่อมได้รับผลของกรรม
ถ้ายิ่งละเมิดผู้ทรงศีลทรงธรรม ชีวิตจะมีแต่ตกต่ำ ทั้งทางโลกทาง
ธรรม จะเจ็บป่วย มีเรื่องเสียเงิน ยากจน ขัดสน มีอุปสรรค ทุกข์
สาหัสทุกด้าน ไม่มีโอกาสเห็น สวรรค์ พรหม นิพพาน สถานที่
ไป คือ ทุคติภูมิเท่านั้น และ ต้องได้รับผลทันทีตั้งแต่เริ่มกระทำ

ขอให้ท่านที่หลงผิด
ไปเป็นสาวกของลัทธิใดก็ตาม ได้มีโอกาสหลุดพ้น
จากอเวจี และ โลกันต์ ด้วยการได้มาพบกระทู้นี้ ในเร้ววัน
และ ได้ืทำตามคำแนะนำข้างต้น แล้ว ให้เกิดปัญญา มีดวงตาเห็นธรรมอันงดงามของพระพุทธเจ้า ก่อนจะสายเกินแก้ด้วยเทอญ



ผู้ตั้งกระทู้ ตุลย์ นราธิป กิมไพบูลย์ กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2013-01-21 09:52:50


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1650128)


  •  
    Gring Mam สาธุคะ
  •  
    Chaweewan Napapunnarai กราบขอบพระคุณท่าน อ. อุบล ค่ะ ที่ได้นำเรื่องลัทธิมาให้พวกเราได้อ่าน ได้ศึกษา ทำให้เข้าใจคำว่าลัทธิได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เรามองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเราได้มากขึ้น กราบขอบพระคุณค่ะ
  •  
    Tooktik Weeranan อยากบอกว่า ขอบคุณมากๆ คะ
  •  
    Flycom Udon สาธุ สาธุ สาธุ
  •  
    รัชตวรรณ พิกุล กราบขอบพระคุณท่าน อ.อุบล ที่เมตตาในเรื่องลัทธิมาให้ได้เรียนรู้และศึกษา กราบขอบพระคุณค่ะ กราบ กราบ กราบ
  •  
    วัชรินทร์ เกษมณี สาธุค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะที่ท่านอาจารย์ได้หาวิธีให้ลูกได้พิจารณาตัวเองว่าอยู่ในลัทธิไหนมาก่อน เพื่อจะได้ลาออกจากลัทธินั้น ๆ เพื่อมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล ลูกจะพิจารณาตัวให้ดี ให้รอบคอบค่ะ แล้วจะมาสารภาพค่ะ วันนี้ขอพาหลานสาวพักก่อนค่ะ กราบสวัสดี
  •  
    Tuk Mayurachut กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบลค่ะ ที่ได้เมตตาให้โอกาสลูกได้หลุดพ้นจากวงจรของลัทธิ
    มยุรฉัตร สุดจิตต์ ขอลาออกจากการเป็นสาวกของ 6 ลัทธิค่ะ 
    1. สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และ ทำมา ตรงกับลัทธิใด ... หนูขอสารภาพว่าเคย เคยกระทำ แบบทุกลัทธิเลยค่ะ เคยคิดว่าทำดีไม่ได้ดี บุญไม่มีปาบไม่มี เคยคิดว่าคนเราจะดี หรือชั่ว ก็ได้เอง จะมีความสุขก็ได้เอง เคยคิดว่า ทำบุญไม่มีผล คิดว่าคนเรา ถ้าเกิดเป็นคนก็จะเกิดเป็นคนอีก และเข้าลัทธิที่ 5 ไม่กล้าพูดความจริง มักจะปฏิเสธไว้ก่อน เพราะโง่เขาปฏิเสธไว้ก่อนไม่ยอมรับ อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสุ้ พฤติกรรมแบบ ลัทธิที่ 5 นี้หนูเป็นบ่อยมากเลย และเคยคิดว่าความจริงมีหลายเงื่อนหลายแง่
    2.ข้าพเจ้านางมยุรฉัตร สุดจิตต์ ขอลาออกต่อเจ้าล้ทธิ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล
    ปกุทธกุจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฎบุตร เจ้าลัทธิทุกลัทธิ ณ บัด นี้เวลานี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ
    ลูกขอกราบขอขมาพระรัตนไตร ที่เคารพพระพุทธเจ้าแต่ปาก บอกว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่รักษาศิล ไม่พิจารณาหาเหตุผล ไม่รู้จริงแต่ได้อวดรู้ เจ้าค่ะ 
    3.ข้าพเจ้า ขอขมาบุคคลที่เคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    4.ลูกขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเป็นศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ลูกจะประพฤติตัวใหม่เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิที่ 1-6 ลูกจะของงดเว้น ทั้งหมด ลูกจะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผลเจ้าค่ะ 
    5. ลูกจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริงเจ้าค่ะ 

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบลเป็นที่สุดค่ะ ที่ได้เมตตาชี้ทางสว่าง 
    กราบขอบพระคุณพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ค่ะที่ได้เมตตาให้โอกาสลูกกลับตัวกลับใจ

    พอทำตามที่ท่านอาจารย์อุบลแนะนำหนูรู้สึกอยากร้องไห้ค่ะ มันรู้สึกดีมากเลยค่ะเหมือนถูกปลอดปล่อย ปิติ ขนลุก ซาบซึ้งค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
    · Edited · Like · 21

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุลย์ นราธิป กิมไพบูลย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-01-21 10:29:06


ความคิดเห็นที่ 2 (1650129)


  •  
    NNa LSa หนูขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 ค่ะ อ่านดูแล้วใช่หมดเลย ปากก็บอกว่านับถือพระพุทธเจ้า แต่การกระทำตรงกันข้ามเหลือเกิน ศีลก็ไม่บริสุทธิ์ กราบขอขมาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ด้วยค่ะ ที่เคยปรามาสคิดไม่ดี นับถือแต่ปาก แต่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ได้ แถมบางทีไม่รู้จริงก็เอาธรรมะพระพุทธเจ้าไปพูดบิดเบือนความจริง เชื่อแต่ไม่ทำตาม ///และขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ลูกจะพยายามทำแต่ความดี รักษาศีลให้ดีที่สุด และเดินตามคำสอนพระพุทธองค์ค่ะ///// คิดแล้วบาปมากๆเพราะที่ผ่านมารู้แค่ตื้นๆ แต่ปากดีคิดว่าตัวเองรู้ธรรมะเยอะ ชีวิตถึงได้ทุกข์ ไม่สุขสงบ ตอนนี้หนูรู้แล้วค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอ.อุบลที่เมตตามาช่วยฉุดดึงพวกเราขึ้นมา สาธุๆๆๆๆๆ
  •  
    ธัญญา คัญทัพ สาธุค่ะ
  •  
    วัณณิตา นันตะโรหิต 1.ชื่อนางสาววัณณิตา นันตะโรหิต กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงที่เมตตา ลูกได้พิจารณาตัวลูกเองแล้วลูกเข้าข่าย.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ คือ -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)
    2.ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ขอขมาพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
    3.ลูกขอขมาบุคคลที่เราเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ(ลูกจำไม่ได้ค่ะว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร
    หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    4.ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า
    ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด
    ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง 
    หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล
  •  
    วัณณิตา นันตะโรหิต กราบ กราบ กราบ ท่านอ.อุบล ด้วยความเคารพอย่างสู
  •  
    Parichat Chompoo กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่นำความรู้เรื่องลัทธิ มาให้พวกเราทราบ ซึ่งอ้อยอ่านดูแล้วอ้อยเคยมีความเชื่อ ตาม 2 ลัทธิ คือลัทธิที่ 3 และ 5 ค่ะ 3.นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่า...See More
  •  
    นันท์นภัส เตชิตรดาทรัพย์ ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบลค่ะ ที่ทำให้เข้าใจความหมายคำว่า "ลัทธิ" กระจ่างขึ้น ซึ่งอย่างตัวของเราเองบอกว่า นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติตัวเป็นพุทธที่แท้จริง เพราะศีล 5 ข้อ ยังปฏิบัติไม่ได้ และไม่เคยสนใจจะปฏิบัติ คิดว่าตัวเองเป็นคนดีก็ดีแล้ว ไม...See More
  •  
    Pat V Wan หนูมาขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6ด้วยค่ะ
    -ลูกขอสารภาพว่า เคยบอกว่านับถือศาสนาพุทธแต่ไม่รู้จักคำสอนของท่านจริง และความคิด การกระทำ คำพูด ก็ไม่เคยเกรงกลัวบาป และยังไม่รู้จักคำว่าบุญที่แท้จริงด้วยค่ะ ซึ่งมีความคิดตรงกับลักธิ ...อกิีีิริยทิฏฐิ 
    -
    ...
    See More
  •  
    Pat V Wan -และจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง เพราะเป็นการแสดงความโง่ของตัวเอง และมีโอกาสสร้างบาปมหันต์ หากผู้ที่เรากล่าวหา เป็นผู้ปฏิบัติดีด้วยจิตบริสุทธิ์ตามแนวทางพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ต่อไปลูกจะมองแต่ความไม่ดีของตัวเองและปรับปรุงตัวเองเท่านั้น เอาตัวเองให้รอดก่อน และไม่ละเมิดผู้ใดค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุลย์ นราธิป กิมไพบูลย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-01-21 10:29:07


ความคิดเห็นที่ 3 (1650130)

  •  
    Fredanita Grace Phanu ขอมอบกายถวายชีวิต เป็นศิษย์ เป็นสาวก องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ
    Friday at 11:17pm via mobile · Like · 8
  •  
    บุหลัน มยุรา เคยไปเข้าวัดแถวๆปทุมธานี เป็นวัดชื่อดัง แต่สุดท้ายก็ไม่เข้าเพราะแนวทางไม่ใช่การหลุดพ้น ให้บริจาคเยอะๆ จะได้บุญบ้าง ธุดงค์กลางเมือง รู้สึกพิลึกพิลั่น พอได้เจอธรรมทานของบ้านสวนพีระมิดจึงรู้สึกสนใจ ศึกษา จึงได้รู้ว่านี่แหละ "แก่น" ของพระศาสนา จึงขอถวายตัวเป็นสานุศิษย์พระสัมมาสัมพพุทธองค์ และท่านอาจารย์อุบลค่ะ
  •  
    Kwan Kwan W ก่อนเรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าจากท่านอาจารย์อุบล หนูคิดตลอดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ เคารพคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็เป็นแค่ลมปาก เพราะผิดศีลทั้ง 5 ข้อทั้งทางความคิด คำพูด การกระทำ น่าละอายจริงๆที่กล้าอ้างว่า เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้า ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นคนนอกศาสนาพุทธ หลอกลวง แอบอ้าง หนูเคยคิดและกระทำตรงกับลัทธิ 2 เคยพิจารณาว่า คนนี้ทำชั่วมากมายแต่ชีวิตกลับรุ่งโรจน์ ที่ผ่านมาก็เลยเอาเยี่ยงอย่าง เคยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ แม้จะต้องทำบาปก็ตาม ไม่ค่อยสนใจเรื่องบุญ เพราะคิดว่าทำแล้ว ไม่ทราบว่าจะส่งผลเมื่อไร เอาเป็นว่า ทำปัจจุบันให้ได้อย่างใจ ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือกล /// เคยสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องกฏแห่งกรรม นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน เชื่อแบบลัทธิ 4 คิดว่าโลกเที่ยง ดินน้ำลมไฟเป็นของเที่ยง ยั่งยืน /// แบบลัทธิ 5 ก็เชื่อและทำค่ะ อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง ไม่เปิดเผยตัว ไม่ต่อสู้ เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไหลลื่น เคยไม่ยอมรับผิด ใส่ร้ายคนอื่น ชอบแก้ตัว รีบปฏิเสธกลัวโดนถาม ไม่ยอมรับและไม่ยืนยันใดๆ กลัวคนมองเราไม่ดี มองเราโง่ อัตตาสูงมากๆ /// คิดและเชื่อแบบลัทธิ 6 เรื่องหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่ง เมื่อพิจารณาในแง่นี้อาจจะจริง ถูก แต่เมื่อพิจารณาในอีกแง่หนึ่งก็ไม่จริง ไม่ถูก /// ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ 4,5,6 ค่ะ และลัทธิ 1,2,3 ด้วยค่ะ ข้าพเจ้าขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย ที่หนูรู้ไม่จริงแต่อวดรู้ กราบขอขมาบุคคลที่ข้าพเจ้าเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร หรือเคยมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน ขอมอบกายถวายชีวิตมาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้าด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับ 6 ลัทธิ จะรักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผลตามกำลังที่จะพึงทำได้ จะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิอีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และรู้ไม่จริงค่ะ ขอกราบขอบพระคุณท่่านอ.อุบล และเทวดารักษาท่านอ.อุบลทุกพระองค์ในเมตตาที่สอนธรรมะและคำสอนเรื่องลัทธินี้ ให้หนูได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียิ่งขึ้นตลอดค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุลย์ นราธิป กิมไพบูลย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-01-21 10:31:07


ความคิดเห็นที่ 4 (1650131)


  •  
    Ma-Meaw Catnoi ดิฉันนางสาววรางคณา พุฒศรี ขอลาออกจากการเป็นสาวกของลักธิทั้ง6 นับจากบัดนี้เป็นต้นไป
    1.สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และ ทำมาตรงกับทั้ง6ลักธิเลยค่ะ เคยเชื่อว่าบญบาปไม่มีจริง ควาดีความชั่วไม่มี เมื่อก่อนเคยคิดว่าทำดีก็ไม่เห็นได้ดี คนชั่วได้ดีเยอะแยะ แถมมีเงินใช้อีกต่างหาก/เคยคิดว่าคนและสัตว์ จะได้ดีได้ชั่ว ก็ได้เอง ได้สุขได้ทุกข์ ก็ได้เองเพราะจากที่เห็น บางคนทำดีมากแต่ฐานะยากลำบากมาก ชีวิตมีแต่ความทุกข์/เคยคิดว่าถ้าเกิดเป้นคนก็จะเกิดเป้นคนอยู่ตลอดไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติก็ต้องเกิดเป็นคน / เป็นคนอ่อนแอไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง ขี้ขาด ตาขาว ชอบหนีปัญหา ชอบปฎิเสธ แก้ตัว เสมอ ไม่กล้ายอมรับความผิด

    2.ดิฉันนางสาววรางคณา พุฒศรี ขอลาออกต่อเจ้าลักธิทั้ง 6 ลักธินับจากนี้เป็นต้นไป และดิฉันกราบขอขมาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งหลาย ที่ได้ล่วงเกิน ทั้งความคิด คำพูด การกระทำ สิ่งที่เคยได้ทำลงไปทั้งหมดเป็นเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของลูกเอง เป็นเพราะอวดรู้ คิดว่าตัวเองฉลาด และบางครั้งยังเอาธรรมะคำสอนของพระองค์ท่านไปพูดไปเล่าแบบผิดๆถูก จนทำให้เขาสับสน ปรามาส ด้วยค่ะ ลูกขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยด้วยค่ะ กราบ กราบ กราบ 

    3.ดิฉันกราบขอขมาบุคคลที่เคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร ตอนนี้ทราบแล้วค่ะ ว่าลักธิเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน เมื่อก่อนทราบเพียงคำว่าลักธิเท่านั้นแต่ไม่ทราบความหมายเลย ตอนี้กระจ่างแล้วค่ะ ขอกราบขอขมาในทุกๆท่านที่ดิฉันได้กล่าวหาว่าเป็นเจ้าของลัทธิด้วยเจ้าค่ะ

    4.ดิฉันขอมอบกายถวามยชีวิต เพื่อมาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลักธิใดลักธิ1ใน6 หรือตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้รทั้งหมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล นับจากบัดนี้เป็นต้นไป

    5.ดิฉันจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง จะใช้ปัญญาไตร่ตรองก่อนค่ะ เพราะรู้ตัวเลยว่าตัวเองยังขาดปัญญาอยู่มากค่ะ ต่อไปนี้จะไม่กล่าวหาใครแบบลอยๆพยายามใช้ปัญญาคิดให้มากขึนค่ะ 

    กราบขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบล ที่เมตตาพวกเราทั้งหลายที่หลงผิดเป็นสาวกของลักธิทั้ง6 ได้สามารถกลับตัวกลับใจได้ทัน ได้มีโอกาสขอขมาพระรัตนตรัย ที่ได้เคยทำไม่ดี ไม่ปฏิบัติตามคำสอน ได้หลุดพ้นจากอเวจี และโลกันต์ จากที่เคยไปกล่าวหาคนั้นคนนี้มั่วๆว่าเขาเป็นเจ้าของลัทธิบ้างอะไรบ้าง ทั้งๆที่ไม่เคยรู้เลยว่าลักธิแปลว่าอะไร แต่ก็ยังไปว่าเขาอีก ช่างขาดปัญญาเสียจริงๆเลยค่ะ ทำตัวอวดฉลาดอยู่เสมอ เลย จึงทำให้โง่อยู่ทุกวันนี้ ขอกราบขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ ท่านอาจารย์อุบล ที่เมตตาเปี่ยมล้นที่เปิดโอกาสในครั้งนี้เจ้าค่ะ ขอ กราบ กราบ กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุลย์ นราธิป กิมไพบูลย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-01-21 10:31:08


ความคิดเห็นที่ 5 (1650211)


  •  
    Earn Weepasuth เท่าที่อ่านดูการกระทำของเราไปตรงกับหลายลัทธิเลย ทั้ง
    -ลัทธิที่ 1 เคยคิดว่าทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี ทำไม คนไม่ดีได้ดีกันจัง เห็นคนอื่นๆใช้กลอุบายเโกหกพื่อให้ได้มา ตอนนั้นก็เลยคิดว่าทำไมคนโกหกแล้วได้ดี คนพูดความจริง ทำไมถูกเอารัดเอาเปรียบ 
    - ลัทธิที่ 3 เคยคิดว่าการทำบุญทำทาน ไม่มีผล เพราะเราบุญมาตั้งนานไม่เห็นจะได้อะไรสักที ชีวิตก็ยังทุกข์อยู่ จริงๆแล้วเพราะเราไม่เข้าใจเรื่องบุญอย่างแท้จริง ไม่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม ทำบุญกันแบบทำตามๆ กันไป
    - เคยคิดว่า การบูชา ไม่มีผล เพราะทำมาตั้งนานไม่เห็นได้อะไรจริงๆ จังๆ
    -ลัทธิที่ 5 เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ รู้สึกตัวเองมีนิสัยแบบนี้บ่อยมากๆ ครับ
    ผมขอลาออกจากเจ้าลัทธิ ทั้ง 6
    ผมขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
    ผมขอกราบขอขมาแต่ทุกท่านที่ได้เคยกล่าวหาว่าเจ้าเป็นลัทธิ ทั้งๆที่ไม่รู้ความจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ิทั้งหลายที่ได้เคยล่วงเกิน
    ลูกขอมอบกายถวายชีวิตเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยการเปลี่่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ โดยทำดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ร่าเริงผ่องใส ไม่ทำตัวเข้ากับลัทธิทั้ง 6 และจะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าเป็นเจ้าลัทธิอีก 
    ขอกราบขอบพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ และท่านอาจารย์อุบล ที่เมตตาให้โอกาสครับ
  •  
    Kwan Kwan W พลอย บุนนาค โอ้ อิจฉาจนทนไม่ไหวจนต้องมาเชิญชวนให้คนสนใจเลยหรอคะเนี่ย น่าสงสาร สงสัยบ้านไม่อบอุ่น สังคมรังเกียจ อิอิ
  •  
    NNa LSa Shoulder To Cry On คุณกะเทยอรจะรู้ไปทำไมจ๊ะ ว่าต้นทุนองค์สฟิงซ์เท่าไหร่ อะไรยังไง หรือว่าของที่พวกคุณทำขายมันขายไม่ดีคะ คริคริ แน่จริงก็ทำให้ได้อย่างที่พิมด้วยนะคะที่บอกว่า สรรพากร อะค่ะ พวกเราชอบคนจริงค่ะ จะรอนะคะคุณกะเทยอร 5555
  •  
    NNa LSa พลอย บุนนาค เอาตัวเองให้รอดก่อนนะคะ แล้วค่อยมาชวนคนเข้าลัทธิ 5555+ ไม่โง่จริงทำไม่ได้นะเนี่ย อิอิ เป็นวัวเป็นควายให้เขาจูง คริคริ
  •  
    NNa LSa Shoulder To Cry Onเห็นพูดบ่อยเหลือเกินไอเรื่อง สรรพากร เรื่องฟ้องร้องเกี่ยวกับศาสนาเนี่ย ช่วยๆรีบฟ้องด้วยนะคะ อย่าดีแต่ปากแคร๊ะ พวกเรารอมานานแร้วแคร๊ะ ไม่เคยกลัว หรือกลัวว่าฟ้องแล้วตัวเองจะโดนซะเองแคร๊ะ เบื่อคร๊ะ คริคริ คนขี้ขลาด แอร๊ยยยยยย
  •  
    Earn Weepasuth พลอย บุนนาค อยากไปอยู่นรก ก็ไปคนเดียวสิครับ อย่ามาหาพวกแถวนี้เลยครับ ที่นี่สอนให้ละชั่ว กลัวบาป ส่วนพวกมาป่วนนี่ ที่แท้ ก็พวกเสียผลประโยชน์นี่เอง น่าสงสารจัง อิอิ
  •  
    IAm Ichi พลอย บุนนาค หล่อนนี้ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสมเพชจริงๆ ไอ้ชีวิตที่ครอบครัวแตกแยก สามีไปทาง หนี้สินก็มาก เพื่อนฝูงไม่คบจนต้องหาทางออกให้ตนเองด้วยการหาเพื่อนคุยทาง FB แถมแม่ก็ต้องมาป่วยหนักมีปัญหาต้องขูดมดลูกอีก มันยังทุกข์ไม่พอหรืออย่างไร?
  •  

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุลย์ นราธิป กิมไพบูลย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-01-22 07:20:19


ความคิดเห็นที่ 6 (1650212)


  •  
    IAm Ichi พลอย บุนนาค : ขยันเข้ามาก่อกวน ด่าทอ คนอื่นแบบนี้เขาเรียกว่า "อิจฉาริษยาตาร้อน" อยากจะมีความสุข อยากจะมีคนรักและเคารพนับถือแบบคนอื่นเขาล่ะซิ....น่าสงสาร
  •  
    IAm Ichi @Shoulder To Cry On : กล้าๆหน่อยจ๊ะ คนที่มันพูดแบบนี้ส่วนใหญ มันดีแต่ปากเท่านั้นแหละ..อยากจะสร้างภาพให้คนอื่นเห็นว่าตนเองมีความรู้ต่างๆนานา แต่จริงๆแล้วไม่เคยรู้อะไรจริงๆจังๆกับคนอื่นเขา....
  •  
    IAm Ichi Shoulder To Cry On : อีกอย่างนะถ้าจะฟ้องรีบไปฟ้องซะแล้วก็ถ้าแน่จริงใช้ชื่อจริง-นามสกุลจริงด้วยนะจ๊ะ "อย่ามัวแต่มุดหัวอยู่ในรู ยื่นแต่หางออกมาดูหน้าผู้คน.."
  •  
    Pa Rungrueng ขอลาออกจากลัทธิทั้งหกนะค่ะ.. เพราะเคยคิดว่าทำดีใด้ดีมีที่ใหน ทำชั่วใด้ดีมีถม คิดว่าทำบุญแล้วไม่ใด้บุญ ทำบาบแล้วไม่บาป....ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย***
    -คนและสัตว์ จะได้ดีได้ชั่ว ก็ได้เอง ได้สุขได้ทุกข์ ก็ได้เอง
    -ไม่ใช่เพราะทำเหตุดี หรือ เพราะทำเหตุชั่ว
    -คนและสัตว์ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดแล้ว จะบริสุทธิ์ได้ //ข้อนี้เช่นกันค่ะคิดว่าการที่เรามีชีวิตอยู่ใด้เพราะหยาดเหงื่อแรงกายเราทำกินก็ใด้กินไม่ทำก็อด ทำโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ทำแบบผิดศีลห้าตลอดค่ะ...... ไม่มีผล*** คือ เชื่อว่า...
    -ทำบุญทำทาน ไม่มีผล
    -การบูชา ไม่มีผล
    -คนและสัตว์ ตายแล้วสูญ// คิดมาตลอดค่ะว่าทำบุญทำทานไปทำไมไม่เห็นจะรวยสักที คิดว่าการที่เราบูชาบรรพบุรุษ สิ่งศักดิ์สิทธ์ไปทำไมเพื่ออะไร เชื่อว่าคนตายแล้วก็สูญไม่ต้องมารับรู้อะไรที่มันเป็นทุกข์อีก.... ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด//ยอมรับทุกอย่างค่ะว่าโง่เขลาเบาปัญญา เป็นคนขี้กลัว ขี้ขลาด ไม่ยอมรับความจริง ....ลูกขอกราบขอขมาต่อองค์สมเด็จพ่อองค์ปฐม องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆๆพระองค์ลูกสำนึกบาปแล้วขอลาออกจากลัทธิต่างๆๆทุกลัทธิ และจะไม่กล่าวร้ายคนอืนอีก ... จะขอมอบกายถวายชีวิต ขอเป็นสาวกแต่องค์พระสัมมาสัมพุุทธเจ้า จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีตลอดไปค่ะ สาธุ
  •  
    Tatoa Singngoe ผมเองนั้นได้ยินคำว่า ลัทธิ มาตั้งแต่เด็กแล้วไม่เคยรู้ความหมายที่แท้จริง เขาพูดว่าคนนั้นคนนี้ทำตัวไม่อยู่ในศาสนาต่างศาสนาก็ไปว่าเขาว่าไปตั้งเป็นลัทธิใหม่ ผมเองไม่รู้ก็เออ ออ ไปกับเขา ช่างโง่ไร้ปัญญาอะไรขนาดนี้ เพิ่งมาเข้าใจก็ตอนนี้ละที่ท่านอาจารย์อุบล นำคำสั่งสอนของพุทธองค์มาชี้ให้เห็นกัน ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ก็มีในพระไตรปิฏกไม่เคยสนใจอ่านศึกษาทั้งตัวเองก็บอกว่านับถือพระพุทธเจ้า
    ผมเองขอลาออกจากเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 ครับ
    1.ขอสารภาพ เคยคิด พูด เขียน ว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วแล้วได้ดีมีทั่วไป ,เชื่อว่าคนและสัตว์ตายแล้วสูญ ,เชื่อว่าคนและสัตว์เกิดมาได้เพราะการสืบพันธุ์เป็นไปตามกรรมพันธ์เผ่าพันธ์ตัวเอง,คิดว่าโลกนี้เที่ยงแท้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้,อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริงแม้เรื่องนั้นจะจริงก็ตาม ไม่ยอมรับ ไม่กล้าต่อสู้ ไม่เปิดตัวที่จะรับแก้ปัญหานั้นนั้น ,มีเงื่องไขข้อแม้ตลอดซึ่งเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง 
    2.ขอลาออกจากเจ้าลัทธิทั้ง 6 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กราบขอขมาพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่อวดรู้ทั้งที่ไม่รู้จริง
    3.ผมขอขมาทุกท่านที่ผมเคยว่า บอกกล่าวกับบุคคลอื่นว่าท่านเป็นเจ้าลัทธิ บิดเบือนทำให้เสียหายต่าง ๆ นา ๆ
    4.ผมขอมอบกายถวายชีวิต ขอเป็นศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า รักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญาหาเหตุผล
    5.จะไม่กล่าวว่าร้ายให้ใครว่าเป็นเจ้าลัทธิ หรือลัทธิโดยไม่รู้จริง
    ลูกกราบขอขมาองค์สมเด็พระปฐม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ลูกขอกลับตัวกลับใจเปลี่ยนแปลงมา คิดดี ทำดี พูดดี ไม่กล่าวว่าร้ายใครอีกต่อไป และลูกขอเป็นศิษย์สาวกของพุทธองค์ตลอดไป และกราบขอบคุณท่านอาจารย์อุบล ที่ให้ชีวิตใหม่เป็นคนใหม่ กราบ กราบ กราบ
  •  

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุลย์ นราธิป กิมไพบูลย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-01-22 07:21:01


ความคิดเห็นที่ 7 (1650213)


  •  
    Pew Pang สาธุค่ะ
  •  
    Romrawin Krasuay สาธุค่ะ
  •  
    Wannarin Kesornmas สาธุครับ
  •  
    Surada Srisuk กราบขอบพระคุณในความมีเมตตาของท่านอาจารย์อุบลที่มีเมตตาให้ความรู้เรื่องของลัทธิทั้ง6 ค่ะ สาธุๆๆๆ
  •  
    Surada Srisuk 1. ขอสารภาพว่าเคยคิด หรือ เห็นด้วย ว่าการบูชา ไม่มีผล คนและสัตว์ตายแล้วสูญ ทำดีแล้วยังไม่เห็นได้ดี น่าจะตรงกับลัทธิที่3 นัตกิกทิฐธิ เคยคิดว่าทถ้านั่งสมาธิได้นาน การทรมานตนเอง น่าจะทำให้พ้นทุกข์ได้ ตรงกับลัทธิที่ 6 คือลัทธิอัตตกิลถานุโยค. 2.ข้าพเจ้านางสุรดา ศรีสุข. ขอลาออกจากเจ้าลัทธิทั้ง6. และขมาต่อพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้. ทั้งต่อหน้าและรับหลัง นำคำสอนมาบิดเบือนทั้งในชาติก่อนและชาติปัจจุบัน
  •  
    Surada Srisuk 3.ข้าพเจ้านางสุรดา ศรีสุข ขอขมาตอบุคคลที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวหา ว่าเป็นเจ้าลัทธิ และเจตนาให้ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน. 4.ลูกนางสุรดา ศรีสุข ขอมอบกายถวายชีวิต ขอมาเป็นศิษย์และเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใดลัทธิหนึ่ง ใน 6 ลัทธิหรือทั้ง6ลัทธิ. จะหันมารักษาศิล ให้ทาน และใช้ปัญญา ใช้เหตุผลไต่รตรอง. 5.จะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเป็นเจ้าลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้ายทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งต่อหน้าและรับหลัง
  •  
    Piengchan Sonthayanon ข้าพเจ้าขอขมาหากเคยกล่าวหาผู้ใด ขอบูชาคุณพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติบูชา และกราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลที่ได้ชี้ทางสว่างให้
  •  
    Surada Srisuk เขียนสารภาพและขอลาออกจากเจ้าลัทธิทั้ง 6 แล้วรู้สึกสบายใจ แต่ในระหว่างพิมพ์อยู่เน็ต ติด ๆ ดับ ๆ ค่ะ
  •  
    Wannarin Kesornmas -สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และ ทำมา ตรงกับลัทธิใด
    ตอบ ผม นาย ว่านนรินทร์ เกษรมาศ การกระทำของข้าพเจ้าที่ผ่านมาไม่ตรงกับลัทธิอะไรทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าเชื่อพระพุทธเจ้ามาแต่แรกเริ่ม อาจมีการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าข้าพเจ้าบอกว่านับถือพระพุทธเจ้า แต่บางครั้งในหลายๆครั้งที่ผ่านมาข้าพเจ้าก็เคยทำผิด ทำบาปมาเหมือนกัน ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้เช่นไร สอนให้ทำดีทุกชนิด ละเว้นบาปกรรมทุกชนิด ทำจิตใจให้ร่าเริง ฯลฯ จนถึงตอนนี้บางครั้งก็ยังคงทำบาปเล็กๆน้อยๆอยู่ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
    -ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ขอขมาพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
    ตอบ ข้าพเจ้าขอขมาต่อพระรัตนตรัยในสิ่งที่เคยทำผิด ทำบาปมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งที่รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะพยายามเป็นคนดีให้มากขึ้น พยายามดำเนินตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตามที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว
    -ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า
    ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด
    ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง 
    หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล 
    ตอบ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตมาเป็นศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยการพยายามรักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล ดำเนินตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว
    -จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง
    ตอบ จะไม่กล่าวหาผู้ใดว่าเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ
  •  

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุลย์ นราธิป กิมไพบูลย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-01-22 07:22:03


ความคิดเห็นที่ 8 (1651952)

  •  
    Tuk Mayurachut เด็กชายพอเจตน์ สุดจิตต์ ขอลาออกจากลัทธิทั้ง 6 ครับ
    1. ผมขอสารภาพครับผมเคยมีแนวคิด แทบทุกลัทธิครับ ผมเคยคิดว่าทำดีไม่ได้ดี ครับ เพราะผมคิดว่าผมพูดความจริงช่วยงานพ่อแม่ผมก็ยังโดนดุโดนตีเหมือนเดิมครับ เคยคิดว่าคนเกิดเป็นคนก็จะเป็นคนตลอดครับ ทำบุญแล้วสวดมนต์แล้วก็ยังโดนพ่อดุ ทำบุญแล้วไม่เห็นผลบุญ ผมเคยคิดว่ ผมคิดว่าทุกสิ่งในโลกนี้จะยั่งยืนอยู่อย่างนั้นครับ ..และผมก็ไม่กล้าพูดความจริง มักจะปฏิเสธไว้ก่อน เพราะโง่เขาปฏิเสธไว้ก่อนไม่ยอมรับ อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัวประจำครับ เพราะกลัวความผิด ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสุ้ มันจะหนีความผิดทุกครั้ง และหนีปัญหาทุกครั้ง ครับ 
    2. ผมขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกุจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฎบุตร เจ้าลัทธิทุกลัทธิ ณ บัด นี้เวลานี้เป็นต้นไป ครับ 
    ผมขอกราบขอขมาพระรัตนไตร ครับ ที่ผมไม่รู้จริงแต่ได้อวดรู้ ครับ 
    3. หากผมเคย กล่าวหาว่าใครเป็จเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ ผมขอขมาบุคคลที่เคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    4.ผมขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเป็นศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผมจะประพฤติตัวใหม่เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิที่ 1-6ผมจะของงดเว้น ทั้งหมด ลูกจะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุ ครับ 
    5. ผมจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริงครับ

    ผมขอกราบขอพระคณท่านอาจารญ์อุบล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ครับ เทวาดาที่รักษาท่านอาจารย์อุบลทุกพระองค์ครับ ที่สอนให้ผมเข้าใจเรื่องลัทธิและ ให้ผมได้ลาออกจากลัทธิครับ
  •  
    Wannarin Kesornmas ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบลที่ชี้ทางสว่างให้โดยการให้ธรรมทานในครั้งนี้แก่พวกเรา ขอบคุณครับ 
  •  
    Tuk Mayurachut เด็กหนิงสุพิชชา สุดจิตต์ ขอลาออกจากลัทธิทั้ง 6 ค่ะ (แม่อ่่านเรื่องลัทธิที่อาจารย์อุบลสอนให้หนุฟังค่ะ )
    1. หนูขอสารภาพค่ะ หนูเคยคิดเข้ากับแทบทุกลัทธิค่ะ หนูเคยคิดว่า ทำดีไม่ได้ดีค่ะ เพราะหนูโดนดุ ทำดีกับเพื่อนยังแกล้ง หนูเคยคิดว่าหนุทำบุญแล้วหนูไม่เห็นสวยขึ้นเลย ผิวยังดำเหมือนเดิม เคยคิดว่าตัวเองต้องเกิดเป็นคนตลอด หนูเคยคิดว่าของทุกอย่างไม่พังค่ะ คิดว่าหนูไม่ตาย แม่ไม่ตายต้องอยู่กับหนูตลอด ..และหนูไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะเวลาทำผิดถ้าพ่อถามว่าใครทำหนูจะเงียบและหนูก็พูดว่าไม่รู้ค่ะ (ทั้งที่หนูเป็นคนทำบางครั้งก็ปัดความผิดให้พี่บิ๊ก) ค่ะ 
    2. หนูขอลาออกจากลัทธิ ต่อเจ้าลัทธิต่าง ๆเช่น ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกุจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฎบุตร เจ้าลัทธิทุกลัทธิ ณ บัด นี้เวลานี้เป็นต้นไป ค่ะ 

    หนูขอกราบขอขมาพระรัตนไตร ค่ะที่หนูไม่รู้จริงแต่ได้อวดรู้ ค่ะ 
    3. หากหนู เคย กล่าวหาว่าใครเป็จเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ หนูขอขมาบุคคลที่เคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    4.หนูขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเป็นศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หนูกจะประพฤติตัวใหม่เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิที่ 1-6 จะไม่มีแนวคิด และทำแบบนั้นอีกค่ะ หนูจะของงดเว้น ทั้งหมด หนูจะรักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุ ค่ะ 
    5. หนูจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริงค่ะ

    หนูขอกราบขอพระคณท่านอาจารญ์อุบล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ครับ เทวาดาที่รักษาท่านอาจารย์อุบลทุกพระองค์ค่ะ ที่สอนให้หนูเข้าใจเรื่องลัทธิและ ให้หนูได้ลาออกจากลัทธิค่ะ
  •  
    Tuk Mayurachut เด็กหญิงสุพิชชา สุดจิตต์ ขอรายงานผลค่ะ พอแม่อ่านเรื่องลัทธิให้หนุฟัง และหนูก็สารภาพตามที่แม่ยกตัวอย่าง และแม่ได้สารภาพปาบให้หนู และขอขมาพระพุทธเจ้า ขอลาออกจากลัทธิ และกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบล หนูรู้สึกขนลุก อยากร้องไห้ค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบลค่ะ
  •  
    Tuk Mayurachut เด็กชายพอเจตน์ สุดจิตต์ ขอรายงานผลครับ พอผมได้อ่านเรื่องลัทธิ และคำสอนพระพุทธเจ้า และผมลาออกจากลัทธิและกราบขอขมาพระพุทธเจ้าแล้ว รู้สึกปิติขนลุกครับ
    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ครับ และเทวดาที่รักษาท่าอาจารย์อุบลทุกพระองค์ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:41:24


ความคิดเห็นที่ 9 (1651953)

  •  
    วัชรินทร์ เกษมณี ข้่าพเจ้าขอสารภาพ 1.สารภาพว่า ที่เคยกระทำมา มีส่วนของการทำแบบทุกลัทธิเลยค่ะ เคยคิดว่าทำดีแล้วไม่เห็นได้ดี คนชั่วบางคนมีความสุขร่ำ่รวย ถ้าเกิดเป็นคนแล้วชาติต่อไปก็จะเกิดเป็นคนอีก และจะตรงกับลัทธิที่ 5 มากที่สุด ไม่กล้าพูดความจริงเห็นคนทำผิดแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกกลัวเขาโกรธ และทำผิด คิดผิดแล้วมักจะปฏิเสธไว้ก่อน คิดหาเหตุผลที่ทำผิด คิดผิด ตามความเข้าใจตัวเอง เพราะตัวเองมีเหตุผลโง่ โง่ เข้าข้างตัวเอง ทั้งที่ไม่ถูกต้อง ปฏิเสธไว้ก่อนไม่ยอมรับ อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัวมีเหตุผลที่ไม่สมควรแบบ คิดลบกับคนอื่น ๆคิดว่าเราดีกว่า แก่กว่า ความรู้มากกว่า ไม่ยอมรับผิดอย่างหมดหัวใจ หมดเปลือก จนต้องมีผู้ชี้นำ ชี้ให้เห็น สะท้อนตัวตนที่บกพร่อง จึงยอมสยบอย่างราบคาบ 
    2.ข้าพเจ้านางวัชรินทร์ เกษมณี ขอลาออกต่อเจ้าล้ทธิ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกุจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฎบุตร เจ้าลัทธิทุกลัทธิ ณ บัด นี้ เวลานี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ
    ลูกขอกราบขอขมาพระรัตนไตร ที่ลูกไม่รู้จริงแต่ได้อวดรู้ อวดฉลาด ทั้งที่จริงแสนโง่ มีแต่มิจฉาทิฐิครอบงำ สติ และจิตใจค่ะ
    3.ข้าพเจ้า ขอขมาบุคคลที่เคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    4.ลูกขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเป็นศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ลูกจะประพฤติตัวใหม่เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิที่ 1-6 ลูกจะของงดเว้น ทั้งหมด ลูกจะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผลค่ะ
    5. ลูกจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริงค่ะ

    กราบเท้าขอบคุณท่านอาจารย์อุบล อย่างที่สุด ที่เมตตาลูกเสมอมา
  •  
    ณฐรัญชน์ ปาโมกข์ ขอสารภาพ ว่าเป็นข้อ ทุกข้อค่ะเพราะจำได้บ้างไม่ได้บ้างเคยท้อเเท้ที่ทำดีเเล้วไม่ได้ดี ทำดีเเล้วได้ชั่ว พูดพล่อยไปเรื่อยเพราะมีตัวอวิชาอยู่มากค่ะ ลูกกราบขอขมาพระรัตนตรัยเเละสิ่งศักสิทธิ์ที่ไม่ทำตัวให้ดี ผิดศีลเเละไม่รู้จักศึกษาธรรมมะให้รู้เเจ้ง ปล่อยให้จิตญาณของตัวเองจมอยู่กับอวิชา มีเเต่ความทุกข์เเละโง่ ขอถอนตัวจากลัทธิทั้ง 6 มาเป็นศิษย์สาวกของพระพุทธเจ้า จะทำตัวให้ดีประพฤติตัวใหม่มีศิลมีธรรมมะที่เเท้จริงให้ได้ เเละจะไม่ข้องเกี่ยวกับลัทธิทั้ง 6นี้ จะเชื่อฟังคำสอนเเละธรรมมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น กราบขอบารมีพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์เเละพระศรีอาริย์เมตตรัย โปรดเปิดดวงตาที่เคยมึดมัวของลูกนี้ ให้สว่างกระจ่างด้วยรัศมีเเห่งธรรม ขจัดอวิชา ความเห็นที่ผิดทั้งหลายขอให้หมดสิ้นไปจากดวงจิตของลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ ขอให้เกิดสติ เกิดปัญญา รู้เเจ้งเห็นจริงหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
  •  
    Puritut Praditpon คล้ายกันเลยบางครั้งท้อทำดีไม่ได้ดี บางครั้งทำผิดศีลโดยไม่ตั้งใจทำก็มี

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:42:43


ความคิดเห็นที่ 10 (1651955)

  •  
    ผดุง สุดจิตต์ นายผดุง สุดจิตต์ ขอลาออกจากลัทธิทั้ง 6 ครับ
    1. ผมขอสารภาพครับผมเคยมีแนวคิด เข้าแทบทุกลัทธิครับ ผมเคยคิดว่าทำบุญแล้วเห็นผลบุญช้า หรือแทบจะไม่เห็นผลเลย ผมเคยคิดว่า ตายแล้วสูญครับ ผมเป็นคนไม่กล้ายอมรับความจริงครับ มักจะปฏิเสธไว้ก่อน ไม่รู้ไม่ชี้ไว้กอ่นกลัวต่าง ๆ นา และเชื่อการการที่ตัวเองนึ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้จะไม่มีภัย และผมเคยคิด ขี้ขลาด ไม่กล้าสู้กับความชั่ว และผมเคยมีเมื่อพิจารณาในแง่นี้อาจจะจริง ถูก แต่เมื่อพิจารณาในอีกแง่หนึ่งก็ไม่จริง ไม่ถูก ครับ 
    2. ผมขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกุจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฎบุตร เจ้าลัทธิทุกลัทธิ ณ บัด นี้เวลานี้เป็นต้นไป ครับ 
    ผมขอกราบขอขมาพระรัตนไตร ครับ ที่ผมไม่รู้จริงแต่ได้อวดรู้ ครับ ที่ผมเคารพศรัทธาพระพุทธเจ้าแต่ปาก และบอกว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า รักษาศิลก็ไม่ครบ 
    3. หากผมเคย กล่าวหาว่าใครเป็จเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ ผมขอขมาบุคคลที่เคยได้กล่าวหาว่าเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน ครับ
    4.ผมขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเป็นศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผมจะประพฤติตัวใหม่เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิที่ 1-6ผมจะของงดเว้น ทั้งหมด และจะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุ ครับ 
    5. ผมจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริงครับ
    ผมขอกราบขอพระคณท่านอาจารญ์อุบล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ครับ เทวาดาที่รักษาท่านอาจารย์อุบลทุกพระองค์ครับ ที่สอนให้ผมเข้าใจเรื่องลัทธิและ ให้ผมได้กลับตัวกลับใจปรับเปลี่ยนตัวเองครับ
  •  
    ผดุง สุดจิตต์ ผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบลครับ ที่ได้เมตตาสอนให้ผมเข้าใจเรื่องลัทธิ เมตตาให้โอกาสผมได้ลาออกจากลัทธิต่าง และให้ผมได้มีโอกาสขอขมาพระพุทธเจ้า กลับตัวกลับใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นคนใหม่ขอมอบกายถวายชีวิตแต่พระพุทธเจ้า พอผมได้ทำทุกขั้นตอนแล้ว ผมรู้สึกโล่งสบายเหมือนถูกปลดปล่อยครับ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และเทวดาที่รักษาท่านอาจารย์อุบลทุกพระองค์ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:43:34


ความคิดเห็นที่ 11 (1651956)

  •  
    Chaweewan Napapunnarai ได้อ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับลัทธิทั้ง 6 แล้ว คิดว่าตัวเองไม่น่าจะรอดเลย ขอสารภาพค่ะ ว่าตัวเองเคยสังกัดลัทธิใดบ้าง 1.อกิีีิริยทิฏฐิ เห็นว่า 
    ***ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ*** 
    ก่อนหน้านี้เคยทำบุญ ตักบาตร มาเยอะแยะ แต่ก็ไม่เห็นว่า บุญที่เราทำ ส่งผลดีกับเราอย่างไร ทำบุญก็สักแต่ว่าทำตาม ๆ เขาไป เพราะเรายังโง่และไม่เข้าคำสอนของพระพุทธเจ้า

    2.อเหุกทิฏฐิ เห็นว่า
    ***ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย***
    แต่ก่อนเข้าใจว่า ชีวิตฉันจะดี หรือเลว มันก็เป็นของมันเอง ไม่เกี่ยวกับการสร้างบุญ หรือผิดศีล มีปัญญาคิดได้แค่นี้

    3.นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่า
    ***ไม่มีผล*** เคยเข้าใจว่าคนเราตายแล้วก็ตายไป ไม่มีการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ที่เขาบอกว่าทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก คงเป็นอุบายให้คนทำความดี นรก สวรรค์ไม่มีจริง

    4.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)
    อ่านข้อนี้แล้ว ใช่เลยค่ะ ตัวเองเป็นอย่างนี้จริง ๆ เหมือนมาก เพราะเป็นคนอ่อนแอ ไม่กล้าต่อสู้ ไม่กล้าเผชิญความจริง เป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง 

    ข้าพเจ้านางฉวีวรรณ นภาพรรณราย ขอลาออกจากลัทธิ ทั้งหมด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
  •  
    Chaweewan Napapunnarai ข้าพเจ้านางฉวีวรรณ นภาพรรณราย กราบขอขมาพระรัตนตรัย ที่บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่การกระทำไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ศีล 5 ก็ยังรักษาไม่ได้ โง่แล้วยังอวดดี อวดฉลาด คิดแล้วน่าอายมาก ๆ เลยค่ะ คิดเพียงแค่ว่าชีวิตเราไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เท่านนี้ฉันก็เป็นคนดีแล้ว
  •  
    Chaweewan Napapunnarai ข้าพเจ้านางฉวีวรรณ นภาพรรณราย ขอขมาต่อทุกท่าน ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวหาว่าท่านเป็นเจ้าลัทธิ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่เข้าใจ ความหมายของคำว่าลัทธิเลย สักแต่ว่าได้พูด ได้ทำ ได้เขียน ซึ่งบางครั้งกล่าวหาเพราะความอิจฉา บิดเบือนความจริง ข้าพเจ้าขอขมาต่อทุกท่านด้วยค่ะ และต่อแต่นี้จะมองแต่ตัวเอง เพื่อปรับปรุบตัวเองต่อไปค่ะ
  •  
    Chaweewan Napapunnarai นับต่อแต่นี้ไปลูกนางฉวีวรรณ นภาพรรณราย ขอมอบกายถวายชีวิตเป็นลูกศิษย์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิทั้ง 6 จะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล ต่อไป เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ และจะไม่กล่าวหาผู้ใดว่าเป็นเจ้าลัทธิอีกต่อไปแล้วค่ะ
  •  
    Chaweewan Napapunnarai กราบขอบพระคุณท่าน อ. อุบล ที่เมตตาให้หนูได้เข้าใจความหมายของคำว่าลัทธิ และให้โอกาสหนูได้ลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้สมกับที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:44:46


ความคิดเห็นที่ 12 (1651957)

  •  
    Chanida Cheungsa-ad กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่เมตตาชี้แจงเรื่องลัทธิ์ต่างๆให้พวกเราได้เข้าใจอย่างละเอียด พิจารณาดูแล้วชนิดาก็เคยคิด พูด และทำตัวเข้าข่ายทั้ง 6 ลัทธิ เลยค่ะ เพราะเคยพูดเล่นๆ และมีความคิดคล้อยตามว่า ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป เพราะยังเห็นคนทำชั่วลอยนวลอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข โดยไม่ได้รับผลกรรมใดๆเลย ส่วนตัวเอง ก็เคยคิดว่าทำบุญมาเยอะ ทำไมยังมีความทุกข์อยู่ ทั้งๆที่จริงแล้ว ปริมาณบุญที่ทำนั้น เล็กน้อยมากๆ แต่ก็ยังจิตมืดบอดไม่เข้าใจ นอกจากนี้ก็ยังเคยคิดว่า ชาตินี้เกิดเป็นคนแล้ว เมื่อตายแล้วก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคนอีกแน่ๆ ไม่เคยพิจารณาอย่างถ้วนถี่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดมา ล้วนแล้วเกิดจากบุญกรรมนำพา มาทั้งสิ้น และที่สำคัญก็ยังเคย"โง่สุดๆ"ที่คิดว่า ทุกสิ่ง"เที่ยง" ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือ สูญสลายไปทั้งสิ้น ฉะนั้น คนที่เคยรักเรา ก็ต้องรักเราตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง คนที่เคยดีก็ต้องดีตลอดไป ไม่เคยคิดยอมรับในสัจธรรมเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ จึงได้ทุกข์ซ้ำซ้อน เพราะมีความคิดที่ผิดมาโดยตลอด และลัทธิ์ที่โดนเต็มๆสำหรับชนิดาก็คือ 

    ลัทธิที่ 5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)
    ...ข้อความทั้งหมดนี้ บ่งบอกและอธิบายความเป็นชนิดาได้ตรงที่สุดเลยค่ะ เพราะไม่มุ่งมั่นพอที่จะทำความดี ทำได้นิดๆหน่อยๆ เหนื่อยก็ท้อ เริ่มๆ หยุดๆอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน ซัดส่ายไปมา แล้วก็ไม่กล้าหาญพอที่จะ"เตือน"เมื่อเห็นคนทำผิดศีล เพราะกลัวว่าเค้าจะไม่พอใจ และที่ถนัดที่สุดคือ เวลาที่ตนทำอะไรผิด หรือโดนเพ่งเล็ง ก็จะรีบ"ปฏิเสธ"ทุกข้อกล่าวหา เพื่อปกป้องตัวเองไว้ก่อน ไม่กล้าต่อสู้ ไม่กล้ายอมรับความจริง และที่สำคัญ ก็ยังอวดเก่ง อวดฉลาด ทั้งๆที่ตัวเอง ก็โง่แสนโง่ ค่ะ
  •  
    Chanida Cheungsa-ad นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ลูก น.ส. ชนิดา เชิงสะอาด ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง 6 ที่เคยคิดผิด เห็นผิด พูดผิดและทำผิดไปจากทำนองคลองธรรมมาโดยตลอด ............และลูกกราบขอขมาพระรัตนตรัยที่ไม่รู้จริงแต่อวดรู้ และไม่ประพฤติ ปฏิบัติตามคำสั่งและคำสอนแห่งพระพุทธองค์ 

    ......ลูกขอขมาบุคคลที่ลูกเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ
    ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร
    หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจก็ตาม
    .....นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ลูกขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า
    ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด
    ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง
    หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล
    ....และจะไม่ กล่าวหาผู้ใดอีกเด็ดขาด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไปโดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:45:35


ความคิดเห็นที่ 13 (1651960)

  •  
    ตุ้ย ตุ้ย ศิริพร ข้าพเจ้า น.ส. ศิริพร โฉมจันทร์ ขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 นับแต่บัดนี้ค่ะ
    1.หนูเองได้คิด พูด เขียน และทำเหมือนกับ ลัทธิที่ 5 คือ "อมราวิกเขปิ กาทิฎฐิ" คือพูดปด ไม่ยอมรับผิด อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจิง โง่เขลา ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ 
    ซึ่งเวลาทำผิดอะไรก็จะไม่ยอมรับ ปากแข็ง ขี้ขลาด กลัวเกรงใจคนชั่ว ไม่กล้าสู้กับความเป็นจริง ทนรับฟังความจริงไม่ได้ พอใครพูดเรื่องจริง ก็โกรธเกลียดเขา แทนที่จะย้อนดูตัวเองและคิดแก้ไข กลับคิดร้าย สาบแช่งเขาแทนค่ะ
    2.ข้าพเจ้า น.ส.ศิริพร โฉมจันทร์ ขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิที่ 5 คือ ลัทธิ "อมราวิกเขปิ กาทิฎฐิ" ณ บัดนี้ และขอกราบขอขมาพระรัตนตรัย ที่ลูกได้ประมาทพลาดพลั้ง หลงผิดคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งถูกต้องดีงาม จนทำลาย ละเลย ความดีที่พระรัตนตรัยได้สอนสั่งไว้ค่ะ และอวดรู้อวดดี มาตลอด ซึ่งทำให้ชีวิตตกต่ำหาทางเจริญไม่ได้เลย
    3.ข้าพเจ้ากราบขอขมาบุคคลทุกคน ที่ข้าพเจ้าเคยมอง คิด พูด ว่าพฤติกรรมของท่านเป็นลัทธิ โดยที่ยังไม่เคยศึกษาหรือรู้ต้นสายปลายเหตุความเป็นจริงแต่ได้กล่าวหาเพียงแค่เห็นว่ามีคำสอนที่แปลกแตกต่างไปจากที่ข้าพเจ้าเคยรู้มา ก็เหมารวมเอาว่าท่านเป็นลัทธิ ข้าพเจ้าต้องกราบขอขมาท่าน ณ ที่น้ด้วยค่ะ
    4.ลูกขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใดลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล นับแต่บัดนี้ค่ะ
    5.ลูกจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง นับแต่บัดนี้ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:46:57


ความคิดเห็นที่ 14 (1651961)

  •  
    Thang Hwangwan 1.สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และ ทำมา ตรงกับลัทธิใด
    1.อกิีีิริยทิฏฐิ เห็นว่า 
    ***ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ*** -เชื่อว่าคนทำบุญ ก็ไม่ได้บุญ ทำบาป ก็ไม่บาป 
    -บุญไม่มี บาปไม่มี -ความดีไม่มี ความชั่วไม่มี เจ้าลัทธินี้คือ ปูรณกัสสปะ
    เมื่อสมัยก่อนผมเคยคิดตามที่ได้ยินได้ฟังมาจนรู้สึกคล้อยตาม เพราะดูทีวีและได้ยินคนหลายๆว่า เห็นมะ ไอ้คนทำดีมันก็ได้แค่นั้นล่ะ จนเหมือนเดิม ดูสิพวกขายยาบ้า พวกทำบาปมันรวยเอาๆ มีความสุข หรือทำชั่วอื่นๆได้ดีกัน ผมเลยคิดสงสัยแว่บขึ้นมาว่าเป็นอย่างนั้นจริงเหรอเนี่ย จนเริ่มศึกษาธรรมะมากขึ้นก็คิดว่า สงสัยบาปกรรมยังไม่ส่งผลตอนนี้เขาก็เลยยังมีความสุขอยู่ พอได้มาบ้านสวนก็เลยเริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างว่า ไอ้คนที่เราเห็นร่ำรวยเพราะทำบาปน่ะมันสุขจริงๆเหรอ เป็นโรคร้ายสารพัด มีทุกข์สุดๆแต่ไม่บอกใครต่างหากล่ะ คิดถึงตรงนี้แล้วอายเลยครับที่เมื่อก่อนเราคิดว่า ทำบุญแล้วไม่เห็นรวยมีความสุขเหมือนพวกทำบาปเลย ต้องรอกินผลบุญชาติหน้าโน่นแหละ สำนึกได้แล้วครับ ผมกราบขอขมาพระรัตนตรัยที่เคยคิดแบบคนชั่วบาปหยาบหนาเช่นนั้นมาก่อน สำนึกแล้วครับกับการกระทำทั้งพูดคิดและเขียนแบบมั่วๆรู้ไม่จริงแต่อวดรู้ อวดฉลาด
    3.นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่า
    ***ไม่มีผล*** คือ เชื่อว่า... -ทำบุญทำทาน ไม่มีผล -การบูชา ไม่มีผล -คนและสัตว์ ตายแล้วสูญ
    เจ้าลัทธินี้คือ อชิตเกสกัมพล
    อันนี้ก็เช่นเดียวกันกับลัทธิที่1ด้านบนเลยครับ เพราะเห็นว่าทำบุญก็คงต้องรอกินชาติหน้า ไหว้พระสวดมนต์ สวดจนปากหงิก ขอแล้วขออีก บางครั้งก็ได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เลย ไหว้พระสวดมนต์มาตั้งนาน ก็ยังลุ่มๆดอนๆ ได้แต่คิดสงสัยว่าตนเองทำอะไรไม่ถูกต้องหรือเปล่า ไหว้พระสวดมนต์หรืออธิษฐานไม่ถูกต้องหรือเปล่า คิดแบบคนโง่ อยากได้ เห็นแก่ได้ คิดแล้วสมน้ำหน้าตัวเองเจงๆเลยครับ ไอ้คนขี้ขอ ไอ้คนโง่อวดฉลาด สมน้ำหน้า… ละอายใจมากเลยครับที่ตัวเองเคยเป็นคนแบบนั้นมาก่อน กราบขอขมาพระรัตนตรัยในสิ่งที่ผมได้ทำทั้งคิด พูด เขียนลงไปเพราะความโง่เขลา ความละโมบอยากได้ของผมทำทำลงไปเพราะไม่เคยสนใจว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆคืออะไร ได้แต่อ้างว่าผมเป็นชาวพุทธ รักพระพุทธเจ้า แต่ผมกลับไม่รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าจริงๆแล้วพระองค์สอนอะไร ได้แต่ลูบคลำศีล แล้วมาอวดชาวบ้านไปวันๆว่าตนเองรู้ดี ฉลาดสุดๆ(หน้าโง่เอ๊ยย..สมน้ำหน้าตัวเองที่สุด)
  •  
    Thang Hwangwan 5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล 
    อันนี้ก็ใช่เลยครับ ปากนี่เก่งมากเลยผมนี่…รู้ไม่จริงก็อวดรู้ พูดแบบไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง พอรู้แล้วจริงๆคืออะไร ก็พูดอีกแบบหนึ่ง อันไหนที่ส่งผลกับตัวเองก็เงียบปากไว้ ไม่พูดดีกว่าเดี๋ยวเข้าตัว ใครถามอะไรก็ทำเฉยๆทั้งที่รู้ว่าจริงๆแล้วคืออะไร เมื่อก่อนนี้จะพูดเฉพาะสิ่งที่ไม่มีผลร้ายกับตัวเองแค่นั้นแหละครับ ไม่กล้าหาญ ใจหนึ่งก็อยากทำสิ่งที่ถูกต้อง ใจหนึ่งก็คอยค้านว่า อย่าไปยุ่งกับเขาเลยไม่ใช่เรื่องของเรา วางอุเบกขาดีกว่า แน่ะ…ตีความหมายของ อุเบกขา แบบผิดๆมั่วๆอีก โตขึ้นมาหน่อยบางครั้งก็กล้าทำ กล้าพูดในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็เรียกว่า ขี้ขลาดอยู่ดี เพราะไม่กล้าในทุกเวลา สถานที่ กราบขอขมาพระรัตนตรัยที่ผมได้เคยเห็นแก่ตัว ไม่กล้ายืนข้างความถูกต้อง ไม่กล้าพูด คิดและทำในสิ่งที่เป็นความจริง ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่าละอายใจจริงๆครับ เสียใจครับกับสิ่งที่เคยได้ทำลงไป
    6.อัตตกิลมถานุโยค และ อเนกกานตวาทะ เห็นว่า
    ***การทรมานกายจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์"
    อันนี้ก็โดนใจอีกแล้วครับ เมื่อก่อนคิดว่า พระพุทธเจ้ายังทนทุกข์กิริยาเลย ท่านยังไม่เห็นตายและพบธรรมะอันวิเศษสุด แล้วทำไมเราจะทนไม่ได้ ก็พยายามนั่งสมาธิครั้งละนานๆ นั่งไป ปวดขาแทบตาย ปวดนั่นปวดนี่ ทนเอา โอ๊ยย คือมันมาเจ็บแท้น้อพี่น้องเอ๊ยย อูยยยย เจ็บหนอ รู้หนอว่าเจ็บ อูยยย คือมันยังเจ็บอยู่หนอ ทำไมไม่หายเจ็บหนอ ฮ่วยยย บ่ทนแล้ว 5555 พรุ่งนี้หรือครั้งต่อมา ก็เอาอีก เพราะผมคิดว่า ต้องผ่านเวทนาไปให้ได้ ขณะที่ทำสมาธินั้นจิตใจก็ทุกข์กับร่างกาย ก็พยายามพิจารณาร่างกายว่าไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา อูยยย เจ็บแท้น้อ ขาขาดรึยังเนี่ยย ขาไม่ใช่ของเรา จะยึดกับมันทำไม อูยยย แล้วทำไมขายังเจ็บอยู่อีกน๊ออ เมื่อไรจะเลิกเจ็บน๊ออ คิดไปคิดมา ทำแบบนี้มานานนน มากครับ บางครั้งขาก็ไม่เจ็บเลย และหลังๆมาก็ไม่ค่อยสนใจกับอาการเจ็บ แต่ก็ลืมคิดไปว่า เราได้ปัญญาหรือพ้นทุกข์ตรงไหนเนี่ย ขณะที่ทุกข์ทรมาน ใจผมก็เฝ้าแต่เพ่งที่ขา เจ็บมั่กกก ไม่มีความสุขเลย ใจไม่เบิกบาน เหมือนที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่นี่ใจผมทุกข์มากขณะทำสมาธิ แล้วบุญจะเกิดตอนไหนเนี่ยย มาได้ปัญญาตอนที่ท่านอาจารย์อุบลสอนนี่แหละ อายเด๊ พี่น้องเอ๊ยย ทำแบบโง่ๆ แปลความหมายผิดๆ คิดว่าต้องทรมานร่างกาย มันทุกข์ก็ให้มันทุกข์ไป เฮ่ออ ลืมไปว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังทรงเลิกการทรมานร่างกายของพระองค์เองเลย โง่แล้วอวดฉลาดจริงๆครับ อายมั่กกๆเลยครับ กราบขอขมาพระรัตนตรัยที่ผมเคยได้ทำ และแนะนำคนอื่นด้วยความโง่เขลา ทั้งเขียนไปก็มี พูดไปก็มี คิดยิ่งเยอะเลย ชีวิตถึงไม่พ้นทุกข์สักที เข็ดแล้วครับ ที่เคยทำตัวโง่ๆแบบนั้น แล้วยังมีหน้าไปแนะนำคนอื่นให้ทำแบบเราอีก

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:47:34


ความคิดเห็นที่ 15 (1651962)

  •  
    Thang Hwangwan 2.ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ขอขมาพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
    ผมนายธนา อรุณภิญโญพล กราบขอขมาพระรัตนตรัย ที่ผมได้กระทำบาปต่างๆด้วยความโง่เขลา ไม่รู้ แต่อวดรู้ ทำฉลาดแบบคนงี่เง่า อยากให้คนรู้ว่าตนเองรู้จักธรรมะ และผมขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง6 นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปด้วยครับ
    3.ขอขมาบุคคลที่เราเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ
    ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    ผมขอขมาต่อพระสงฆ์องค์เจ้า และทุกๆท่านที่ผมได้เคยคิด พูด เขียน กล่าวหาว่าท่านเป็นเจ้าลัทธิ แต่ตัวเองก็คิดเอาเองว่านี่ไม่ตรงกับสิ่งที่เรารู้ แสดงว่าเป็นพวกลัทธิใหม่ และที่สำคัญผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลัทธิจริงๆแปลว่าอะไร มีอะไรบ้าง ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ใส่ร้าย จับผิดคนอื่นอย่างน่าละอายใจ และเป็นบาปกรรม ทำให้คนอื่นเข้าใจเขาผิดไปด้วย

    4.ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล 

    ผมขอมอบกายถวายชีวิต และขอเป็นศิษย์ สาวกของพระพุทธเจ้า จะเชื่อฟังและปฏิบัติตัวเองใหม่ตามคำสอนของพระองค์ทุกประการครับ 

    5.จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง
    ผมขอเลิกทำตัวอวดฉลาด เที่ยวไปกล่าวหาคนนั้น คนนี้เป็นเจ้าลัทธิ โดยรู้ไม่จริงหรือมุ่งร้ายต่อเขา จะไม่ทำอีกต่อไปโดยเด็ดขาดครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:48:19


ความคิดเห็นที่ 16 (1651963)

  •  
    อนัญญา สุขถาวร กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบล เป็นอย่างสูงค่ะ ที่ได้ให้ความรู้ ความกระจ่างแจ้งชัดเจนในเรื่อง"ลัทธิ" อัญเองเมื่อก่อนก็เข้าข่าย ลัทธิที่ 1,2,3 และ 5 
    โดยคิดว่าเราก็เป็นคนดี คนหนึ่ง ทำบุญที่วัดเป็นประจำ ทำสังฆทาน พิมพ์หนังสือสวดมนต์แจกเป็นธรรมทาน แต่ทำไมชีวิตก็ทั้งทุกข์ ทั้งเจ็บและจน ปัญหาต่าง ๆ มากมาย เป็นพวกมือถือสาก ปากถือศีล คิดว่าตัวเองทำดี แต่ใจคิดไม่ดี ชอบพูดเหน็บแนมทำร้ายจิตใจผู้อื่น จนกระทั่งได้มารู้จากท่านอาจารย์อุบล ได้รู้ว่าที่ทำบุญแล้วไม่เกิดผลเพราะไม่มีความบริสุทธิ์ สามส่วน ฯ 
    เมื่อก่อนตอนดูข่าวคนขายยาบ้า ก็คิดว่า ดูสิขายมาตั้งนาน รวยมาตั้งนาน เพิ่งมาโดนจัด เห็นที่ทำงาน (ขายประกัน) พวกที่โกหก ปลิ้นปล้อน ขายผิดสัญญาผิดเงื่อนไป อธิบายแบบประกันแบบผิด ๆ กับขายได้ดี ส่วนที่ขายซื่อตรง ถูกทุกอย่างกับขายไม่ได้ หรือ ลูกค้ากับเรื่องมาก อะไรทำนองนี้ เห็นพวกคอ์รับชั่น ในบ้านเมืองก็มีรวย ๆ ไม่เห็นใครไปทำอะไรคนพวกนี้ได้ ฯลฯ แล้วแต่ก่อนก็ขี้ขลาด ไม่กล้าต่อสู้ ไม่กล้าเผชิญความจริง มักจะคิดว่าธุระไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับเรา เรื่องอะไรเราต้องยื่นมือไปช่วย ต้องไปเดือดร้อน เป็นอ่อนแอ ชอบนิ่งดูดาย
  •  
    อนัญญา สุขถาวร ข้าพเจ้า นางอนัญญา (อัญ) สุขถาวร ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง 6 
    และ ขอขมาต่อพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
    ขอขมาบุคคลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวหาว่าเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร

    ข้าพเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า จะน้อมนำคำสอนของพระองค์ที่ท่านอาจารย์อุบลเป็นผู้นำมาถ่ายทอด จะปฏิบัติ ประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการ กระทำ พูด คิด ที่เข้าได้กับลัทธิใดลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ จะงดเว้นทั้งหมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล 
    จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป 
    โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง กราบ กราบ กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:49:17


ความคิดเห็นที่ 17 (1651964)

  •  
    Ipisut Iyara ข้าพเจ้าน.ส.เบ็ญจมาศ ประดิษฐ์ผล 1.ขอสารภาพบาปว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าคิด พูด เขียน และทำ ตรงกับลัทธิ 1.อกิริยทิฏฐิ เห็นว่าทำก็ไม่ชื่อว่าทำ เชื่อว่าคนทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่บาป บุญไม่มี บาปไม่มี ความดีไม่มีความชั่วไม่มี เห็นคนอื่นทำบาปแล้วได้ดี รวยเอาๆ ก็คิดว่ามันดี เห็นคนทำชั่วได้เลื่อนยศ มีคนยกย่อง ก็เชื่อว่าดี จึงคิดว่าบาปไม่มี ถึงขนาดจะเลียนแบบเขาบ้าง ตัวเองทำดี แต่ไม่มีอะไรดีก็คิดว่าบุญไม่มี แทนที่จะมาดูตัวเองว่าที่ว่าทำดีแล้ว มันถูกต้องหรือยัง ดีแน่หรือ 2.อเหุฏทิฏฐิ ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ข้าพเจ้าเคยเื่ชื่อว่า คนและสัตว์จะได้ดีได้ชั่ว จะสุขจะทุกข์ก็ได้เอง ไม่ใช่เพราะเหตุดี และเหตุชั่ว ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจ และไม่เคยศึกษาเรื่องเหตุแห่งความสุข ความทุกข์เลย
  •  
    Benjakan Sirivat ข้าพเจ้า น.ส.เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริวัฒนา ขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 นับแต่บัดนี้ค่ะ
    1.ข้าพเจ้าเคยคิด พูด เขียน และทำเหมือนกับ 
    --ลัทธิที่ 1. อกิีีิริยทิฏฐิ เห็นว่า -บุญไม่มี บาปไม่มี -ความดีไม่มี ความชั่วไม่มี ทำชั่วได้ดีมีถมไป จะทำดีไปทำไม
    --ลัทธิที่ 3. นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่า -ทำบุญทำทาน ไม่มีผล -การบูชา ไม่มีผล -คนและสัตว์ ตายแล้วสูญ เช่น คนเราเกิดมาก็จำอตีตชาติไม่ได้ ฉะนั้นตายแล้วก็สูญ
    --ลัทธิที่ 5 อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า การพูดปด ไม่ยอมรับผิด อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง โง่เขลา ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ 
    2.ข้าพเจ้า น.ส.เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริวัฒนา ขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิ อกิีีิริยทิฏฐิ, ลัทธินัตถิกทิฏฐิและลัทธิอมราวิกเขปิกาทิฎฐิ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ลูกกราบขอขมาพระรัตนตรัย ที่ไม่รู้จริงแต่ได้อวดรู้ บอกว่าเป็นศาสนาพุทธ ศรัทธาพระพุทธเจ้าแต่ปาก แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ รักษาศิล 5 ไม่ได้สักข้อเดียว 
    3.ข้าพเจ้ากราบขอขมาบุคคลทุกคน ที่ข้าพเจ้าเคยมอง คิด พูด ว่าพฤติกรรมของท่านเป็นลัทธิ โดยที่ยังไม่เคยศึกษา หรือรู้ต้นสายปลายเหตุความเป็นจริงแต่ได้กล่าวหาเพียงแค่เห็นว่ามีคำสอนที่แปลกแตกต่างไปจากที่ข้าพเจ้าเคยรู้มา ก็เหมารวมเอาว่าท่านเป็นลัทธิ ข้าพเจ้าต้องกราบขอขมาท่าน ณ ที่น้ด้วยค่ะ
    4.ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใดลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ จะงดเว้นทั้ง หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล นับแต่บัดนี้ค่ะ
    5.ข้าพเจ้าจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง นับแต่บัดนี้ค่ะ
    กราบขอพระคุณท่านอาจารญ์อุบล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เทวดาที่รักษาท่านอาจารย์อุบลทุกพระองค์ ที่เมตตาให้ลูกเข้าใจคำว่าลัทธิได้กระจ่างขึ้นค่ะ กราบ กราบ กราบ
  •  
    Ipisut Iyara 3.นัตถิกทิฏฐิ ไม่มีผล ข้าพเจ้าเคยคิดว่าบุญไม่มีผล ทำบุญแล้วยังเจ็บยังจนเหมือนเดิม การบูชาไม่มีผล ข้าพเจ้าเคยบูชาพระ เทพต่างๆ ขอนั่นขอนี่ บนบาน พอไม่ได้ก็โมโหพาลไม่นับถือไม่เชื่อ มิหนำซ้ำข้าพเจ้าเคยเชื่อว่านิพพานสูญ ในเวลานั้นข้าพเจ้าไม่เข้าใจคำว่านิพพาน แต่ก็ไม่สนใจที่จะศึกษา และปักใจเชื่อว่าทั้งคนและสัตว์ตายแล้วสูญ 4.สัสสตทิฏฐิ เชื่อว่า สิ่งทั้งหลายเที่ยง ยั่งยืนอยู่อย่างนั้น 5.อมราวิกเขปิกา ข้าพเจ้าเคยอ่อนแอ ไม่กล้าสู้กับความจริง คิดว่าตัวเองพูดไม่เก่ง พูดไม่ทันเขา มีอะไรก็ปฏิเสธไว้ก่อน เพื่อปกป้องตัวเอง เกรงว่าคนอื่นจะหาว่าตัวเองโง่ ก็ทำเฉยๆ หรือปฏิเสธไว้ก่อน 6.อัตตกิลมถานุโยคและอเนกกานตวานะ ข้าพเจ้าเคยมีความเป็นอยู่ที่เข้มงวดกวดขันต่อร่างกายตัวเอง เคยอดข้าวแบบจงใจอด เคยนั่งสมาธิแบบบังคับตัวเองนั่ง เคยเดินตากแดดเพื่อพิสูจน์ความอดทนของตนเอง แต่ก็ไม่ได้พ้นทุกข์อะไร นอกจากทุกข์เพิ่มขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:50:02


ความคิดเห็นที่ 18 (1651965)

  •  
    Ipisut Iyara บัดนี้ข้าพเจ้าสำนึกแล้วว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าคิด พูด ทำ เขียนที่ผ่านมาล้วนไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ข้าพเจ้าขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 ต่อเจ้าลัทธิทั้งหลาย และขอขมาต่อพระรัตนตรัยที่ข้าพเจ้าไม่รู้จริงแต่อวดฉลาด ข้าพเจ้าขอขมาต่อบุคคลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยคิดว่า ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กล่าวหาว่าเป็นลัทธิ เป็นเจ้าลัทธิ ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่รู้จริง ไม่เคยศึกษาให้ถ่องแท้ ทำให้ท่านทั้งหลายได้รับความเดือดร้อน
  •  
    Ipisut Iyara ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะเลิกจากการกระทำอันเข้ากับลัทธิทั้ง 6 จะรักษาศีล ให้ทาน ภาวนา ใช้ปัญญา จะไม่กล่าวหาใครเป็นลัทธิ หรือเจ้าลัทธิอีกต่อไป กราบขอบพระคุณอ.อุบล และเทวดารักษาอ.อุบลทุกพระองค์ค่ะ
  •  
    นางบุญภิบาล คงเขียว บัดนี้ข้าพเจ้านางบุญภิบาล คงเขียวขอมอบกายถวายชีวิตเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า และข้าพเจ้าขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 และขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย ผู้ทรงศีล ครู มีมีพระคุณ พ่อ แม่ และผู้มีพระคุณทุกๆท่าน ทั้งวจีกรรม มโนกรรม กายกรรม กราบขอโทษผู้มีพระคุณทั้งหมด กราบขอบพระคุณเทวดาที่รักษาตัวท่านอาจรย์อุบลทุกๆ พระองค์ กราบ กราบ กราบ
  •  
    Seenual Phissamay กราบ ขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบลที่เมตตาชี้แจงให้รู้ความหมายของคำว่า "ลัทธิ" อย่างละเอียดค่ะ
    *** เท่าที่พิจารณาดูแล้วธัญญาภรณ์ก็เข้าข่ายแทบจะทุกลัทธิค่ะ แต่ที่ตรงตัวที่สุดก็คือลัทธิที่ 5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ) รวมความแล้วตัวเองอ่อนแอไม่กล้ายืนหยัดในสิ่งที่เป็นความจริงที่ดีงามค่ะ
    *** ลูกขอลาออกต่อเจ้าลัทธินี้คือ สัญชัยเวลัฏฐบุตร
    ขอขมาพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
    *** ขอขมาบุคคลที่เราเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไรหรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    *** ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้าด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด
    ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง
    หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล
    *** ลูกจะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไปโดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง สาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:50:41


ความคิดเห็นที่ 19 (1651966)

  •  
    Parichat Chompoo ปาริชาต ชมภู ผิดศีลข้อ 3 ชิงสุกก่อนห่ามกับแฟนโดยยังไม่ได้แต่งงาน มีกิ๊ก มีชู้ทางใจกับผู้ชายอื่นขณะที่มีแฟนอยู่ ชอบดูหนังโป๊ รูปโป๊ อ่านหนังสือโป๊ โดยเฉพาะสมัยเรียนจะชอบอ่านนิยายแปล เพราะมีฉากเลิฟซีนเยอะดี อ่านแล้วจะได้จินตนาการไปด้วย หมกมุ่นในกาม 
    ผลกรรม ทำให้ สายตาสั้น และมีปัญหาความรักไม่ค่อยสมหวัง บริวารไม่เชื่อฟัง คอยแต่จะเข้าใจเราผิด
    4. ศีลข้อ 4 ชอบพูดโกหก เป็นอัตโนมัติ เช่น ลดราคาแล้วไม่ได้ขาดทุนจริงๆ นัดใครไว้ก็บอกกำลังจะถึงแล้วแต่ตอนนั้นยังไม่ได้ออกจากอ๊อฟฟิศ ยังนอนอยู่บ้านแต่บอกเจ้านายว่าทำงานอยู่ โกหกเจ้านาย ชอบนินทาคนอื่นเพราะทำให้เรารู้สึกดี ถ้าพูดให้เค้าเสียหายเราจะได้ดูดี ชอบพูดกระแนะกระแหน เสียดสีคนอื่น พูดว่าแม่ว่า อย่ามายุ่ง รำคาญ ชอบสาบแช่งคนอื่น เช่น เวลาคนขับรถตัดหน้าจะแช่งให้เค้าตายๆไปซะ มีความสามารถเด่นมากเรื่องพูดวิจารณ์คนอื่น ทำให้คนฟังจิตตก
    ผลกรรม คือพูดจาไม่ค่อยมีคนเชื่อถือ รูปปากไม่สวย แถมริมฝีปากคล้ำ มีกลิ่นปาก
  •  
    Parichat Chompoo ปาริชาต ชมภู ผิดศีลข้อ 5 เคยดื่มเหล้าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนเริ่มทำงานได้ 2-3 ปีถึงเลิก เคยชวนคนอื่นให้ดื่ม ส่งเสริมให้คนอื่นดื่ม และเคยให้เงินคนอื่นไปซื้อเหล้า ที่สำคัญที่บ้านขายของชำ ตอนนั้นขายเหล้า บุหรี่ตั้งหลายปีมาก เคยลองสูบบุหรี่ เคยทานข้าวหมาก เคยช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยว กับข้าว แล้วใส่ผงชูรสเยอะมากให้คนหลายพัน หลายหมื่นกิน 
    ผลกรรม ทำให้เป็นคนขี้ลืม และมีปัญหาโรคกระเพาะ ท้องอืดบ่อยๆ

    ยังมีบาปกรรมที่รุนแรงสุดๆอีกอย่าง ก็คือ การอกตัญญูต่อพ่อแม่ พ่อแม่ดิฉันเลิกกันตั้งแต่เด็ก ดิฉันจึงต้องถูกส่งมาอยู่กับยายที่โคราช สำหรับพ่อนานๆมาเยี่ยมที ความรู้สึกกับพ่อ คือ เป็นคนทำให้เกิด แต่ไม่ได้รู้สึกรักและผูกพัน และต่อมาท่านบวชเป็นพระ จึงไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูท่าน ต่อมาท่านป่วยเป็นมะเร็งตรงคอ ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยม เพราะรู้สึกโกรธที่พ่อยกสมบัติทั้งหมดให้น้องชาย ไม่ยกให้ลูก สุดท้ายท่านเสีย ซึ่งตอนท่านเสียรู้สึกผิดมาก ที่เราไม่ได้ดูแลและสนใจท่านเลย พึ่งรู้ว่าความรู้สึกผิดมันกัดกร่อนจิตใจมาก มันเป็นความรู้สึกที่ฝังลึกในใจ ที่เค้าบอกว่าให้ดูแลและทำดีที่สุดกับพ่อแม่ตอนท่านมีชีวิตอยู่ ดีกว่าไปคอยใส่บาตรทำบุญให้ท่านตอนท่านตายไปแล้ว ก็คงเพราะไม่อยากให้เรารู้สึกผิดนั่นเอง ความรู้สึกนี้มันไม่มีวันออกไปจากใจเราเลย มันแปล็บๆตลอด
    ส่วนแม่ ก็จะทะเลาะกันตลอด เพราะเราโกรธที่ท่านแต่งงานใหม่กับคนที่อายุน้อยกว่ามาก จึงทำปั้นปึ่งใส่ท่านทั้งสองตลอด ทะเลาะกัน ด่าว่าแม่ด้วยคำเสียหาย ไม่เชื่อฟังท่าน ชอบเดินกระทืบเท้าใส่ท่านตลอดทำให้แม่เสียน้ำตามาหลายครั้ง 
    ผลกรรม ทำให้ตัวเองต้องมีเรื่องเสียใจ ทำให้โดนลูกค้าเอาเปรียบ ไม่ให้เกียตริ พูดต่อว่าให้เจ็บช้ำน้ำใจ แปลกมากที่เจอแต่ลูกค้าที่มีอีโก้สูง เป็นพวกมีปมด้อย เรียกร้องความสนใจและอยากให้เราให้ความสำคัญตลอด แทบไม่เคยเจอลูกค้าที่นิสัยดีๆ มีความมั่นคงทางอารมณ์เลย ทำให้เราเสียใจจนร้องไห้หลายครั้ง มีแต่ความเจ็บปวด บีบคั้นทางใจ ไม่เคยรู้สึกมีความสุข เบิกบานกับเค้าเลย เลยพาลเกลียดลูกค้า นินทาว่าเป็นพวกลูกเมียน้อยถึงได้ชอบเรียกร้องความสนใจนัก คิดดูลูกค้าเป็นผู้มีพระคุณ แล้วเราไปด่าว่า นินทาเค้าซะขนาดนั้น จะไปเจริญได้ไง จะหวังให้เค้าเมตตา เอ็นดูเราได้ยังไง เพราะดิฉันคิดว่าทุกสิ่งที่เรา คิด พูดออกไปจะส่งเป็นพลังงานออกไปถึงตัวคนที่เราพูดถึงเสมอ จิตวิญญาณเค้าย่อมรับคลื่นพลังงานลบของเราได้แน่นอน จึงยิ่งส่งผลให้เค้าไม่ชอบเรา ทั้งๆที่บางครั้งเค้าก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมไม่ชอบเรา

    แถมยังเคยนินทาพระราชวงศ์ ตามข่าวลือต่างๆ อย่างเมามัน แถมยังเคยว่าในหลวง ตอนที่เสื้อเหลือ เสื้อแดงทะเลาะกันว่า ทำไมท่านไม่ออกมาห้าม ทั้งๆที่รู้ว่าตอนนั้นท่านทรงประชวรหนักมาก เวลาเรามีความทุกข์ ก็หวังจะให้ท่านช่วยเหลือตลอด แต่เวลาท่านมีความทุกข์หรือท่านโดนดูหมิ่น จาบจ้วง เราไม่เคยทำอะไรเพื่อปกป้องท่านเลย

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:51:43


ความคิดเห็นที่ 20 (1651967)

  •  
    IAm Ichi ข้าพเจ้านางสาวเจิดหทัย สุวรรณากาศ : 
    **อ่านแล้วรู้ว่าตนเองเป็นสาวกของลัทธิ์ทั้ง 6 เลยคะแต่จะหนักหน่อยคือลัทธิที่ 1, 3 5และ 6 คะคำสารภาพเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องลัทธิ์
    ลักธิ์ที่ 1 : มีเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองหรือพบเจอจากบุคคลที่ใกล้ชิดหรือแม้แต่การอ่านข้อมูลจากข่าวสาร แล้วก็เอาบุคคลเหล่านั้นมานินทาวิเคราะห์แบบไม่ได้ใช่ปัญญาใช้ความอิจฉาริษยา หรือแม้แต่บางทีที่ชอบคิดชอบหลงตนเองว่า “ฉันก็ทำดีแล้ว ทำไมถึงยังไม่ได้รับผลของความดี ทำไมไอ้คนที่มันทำชั่วถึงได้เจริญขึ้นๆ” หรือ ทำให้ลึกๆในใจก็มีความคิดค้านกับพระพุทธเจ้า แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า “ไม่เห็นคนชั่วจะได้รับผลของกรรมเลย” “ทำดีได้ดีนี้มันจริงหรือเปล่า” “คนดีๆทำอะไรที่ผิดเล็กน้อยก็ได้รับกรรมแล้วแต่ทีคนชั่วทำอะไรไม่เห็นจะได้รับกรรมเลย”

    ลักธิ์ที่ 3 : มีจิตคิดชั่วคิดแว่บสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าคะ คือขาดปัญญาแล้วก็ยึดเอาตนเองเป็นหลักไม่ได้พิจารณาถึงสาเหตุคือว่าทำไมผลถึงไม่เกิดกับตนเอง โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่า ”อยากรวยให้ทำทาน” แต่เนื่องจากทำแล้วไม่เห็นผลก็โง่เขลาตัดสินใจไปว่า ทำไปแล้วมันไม่มีผลคะ

    ลักธิ์ที่ 5 : ตรงกับหนึ่งมากที่สุด 
    5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)

    เพราะจริงๆแล้วเป็นคนอ่อนแอ ไม่กล้าสู้ความจริงไม่ยอมรับความจริงขี้ขลาดตาขาว เคยเจอเหตุการณ์ที่คนปรามาสในหลวงทั้งๆที่ตนเองก็ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไปทำท่าทางแสดงให้คนอื่นคิดว่าตนเองหันด้วยอยู่ตลอดพฤติกรรมของคนชอบเพิกเฉยของแท้แน่นอนจริงคะ

    ลัทธิที่ 6 :.อัตตกิลมถานุโยค และ อเนกกานตวาทะ เห็นว่า ***การทรมานกายจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์"
    อันนี้ก็โดนอีกคะ เหมือนก่อนตอนที่เริ่มนั่งสมาธิ ตอนแรกๆก็นั่งไปด้วยใจสบายแต่ต่อๆไปก็พยายามฝืนตนเองให้นั่งยาวๆ แล้วจิตก็ไม่ได้จดจ่อกับการทำสมาธิจริงๆแต่ไปจดจ่ออยู่กับการทรมานร่างกายฝืนร่างกายว่าถ้าเรานั่งยาวๆจะพ้นทุกข์เกิดบุญมาก แต่ไม่ได้พิจารณาว่าระหว่างที่นั่งจิตมันเกิดสมาธิตามหรือไม่คะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:52:31


ความคิดเห็นที่ 21 (1651968)

  •  
    Waraporn Labuntao 1.สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และ ทำมา ตรงกับลัทธิใด// ไอซ์ขอสารภาพว่าการกระทำของไอซ์นั้นเข้าข่ายลัทธิทั้ง 6 เลยค่ะ ได้เคยคิด เคยทำมาแล้วทั้งนั้นในอดีตค่ะ โดยเฉพาะลัทธิ อกิีีิริยทิฏฐิ เห็นว่า 
    ***ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ*** -เชื่อว่าคนทำบุญ ก็ไม่ได้บุญ ทำบาป ก็ไม่บาป 
    -บุญไม่มี บาปไม่มี -ความดีไม่มี ความชั่วไม่มีแถมยังเคยคิดคล้อยตามคนอื่น และเห็นด้วย ไปกับเค้าแล้วก็ยังเอามาท่องอีกด้วยว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วไ้ด้ดีมีถมไป ตัวเองทำชัั่วคนเดียวยังไม่พอ ทำผิดศีลทั้ง 5 ซ้ำัยังทำผิด ทุกข้อในอบายมุขทั้ง 6ค่ะ ยังสนับสนุนส่งเสริมให้คนอื่นทำชั่วอีกด้วยค่ะ จนตัวเองต้องมาทุกข์ทรมาน กับปัญหา สารพัดในชีวิต ทั้งกาย ต้องเจ็บปวด เป็นสารพัดโรค ทั้งปวดท้องเมนส์ เมนส์มาไม่ปกติ โรคโลหิตจาง ความดันต่ำ เป็นโรคกระเพาะ ภูมิแพ้ หน้าเป็นสิว มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ฟันผุ ทั้งใจ ครอบครัว ปัญหา การงาน การเงิน ยากจน เป็นหนี้สิน เรียกได้ว่าทุกข์ทุกด้าน ไม่เคยรู้จักกับความสุขเลยค่ะ 

    2.ข้าพเจ้าวราภรณ์ หล่าบรรเทา ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ขอขมาพระรัตนตรัย ที่อวดรู้ อวดฉลาด คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองรู้ดี แถมยังมีหน้าไปสอนคนอื่นเค้าอีก ทั้งที่ไม่ได้รู้อะไรเลย แม้แต่ความหมายของลัทธิก็ไม่รู้ ที่รู้ก็รู้ไม่จริงแต่อวดรู้ อวดฉลาดกับคนอื่น แสดงตนเองว่าเป็นผู้รู้ค่ะ ไปสอนคน อวดคนว่าดี ว่าเก่ง ทั้งที่ตัวเองก็จน ทุกข์ เจ็บป่วย ผิดหวังทุกเรื่อง หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้่ค่ะ

    3.ข้าพเจ้าขอขมาทุกคนที่ ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ
    ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร
    และใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน ข้าพเจ้าขอขอขมาต่อบุคคลเหล่านั้นในความโง่เขลา และอวดฉลาดของข้าพเ้จ้าค่ะ

    4.ข้าพเ้จ้า วราภรณ์ หล่าบรรเทา ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า
    ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด
    ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง 
    หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล ตั้งแต่บัดนี้เป็นตันไปค่ะ 

    5.ข้าพเจ้าจะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป 
    โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริงโดยเด็ดขาดค่ะ
  •  
    วิจิตร บุญศิริ ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง 6 กราบขอขมาพระรัตนตรัย ข้าพเจ้านางวิจิตร บุญศิริ กราบขอขมาพระรัตนตรัยที่ไม่รู้จริง แล้วอวดรู้และไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และคำสอนแห่งพระพุทธองค์ และขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ทั้ง6 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และข้าพจ้าขอขมาต่อบุตคลที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ หรือเป็นคนนอกศาสนา ไม่มีศาสนา ทั้งๆที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปลูกขอมอบกายถวายชีวิตมาเป็นศิษย์และสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการคิด กระทำที่เข้าได้กับลัทธิใดลัทธิหนึ่งใน6ลัทธิ หันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:53:06


ความคิดเห็นที่ 22 (1651969)

  •  
    IAm Ichi 2. ข้าพเจ้านางสาวเจิดหทัย สุวรรณากาศ ขอลาออกจากการเป็นศิษย์เจ้าลัทธิทั้ง 6 อันไม่ว่าจะเป็นท่านปูรณกัสสป / มักขลิโคสาล / อชิตเกสกัมพล /ปกุทธกุจจายนะ /สัญชัยเวลัฏฐบุตร รวมถึงกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย อันประกอบด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่ลูกโง่เขลาเบาปัญญา โง่แล้วยังอวดรู้คิดว่าตนเองเก่งฉลาด

    3. ลูกกราบขอขมาต่อสมเด็จองค์ปฐมและหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่รู้แล้ววิพากษ์วิจารณ์ เคยมีเหตุการณ์ที่ไปเที่ยววัดบางโคนม และมีรุ่นพี่ที่นับถือพูดจาทำนองที่ว่า หลวงพ่อฤาษีอวดอุตริเกินที่หลวงพ่อปานสอน ทำให้จิตมีอคติกับหลวงพ่อ ครั้งไปวัดท่าซุงใน มีประโยคที่หลวงพ่อฤาษีเขีบนถึงพระองค์ที่ 11 (สมเด็จองค์ปฐมหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่หลวงพ่อฤาษีระบุ ) ตอนนั้นอ่านแล้วก็เลยคิดว่า หลวงพ่ออวดอุตรืจรืง ซึ่งเทียบเท่ากับตนเองได้ปรามาส ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง และ ปรามาสหลวงพ่อฤาษีลิงดำพระอริยเจ้าและยังเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านอ.อุบลเคารพนับถืออีกด้วย กราบขอขมาต่อสมเด็จองค์ปฐม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือแม้แต่หลวงตามหาบัวที่ได้เคยวิพากษ์วิจารณาคิดว่าท่านทำไมมายุ่งทางโลก กราบขอขมาคะ…

    4.ข้าพเจ้า นางสาวเจิดหทัย สุวรรณากาศ ขอมอขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า
    ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิทั้ง 6 แลจะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา และเหตุผลนับจากนี้เป็นตนไปคะ

    5.ข้าพเจ้า นางสาวเจิดหทัย สุวรรณากาศ จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไปโดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริงทั้งทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมคะ
    สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:54:07


ความคิดเห็นที่ 23 (1651970)

  •  
    Jummangy Muu ข้าพเจ้า ธารีรัตน์ กะลัมพะเหติ คิดว่าตนเองมีพฤติกรรมอยู่ในลัทธิที่ 5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ มากที่สุดคือ
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)***********จะเห็นว่าอันที่ 5 ไม่น่าจะมีตัวตนของลัทธิ เพราะดูเป็นผู้อ่อนแอ อะไรๆก็ไม่ไว้ก่อน********* ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สื่อ และบอกเล่าสั่งสอนให้ลูกศิษย์เข้าใจ โดยอจ.อุบล โดยจะพูดความจริง ยอมรับความจริง กล้าหาญที่จะต่อสู้กับอธรรม และ นำเสนอความจริง ให้ บันลือสีหนาท คือ กล้าหาญและมั่นใจ ในทุกกาลสถานทีี กราบในความเมตตาของ อ.อุบล และเทวดาของท่านทุกๆพระองค์
  •  
    Jit Poonil กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่นำความรู้เรื่อง "ลัทธิ" มาให้ศึกษาเพราะที่ผ่านมายังไม่เคยศึกษาเรื่อง "ลัทธิ"มาก่อนเลย จึงทำให้คิดและเข้าใจไม่ถูกต้องมาตลอด
    สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และทำมา ตรงกับลัทธิใด
    1. อกิริยทิฏฐิ เห็นว่า
    ***ทำก็ไม่มีชื่อว่าทำ ***
    -- เชื่อว่า คนทำบุญ ก็ไม่ได้บุญ ทำบาปก็ไม่ได้บาป
    -- บุญไม่มี บาปไม่มี
    -- ความดีไม่มี ความชั่วไม่มี
    เจ้าลัทธินี้ คือ ปูรณกัสสปะ
    เคยคิดว่าทำไมบุญไม่ช่วยเวลาที่เราทุกข์ ลำบาก ยากจน หรือมีปัญหา เราก็เคยทำมาเกือบทุกบุญ มากบ้างน้อยบ้าง บุญที่เราทำไว้หายไปไหนหมด จนบางครั้งท้อใจ ไม่อยากทำบุญต่อไป 
    2.อเหกุทิฐฐิ เห็นว่า
    ***ไม่มีเหตู ไม่มีปัจจัย ***
    - คนและสัตว์จะได้ดีได้ชั่ว ก็ได้เอง
    - ไม่ใช่เพราะทำเหตูดี หรือ เพราะทำเหตูชั่ว
    - คนและสัตว์ เมื่อเวียนว่าย ตายเกิดแล้ว จะบริสุทธิ์ได้เอง
    เจ้าลัทธินี้คือ มักขลิโคสาล
    เคยคิดว่า ทำบุญไปก็ไม่เห็นได้ดี คนที่ประกอบอาชีพที่ไม่ดี ผิดกฏหมาย ผิดศีลทำไมเขาร่ำรวยกันมาก
  •  
    Jit Poonil 3.นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่า
    ***ไม่มีผล ***คือ เชื่อว่า 
    - ทำบุญ ทำทาน ไม่มีผล
    - การบูชา ไม่มีผล
    - คนและสัตว์ตายแล้วสูญ
    ***เจ้าลัทธิ คือ...อชิตเกสกัมพล...
    เมื่อทำบุญก็หวังให้บุญส่งผล ช่วยให้เรามีความสุขสบาย ทุกด้าน และเราก็เคยทำบุญมาตั้งหลายอย่าง แต่บุญทีทำไม่มาช่วยเราเลยชาตินี้ คงสะสมไว้รอชาติหน้า เลยทำให้ท้อในการสร้างบุญ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:54:54


ความคิดเห็นที่ 24 (1651971)

  •  
    นิชนันท์ จงถาวร นางนิชนันท์ จงถาวร *** สิ่งที่คิด พูด เขียนและทำมา ตรงกับลัทธิ 1 ,2, 3, 4, 5 ค่ะไม่รู้ไม่กระจ่างในเรื่องลัทธิแต่ก็เที่ยวพูด *** ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ และขอขมาพระรัตนตรัยที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้ค่ะ *** ขอขมาต่อทุกคนที่ข้าพเจ้านางนิชนันท์เคยกล่าวหาท่านว่าเป็นเจ้าลัทธิ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกี่ลัทธิและเป็นอย่างไร หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิดบิดเบือนความจริง *** ลูกนางนิชนันท์ จงถาวร ขอมอบกายถวายชีวิตมาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้าด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใดลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิจะงดเว้นทั้งหมด ค่ะ แล้วจะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญาใช้เหตุผล *** จะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และรู้ไม่จริง *** ลูกขอกราบขอบพระคุณท่าน อ.อุบล และเทวดาที่รักษาตัวท่าน อ.อุบล และทุกๆพระองค์ ที่ได้เมตตาให้ธรรมะเรื่องลัทธิ ค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
  •  
    Jit Poonil 5.อมราวิกเขปิกาทิฏฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ***ซัดส่ายไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า.......
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฏิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฏิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด( อ่อนแอไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธแก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริงไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)
    ...เจ้าลัทธิคือ...สัญชัย เวลัฏฐบุตร (อาจารย์เดิมของ พระโมคคัลลา และ พระสารีบุตร นั่นเอง)
    อ่านแล้วตรงมากที่สุดข้อนี้คือ เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่กล้าต่อสู้ ไม่กล้าเผชิญปัญหา ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่ยอมรับผิด ปฏิเสธแก้ตัว
    6.อัตตกิลมถานุโยค และ อเนกกานตวาทะ...เห็นว่า...
    ***การทรมานกาย***จะพาไปสู่ความพ้นทุกข์ ...คือเชื่อว่า
    -มีความเป็นอยู่อย่างเข้มงวดกวดขันต่อร่างกาย
    -อดข้าว อดน้ำ ตากแดด ตากลม ไม่นุ่งห่มผ้า
    -ความจริงมีหลายเงื่อน หลายแง่
    -เรื่องหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่ง เมื่อพิจารณาในแง่่นี้อาจจะจริง ถูก แต่เมื่อพิจารณาในอีกแง่หนึ่งก็ไม่จริง ไม่ถูก เป็นต้น
    -เช่นพวก นิครนถ์
    ***เจ้าลัทธิ ***นี้คือ นิครนถนาฏบุตร หรือ ท่านศาสดามหาวีระ ศาสดา องค์ที่ 24 ของศาสนาเชน นั่นเอง
    เวลานังสมาธิก็จะนั่งให้นานที่สุด ปวดเมื่อยก็พยามยามทนให้ได้เพราะคิดว่าการนั่งสมาธิ เดินจงกรมนาน ๆ และไปถือศีลที่วัดก็อดนอนเกือบทั้งคืนนั้น จะทำให้เราได้บุญมาก

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:55:42


ความคิดเห็นที่ 25 (1651972)

  •  
    Jit Poonil 2.ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ขอขมาพระรัตนตรัย ที่ไม่รู้จริง แต่อวดรู้
    ...ข้าพเจ้านางสมจิต โพธิ์นิล กราบขอขมาพระรัตนตรัย ที่ได้กระทำบาปต่าง ๆ ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา อวดรู้ อวดฉลาด 
    ...ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง 6 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปค่ะ
    3.ขอขมาต่อพระสงฆ์ ครูบาร์อาจารย์ และทุกท่านที่เคยคิด พูด เขียน กล่าวหา ว่าท่านเป็นเจ้าลัทธิ โดยที่ตัวเองก็ไม่มีความรู้เรื่องลัทธิมาก่อน
    4.ข้าพเจ้านางสมจิต โพธิ์นิล ขอมอบกายถวายชีวิต และขอเป็นศิษย์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตลอดไปค่่ะ
    5.จะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และไม่รู้จริง ไม่อวดรู้ อิจฉาริษยา ใส่ร้ายใครอีกเด็ดขาดค่ะ
  •  
    พิสุทธิ์ แดงเอม กระผม นายพิสุทธิ์ แดงเอม มาขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 
    1.ขอสารภาพผิดในสิ่งที่เคยคิด พูด เขียน และลงมือทำ ทั้ง 6 ลัทธิ โดยเฉพาะลัทธิที่ 5 อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ)
    เจ้าลัทธินี้คือ สัญชัยเวลัฏฐบุตร ทำบ่อยครับ
    2.กระผมจึงขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ทั้ง 6 ลัทธิ และขอขมาพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้
    3.ขอขมาบุคคลที่เราเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ
    ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกีี่ลัทธิ และเป็นอย่างไร
    หรือมีเจตนาจะใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    4.กระผมขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ขอประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใดลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง
    หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล
    5.จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป
    โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง
    ขอปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เรา
    1.เชื่อว่า ทำดี ต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
    2.ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ
    3.กฏแห่งกรรมมีจริง สร้างกรรมไว้อย่างไร ต้องได้รับอย่างนั้น
    4.กายเวียนว่ายตายเกิด มีจริง ชีวิตก่อน หลังความตาย มีจริง
    5.ชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน แต่ความตายเป็นของเที่ยงแท้ฯ
    6.ให้พูดความจริง ยอมรับความจริง กล้าหาญที่จะต่อสู้กับอธรรม และ นำเสนอความจริง
    -ให้ บันลือสีหนาท คือ กล้าหาญและมั่นใจ ในทุกกาลสถานทีี กราบขอบพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอาจารย์อุบล ในพระเมตตาอย่างที่สุด กราบ กราบ กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:57:04


ความคิดเห็นที่ 26 (1651973)

  •  
    Mim Prapasiri นางสาวประภาสิริ ถาวร 
    รู้สึกว่าตัวเองบาปหนามากๆ ขอลาออกจากลัทธิทั้ง 6 ลัทธิค่ะ
    1.สารภาพว่า สิ่งที่ท่านคิด พูด เขียน และ ทำมา ตรงกับลัทธิใด

    1.อกิริยทิฏฐิ เห็นว่า 
    ***ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ*** -เชื่อว่าคนทำบุญ ก็ไม่ได้บุญ ทำบาป ก็ไม่บาป -บุญไม่มี บาปไม่มี 

    ************เมื่อก่อนได้ยินคนพูดบ่อยก็คิดคล้อยตามเค้าไป “ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ดูนักการเมือง นักธุรกิจชั่วๆๆพวกนั้นสิ รวยเอารวยเอา “ บางครั้งก็เคยคิด “ทำดีแล้ว ทำไมถึงยังไม่ได้รับผลของความดี ทำไมไอ้คนที่มันทำชั่วถึงได้เจริญขึ้นๆ” ทำให้ลึกๆในใจก็มีความคิดค้านกับพระพุทธเจ้า แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า “ไม่เห็นคนชั่วจะได้รับผลของกรรมเลย” “ทำดีได้ดีนี้มันจริงหรือเปล่า” ทั้งที่ความจริงถ้ามองลงไปแล้วจะเห็นว่าผลกรรมนั้นเกิดขึ้นแต่อาจมาในรูปอาการเจ็บป่วย ไม่สบาย ความทุกข์ความกระวนกระวายไม่สบายใจ ที่กำลังส่งผลกับเค้าอยู่ ส่วนคนที่ทำความดี ถ้าเป็นความดีจริง ผลเกิดขึ้นตั้งแต่ทำแล้วค่ะ คือ ความสบายใจ ความสุข ซึ่งเป็นที่สุดของทุกอย่าง ส่วนปัญหาบางด้านที่ยังไม่ได้รับทางออกก็คงเป็นเพราะว่ายังทำดีไม่มากพอกว่าบาปกรรมที่เคยสร้างไว้ ลูกกราบขอขมาพระรัตนตรัยเจ้าค่ะ ถึงความโง่แสนโง่ของตัวลูกเอง แต่ชอบทำฉลาดอวดโง่เอง สาธุ 

    3.นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่า
    ***ไม่มีผล*** คือ เชื่อว่า... -ทำบุญทำทาน ไม่มีผล -การบูชา ไม่มีผล -คนและสัตว์ ตายแล้วสูญ

    *************** เมื่อก่อนเคยบางครั้ง รู้สึกว่าให้ทาน ทำบุญสวดมนต์ไปตั้งมากมาย ไหว้พระ ไหว้เทพ ทำไมมันไม่เห็นได้อย่างที่ขอสักที ชีวิตก็ยังเจ็บ ยังจน ยังทุกข์ คิดว่าบุญคงต้องรอชาติหน้า ไม่ได้คิดด้วยเหตุผลเลยว่าเราทำบุญด้วยกิเลสและช่างขอเหลือเกิน ทำบุญนิดเดียวขอมหาศาล และทำบุญไม่เลือกเนื้อนาบุญ อานิสงส์ที่ได้จึงน้อย และผิดศีลบาปก็ทำตลอด มันถึงยังต้องทุกข์อย่างนี้ เคยมีจิตคิดคล้อยตามไปชั่วครู่ว่าคนและสัตว์ตายแล้วสูญ เพราะโง่ไม่ได้ใช้ปัญญามาพิจารณา เหตุและผลค่ะ สาธุ
  •  
    Mim Prapasiri 4.สัสสตทิฏฐิ เห็นว่า
    ***เที่ยง*** คือ เชื่อว่า... -สิ่งทั้งหลายเที่ยง ยั่งยืนอยู่อย่างนั้น 

    ************* เคยคิดว่าทั้งหลายเป็นของเที่ยง ร่างกาย ทรัพย์สินเงินทอง คนรักของเรา ความสุข ความทุกข์เป็นของเที่ยง ต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป พอทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปไม่เที่ยงก็ทุกข์ ทั้งที่ทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรเที่ยงเลยแม้กระทั่งร่างกายของเรา เราเองยังไม่สามารถให้มันเที่ยงได้ การไปยึดติดให้มันคงอยู่เช่นนั้นตลอดไปนำมาแต่ซึ่งความทุกข์ และมิ้มเองก็เคยคิดว่าถ้าตัวเอง หรือ คนอื่นตายเดี๋ยวก็มาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ เกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมได้เป็นมนุษย์ตลอดกาล ทั้งที่การที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้เป็นสิ่งที่ยากมากกก ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดได้ทุกที่ทั้งนรก มนุษย์ สวรรค์ และกลับบ้านนิพพาน ตามกระแสบุญความดีที่ตนเองสร้างไว้ ยิ่งเขียนยิ่งเห็นความโง่ของตัวเองเจ้าค่ะ

    5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล 
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจะจริง ไม่ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ฯลฯ) 

    *************** เมื่อก่อนมิ้มเป็นคนที่อ่อนแอมาก ไม่กล้าเผชิญความจริง ไม่กล้ายืนยันความจริง ไม่กล้าต่อสู้ ในนินทาในหลวง พระราชวงศ์ ผู้ทรงศีลทรงธรรม คนรู้จัก ทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นความจริง ก็ฟังอย่างเดียว ไม่โต้ตอบ ไม่ปกป้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะไม่อยากให้ใครรู้สึกไม่ดีกับเรา ไม่อยากทะเลาะกับใคร ซึ่งการนิ่งเฉยนี้ ถือ เป็นการโมทนาบาป ไปกับเค้าด้วย และข้าพเจ้ายังเป็นพวกโง่ อวดรู้ พูดมาก ทั้งที่จริงๆๆ แล้วไม่ได้รู้คำสอนอย่างถูกต้อง แท้จริง แต่ก็กลับพูด ทำตัวเป็นผู้รู้อธิบายให้ผู้อื่นฟัง ซึ่งการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นบาปที่หนักมากกก ทำไมเราถึงได้โง่ได้ชั่วอย่างนี้ ลูกสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ กราบขอขมาพระรัตนตรัยเจ้าค่ะ

    6.อัตตกิลมถานุโยค และ อเนกกานตวาทะ เห็นว่า
    ***การทรมานกายจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์" 

    ************** ข้อนี้โดนใจที่สุดเลยค่ะ ทั้งที่ก็เคยรู้คำสอนของพระพุทธเจ้ามาว่าการทรมานร่างกายไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ การใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่าง แล้วดับที่เหตุต่างหากที่เป็นทางพ้นทุกข์ ถึงจะรู้แต่ก็มิได้ทำให้ตัวเองเกิดปัญญาเลยค่ะ เพราะว่าเวลานั่งสมาธิ พอนั่งไปนานๆๆ จะปวดขามากๆๆ เลย ปวดขาจนเหมือนขาจะหลุดออกจากตัว ปวดทรมาน ก็ยังเอาจิตมามองที่ขา ปวดหนอไปเรื่อยๆๆ ไม่มีสมาธิ ปัญญาใดๆๆ นอกจากอาการปวด แต่ก็ทนเพราะความโง่ว่าการเจ็บปวดทรมานกาย ปวดขานี่จะเป็นทางให้ตนเองพ้นทุกข์ ลูกโง่เซ่อไร้ปัญญาเหลือเกินเจ้าค่ะ กราบขอขมาพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธ์ทุกพระองค์เจ้าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:57:41


ความคิดเห็นที่ 27 (1651974)

  •  
    Mim Prapasiri 2.ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ ขอขมาพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้

    *********ดิฉัน นางสาวประภาสิริ ถาวร ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิต่างๆๆทั้ง 6 ลัทธิ กราบขอขมาพระรัตนตรัย ที่ดิฉันได้เคยปรามาส กระทำบาปต่างๆ ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่เชื่อ ไม่ใช้ปัญญาศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ เอาความคิดความโง่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่รู้จริง แต่อวดรู้ ทำฉลาดแบบคนงี่เง่า และดิฉันขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง6 นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปด้วยค่ะ สาธุ

    3.ขอขมาบุคคลที่เราเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ

    *********** ดิฉันขอขมาบุคคลต่างๆๆที่ ดิฉันเคยเข้าใจผิดและกล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิต่างๆๆ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าลัทธิคือ อะไร และตัวเองก็ทำตัวเป็นพวกเจ้าลัทธิเอง คิดเชื่ออะไร แบบโง่ ไม่รู้จริงแล้วยังนำไปอธิบายให้ผู้อื่นฟังแบบผิด ลูกกราบขอขมาพระรัตนตรัย บุคคลต่างๆๆที่ลูกอวดรู้ไปบอกไปสอนเค้า โดยนำคำสอนตามความเข้าใจตัวเองไปถ่ายทอด ถูกผิดบาปกรรม ทำให้เค้าเข้าไปอยู่ในลัทธิต่างๆๆแทนที่จะอยู่รมโพธิ์พระรัตนตรัย ลูกกราบขอขมาในความโง่เขลานี้ด้วยเจ้าค่ะ สาธุ 

    4.ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล 

    ********ดิฉันขอมอบกายถวายชีวิต และขอเป็นศิษย์ สาวกของพระพุทธเจ้า จะเชื่อฟังและปฏิบัติตัวเองใหม่ตามคำสอนของพระองค์ทุกประการค่ะ

    5.จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง
    ดิฉันขอเลิกทำตัวโง่แต่อวดฉลาด ไปกล่าวหาคนนั้น คนนี้เป็นเจ้าลัทธิ โดยรู้ไม่จริงหรือมุ่งร้ายต่อเขา จะไม่ทำอีกต่อไปโดยเด็ดขาดค่ะ
  •  
    อัญชลา บุตรโส อนุโมทนากับทุกท่านด้วยค่ะ ที่ได้ลาออกจากลัทธิทั้ง 6 นี้และหันมามอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์สาวกพระพุทธเจ้า และเลิกกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นเจ้าลัทธิอีกต่อไป พวกเราเดินมาถูกทางกันแล้วค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:58:24


ความคิดเห็นที่ 28 (1651975)

  •  
    ฉันทนา ชูนุ่น กราบขอบคุณท่านอาจารยค่ะที่ได้นำความรู้เรื่ิองนลัทธิมาให้ได้ทราบและพิจารณาและขอลาออกจากลัทธิทั้งหมดนี้ 1.สำหรับตัวเองแล้วได้เข้าข่ายลัทธิที่ 5 คือ อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า****ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า.... ......เกรงจะพูดปด จึงปฎิเสธว่าอย่างนี้ไม่ใช่(ไม่ยอมรับผิด) ......เกรงว่าจะเป็นการยึดถือจึงปฎิเสธไว้ก่อน ......เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน ......เพราะโง่เขลาจึงปฎิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ ......ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด(อ่อนแอ่ไม่กล้าเผชิญ ความจริง ปฎิดสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยันความจริง แม้ว่าจริงไม่ ยอมรับ ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้) .........เจ้าลัทธิคือ สัญชัย เวลัฎฐบุตร (อาจารย์เดิมของพระโมคคัลลา และ พระสารีบุตรนั่นเอง การที่เราเองนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ไม่ได้ปฎิบัติตามคำสอนของพระองค์ พูดได้แต่ปาก แต่ศีล 5 ยังปฎิบัติไม่ได้ และไม่เคยคิดที่จะทำ เพราะคิดว่าที่ทำอยู่นี้ดีอยู่แล้ว ไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ทำร้ายใคร ทำให้ใครเดือนร้อน น่าอายจริงๆ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง ไม่ต่อสู้ อ่อนแอ แก้ตัวไม่่ยอมรับผิด ชอบปฎิเสธไว้ก่อน เอาความแน่นอนไม่ได้ อวดฉลาด อวดรู้ ทั้งๆที่รู้ไม่จริง 2.ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิ สัญชัยเวลิกขาบุตรและเจ้าลัทธิทุกลัทธินับจากนี้เป็นต้นไป และขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริง อวดรู้ เพราะความโง่เขลา เบาปัญญา 3.หากเคยได้กล่าวหาใครเป็นเจ้าลัทธิ ดิฉันขอกราบขอขมาบุคคลที่ได้เคยกล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิทั้งไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร มีกี่ลัทธิและเป็นอย่างไรบ้าง มีเจตนาให้ร้ายบิดเบือน เข้าใจผิด 4.ขอมอบกายถวายชีวิตมาเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหญ่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใดลัทะิหนึ่งใน 6 ลัทธิหรือตรงทั้งหมดนี้ จะงดเว้น และหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล นับจากนี้เป็นตันไป 5.จะไม่กล่วหาผู้ใดว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิอีกต่อไปโดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่่จริง จึงทำให้ได้ไปล่วงเกินผู้อื่นไม่ว่าคนหรือสัตว์ ผู้ทรงศีลทรงธรรม จึงทำให้พบอุปสรรค ขัดสน ยากจน ชิวิตตกตำ่ทั้งทางโลกและทางธรรม ขาดปัญญา หมดโอกาสที่จะเห็นสวรรค์ พรหม นิพพาน กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ และ ท่านอาจารย์อุบลที่เมตตาได้เปิดโอกาสได้รู้ ได้แก้ใข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้สมกับที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์เจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:59:22


ความคิดเห็นที่ 29 (1651976)

  •  
    Kanungnuch Phongdee ข้าพเจ้านางคนึงนุช พงษ์ดีขอกราบขอขมาพระรัตนตรัย ที่ได้เคยปรามาส กระทำบาปต่างๆ ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่เชื่อ ไม่ใช้ปัญญาศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ ไม่รู้จริง แต่อวดรู้ ขอเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าตลอดไป และขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง6 นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปด้วยค่ะ สาธุ อนุโมทนากับทุกท่านด้วยค่ะ ที่ได้ลาออกจากลัทธิทั้ง 6 นี้ มาเป็นศิษย์สาวกพระพุทธเจ้า และเลิกกล่าวหาผู้อื่นค่ะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
  •  
    ตุ๊ดตู่ เพลาวัน นางสาว ตุ๊ดตู่ เพลาวัน ขอลาออกจากเจ้าลัทธิทั้ง 6 ตอบข้อ 1 . ตรงกับลัทธิ 5 อมราวิกเขปีกา เห็นว่าไม่แน่นอนชัดส่ายไหลลื่นเหมือนปลาไหลคือเชื่อว่าเกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ ( ไม่ยอมรับผิด) เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฏิเสธไว้ก่อนเกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฏิเสธไว้ก่อน เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับและไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง แม้ว่าจะจริงไม่ยอมรับไม่กล้าเปิดเผยตัวไม่กล้าต่อสู้ ฯลฯ ) เจ้าลัทธินี้ คือ สัญชัยเวสัฐบุตร 2.ขอลาออกจากเจ้าลัทธิทั้ง 6 และขอขมาพระรัตนตรัยที่ไม่รู้จริง แต่อวดรู้โดยที่ได้ทำบาปต่างๆมามาก ต่อมากแล้ว ด้วยความโง่เขลสเบาปัญญา อวดรู้อวดฉลาด ขอลาออกจากเจ้าลัทธิทั้ง 6 นี้ โดยเด็ดขาดตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไปค่ะ 3.ขอขมาต่อพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์และทุกท่านที่เคยคิด พูด กล่าวหาว่าท่านเป็นเจ้าลัทธิ โดยที่ตัวเองก็ไม่เคยรู้ เรื่องลัทธิมาก่อนเลย 4.ข้าพเจ้า นางสาว ตุ๊ดตู่ เพลาวัน ขอมอบกายถวายชีวิต และขอเป็นศิษย์สาวกของพระพุทธเจ้า จงเชื่อฟังและปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตลอดไปและขอบารมีของพระองค์ ทรงบังคับจิตของลูก ให้ทำได้ด้วยเถิดสาธุ 5.จะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าเป็นเจ้าลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาหรือไม่เจตนาโดยเด็ดขาด
  •  
    เพชรดา วรรณรักษ์ น.ส.เพชรดา วรรณรักษ์ ขอสารภาพบาปว่าเคยสังกัดลัทธิทุกข้อค่ะ โดยเฉพาะ ลัทธิ1 .อกิีีิริยทิฏฐิ เห็นว่า
    ***ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ***
    -เชื่อว่าคนทำบุญ ก็ไม่ได้บุญ ทำบาป ก็ไม่บาป
    -บุญไม่มี บาปไม่มี
    -ความดีไม่มี ความชั่วไม่มี
    เมื่อก่อนเคยคิดว่า่ ทำบุญคงไม่ได้บุญ เพราะกว่าจะได้รับผลบุญที่เราทำต้องตายไปก่อน หรือทำบาปก็ไม่ได้ส่งผลในชาตินี้ คนจึงไม่กลัวในการทำบาป แต่แท้จริงแล้วเราทำบุญไม่ครบ 3 ส่วนต่างหาก จึงทำให้บุญไม่ส่งผลในฉับพลันทันที 
    5.อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า
    ***ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น" เหมือนปลาไหล คือ เชื่อว่า...
    -เกรงว่าจะพูดปด จึงปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ (ไม่ยอมรับผิด)
    -เกรงว่าจะเป็นการยึดถือ จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฎิเสธไว้ก่อน
    -เพราะโง่เขลา จึงปฏิเสธไว้ก่อน ไม่ยอมรับ
    -ไม่ยอมรับ และ ไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด
    (อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญความจริง ปฏิเสธ แก้ตัว ไม่กล้ายืนยัน เมื่อก่อนตัวเองเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้ายอมรับความจริง มีอะไรที่คิดว่าจะมาถึงตัว ก็จะปฎิเสธไว้ก่อน เพื่อให้ตัวเองดูดี ไม่ยอมรับ เพราะกลัวจะเป็นคนที่แย่ในสายตาของคนอื่น

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 13:59:55


ความคิดเห็นที่ 30 (1651977)

  •  
    เพชรดา วรรณรักษ์ เพชรดา วรรณรักษ์ ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง 6 ลัทธิ กราบขอขมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่ได้เคยปรามาส กระทำบาปต่างๆ ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่เชื่อ ไม่รู้จริง ณ บัดนี้ 3.ขอขมาบุคคลที่เราเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ

    ลูกขอขมาบุคคลต่างๆที่ คยเข้าใจผิดและกล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิต่างๆๆ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าลัทธิคือ อะไร เชื่ออะไร แบบโง่ ไม่รู้จริงแล้วยังนำไปอธิบายให้ผู้อื่นฟังแบบผิด ลูกกราบขอขมาพระรัตนตรัย บุคคลต่างๆที่ลูกอวดรู้ไปบอกไปสอนเค้า โดยนำคำสอนตามความเข้าใจตัวเองไปถ่ายทอด ถูกผิดบาปกรรม แทนที่จะอยู่ร่มโพธิ์ของพระองค๋ ลูกกราบขอขมาในความโง่เขลานี้ด้วยเจ้าค่ะ สาธุ

    4.ขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้าได้กับลัทธิใด ลัทธิหนึ่งใน 6 ลัทธิ หรือ ตรงกับตัวเราทั้งหมด จะงดเว้นทั้ง หมด แล้วหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล

    จะเชื่อฟังและปฏิบัติตัวเองใหม่ตามคำสอนของพระองค์ทุกประการค่ะ

    5.จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้าย และ รู้ไม่จริง
  •  
    จรัล ยาตรา ผม จ.ส.ต. จรัล ยาตรา ขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง6
    1.สารภาพว่าสิ่งที่ผมคิด พูดเขียน และทำมา ตรงกับ อกิริยทิฏฐิ เห็นว่า ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ เพราะยังทำความชั่วอยู่ ยังฆ่าสัตว์ ฆ่าคน รู้เห็นในการฆ่าคน พากิ๊กไปทำแท้ง กินเหล้า เล่นการพนัน ไม่เกรงกลัวต่อบาปที่ทำลงไป เชื่อว่าความชั่วไม่มี ความดีไม่มี ตรงกับเจ้าลัทธินี้คือ ปูรณกัสสปะ / อเหุกทิฏฐิ เห็นว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพราะ เห็นคนทำชั่ว ร่ำรวยเยอะแยอะไปไม่เห็นติดคุก มีชีวิตสุขสบาย คนทำความดี ยังทุกยากจนมากมายไม่เห็นร่ำรวยมีความสุข ตรงกับเจ้าลัทธินี้คือ มักขลิโคสาล/ นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่าไม่มีผล เพราะว่า การบูชา การทำบุญทำทานไม่มีผล เห็นคนทำบุญทำทานมากมายยังยากจน ไม่เห็นรวยทันที บูชาเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เห็นช่วยเหลืออะไรเลย ตรงกับเจ้าลัทธินี้ คือ อชิตเกสกัมพล/ สัสสตทิฏฐิ เห็นว่าเทียง เพราะว่า แต่ก่อนคิดว่าเกิดเป็นคนชาติหน้าก็ต้องเกิดเป็นคนไม่เปลี่ยนแปลง จิตตนเองเป็นยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแลงได้ ตรงกับเจ้าลัทธินี้ คือ ปกุทธกุจจายนะ /อมราวิกเขปิกาทิฏฐิ เห็นว่า ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น เพราะว่า กลัวจะโดนทำโทษจึงโกหกเพื่อให้ตนพ้นผิด เพราะโง่เขลา จึงปฎิเสธไว้ว่าไม่รู้ ใส่ร้ายผู้อื่นไม่กล้ายอมรับความจริง อ่อนแอไม่กล้าต่อสู้ความจริง ปกปิดตังเอง ตรงกับ เจ้าลัทธิ สัญชัยเวลัฏฐบุตร /อัตตกิลมถานุโยค และอเนกานตวาทะ เห็นว่า การทรมานกายจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ผมก็เป็นคนหนึ่งต้องนั่งสมาธิแล้วตั้งเวลาไว้ต้องนั่งให้ถึงเวลาที่ตั้งไว้ทำไห้ได้รับความทุกข์ทรมานกายเป็นอย่างมากกว่าจะถึงเวลาที่ตั้งไว้และพยายามเพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยๆสุดท้ายก็ได้รับแต่ความทุกข์ไม่ได้พบความสงบอย่างแท้จริง ตรงกับเจ้าลัทธิ คือ นิครนถนาฎบุตร หรือ ท่านศาสดามหาวีระ 
    2. ข้าพเจ้า จ.ส.ต.จรัล ยาตรา ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง6ที่ข้าพเจ้ามีความคิดเห็น เห็นดีเห็นงามกับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้า ขอขมาต่อพระรัตนตรัย ที่รู้ไม่จริงแต่อวดรู้ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา
    3.ผมขอขมาบุคคลที่ผมเคยได้กล่าวหาว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่าลัทธิคืออะไร เป็นอย่าไรหรือมีเจตนาใส่ร้ายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจผิด บิดเบือน
    4.ผมขอมอบกายถวายชีวิต มาเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติตตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้ากับลัทธิทั้ง6ลัทธิที่ตรงกับความคิดเห็นของผมทั้งหมด จะงดเว้นทั้งหมด ผมจะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล 

    5.จะไม่ กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเขาเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิ อีกต่อไปโดยเจตนาใส่ร้าย และไม่รู้จริง 
    ผมขอกราบขอบพระคุณ ท่านพ่อดตาจินิน พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ท่านอาจารย์อุบลและครอบครัว สิ่งศักดิ์ทัั่วอนันตจักลวาล ที่ให้โอกาสผมกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ ได้ประพฤติปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง กราบขอบคุณมากครับ กราบ กราบ กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 14:01:27


ความคิดเห็นที่ 31 (1651978)

  •  
    Titima Pichayangkool ฐิติมา พฤกษ์อำนวย ขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 ค่ะ 1. เคยคิด พูด และทำตรงกับลัทธิ อมราวิเขปิกาทิฏฐิ คือไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น ไม่กล้ายอมรับความจริง ไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าต่อสู้ ขี้ขลาด อ่อนแอ ตอนนี้ก็ยังอ่อนแอ ไม่กล้าอยู่ค่ะ 2. ขอลาออกต่อเจ้าลัทธิทั้ง 6 และขอขมาต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่ข้าพเจ้าเคยรู้ผิด ทำผิด พูดผิดทั้งหลาย และยังแนะนำสิ่งผิดๆให้แก่ผู้อื่น รู้ไม่จริงแต่อวดรู้ แสดงความโง่ของตัวออกไป ปากไว ไม่รู้จักคิดก่อนพูด สิ่งที่ควรพูดกลับไม่พูด พูดในสิ่งที่ไม่ควร เคยร่วมนินทาผู้ทรงศีล เคยปรามาสท่านอ.อุบล ทั้งความคิด คำพูด ลังเลสงสัยในท่านพ่อดตาจินิน พระพุทธเจ้า และพระอริยะเจ้าทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดแล้ว ขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย และท่านพ่อดตาจินิน ท่านอ.อุบล ด้วยเทอญ สาธุ 3. ข้าพเจ้าขอขมาต่อบุคคลทั้งหลายที่ได้กล่าวหาว่าเป็นเจ้าลัทธิ ได้แก่ ท่านอ.อุบล แม่ชีทศพร บุคคลทั้งหลายที่พบเห็นเป็นข่าวต่างๆตามสื่อทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ นำไปพูดต่อกันสนุกปากโดยไม่คำนึงถึงผลกรรมที่ตัวจะได้รับ ถึงแม้ได้รับผลกรรมแล้วก็ยังโง่ไม่รู้ตัว 4. ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต ขอเป็นศิษย์ เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ขอประพฤติตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้ากับลัทธิทั้ง 6 ของดเว้นทั้งหมดค่ะ ข้าพเจ้าจะรักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญาและเหตุผล 5. ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าเขาว่าเป็นลัทธิใดอีกต่อไป จะไม่ใส่ร้ายผู้ใด ท่านพ่อดตาจินินได้โปรดบังคับกระแสจิตของลูกให้ใช้ปัญญาในการพิจารณา เหนืออารมณ์กิเลสด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ หมายเหตุนิดนึงค่ะ ก่อนหน้านี้ปวดหัวไมเกรนมาหลายวัน ทำยังไงก็ไม่หาย ทานยาก็หายชั่วครู่ ดื่มน้ำทิพย์ก็ไม่หาย ทานลูกอมอภิญญาก็ไม่หาย ท่องรหัสก็ไม่หาย คิดไม่ออกว่าทำอะไร แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าจะมาเขียนขอลาออกจากเจ้าลัทธิทั้ง6 ตั้งนานแล้วผัดวันอยู่นั่นแหละ ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็ขอให้หายปวดหัวทันทีด้วยเทอญ แล้วลูกจะไปเขียนเจ้าค่ะ เท่านั้นแหละหายเลย ก็เลยคิดว่าเดี๋ยววันนี้แหละจะเขียนให้ได้ ปวดมาหลายวันแล้วทรมานเหลือเกิน(สมน้ำหน้า เฮอะๆ) แถมเพ่งจอคอมฯไม่ปวดตาด้วยค่ะ ถ้าปกติเพ่งคอมฯนานๆ เดี๋ยวปวดหัวแล๊ะ กราบขอบพระคุณท่านพ่อดตาจินิน พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เทวดาที่รักษาท่านอ.อุบล และท่านอ.อุบล ด้วยเจ้าค่ะ
  •  
    Baifern Dmg สาธุ สาธุ สาธุ เป็นโอกาสที่ดีที่ท่าน อ.อุบลได้นำความรู้เรื่องลัทธิ ทั้ง 6 มาอธิบายเพิ่มเติมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ทำความคิดความเห็นที่ถูกต้อง ถ้าหากเจ้าข่ายลัทธิไหนจะได้รีบถอนตัวปฏิบัติตามคำแนะนำที่ถูกต้อง มีดวงตาเห็นธรรม ขอขอบพระคุณท่าน อ.อุบลเป็นอย่างสูงค่ะ ลูกจะปฏิบัติตามคำแนะนำตามคำสอนที่ถูกต้องค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 14:02:22


ความคิดเห็นที่ 32 (1651979)

  •  
    Baifern Dmg ลูก น.ส.จิรนันท์ เดิมหมวก ขอลาออกจากการเป็นสาวกของลัทธิทั้ง 6 จากการทำความเข้าใจเรื่องลัทธิเห็นว่าตัวเองเข้าข่ายลัทธิต่าง ๆ ดังนี้ 1. อกิริยทิฎฐิ สมัยก่อนจะมีความคิดว่าทำดี ทำบุญก็ไม่เห็นจะได้บุญเลย ไม่ได้ดี ไม่มีใครเห็น ไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดี ตรงกันข้ามคนทำบาปไม่เห็นได้บาปเลย เห็นยังสุขสบายกินดีอยู่ดี ไม่ได้บการถูกลงโทษ นับแต่นี้ต่อไป ลูกขอลาออกจากลัทธิ เจ้าลัทธิปูรณกัสสปะ ลูกขอขมาพระรัตนไตร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่รู้ไม่จริงแล้วอวดรู้ นำไปคิด พูดในทางที่ที่ผิด และขอขมาบุคคลที่ลูกล่าวพาดพิงถึงทุกคนที่จำไม่ได้ด้วยค่ะ และแต่นี้ไปลูกขอมอบกายถวายชีวิตเป็นศิษย์สาวกพระพุทธเจ้าด้วยการทำตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้ากับลัทธิใด ๆ ทั้ง 6 นี้ ละเว้นหมด จะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล จะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิอีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้ายและรู้ไมจริง 2.อเหกทิฎฐิ เห็นว่าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ลูกเคยคิดว่าเหตุที่เราป่วย เพราะมันจะป่วยเอง อยู่ดี ๆ มันก็ป่วย ไม่มีสาเหตุที่ทำให้ป่วย สำหรับบางอย่างที่หาสาเหตุไม่เจอ เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หรือชาติก่อน ภพก่อน เป็นเหตุทำให้มาเกิดเป็นคนในชาตินี้ เมื่อก่อน พอหาเหตุมาอธิบายไม่ได้ก็เลยคิดว่าไม่มีเหตุที่นำมาให้เกิดผลเช่นนี้ ต่อไปนี้ลูกขอลาออกจากลัทธินี้ ต่อเจ้าลัทธินี้ คือ มักขลีโคสาล
  •  
    Baifern Dmg 3. นัตถิกทิฎฐิ เห็นว่า ไม่มีผล คือเชื่อว่าคนและสัตว์ตายแล้วสูญ เมื่อก่อนเคยคิดว่า เมื่อตายแล้วก็สูญสิ้น ไม่มีอะไรอีก นับแต่นี้ต่อไปลูกขอลาออกจากเจ้าลัทธินี้คือ อชิตเกสกัมพล 4.) สัสสตทิฎฐิ เห็นว่าเที่ยง คือเชื่อว่า ลูกเชื่อในบางเรื่องว่าเป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน เช่นโลกใบนี้ เที่ยงแท้ไม่นอน ไม่มีวันดับสลาย จิตของคนเที่ยงแท้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น แต่นับแต่นี้ต่อไปลูกขอลาออกจากลัทธินี้ ต่อเจ้าลัทธินี้คือ ปกุทธกุจจายนะ 5.) อมราวิกเขปิกาทิฎฐิ เห็นว่า ไม่แน่นอน ซัดส่าย ไหลลื่น เหมือนปลาไหล คือเชื่อว่า ตามลัทธินี้คือ เข้าข่ายคือ เกรงว่าจะยึดถือจึงปฏิเสธไว้ก่อน เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงปฏิเสธไว้ก่อน เพราะโง่เขลาจึงปฏิเสธไว้ก่อนไม่ยอมรับ และไม่ยอมรับและไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด (อ่อนแอไม่กล้าเผชิญความจริง) นับแต่นี้ลูกขอลาออกจากเจ้าลัทธินี้ คือ สัญชัยเวลัฏฐบุตร 6.) อัตตกิลมถานุโยค และอเนกกานตวาทะ เห็นว่า "การทรมานกายจะนำไปส่ความพ้นทุกข์" เรื่องหนื่อง เหตุการณ์หนึ่ง เมื่อพิจารณาในเง่นี้อาจจะจริง จะถูก แต่เมื่อพิจารณาในอีกแง่หนึ่งก็ไม่จริงไม่ถูกต้อง นับแต่นี้ลูกขอลาออกจากลัทธินี้ คือ นิครนถนาฎบุตร และลูกขอขมาพระรัตนไตร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่รู้ไม่จริงแล้วอวดรู้ นำไปคิด พูดในทางที่ที่ผิด และขอขมาบุคคลที่ลูกล่าวพาดพิงถึงทุกคนที่จำไม่ได้ด้วยค่ะ และแต่นี้ไปลูกขอมอบกายถวายชีวิตเป็นศิษย์สาวกพระพุทธเจ้าด้วยการทำตัวใหม่ เว้นจากการกระทำที่เข้ากับลัทธิใด ๆ ทั้ง 6 นี้ ละเว้นหมด จะหันมารักษาศีล ให้ทาน ใช้ปัญญา ใช้เหตุผล จะไม่กล่าวหาผู้ใด ว่าใครเป็นเจ้าลัทธิ เป็นลัทธิอีกต่อไป โดยเจตนาใส่ร้ายและรู้ไมจริง สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-02-07 14:03:14



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.