ReadyPlanet.com


ข่าวรายวัน บ้านสวนพีระมิด


ตั้งแต่เดือน ก.พ. 54 เป็นต้นไป

บ้านสวนพีระมิด

จะมี บก.หน้าหยก มารายงาน

ข่าวประจำวัน

ทางเวปไซด์ ให้แฟนคลับได้รับทราบ

ความเคลื่อนไหว ในบ้านสวนพีระมิด (ประเทศไทยจำลอง)

เป็นสถานีข่าว สังคม บันเทิง ศาสนา ดารา สิงห์สาราสัตว์

ใครไปใครมา ตอนนี้สร้างอะไร จะทำบุญยังไง

ใครมาทำบุญ ทำบาป ฯลฯ

แล้วก็เรื่องอัศจรรย์วันละหลายหน ที่อดทน

เก็บไว้เต็มพุง ของ บก.หน้าหยก

อกเกือบแตกตายอยู่แล้ว

อ.อุบล จึงเกริ่นไว้ก่อน นะคะ ขอบอก

(ทำเป็นสถานีข่าว......ซะงั้น)



ผู้ตั้งกระทู้ อ.อุบล บ้านสวนพีระมิด โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-26 17:55:06


<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 [41] 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74 75 76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 102 103 104 105 106 107 108 109 110 111 112 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 4001 (1585377)

ส่วนเพื่อนบ้านที่มาเต้นด้วยกับเรานั้น

แหม อยากเห็นหน้าจัง

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขามาเต้นกับเรา

ดีจังค่ะ หากคนเรากลับมารักกันได้

ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีมากๆค่ะ

ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์

 

อันที่จริง

ข้างบ้านเรา ด้านที่ติดกับ

อาคาร 3 ชั้นนี้

ถือว่า เป็นเพื่อนบ้านที่ดีมาก

 

และ

ที่ อ.อุบล ตัดสินใจ

มาซื้อที่ดิน แปลงนี้ ก็เพราะ

พี่เล็ก

เจ้าของบ้านหลังนี้

ซึ่งพี่เล็กเอง ก็ทราบดีว่า

อ.อุบล มาซื้อที่ดินแปลงนี้

เพราะ

อยากมีเพื่อนบ้าน

อย่างพี่เล็ก

 

พี่เล็ก

เป็นสาวโสด

มีพี่น้องหลายคน

อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด

มีอาชีพ

ทำสวน ผัก ผลไม้

พี่เล็กเป็นคนขยัน และ รักสัตว์

 

ด้วยความที่ไม่แต่งงาน

ไม่มีลูก

แต่น้องสาวพี่เล็ก มีลูก 2 คน

ที่พี่เล็กเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด

เลี้ยงมากกว่าแม่เขาเสียอีก

จนเด็ก 2 คนนี้เรียกพี่เล็กว่า แม่

 

ตอน อ.อุบล

มาซื้อที่ เด็ก 2 คนนี้

อายุสัก 4-5 ขวบหรือ กว่านิดหน่อย

ส่วนคุณท้อป ก็ยังตัวเล็กนิดเดียว

เล็กกว่า เอริก เสียอีก

 

เขาเป็นเพื่อนเล่นกันมา

ตั้งแต่เด็ก คุณท้อปเป็นพี่

 

เด็กผู้หญิง ชื่อจอย

เรียนเก่งมาก ได้เกรด 4 ทุกวิชา

เรียน ร.ร.เขาเพิ่ม

ที่ อ.อุบล ไปฝากลูกกันวิยา(ซานต้า)

ตอนนี้ จอย ได้คัดเลือก

ให้เรียนต่อ ม.บูรพา หรืออะไรนี่แหละ

แถวชลบุรี

 

ส่วนน้องชายจอย

ชื่อเติร์ก

 

จอย ตัว ขาว

เติร์ก ตัว ดำ

 

จอย เรียนเก่ง

เติร์ก ไม่ชอบเรียน

 

จอย เข้มแข็ง

เติร์ก ร้องไห้เก่ง

 

จอย ขยันทั้งงานบ้าน งานสวน การเรียน

เติร์ก ไม่เอาสักอย่างที่ว่ามา

 

จอย เป็นคน อ่อนน้อม

เติร์ก ตรงกันข้าม

 

พี่น้องสองคนนี้

แตกต่างกันมาตั้งแต่เกิด

 

พี่เล็ก

จึงเข้มงวดกวดขัน

กับเติร์ก มาก กลัวเสียคน

 

พี่เล็กจะให้ความอนุเคราะห์

อ.อุบล ทุกเรื่อง

สอนทำการเกษตร

เป็นเพื่อนบ้านที่ทำกิจกรรม

แต่ละเทศกาลด้วยกัน

พี่เล็กทำอาหารเก่ง

 

ไปทำบุญก็ไปด้วยกัน

 

คุณบิ๊ก

เป็นสุนัขที่พี่เล็กนำมาเลี้ยง

แต่เขามารัก อ.อุบล

ซึ่งพี่เล็กก็ไม่ว่า แต่กลับดีใจ

 

เมื่อก่อน

ตอนคุณบิ๊ก ไม่ทานข้าว

พี่เล็กก็โทร.หา อ.อุบล

ให้คุยโทรศัพท์กับคุณบิ๊ก

แล้วเขาก็ทานข้าว

 

จอยเป็นคนเลี้ยงคุณบิ๊ก

อาบน้ำ ให้อาหาร

จุดยากันยุง ห่มผ้าให้นอน

ฯลฯ

 

พี่เล็กมีน้องสาว อีก 2 คน

อยู่บ้านเดียวกัน

คนหนึ่ง คือ แม่ของจอย กับเติร์ก

ชื่อเฉลี่ย

ทำงานโรงงานไก่ ที่สระบุรี

ทำงานเป็นกะ

 

พวกเราจะไม่ค่อยได้เห็นเป็นปกติ

คนสูงๆ ที่ อ.อุบล ตะโกนคุยด้วย

กลับจากงาน ก็ง่วงนอน

ตื่นนอนก็เตรียมไปทำงาน

มีรถบัสคันใหญ่ รับส่ง พวกเราคงเห็น

 

อีกคนหนึ่ง

ชื่อเต๊าะ คนนี้ ตัวผอมๆ เล็กๆ

ทำงานโรงงาน เซรามิค

ไม่ไกลจากบ้านสวนเท่าไหร่

ทำงานเป็นกะเหมือนกัน

 

เต๊าะ เป็นคนขยันทำงาน

เมื่อก่อน อยู่โรงงานรองเท้า กทม.

ทำแต่งาน เก็บแต่เงิน ไม่แต่งงาน

 

สรุปว่า

บ้านนี้อยู่กัน  5 คน

พี่เล็ก เฉลี่ย เต๊าะ จอย เติร์ก

เท่านี้แหละ

 

 

แต่เมื่อปี 2552

พี่เล็ก ก็มาด่วนจากไป

แบบกระทันหัน

 

ปกติ

อ.อุบล จะมาบ้านสวนบ่อย

ตอนนั้นยังไม่ทำบ้านสวนพีระมิด

ชื่อบ้านสวนเฉยๆ

 

แต่หลังผ่าตัด ปี 50

ก็เริ่มห่างหาย 6 เดือนมาที

มีช่วงหนึ่งเกือบปี

และ

เป็นช่วงที่พี่เล็ก

จากไป

 

วันหนึ่ง

ทิดยูร คนที่มีบ้านอยู่

ท้ายสวน ตรงที่พวกเราปลูกข้าวโพด

คนนี้ เป็นคนโทร.ไปหา อ.อุบล

บอกว่า พี่เล็กเสียแล้ว

จะเผาพรุ่งนี้

 

ทำไมพึ่งมาบอก

กระทันหันครับ เข้า ร.พ.3 วันเสียเลย

พี่เล็กไม่ให้เก็บศพนาน

ให้เผาเลย เลยพึ่งโทร.มาบอกครับ

 

ทิดยูร

เป็นน้องเขยพี่เล็ก

น้องสาวคนนี้ของพี่เล็ก

ชื่อเฉลียว

มีลูกชายตัวขาวๆ หน้าตาน่ารัก

ชื่อ น้องต๊ะ

 

สมัยที่พี่เล็กยังมีชีวิตอยู่

พี่เล็ก ขอให้ น้องเขย และ น้องสาว

คือ ทิดยูร และ เฉลียว

ทำกิน ในที่ดินของ อ.อุบล

 

ซึ่งก็ให้ทำตลอดมา

โดยไม่ได้คิดค่าเช่า

 

แต่ฝากให้ดูแลต้นไม้ให้

และถ้าขายผลไม้ในสวนได้

ก็ให้แบ่งครึ่งกับ อ.อุบล

แต่

ปรากฎว่า ตั้งแต่เริ่มต้น

จนถึงวันที่ อ.อุบล มาทำบ้านสวนพีระมิด

ทั้ง สอง คน ก็ยังไม่เคยแบ่งค่า

ขายผลไม้เลย

 

ซึ่ง อ.อุบล ก็ไม่ได้ว่าอะไร

เห็นว่าเขาลำบากยากจน

คงมีความจำเป็นต้องใช้เงิน

 

คราวนี้ย้อนมา

ที่บ้านพี่เล็ก หลังจากพี่เล็กเสียชีวิต

บ้าน

เหมือน แพ แตก

 

เติร์ก เริ่มเกเร

เพราะที่ผ่านมากลัวพี่เล็กคนเดียว

แม่ก็ไม่มีเวลาดูแล

 

ปีที่แล้ว

เต๊าะ บอก อ.มงคล

ว่า

อ.คะ เติร์ก ไม่กลับบ้าน

ไปเรียนแล้วก็กลับตี 2 -ตี 5

แล้วต่อมาก็ไม่กลับเลยค่ะ

 

ต่อมาได้ข่าวว่า

ไปเช่าบ้านอยู่ ไม่เรียนแล้ว

แต่ไปอยู่ร้านซ่อมมอไซด์

หรือไงนี่แหละ

 

ต่อมาก็กลับเข้าบ้าน

พร้อมด้วยภรรยา

 

ต่อจากนั้นมา

ก็จะได้ยินเสียงเติร์ก

ทะเลาะกับภรรยา เกือบทุกวัน

แล้วก็จะได้ยินเสียงเติร์ก

ร้องไห้คร่ำครวญ

 

เรื่องนี้

ต้องถามโจ กับ ปุ๋ย

เพราะเขาได้ยินประจำ

ทั้งเข้า และ กลางคืน

 

ต่อมาทราบว่า

เติร์ก

เล่นยาเสียแล้ว

 

และ

จิตใจไม่ปกติ

เมื่อก่อนก็ร้องไห้ง่ายอยู่แล้ว

 

เดี๋ยวนี้ มีภรรยาแล้ว

ก็ยิ่งร้องไห้ มากกว่าแต่ก่อน

เอะอะโวยวาย นี่ปกติของเขา

 

เราก็ได้แต่สงสาร

เพราะ

สภาพ บ้าน แตก

 

คิดดู

คุณบิ๊ก ยังต้อง

หนี

มาอยู่บ้านสวนพีระมิด

 

เพราะ

คนที่เขารัก

และ

คนที่รักเขา จากเขาไป

ถึง 2 คน

 

คนหนึ่ง จากเป็น

คือ จอย จากไปเรียนหนังสือ

 

คนหนึ่ง จากตาย

คือ พี่เล็ก

 

คุณบิ๊กเขาว้าเหว่

 

ส่วนเติร์ก

ก็คงช๊อก กับการจากไป

ของพี่เล็ก

 

และ

กลางคืนไม่มีใครอยู่บ้านเลย

 

แต่ละคนทำงานเป็นกะ

 

เติ๊ร์ก กลับบ้าน

ก็คงต้องอยู่บ้านคนเดียว

นี่คือช่วงที่เติ๊ร์ก

หันเห ชีวิต ออกจากบ้าน

จนมีสภาพอย่างที่เห็น

 

ทีนี้กลับมาหา

ชาย 2 คน ที่ออกกำลังกาย

ด้วยท่าเพลงพีระมิด

ไม่ทราบว่า

จะเป็นใคร เติ๊ร์ก หรือไม่

ใครอีกคนไม่ทราบ

เพราะ

อ.ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์

 

สรุปว่า

ข้างบ้านหลังนี้

คือ

กัลยานมิตรที่ทำให้

อ.อุบล มาซื้อที่ดินแปลงนี้

 

แต่

พี่เล็ก ที่แสนดี

เหมือนพี่สาว (เหมือนพี่ต้อย)

จากไปด้วยวัยเพียง 57 ปี

หมอหาโรคไม่พบ

มาพบก่อนตายเพียงวันเดียว

ว่า

เป็นมะเร็ง

ตั้งแต่ช่องท้อง ถึงคอ

ทำไมหนอจึงตรวจไม่พบก่อน

จึงไม่ได้รักษา

 

พี่เล็กพูดได้

จนนาทีสุดท้ายก่อนสิ้นใจ

 

ยังบ่นว่า

คุณน้อยทำไมไม่มานะ

 

(อยากร้องไห้)

ได้แต่อุทิศบุญ ส่งพี่เล็กขึ้นสวรรค์

เรื่องย่อของข้างบ้าน

ที่ออกกำลังกายยามเช้ากับพวกเรา

ก็มีด้วยประการละฉะนี้

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-24 22:11:20


ความคิดเห็นที่ 4002 (1585382)

โมทนาบุญกับกับทุกท่านค่ะสาธุๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-24 22:40:04


ความคิดเห็นที่ 4003 (1585386)

ขออนุโมทนา สาธุ  เจ้าค่ะ

ท่านเมตตาทุกคน   รักทุกคน

หนูขอให้ ท่าน อ.อุบล มีอายุ

ยืนร้อยห้าสสิบปีค่ะ สาธุๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น หมวย พรรณสรลี ชูตระกูล (wattanachai-dot-chut-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-24 22:47:56


ความคิดเห็นที่ 4004 (1585417)

 โมทนาบุญกับเรื่องย่ออันเป็นธรรมทานจากท่านอาจารย์อุบลนะครับ...

นี่ขนาดเรื่องย่อนะครับ ถ้าเรื่องเต็มๆ จะขนาดไหน...แต่ถึงอย่างไร เราก็มีกัลยาณมิตรอยู่ใกล้บ้านสวนพีระมิด ก็ได้แต่หวังว่ายังมีเพื่อนบ้านที่ดีคอยช่วยเหลือ และอุ่นใจอยู่บ้างนะครับ 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-25 00:51:11


ความคิดเห็นที่ 4005 (1585422)

อ่านธรรมทานฉบับย่อจาก

ท่านอาจารย์แล้ว ก็น่าคิด

เหมือนกันนะคะว่า คนเรา

ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกัน

อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน

และถูกเลี้ยงมาเหมือนกันเด๊ะๆ

 

แต่"จิตใจ"ที่มี...

นิสัยที่เป็น

และหนทาง ของแต่ละคนทีเดินนั้น

ช่างแตกต่างกันเสียนี่กระไร

 

ถ้าบ้านหลังนึง มีคนที่จิตใจดี

มีคุณธรรมอยู่ประจำบ้าน

อย่างน้อยซักหนึ่งคนแล้ว

ก็คงจะทำให้คนในบ้านหลังนั้นๆ

อยู่กันอย่างมีความสุข

หรือมีปัญหาน้อยกว่าที่ควรจะเป็นได้

 

แต่ถ้าขาดคนๆนั้นไปแล้ว

ก็เหมือนแพแตก แล้วก็ส่งผล

กับทุกๆชีวิตในครอบครัว

อย่างที่เราได้รู้และได้เห็น

จากคนข้างบ้านสวนฯ นี่เอง...

 

กราบอนุโมทนา

ในธรรมทานค่ะอาจารย์

สาธุ สาธุ สาธุ

จิตวิญญาณของคุณพี่เล็ก

คงจะยังห่วงหลานเติร์กอยู่นะคะเนี่ย

ถึงได้มาดลใจให้เค้าสนใจ

ในกิจกรรมของบ้านสวนฯขึ้นมาบ้างแล้ว

(เดาอีกแล้ว คร๊าบพี่น้อง)

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-25 04:36:45


ความคิดเห็นที่ 4006 (1585436)

ขออนุโมทนา กับท่านอาจารย์อุบล ที่มาเล่าเรื่องเพื่อนบ้านเป็นธรรมทาน ครับ หวังว่า น้องเตริ๊ก จะหันมาสนใจ ร่วมกิจกรรมกับทางบ้านสวนครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-25 08:56:10


ความคิดเห็นที่ 4007 (1585440)

ในที่สุดข่าวคราวประมาณนี้ก็คุกรุ่นขึ้นมาอีกรอบครับ...ลูกบ้านสวนฯ คงพอจะเดาได้นะครับ ว่าเป็นที่ไหน...


 

ย้ายเมืองหลวง...นครนายก หรือ เพชรบูรณ์

 

 หลังเหตุการณ์อุทกภัยผ่านไป ดูเหมือนเมืองไทยของเราจะมีปรากฏการณ์อะไรแปลกๆ เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด อย่างกรณีหนึ่งที่แม้จะไม่สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้มากมายจนเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทวาน์ ก็ตาม แต่ก็เป็นประเด็นอยู่ในหน้าข่าวหลายวันเหมือนกัน เมื่อจู่ๆ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทย 20 คน ได้เสนอญัตติด่วนเพื่อให้สภาฯ ตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา การย้ายเมืองหลวงจาก "กรุงเทพมหานคร" ไปอยู่ที่‘นครนายก’ หรือ ‘เพชรบูรณ์’ แทน โดยอ้างว่าภายในระยะเวลา 10 ปีนี้ กรุงเทพฯ จะจมบาดาลอย่างแน่นอน เพราะตัวอย่างอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 2554 นี้ก็เป็นประจักษ์แก่สายตาของประชาชนไปเรียบร้อยแล้ว
       
       เจอแบบนี้เข้าไป แม้จะไม่มีเสียงตอบรับหรือคัดค้านออกมา เพราะคนส่วนใหญ่ดูจะสนใจปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นเสียมากกว่า ตั้งแต่เรื่องของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จนถึงเรื่องวาระของการปรองดอง แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่ามีความหมายไม่ใช่น้อย
       
       ย้อนอดีตแนวคิด ‘ย้ายเมืองหลวง’
       
       เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ประเทศไทย (นับตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี) มีแนวคิดจะย้ายเมืองหลวง เพราะถ้าหากย้อนกลับเมื่อ 60 กว่าปีก่อน เรื่องพวกนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว โดยเจ้าตำรับไอเดียก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นจอมโปรเจ็กต์อย่าง จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีช่วงแรก ก็คิดจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพราะมีภูมิประเทศเป็นป่าทึบและภูเขาสูง อากาศดี แต่เนื่องจากเพชรบูรณ์ในเวลานั้นยังทุรกันดารอยู่มาก ประกอบกับช่วงนั้นรัฐบาลประสบปัญหาเรื่องภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนในที่สุดต้องลาออก ก็เลยทำให้การย้ายเมืองหลวงครั้งนี้ล้มเลิกไป
       
       และหลังจากไม่นาน เมื่อจอมพล ป.กลับมามีอำนาจอีกรอบ คือในช่วงหลังปี 2492 ก็เคยมีความคิดจะพัฒนาจังหวัดลพบุรีและพุทธมณฑลให้มาเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่สุดท้ายแนวคิดนี้ก็ยังไม่ถูกดำเนินการ เพราะท่านผู้นำถูกลูกน้องคนสนิทอย่าง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหาร หลังจากที่เจอพิษการเลือกตั้งโคตรโกงเมื่อปี 2500
       
       เช่นเดียวกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เคยคิดจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ฉะเชิงเทราหรือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เล็งจังหวัดนครนายกเอาไว้ เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้เมืองหลวงเดิมคือ กรุงเทพฯ แล้ว ยังไม่มีปัญหาน้ำท่วมและความแออัดให้กวนใจ แถมยังสามารถออกแบบเมืองหลวงตามใจของผู้มีอำนาจในขณะนั้นได้อีกต่างหาก แต่สิ่งที่สำคัญสุดน่าจะเป็นชื่อที่มีคำว่า "นายก" อยู่ในจังหวัด เพราะมันช่างบ่งบอกสถานภาพของผู้นำในขณะนั้นได้ดีที่สุด แต่สุดท้ายก็อย่างที่ทราบๆ กันว่า ไปไม่รอดเหมือนกับสมัยรัฐบาลเผด็จการทหารเช่นกัน
       
       และจากประวัติศาสตร์ทางความคิดนี้เอง จึงสะท้อนว่าเอาเข้าจริงแล้วการจะย้ายเมืองหลวงคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เพราะแม้แต่อดีตผู้นำที่มีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมเคยคิดเคยฝันยังทำไม่สำเร็จเลย และอีกเรื่องที่หลายคนสงสัยว่า ตกลงแล้วคำว่า "ย้ายเมืองหลวง" แท้ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่ เพราะถ้าบอกว่าย้ายศูนย์กลางทางราชการไปอยู่ในต่างจังหวัดก็ดูกระไรอยู่ เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีความพยายามดันให้ทั้งรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ไล่จนถึงกระทรวง ทบวง กรม ออกสัญจรไปอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ แต่ก็ไม่เห็นมีใครบอกว่า นั่นคือการย้ายเมืองหลวงสักคนเดียว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงน่าจะมีมิติอะไรที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่คิดเป็นแน่แท้
       
       กรุงเทพมหานคร ‘เอกนคร’ ที่ไม่ธรรมดา
       
       หากย้อนกลับไปถึงปัจจัยของการย้ายเมืองหลวงในโบราณกาลนั้น ก็จะมีไม่กี่เหตุผล ตัวอย่างเช่นเกิดโรคระบาด ถูกข้าศึกโจมตีทำลายจนแทบจำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ ต้องยอมรับว่ามีปัจจัยเยอะแยะมากมายที่พอจะทำให้ย้ายเมืองหลวงได้
       
       ยิ่งหากเป็นกรุงเทพมหานครด้วยแล้ว นอกจากจะมีความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นเมืองหลวงชื่อยาวที่สุดในโลกแล้ว ยังมีลักษณะเฉพาะที่หลายๆ ประเทศไม่มี
       
       ไม่เชื่อก็ลองไปดูเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน ฯลฯ ก็จะพบความจริงว่า เมืองเหล่านั้นนอกจากการเป็นที่ตั้งของส่วนราชการแล้วก็ไม่มีอะไรที่พิเศษมากกว่านั้น เพราะแม้แต่เศรษฐกิจก็ไม่ใหญ่ ประชาชนก็ไม่มาก แถมความเจริญอย่างทั่วถึงไปทั่วประเทศ ผิดกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นศูนย์กลางความเจริญทุกๆ อย่าง ตั้งแต่เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา การคมนาคม การปกครอง และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เมื่อหันกลับไปดูผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีของประเทศ จะพบว่ากระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ ถึง 1 ใน 4 เลยทีเดียว
       
       ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับกรุงเทพฯ นี้ ผศ.ดร.อรทัย ก๊กผล ผู้อำนวยการวิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า เรียกว่า กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองหลวงอย่างสมบูรณ์แบบ หรือ Primate City คือเป็นเมืองเอกนคร หรือจะเรียกว่า เป็นเมืองหลวงที่ปกติศักดิ์ศรีก็ใหญ่โตอยู่แล้ว แต่ยังเพิ่มความใหญ่ในฐานะศูนย์กลางที่ธุรกิจและการคมนาคมอีกต่างหาก ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้นที่เป็น แต่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด
       
       แต่นั่นไม่ใช่การกำหนดว่า สิ่งนั้นจะเป็นเมืองหลวงหรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว การจะเป็นเมืองหลวงนั้นมีปัจจัยอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น ก็คือ เมืองนั้นเป็นศูนย์กลางของอำนาจในการปกครองประเทศหรือไม่ ซึ่งอำนาจที่ว่านี้ก็คืออำนาจอธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่หากเมืองหลวงตั้งอยู่ไหน ที่ทำงานของส่วนราชการต่างๆ ก็มักจะไปอยู่ที่นั้นด้วย
       
       ซึ่งตัวอย่างที่เห็นชัด ก็คือประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีลักษณะเหมือนประเทศไทย คือกรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นศูนย์กลางทุกอย่างของประเทศ เพราะฉะนั้น จึงมีความพยายามสร้างเมืองใหม่อย่าง ปุตราจายา เพื่อรองรับความเติบโตดังกล่าว แต่ในความรู้สึกของหลายๆ คนก็ไม่ได้คิดว่าที่นั่นเป็นเมืองหลวงอยู่ดี เพราะอำนาจหลักของประเทศก็ยังอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เช่นเดิม
       
       “ถ้าไปดูที่กัวลาลัมเปอร์จะพบว่าหน้าตาเหมือนกรุงเทพฯ มาก คือเป็นศูนย์กลางการปกครองของทุกอย่าง เศรษฐกิจก็ใหญ่ที่สุด พอทุกอย่างอยู่ที่นี่ คนก็เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่เต็มไปหมด พอตอนหลังมีการตัดสินใจสร้างเมืองปุตราจายา แล้วก็เอาส่วนราชการไปอยู่ที่นั้น แต่พอเอาเข้าจริง หลายๆ ฝ่ายก็พูดว่าปุตราจายาไม่ได้เป็นเมืองหลวงหรอก เพราะว่ามันไม่มีอำนาจนิติบัญญัติ เนื่องจากรัฐสภายังอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์
       
       “เพราะฉะนั้น เมืองหลวงอย่างน้อยต้องมีรัฐสภา รัฐบาลอยู่ที่นั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวง ซึ่งหากลองไปเปรียบเทียบกับประเทศพม่า ที่ตอนแรกเมืองหลวงคือเมืองย่างกุ้ง พอตอนหลังก็ย้ายไปที่เมืองเนปิดอว์ ซึ่งเขาก็จะมีการย้ายส่วนราชการไปอยู่ที่นั้นหมด อย่างนายกรัฐมนตรีก็จะทำงานจากที่นั้น บรรยากาศของเมืองหลวงมันต้องเป็นอย่างนั้นไป”
       
       ดังนั้น ในกรณีของกรุงเทพฯ ก็เช่นกัน หากจะย้ายก็ต้องทำการย้ายศูนย์กลางของอำนาจไปให้ได้ก่อน ซึ่งอย่างน้อยๆ ส่วนแรกที่ต้องไปก่อนเลยก็คือ คณะรัฐมนตรี ที่อาจจะต้องเปลี่ยนที่ประชุมหรือที่ทำงานไปอยู่ ณ สถานที่ที่เป็นเมืองหลวงแทน
       
       "หัวโตแต่ตัวลีบ" หัวใจของความยาก 
       
       แต่อย่างว่า แม้คณะรัฐมนตรีจะย้ายหรือไม่ย้าย หากเอาเข้าจริงแล้ว ความเป็นเมืองหลวงของกรุงเทพฯ ในความรู้สึกของคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าใดหรอก เพราะอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่า ตอนนี้ก็มีหน่วยงานราชการหลายๆ แห่งไปอยู่แล้ว
       
       เช่นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติซึ่งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี หรือถ้าจะเอาชัดกว่านั้น ก็คงเป็นตอนที่ฝ่ายนิติบัญญัติในสมัยที่ อุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานรัฐสภา คิดจะย้ายสภาฯ ไปอยู่แถวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่า นั่นเป็นการย้ายเมืองหลวงแต่อย่างใด
       
       เพราะสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือประเด็นที่สืบเนื่องจากความเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ นั่นเอง ซึ่งเป็นผลทำให้ลักษณะความเจริญของประเทศไทยเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียมกัน หรืออย่างที่ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกว่า "หัวโตแต่ตัวลีบ"
       
       พูดง่ายๆ คือ แม้จะย้ายไปแล้ว แต่ทุกอย่างก็ต้องไปสร้างใหม่หมด เพราะของเก่าแทบจะไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นถ้าจะย้ายจริง ก็ต้องไปปรับเพิ่มบริการในด้านอื่นๆ ที่ตอบสนองต่อข้าราชการที่ต้องย้ายตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่พัก เส้นทางคมนาคม สิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ซึ่งนั่นก็หมายถึงงบประมาณมหาศาล
       
       “อาจจะเป็นธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของรัฐ และการเมือง อย่างการคมนาคม การสาธารณูปโภคต่างๆ แต่เชื่อว่าคงจะไปเป็นส่วนน้อย อาจจะช่วยแบ่งเบาความหนาแน่นได้บ้าง แต่กรุงเทพฯ มันก็โตมาก เพราะฉะนั้นคนจึงย้ายตามไม่ได้ เพราะกิจกรรมทุกอย่างมันอยู่ที่นี่ แต่เราต้องมาดูกันถึงความคุ้มค่าถ้าจะทำ”
       
       ตัวอย่างเช่นพม่าที่ตัดสินใจย้ายเมืองหลวง เหตุผลก็มาจากความจำเป็นจริงๆ เพราะนอกจากจะด้วยสาเหตุของธรรมชาติแล้วยังมีปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย ซึ่งอาจจะสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศได้ แต่ก็ยอมรับความเสี่ยงในเรื่องของค่าใช้จ่ายและความไม่สะดวกสบายซึ่งตามมาเต็มไปหมด
       
       “ที่บริเวณใต้แผ่นดินของเมืองย่างกุ้งมันเป็นรอยแยกของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ อีกเหตุผลสำคัญเพราะการปกครองของพม่าที่มีชนกลุ่มน้อยเยอะ จึงตัดสินใจย้ายศูนย์กลางปกครองเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการปกครองมากขึ้น ซึ่งปัญหาที่ตามมาก็มีเยอะมาก ข้าราชการพม่าต้องนั่งรถไปกลับจากเมืองที่ต้องย้ายไป เสียค่าใช้จ่าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
       
       เพราะฉะนั้น ถ้ากลับไปพิจารณาถึงประเทศไทย่าต้องย้ายเมืองหลวง เพราะกรุงเทพฯ มีสิทธิ์จมบาดาล ก็อาจจะยังถือว่าไม่คุ้มค่าพอและไม่ช่วยทำอะไรให้ดีขึ้น แถมอาจจะต้องเผชิญปัญหาเดียวกับที่ข้าราชการพม่าเจออีกต่างหาก
       
       ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ ผศ.ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ แห่งภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กล่าวว่า แนวคิดแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก แต่สุดท้ายแล้วทำไม่ได้จริง เพราะประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการกระจายความเจริญ หรือเมืองอื่นๆ นั้นโตไม่ทันกรุงเทพฯ
       
       “เราคิดจะย้ายเมืองหลวงกันบ่อยมาก มีปัญหานิดหน่อยก็จะย้ายแล้ว แล้วถามต่อว่ามันจะเกิดอะไรตามมา พูดตามตรง การย้ายมันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แล้วจะย้ายอะไรไป ถ้าเราพูดกันตามตรง เราต้องกระจายความเจริญก่อน ซึ่งเรื่องนี้มีแนวคิดเริ่มมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 มาชัดในฉบับที่ 5 แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ตามหลักสากลเมืองหลวงคือที่ตั้งของรัฐสภาอย่างที่พม่าก็มีการย้ายรัฐสภาไปที่เนปิดอว์ แต่สุดท้ายความเจริญต่างๆ ที่ย่างกุ้งก็ยังคงอยู่อยู่ดี ในแบบเดียวกันถ้า กรุงเทพฯ ต้องย้ายก็จะเป็นไปในทำนองนั้นเหมือนกัน มันไม่มีการแก้ปัญหาจริงๆ เกิดขึ้น อย่างดีก็ทำให้ที่ดินในที่ที่มีข่าวลือราคาสูงขึ้น”
       
       ‘ย้าย-ไม่ย้าย’ ทางออกที่เลือกได้
       
       เมื่อการตัดสินใจครั้งนี้ มีผลกระทบมากมายและไม่ได้ทำได้ง่ายๆ คำถามก็คือแล้ว ทางออกของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรได้บ้าง ในเมื่อปัญหายังคงอยู่เช่นเดิม
       
       แน่นอนประเด็นที่สำคัญที่สุดก็ต้องกลับมาคิดให้ได้ก่อน ก็คือสรุปจะย้ายหรือไม่
       
       ซึ่งถ้าเลือกในกรณีที่ไม่ย้าย ก็ต้องเป็นการปรับปรุงกรุงเทพฯ ในแบบที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมืองบอก นั่นคือการกระจายความเจริญไปยังเมืองอื่นๆ ซึ่งถ้าไปดูในต่างประเทศจะเห็นว่าหลายๆ แห่งเมืองหลวงกับเมืองเศรษฐกิจก็เป็นคนละแห่ง ซึ่ง รศ.ดร.สมภพ ได้ยกกรณีของประเทศออสเตรเลียขึ้นมา หรือไม่ก็หันมาพัฒนาเมืองขนาดย่อมให้มีบทบาททางเศรษฐกิจขึ้น เพื่อรองรับความเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ของกรุงเทพฯ
       
       “แคนเบอร์ราเป็นเมืองหลวง เป็นศูนย์กลางการปกครอง ขณะที่ซิดนีย์เป็นเมืองท่า ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ แต่การที่เขาแยกกันแบบนี้มันก็มีปัญหาในช่วงแรกๆ เพราะจะติดต่ออะไรต้องเดินทางกันไป 300 กิโลเมตร แต่เมืองศูนย์กลางการปกครองก็ไม่จำเป็นต้องเจริญ หวือหวาอะไรนัก แคนเบอร์รายังเป็นป่า มีจิงโจ้โดดไปมาไม่ค่อยมีอะไร
       
       “แต่โดยส่วนตัว คิดว่าเราควรกระจายโอกาสการเติบโตของไปสู่หัวเมืองรองๆ อย่างพิษณุโลก เชียงใหม่ ราชบุรี หรือนครศรีธรรมราช ซึ่งตลอดมาจังหวัดเหล่านี้ไม่โตขึ้นเลย เพราะสิ่งนี้ที่รัฐบาลต้องเป็นฝ่ายเริ่มทำ ไม่จำเป็นต้องย้ายต้องมีนโยบายที่ลงไปสร้างกิจกรรมเพื่อกระจายการเติบโตของเมืองไปยังหัวเมืองอื่นก็พอแล้ว”
       
       ซึ่งแน่นอน การทำแบบนี้จะลดความเสี่ยงในเรื่องความเสียหาย หากเกิดปัญหาอย่างเช่นที่ผ่านมา
       
       แต่ถ้าตัดสินใจเลือกที่จะย้ายเมืองหลวงจริง ในแง่ความเจริญของกรุงเทพฯ ก็คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพราะของที่เป็นอยู่แล้ว ก็คงยังอยู่ที่เดิมต่อไป แต่สิ่งที่ผู้มีอำนาจจะกลับมานั่งต้องคิด ต้องทำต่อไปก็คือสร้างเมืองอย่างไรให้มีคุณภาพ ซึ่ง ผศ.ดร.นพนันท์ย้ำว่า สิ่งสำคัญก็คือ ตำแหน่งของเมืองหลวงใหม่
       
       "การจะวางผังเมืองของเมืองที่เกิดใหม่นั้น ขั้นแรกต้องเลือกสถานที่ตั้งให้เหมาะสมก่อน ต้องไม่ใช่ที่ที่อยู่นอกทิศทางการเชื่อมโยงของระบบ ประเทศไทยเรานั้นมีแกนประเทศหลักๆ อยู่ไม่กี่แกน เช่น แกนเหนือใต้ตั้งแต่เชียงใหม่ลงไปถึงหาดใหญ่โดยผ่าน กทม. แกนตะวันออกตะวันตกจะอยู่จาก กทม. ไปยังอีสเทิร์นซีบอร์ด หรือแกนที่ไกลออกไป เช่น แกนที่เชื่อมทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงมา หรือแกนที่เชื่อมภาคกลางตอนบนหรือภาคเหนือเข้ากับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น แถวพิษณุโลก ที่ที่เหมาะสมไม่ควรจะหลุดโลกออกไปไกลๆ มันควรจะอยู่ในทิศทางที่ทำให้การลงทุนตรงนี้เกิดประโยชน์ในภาพรวม ไม่ใช่ย้ายไปในที่ที่ไปยากและสุดท้ายก็ไม่มีคนไปนอกจากว่าจำเป็นจริงๆ เหมือนที่เราชอบย้ายศูนย์ราชการจังหวัดไปชานเมือง คนไปติดต่อก็ลำบาก ข้าราชการก็ลำบาก 
       
       "ต่อมาก็ต้องวางผังให้ดูดี สมหน้าสมตามีสง่าราศี แต่อย่าลืมว่าของใหม่ที่สร้างขึ้นอย่างไรก็เป็นของใหม่ ไม่สามารถจะลงไปเข้าถึงรากฐานได้ สมัยนี้เขาไม่ได้มองการออกแบบเมืองให้มันสวยเหมือนในยุคทศวรรษ 1970 กันแล้ว แต่ตอนนี้ เขามองที่ฐานรากเหง้ามากกว่า เขาจะเน้นเรื่องการออกแบบที่ลงลึกโยงไปถึงรากเหง้าของเมืองได้มากแค่ไหนมากกว่า ถ้าทำผังเมืองแบบใหม่เอี่ยม ทันสมัยถอดด้ามมา มันก็อาจจะดูตื้นเขิน ถ้าทำสองอย่างนี้ได้ก็พอแล้ว เพราะเรื่องการเติบโตของเมือง เราสามารถคาดเดาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่อย่าลืมว่าในความเป็นจริง การย้ายเมืองหลวง มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย เพราะฐานเศรษฐกิจใหญ่ยังอยู่ตรงนี้ เมืองท่ายังอยู่ตรงนี้ การพาณิชยกรรมก็อยู่ตรงนี้ ศูนย์กลางการท่องเที่ยวก็ยังไม่ไปไหน มันคงไม่มีใครอยากไปเที่ยวเมืองใหม่ที่นครนายก หรือท่าตะเกียบหรอก"
       
       ซึ่งแน่นอน ถ้าทั้งหมดนี้ ก็ต้องผ่านการพิจารณาศึกษาถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่าให้ดีเสียก่อน ไม่อย่างนั้น สุดท้ายก็จะเท่ากับรัฐเทงบประมาณลงไปเสียเปล่า เพราะนอกจากจะไม่ตอบโจทย์กับความต้องการของประชาชนแล้ว อาจจะนำไปสู่วิกฤตการณ์อีกมากมาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ซึ่งก็เป็นที่รับรู้ว่า นอกจากตอนนี้ประเทศจะอยู่ในช่วงข้าวยากหมากแพงแล้ว ยังมีนโยบายของรัฐที่กำลังจะใช้เงินมหาศาลรออยู่อีกเพียบ
       >>>>>>>>>>
       ……..
       เรื่อง : ทีมข่าว CLICK

ที่มา : ผู้จัดการ

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-25 09:43:35


ความคิดเห็นที่ 4008 (1585442)

อนุโมทนากับธรรมทานของอาจารย์อุบลและพี่มหาสิทธิ์ด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ถนอมขวัญ ขวัญชื่น ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-25 10:16:26


ความคิดเห็นที่ 4009 (1585688)

ย้ายเมืองหลวง...นครนายก หรือ เพชรบูรณ์

                                                        #####

ลูกบ้านสวนพีระมิดคงจะเดาได้อย่างไม่ต้องคิดเลย ถ้าย้ายจริงๆเนี้ย

ก็ต้องเป็น นครนายก อยู่แล้วช้ายหรือเปล่าค่ะน้าสิทธิ์

 

ขออนุโมทนากับข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการย้ายเมืองหลวงที่น้าสิทธิ์หามานะค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วรางคณา พุฒศรี (woranea_912_meaw-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 03:25:25


ความคิดเห็นที่ 4010 (1585700)

ธรรมะ

จะจัดสรรค์

เมืองสวรรค์ ในอนาคต

เอง ค๊ะ คราวนี้ ไม่มีเส้น

ไม่มีอิทธิพล เพราะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์

จะเป็นผู้ดลบันดาล

ใครคัดค้าน หรือ ใช้อคติ

ต้องพลีชีวิต สังเวย

เมืองหลวงใหม่

 

ต้องตัดสินใจ

รีบย้าย

ก่อนภัยใหญ่

จะเก็บกวาด ผู้คน กทม.

จนเป็นโศกนาฎกรรม

จำไปจนตาย

(สำหรับคนที่รอด)

 

แต่อีกไม่นาน

ถ้าตัดสินใจไม่ได้

จะมีเหตุการณ์ร้ายแรง

ยิ่งกว่าน้ำท่วมครั้งที่ผ่านมานี้

มาช่วยชี้นำ

มาช่วยตัดสินใจ

ให้

เลือกสถานที่สร้าง

เมืองหลวง

ใหม่

 

ด้วยพระบารมี

สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอง

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 09:02:16


ความคิดเห็นที่ 4011 (1585718)

ขออนุโมทนาธรรมทานของท่านอาจารย์อุบลด้วค่ะ

อ่านแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมา

ภัยใหญ่ที่จะมีถึง จะเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่กว่าน้ำท่วมในครั้งนี้

ซึ่งทำให้ต้องจนจำไปจนตาย

ซึ่งที่ท่านอาจารย์เคยบอกมาแล้วใช้มั้ยค่ะว่า

น้ำท่วม กทม ครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่หนังตัวอย่าง

หนังจริงก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว รู้สึกเศร้าจัง

ความดีเท่านั้น บุญเท่านั้น ที่จะช่วยเราไว้ได้

ตอนนี้หนูพยายามที่จะรักษาศีล5 ให้ครบ

หนูจะพยายามทำตามคำที่ท่านอาจารย์เคยสอนลูกๆบ้านสวน

หนูพยายามจะละวางความโกรธ ความเกลียด ให้ได้ค่ะ


ถ้าหนูยังมีบุญพอ สักวันหนึ่งหนูอยากไปสร้างบุญที่บ้านสวนพีระมิดอีกค่ะ

อยากจะไปสร้างบุญกันทั้งครอบครัว

รักและเคารพท่านอาจารย์อุบลเสมอค่ะ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น วรางคณา พุฒศรี (woranea_912_meaw-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 14:02:46


ความคิดเห็นที่ 4012 (1585734)

 ต้องตัดสินใจ

รีบย้าย

ก่อนภัยใหญ่ก

จะเก็บกวาด ผู้คน กทม.

จนเป็นโศกนาฎกรรม

จำไปจนตาย

(สำหรับคนที่รอด)

 

************************

กราบอนุโมทนาค่ะอ.แม่

สุดท้ายแล้ว กทม. ก็จะไม่ใช่เมืองหลวงอีกต่อไป

เพราะคนไม่ดีคงจะมีมากกว่าคนดี

พลังลบก็คงจะมากกว่าพลังบวก

ส่งผลร้ายให้กับประเทศไทย

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจึงต้องกวาดล้างคนพวกนี้ออกไป

เพื่อยุคศิวิไลซ์จะได้มีแต่คนดีๆ

และจะได้ไม่เป็นตัวถ่วงของหลายๆคนอีกต่อไป

สาธุ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 16:09:36


ความคิดเห็นที่ 4013 (1585741)

สาธุ.....

ขอเมืองหลวงหยู่ที่

นครนายก  ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น หมวย พรรณสรลี ชูตระกูล (wattanachai-dot-chut-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 16:57:35


ความคิดเห็นที่ 4014 (1585757)

 

ย้ายเมืองหลวง...นครนายก หรือ เพชรบูรณ์

*****************

เห็นด้วยกับแนวคิดนี้

แต่บรรดาทั่นผู้มีอำนาจทั้งหลาย

ทั่นโน้น ทั่นนี้ ค้านสุดชีวิต

*****************

ต้องตัดสินใจ

รีบย้าย

ก่อนภัยใหญ่

จะเก็บกวาด ผู้คน กทม.

จนเป็นโศกนาฎกรรม

จำไปจนตาย

(สำหรับคนที่รอด)

**************************

คงต้องให้ศพนับไม้ถ้วน

อืดโชว์ก่อนมั้งคะท่านอ.แม่

เขาถึงจะเชื่อว่ากทม.

คือสถานที่ ที่คนจะอยู่อีกต่อไปไม่ได้

****************

ถ้าตัดสินใจไม่ได้

จะมีเหตุการณ์ร้ายแรง

ยิ่งกว่าน้ำท่วมครั้งที่ผ่านมานี้

มาช่วยชี้นำ

มาช่วยตัดสินใจ

ให้

เลือกสถานที่สร้าง

เมืองหลวง

ใหม่

*****************

คงต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนค่ะ

ท่านอ.แม่อุบล

เพราะมนุษย์ที่มีอำนาจ

และคิดว่าตัวเองฉลาด

แต่ไม่เคยคิดไกลได้ขนาดนั้น

ลูกขอกราบพระบาททุกพระองค์

ที่ทรงเมตตา

ประทานท่านอ.แม่อุบล

นางฟ้า ทูตสวรรค์

เป็นผู้นำแสงสว่างและพระเมตตาอันมิอาจประมาณ

ของเบื้องบน

มาสู่ดิน

สาธุ สาธุ สาธุ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เพ็ญศิริ บุตรมนต์ (opensirio-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 20:38:22


ความคิดเห็นที่ 4015 (1585776)

 ขอพื้นที่มาเล่าเรื่องจากคุณปิ่นซักนิดนะคะ

พอดีวันนี้กำลังเก็บของ

อยู่ๆก็รู้สึกว่าอยากโทรหาคุณปิ่นจัง....ไม่รู้ทำไม

ก็เลยโทรไปถามสารทุกข์สุขดิบธรรมดา

แล้วคุณปิ่นก็บอกว่า ดีใจจังที่โทรมา

เพราะเมื่อตอนเย็นคุณปิ่นได้อธิษฐานจิต

ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวน

ขอให้หญิงโทรมาภายในวันนี้

เพราะอยากให้หญิงช่วยลงธรรมทานให้

และแล้วหญิงก็โทรมาจนได้ เพราะบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต๊ๆ

ไม่งั้นคนโง่ๆแบบเรา

คงไม่มีความรู้สึกบ่งบอกล่วงหน้าแน่นอน

มาเข้าเรื่องเลยดีกว่าเน๊อะ

ธรรมทานเรื่องนี้มืชื่อเรื่องว่า

"กล้วยทอดพาคนลงนรก" (คุณปิ่นบอกมาค่ะ ฮิฮิ)

เรื่องมีอยู่ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนคุณปิ่นได้ไปซื้อกล้วยทอด

มา 2 ถุงค่ะ เนื่องจากว่าเห็นว่าอร่อยดี

จึงซื้อมาฝากท่าน อ.แม่ 1 ถุง

และอีก 1 ถุง ก็ซื้อมาฝากพี่น้องบ้านสวน

แต่ของ อ.แม่ พี่ปิ่นบอกว่า ได้มัดปากถุงไว้อย่างดี

แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะ เพราะตอนนั้น

ยังไม่ทราบว่า อ.แม่ อยู่ไหน

ก็เลยเดินไปเข้าห้องน้ำ

พอกลับมาจากห้องน้ำ

ก็เห็น คุณแอ๊ด อร่ามศรี สุวัตถิกุล 

และคุณปุ๋ยกำลังนั่งทานกล้วยทอดอยู่

แต่เป็นกล้วยทอดที่ซื้อมาฝากท่าน อ.แม่

คุณปิ่นก็เลยบอก แต่ตอนนั้น

ก็ยังไม่ได้บอกให้ท่านอ.แม่ทราบแต่อย่างใด

แล้วคุณแอ๊ด และคุณปุ๋ยก็เลยหยุดทาน 

เนื่องจากว่า ไม่ทราบว่าเป็นของท่าน อ.แม่

และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการประชุม

และอ.แม่ ก็ได้เกริ่นพูดถึงเรื่องประมาณว่า

การที่เราจะหยิบของคนอื่นไปทาน

เราจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของก่อน ...ประมาณนี้มั้งค่ะ

คุณปิ่นก็เลยหัวเราะขึ้นมา

ท่านอ.แม่ก็เลยถามว่าหัวเราะอะไร

คุณปิ่นก็บอกว่า เรื่องกล้วยทอดค่ะ

คุณแอ๊ดก็เลยยกมือบอกว่า

คุณแอ๊ดเป็นคนเอาไปทานเองประมาณนี้อ่าคะ

ท่านอ.แม่ ก็เลยบอกกล่าวด้วยความเมตตา

ประมาณว่า ก่อนที่เราจะหยิบ จะเอาอะไรมาทาน

เราต้องถามคนอื่นก่อน เพราะการที่เราไม่รู้

แล้วเรานำไปทานนั้น มันจะเป็นบาปมาก

( ญคิดว่าท่านอ.แม่ ก็เป็นถึงพระอนาคามี

และอาจจะเป็นพระอรหันต์แล้วด้วยซ้ำ

แค่เราทำกับคนธรรมดายังบาปเลย

แล้วถ้ามาทำกับพระอริยะเจ้าขั้นสูงแล้ว

ก็คงต้องบาปมากๆเป็นแน่ )

และหลังจากนั้นไม่นาน

คุณแอ๊ดก็เอา อ.แม่ไปด่าว่าสารพัด

ว่าหวงของบ้าง อะไรบ้าง ต่างๆนาๆ

ทั้งๆที่อ.แม่ทำด้วยความเมตตา

เพราะกลัวว่าคุณแอ๊ดจะไปนรกเอาโดยง่าย

เลยมาตักเตือนบอกกล่าว

แต่กลับกลายเป็นว่าเห็นความหวังดี

จากท่านอ.แม่ เป็นการว่ากล่าวซะงั้น

หากท่านไม่รัก และหวังดีกับเรา

ท่านคงจะไม่บอกให้เรารู้ตัวเป็นแน่

แต่นี่ท่านก็เมตตาบอก เพื่อเป็นการปิดกั้น

ไม่ให้คุณแอ๊ดลงนรก แต่ก็ไม่สำเร็จ

เพราะคุณแอ๊ดเลือกทางนั้นเอง


*ปล. หากธรรมทานในครั้งนี้ทำให้ใครไม่พอใจ 

หญิงก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับใครเลย

เพียงแต่ต้องการนำธรรมทานมาลง

ตามความประสงค์ของคุณปิ่น

และอาจจะมีประโยชน์ต่อใครหลายๆคนก็ได้ค่ะ...

(รวมทั้งตัวเองด้วย ที่บางที

ยังชอบเผลอหยิบของคนอื่นมาทานเลย)

**************************************************

 

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่คุณปิ่นฝากมาลงเช่นกันค่ะ

ก่อนหน้านี้คุณปิ่นได้ทำจานที่บ้านสวนแตกไป 1 ใบ

และตอนนั้นก็ได้อธิษฐานในใจว่า

จะซื้อมาคืน 9 ใบ และรวมใบที่ทำแตกด้วยเป็น 10 ใบ

แต่ถึงกระนั้น ก็เกิดปวดมือขึ้นมา เหมือนโดนหักข้อมือ

และรู้สึกชามือเอามากๆ 

ถึงแม้จะรู้ตัวแล้ว แต่อาการที่เป็นอยู่นี้

หญิงคิดว่าคงไม่ใช่การกลั่นแกล้ง

จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ 

แต่ท่านคงเมตตามาเตือน ไม่ให้เราลืม

เพราะหากลืม ก็คงจะบาปมากๆ

จะทำให้เราลงนรกได้โดยง่ายๆเลยทีเดียว

หลังจากนั้นคุณปิ่นก็ได้ไปซื้อ

จานมาคืนจำนวน 10 ใบ

ระหว่างที่กำลังหิ้วถุงจานขึ้นรถนั้น

ก็รู้สึกว่าอาการที่ปวดมือก็ค่อยๆหาย

ไปในบัดดล เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ

และนับว่าคุณปิ่นโชคดีมากๆเลยเน๊อะ

ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเมตตามาเตือน

ให้เราเจ็บข้อมือแบบนี้

ไม่งั้นอาจทำให้เราลืม หรือล่าช้าไปกว่านี้ก็เป็นได้

ยังไงก็ขออนุโมทนากับธรรมทานจากคุณปิ่นด้วยนะคะ

***********************************

และอีกเรื่อง เรื่องสุดท้ายที่คุณปิ่นฝากมาลงจ๊าาา

คือหลังจากค่าย 11 ผ่านไป

เงินที่ญาติธรรมฝากคุณปิ่นมาร่วมบุญกับบ้านสวน

แต่คุณปื่นลืมนำเงินนั้นติดตัวมาบ้านสวน

ระหว่างที่อยู่บ้านสวนนั้นก็ทำให้มีอาการปวดหลัง

ปวดมากจนทนแทบไม่ไหว

เรียก อ.อุบลช่วยด้วย ก็ไม่หาย

ก็เลยคิดหาสาเหตุว่าที่ปวดหลังนี้เพราะอะไร

หลังจากนั้นไม่นานก็คิดได้ว่า

ลืมนำเงินที่ญาติธรรมฝากมาทำบุญ

จำนวน 1,878 บาท ติดตัวมาด้วย

ก็เลยอธิษฐานขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า

ถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้ขอให้

อาการที่ปวดหลังหาย

และจะให้คุณสามีนำมาให้ในวันพรุ่งนี้

และทันใดนั้นอาการปวดหลัง

ก็หายฉับพลันทันที ด้วยเหตุฉนี้แล...........

ฮิฮิ

ขออนุโมทนากับธรรมทานทุกๆเรื่องจากคุณปิ่นด้วยนะคะ

สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 22:03:13


ความคิดเห็นที่ 4016 (1585790)

 

อนุโมทนาบุญกับธรรมทาน

ของคุณปิ่นและน้องหญิงด้วยนะคะ

     ความปรารถนาดี  ที่ท่านอาจารย์ได้มอบให้

กับทุกคน  ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวท่าน

เราก็จะเห็นแต่สิ่งที่ดี ๆ  นับว่าเป็นบุญของเรา

ที่ท่านเมตตา  ไม่ปล่อยให้เราต้องทำผิดอีก

ไม่ปล่อยให้เราเป็นไปตามยถากรรม  เหมือนที่เคยเป็นมา

    หนูกราบขอบพระคุณ  ท่านอาจารย์

ที่มีเมตตาต่อทุกคน  คอยเตือน  คอยตอกย้ำ

คอยดูแลพวกเราทุกอย่าง  สาธุ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 22:23:03


ความคิดเห็นที่ 4017 (1585792)

ภัยพิบัติน้ำท่วมที่ผ่านมา

และก็ยังไม่แห้งเลย

ไม่ช่วยให้คนไทย

หันมารักกันได้

 

ดังนั้น

ก็ต้องมีการ

จัดหนัก กว่าเดิมให้

เร็วๆนี้แหละ

 

และ

ถ้าจัดหนักกว่าเดิมแล้ว

ยังรักกันไม่ได้

ยังอิจฉา ใส่ร้าย สร้างภาพ

เล่นเกมส์กันอยู่ละก็

 

คราวนี้

จะโดนแบบ

ไม่ให้ โงหัว เลย ทีเดียว

 

โดยเฉพาะ

พวกไม่เชื่อ พวกไม่เปลี่ยน

พวกผิดศีล 5 ไม่ว่ากี่ข้อ

พวกท้านรก

 

พวกนับถือศาสนา

แต่

ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม คำสอน

 

พวกอ้างว่า

ศรัทธา แต่ปาก

แต่การปฎิบัติ ยังล่วงเกิน

ยังไม่ทำตาม

 

พวกจาบจ้วงล่วงเกิน

พระเจ้าอยู่หัว

ท้าวเวสสุวรรณ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ผู้ทรงศีลทรงธรรม

 

พวกที่ใช้คำว่า

งมงาย

 

พวกทำร้ายคนอื่น

ทั้งต่อหน้า - ลับหลัง

 

พวกไม่กลัวบาป

ไม่เชื่อกรรม

พวกทำทุกอย่าเพื่อตัวเอง

 

พวกสร้างภาพ

พวกปากกับใจไม่ตรงกัน

 

พวกไม่จริงใจกันคนอื่น

(ก็ต้องเจอพวกเดียวกัน)

 

พวกที่นิยมความชั่ว

 

พวกเนรคุณผู้มีพระคุณ

 

ต้องถูกเก็บกวาดล้าง

ในอีกไม่นานนี้

 

จนกว่าจะสยบ

จนกว่าจะสิ้นฤทธิ์

 

หรือ

จนกว่า

คนชั่ว จะ สูญพันธุ์

 

แล้ววันนั้น

โลกของเราก็จะ

เต็มไปด้วยความสงบสุข

 

ดังที่

คุณพ่อ ดร.อาจอง บอกไว้

ว่า

 

เราจะหันมารักกันได้

ก็ต่อเมื่อ

เราเจอวิกฤติที่หนักที่สุด

มีศรัตรูอันเดียวกัน

จึงจะหันมาช่วยกัน มารักกันได้

แต่

วันนั้น มันก็สาย ไปแล้ว

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 22:26:33


ความคิดเห็นที่ 4018 (1585801)

 

และหลังจากนั้นไม่นาน

คุณแอ๊ดก็เอา อ.แม่ไปด่าว่าสารพัด

ว่าหวงของบ้าง อะไรบ้าง ต่างๆนาๆ

***********************************************************************
 หากท่านอ.แม่อุบลหวงของกินจริงๆท่านจะเปิดบ้านให้ใครก็ไม่รู้ มาเดินให้เกะกะจนเต็มบ้านของตัวเอง จนไม่มีเวลาส่วนตัวขนาดนี้ติ๊ มากินมานอน มาขี้(โทษค่ะที่ไม่สุภาพ) มาเปลืองน้ำไฟ ข้าวปลาอาหาร มีปัญหาให้ตามแก้ทุกวัน แล้วเคยมีใครเคยเห็นเคยได้ยินท่านอ.แม่อุบลบอกมั่งว่า อันนี้อาจารย์ชอบอย่ากินนะ ห้ามกินก่อนอาจารย์นะ เสนอหน้ามาบอกหน่อยนะจ๊ะว่าท่านเคยบอกผู้ใดบ้าง

เท่าที่ทราบ มีแต่ลูกบ้านสวนพยายามอยากจะรู้ว่า ท่านอ.แม่อุบลชอบทานอะไร อยากจะหาสิ่งนั้นมาถวาย หวังแค่อยากให้ท่านอ.อุบลได้ทานของที่ตัวเองตั้งใจหามาเพื่ออยากได้บุญ แต่ท่านกลับบอกว่า อาจารย์ไม่ยึดติดกับรสชาดและไม่อยากทานอะไรเป็นพิเศษ พี่อ๋อยได้ยินแต่ท่านบอกแบบนี้นะ

เอ..รึท่านจะแอบกระซิบบอกใครเป็นการส่วนตัวน้อหนิ..

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ทั้งๆที่อ.แม่ทำด้วยความเมตตา

เพราะกลัวว่าคุณแอ๊ดจะไปนรกเอาโดยง่าย

เลยมาตักเตือนบอกกล่าว

แต่กลับกลายเป็นว่าเห็นความหวังดี

จากท่านอ.แม่ เป็นการว่ากล่าวซะงั้น

หากท่านไม่รัก และหวังดีกับเรา

ท่านคงจะไม่บอกให้เรารู้ตัวเป็นแน่

แต่นี่ท่านก็เมตตาบอก เพื่อเป็นการปิดกั้น

ไม่ให้คุณแอ๊ดลงนรก แต่ก็ไม่สำเร็จ

เพราะคุณแอ๊ดเลือกทางนั้นเอง

88888888888888888888888888888888888888888888888888

ปล่อยเหอะ ถ้าคิดแบบนั้นคงเกินกู่ให้กลับแล้วล่ะ โซกดี๋เด้อค่ะ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เพ็ญศิริ บุตรมนต์ (opensirio-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 23:15:47


ความคิดเห็นที่ 4019 (1585802)

 

และหลังจากนั้นไม่นาน

คุณแอ๊ดก็เอา อ.แม่ไปด่าว่าสารพัด

ว่าหวงของบ้าง อะไรบ้าง ต่างๆนาๆ

***********************************************************************
 หากท่านอ.แม่อุบลหวงของกินจริงๆท่านจะเปิดบ้านให้ใครก็ไม่รู้ มาเดินให้เกะกะจนเต็มบ้านของตัวเอง จนไม่มีเวลาส่วนตัวขนาดนี้ติ๊ มากินมานอน มาขี้(โทษค่ะที่ไม่สุภาพ) มาเปลืองน้ำไฟ ข้าวปลาอาหาร มีปัญหาให้ตามแก้ทุกวัน แล้วเคยมีใครเคยเห็นเคยได้ยินท่านอ.แม่อุบลบอกมั่งว่า อันนี้อาจารย์ชอบอย่ากินนะ ห้ามกินก่อนอาจารย์นะ เสนอหน้ามาบอกหน่อยนะจ๊ะว่าท่านเคยบอกผู้ใดบ้าง

เท่าที่ทราบ มีแต่ลูกบ้านสวนพยายามอยากจะรู้ว่า ท่านอ.แม่อุบลชอบทานอะไร อยากจะหาสิ่งนั้นมาถวาย หวังแค่อยากให้ท่านอ.อุบลได้ทานของที่ตัวเองตั้งใจหามาเพื่ออยากได้บุญ แต่ท่านกลับบอกว่า อาจารย์ไม่ยึดติดกับรสชาดและไม่อยากทานอะไรเป็นพิเศษ พี่อ๋อยได้ยินแต่ท่านบอกแบบนี้นะ

เอ..รึท่านจะแอบกระซิบบอกใครเป็นการส่วนตัวน้อหนิ..

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ทั้งๆที่อ.แม่ทำด้วยความเมตตา

เพราะกลัวว่าคุณแอ๊ดจะไปนรกเอาโดยง่าย

เลยมาตักเตือนบอกกล่าว

แต่กลับกลายเป็นว่าเห็นความหวังดี

จากท่านอ.แม่ เป็นการว่ากล่าวซะงั้น

หากท่านไม่รัก และหวังดีกับเรา

ท่านคงจะไม่บอกให้เรารู้ตัวเป็นแน่

แต่นี่ท่านก็เมตตาบอก เพื่อเป็นการปิดกั้น

ไม่ให้คุณแอ๊ดลงนรก แต่ก็ไม่สำเร็จ

เพราะคุณแอ๊ดเลือกทางนั้นเอง

88888888888888888888888888888888888888888888888888

ปล่อยเหอะ ถ้าคิดแบบนั้นคงเกินกู่ให้กลับแล้วล่ะ โซกดี๋เด้อค่ะ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เพ็ญศิริ บุตรมนต์ (opensirio-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 23:16:06


ความคิดเห็นที่ 4020 (1585811)

                               

                                                                   

ภัยพิบัติน้ำท่วมที่ผ่านมา

และก็ยังไม่แห้งเลย

ไม่ช่วยให้คนไทย

หันมารักกันได้

9999999999

เราจะหันมารักกันได้

ก็ต่อเมื่อ

เราเจอวิกฤติที่หนักที่สุด

มีศรัตรูอันเดียวกัน

จึงจะหันมาช่วยกัน มารักกันได้

แต่

วันนั้น มันก็สาย ไปแล้ว

%%%%%%%

โอววว...ครั้งนี้คงเกินจะเลี่ยง

แล้วหรือคะท่านอ.แม่

จนป่านนี้แล้วยังคิดกันไม่ได้อีกน้อ

หันมารักกันจริงๆเถิด

พี่น้องเอ๊ย...

ไม่อยากเห็นอะไรที่สาหัสไปกว่านี้เลย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เพ็ญศิริ บุตรมนต์ (opensirio-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-27 23:41:32


ความคิดเห็นที่ 4021 (1585817)

ขอกราบขอบพระคุณ คำเตือนเเละคำชี้เเนะที่ท่านอาจารย์อุบลได้เมตตาตลอดเวลา เพื่อให้เกิดปัญญา เเละ ทางสว่าง  เเละ ขอกราบอนุโมทนาบุญกับธรรมทาน ที่คุณปิ่น เเละ น้องหญิงช่วยเขียนค่ะ 

ขออนุญาติเเชร์ค่ะ ตั้งเเต่ อาริยาเเละ น้องสาวได้มีโอกาสเข้าร่วมบุญบ้านสวน ทุกๆครั้งท่านจะชี้เเนะ ให้นึกถึงอาหารเพื่อส่วนรวมก่อนเป็นหลัก เพราะท่านอยากให้เราได้สร้างบุญใหญ่ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อเเผ่   เเละ ท่านไม่เคยชี้เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นสิ่งใดเลย ค่ะ กลับทำให้เราเกิดปัญญาในการทำบุญ อาริยาได้เล่าให้คุณเเม่ทราบตลอดเวลา เเละเป็นบุญใหญ่ที่เราได้เจอท่าน อาจารย์จริงๆ

กราบขอบารมีพระพุทธองค์ สิ่งศักด์สิทธ์ทุกพระองค์ ลูกขอน้อมบุญทุกบุญที่สะสมทุกภพชาติ ขอถวายทุกพระองค์ เเละโปรดเมตตาดลบันดาลท่าน อาจารย์อุบล เเละ ครอบครัวมีความสุขมากๆ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อาริยา รัตนพรศิริ (procoachariya-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 00:33:16


ความคิดเห็นที่ 4022 (1585855)

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนากับทุกคำสอนดี ๆ

จากท่านอาจารย์อุบลที่เมตตาเสมอมาคะ

 

ทำให้หวนระลึกเสมอถึงคำที่อาจารย์บอกว่า

คนจะไปบ้านสวนฯ คนจะไปนิพพาน ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

เราจะเจอแบบทดสอบเสมอ.. ตลอดเวลา

ถ้าเราผ่านมันไปไม่ได้ เราก็ตกรอบ...คะ

 

ขออนุโมทนากับธรรมทานจากทุก ๆ ท่านด้วยคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 07:00:27


ความคิดเห็นที่ 4023 (1585898)

ขอกราบขอบพระคุณ และอนุโมทนา ในคำสอน และ คำเตือน ของท่านอาจารย์อุบล ครับ

ขออนุโมทนากับ น้องหญิง และ พี่ปิ่น ที่มาเล่าธรรมทาน ด้วยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 11:05:24


ความคิดเห็นที่ 4024 (1585917)

ขอบคุณธรรมทานของพี่ปิ่น

ถ่ายทอดโดยน้องหญิงมากนะคะ

ถือว่ามีประโยชน์มากๆ กับลูกๆ บ้านสวนค่ะ

เพราะคนที่จะรอดไปสู่ยุคศิวิไลซ์นั้น

ย่อมมีบททดสอบอันเข้มข้น

ที่จะเรียนรู้ คัดกรอง ก่อนถึงยุคนั้น

 

และบ้านสวนเองก็เป็นสถานที่

ที่จะให้เราได้ทดลองทำแบบฝึกหัดนั้น

และนี่เป็นการเริ่มต้นของมนุษย์ที่มีคุณภาพ

ที่จะเหลือรอดสู่ยุคศิวิไลซ์

เหตุการณ์นี้ถือเป็นแบบฝึกหัดเริ่มต้น

ตัวตุ้ยเองเชื่อว่าเหตุการณ์นี้

อาจทำให้คนที่เจอจิตตก

แต่ในการจิตตกนั้น เราควรใช้ให้เกิดประโยชน์

โดยย้อนดูตัวเอง

และแก้ไขสิ่งที่เราผิดพลาด

ไม่ใช่คอยแต่จะโทษคนอื่น

 

ลองหันหน้าเริ่มต้นใหม่

ให้ใช้ปัญญาคิดว่าสิ่งที่ อ.แม่บอกนั้น

ท่านเมตตาเรา ท่านจะไม่พูดก็ได้ค่ะ

แต่เราก็จะไม่ฉุกคิด ยังคงผิดต่อไป

เหมือนปล่อยให้เราหลงผิดไปเรื่อยๆ ว่าสิ่งนั้นถูก

คนที่ติติงเรา ถึอว่าเขาเมตตาค่ะ

ถึงเราจะเจ็บปวดในคำพูดนั้น

แต่มุมที่น่าภูมิใจคือเรายังมีคนที่รักเรา

ถ้าเขาไม่ได้รักเรา ไม่สนใจ

เขาก็คงไม่ยุ่งดีกว่า

เพราะการที่เขามาเตือน

เขาย่อมพร้อมรับแล้วว่าต้องเจออะไรบ้าง

ซึ่งหากไม่ถูกโกรธ ก็คงติดใจกันไปตลอด

เราต้องขอบคุณคนที่ติติงเรานะคะ

เพราะเป้าหมายของเรานั้นยิ่งใหญ่

เกินกว่าที่จะมาจบตรงเรื่องแค่นี้ค่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 12:31:01


ความคิดเห็นที่ 4025 (1585918)

      โมทนากับธรรมทานจากพี่ปิ่น+น้อง ญ ด้วยครับ

      ส่วนน้อง ญ บรรยายได้เปะๆเลยครับ ยังกะอยู่ในเหตุการณ์

                    99999999999999999999999

นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า คนเราเนี่ย..

รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ

นี่ขนาดในเขตบุญน่ะเนี่ย!!!

ก็พอดี..ผมเคยรับคุณแอ็ดติดรถมาบ้านสวนฯด้วย

รู้สึกผิดหวังมากที่คิดและทำอย่างนี้กับ

ท่านอาจารย์แม่ของพวกเรา

ผมรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ได้คุยกันในรถแล้วล่ะ

คือขนาดว่า มีความสงสัยในตัวอ.แม่

ถึงขนาดต้องไปถามท่านพระอาจารย์รัตน์

(ท่านมาสอนทำสมาธิที่ ม.เกษตร)

โอ้..ไม่รู้ว่านี่คือ

สิ่งนี้ได้ใช้ความคิดและพิจารณาบ้างหรือยัง

นั่นแสดงว่า ผู้ที่จบการศึกษาสูงๆ

จะป.ตรี ป.โท

มหาลัยที่มีชื่อเสียงของประเทศ

ทำให้ไม่สามารถแยกแยะ

รู้ ผิด ชอบ ชั่ว ดี

ได้เลยหรือ?

เอาแค่ง่ายๆ จะมีคนบ้าที่ไหนที่อยู่ๆ

เปิดบ้านเล่นๆ แล้ว

ให้ใครต่อใครมาเดินอยู่ในบ้านตัวเอง

มานั่งอดหลับอดนอน เพื่อคอยอบรม

สั่งสอน คอยกันไม่ให้ลงนรก

ใครเจ็บไข้ได้ป่วยมา ท่านเมตตา

ช่วยให้พ้นทุกข์มีความสุข

แถมมานั่งจ่ายค่าน้ำ-ไฟให้เฉยเลย

999999999999

ผมเอง..เพิ่ง

จะกราบเท้าแม่เป็นหลังจากรู้จักบ้านสวนฯ

เลิกสูบบุหรี่ กินเหล้า การพนัน อบายมุข

และกลัวบาป ก็เพราะบ้านสวนพีระมิดและ

อ.อุบล แห่งนี้ ทั้งที่ชีวิตตัวเอง

ไปทำบุญมาก็ไม่น้อย

ที่ไหนเค้าบอกว่าดี เราไปหมด

แต่สุดท้ายตัวเราก็ไม่เปลี่ยน

ทีนี้คิดกันได้หรือยังครับ

99999999999999

ที่นี้ ยัง"มี"อีกไหม๊

พวกปากอย่างใจอย่าง

พวกเห็นแก่ตัว

พวกดีแต่สงสัย แต่ไม่เคยคิด ไม่พิจารณา

คิดไม่ได้ก็หัดถามคนอื่นดูครับ

ถ้าไม่รู้หรือรู้ไม่จริงก็อย่าพูดมั่วๆ

ที่สำคัญ

อย่าเสนอหน้ามาบ้านสวนฯด้วย

9999999999999

ปล.กราบขอโทษครับท่านอาจารย์

พอดีของมันขึ้น!!

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กฤษณะ สิงห์ป้อม ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 12:32:53


ความคิดเห็นที่ 4026 (1585925)

กราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์

ท่านอาจารอุบล ที่เคารพ

สวัสดีชาวบ้านสวนพีระมิดค่ะ

วันสาร์ที่ 26 พ.ย 54 ที่ผ่านมานี้

ได้มีโอกาสได้เข้าร่วมบุญที่บ้านสวน

ดีใจมากๆค่ะ

ไม่ได้ไปนาน

คิดถึงอาจารย์มาก

บ้านสวนพีระมิดเปลี่ยนแปลงไปมาก

สวย...สดใส...อบอุ่น...

และที่สำคัญสามัคคีค่ะ

สิ่งที่ประเทศไทยยังขาด

แต่ที่บ้านสวนของเราเต็มเปี่ยมค่ะ

วันนี้ไปถึง 

ลูกบ้านสวนทุกท่านกำลังยกแผ่นปูน

ปูพื้นอาคารสามชั้น

ทุกคนช่วยกันอย่างสนุกสนาน

เสียงหัวเราะครื้นเครง

ดูแล้วมีความสุข

จนอดช่วนเขาไม่ได้ค่ะ

ก็อยากลิ้มรสความสุขเหมือนเขาบ้าง

และก็สุขจริงๆค่ะ

แผ่นปูนเบ่อเล่อเท่อ...แต่ยกกันเหมือนยกนุ่นค่ะ

ใครที่กำลังท้อแท้...หมดหวัง...ขาดความสุข...ไม่มีใครรัก

มาช่วยกันยกแผ่นปูนที่บ้านสวนเลยค่ะ

...มีความสุขแบบว่าไม่อยากกลับบ้านเลยละขอบอก

อนุโมทนา

กับการทำบุญ

ทุกบุญ

ที่บ้านสวนพีระมิด

นะคะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุกันยา จรพินิจ (g-dot-greengreen-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 13:19:19


ความคิดเห็นที่ 4027 (1585926)

คุณแม่ อ..อุบลเจ้าขาลูกกราบเท้า

ในพระเมตตาอย่างที่สุดเจ้าค่ะ

ขออนุโมทนาบุญธรรมทานของ

คุณปิ่น  และน้องหญิงค่ะ

เวลาไปวัดเราไม่ค่อยใช้ปัญญาที่

มักตัดสินใจตามคำบอกของมัคคทายก

หรือฆราวาสผู้ใกล้ชิดเจ้าอาวาส

 

เพราะคิดว่ารู้ดีกว่าเราผู้ซึ่งนาน ๆ โผล่

ไปเขตบุญ แล้วก็สัมผัสไฟนรกเพราะ

ไม่ใช้ปัญญา  ลูกที่ดีมีน้อย  ลูกที่แย่ ๆ

อย่างเกสรมีมากมาย จะให้คุณแม่ อุบล

เหนื่อยไปถึงไหน  ถ้าไม่ปึ้กอย่างที่

พระเจ้าตากสินมหาราช บอกผ่านน้อง

พยาบาลแก้วมาก็อย่าไปพึ่งบ้านสวนฯ

เพราะครอบครัวคุณแม่อุบลอยู่เหนือ

กิเลสทั้งปวง ดับสนิท ไม่หวง มีแต่ห่วง

หรือเราจะไม่ให้ท่านห่วงก็ย่อมได้

ใช่ไหมน้องป้อม  เข้าใจค่ะ

สว.อย่างพี่สร  ยังของขึ้นแล้ววัยรุ่น

อย่างน้อง  คงพองยุบไม่ทันการณ์

ผู้แสดงความคิดเห็น เกสร ศรประสิทธิ์ (andabatik-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 13:25:19


ความคิดเห็นที่ 4028 (1585927)
ท่านอ. อุบล ผู้ซึ่งไม่ใช่ญาติของเรา

ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันโดยสายเลือดใด ๆ กับพวกเรา
 
ท่านก็อยู่ของท่านดี ๆ และท่านก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลอีกด้วย

แต่พอมีคนรู้ว่าที่นี้ช่วยคนให้หายเจ็บป่วย หายจนได้ ก็อยากมา อยากหาย 

แต่พอท่านสั่งท่านสอนด้วยวิธีการที่เอาความจริงมาพูดกันตรง ๆ

ก็ทนต่อแรงเสียดทานจากความจริงไม่ไหว ไม่ยอมเปลี่ยนความคิด

ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมตามคำสอนของครูบาอาจารย์

แล้วจะมาหาท่าน มาเบียดเบียนท่านกันทำไมค่ะนี่

ลูกบ้านสวนฯ ตัวจริงเดี๋ยวนี้เค้าเลิกงกบุญ เลิกอยากได้โน่นได้นี่กันแล้วค่ะ

เค้ามาที่นี่ ก็เพราะเค้าดีใจที่ได้มาสร้าง มาทำสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่นและส่วนรวม

เค้าก็แค่ทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เท่านั้นเองค๊าาาา
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น ก้อย วินิตา สุทธิวรา (pooyingnaya-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 13:26:52


ความคิดเห็นที่ 4029 (1585929)

ดีใจทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดอาจารย์

รู้สึกเหมือนจิตใจมันว่างๆบอกไม่ถูก

ดีใจที่ได้ช่วยอะไรก็ได้ที่อาจารย์บอก

ดีใจที่อาจารย์จำได้

และรู้สึกอยากทำดี  กลัวบาป

เพราะได้รู้จักอาจารย์อุบล

อยากให้ทุกคนที่มีโอกาสได้ใกล้ชิด

ได้ช่วยอาจารย์ ได้รับคำเตือนจากอาจารย์

ภูมิใจนะคะ

มีหนึ่งคนที่

อิจฉาท่านอยู่ค่ะ

(บาปจังเรายังตัดไม่ได้อ่ะ)

ข้าพเจ้าเอง

นางสาวสุกันยา  จรพินิจ

อาจารย์มีบุญมาก และท่านเสียสละมากค่ะ

ช่วยท่านเถอะค่ะถ้ามีโอกาส

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุกันยา จรพินิจ (g-dot-greengreen-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 13:39:00


ความคิดเห็นที่ 4030 (1585932)

 และหลังจากนั้นไม่นาน

คุณแอ๊ดก็เอา อ.แม่ไปด่าว่าสารพัด

ว่าหวงของบ้าง อะไรบ้าง ต่างๆนาๆ

**************************************

ในช่วงหลังเหตุการณ์น้ำท่วมที่แต่ละคนอพยพออกจากกรุงเทพฯ

มิ้มได้โทรศัพท์ไปหาแอ๊ดเพื่อสอบถาม ว่าแอ๊ดไปพักที่ไหนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

คุยไปได้เล็กน้อย  แอ๊ดก็พูดเรื่อง คุณตฤน ว่ามิ้มรู้เรื่องหรือเปล่า มิ้มก็บอกว่าได้เข้าไปอ่านแล้ว

แอ๊ด : สงสารพี่ตฤน  พี่ตฤนไม่มีที่ไป ไม่มีที่พึ่ง หวังจะมาพึ่งอาจารย์ แต่แล้วก็กลับต้องมาเป็นแบบนี้  ( แอ๊ดพูดในลักษณะว่าอาจารย์ท่านไม่เต็มใจช่วยเหลือ ไม่ให้อยู่พี่ตฤนที่น่าสงสาร ไม่มีที่พึ่งที่อยู่   )

มิ้มก็เลยชี้แจงแอ๊ดไปถึงเรื่องราวที่พี่แมว และพี่อ๊อดได้มาเขียนเล่าให้ฟังว่า  พี่ตฤนเค้าวางแผนมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว  นำเสื้อผ้าอะไรทยอยมาไว้  บอกว่าจะอยู่ 3 วัน แต่ก็กลับไม่มีกำหนดกลับ  และสามีของพี่ตฤนยังมาโวยวายกับท่านอาจารย์ด้วย  ก็ลองนึกดูว่าถ้ามีคนเค้ามาอยู่บ้านเราอย่างนี้เราจะรู้สึกอย่างไร  และที่ท่านอาจารย์บอกก็เพราะท่านเป็นห่วงไม่อยากให้เป็นบาป

แล้วแอ๊ดก็พูดถึงเรื่องกล้วยทอด  ให้มิ้มฟัง

แอ๊ดเล่าเหตุการณ์ ( มิ้มไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์) แล้วบอกว่าแอ๊ดไม่รู้ ไม่มีเจตนา จะนำกล้วยทอดของอาจารย์มากิน  ไม่รู้ แต่กลับโดนอาจารย์ว่า “แอ๊ดตะกละ” ต่อหน้าคนอื่น

(แอ๊ดพูดในลักษณะว่าท่านอาจารย์หวงของ)  

แอ๊ดรู้สีกอายมาก  เดี๋ยวแอ๊ดจะซื้อมาคืนให้มากกว่านี้

 ตอนมิ้มฟังแอ๊ดก็ได้ยินไม่ชัดนัก  ฟังแล้วก็ค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเพราะมันเป็นการพูดถึงที่ไม่ค่อยดีนัก  ก็เลยถามแอ๊ดอีกครั้งว่า  แอ๊ดพูดถึงใครนะที่ว่า แอ๊ดตะกละ  แอ๊ดก็บอกว่า อาจารย์อุบล  มิ้มฟังแล้วรู้สึกอึ้งมาก พูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าแอ๊ดคิดอย่างนี้  มิ้มก็พูดกลับไปว่า ท่านอาจารย์ท่านคงเป็นห่วงกลัวจะเป็นบาปกับเรา เป็นหนี้สงฆ์ ท่านก็เลยเตือน  แต่แอ๊ดก็พูดกลับมาอีกในทำนองที่เป็นการคิดลบ  มิ้มเห็นว่าคุยต่อไปคงไม่ไหว  รู้สึกว่าบาปมาจ่อแล้ว ก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วแอ๊ดก็บอกมิ้มว่าแอ๊ดคงไม่ไปบ้านสวนอีกแล้ว 

หลังจากวางโทรศัพท์  มิ้มคิดว่า  บาปหนักเกิดขึ้นแล้ว  การที่มิ้มคุยกับแอ๊ด แล้วแอ๊ดพูดถึงอาจารย์ในลักษณะไม่ดีแล้วมิ้มก็ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับแอ๊ด  แต่พอหลังๆ มิ้มไม่อยากจะพูดอะไรต่อแล้วเพราะเห็นว่า  พูดไปก็ความเห็นไม่ตรงกันทะเลาะกันเปลี่ยนความคิดไม่ได้  ก็เลยนิ่ง  จะเป็นการโมทนาบาปหรือเปล่า

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆค่ะ  เพราะหลังจากนั้นมิ้มก็ใช้  “รหัสอาจารย์อุบลช่วยด้วย”  ไม่ได้ผล

ในตอนต้นมิ้ม เข้าใจผิดว่า มิ้มคงจะทำหน้าที่ตนไม่เต็มที่ในการเผยแพร่รหัส

แต่เมื่อมิ้ม เขียนธรรมทานความไม่ดีของตนเอง  แล้วก็การเปลี่ยนแปลงตนเองเมื่อได้มารู้จักบ้านสวนพีระมิด  และเขียนธรรมที่ท่านอาจารย์สอนเรื่องของการป่วยเป็นโรคต่างๆ  การเป็นหนี้  ผิดหวังในความรัก ฯลฯ ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด และต้องเปลี่ยนตนเองอย่างไรถึงจะแก้กรรมได้  โดยยกตัวอย่างความไม่ดีตนเอง และการเปลี่ยนแปลงของตนเอง และแนะนำให้คนที่อยากพ้นทุกข์เหมือนมิ้ม

ให้ลองไปศึกษาธรรมที่ท่านอาจารย์อุบลนำคำสอนพระพุทธองค์มาถ่ายทอด

ผ่านทางรายการคุยไปแจกไป  และเว็บบ้านสวนพีระมิด 

และแนะนำให้เข้าไปอ่านเรื่อง “รหัสศักดิ์สิทธิ์” ที่จะช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ 

เขียนลงในกระทู้กฎแห่งกรรมเว็บพลังจิต (มีคนเข้าไปอ่านประมาณ 500 กว่าคน)

และก็ส่งเรื่องความไม่ดีของตนเอง การเปลี่ยนแปลงตนเอง  และรหัส “อาจารย์อุบลช่วยด้วย” ที่มิ้มใช้แล้วได้ผล ให้เพื่อนๆ ไปลองใช้  มิ้มส่งเมลให้เพื่อนๆของมิ้มประมาณ 173 คน

แต่ก็ยังคงใช้รหัส “อาจารย์อุบลช่วยด้วย” ไม่ได้อยู่ดี

หลังจากนั้นมิ้ม ก็รู้สึกทุกข์ใจกับอุปสรรคในชีวิตเรื่องต่างๆที่เข้ามา  ทั้งที่พยายามทำความดี โดยตลอด     และรหัสศักดิ์ “อาจารย์อุบลช่วยด้วย”  ก็ใช้ไม่ได้ผล

เมื่อได้มาทบทวน  มิ้มก็เลยรู้ว่า  ที่เป็นอย่างนี้คงเป็นเพราะ  มิ้มได้ไปโมทนาบาปกับแอ๊ดที่ไปกล่าวร้ายท่านอาจารย์อุบล  แต่มิ้มกลับพูดปกป้องอาจารย์ในตอนแรก  แต่พอหลังๆก็ไม่พูดเพราะไม่อยากจะทะเลาะด้วย โดยนิ่งฟัง  แล้วเปลี่ยนเรื่อง  และไม่มีการลงในเวปอีกด้วย

ต้องขอบคุณพี่ปิ่นและน้องหญิงมากๆๆนะคะ ที่ได้นำธรรมทานเรื่องนี้มาลง 

จึงทำให้มิ้มได้มีโอกาส ได้มาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น 

หนูขอกราบขอขมาพระพุทธองค์ เสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณ  และท่านอาจารย์อุบล

ที่หนูไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องท่านอาจารย์อย่างเต็มที่  แต่กลับนิ่งเฉย ซึ่งถือเป็นการโมทนาบาป  ทำให้หนูโดนยึดรหัส “อาจารย์อุบลช่วยด้วย”  และยังพบกับความทุกข์ใจ 

หนูกราบขอโทษท่านอาจารย์อุบลค่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประภาสิริ ถาวร (มิ้ม) (prapasiri_mim-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 13:57:54


ความคิดเห็นที่ 4031 (1585949)

อนุโมทนากับธรรมทานจากพี่ปิ่น และ น้องหญิง

****************************************

นึกไม่ถึงเหมือนกันค่ะ

คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ

อย่างที่สิงห์ป้อมว่า

****************************

      ฟังแล้วรู้สึกตกใจมาก เพราะอัญเป็นคนหนึ่ง

ที่ได้โทร.คุย กับแอ็ด  เพราะเห็นว่าเป็นลูกบ้านสวน ฯ เหมือนกัน

และช่วงที่ กทม.น้ำถ่วม เขาได้กลับไปอยู่บ้านที่ร้อยเอ็ด

ทำให้ไม่ได้มาสร้างบุญที่บ้านสวน ฯ

     ช่วงที่โทร.ไป ก็จะเล่ากิจกรรมบุญต่าง ๆ ที่ทำให้ฟัง

เขาก็ยังอนุโมทนาบุญ บอกขอบใจมาก ดีใจที่โทร.มาเล่าให้ฟัง

ไม่มีคำพูดในเชิงลบกับบ้านสวน ฯ และ ท่าน อ.อุบล

     คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า แอ๊ด จะไม่มีความจริงใจ

ถ้าไม่เคารพรัก

ท่าน อ. อุบล และ บ้านสวนพีระมิด 

ก็อย่าเหยีบเข้าไปอีกเลย...

กราบขอขมาท่าน อ.อุบล ท่าน อ.มงคล เป็นอย่างสูงค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร (ananya-an-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 15:24:43


ความคิดเห็นที่ 4032 (1585954)

ขอพื้นที่สักนิดนะค่ะ

ก่อนจะไปบ้านสวนสำรวจตัวเอง...สักนิด

ไปบ้านสวนฯ ทำไม...

ไปแล้วสร้างปัญหา ไปแล้วเห็นเค๊าทำงานแบบกรรมกร

ก็มีคำถาม อยากได้บุญ ก็ทำตามที่เขาทำกัน

 ไปแล้วยังมี ความโกรธ ความโลภ  ความหลง  ความอยาก

อยากได้ของคนอื่นที่ไม่ใช้ของตัวเอง (จิตใจยังตํ่า)

เป็นคน ขี้ลัก ขี้ขโมย สมครวที่จะไปบ้านสวนฯอีกหรื่อ

 

(ขอฝากไว้ จิตใจยังตํ่า ก็อย่าไป)

 

เมื่อก่อนตัวเองก็ไม่ใช้คนดีนักหลอกค่ะ

ชั่ว  เลว ปากก็สุนัขด้วย ด่าแหลก

มาพบบ้านสวนฯได้รับคำสั่งสอนจากอ.แม่อุบล

ที่ท่านได้นำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาสั่งสอน

จนทำให้เป็นคนขี้นมาได้อีกครั้ง

กราบเท้า อ.แม่อุบลด้วยหัวใจค่ะ สาธุ

และ ครอบครัว ศุภาเดชาภรณ์ หาที่สุดไม่ได้

ด้วยความเคารพอย่างสูง

กมลลักษณ์  โปษณกุล  อ็อด  กล้วยทอด

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 15:49:21


ความคิดเห็นที่ 4033 (1585983)

   แอ็ดเป็นตัวอย่างของคนที่ยังยึดถือตัวตน หรือ อีโก้สูง

ซึ่งเป็นสิ่งที่มีในทุกคนอยู่แล้ว 

คนพวกนี้จะทนไม่ได้กับการ

ถูกตักเตือน แนะนำ หรือ ตำหนิ

ของจะขึ้นทันที  

ซึ่งถ้าเรารู้เท่าทันอารมณ์ของเราได้

เราก็ต้องมาคิด พิจารณาว่า สิ่งที่ ท่านอ.อุบลได้เมตตาตักเตือนนั้น 

ท่านไม่ได้โกรธ หรือ เกลียดเราเลย

มีแต่อยากจะช่วยฉุดให้ลูกหลานของท่านพ้นจากนรก  

แต่ทีนี้อยู่ที่ว่าท่านจะใช้ลีลาไหน ที่จะเตือนเราแล้ว สามารถยิงตรงปัญหาของเรา 

ถึงแม้ว่าท่านจะรู้ว่าต้องบ่งหนองเท่านั้น แผลถึงจะหาย มันอาจจะทำให้เราเจ็บปวด

แต่ที่สุดแผลก็หาย 

ซึ่งคนที่จะเข้าใจและคิดอย่างนี้ได้  ต้องเป็นคนที่เชื่อ และศรัทธาในตัวท่านอาจารย์จริงๆ  การที่ท่านอาจารย์ต้องใช้วิธีผ่าตัดบ่งหนอง

เพื่อรักษาแผล หรือปัญหาของพวกเรา 

ทั้งๆที่อาจจะเลือกการให้ยากิน ยาฉีดก่อนก็ได้นั้น  เพราะตอนนี้เวลาของพวกเราเหลือน้อยแล้ว 

พวกเราต้องรีบเปลี่ยนตัวเองทันที 

อย่ามัวแต่คิดเล็กคิดน้อย  หรือใจเสาะ อ่อนแอ 

ท่านรู้วาระจิตของพวกเราว่าจะต้องทำยังไง

ถึงจะขุดลาก ถอนโคนต้นตอปัญหาของแต่ละคนได้  เรายังติดปัญหาเรื่องไหน

เดี๋ยวท่านช่วยแก้ปัญหาให้  

  ดังนั้นถ้าท่านเมตตาเตือนเรา  ให้ดีใจเถอะว่าเราโชคดีมากที่มีครูบาอาจารย์คอยห่วงใย

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 18:46:35


ความคิดเห็นที่ 4034 (1585988)

 

คุยไปได้เล็กน้อย  แอ๊ดก็พูดเรื่อง คุณตฤน ว่ามิ้มรู้เรื่องหรือเปล่า มิ้มก็บอกว่าได้เข้าไปอ่านแล้ว

แอ๊ด : สงสารพี่ตฤน  พี่ตฤนไม่มีที่ไป ไม่มีที่พึ่ง หวังจะมาพึ่งอาจารย์ แต่แล้วก็กลับต้องมาเป็นแบบนี้  ( แอ๊ดพูดในลักษณะว่าอาจารย์ท่านไม่เต็มใจช่วยเหลือ ไม่ให้อยู่พี่ตฤนที่น่าสงสาร ไม่มีที่พึ่งที่อยู่   )

          ***********************************************************************

ถ้าใครได้เข้าไปอ่านเรื่องตฤณ ที่พี่แมว พี่อ๊อดและอ้อยได้เขียนเล่าไว้ ว่าตฤณได้ทำอะไรไว้ที่บ้านสวนฯบ้าง  

แล้วยังคิดและเข้าใจเหมือนแอ๊ด 

ก็แสดงว่าคุณยังมีจิตใจที่ต่ำ 

ไม่มีสติปัญญาที่จะเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้ตามความเป็นจริง  

ไม่ใช่ลูกบ้านสวนฯตัวจริง 

แสดงว่าคุณไม่ได้รู้จัก ท่านอ.อุบลจริงๆ  คุณคิดว่าตฤณ เค้าไม่มีที่พึ่ง

คุณรู้ม๊ยว่าเค้าเป็นใคร

ตฤณ มีสามีเป็นวิศวกร

มีพ่อแม่อยู่สุราษฎร์ธานี

เค้าไม่ใช่แม่หม้ายสามีตายหรือทิ้ง

เค้าไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อแม่

สามีเค้ามีบ้านเดี่ยวหลังใหญ่อยู่ที่นนทบุรี

มีรถ มีเงิน

เมื่อเกิดภัยพิบัติการที่ทุกคนหนีมาที่บ้านสวนฯนั้น พวกเราไม่คิดที่จะปักหลักอยู่  แต่ขอมาตั้งหลักก่อน  แล้วก็จะหาทางที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัว พึ่งครอบครัว  พึ่งตัวเอง

แต่ตฤณคิดมาที่บ้านสวนฯ แล้ว จะปักหลักอยู่เลย

 โดยไม่เคยขออนุญาติเจ้าของบ้าน

  คิดมาอยู่เพื่อจะประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวตัวเอง 

คิดมาอยู่เพราะที่นี่อยู่สบาย งานก็ไม่ค่อยทำ เพราะอ้างได้ว่า เลี้ยงลูก ให้นมลูก  แค่คอยอุ้มลูก โฉบๆไปตรงที่คนทำงาน  เพื่อโชว์ว่าชั้นก็มีส่วนร่วมนะ

คิดมาอยู่เพราะที่นี่มีคนพูดจาด้วย  ที่อื่นไม่มีคนคบแล้ว เพราะประวัติก็ไม่ธรรมดา

คิดมาอยู่แล้วคอยพูดจายุยง ให้คนแตกแยก  ชอบโทรไปหาคนนั้น คนนี้

คิดมาอยู่เพื่อสร้างอิทธิพล เตรียมเป็นมาเฟียตัวแม่

 

ถ้ายังมีใครที่คิดเห็นใจตฤณ  และตำหนิท่านอ.อุบล คนนั้นก็ไม่สมควรมาบ้านสวนพีระมิดอีกต่อไป

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 19:25:07


ความคิดเห็นที่ 4035 (1585990)

เห็นด้วยกับน้องอ้อยนะคะ เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

ซึ่งเรื่อง ๆ ของน้องแอ๊ด ถือเป็นเรื่องที่ทำให้คนอื่นได้รู้

และจะได้เปลี่ยนพฤติกรรมในการกินอาหาร และน้องแอ๊ด

ควรจะภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้เป็นตัวอย่าง ซึ่งคนที่ได้ทำอย่างนี้

จะได้เลิกพฤติกรรมที่ได้ทำอยู่ ถือว่าได้สร้างธรรมทางเรื่องนี้

ด้วยซ้ำ พวกเราชาวบ้านสวนไม่มีใครคิดซ้ำเติมใคร เพราะจาก

ตัวอย่างเรื่องนี้ไม่เห็นมีใครพูดว่าอะไร กลับนำมาปฏิบัติให้ถูกต้อง

ตามที่ท่านอาจารย์สอน แต่น้องแอ็ดไปคิดในมุมกลับ และก็ตัดสินใจ

ที่จะไม่มาที่บ้านสวนอีก น้องควรจะกลับไปคิดทบทวนอีกที อย่าเข้าข้าง

ต้วเอง พี่จำได้ว่าน้องเขียนในกระดานสนทนาถึงความทุกข์ที่กลับมาอีก

และอาจารย์อุบลบอกว่ายังไม่ได้เอาเรื่องของน้องออกรายการ เดี๋ยวจะรีบ

ออกอากาศเพื่อให้น้องหายจากความทุกข์ อาจารย์เป็นห่วงน้องแอ๊ดขนาดนี้

ทำไมอ.ต้องช่วยน้องแอ๊ด ถ้าคิดไม่ได้ก็ถือว่าน้องแอ๊ดไม่ได้สำนึกบุญคุณท่านเลย

และที่เอาท่านไปว่าก็ถือว่าไม่ได้เคารพท่านเลย คนอย่างนี้ถือว่าไม่ได้เป็นลูกบ้าน

สวน ก็ทางใครทางมันแล้วกันนะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วีรดา อยู่นวล (mamlak-w-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 19:28:08


ความคิดเห็นที่ 4036 (1585994)

ขออนุญาต เล่าเรื่อง ของ ตัวเองบ้างครับ

ผมเองก็เป็นคนนึง ที่ได้ รับ คำตักเตือน ของอาจารย์ อยู่ เหมือนกัน แต่ คนเรา เวลา ที่โดน ว่า ตำหนิ มักจะโกรธ โดย ที่ไม่ย้อนมองดูตัวเอง ว่าเป็นอย่างที่เขาว่า หรือเปล่า แล้วก็ ย้อน กลับมาปรับปรุง แก้ไข ตัวเอง ซึ่งจริงๆ  ท่านจะไม่สนใจ ไม่พูดก็ได้ แต่ท่านทำเพราะ ความเมตตา ให้เราได้เปลี่ยนแปลงตัวเองจริง แต่คนไม่มองตรงจุดนั้น มองแต่ ตัวเองถูก ตัวเองดี ไม่ยอมรับข้อบกพร่อง   

ซึ่งข้อเสีย ที่อาจารย์ท่านเมตตา เตือนผม ก็ มีมากมายก่ายกองครับ ซึ่ง มันก็เป็น จริงๆ แต่บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวเอง คงเพราะ เคยชิน กับ ความบาป มาตลอด อย่างเรื่อง ขี้เกียจ และทำอะไรไม่ค่อยเป็น ซึ่งวันนั้นอาจารย์ท่านก็บอกว่า ถ้าทำงานไม่กระฉับกระเฉง จะไม่ได้มาบ้านสวนฯ อีกนะ ยอมรับว่า ค่อนข้างกังวล กลัวว่าจะไม่ได้มาบ้านสวนอีก เลยพยายามปรับปรุงตัวเองครับ 

และผม เองเป็นคนที่ เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร+ทำอะไรช้า+ขี้เกียจ และทำอะไรไม่ค่อยเก่ง เท่าพี่ๆน้องๆคนอื่นๆ  พอหลังจาก วันนั้นที่ได้รับมอบหมายให้ทำกับข้าว ก็ค่อนข้าง เครียด กังวล เพราะ กลัวทำออกมาได้ไม่ดี นอนไม่หลับ แล้ว พอ ตี 4 ก็ รีบตื่นมาทำเลยครับ (เพราะกลัวว่า ถ้านอนต่อ จะหลับยาว) แล้วก็ ตั้งใจมากๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถึงแม้จะดีพอ หรือไม่นั้น ก็ไม่เป็นไรครับ คิดว่าทำให้ดีที่สุด พอแล้ว หลังจากกลับมาบ้านก็ ศึกษา การทำอาหาร ใน internet เพราะ อยากจะทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ เพราะ ท่านเคยสอนว่า ถ้ามาบ้านสวนแล้ว ต้องทำให้ได้ ทุกอย่าง ทุกหน้าที่ 

ทุกครั้งที่พบหน้า อาจารย์ รู้สึกมีความสุขมากๆ  แต่ก็อาย ที่จะอยู่ระยะประชิดน่ะครับ เพราะรู้ตัวเองว่า ยังเลวอยู่มาก แต่พร้อมครับ ที่จะรับฟังคำสอน ของอาจารย์  เพื่อมาปรับปรุงแก้ไขตนเอง

ท้ายสุดนี้ ขอกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์อุบลและครอบครัว และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆพระองค์ที่เมตตาเตือน เวลา เราทำอะไรผิด ก็จะมีอาการเจ็บป่วย ทางกายเพื่อเตือน ดีกว่าปล่อยให้ทำอะไร ที่เป็นบาป แล้วลงนรก ครับ

  

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 19:34:11


ความคิดเห็นที่ 4037 (1585995)

อนุโมทนากับคุณอ้อยด้วยคะ

คิดแบบนั้นเหมือนกันเลย เรื่องอีโก้เนี่ย

เพราะตัวเองก็เป็นคนแบบนั้นมาตลอด..เลยเข้าใจดี

แต่คนเรามันเปลี่ยนกันได้เนอะ

ถ้าเรามีจุดหมายจริง เราต้องฝ่ามันไปให้ได้คะ ^_^

 

ขออนุญาติยกเรื่องหนึ่งในทิศทั้ง 6 มาให้พิจารณานะคะ

ทิศเบื้องขวา คือ อาจารย์

ศิษย์ที่ดี ควรมีหน้าที่ต่อ ครูอาจารย์ ดังนี้

๑. ลุกขึ้นต้อนรับ (ให้เกียรติ)

๒. เข้าไปยืนคอยรับใช้ เข้าไปหา (เพื่อปรึกษา สอบถาม รับคำแนะนำ ฯลฯ)

๓. ใส่ใจเล่าเรียน เชื่อฟัง (ตั้งใจเรียน ตั้งใจฟังให้เกิดปัญญา)

๔. ปรนนิบัติท่านด้วยความเอื้อเฟื้อ

๕. เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ (จริงจังถือเป็นกิจสำคัญ)

 

ครูอาจารย์ที่ดี ควรมีหน้าที่ต่อศิษย์ ดังนี้

๑. แนะนำ ส่งเสริม ฝึกศิษย์ให้เป็นคนดี

๒. สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง

๓. บอกศิลปวิทยาให้ทั้งหมด ไม่ปิดบังอำพราง

๔. ยกย่องศิษย์ให้ปรากฏต่อหมู่คณะ

๕. สร้างเครื่องคุ้มกันภัยในทุกสารทิศ

 

เราลองเอาหลักในพระไตรปิฎกมาเทียบเคียงดูก็ได้

แล้วเราก็จะรู้ว่าเราทำหน้าที่ของศิษย์ได้ดีหรือยัง??

ขณะที่ท่านอาจารย์ทำได้ดีเกินสิ่งที่ท่านควรทำด้วยซ้ำไป...

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 19:35:12


ความคิดเห็นที่ 4038 (1586000)

 

แอ๊ด อร่ามศรี

ชื่อนี้

ทราบแล้วว่าไม่ธรรมดา

เพราะจากการที่แอ๊ดได้เล่าถึง

ประวัติตัวเอง

ก็ยังคิดยินดีด้วย

ที่แอ๊ด หลุดพ้น

จากการเป็นเมียน้อย

(หรือเปล่า ตอนนี้ไม่แน่ใจ)

และแอ๊ดบอกเองว่า

ไปที่ไหนก็ไม่มีใครจริงใจด้วย

ที่แอ๊ดมาบ้านสวนฯก็เพราะ

สถานที่นี้  

แสดงให้แอ๊ดเห็นแล้วว่า

มีแต่ความจริงใจ

ตอนนี้รู้แล้วว่า..ทำไม

ก็เพราะเธอคนนี้

ไม่เคยมีความจริง..ใจ ให้ใคร

===============

และแอ๊ดก็..แสดงความ

เห็นอกเห็นใจ..ตฤณ

เอาเรื่องของตฤณมากล่าว

ถึง

ความจริงใจ ไม่จริงใจ

แอ๊ดรับไม่ได้ที่ อ.อุบล ว่ากล่าว

แบบตรง ๆ ชัด ๆ 

ถึง ..ความตระกละ

ขอเรียกว่า มักง่าย ดีกว่านะ

ของ ๆ ใครก็ กินไม่เลือก  

ผัวใคร ก็เอาไม่เลือก

เพื่อแลกความอิ่ม ความสบาย

อยากรู้จังอ่ะ

บ้านที่อยู่ของแอ๊ดคงปลอดภัย

พ้นจากภัยพิบัติดี

ก็ช่วยเปิดบ้านรับ ตฤณ + ลูก

เข้าไปอยู่ดูแล ด้วยซิ

อยากรู้นักทำได้มั็ย

คนที่มีเมตตาสูงส่ง จิง จิ๊ง

และ

อยากรู้นัก ว่า

เข้ามาบ้านสวนฯ ไม่กี่ครั้ง

เก่ง กล้า สามารถ

เอาเรื่องนี้..มาเป็นประเด็น

..กลบเกลื่อน..

สันดานการกระทำ

ที่มักง่าย

เห็นแก่ตัว

ไม่มีความจริงใจให้ใคร

ก็อย่า ประเมินคนอื่น

ว่าเป็น เช่นตัวเองนะ

-*-*-*-*-*-*-*-*-

กรณีนี้..ขอถือวิสาสะค่ะ อ.อุบล

แอ๊ด อร่ามศรี..

อย่า..เอาความสกปรก (ขยะ)

ทั้งกาย + ใจ

ไปที่บ้านสวนอีกต่อไป

แล้วจะหาว่าไม่เตือน

บ้านสวนพิรามิด

ไม่ต้อนรับ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 19:55:26


ความคิดเห็นที่ 4039 (1586005)

ทีนี้ ขอเล่าเรื่อง พี่ตฤณ บ้างครับ มีอยู่ครั้งนึง ที่ พี่ตฤณ ได้ถูกสั่งว่า ถ้ามีปัญหากับครอบครัว ก็ ไม่ต้องมาบ้านสวนฯ ซึ่งพี่ตฤณ ก็โทรหาผม แล้วก็ ปรึกษา ว่า ควรจะมาไหม ซึ่งผมเองก็ บอกเค้าไป ว่า อาจารย์ ท่านเป็นห่วงไม่อยากให้พี่มาบ้านสวน เพราะกลัวพี่จะมีปัญหากับครอบครัวมั้ง เพราะ ลูกพี่เองก็ยังเล็กมาก รอให้ ครอบครัว ลงตัวก่อน หรือไม่ก็อาจจะนานๆ มาที สรุป ก็คือ ไม่เห็นด้วยกับการที่พี่เค้าจะมา แต่ก็ตอบแบบ แบ่งรับ แบ่งสู้ แล้วก็  เพื่อไม่ให้พี่เค้ากังวล หลังจากนั้น ไม่กี่วัน ผมเองได้รับโทรศัพท์ จากพี่คนนึง ที่พี่ตฤณคุยด้วยเหมือนกัน โทรมาตำหนิ ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างรุนแรง  ทำนองที่ว่า ผมพูดให้พี่ตฤณ ไม่สบายใจ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า เขาได้ฟังอะไรจากพี่ตฤณ หลังจากนั้น พี่คนนั้น ก็ไม่ได้เข้าเวปบ้านสวน แล้วก็ ไม่ได้ไปบ้านสวนเลย ซึ่งมารับทราบจากพี่ตุ้ย ทีหลังว่า พี่ตฤณโทรหาเหมือนกัน แล้ว บอกว่า ผม กับพี่อ๊อด ห้ามไม่ให้พี่เขามาบ้านสวน ผมเองก็งงๆ เหมือนกัน เพราะผมเองไม่เคยได้คุยเรื่อง พี่ตฤณ กับพี่อ๊อดเลย สรุป การที่พี่ตฤณ โทรหาคนอื่นๆ แล้ว มันทำให้คนในบ้านสวน เข้าใจผิดกัน ถ้าคนที่ฟัง แล้ว ไม่คิดให้ดี ว่าสิ่งที่ได้รับทราบ นั้นมัน จริงหรือเท็จ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 20:15:53


ความคิดเห็นที่ 4040 (1586008)

เมื่อวันพฤหัสที่แล้ว

ไปเที่ยวพัทยามา

ตั้งใจจะไปบ้านคุณโอ๋

 

เกิดความรู้สึกขึ้นมาเฉยๆ

กระทันหันว่า

ต้องไปบ้านคุณโอ๋ เดี๋ยวนี้

 

ถาม อ.มงคล ว่า

ไปได้ไหม

(เพราะเที่ยงวันแล้วค่อยมาชวน)

อ.มงคล ตอบว่า ได้

 

ถามคุณท้อปว่า

ไปพัทยาไหม จะพาไปทานอาหาร

ร้านเดิม ที่เคยไปประจำ

แต่

ตั้งแต่ปี 50 มาถึงปีนี้

ไม่เคยไปเลย

 

แล้วก็จะไปบ้านคุณโอ๋ด้วย

 

คุณท้อปก็ตกลงไปด้วย

 

ออกจากบ้านสวนฯ

ประมาณ 12.30 น.

โทร.ถามคุณโอ๋ คุณโอ๋คงงง

แต่ดีใจ โทร.ถามทาง ไปตลอด

 

คุณโอ๋ขับรถออกมารับ

เราก็ตามรถคุณโอ๋ไป

 

ระหว่างทางเข้าบ้านคุณโอ๋

 

เราก็คิดไปตลอดว่า

 

นี่คือ

การเดินทางเข้า

หมู่บ้านที่คุณโอ๋อยู่

ซึ่งไกล และ ดูเปลี่ยวมาก

นี่ขนาดกลางวันนะ

 

แต่

พอเข้าไปถึง

หน้าหมู่บ้าน โอ้ ใหญ่โต

อลังการ งานสร้าง

 

หมู่บ้านนี้

เป็นหมู่บ้านเศรษฐี

จริงๆ

 

เพราะ

บ้านแต่ละหลัง

ใหญ่โต สวยงาม

และ

สร้างบนพื้นที่ไม่น้อยกว่า

100 ตรว.

 

พอถึงหน้าบ้านคุณโอ๋

โอ้โฮ

สวย ฮายโซ อะไรเช่นนี้

 

บ้านหลังนี้

คุณโอ๋บอกว่า

เธอ

ออกแบบ ตกแต่งเอง ทั้งหลัง

 

สร้างด้วยไม้สัก

อย่างดี

หรู เริ๊ด ทุกมุม

 

กระทั่งก๊อกน้ำแต่ละตัว

ราคา 5-6 หลัก

 

เราเคยสังสัยว่า

ทำไม

คุณโอ๋จึงเป็นคนที่

ทำอะไร

พิถีพิถัน ประดิษฐ์ ประดอย

มาก ถึง มากที่สุด

 

ดูจาก

เวลาที่คุณโอ๋

มาบ้านสวนพีระมิด

คุณโอ๋จะขอเข้าไปช่วยทำงานบ้าน

 

ซึ่ง

อ.อุบล

ยังไม่เคยเห็นใคร

ที่จะทำละเอียด ละออ ขนาดนี้

 

ซึ่งปกติ

งานพวกนี้ อ.อุบล จะทำเอง

คือ

ไม่เคยมีใครทำขนานี้

 

เช่น

เช็ดฝุ่น ทุกซอก ทุกมุม

ตามชั้น ขอบหน้าต่าง ประตู

เอามุ้งลวดออกมาล้าง

ขัดอ่างแก้ว ให้ใสแจ๋ว

 

ขัดเตาแก๊ส

ล้างซิ๊งค์ จนเป็นเงา

 

แก้วทรงสูงทุกใบ

ที่แขวนที่บาร์ บ้าน อ.อุบล

คุณโอ๋ขัดจนเป็นเงา

 

หิ้งพระ

ก็ปีนขึ้นไปเช็ด

 

ขอจัดตู้เสื้อผ้าให้ใหม่

ซึ่ง อ.อุบล เคยจัดไว้เป็นหมวดหมู่

ต่อมามันเริ่มเป็นแต่หมู่

ไม่เป็นหมวด

 

คุณโอ๋มานั่งเรียง นั่งจัด

จนตี 2 ตี 3

บางครั้งไม่ยอมหลับ ไม่ยอมนอน

 

(จนเมื่อวันอาทิตย์ ได้บอกไป

กับคุณแมวด้วย ว่า

ต่อไป ถ้า คุณโอ๋ กับคุณแมว

ไม่นอน อ.อุบล ก็จะไม่นอนด้วย)

 

คือที่บรรยายมานี่นะ

ยังไม่ทั้งหมดที่คุณโอ๋ทำ

 

โดยเฉพาะ

โต๊ะอาหาร และ จานอาหาร

คุณโอ๋จะจัดอย่างสวยงาม

วิจิตรบรรจง ตกแต่ง

แกะสลักเสลา ผักผลไม้

จัดวาง เหมือน เครื่องเสวย

ก็ไม่ปาน

 

ก็เลยสงสัยว่า

คนที่ทำได้ขนาดนี้

เขาอยู่บ้านเขา เขาจัดบ้านยังไง

 

โอ้โห

บ้านเขาสวย

หยาดฟ้า หรู ทุกมุม

ตกแต่ง น่ารัก ลงตัว

 

คุณโอ๋มีสุนัข

ตัวใหญ่

เอลิค ตั้งชื่อให้ ว่า

เจ้า แบ๊คลี่ (ไม่รู้ว่าเขียนถูกป่าว)

 

ก่อนไป

อ.อุบล เอาอาหาร

ใส่ตะกร้าไปด้วย เพราะเสียดาย

เกรงว่า

คนทำให้ คนเอามาให้

จะเสียน้ำใจ

ซึ่งเช้าวันนั้น คุณเจริญ

ทำข้าวผัดไข่ ใส่ผักกวางตุ้งให้

(ยังไม่ได้ทาน เสียดาย)

 

โจ

ออกไปข้างนอก

ซื้อกล้วยทอด(กล้วยแขก)มาฝาก

เลยเอาไปด้วย

 

ปุ๋ยทำหัวไชโป๊ผัดไข่

ของโปรด เพราะเป็นเมนูที่

ทานมาแต่เด็ก

แม่บอกหัวไชโป๊เก็บได้นาน

ก็เลยทานมาเรื่อย

จนกลายเป็น

โปรด

ไปซะงั้น

 

ก็เลยสอนปุ๋ยผัด

เลยเอาใส่กล่องไปด้วย

 

แต่จริงๆ ตั้งใจจะไปทาน

ร้านประจำ

 

จะไปรับ อเล็กซ์ เอริค

ไปทานกัน

 

ก็จึงคิดว่า อาหารที่นำไป

จะทานบนรถ

 

แต่ปรากฎว่า

ขณะเดินทางไปนั้น

ได้อธิษฐานขอพระพุทธองค์

เสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณ

ขอพระเมตตา

ย่นย่อระยะทาง และ เวลา

ให้ไปถึงพัทยา บ้านคุณโอ๋

เร็วๆ ด้วยเถิด

 

เพราะ

เห็นคุณโอ๋เดินทางมา

ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง

 

ปรากฎว่า

ยังไม่ทันเอาอาหาร

ออกมาทานบนรถเลย ถึงซะแล้ว

 

ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ

ซึ่งนี่นับเวลาที่แวะปั๊มน้ำมันแล้ว

และ

เวลาที่รอคุณโอ๋ออกมารับแล้ว

 

ก็เลยอดทานอาหารบนรถ

 

พอไปถึงบ้านคุณโอ๋

หลังจากชมความงามของบ้านแล้ว

 

ก็ออกมานั่งหน้าบ้าน

มองสนามหญ้า

ก็ได้เห็น

วัตถุ สี่เหลี่ยม

เหมือนฝาปิดอะไรสักอย่าง

 

จึงถามคุณโอ๋ว่า

นี่คืออะไร

คุณโอ๋บอกว่า

ฝาปิดถังน้ำค่ะ

 

นี่คือถังน้ำหรือ

 

ค่ะข้างล่างของสนามหญ้านี้

คือ

ถังน้ำขนาดใหญ่

โอ๋ให้เขาขุด ก่อ อย่างดี

เอาไว้เก็บน้ำใช้

ถ้าน้ำไม่ไหล ก็ไม่เดือดร้อน

เพราะสูบขึ้นไปใช้ได้เลย

 

แล้วก็ปลูกสนามหญ้า

บนถังเก็บน้ำขนาดใหญ่เนี่ยนะ

 

ค่ะ

 

ใครคิดเนี่ย

 

โอ๋ค่ะ

 

เราได้เห็น

ภูมิปัญญาของคุณโอ๋อีก

 

เห็นการปลูกต้นไม้ดอก

ไม้ประดับ ผัก สมุนไพร ในพื้นที่

100 ตรว.แต่ดูโล่ง โปร่ง สบายตา

อากาศดี น่ามีความสุข

 

เราก็คิดว่า

ทำไม อเล็กซ์ กับ เอริค

ถึงชอบที่จะไปบ้านสวนพีระมิด

ทั้งที่ชีวิตที่บ้าน

แสนสุขโขสโมสร

 

มีของเล่น

จักรยานจากเมืองนอก

มีเครื่องอำนวยความสะดวก

เพรียบพร้อมมากมาย

 

มีห้องนอนส่วนตัว

มีห้องน้ำส่วนตัว หรู หรา

ด้วยเครื่องสุขภัณฑ์ชั้นเลิศ

 

มีคุณแม่

ที่ทำอาหารเก่ง อร่อย หรู

ให้ทาน อย่างเต็มที่

 

ถ้าใครเคยเห็น

ตู้เย็น ห้องครัว บ้าน อ.อุบล

ใหญ่แค่ไหน ของคุณโอ๋ก็เท่านั้น

 

ถ้าท่านใดมาอ่านเจอ

ที่ อ.อุบล เขียนไว้

ช่วยมาวิเคราะห์สิ่งที่ อ.อุบล

สงสัย ตั้งคำถามไว้ด้วยนะ

จะขอบคุณ ในธรรมทาน

 

คราวนี้

เรายังติดใจเรื่อง

อาหาร

ที่เตรียมไป

 

ก็เลยถามคุณโอ๋ว่า

จะไปรับเอริก + อเล็กซ์กี่โมง

 

ประมาณ 4 โมง 10 กว่านาทีค่ะ

 

โอ เค

ถ้างั้นเรามีเวลาเหลือ

มาช่วยกันทานอาหารที่

อ.อุบล

เตรียมมานี้ รองท้องกันก่อนดีกว่า

 

ว่าแล้ว

ก็ให้คุณท้อป

เอาออกมา แกะกล่อง หน้าบ้าน

คุณโอ๋ ก็เอาช้อน เอาจานมา

แบ่งกันทาน คนละหน่อย

 

พอแกะกล่องกล้วยแขก

เทใส่จานเท่านั้นแหละ

 

เจ้าแบ๊กลี่

เห่าเสียงดังมากเลย

ตอนแรกก็ตกใจ

คิดว่าเรา รบกวนอะไรเขา

หรือว่าเขาเหม็นอาหารที่เราเปิด

 

แบ๊กลี่เห่าดังขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีท่าทีจะหยุดเห่าเลย

 

จนคุณโอ๋

ต้องมาสงบศึก

ด้วยการยกมือไหว้ อ.อุบล

แล้วพูดว่า

 

อ.ขา

โอ๋ขอขมา ขอกล้วยแขก

ให้แบ๊กลี่ 1 ชิ้นนะคะ

 

เอาไปเลย

ไม่ต้องไหว้ ไม่ต้องขอขมา

อ๋อ

ที่เขาเห่าไม่หยุดนี่

ตกลงเขาหิวเหรอเนี่ย

 

เปล่าค่ะ

เขาชอบ กล้วยแขก ค่ะ

 

เออ

สงสัยจะจริง

เพราะ เรามองไปที่

ภาชนะใส่อาหาร ใส่น้ำ

ก็มีอาหาร มีน้ำ เต็มอยู่เลย

 

ก่อนคุณโอ๋

จะหยิบกล้วยแขก

คุณโอ๋ พูดกับ แบ๊กลี่ว่า

 

แบ๊กลี่

คอย คอย

 

เท่านั้นแหละ

แบ๊กลี่ นอน หมอบลง

อย่างว่าง่ายเลย

เลิกเห่า

 

แต่สายตาแบ๊กลี่

จ้องมอง มาที่จาน กล้วยแขก

ไม่ละสายตาเลย

 

พอคุณโอ๋

เอากล้วยแขกให้เขา

เขาก็ค่อยๆ งับ ไม่ให้โดนมือ

 

เป็นภาพที่น่ารักมาก

หมา รู้ ภาษา คน

รู้จักคอย

ทั้งที่อยากกินกล้วยแขกมาก

 

พอทานหมด

แบ๊กลี่ มีอาการ สดชื่น

และ

หันมามอง จานกล้วยแขกอีก

มีท่าที กระดิกหาง

เหมือนจะบอกว่า

 

ขออีกได้ไหม ร้อยจั่ง ฮู้

(อ้าวหมาฝรั่ง กาลายเป็นมาใต้ ซะงั้น)

 

เดี๋ยวมาเล่าเรื่อง

แบ๊กลี่ต่อนะ ไม่ทราบว่า

มีใครอยากอ่านต่อรึเปล่า

ถ้ายังไงให้ไปถาม

คุณโอ๋ดูนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 20:54:10


ความคิดเห็นที่ 4041 (1586022)

 อาจารย์ขา หนูมาปูเสื่อขอรอฟังด้วยนะค๊า

 

ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อาจินต์ ภิรมย์รักษ์ (aabhiromrak-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 21:24:46


ความคิดเห็นที่ 4042 (1586034)

 

เจ้าแบ็กลี่

เป็น หมา ที่

รู้ภาษา เชื่อฟัง

รู้จักรอคอย

ทั้ง ๆ ที่เห็นอาหารโปรด

แต่ก็รู้ จักรอคอย

..หมามีสกุล..

ต้องขอชมเชย

เจ้าของ..

..เจ้าแบ็กลี่ ที่ฝึกมาดี..

อย่างนี้..

ไม่มีใครพูดตำหน

เจ้่า แบ็กลี่

ได้เลยว่า

ไอ้หมา เจ้าของไม่สั่งสอน

555+++

 



 


 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 21:46:46


ความคิดเห็นที่ 4043 (1586035)

ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานค่ะอ.อุบล

หมารู้จักขอ รอให้ได้รับอนุญาต

หมารู้จักคอย

ทั้งๆที่อยากกินมาก

แล้วคนหล่ะ

อยากกินมากแต่คอยไม่เป็น

กินทั้งๆที่เจ้าของไม่ได้รับอนุญาิต

เมื่อโดนอบรมให้รู้จักมารยาท

และได้รับความเมตตา ช่วยเหลือ

ไม่ให้ลงนรก กลับเนรคุณอาจารย์

นำท่านไปพูด กับคนอื่นในทางเสียหาย

น่าอายหมาจริงๆ

คุณแอ๊ด คุณหานรกให้ตัวคุณเองแท้ๆ

*****************************

ไอซ์์เองเมื่อก่อนไปบ้านสวนก็ทานเลย โดยไม่ได้ถามหาเจ้าของเหมือนกัน

แต่หลังจากที่ท่านอ.อุบลได้เมตตาบอกให้ทราบแล้ว

ก็ได้เปลี่ยน รอให้เจ้าขออนุญาตก่อนที่จะทาน

และก็เห็นลูกบ้านสวนหลายท่าน

ทำแบบนี้เหมือนกันเพราะทุกคนไม่ต้องการไปลงนรก

เพราะทุกคนพร้อมที่จะเปลี่ยน และยกจิตตัวเองให้สูง

สำหรับคุณแอ๊ด ในเมื่อคุณไม่คิดเปลี่ยนจิต 

ยังคงให้ิจิตต่ำ และดูเหมือนว่าจะต่ำยิ่งกว่าเดิม

และยังพูดถึงอ.อุบลในทางเสียหาย

พวกเราลูกบ้านสวน ไม่ต้อนรับคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 21:47:42


ความคิดเห็นที่ 4044 (1586036)

 

เป็นภาพที่น่ารักมาก

หมา รู้ ภาษา คน

รู้จักคอย

ทั้งที่อยากกินกล้วยแขกมาก

 

                                         ********************************************************************************************

        โอ้ แบ๊กลี่ หมาแสนรู้

ตอนที่ท่านอาจารย์เมตตาเตือนเรื่องมารยาทการทานอาหาร

โดยเฉพาะอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ และเราไม่ทราบว่าเป็นของใคร

ตอนนั้นรู้สึกสะดุดใจทันทีว่า 

โอ้เราก็เคยมักง่าย หยิบอาหาร ขนม หรือบางครั้ง

เจเล่ในตู้เย็น โดยไม่ได้ถาม หรือ

ขออนุญาติจากเจ้าของเลย 

ตอนนั้นคิดว่า นี่คือสิ่งที่ตัวเองน่าจะยังพลาดอยู่ โดยไม่รู้ตัว 

วันนั้นยังคิดว่า

นี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่เรายังทำผิดโดยไม่รู้ว่าผิด 

และท่านอาจารย์ได้เมตตาเตือน

 

อาจารย์ขา รอฟังเรื่องแบ๊กลี่ต่อนะคะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 21:47:42


ความคิดเห็นที่ 4045 (1586037)

เรียนท่านอาจารย์อุบลและลูกบ้านสวน

เห็นด้วยว่าลูกศิษย์บ้านสวนควรน้อมรับคำตักเตือนจากท่านอาจารย์อุบล น้องแอ๊ดอาจเผลอผิดคิดปรามาสท่านอาจารย์ไป ตามอำนาจกิเลสที่เรามี ซึ่งพอกพูนทับถมในตัวเราหลายร้อยพันแสนชาติ ตัวพี่เองกว่าจะยอมรับว่าเคยคิดปรามาสท่านเรื่องการแต่งกาย เล่นเอาท่านเหนื่อย ท่านพยายามพูดกับพี่หลายหน แต่พี่สองคนก็ไม่กล้ายอมรับ พี่เองคิดว่าทุกคนย่อมมีส่วนดีในตัวทุกคน พี่ยังคิดว่าน้องแอ็ดเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ขอให้น้องลดอัตตาตัวเองให้ได้ มากราบเท้าขอขมาท่านอาจารย์อย่างพี่ เปลี่ยนตัวเองให้ทันในชาตินี้ ของพี่เองขอไม่ต้องลงนรกก็พอ

จริงๆแล้วพี่เองยังมีข้อเสียอยู่มาก ได้ยินท่านอาจารย์อบรมใครก็เอามาปรับกับตนเอง ข้อเสียนั่นพี่ก็เป็น โน่นก็ใช่เรา เผลอๆพี่อาจมีกิเลสมากกว่าน้องๆก็ได้  พี่เอาใจช่วยให้น้องแอ็ดเปลี่ยนให้ได้นะ

ธารีรัตน์ จุ๋ม

ผู้แสดงความคิดเห็น ธารีรัตน์ กะลัมพะเหติ (tmtkl-at-mahidol-dot-ac-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 21:47:59


ความคิดเห็นที่ 4046 (1586041)

  

หนูมารออ่านด้วยคนค่ะ

รู้สึกช่วงนี้กล้วยแขกจะขายดีนะคะ

       แต่ว่าแบ๊กลี่  เขาดีนะคะ  เขารู้จักขอ

รู้จักรอคอย   แม้เขาจะเป็นหมา

แต่ก็เป็นหมาที่ทีมารยาท  ถูกฝึกมาดี

นี่ขนาดเป็นบ้านเขาเองนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 22:01:36


ความคิดเห็นที่ 4047 (1586044)

ขออนุโมทนาบุญธรรมทานค่ะคุณพี่ ดร.จุ๋ม

ถ้าเรารักคุณแม่ อุบล จริง เราต้อง

ไม่สงสัย และอย่าให้ท่านเหนื่อยใจมาก

ถ้ายังจิตตกต่ำอยู่ไม่ฟังคำเตือนท่าน

ก็ควรอยู่ที่ชอบ ที่ชอบก็ได้นี่คะ

มีหลายขุมให้เลือก  บ้านของครอบครัว

ศุภาเดชาภรณ์เปิดรับคนที่ไม่ใช่ศิษย์

พระเทวทัติค่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เกสร ศรประสิทธิ์ (andabatik-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 22:15:05


ความคิดเห็นที่ 4048 (1586047)

มาโม้ต่อเรื่องเจ้าแบ๊กลี่

 

ที่ไม่สะกด

แบล๊คลี่ เพราะเจ้าสุนัขแสนรู้ตัวนี้

สีน้ำตาล ไม่ใช่สีดำค่ะ

 

ถ้าเรียกผิด

ขออภัยคนตั้งชื่อด้วย

คือ เอริค สุดหล่อ

 

คุณโอ๋บอกว่า

ที่ซื้อหมาตัวนี้นะ เพราะว่า

อุ้มเอริคไปแล้วเห็นเขา

หน้าเหมือนเอริคมาก

 

นี่คุณโอ๋ กำลังพูถึง หมา

กับลูกชายคนเล็ก

อยู่นะคะ

ว่า

 

หน้าเขาเหมือนกัน

ตอนทีเอริค ยังไม่ยิ้ม

 

อ.ดูหน้าแบ๊กลี่ซีคะ

อ.ว่าหน้าเขาเหมือนเอริคไหมคะ

ตอนที่เขาไม่เคยยิ้มน่ะค่ะ

 

เอ

เราก็สงสัย

ดูยังไงหว่า ถึงจะให้

หน้าหมา เหมือน หน้าคน

ชื่อว่า เอริค

 

เอ

มองไปมองมา

มันก็มีเค้า เหมือนกันนะ

แต่

ตอนนี้เราลืมหน้าเอริคตอนไม่ยิ้ม

ไปเสียแล้ว

 

เพราะ

ตอนนี้ เอริค

เป็นคนใหม่ ที่สดใส ร่าเริง

คุยเก่ง ยิ้มแย้ม มีน้ำใจ

เมื่อวาน เก็บเงินได้ 10 บาท

ก็นำมาคืน

 

เมื่อเดือนก่อน

ดร.อาจอง จะมาเข้าค่าย

เก็บกำไล

ปะโตเมตังได้ ก็นำมาให้

อ.อุบล

 

และ

เป็นเด็กที่ขยันทำงาน

ขุดดิน ขนดิน เก็บใบไม้

 

ซึ่งก่อนหน้านี้

เอริค ไม่เคยยิ้ม ไม่เคยพูดกับใคร

ถามก็ไม่ตอบ หรือ ตอบแบบเสียไม่ได้

งอ แง อ้อนแม่ กินยากอยู่ยาก

เจ้าปัญหา ขว้างรถ(คุณแมว)ด้วย

 

อารมณ์ร้าย

คุณโอ๋จะหนักใจ

เรื่องเอริค มาตลอดชีวิต

 

เห็นหน้าแบ๊คลี่

แล้วบอกเหมือนเอริค

ก็เลยซื้อมาเลี้ยง

 

แต่เป็นหมาที่

พูดรู้เรื่อง พอคุณโอ๋

บอกให้ คอย

เขาจะหมอบ ลงนอนทันที

 

ขนาดเขาชอบ

กล้วยแขก

มาก

เป็นชีวิตจิตใจ

 

แต่เขาพูดไม่ได้ ได้แต่เห่า

เหมือนจะพูดว่า

 

ขอกินกล้วยแขกมั่งซี

นะ นะ นะ

ขอนะ

 

พอบอกคอย

ก็หมอบลง ไม่เดิน ไม่เห่า

 

แบ๊กลี่ ทำได้ไงเนี่ย

 

พอ 1 ชิ้นหมดไป

ก็ขออีก แสดงว่า ชอบกล่วยแขก

เข้าขั้นเลยนะเนี่ย

 

ไม่ใช่ชอบธรรมดานะ

 

คุณโอ๋บอกว่า

อ.คะ ชิ้นเดียวก็พอแล้วค่ะ

เดี๋ยวตัวเขาจะเปื่อยค่ะ

 

ทำไมล่ะ

 

ถ้าเขาทานขนมมาก

เนื้อตัวเขาจะเปื่อยค่ะ

 

แต่เขาอยากทานมากนะ

คุณโอ๋ น่าสงสารเขานะ ดูสิเขาขอ

 

ไม่เป็นไรค่ะ อ.

 

ระหว่างเราสนทนากัน

เขาก็เห่าอีก

 

อ.อุบล

เลย ขอขัดใจคุณโอ๋

กะว่า ถ้าตัวแบ๊กลี่เปื่อย

อ.อุบล จะช่วยเขาเอง

แต่งานนี้

 

ขอให้แบ๊กลี่ได้กิน

กล้วยแขก

ก่อนเถอะ น่าสงสาร

เหลือเกิน

 

ให้ชิ้นที่ 2 ค่อยๆ งับ

เดินไปขบต่อที่สนาม พอหมด

ก็กลับมาอีก

 

ชิ้นที่ 3-4-5-6-7-8-9 หมดจาน

 

คุณโอ๋บอก

อ.ไม่ได้ทานเลย

 

เราก็คิดในใจว่า

อันที่จริง คุณโอ๋คงเกรงใจ

กลัว อ.อุบล ไม่ได้ทานกล้วยแขก

เลยบอกว่า กลัวตัวเขาเน่าเปื่อย

 

และ

คุณโอ๋ต้องรู้ดีว่า

เขาชอบมาก ขนาดเอ่ยปาก

ขอกล้วยแขก 1 ชิ้น

ให้เขา

 

และ

ขอขมา ขอโทษก่อน

 

เป็นอันว่า

อ.อุบล ให้เขาหมดจาน

แล้วบอกคุณโอ๋ว่า

 

คุณโอ๋

อาหาร กับ อ.อุบล นี่นะ

จริงๆ แล้ว แทบไม่เคยหิวเลย

 

ตอนอยู่ กทม.

อ.ไม่ทานข้าว ไม่ทานแป้ง

เช้า ทานอโวคาโด้ ครึ่งผล

กลางวันอีกครึ่งผล

ถ้างานติดพันนะ

 

แล้วมื้อเย็น

บางครั้งทานผัดไทย

ไม่ใส่เส้น

 

เรียกว่า

ทานอาหารน้อยมาก

แป้ง ไม่ทานเลย

เป็นเวลา เกือบ 2 ปี

ก่อนมาอยู่บ้านสวน

 

ตอนนั้น

สบายตัว ตัวเบา

รูปร่างดี ผิวพรรณดี

ราศรีสดใสมาก

 

แล้วเกิดมา

อ.อุบล

ไม่ชอบทานขนมทุกชนิด

ไม่ทานเลยจริงๆ

 

มันไม่ชอบเอง

 

แต่

เป็นคนชอบทำขนม

ชอบทำอาหาร

 

ชอบตัดเย็บเสื้อผ้า

ตัดเสื้อผ้าใส่เองตั้งแต่ ป.6

จนจบมหาวิทยาลัย

จนทำงาน

 

มาเลิกตัดตอนทำงานหนักๆ

บริหารงานให้หลายบริษัทนั่นแหละ

 

แต่

ที่ทุกวันนี้

ทานข้าว ทานขนม

ทานแป้ง

 

เพราะว่า

สนองศรัทธา

คนที่เขาเอามาให้ อ.

เขาอยาให้ อ.อุบล ทานของเขา

 

บางคน

ถึงกับคอยถามคุณโอ๋

ถามคนที่ยกมาให้ก็มี

ว่า

อ.ทานของเขาหรือเปล่า

 

ดังนั้น

อ.อุบล จึงพยายาม

จะทาน อาหารที่แต่ละคน

ตั้งใจนำมาให้ อ.

 

และ

เปลี่ยนแปลงตัวเอง

เรื่อง ของที่ชอบ ไม่ชอบ

 

ตอนมาอยู่บ้านสวนใหม่ๆ

ก็คิดว่า

เราจะเลิกทาน อโวคาโด้

แล้วก็เลิกได้จริง

 

เจอก็ซื้อ ไม่เจอก็เฉยๆ

 

บางครั้งคุณเพชร+คุณมาร์ค

เคยซื้อมาฝาก

 

ต่อมา

มีบุคคลนิรนาม

ไม่ทราบเป็นใคร

จะเอาอโวคาโด้มาวางไว้

หน้าบ้านทุกสัปดาห์

หาตัวยังไม่เจอเลย

 

บอบอกว่า

ตอนนี้ อ.อุบล

ไม่สนใจ ในการจะทานอะไร

ชอบหรือไม่ชอบ

ไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป

 

เพราะ

เป้าหมายเรา

คือ

ตัดนิวรณ์นี่ขั้นอนุบาล

ฌาน 1 เท่านั้น

แต่ต้อง

ตัดความหลงทั้ง 5

(ที่เรียกว่านิวรณ์ทั้ง 5 นั่นแหละ)

คือ

หลงรูปสวย

หลวงเสียงเพราะ

หลงกลิ่นหอม

หลงรสอร่อย

หลงสัมผัสระหว่างเพศ

 

ตัดแค่นี้ไม่ได้

ก็ย่ำต๊อกอยู่นี่แหละ

ไม่ต้องไปหรอก นิพพาน

 

แม้แต่สวรรค์

ก็ไม่รู้จะไปได้รึเปล่า

เพราะ

กิเลสยังหนา ตัณหายังมาก

 

แล้วก็ไม่ต้องคิดช่วยคน

เพราะ

จะไม่มีปาฎิหาริย์เกิดแน่นอน

 

ถ้ากำลังใจ กำลังจิต

ยังไม่ผ่านวิชา 3 อภิญญา 5

ใช้ฤทธิ์ ใช้ปาฎิหาริย์

ใดใด ก็ไม่ได้

 

เอ้า

พูดเรื่อง แบ๊กลี่

กินกล้วยแขกอยู่ดีๆ

ไปซะไกลเลย

 

กลับมาๆๆ

 

จึงบอกคุณโอ๋ว่า

อ.เห็นเขากินแล้วมีความสุข

 

ส่วนคนที่เขาซื้อกล้วยแขก

มาให้ อ.อุบล

 

เมื่อกล้วยแขก

ถึงมือ อ.แล้วก็ถือว่า

อ.จะเอาไปทาน หรือไม่ทาน

จะให้ใคร อานิสงส์เขาได้

ไม่เปลี่ยนแปลง

 

และ

เขาควรดีใจ

ถ้าเขารู้ว่า ปาฎิบุคลิกทาน

(ทานบุคคล)ของเขา

 

มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ขึ้น

 

 

คุณโอ๋กลัวบาป

 

จึงบอกว่า

ไม่บาปหรอก

 

คราวนี้ก็เลย

ขอเล่าย้อนว่า

 

การจะบาป จะเกิดกรณีใด

 

ถ้ากล้วยแขกนี้

ยังไม่ถึงมือ อ.อุบล เพียงใด

แล้วแบ๊กลี่มากินก่อน

แบ๊กลี่ต้องไปเกิดเป็นเปรตนะ

 

เหมือนเรื่อง

กา กับ เปรต

ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

เขียนไว้ใน

หนังสือหลวงพ่อฯตอบปัญหาธรรม

เล่ม 1

ไปหาอ่านดู หรือ ใครช่วย

ก๊อปข้อความ

 

ตอนที่กาแย่งข้าวที่ชาวบ้าน

เขาจะเอาไปถวายพระ

มาให้อ่านหน่อยนะ

ว่า

ทำไมกาตัวนี้

จึงไปเกิดเป็นเปรต

 

ทั้งที่ข้าวที่กาแย่งนี้

ยังไปไม่ถึงวัด ยังไม่ได้ถวายพระ

 

เดี๋ยวมาคุยต่อ นะถ้ายังอยากอ่านอยู่

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 22:25:32


ความคิดเห็นที่ 4049 (1586048)

ครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เวลานั้น องค์สมเด็จพระบรมครูประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหารในกรุงราชคฤห์มหานครกำลังแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท คือ เทศน์โปรดปัจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ แล้วก็โปรดบรรดาชฎิล ๑,๐๐๓ องค์ ต่างคนต่างบรรลุอรหัตผลเป็นปฏิสัมภิทาญาณ

 

ในวันหนึ่งอัครสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีนามว่าพระโมคคัลลานะเถระ ท่านจำพรรษาอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏิ ในตอนเช้าท่านก็ลงมาบิณฑบาตกับพระลักขณะความจริงพระลักขณะนี่เป็นหนึ่งในจำนวนชฎิล ๑,๐๐๐ คนเป็นพระอรหันต์ ตามแบบฉบับท่านบอกว่าพระลักขณะเป็นพระอรหันต์พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาญาณ

 

ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมีกำลังไม่เท่ากัน

 

ปฏิสัมภิทาญาณ ขั้นปกติมีกำลังต่ำ

 

ปฏิสัมภิทาญาณ ขั้นมหาสาวกมีกำลังความเป็นทิพย์สูงกว่า

ปฏิสัมภิทาญาณ ขั้นอัครสาวกสูงกว่าพระมหาสาวก

 

รวมความว่าการเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ พุทธบริษัทพึงทราบ แม้แต่พระอรหันต์ยังความเป็นทิพย์ไม่สม่ำเสมอกัน พระอรหันต์ที่เป็นวิชชาสามมีทิพจักขุญาณหย่อนกว่าพระอัครสาวกและหย่อนกว่าพระอรหันต์ที่ได้ฉฬภิญโญ คือ อภิญญาหก ความเป็นทิพจักขุญาณของอภิญญาหกมีกำลังต่ำกว่าปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณก็ยังแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตามที่กล่าวมาแล้ว และความเป็นทิพย์ย่อมไม่สม่ำเสมอกัน

แม้อัครสาวกก็ยังมีความเป็นทิพย์หย่อนกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีความเป็นทิพย์อ่อนกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำตอนนี้ไว้ด้วยฉะนั้นบรรดาท่านผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิได้ความเป็นทิพย์ จึงมีความรู้สึกไม่สม่ำเสมอกัน ใช้จิตมาก ๆ ใช้ปัญญาน้อย ความแจ่มใสของจิตก็น้อย การเห็นก็ไม่ค่อยจะตรงนัก ไม่ชัดเจนแจ่มใส

ในเวลาตอนเช้าพระโมคคัลลาน์กับพระลักขณะ ลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏิจะไปบิณฑบาต เดิน ๆ มาอยู่ดี ๆ ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉย ๆ อันนี้เป็นจริยาของพระ ถ้าเขาบอกว่าพระอรหันต์ไม่หัวเราะ พระพุทธเจ้าไม่หัวเราะน่ะไม่จริง ตามปกติท่านหัวเราะ ท่านยิ้มเวลาคุยกัน ยิ้มได้หัวเราะได้ เวลาอยู่เฉย ๆ ถ้ายิ้มขึ้นมามีเรื่อง

พระลักขณะเห็นพระโมคคัลลาน์ยิ้มมาเฉย ๆ ก็ถามว่า

"พระคุณเจ้ายิ้มเรื่องอะไร.....?

เวลานั้นปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์เห็นอหิเปรตกับกากเปรตอยู่ข้างหน้า พระโมคคัลลาน์ก็ไม่ตอบ ถ้าขืนตอบเวลานั้นพระลักขณะซึ่งปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกันท่านไม่เห็น สำหรับพระโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกมีความเข้มข้นกว่าเห็น

ต่อมาเมื่อกลับจากบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จ พระโมคคัลลาน์เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั่วกัน เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถามพระโมคคัลลาน์ต่อหน้าพระพุทธเจ้าถามว่า

"เมื่อเช้าพระคุณเจ้ายิ้ม เดินมาแล้วยิ้มเฉย ๆ ผมถามท่านท่านบอกให้ถามต่อหน้า พระคุณเจ้าเวลานี้มีความว่างพอ พระพุทธเจ้าเทศน์จบและอยู่ต่อหน้าพระนราสก คือพระพุทธเจ้าอยากจะถามว่าเมื่อตอนเช้าท่านยิ้มเพราะเรื่องอะไร"

พระโมคคัลลาน์จึงกล่าวกับพระลักขณะ บอกว่า

"เมื่อตอนเช้าที่เรายิ้มเพราะเห็นเปรต ๒ เปรต คือ อหิเปรตกับกากเปรต"

เมื่อพระโมคคัลลาน์กล่าวเพียงเท่านี้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงรับรองว่า

"อหิเปรตก็ดี กากเปรตก็ดี มีจริง ๆ ตามพระโมคคัลลาน์ว่า ตถาคตเห็นเปรตทั้งสองนี้มาตั้งแต่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคนอื่นเห็น ตถาคตก็ไม่พูดเพราะไม่มีพยาน เวลานี้โมคคัลลาน์เห็นแล้วตถาคตมีพยาน ตถาคตก็ขอยืนยัน เป็นอันว่าโมคคัลลาน์เป็นพยานให้ตถาคต ตถาคตเป็นพยานให้โมคคัลลาน์ เพราะว่าต่างคนต่างเห็นเป็นความจริง

ต่อนั้นไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงกล่าวถึงกรรมของเปรตทั้งสอง วันนี้เอาแค่เปรตเดียว อหิเปรตจะงดไว้จะพูดถึงกรรมของกากเปรต

เปรตทั้งสองตนนั้นมีตัวยาวจริง ๆ ๒๕ โยชน์ ๑ โยชน์ มี ๔๐๐ เส้น ก็นับเอาว่ายาวขนาดไหน เปรตทั้งสองตัวนี้มีสภาพเหมือนกัน คือ มีไฟลุกตั้งแต่หัวพุ่งไปหาหางและไฟก่อตัวขึ้นจากหางพุ่งไปหาหัว ไฟก่อตัวขึ้นตรงกลางตัวรวมไปทั้งหัวทั้งหางและกลางเสร็จ รวมความว่า เปรตนี้มีความยาว ๒๕ โยชน์ แต่เธอก็จมอยู่ในกองเพลิงตลอดเวลา

สำหรับอหิเปรตนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่ามีรูปร่างคล้ายคน แต่ตัวเป็นงู (อหิ แปลว่า งู) สำหรับกากเปรตนั้นมีรูปร่างเป็นคน หัวเป็นคนแต่ตัวเป็นกา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสบุพกรรมของเปรต เอาเฉพาะกากเปรตตัวเดียว

กากเปรตนี้ทำบาปอะไรไว้

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า

ถอยหลังนี้ไปกัปนี้เองสมัยพระพุทธกัสสปเป็นพระพุทธเจ้าเวลานั้นบรรดาประชาชนทั้งหลาย ก็ตั้งใจถวายทานแก่พระสงฆ์เหมือน ๆ กันกับที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเตรียมอาหารมาถวายพระในวันนี้ แต่ว่าในตอนนั้นสมัยพระพุทธเจ้าเขาจะถวายพระองค์ไหนเขาก็รับบาตรจากท่านไป เพราะเวลานั้นไม่ใช้สำหรับบาตรลูกเดียว คือธุดงค์เขานำอาหารใส่บาตรแล้วก็ประเคนพระองค์ใดองค์หนึ่ง

เวลาที่ชาวบ้านเขารับบาตรกับพระเถระไปแล้ว นำอาหารที่มีรสเลิศ หมายความว่าอาหารที่ทำดีแล้วใส่บาตรพอสมควร

ในขณะที่ใส่ลงไปในบาตรนั้น ยังไม่ทันจะถวายพระเวลานั้นมีกาตัวหนึ่งจับอยู่บนยอดไม้ มองเห็นอาหารในบาตรเป็นที่ชอบใจ จึงได้โฉบลงมาคาบเอากับข้าวในบาตรไปเต็มปากตามกำลังที่จะนำไปได้ แล้วก็ไปยืนกิน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่ากาทำบาปเพียงเท่านี้ เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเป็นกากเปรต มีหัวเป็นคนตัวเป็นกายาว ๒๕ โยชน์ มีไฟไหม้ก่อตัวทางหัวพุ่งไปถึงหาง ไฟไหม้ก่อตัวตรงกลางลามไปทั่วตัวต้องไหม้อยู่อย่างนี้นับเป็นพุทธันดร

แล้วองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอีกว่า อาการที่กาขโมยอาหารเขากิน เวลานั้นจัดว่าเป็นบาป เป็นบาปหรือไม่เป็น เสร็จเป็นแน่ ถึงว่าข้าวนั้นยังไม่ได้เป็นของสงฆ์ หมายความว่า ข้าวเขายังไม่ได้ประเคนพระ ยังเป็นเจตนาที่จะถวายพระอยู่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ของบุญ ยังไม่เป็นอาหารของสงฆ์ พระพุทธเจ้าบอกว่ายังไม่ใช่ อาหารที่ถวายพระสงฆ์แล้ว พระเหลือให้แก่ชาวบ้านกิน ถ้าอย่างนี้ถ้านำเอาไปจะมีโทษมากกว่านี้มาก จะไปเกิดแค่เป็นเปรตไม่ได้ จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกก่อน ในอเวจีมหานรก เป็นต้น แต่นี้อาศัยข้าวที่เริ่มเป็นบุญ แต่ยังไม่ได้เป็นสงฆ์ กากเปรตจึงได้มาตกแค่เป็นเปรตอยู่ในเปรตภูมิ อยู่ในแดนของเปรต ไฟไหม้มาแล้วเกินกว่าหนึ่งพุทธันดรนี่ก็ไม่รู้ว่านานเท่าใด

เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การทำตนในเขตที่เราเกิดขึ้นมานี้ขอทุกคนจงอย่างลืมว่าคนที่จะเกิดมาเป็นคนนี้ ต้องอาศัยความดี ๓ ประการเข้าประคับประคอง คือ การที่จะมีร่างกายเป็นคนได้เพราะอาศัยศีล ๕ ประการหรือกรรมบถ ๑๐ ประการ การมีศีล ๕ บริสุทธิ์มาแล้วก็ดีหรือว่ามีกรรมบถ ๑๐ มาแล้วก็ดี กรรมทั้งสองประการนี้เป็นปัจจัยให้เกิดมีรูปร่างหน้าตา เป็นคน และอย่าลืมว่าเราเกิดเป็นคนด้วยความดีเบื้องต้น

แล้วประการที่สองที่เราจะมีอาหารกินตามสมควร มากน้อยไม่เสมอกันอันนี้เป็นกำลังผลของทานที่เรียกว่ามีกำลังไม่เท่ากัน เพราะการถวายทานในเขตพระพุทธศาสนาก็ดี นอกเขตพระพุทธศาสนาก็ดี มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน หรือว่าการถวายทานในเขตพระพุทธศาสนาก็เหมือนกันก็มีอานิสงส์ไม่เสมอกันเหมือนกัน ให้ทานเป็นส่วนบุคคลมีอานิสงส์น้อย ให้ทานเป็นสังฆทานมีอานิสงส์มาก

อย่างกับบรรดาทานพุทธบริษัทถวายสงฆ์ในวันนี้เป็นสังฆทาน หรือไม่มีทายกนำถวายก็ไม่สำคัญ ถ้าพระสงฆ์ฉันตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไปทั้งหมดจัดเป็นสังฆทาน นำถวายหรือไม่นำก็เป็น เวลาจะถวายสังฆทานที่ไหนอย่าทำให้พระท่านลำบาก บางทีพอไปถึงแล้วบอก

"ขอพระคุณเจ้านำถวายสังฆทานด้วยเถอะ"

พอดีพระท่านบวชใหม่ ๆ หรือบวชเก่ายังไม่คล่องในการถวายสังฆทาน ไม่คล่องในการนำมีความลำบาก บางทีจะถวายทานแก่พระสงฆ์ที่ไปฉันตามบ้าน นำอาหารมาตั้งไว้แล้วยังหาคนนำถวายสังฆทานไม่ได้ อย่างนี้ไม่เป็นการสมควร กว่าจะหาคนได้พระก็หิว ทานอันนั้นแทนที่จะเป็นการได้บุญกลับเป็นการได้บาปไป เพราะเป็นการทรมานพระไม่สมควร

การถวายทานกับพระสงฆ์ไม่ต้องพูดอะไรเลยมันก็เป็นทาน ถ้าพระ ๒ องค์ ๒ องค์ ๓ องค์ ถ้าฉันเวลานั้นเราจะกล่าวอย่างไรก็ตามมันก็ไม่เป็นสังฆทาน เป็น "คณะทาน" เป็นการให้ทานแต่คณะ ไม่ใช่สังฆทาน แต่พระเข้าไปในบ้านเราตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปหรือนั่งอยู่ตามทางใกล้ ๆ บ้านที่ไหนก็ตามตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เรานำอาหารไปถวายมากก็ตามน้อยก็ตาม ดีก็ตามเลวก็ตาม จะกล่าวคำถวายทานหรือไม่กล่าวก็เป็นสังฆทาน

ฉะนั้นขอให้บรรดาพุทธบริษัททราบตามนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากให้เกิดแก่ตน และไม่ต้องสร้างความลำบากให้เกิดแก่พระ ถ้าพระไปถึงบ้านแล้วไม่ต้องหาคนมานำถวาย รับศีลฟังสวดมนต์ แล้วถวายได้ทันทีเป็นสังฆทานตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป

และการถวายสังฆทานนี่มีอานิสงส์มาก คนที่เกิดมาในชาตินี้มีฐานะดีมีความร่ำรวย เพราะผลของการถวายสังฆทาน แล้วก็คนที่มีฐานะหย่อนลงไปหน่อยหนึ่งขั้นคหบดีเพราะอานิสงส์การถวายปาฏิปุคคลิกทาน

แต่ปาฏิปุคคลิกทานต้องดูพระ ถ้าพระไม่บริสุทธิ์เลย ท่านตายแล้วท่านลงนรก โยมถวายท่านก็น่ากลัวจะตกเหมือนกัน ในการคบคนชั่วเราก็ชั่วด้วย การคบคนดีเราก็ดีด้วย ถ้าคบคนชั่วเขาก็ไม่สอนด้านความดี ไม่แนะนำด้านความดีเป็นการส่งเสริมกันทำลายพระศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ให้ย่อยยับ ทำลายความสุขของบุคคลที่มีอยู่ในโลก เราก็ไปสวรรค์ไม่ได้เหมือนกัน

แต่บังเอิญพระผู้นั้นไม่บริสุทธิ์หมดจด ถ้าพระมีศีลบริสุทธิ์ก็มีอานิสงส์มาก แต่ว่ายังน้อยกว่าท่านที่ปฏิบัติเพื่อพระโสดาปัตติมรรค หรือน้อยกว่าการให้ทาน หรือถวายทานแก่ท่านที่เจริญพระกรรมฐานยังไม่ได้โสดาปัตติมรรคเป็นต้น

รวมความว่าการให้ทานส่วนบุคคลเรียกว่าปาฏิบุคลิกทาน ถ้าท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ผลมากตามลำดับจนถึงพระอรหันต์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการถวายทานส่วนบุคคลย่อมมีอานิสงส์ไม่เหมือนกับการถวายสังฆทาน คหบดีมาจากปาฏิปุคคลิกทาน ถ้ามีทรัพย์บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ พอบ้างไม่พอบ้าง พวกนี้ให้ทานกับท่านที่มีศีลไม่บริสุทธิ์หรือไม่มีศีลเลยเสียของมากแต่มีอานิสงส์น้อย

รวมความว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่จะมาเกิดเป็นคนได้ต้องอาศัยศีลและการอบรมธรรม และการมาเกิดเป็นคนแล้วกลับทำตนต่ำจะต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์นรกกว่าจะเกิดมาก็ย่ำแย่ก็เป็นการถอยหลัง ทางที่ดีก็ควรจะก้าวหน้าต่อไป อย่างน้อยจากการเป็นคนแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์เป็นเทวดา หรือนางฟ้าที่ดี ไปเป็นพรหมดียิ่งกว่านั้น ไปนิพพานดีถึงที่สุด

วันนี้พูดถึงกาลักข้าวที่เขาจะทำบุญ อย่าลืมนะข้าวที่เขาจะทำบุญนี่ยังมีอานิสงส์น้อยอยู่ ถ้าเขาทำบุญแล้วอย่างเขามาถวายพระแล้วอย่างนี้ ขโมยกินอย่างนี้เป็นขโมยข้าวสงฆ์ ไม่ต้องละ ลงอเวจีมหานรกแน่ หรือข้าวที่เขาถวายพระเสร็จ เขาจะนำไปเลี้ยงคน อีตอนนั้นฉกฉวยเอาไปกินเป็นส่วนตัวก็ถือว่าเป็นขโมยของสงฆ์เหมือนกัน ญาติโยมพุทธบริษัทที่พระท่านอนุญาตว่ากินได้ อันนี้ไม่มีโทษ เพราะพระให้แล้ว

ก็มีหลายท่านถามว่ากินข้าววัดต้องชำระหนี้สงฆ์ไหม ถ้าขโมยกินต้องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าพระให้กินไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์คือพระให้ไม่เป็นหนี้

สำหรับเรื่องกากเปรตก็ขอจบแต่เพียงนี้

ที่มาhttp://www.luangporruesi.com/919.html

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 22:34:35


ความคิดเห็นที่ 4050 (1586050)

 เมื่อก่อนมิ้มเองมีอัตตาในตนอยู่สูงมาก

และความไม่ดีในตนก็มีมากเช่นกัน

เป็นบุญที่ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์อุบล

ที่ให้ยาเเรงเคาะอัตตาในตัวออก

 อีกทั้งยังเมตตาเตือนสติให้คำสอนในเรื่องต่างๆมากมาย

เพื่อให้พ้นนรก

ถึงเเม้ว่าความไม่ดีและอัตตาของหนูยังคงมีอยู่มาก  

เเต่ก็จะพยายามลดลงให้มากที่สุดค่ะเพราะกลัวการลงนรก

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบลและครอบครัวเป็นอย่างสูงค่ะ

ท่านอาจารย์เป็นผู้มีพระคุณกับหนูมากเหลือเกิน

ที่ช่วยฉุดหนูขึ้นจากนรก

มิ้มหวังว่า เเอ๊ดเเองก็จะกลับตัว ยอมรับผิด ขอขมาท่านอาจารย์เพื่อจะไ้ด้ไม่ลงนรก

ท่านอาจารย์เป็นผู้มีพระคุณที่ฉุดเเอ๊ดขึ้นมาจากนรก จาการทำผิดศีล

พยายามช่วยเเอ๊ดทุกอย่าง  ด้วยการนำเรื่องราวของเเอ๊ดออกอากาศ

เพื่อเเอ๊ดจะไ้ด้กุศลจากธรรมทานนี้

และยังทำให้เเอ๊ดได้ย้ายมาทำงานในกรุงเทพ 

ท่านทำเพื่อเเอ๊ดขนาดนี้  เพียงเท่านี้เเอ๊ดก็น่าจะคิดได้เเล้วว่าควรจะทำอะไรต่อไป

*****************

หนูขอมารอฟังเรื่อง เจ้าเเบ๊คลี่ สุนัขมารยาทดี ที่รู้จักการคอย ไม่มักง่าย

เพื่อเป็นตัวอย่างในการสอนตนเองด้วยคนนะคะ 


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประภาสิริ ถาวร (มิ้ม) (prapasiri_mim-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 22:39:08


ความคิดเห็นที่ 4051 (1586051)

 

ถ้ากำลังใจ กำลังจิต

ยังไม่ผ่านวิชา 3 อภิญญา 5

ใช้ฤทธิ์ ใช้ปาฎิหาริย์

ใดใด ก็ไม่ได้

 

ขอแก้ไข

ความเห็นที่ 4056

จากอภิญญา 5

เป็น อภิญญา 6 ค๊า

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 22:51:23


ความคิดเห็นที่ 4052 (1586067)

เป็นอันว่า

วันนั้น เจ้าแบ๊กลี่

ให้ธรรมะ กับเราเยอะมาก

พอเขาทานกล้วยแขกเสร็จ คราวนี้

เขาเดินมาหา อ.อุบล เลย ทำท่าประจบ

 

แต่

กล้วยแขก

หมดเสียแล้ว

 

อ.อุบล

ก็เอาข้าวผัดไข่

ออกมาแบ่งให้คุณโอ๋

ให้ อ.มงคล คนละหน่อย

 

คือ

ข้าวผัดไข่

มีมาก ยังมีในกล่อง

อีกเยอะ

 

คุณแบ๊กลี่ก็มอง

กระดิกหาง

ท่าทางอยากจะชิมข้าวผัด

 

ยังพูดกับคุณท้อปว่า

 

เอ

แปลกเน๊าะ

อาหารเม็ด ในชามเขา

มีเยอะเลยแต่ไม่ทาน

 

ก็เลยบองเอา

ใบผัก

ในข้าวผัดให้เขาทาน

ปรากฎว่า เขาทาน

 

เอาละซี งานเข้าแล้ว

สุนัขคุณโอ๋

เกิดอยากทานอาหาร

มัง

เข้าแล้ว

 

สุนัขตัวนี้

แก่มากแล้ว เดินไม่ค่อยแข็งแรง

กะโพลกกะเพลก เปะปะ

ตัวก็ใหญ่ ขนก็เยอะ

 

ก็เลยลองเอา

ข้าวผัดไข่

ใส่ในชามอาหารของเขาให้

 

ปรากฎว่า

เขาทานหมดอีก

แล้วก็ขออีก

 

ก็เลยตักเพิ่มให้เรื่อยๆ

จนข้าวผัดไข่

หมดกล่องเลย

 

คนทานกันคนละ

2-3 ช้อนได้

 

แล้วก็เลยถามอายุ

คุณโอ๋บอก

เกือบ 10 ปีแล้ว แก่แล้วค่ะ

ใกล้หมดอายุแล้ว

 

เอาอีกแล้ว

อ.อุบล

ทนดูหมาแก่ไม่ได้

ก็เลยจัดแจง สาระแน

ต่ออายุ

ให้เจ้า แบ๊กลี่ อีกแล้ว

 

พอต่อเสร็จ

คุณโอ๋ ตกใจมากที่สุด

บอกขนลุกซู่ไปทั้งตัว

 

แล้วคุณโอ๋บอกว่า

หน้าเขาเปลี่ยนทันทีเลยค่ะ อ.

หน้าขาวเลยค่ะ

 

เมื่อตอนหัวค่ำวันนี้

คุณโอ๋โทร.มาบอกว่า

แบ๊กลี่

เปลี่ยนไปมาก

สดชื่น สีขนเปลี่ยน

สีหน้าเปลี่ยน

 

อ.จะให้โอ๋

เอาแบ๊กลี่ใส่รถไป

บ้านสวนพีระมิด ไหมคะ

 

ไม่เป็นไรจ๊ะ

เอาไว้หนูย้ายมาแล้วค่อย

พาเขามาดีกว่า

เดี๋ยวจะเป็นภาระ

 

หนูอยากให้ อ.เห็นเขาค่ะ

 

ขนาด อเล็กซ์ เอริก

และ

เด็กที่ทำงานบ้านให้

เขาอาบน้ำให้ ให้อาหาร

เขายังบอกเลยค่ะ

ว่า

แบ๊กลี่ เปลี่ยนไป

สดใส

หน้าตาดี ตาที่เคย

มีรอยดำคล้ำรอบตา

กลายเป็นสีขาว

 

ขนรอบปาก คอยดำ

เปลี่ยนเป็นสีขาว

 

โอ้

เจ้า แบ๊กลี่

ยินดีด้วยนะ เจ้าหมาใหญ่

ไม่ใช่หมาน้อย

 

ใครเจอคุณโอ๋

สอบถามกันเองเด้อค่ะ

 

เรื่องมันยาวนะ

เบื่อรึยังล่ะ แบ๊กลี่ น่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-28 23:30:16


ความคิดเห็นที่ 4053 (1586100)

ก่อนหน้านี้ก็ยังคิดอยู่เลยนะคะ

ว่าทำไมไม่เห็นคุณแอ๊ดมาสมัครเข้าค่ายนี้

เพราะว่าค่ายที่แล้วเห็นเค้าแสดงคู่กับพี่มิ้มได้น่ารักมาก

พอมารู้จากคุณปิ่น  ก็อึ้งนิดหน่อยอ่ะคะ

ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้

เพราะคิดว่าเค้าหลุดจากตรงนั้นมาได้

ก็เพราะบ้านสวน......ก็เพราะอาจารย์

และไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะดึงคุณแอ๊ด

กลับไปที่ๆเดิม


แต่ถ้าจะไม่พอใจเรื่องที่อ.แม่ท่านตักเตือนสั่งสอน

ในเรื่องการทานของๆคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

มันก็คือ ความตะกละ ไม่ใช่หรือคะ????

แล้วคุณแอ๊ดจะมาโกรธเรื่องอะไรเนี่ยยย

ทั้งๆที่มันก็เป็นความจริง หรือยอมรับความจริงไม่ได้??

อะไรที่มันเป็นความจริงแล้วมันกระทบจิตใจ

จนรับไม่ได้.......ก็ต้องกระเด็นออกไปเช่นนี้แหละเน๊อะ

เหมือนพวก........ที่เค้าชอบพูดคำ หวาน หรู ดูดี

แต่ไม่มีความจริงใจ 

คงจะไปกันได้ด้วยดีเน๊อะ

หากเมื่อไหร่ที่คุณตายจากความเป็นคนไป

คุณจะเสียใจที่สุด........ที่ได้กระทำแบบนี้กับอ.แม่

แต่ถึงตอนนั้น.....มันก็สายไปเสียแล้ว

****************************************

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > (yingntn-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 04:53:07


ความคิดเห็นที่ 4054 (1586102)

เป็นภาพที่น่ารักมาก

หมา รู้ ภาษา คน

รู้จักคอย

ทั้งที่อยากกินกล้วยแขกมาก

***

จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ แอ๊ด จะจบมาสูง แต่ก็ต้องมา แพ้กิเลสความโลภ อยากกิน กล้วยแขก แถมยังมีอัตตาสูง ใครพูดอะไรไม่ได้เลย แค่นั้นก็แย่แล้ว แถมยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ เอาอาจารย์ที่เมตตาให้ทั้งธรรมมะ เปิดบ้านให้มาสร้างบุญ ใช้น้ำ ใช้ไฟ ไปพูดในทางเสียหายอีกแบบนี้ แย่มากๆ  

***

เคยคุยโทรศัพท์กับแอ๊ดครั้งนึง แซวแอ๊ด บอกว่าแอ๊ด เชยมาก โดนตัดสายทิ้งเลย งง เหมือนกัน แล้ว แต่เราเองก็พูดเล่นๆ โดยคาดไม่ถึง ว่าแอ๊ดจะโกรธ(ง่ายขนาดนี้) แต่ยอมรับว่าเราเองก็ปากเสียเหมือนกัน สังเกตุ จากหน้าแอ๊ด ที่มีปัญหาผิวพรรณ ผื่นแพ้ เป็นสิว ทั้งๆ ที่ใช้ พาเมล่า แสดงว่า อ่านครบ 9 รอบแล้ว ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ จริงแต่ไม่นำเอาธรรมมะ ที่อาจารย์ท่านสอนว่า "คนที่มักโกรธมักมีผิวทราม กรรมผิวพรรณเกิดจากกรรมโทสะ" มิน่าทำไม ผิวหน้าของแอ๊ดยังมีปัญหาอยู่ 

 

***

และการที่ใครจะนำ อาจารย์อุบลไปพูดในทางเสียหาย ไม่ละวางกิเลส ไม่ศรัทธาในครูบาอาจารย์  แล้วจะมาทำไม ในเมื่อคุณไม่เคารพเจ้าของบ้าน ไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง รวมทั้งบุคคล ที่เชื่อ(แบบไม่พิจารณา) อยู่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราก็ต่างคน ต่างอยู่ละกันนะ    

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 05:23:29


ความคิดเห็นที่ 4055 (1586103)

กราบอนุโมทนาในทุกๆธรรมทาน

จากท่านอ.อุบล น้องหญิง คุณปิ่น

และทุกๆความคิดเห็นจากทุกๆท่านด้วยนะคะ

 

บอกตามตรงว่า อ่านเรื่องคุณแอ๊ดแล้ว

รู้สึกเสียใจและผิดหวังยังไงก็ไม่รู้

เพราะเราจะเห็นพัฒนาการของเค้า

มาตลอด จากการเข้ามาแสดง

ความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และยัง

ได้รับเลือกมาเป็นเจ้าของธรรมทาน

อันยิ่งใหญ่ในรายการอีก...

 

คิดว่าน่าจะส่งผลให้ชีวิตของน้องเค้า

พบทางสว่างได้ โดยไม่กลับไป

อยู่ในความมืดมิดอีก...

 

นี่ถ้าสมมุติวันนึง พ่อใหญ่ธนา พี่มหา

น้องหญิง หรือ หนูแหวน

หรือใครหลายๆคน(สมมุติเฉยๆนะ) เปลี่ยนไป

หรือ ถูกกิเลส แปลงร่างมาดึงออกไป

จากทางบุญได้ล่ะก็ ชนิดาว่า ต้องมีน้ำตาร่วงแน่ๆ...

 

งั้น ชนิดาขอฝากทุกๆท่านไว้ก่อน

เ่ลยนะคะว่า ถ้าทุกท่านคิดว่า ชนิดา

เป็นเสมือนพี่หรือน้องคนนึ่ง

ถ้าเมื่อไหร่สังเกตุได้ว่า ชนิดาเริ่ม

จะออกนอกกรอบแล้ว ได้โปรด

เมตตาเตือนกันตรงๆ อย่า"ปล่อย" ให้ชนิดา

ลงนรก เพราะคิดเองว่า ชนิดาคงจะเลือก

ทางนั้นแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าชนิดาจะโกรธนะ

(ถึงจะโกรธ ก็อาจจะโกรธในวาบแรกเท่านั้นแหล่ะ)

 

เพราะเท่าที่สังเกตุจากเรื่องของคุณ ตฤน

คุณแอ๊ด และอีกหลายๆคน ทำให้คิดได้ว่า

"กิเลส"เค้าเก่งกว่าเราเย๊อะ ถ้าเราเผลอ

"สติ"เมื่อไหร่ หลุดได้ง่ายๆเลย

 

แล้วพอมีความคิดผิดปุ๊บ คำพูด

และการกระทำก็จะผิดไปด้วยเป็นอัตโนมัติ

 

อุตส่าห์เสียแรงปีนเขาขึ้นมาได้ซักระยะนึงแล้ว

สุดท้ายก็หมดแรง แพ้ภัยกิเลส

ตกลงมาที่ตีนเขาอีก หรือเผลอๆ

อาจจะกระเด็นตกเหวไปแบบไม่รู้ตัวเลยนะคะเนี่ย 

ว่าแต่ว่า ทุกท่านสงสัยไหม๊ว่า

ทำไมถึงเป็นกล้วยทอด... ก็ถ้าเป็นขนมเค๊ก

หรูๆ แพงๆ มาวางล่อตาล่อใจแบบนี้ล่ะก็

เราอาจจะไม่กล้าทานก็ได้ ฉะนั้น

กิเลสในใจเรา จะบิ๊วขึ้นไหม๊เล่า

 

แต่นี่เป็น"กล้วยทอด" ธรรมดาๆ

ราคาไม่แพงนัก เราก็เลยถือวิสาสะ

คิดเองว่า "กินได้" เพราะคิดเองอีกว่า

ของถูกๆแบบนี้ เจ้าของคงจะไม่หวง

และ คงจะไม่บาป...แต่ที่ไหนได้มันบาป

ตั้งแต่"คิดจะทาน"ของคนอื่นแล้ว...

แถมเป็นของที่เจ้าของตั้งใจ

นำมาฝากอาจารย์อีก...โอ้วว..

 

จะว่าไปนิสัยแย่ๆแบบนี้ ชนิดาก็เป็นนะ

อ่านเรื่องนี้แล้ว ต้อง"เลิก"

นิสัยมักง่ายด่วนเลยนะคะเนี่ย

เบื้องบนท่านก็คงจะมาวัดใจ

โดยใช้"กล้วยทอด"เป็นเป้าล่อ

เพื่อเช็คว่า ลูกๆบ้านสวนฯมั่นคง

ในศีลห้ากันแค่ไหน...เพราะพวกเราส่วนใหญ่

ก็ค่อนข้างมั่นใจว่า ศีลห้าไม่น่าแหว่งได้นะ 

และเหตุการณ์นี้ ยังได้วัดเลเวลของอัตตา

ที่เกาะใจเราอีกด้วย...

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์

และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์

รวมทั้ง กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบล

และครอบครัว ด้วยนะคะ

ที่ทำให้ชนิดาตาสว่าง

เริ่มรู้เท่าทันกิเลสมากยิ่งขึ้น

ไม่งั้นชีวิตนี้ ก็คงจะเอาดีไม่ได้

พราะเคยคิดแต่ว่า ตัวเองน่ะดีแล้ว

นั่นเอง

........................................

อ่านเรื่องคุณโอ๋แล้ว ท่าทางเป็นคนที่

สมบูรณ์แบบเรื่องงานบ้านงานเรือน

มากๆเลยนะคะ แถมเป็นคนที่มีความคิด

สร้างสรรค์ซะด้วย อ่านแล้วก็ "อายจัง"

 

ส่วนน้องเอิ้นเอ๊ย พี่ก็ขุนเฉื่อย

เหมือนกัลล์แหล่ะ น้องเอ๊ย

 

งั้นเราก็ไปฝึกงานกับคนที่เค้าเก่งๆ

คล่องๆ ก็แล้วกันเนอะ อิอิ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 06:10:04


ความคิดเห็นที่ 4056 (1586109)

กราบอนุโมทนาในทุกๆธรรมทาน

จากท่านอ.แม่อุบล

อ.แม่ขา ขนาดเกิดเป็นเจ้าแบ๊กลี่

เขายังปฏิบัติดี  กว่าคนเสียอีก(บางคน)

น่าเสียดายที่บางคนมี 2 ขา

แต่ทำได้ยังไม่เท่าเจ้าแบ๊กลี่ เลย น่าอายจัง 

รู้หน้าไม่รู้ใจ

.......

อนุโมทนากับธรรมทานของคุณหญิง คุณปิ่น คุณชนิดา

คุณเอิ้น และทุกๆความคิดเห็นจากทุกๆท่านด้วยนะคะ

บ้านสวนเป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านอาจารย์แม่

ดังนั้นการที่ลูกหรือใครก็ตามที่ได้

เข้ามาเยี่ยมชมในเว็บไซต์ หรือเดินทางไปบ้านสวน

ต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบ ของบ้านสวนโดยเคร่งครัด

และต้องเคารพเชื่อฟัง คำสั่งสอนของอาจารย์แม่

โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ หากใครไม่เชื่อฟัง

ในคำสอนของอาจารย์แม่แล้วไซต์

ได้โปรดพิจารณาตัวเอง ว่าสมควรเหยียบย่าง

เข้าในเขตบ้านสวนของอาจารย์แม่อีกหรือไม่

ขอตอบแทนเลยนะคะ

ว่าคุณไม่สมควรมาบ้านของอาจารย์แม่อีก

เรียน อาจารย์แม่ค่ะ

         ลูกน.ส.เบ็ญจากาญจน์  ศุภศิริวัฒนา ขออนุญาตทำหน้าที่ขับไล่ บุคคลที่ไม่เคารพเชื่อฟัง ในคำสอนของอาจารย์แม่ และขอปกป้องอาจารย์แม่ และลูกบ้านสวนทุกๆท่านค่ะ(เฉพาะคนที่เคารพเชื่อฟังอาจารย์แม่เท่านั้น)

          ........ 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา(วิ) (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 07:41:34


ความคิดเห็นที่ 4057 (1586127)

คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงคุยกับพี่อย่าง

คุยกับคนโน่นอย่าง

ขอเล่ากับเรื่องตฤณที่พาดถึง

ตฤณ จะเล่าเรื่องของครอบครัวให้ฟังบ่อยมาก

(มีแต่ปัญหา สามี และปัญหาแม่ผัว)

เข้ากันไม่ได้(พูดแต่ความไม่ดีของสามีให้พี่ฟัง)

1 ปีเต็ม พี่ก็ทนฟังมาตลอด และก็ได้บอกและเตือน

เรื่องครอบครัวของตฤณ พยายามสอนและบอก

(ไม่ค่อยปฎิบัติเพราะเธอ...ดื้อ+ มึน)

และยิ่งมีลูก เธอก็เอาแต่ใจตัวเอง ...ก...จะไปต้องไป

ใครห้ามไม่ได้

พี่อ็อด บอกให้เธอฟังเรื่องพรพมวิหาร สี่

ว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แปลออกมาแล้ว

มีอะไรบ้าง(ตฤณก้ไม่ฟังและศึกษา)

ตฤรไม่มีความ เมตตา ให้กับลูกเลย

ปล่อยให้ลูกร้องเห็นแล้วมันสมเพศเวทนา(เด็ก)

แล้วจะมาเรียกร้องความเมตตาจากใคร

ในเมื่อตัวเองไม่มีความเมตตาให้กับลูก

 

1 ปีเต็ม อ.แม่ท่านสั่งสอนตฤณมา

ตฤณไม่ปรับเปลี่ยนจิตใจให้สูงขี้นเลย

(แล้วพวกที่เห็นใจตฤณนะรู้เรื่องตฤณมากน้อยแค่ไหน)

นิสัยเป็นอย่างไร(หนูไม่รู้ หนูเป็นคนดื้อพ่อแม่หนูยังบอกหนูไม่ได้

หนูเป็นคนมึน)

คนสอนยากสอนเย็นแบบนี้

สมควรที่จะให้อยู่บ้านสวนอีกต่อไปหรื่อ...พี่น้อง

อยู่แล้วทำให้เจ้าของบ้านไม่สบายใจ

 

แล้วแอ๊ดยังมาพูดว่า อ.แม่ไม่มีความเมตตา

อ.แม่ท่านมีความเมตตาสูงเกินกว่าที่แอ๊ดจะแตะต้อง

 

ยังมีอีกมากเรื่องของตฤณแต่ขอสรุป

ตฤณ มี ปัญหา ครอบครัวมากๆ

สุดท้ายของสุดท้าย...ตฤณยกจิตตัวเองยังไม่ได้

(คำสั่งสอนของท่าน อ.แม่ไม่ได้เข้าไปในสมองของตฤณเลย)

สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 11:19:10


ความคิดเห็นที่ 4058 (1586133)

พี่ตฤณโทรหาเหมือนกัน แล้ว บอกว่า ผม กับพี่อ๊อด ห้ามไม่ให้พี่เขามาบ้านสวน ผมเองก็งงๆ

*********************

พี่อ็อดก็งง

พี่อ็อดบอกตฤณ..ว่า ลูกก็ยังเล็ก

อย่าพึ่งไปเลยให้ลูกโตก่อนแล้วค่อยไป

ทำบุญกับบ้านสวนฯมีหลายวิธี(ไม่ฟัง)

ก็เลย...จบ...1 ปีไม่มีอะไรดีขี้นเลย...เฮ้อ...เหนื่อย

เรายังเหนื่อย...แล้วอ.แม่ ละ

ท่านเหนื่อยกว่าเราตั้งหลายร้อยเท่า

ที่จะพาพวกเรากลับบ้าน

 

อ๊อดเองก็...โง่อยู่ตั้งนาน...น้าน(ควายจริงๆตัวเรา)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 11:40:42


ความคิดเห็นที่ 4059 (1586170)

กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบล

ที่เมตตาทุกคนเสมอมาจริง ๆ คะ

หนูคิดว่า พี่ปิ่นไม่ได้หวงของแต่อย่างใดเลย

และอาจารย์ก็ไม่ได้ชอบหรือหวงของอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว

แต่บาปที่มันเกิด มันเกิดจากการที่เรานำของคนอื่นมาทาน

และบาปหนักเข้าไปอีก เพราะของสิ่งนั้นมาจากเจตนาที่นำมาให้อ.อุบล

ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์ ผู้มีบุญธิการ ซึ่งก็เปรียบไปเหมือนของสงฆ์ไปแล้ว..

ดังนั้นคุณค่าจึงมาก

และเมื่อกินไปแล้วจึงต้องเป็นเปรตเช่นกาตัวนั้นเอง

 

แต่....

เมื่อเรามาศึกษา หาความรู้จากอ.อุบล บ้านสวนพีระมิดแล้ว

เราทุกคนก็พอรู้ว่า คนเราเมื่อไม่รู้ มันก็ผิดพลาดกันได้

เราทุกคนก็เคยทำผิดกันมาทั้งนั้น...

ตอนนี้เรารู้ตัวแล้ว เราก็สำนึก แก้ไข มาขอขมาท่าน

มาชำระหนี้สงฆ์ จะหาซื้อของดีกว่าเดิมมาให้ก็ได้

 

มันไม่มีอะไรที่แก้ไม่ได้หรอกนะ..

นอกจากเราจะไม่ยอมแก้

ไม่ยอมรับ 

เราก็จะเสียโอกาสที่ดีที่สุดนี้ไปนะคะ

กลับมาเถอะคุณแอ๊ด

น่าเสียดายโอกาสจะตายไป

ชาตินี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้วนะ

ดูอดีตแม่ครัวบ้านสวนสิคะ ตอนทำผิดไปเค้าก็..ไม่รู้ตัว

แต่พอรับธรรมทานไปมาก ๆ เค้าก็ค่อยคิด ค่อยสำนีก

เค้าก็กลับตัวได้

 

กลับมาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ

หนูมั่นใจว่าอาจารย์อุบลรักทุกคน เมตตาทุกคนเสมอ

และที่ท่านอาจารย์พูด สอน เตือน หรือเขียนมาทั้งหมด

ก็เพราะท่านรักคุณแอ๊ด นั่นแหละคะ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 14:52:32


ความคิดเห็นที่ 4060 (1586172)

เห็นด้วยกับพี่ชนิดาว่า

คุณโอ๋สุดยอดแม่บ้านมือโปรจริง ๆ

อ่านไปแล้วก็อายตัวเองเหมือนกัน

ที่เราช่างไม่ไหวจะเคลียร์จริง ๆ

 

แล้วก็ดีใจที่มีคนแบบคุณโอ๋คอยอยู่ใกล้ ๆ อาจารย์ด้วยคะ

ขอบคุณคุณโอ๋มากนะคะ เป็นศิษย์ที่ดีของอาจารย์

เป็นแม่ที่ดีของลูก ๆ และเป็นเจ้านายที่ดีของน้องหมาใหญ่ด้วย

 

ส่วนเรื่องกิเลสก็คิดเหมือนพี่ชนิดาเลยคะ

ไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนกิเลสทำให้หลุดจากขบวนวันไหน

ยังไงพี่ก็เตือนหนูด้วยนะคะ ถ้าเห็นว่าเริ่มไม่ดีละ

อย่าได้ยั้งมือเช่นกันคะ ไม่อยากตกขบวนจากอาจารย์เลยคะ

 

ขออนุโมทนากับทุก ๆ ท่านด้วยคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 14:58:47


ความคิดเห็นที่ 4061 (1586193)

ท่าทาง

พวกเราจะหลงรัก

คุณแบ๊กลี่ เข้าแล้วนะ

ขนาด อ.อุบล

ยังหลงรักเขาเลย

 

ในความ

เป็นหมาผู้ดี มีมารยาท

 

การเห่าของเขา

คือ

การขอ กล้วยแขก นั่นเอง

 

วันนี้

ก็ยังแปลกใจ

คุยกับคุณโอ๋ เรื่องแบ๊กลี่

 

คุณโอ๋มาลำดับ

ว่า

ตอนที่ อ.อุบล ไปถึง

แบ๊กลี่ ไม่เห่าเลย กระดิกหาง

 

ออกมาเดินสนาม

เดินรอบบ้าน ก็ไม่เห่า

 

มาเห่าเอาก็อีตอน

เห็น

กล้วยแขก

นี่แหละ

 

และ

ก็พึ่งทราบจาก

คุณโอ๋

วันนี้ อีกเช่นกันว่า

คุณแบ๊กลี่ ไม่เคยกิน

กล้วยแขก

มาก่อนเลย

 

แต่ อ.อุบล คิดว่า

เขาคงชอบกิน และ เคยกิน

เพราะ

พอเห็น เขาเห่าเลย

เห่ามาก ยังกะเห็นสิ่งที่ผิดปกติ

 

ก็เลยถามคุณโอ๋ว่า

แล้วทำไม

คุณโอ๋จึงขอขมา ขอกล้วยแขก

ให้แบ๊กลี่ 1 ชิ้น แล้วบอกว่า

เขาอยากทานกล้วยแขก

 

คุณโอ๋

บอกว่า ดูเอาจากอาการ

เห่า และ การมอง

ของเขา

จ้องมาที่จานกล้วยแขก

 

ทั้งที่

ตอนที่คุณโอ๋

เอากล้วยแขกใส่จาน

มาวางที่ม้านั่งยาวที่เป็นไม้

หน้าบ้านแล้ว

คุณโอ๋

ก็เดินกลับเข้าไปในบ้านอีก

ไปเอาช้อน+จาน

 

ช่วงนั้นเองที่เขาเห่า

จนคุณโอ๋ต้องรีบออกมาดู

 

และ

สยบเสียงเห่า

ด้วยการขอกล้วยแขก

1 ชิ้นให้เขา

แล้วก็จริง หยุดเขาได้

 

ก่อนให้

บอกให้ คอย คอย

เขาก็หมอบคอย

เราเห็นแล้ว

ต้องขอบอกว่า

คุณแบ๊กลี่ สุดยอด ของหมาเลย

ขนาดอยากทานมาก

แต่

พอบอกว่า แบ๊กลี่ คอย คอย

นอนหมอบลงทันทีเลย

 

แต่ที่สุดยอดกว่า

คือ

เจ้าของหมานะ ที่ฝึกได้

 

วันนี้

คุณโอ๋ถ่อมตัวว่า

เจ้าของหมาน่ะ ไม่ดีเท่าหมา

หรอกค่ะ อาจารย์

ยังมึนอยู่ค่ะ

แต่หมาสอนได้ฝึกได้ค่ะ

 

แล้วก็มาย้ำว่า

ยิ่งวันนี้ แบ๊กลี่ สีขนเปลี่ยน

เป็นสีบรอนด์

เงา สวย

 

หน้าตาสดชื่น

 

คุณโอ๋พูดว่าแบ๊กลี่ว่า

วาสนาดีจริงนะแบ๊กลี่

ไอ้เราต้องกระเสือกกระสนใจ

จึงจะได้บุญ

แต่

แบ๊กลี่อยู่บ้านแท้ๆ

มีบุญมาให้ถึงบ้าน หน้าบานเชียวนะ

 

พอคุณโอ๋พูดจบ

แบ๊กลี่

ก็ยกมือ(ขา)ขวาขึ้น

 

เหมือนตอนที่

อ.อุบล ส่งฉัพพรรณรังษี

ของพระพุทธองค์ให้นั่นแหละ

 

คุณโอ๋ลองพูดอีก

เขาก็ยกมือ(ขา)ขึ้นอีก

เหมือนเดิม

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 18:11:43


ความคิดเห็นที่ 4062 (1586198)

สงสัยว่า คุณเ่บลคลีย์ ของคุณโอ๋

จะไม่ใช่คุณหมาธรรมด๊า ธรรมดา

ซะแล้วนะคะ เพราะอยู่ดีๆ ท่านอาจารย์

ก็เหมือนมีกิจต้องไปต่ออายุให้เค้า

ถึงที่บ้านคุณโอ๋ซะงั้น พร้อมทั้ง

ใช้เรื่องของคุณเบลคลีย์

เพื่อเป็นธรรมทานอันยิ่งใหญ่

ที่สะท้อนให้ลูกๆบ้านสวนฯทุกคนได้

ทราบแบบชัดๆอีกทีว่า อาจารย์ไม่ยึดติด

ในอาหาร ไม่หวงของ ไม่หวงสมบัติ

แต่ที่อาจารย์ห่วงที่สุด คือ กลัวว่าลูกๆ

จะได้ไปอบายภูมิ เพราะความไม่รู้ของตัวเอง

เท่านั้นเอง


ว่าแล้วก็ เดี๋ยวมาวิเคราะห์ใหม่รอบดึกดีกว่า

 

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ชนิดาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า

คุณแ๊อ๊ดจะลดทิฏฐิมานะ

รู้ทัน"อุปทาน"ของตน และมองเห็น

ความหวังดีจากท่านอาจารย์ได้ซักวันนะคะ

บางครั้งเวลาเราอยู่ใกล้กับใคร

หรืออะไรมากเกินไป เราอาจจะมองไม่เห็น

อะไรในตัวเค้าเลยก็ได้ แต่ถ้าถอยห่าง

ไปซักก้าว หรือ ซักระยะนึง

เราอาจจะมองอะไรๆได้กว้างและลึกยิ่งขึ้น ก็ได้ค่ะ

 

กราบอนุโมทนาในความเมตตา

จากท่านอ.อุบลด้วยค่ะ

...................................................................

หนูแหวน สู้ๆ รวมใจกันไว้

อย่าให้ถูกเขี่ย ตกขบวน นะเรา อิอิ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 18:45:43


ความคิดเห็นที่ 4063 (1586200)

 

 กิเลส หรือเครื่องเศร้าหมองของจิต มีตัวหลักอยู่ 3 ตัว คือ

1. โลภะ คือ ความโลภ ความอยากได้ความเพลิดเพลินยินดี ความยึดเหนี่ยวทางใจ

2. โทสะ คือ ความโกรธ ความขัดเคืองใจ ความเศร้า ความเสียใจ ความกลัว ความทุกข์ทางใจทั้งหลาย

3. โมหะ คือ ความหลง ความไม่รู้ธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง อวิชชา 
                                                                               

 

         กิเลส 3 ตัวนี้ เป็นเหตุที่ทำให้เกิดอกุศลทั้งมวล เปรียบเสมือนมารดาให้กำเนิดบุตร (เรียกว่าเป็นอกุศลเหตุ หรืออกุศลมูล) และได้แตกลูกแตกหลานออกมาอีก เรียกว่าเป็น อุปกิเลส 16
๑. อภิชฌมวิสมโลภะ คือความละโมภ อยากได้ อยากมี
อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว

๒. พยาบาท คือความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา
ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มี
บางครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเอง
จนฆ่าตัวตายก็มีซึ่งเป็นเพราะอำนาจพยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

๓. โกธะ คือความโกรธ มีอะไรมากระทบก็โกรธ
เป็นลักษณะโกรธง่าย แต่เมื่อหายแล้วก็เหมือน
กับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือไม่ผูกใจเจ็บ
ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

๔. อุปนาหะ คือการผูกโกรธ ใครพูดอะไร
ทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้วจะผูกใจเจ็บ เก็บไว้ ไม่ปล่อย
ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น กระทบอารมณ์เมื่อไร
ก็เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกันคิดทวนเรื่องในอดีตว่าเขาเคย
ทำไม่ดีกับเราขนาดไหน เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

๕. มักขะ คือการลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่น
เช่น เขาให้ของแก่เรา แทนที่จะขอบคุณกลับนึกตำหนิเขาว่า
เอาของไม่ดีมาให้ หรือเมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา
เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบ จึงยกเรื่องที่ไม่ดีของเขามาพูด
เพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น

๖. ปลาสะ คือการตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน
ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน แต่ชอบยกตัวเองดีกว่าเขา
มักแสดงให้เขาเห็นว่าเราคิดเก่งกว่า
รู้ดีกว่า ถ้าให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้

๗. อิสสา คือความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้
เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเรา
เขาได้รับความรักความเอาใจใส่มากกว่าเรา
เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขา
ความจริงเราอาจจะมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว
หรือเรากับเขาต่างก็ได้รับเท่ากัน
แต่เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ ทนไม่ได้ก็มี

๘. มัจฉริยะ คือความตระหนี่ ขี้เหนียว เสียดายของ
ยึดในสิ่งของที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่น
อยากแต่จะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้ใคร

๙. มายา คือเจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดง
บทบาทตัวเองเกินความจริง หรือจริงๆ แล้วเรามีน้อย
แต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมี เช่น
ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหรา หรือบางกรณี
ใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออก
ด้วยการพูดชื่นชมอย่างมาก หรือบางทีเราไม่ได้มีความรู้มาก
แต่ของคุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้น

๑๐. สาเถยยะ คือการโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา
เก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น
เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุข

๑๑. ถัมภะ คือความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง
ใครแนะนำอะไรให้ก็ไม่ยอมรับฟัง

๑๒. สารัมภะ คือการแข่งดี มุ่งแต่จะเองชนะเขาอยู่ตลอด
จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าเขาตลอด
เช่นเมื่อพูดเถียงกันก็อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อเอาชนะให้ได้
ถึงแม้ความจริงแล้วตัวเองผิด ก็ไม่ยอมแพ้

๑๓. มานะ คือความถือตัว ทะนงตน

๑๔. อติมานะ คือการดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา
ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น

๑๕. มทะ คือความัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว
ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจ หลงในตำแหน่
ง คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปแล้วทำอะไรเกินเหตุ

๑๖. ปมาทะ คือความประมาท เลินเล่อ
ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา

 

      พอดีพูดถึงเรื่อง กิเลส เลย ลองไปหาข้อมูลมาน่าจะ เป็นประโยชน์นะครับ (มาเทียบดูตัวเอง ก็ยังมี กิเลสอยู่หลายตัว เหมือน กัน )

       @ พี่ชนิดา (โหน่ง)ได้ครับ ว่าแต่เมื่อไหร่ ละ ครับ อยากเจอ จริง ๆ สักวัน เราก็คงได้เจอ กัน บนนิพพาน แต่ท่าทาง พี่อาจจะต้องรอนานหน่อยนะครับ ท่าทางจะอีกน๊าน นาน กว่า ผมจะ คลานไปถึง

ขออนุโมทนากับทุกๆท่าน ที่มาแบ่งปัน ธรรมทาน ด้วยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 18:55:09


ความคิดเห็นที่ 4064 (1586207)

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่อาจารย์คอยสอนพวกเรา

นอกจากการรักษาศีล มีพรหมวิหาริย์สี่

และละวางกิเลสให้บางเบาลงเรื่อย ๆ แล้ว

เรื่อง "มารยาท" ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เรายังต้องปรับ

เพื่อยกจิตให้ "สูง" มากพอที่อยู่ในยุคใหม่ได้

 

คำว่า "มารยาท" ฟังแล้วอาจไม่มีบรรทัดฐานใดมาวัดได้แม่นยำ

เหมือนเรื่องศีล อาจไม่มีใครชี้ว่าผิดถูกได้ร้อยเปอร์เซนต์

แต่ผู้ที่มีจิตสูงพอ หรือที่เรียกว่า "ผู้ดี" ย่อมพอเข้าใจในเรื่องนี้ได้

บางทีเราอาจไม่ได้ ....อยาก.... อะไรมากมาย

แต่ก็ทำไปด้วยความ..เคยชิน

ทำไปแบบเฉย ๆ ทำไปเป็นเรื่องธรรมดา

คิดว่าไม่ใช่เรื่องผิด หรือเลวร้ายอะไรมากมาย..

หรือคิดว่า ...ก็แค่ของแค่นี้ ไม่เห็นจะสำคัญไรมากมาย...

แต่ในเมื่ออะไรที่มันไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องคิดให้ดีก่อนเสมอ

และของทุกอย่างที่ไม่ใช่ของเรา แม้จะมีราคาสูงหรือแทบไม่มีราคา

มันก็คือของ ของคนอื่นอยู่วันยังค่ำ

 

แค่เพียงเอ่ยขอ เอ่ยถาม สักคำ.. รอคอย อีกสักนิด..

มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไปเลย

เมื่อไม่ได้ทำ ก็หัดทำเสียใหม่

เมื่อทำพลาดไปแล้ว ก็กล่าวขออภัย เราเริ่มใหม่ได้เสมอคะ

 

ความดีของการหัดตัวเองให้มีมารยาทอยู่เสมอ

ก็มีส่วนช่วยป้องกันเรื่องการผิดศีลไปได้ในตัว

 

เราต้องฝึกไปด้วยกันนะคะ เราจะฝึก

เราจะไปให้ถึงเป้าหมาย ต้องสู้คะ

 

สุดท้าย เอาเพลงลูกเสือ สมัยเด็ก ๆ มาฝากจ้ะ..

ความซื่อสัตย์ เป็นสมบัติของผู้ดี
หากว่าใครไม่มี ชาตินี้เอาดีไม่ได้
มีความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดถมไป
คดโกงแล้วใคร จะรับไว้ให้ร่วมการงาน


ความเกรงใจ เป็นสมบัติของผู้ดี
ตรองดูซี ทุกคนก็มีหัวใจ
เกิดเป็นคน ถ้าหากไม่เกรงใจใคร
คนนั้นไซร้ ไร้คุณธรรมประจำตน


ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 20:18:55


ความคิดเห็นที่ 4065 (1586233)

    วันนี้ได้คุยกับคุณโอ๋  เรื่องแบ็กลี่

เหตุที่คุณโอ๋  ซื้อแบ็กลี่  มาเลี้ยงเพราะหน้าเหมือน

ลูกชาย  (เอริค)

เลยมีคนแซวคุณโอ๋ว่า  เอริค  หน้าเหมือนแม่ (คุณโอ๋)

แล้วคุณโอ๋หน้าเหมือนใคร 

     และยิ่งตอนนี้แบ็กลี่  หน้าตาเปลี่ยนไปมาก 

จากหน้าตาเศร้า  อมทุกข์

กลายมาเป็นแบ็กลี่  ผู้สดชื่น  ยังคุยกับคุณโอ๋ว่า 

ลองนำภาพแบ็กลี่

ก่อนกินกล้วยแขก  กับหลังกินกล้วยแขก 

มาให้พวกเราดูบ้างนะคะ

         หลังจากแบ็กลี่กินกล้วยแขก  และความผัดแล้ว

คุณโอ๋บอกว่า  ตัวไม่เปื่อยเลย  เพราะปกติถ้าเขากิน

อาหารประเภทมัน ๆ  แล้วจะตัวเปื่อย  แต่ครั้งนี้ตัวไม่เปื่อย

แถมยังสีขนเปลี่ยน  สดใส  สวยงาม  อีกด้วย

และอีกอย่าง  คุณโอ๋เล่าว่า  แต่ก่อนคณโอ๋จะมาบ้านสวน

แบ็กลี่จะทำหน้าเศร้า  เบื่อ  ประมาณว่า  ไปอีกแล้วเหรอ

แต่วันนี้  พอบอกแบ็กลี่ว่าจะมาบ้านสวน  แบ็กลี่ยกขา 

เหมือนสาธุ  ด้วย  และแสดงอาการดีใจ  ไม่เหมือนแต่ก่อน

        จะมีใครอีกบ้างหนอ  ที่ซื้อหมามาเลี้ยงเพราะหน้าเหมือนลูก

คิดได้ยังไงค่ะ  คุณโอ๋

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 21:24:44


ความคิดเห็นที่ 4066 (1586240)

วันนั้น

ไปรับเอริค กับ อเล็กซ์

ที่ ร.ร.ไปทานอาหารที่ร้านนางนวล

พัทยาใต้ เป็นร้านที่เคยไปทานประจำ

สมัยที่ยังทานเนื้อสัตว์อยู่

เป็นร้านซีฟู๊ด ที่มีระเบียงยื่นไปในทะเล

 

เมื่อก่อน

ก็จะสั่งพวก อาหารทะเล

และ

ผัดผัก ผักชุบแป้งทอด

 

ตอนที่ยังไม่ทานมัง

แต่เริ่มคิดจะทาน

ก็คิดว่า

 

เอ

มันคงยุ่งยากนะ

ในเมื่อร้านอาหารส่วนใหญ่

เขามีเนื้อสัตว์ทั้งนั้น

ไปไหนก็คงหาทานลำบาก

 

แต่

มาวันนี้

อ.อุบล ทานมัง

ที่เข้าร้านอาหารที่มีเนื้อสัตว์

ได้ทุกร้าน โดยไม่มีอุปสรรคเลย

 

เพราะ

เราสามารถสั่งอาหาร

ตามเมนูของเราเอง

ที่ไม่ต้องมีเนื้อสัตว์ได้ทุกร้าน

 

วันนั้น

เราสั่งอะไรบ้าง

คุณชนิดา ณ โปแลนด์

อ่านแล้ว อย่าน้ำยายหยดนะ

 

อาหารที่สั่งมี

1.ข้าวผัดไข่

2.หัวหอม พริกยักษ์ ข้าวโพดอ่อน

ชุบแป้งทอด จานเบ้อเริ่มเทิ่ม

พร้อมน้ำจิ้มแบบน้ำสลัดครีม

3.ผัดผักรวม มี พริกหวาน

เห็ดหอมสด เห็ดเออริงจิ

ต้นหอมยักษ์ ผักกาดหางหงส์

ฯลฯ

4.ผัดผักกาดขาวไฟแดง

5.เห็ดแข็มทองผัดเนย

6.ขนมปังกระเทียม

เป็นขนมปังฝรั่งเศสชิ้นยาว

มาก 3 ชิ้น อันนี้คุณท้อปสั่ง

 

พอขนมปังกระเทียม

มาเสริฟ

ฝรั่งที่นั่งโต๊ะติดกัน

มองตาวาวเลย

หันมายิ้มหวาน(ให้ขนมปังนะ)

แล้วเขาก็สกิดแฟนเขา

ให้ดูขนมปังกระเทียมของเรา

แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้ อ.อุบล

แล้วเขาก็บอกว่า

เขาอยากทานบ้าง เขาเรียกเด็กมาสั่ง

 

อ.อุบล เลยถามเขาว่า

ทานของฉันก่อนไหม

เขาบอกขอบคุณ เขาจะรอของเขา

 

ปรากฎว่า

ทุกคนทานกันอย่างอร่อย

ต้องสั่งเพิ่มอีก 3 ชิ้น

 

พอข้าวผัดไข่มา

(สั่งจานขนาดกลาง)

ทุกคนก็ทานกันเอร็ดอร่อยมาก

 

จนต้องสั่งเพิ่มอีกจาน

คราวนี้ อ.อุบล คิดว่า

จะสั่งจานใหญ่กว่าเดิมแล้วหละ

เพราะถ้าเหลือจะเอากลับบ้าน

เห็นคุณท้อปทานอย่างอร่อย

 

บอกเด็กว่า

ขอสั่งจานใหญ่สุด

เด็กงง เพราะ เราสั่งอาหารไป

หลายอย่าง ยังมาไม่หมด

เด็กเขากลัวเราทานไม่หมด

เพราะดูตัวเล็กตัวน้อย

อาหารเขาแต่ละจาน

จานยักษ์ทั้งนั้น

 

แต่ประเภทผัก

เราไปเลือกเองทุกชนิด

ใส่ตะกร้าแล้วบอกเขาว่า

ให้ทำอะไร

 

คราวนี้เด็กก็เลย

ย้ำอีกว่า จานใหญ่สุดเหรอพี่

จานใหญ่มันตั้ง 280 บาทนะพี่

จ้า ไม่เป็นไรสั่งมาเถอะ

เดี๋ยวพี่เอากลับบ้าน ถ้าเหลือ

 

ตกลงค่ะ

 

ผัดผักมา ก็อร่อยกันอีก

ผัดผักกาดขาวมา ก็อร่อยอีก

ผักชุบแป้งทอดก็เหมือนกัน

สรุปว่า อร่อยทุกเมนู

 

เล่นเอา เอริก

ทานไม่ลงเลย

 

ถามเอริกว่า อยากสั่งอะไร

ไปทานที่บ้านบ้าง

เอริกส่ายหน้า ไม่เอาครับ

 

เอริกขนมปังกระเทียม

อร่อยไหม

 

อร่อยครับ

 

เอาไปทานบ้านไหมครับ

 

ไม่เอาครับ

 

แต่ อ.อุบล อยากให้เอริกทาน

พรุ่งนี้เข้า ก่อนไปเรียน

 

ก็เลยเรียกเด็กมาสั่ง

ขนมปังกระเทียมกลับบ้าน

 

ถามเด็กว่า

ชิ้นเท่าไหร่จ๊า

 

30 บาทค่ะ

 

เอา 6 ชิ้น ใส่ 2 ถุง

ถุงละ 3 ชิ้น

คิดเงินซิจ๊าเท่าไหร่

 

เด็กบอก 120 บาท

 

ทำไม 120 ล่ะ ในเมื่อชิ้นละ 30

เด็กไปเรียกเพื่อนอีกคนมาช่วยคิด

ก็ 120 บาทอยู่ดี

 

ระหว่างนั้น

เด็กอีกคนหนึ่ง เอาเงิน

ค่าอาหารมาทอนให้

 

อ.มงคล

ให้ทิ๊ปไป 120 บาท

 

แล้วมาคิดค่าขนมปังกระเทียมต่อ

 

แต่พี่คิดได้ 180 นะ

เอาไป 200 บาท จ่ายค่าขนมปังแล้ว

ที่เหลือ ให้หนูกินขนมเพิ่มแล้วกัน

ทำหน้างง 120 หรือ 180 หว่า

 

พอเอาขนมปังมาส่ง

เลยถามว่า คิดออกรึยังเท่าไหร่

 

180 ค่ะ

 

เลยถามว่า ทิปที่พี่ให้

หนูได้เองหรือว่าต้องเอาไปหารแบ่งกัน

 

ถ้าให้กับมือหนู

หนูได้เองค่ะ แต่ถ้าได้จาก

แฟ้มเงินทอน ต้องหารแบ่งค่ะ

 

แต่เมื่อกี้นี้

เงินจากแฟ้มเงินทอน 20 บาทนะ

แฟนพี่ควักจากกระเป๋าให้หนูเอง

100 บาท

และ อีก 20 บาทนี้

พี่ให้หนูนะ

3 คนไปแบ่งกันเอง

 

อันที่จริงอยากให้สัก 4 คนนะ

เห็นเด็กเขาใสซื่อดี

 

เขาไม่ยัดเยียดให้เราสั่งของมากๆ

เขากลัวเรากินไม่หมด

บอกเราว่า ของที่พี่สั่งราคาแพงนะ

ข้าวผัดจานใหญ่ ตั้ง 280 บาท

 

แล้วตลอดเวลา

เขายิ้มแย้มแจ่มใส

บริการดี ไม่มีทีท่าเบื่อ หรือ ขี้เกียจ

 

ตอนที่เราทานผักชุบแป้งทอด

พอเขาเห็นเรา 6 คน

แต่ครีมมา ถ้วยเดียว เขาบอก

เดี๋ยวหนูเอาเพิ่มให้อีกชุดค่ะ

ต้องการซอสมะเขือเทศไหมคะ

 

เห็นเขายืนคุยกันภาษาต่างประเทศ

 

เลยถามว่า หนูอยู่จังหวัดไหน

 

ยะโสธรค่ะ

ลำปางค่ะ

ชลบุรีค่ะ

 

ตอนที่นั่งทานอาหาร

ก็มองไปกลางทะเล เห็นเหมือน

เรือประดับไฟกลางทะเลสวยงามมาก

ถามเด็กว่า นั่นอะไร

 

ร้านอาหารค่ะ

 

ไปยังจ๊ะ

 

เดินข้ามสะพานค่ะ ทางโน้นน่ะค่ะ

 

ร้านเดียวกันรึเปล่า

 

เปล่าค่ะ

 

นั่น

 

ที่เล่ามานี่นะ

อยากจะบอกว่า

ความ ซื่อ ของคนเรานี่นะ

มันมีเสนห์มาก

 

ถ้าเด็กในร้านนี้

พยายามชักชวนให้สั่งอาหาร

โน่นนี่นั่น เกินกำลังเราคนทาน

อ.อุบล จะไม่ให้ทิ๊ป เท่านี้

แต่นี่

เขาใส ซื่อ ไม่มีมารยา

ไม่เจ้าเล่ห์คิดแต่จะให้เราเสียเงินมากๆ

 

แต่กลับช่วยเราประหยัด

กลัวเราจะสิ้นเปลือง

 

ถ้าเจ้าของร้านทราบ

ถ้าเขางก เขาคงไม่ชอบ

 

แต่

การที่มีเด็กอย่างนี้

กลับกลาย เป็นภาพลักษณ์

ที่ดีต่อร้าน

 

เพราะ

แขก ไม่อึดอัด

คนเรา อยากทานแค่ไหน

ทานได้แค่ไหน ก็แค่นั้น

ไม่ต้องเชียร์ ไม่ต้องยัดเยียด

 

แล้วผลดีจะเกิดระยะยาว

 

อ.อุบล

ไปทานอาหารร้านนี้

มาตั้งแต่ พ.ศ.2527

จนบัดนี้

ก็ยังไป ทั้งที่เว้นไป ตั้งแต่ปี 50

 

เคยมีคนแนะนำไปทานร้านอื่น

แต่ก็ไม่ประทับใจ

 

แม้วันนี้

อ.อุบล จะทานมังแล้ว

แต่

ไปร้านซีฟู๊ด ร้านนี้ ก็ยังสั่ง

อาหารมังทานได้

อร่อยด้วย

 

ส่วนเรื่องอร่อย

ไม่ใช่ประเด็นแล้ว

 

เพราะหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

สั่งไว้ว่า

อาหารใด ที่ใช้คำว่า อร่อย

จงอย่าทาน

 

แต่

ที่ทานทั้งหมด

มันก็ดันอร่อยซะด้วย

 

ก็ต้องบอกว่าอร่อย

มิฉะนั้น จะถือเป็นการ มุสา

 

แต่ความอร่อย

มันเกิดจากอานิสงส์ของทาน

และของการไม่ติดรสชาด

 

เหมือนความสวย

ไม่ต้องอยากสวยหรอก

ถ้ารักษาศีลมาดี มันสวยเอง

 

ถ้าขี้โกรธ ผิดศีล

ต่อให้ใช้เครื่องสำอางแพงแค่ไหน

ก็ไม่มีวันผิวสวย แต่ กลับจะผิวทราม

ด้วยเหตุของกรรมมันฟ้อง

 

ไปบ้านคุณโอ๋ครั้งเดียว

เล่าซะยาวเลย

ตามประสา สว.น่ะนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 22:23:42


ความคิดเห็นที่ 4067 (1586242)

 

แต่เมื่อกี้นี้

เงินจากแฟ้มเงินทอน 20 บาทนะ

แฟนพี่ควักจากกระเป๋าให้หนูเอง

100 บาท

และ อีก 20 บาทนี้

พี่ให้หนูนะ

3 คนไปแบ่งกันเอง

55555555555555555555

 

เท่ากับให้ที๊ปไป

 

จากเงินทอน 20 บาท

อ.มงคลให้อีก 100 บาท

เงินทอนขนมปัง 20

 

อ.มงคลต้องกำชับว่า

น้อง

เงินที่ให้นี่นะ

ที่บอกให้แบ่งกันน่ะ

ไม่ได้ให้ฉีกเงินแล้วแบ่งกันนะ

เอาเงินไปแลกก่อน

ค่อยแบ่งกันนะ

 

เล่นเอา

น้อง 3 คน ฮา กลิ้ง

ก่อนกลับ เดินตามมาส่ง

แล้วบอกว่า

 

พี่มาอีกนะคะ

พี่สนุกกันมากเลยค่ะ

เนื้อสัตว์ก็ไม่ทาน

สุดยอดเลย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-29 22:36:14


ความคิดเห็นที่ 4068 (1586265)

ไปส่งคุณโอ๋ตอน 2 ทุ่ม

 

ออกจากบ้านคุณโอ๋

ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง

 

ขับรถออกมา

พิจารณาทางเข้า-ออกแล้ว

รู้สึกถึง ใจ อันยิ่งใหญ่

ของคุณโอ๋

ที่

หอบหิ้วลูก 2 คน

ขับรถไปบ้านสวนตอนกลางคืน

ดึกๆ ดื่นๆ

 

ใจ

ทำด้วยอะไร

ทำไมจึงกล้าหาญ

เด็ดเดี่ยวเช่นนี้

 

ขากลับ

ก็ขอพระบารมี

พระพุทธเจ้า

ย่นย่อระยะทาง+เวลา

อีกเช่นเดียวกัน

 

ใช้เวลาเดินทาง

ประมาณชั่วโมงกว่าเช่นกัน

ตอน 3 ทุ่มว่า เกือบ 4 ทุ่ม

โทร.บอกคุณโอ๋ว่า

อ.ถึงบ้านแล้ว

 

คุณโอ๋บอกว่า

ทำไมเร็วจัง ทั้งที่เป็นกลางคืน

 

แล้วก็เลยบอกคุณโอ๋ว่า

ต่อไปนี้

กลางคืน ห้าม เดินทาง

ออกจากบ้านไปบ้านสวนพีระมิด

(และที่อื่นก็ไม่ควรเช่นกัน)

 

ถ้าจะไปบ้านสวน

ให้ออกเดินทางจากบ้าน

ก่อนมืดนะ

 

คุณโอ๋รับคำ

 

วันนี้ก็พูดเรื่องนี้

กับคุณโอ๋อีก

 

ถามคุณโอ๋ว่า

ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง

ใครจะมาช่วยคุณโอ๋

เพราะไม่มีบ้านคน

 

คุณโอ๋บอกว่า

ก็ อาจารย์อุบล ช่วยด้วย ไงคะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 01:02:10


ความคิดเห็นที่ 4069 (1586284)

วันนั้น

เราสั่งอะไรบ้าง

คุณชนิดา ณ โปแลนด์

อ่านแล้ว อย่าน้ำยายหยดนะ

 ............................................................................

ฮ่า ฮ่า อ่านแล้วถึงแม้จะทำให้

น้ำยายหยด แต่ก็ไม่สลดใจค่ะ

เพราะเมนูที่อาจารย์ลิสต์มานั้น

พอจะทำทานเองได้อยู่ อิอิ

แต่ถ้ามาแนว ข้าวเม่าคลุก

หรือ ขนมจีนน้ำยา

หรือว่า ส้มตำ อะไรเงี้ย

โอ้วว..อ่านทีไร

ทั้งน้ำยายหยด ทั้งสลดใจ

เลยทีเดียว อิอิ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 05:40:39


ความคิดเห็นที่ 4070 (1586286)

เหมือนความสวย

ไม่ต้องอยากสวยหรอก

ถ้ารักษาศีลมาดี มันสวยเอง

 

ถ้าขี้โกรธ ผิดศีล

ต่อให้ใช้เครื่องสำอางแพงแค่ไหน

ก็ไม่มีวันผิวสวย แต่ กลับจะผิวทราม

ด้วยเหตุของกรรมมันฟ้อง

 

ไปบ้านคุณโอ๋ครั้งเดียว

เล่าซะยาวเลย

ตามประสา สว.น่ะนะ

.......................................

กราบอนุโมทนาค่ะอาจารย์

ที่เมตตามาเล่ายาวๆให้พวกเรา

ได้เข้าใจว่า "ความอยาก"

นั้นเป็นกิเลส ที่กินใจ

ให้ทั้งตัวเอง "เป็นทุกข์"

แล้วยังส่งผลให้คนรอบข้าง

รู้สึกอึดอัดและเป็นทุกข์

กับ"ความอยาก" ที่ไม่รู้จักพอ

ของเราอีกด้วย...


จริงๆถ้าทำตัวดีๆ สะอาด ใสซื่อ

และหวังดีต่อคนอื่น

อย่างน้องๆเด็กเสริฟ

ที่ร้านโปรดของอาจารย์แล้ว

มันดูเป็นธรรมชาติมากๆเลยนะคะ

เพราะอาจารย์ในฐานะลูกค้า

ก็รู้สึกดี และมีความสุข

ที่เห็นน้องๆเค้า "จริงใจ"

และยิ่งอยากจะอุดหนุนเพิ่ม

 

ส่วนน้องๆเค้าเอง ก็มีความสุข

จึงบริการเต็มที่

แล้วก็ได้รับอานิสงค์

ของการทำดี แบบชัดๆ

จากจำนวนทิปที่ได้รับ นั่นเอง


ต่างฝ่าย ต่างเต็มใจให้แบบนี้

น่าชื่นชม และ ลอกเลียนแบบจริงๆค่ะ


แบบว่าถ้าทุกคนมีแต่ความหวังดี

ให้กันแ่ละกัน

อยู่ที่ใดก็มีความสุขใจ ทั้งสิ้น

..............................................................

พออ่านมาถึงทางเข้าบ้านของคุณโอ๋

ก็สะท้อนใจได้อีก

 

จริงๆได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับคุณโอ๋

ที่อาจารย์เมตตาเขียนทีไร

ก็มองเห็นความจริงใจ

และ ความเคารพ ศรัทธาที่คุณโอ๋

มีต่ออาจารย์มาโดยตลอด

นั่นแหล่ะ่ค่ะ

เพราะอาอาจารย์ไม่ได้

มาเขียนเป็นคำพูดตรงๆ

เพื่อจะชื่นชมในสิ่งที่คุณโอ๋ทำให้

 

แต่ทุกเรื่องเล่า

มันสื่อสารให้พวกเราได้รู้ว่า

คนที่บอกว่า

รักและเคารพอาจารย์จริงๆน่ะ

เค้าไม่พูดเย๊อะ

 

แต่เค้าทำทุกๆอย่าง

เพื่ออาจารย์อย่างเต็มที่

มาคอยดูแล จัดบ้าน

ทำความสะอาดให้อย่างละเอียด

 

ยิ่งอาจารย์ได้ไปเห็นทาง

เข้าบ้านคุณโอ๋แล้ว

คงจะ"อึ้ง"เลยนะคะเนี่ย

 

เพราะศิษย์แบบคุณโอ๋เนี่ย

คงจะไม่ใช่แค่

ศรัทธาเกินร้อย แน่ๆ

ต้องระดับแสน ล้าน

หรือ ล้านๆๆๆๆ ชัวร์

...........................................

อนุโมทนากับธรรมทาน

เรื่องกิเลสจากน้องเอิ้น ด้วยนะคะ

 

แหม่...พี่เองก็ครอบครอง

อยู่หลายตัวเหมือนกัลล์

โอ๊ยยย...ไม่ไหวจะเคลียร์

.......................................

ส่วนหนูแหวนมาเพลง สมบัติผู้ดี

แหะ แหะ บางทีชนิดาก็ร้องเตือนใจ

ตัวเองบ่อยๆเหมือนกันนะ

เพราะ"คนไม่ดีอย่างเรา"

ก็อยากเป็น"ผู้ดี"กะเค้ามั่ง...อ่ะเนอะ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 06:31:53


ความคิดเห็นที่ 4071 (1586300)
image

 หนูอ่านเมนูอาหารของ อาจารย์แล้ว

ได้ไอเดียให้ตัวเองหลายเมนูเลยค่ะ

 

และเห็นด้วยกับน้องๆ เด็กเสริฟที่มีความซื่อสัตย์

จริงใจ และใสซื่อ

ในอาชีพของตัวเองค่ะ

เหมือนกับเหตุการณ์ที่บางครั้ง

เวลาเราไปเลือกซื้ออะไรแล้ว

มีคนมายืนคอยดูเรา เดินตามเราทุกฝีก้าว

มันก็รู้สึกกดดันเหมือนกันนะคะ

สู้ปล่อยให้ลูกค้าเดินดูไปเรื่อยๆ

แล้วเราคอยให้คำแนะนำอยู่ห่างๆ 

อันนี้จะรู้สึกดีมากกว่า

 

และเรื่องเล่าจากท่านอาจารย์ครั้งนี้

ได้สอนให้ย้อนดูตัวเอง สำรวจตัวเอง

กับการทำหน้าที่ ทำอาชีพ

ของตัวเองว่าดีพอหรือยังค่ะ

อ่านเรื่องเด็กเสริฟ

แต่ได้อานิสงค์ครอบคลุม

ทุกอาชีพเลยค่ะ

หนูขอบคุณอาจารย์มากๆค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 09:18:26


ความคิดเห็นที่ 4072 (1586326)

 

ผัดผักมา ก็อร่อยกันอีก

ผัดผักกาดขาวมา ก็อร่อยอีก

ผักชุบแป้งทอดก็เหมือนกัน

สรุปว่า อร่อยทุกเมนู

 

99999999999999999999999

 

ที่มาเล่า

เมนูอาหารยั่วน้ำลาย

ให้อ่านกันเนี่ยนะ

 

เพื่อจะบอก

คนที่คิดจะทานมัง

แต่

อ้างว่า ติดที่ หาทานลำบาก

(แต่ในใจลึกๆ ติดรสชาด)

คิดว่า

ถ้าไม่ทานเนื้อสัตว์

มันจะอร่อยหรือ

 

ถ้าไม่ดื่มเหล้า-เบียร์

มันจะหนุกหนานหรือ

 

ก็นั่นมันร้านนางนวล

ถ้าเป็นที่อื่น ที่ทำงาน กทม.

จะหาทานยังไง

 

อ้างไปเรื่อยๆ

แล้วก็ไม่ได้เริ่มทานมัง

สักกะที

 

จนกระทั่ง

มี

ภัยพิบัติ มากวาดล้าง

ผู้ประกอบกรรม

ปาณาติบาตร

เพราะ

ขาดเมตตา ในการกิน

 

ซึ่งก็ใกล้แล้ว

ถึงวันนั้น ก็คงแค่เสียใจ

เสียดายว่า

 

ดร.อาจอง

ท่านทำมาน๊านนาน

เพราะอะไร

เรารักท่าน เคารพท่าน

แล้วใย

ไม่เฉลียวใจ

ว่าท่านทำอย่างนี้ทำไม

แล้วใย เราไม่ทำตามท่าน

แสดงว่า

ปากกับใจ เราไม่ตรงกัน

ใช่ไหม

 

เราแค่อยากเจอท่าน

อยากฟังท่าน

อยากรู้

ว่า

ภัยพิบัติ

มันจะมาเมื่อไหร่

เกิดอะไร เกิดที่ไหนบ้าง

เกิดยังไง ต้องหนีไปไหน

ทำไงจะรอด

 

แค่นี้เอง

 

แต่

หาเฉลียวใจ

ไม่

ว่าทำไมท่านเป็น ดร.

เป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก

มีชื่อเสียงเกรียงไกร

ได้รับความไว้วางใจจากนานาประเทศ

 

ท่านยังทานมัง

และ

ให้ครู + นักเรียนของท่าน

ทาน มัง ด้วยเช่นกัน

 

นี่เป็นอีกหนึ่ง ความลับ

ของจักรวาล

ที่เบื้องบน ต้องการสื่อสาร

ทั้งทางตรง ทางอ้อม

ให้รู้ว่า

 

ใครอยากอยู่ต่อ

ก็ทำซะ

 

ใครไม่อยากอยู่ต่อ

ก็รีบๆ กิน ของที่ชอบซะ

ก่อนที่จะไม่ได้กิน

อีกต่อไป

 

แล้วก็อย่าลืม

สั่งเสียคนที่รักกันไว้ด้วยล่ะ

เวลาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้น่ะ

ชอบกินอะไร

ทำบุญส่งไปให้ด้วยเน้อ

อย่าง

คนที่ชอบกินแมลงทอด

 

เสต๊กเนื้อสันนอก

บางคนนะ สั่งเนื้อเมืองนอก

ด้วย กิโลตั้งหลายหมื่น

 

เท่ห์....ซะ

ทำบาปข้ามประเทศเลย

เวลาไป โลกันต์

จะได้ไม่เหงา

 

อ้าว

กินเนื้อสัตว์

ทำไมไปโลกกันต์

ทำไมไม่ไปขุม 1 ล่ะ

 

ถ้ากินประจำ กินเพราะชอบ

แสวงหา ที่จะกิน

สั่งมากิน

สั่งแล้วคนหา มันก็ต้อง

สั่งฆ่า

ไม่งั้น

มันจะได้เนื้อมาได้ไง

 

ทีนี้

คนกิน กับ คนสั่ง กับ คนฆ่า

 

ใครบาปล่ะ

 

มันบาปทุกคน

 

คนไหนบาปมากกว่า

 

มาดูตามลำดับนะ

 

เอ

เรากำลังคุยเรื่อง

อาหาร มัง ไหง เลยมาได้

ขนาดนี้เนี่ย

 

อันที่จริง

คุยเรื่องไปเที่ยว

บ้านคุณโอ๋

ที่พัทยา นะ เลยไปถึง

โลกันต์ได้ไง

 

นี่แหละ สว.อย่าสนใจเลย

ถ้าใครยังอยากรู้ ก็บอกมา ละ กัน เน้อ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 12:01:55


ความคิดเห็นที่ 4073 (1586334)

สาธุครับอาจารย์

เบลล์อยากฟังต่อครับ

ขอบคุณครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 12:59:22


ความคิดเห็นที่ 4074 (1586336)

 

สาธุ ๆ ๆ ค่ะ

อ.อุบล

ธรรมทานที่ อ.อุบล

มอบให้

เกี่ยวกับ

กรรม..การกิน..นี้

อยาก ทราบ ถึง

กฏ แห่ง กรรม

ที่จะต้องได้รับ ระหว่าง

คนกิน กับ คนสั่ง กับ คนฆ่า

ใครบาปล่ะ

 มันบาปทุกคน

 คนไหนบาปมากกว่า

มาดูตามลำดับนะ

=========

อาจารย์ขา..

แมวขออนุญาติ..พิมพ์

ธรรมทานที่ อ.อุบล ให้

ในเรื่องนี้

ให้กับบุคคลที่ไม่มีโอกาส

ได้รับทราบด้วยนะคะ

===========

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 13:11:49


ความคิดเห็นที่ 4075 (1586338)

สาธุค่ะ

คุณแมว

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 13:27:33


ความคิดเห็นที่ 4076 (1586350)

5555555

แบ๊กลี่...กล้วยทอด

อ็อด...กล้วยทอด

อาจารย์ ขา มีเพื่อนแล้วค่ะ

ไม่รู้เจ้าแบ๊กลี่จะรับเป็นเพื่อน

รึเปล่าหนอ

คุณโอ๋ฝากถามแบ๊กลี่...แน่เด้อ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 14:02:37


ความคิดเห็นที่ 4077 (1586380)

ทีนี้

คนกิน กับ คนสั่ง กับ คนฆ่า

 

ใครบาปล่ะ

 

มันบาปทุกคน

 

คนไหนบาปมากกว่า

 

มาดูตามลำดับนะ

.....................................

มาร่วมโหวตเพื่อรออ่าน

ด้วยคนค่ะอาจารย์

อนุโมนาล่วงหน้าค่ะ

และอย่างที่อาจารย์เขียน

ว่าจริงๆแล้ว การกินมัง

ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่เราคิด

หรือจินตนาการไว้เลยแม้แต่น้อยค่ะ

 

เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต

ในแต่ละวันของเราแต่อย่างใด

เคยทานข้าวร้านไหน

ก็ยังไปได้ แต่แค่เปลี่ยน "วิธีคิด"

ให้สร้างสรรค์มากขึ้น

เราก็จะได้เมนูอะหย่อยๆ

มารับประทาน

อย่างเช่นอาจารย์เขียนมา นั่นแล

 

ทั้งอร่อย ทั้งปลอดสารพิษ

และ ปราศจาก" บาป" ซะด้วย

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 18:18:21


ความคิดเห็นที่ 4078 (1586384)

นี่ถ้าสมมุติวันนึง พ่อใหญ่ธนา พี่มหา

น้องหญิง หรือ หนูแหวน

หรือใครหลายๆคน(สมมุติเฉยๆนะ) เปลี่ยนไป

หรือ ถูกกิเลส แปลงร่างมาดึงออกไป

จากทางบุญได้ล่ะก็ ชนิดาว่า ต้องมีน้ำตาร่วงแน่ๆ...

หากวันไหนญเผลอ
เดินออกนอกลู่นอกทาง
รบกวนพี่ๆน้องๆช่วยดึงไว้ด้วยเช่นกันนะคะ
เพราะไม่อยากตกขบวนรถไฟ...ขบวนสุดท้ายแล้วค่ะ
แค่เกิดมามีหน้าที่ธรรมดา เหมือนคนทั่วไป
ยังรู้สึกเบื่อและหน่ายขนาดนี้เลย
แต่พอมานึกถึง อ.แม่ ดร.อาจอง

ก็รู้ว่าท่านต้องเหนื่อย
และหนักกว่าคนอย่างเราๆ
เป็นร้อยเท่าพันทวี
กราบขอบพระคุณ อ. แม่
อีกซักร้อยครั้ง พันครั้งนะึคะ
หนูจะไม่ลืมในสิ่งที่ อ.แม่
ได้ทำเพื่อพวกเรามาตลอด
ค่ะ สาธุค่ะ

*********************************************

ทีนี้

คนกิน กับ คนสั่ง กับ คนฆ่า

 

ใครบาปล่ะ

 

มันบาปทุกคน

 

คนไหนบาปมากกว่า

 

มาดูตามลำดับนะ

.....................................

มาร่วมโหวตอีกคน
เพื่อรออ่านธรรมทานจาก อ.แม่ค่า
กราบอนุโมทนาสาธุคุ่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > (yingntn-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 18:37:44


ความคิดเห็นที่ 4079 (1586386)

 

ทีนี้

คนกิน กับ คนสั่ง กับ คนฆ่า

 

ใครบาปล่ะ

 

มันบาปทุกคน

 

คนไหนบาปมากกว่า

 

มาดูตามลำดับนะ

 

555555555555555555555555

มาต่อแล้วนะ

 

คนฆ่า

บาปแน่นอน 100 %

ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีทางหลุด

ไม่ว่า

จะเต็มใจฆ่า หรือ ไม่เต็มใจฆ่า

ถูกใช้ ถูกจ้างวานให้

ฆ่า

 

บางหมอ

 

แต่

 

น้ำหนักของบาป

ไม่เท่ากัน เท่านั้นเอง

 

กล่าวคือ

ถ้าฆ่าด้วยเจตนา

ใตร่ตรองไว้ก่อนเลยว่า

ฉันจะฆ่าปลาตัวนี้

ฉันอยากกินหมูหัน ปลาราดพริก

มีเจตนา ใคร่ครวญใตร่ตรอง

 

หรือ

มีคนสั่งซื้อ

เป็ด ไก่ หมู หมา สารพัด

ฉันก็เลยฆ่าเพื่อแลกเงิน

หรือ

ฆ่าเพราะอยากกิน

หรือ

เพราะอะไรก็ช่าง ทำให้ต้อง

ฆ่า

ก็แล้วกัน อันนี้มีเจตนา

บาป 100 %

 

ถ้าทำครั้งเดียว

หรือ ไม่ได้ทำประจำ

ไปขุม 1 นะจ๊ะ

 

แต่ถ้า

ทำบ่อย ไปโลกันต์

 

นี่เห็นไหม

ข้ามขั้นเลย แทนที่จะไป

อยู่กับพระเทวทัต

ไปดิ่งยิ่งกว่า

เพราะถือว่า ขาดเมตตา อย่างหนัก

 

สัญญาณบ่งบอก

ว่าจะต้องไปนรกโลกันต์

หรือ

ขุม 1 หรือ อเวจี

มันมีสัญญาณบอก

 

คือ

อาการเจ็บป่วย

ความทุกข์ อุปสรรค ทั้งหลาย

 

อย่างป่วยเนี่ย

มันทุกข์ทั้งทางร่างกาย

เพราะ มันเจ็บ มันปวด มันแน่น

มันทรมานกายไปหมด

 

พอกายมันไม่สบาย

ใจมันก็ทุกข์

 

เพราะ

ยังแยกกายออกจากจิต

ยังไม่เป็น

 

ยกเว้น

แยกได้แล้ว

อย่างพระเจ้าพิมพิสาร

แม้จะถูกพระเจ้าอชาติศัตรู

ผู้เป็นลูกชาย ทารุณ

ทำร้ายเฉือนเนื้อ

ก็ไม่โกรธ

 

จิตยังทรงฌาณ 4 ได้

อันนี้ เป็นพระอนาคามี แล้วพุ่งเข้า

สู่ความเป็นอรหันต์ง่ายเลย

เพราะ

พอตอนตาย

ท่านออกฌาณ 4

ไปเป็นพรหมชั้น 11 ได้

แต่ท่านไม่ไป

ท่านนึกได้ว่า เคยอยู่จาตุฯ

ท่านเลยแวะซะที่จาตุ

ซึ่งตอนนั้น ท้าวมหาชมภู

กำลังจะหมดวาระ

การเป็น

ท้าวเวสสุวรรณ พอดี

 

ท่านจึงมารับตำแหน่ง

เป็น

ท้าวเวสสุวรรณ

อยู่จนทุกวันนี้

 

นี่พูดถึงเรื่อง

การป่วย เป็นสัญญาณ

ไปนรกนะ

 

ถ้าป่วยแล้ว

ไม่อยากไปนรก

ก็ต้องฝึกจิต ไม่ให้ยึดติด

กับร่างกาย

มันจะป่วย ก็เชิญป่วย

มันจะเจ็บปวด มันก็เรื่องของกาย

ใจไม่ทุกข์ด้วย อย่างนี้ พ้นนรก

 

แต่

คนส่วนใหญ่

ที่ไม่ได้ฝึก สมาธิ ฝึกกรรมฐาน

ไม่รักษาศีลมา

มันอดทุกข์ไม่ได้ อดโกรธไม่ได้

มันจึงต้องไปนรกกันไง

 

แล้วการกินเนื้อสัตว์นี่

มันเป็นไฟเย็น

จริงๆนะ

 

คนกิน

ไม่เคยรู้เลยว่า

ไอ้ที่เรากินอยู่นี่นะ

เรา

กินเลือด กินเนื้อ ตัวเราเอง

ทั้งนั้น

 

เพราะ

ตอนใช้กรรม

มันทุกข์ ทรมาณ ที่ตัวเรา

 

เอ้า

เรื่องการฆ่าสัตว์

ไปไกลอีกแล้ว

กลับมาๆ

 

เอาเป็นว่า

คนฆ่า ก็ทุกข์กาย ทุกข์ใจ

 

เสียเงินด้วย

พอเจ็บป่วยนะ เงินที่อุส่าห์

หามาอย่างเหนื่อยยาก

บางคนก็เอาเปรียบเขามาอีกต่างหาก

แต่

ในที่สุด

ต้องมารักษาอาการ

ป่วย

ที่ไม่เคยคิดเลย

ว่าเกิดจากการ ฆ่า สัตว์

 

โรคที่เกิดจากการ

ฆ่าสัตว์ เป็นประจำได้แก่

1.มะเร็ง ทุกชนิด

2.เบาหวาน

3.โรคใต ต้องฟอกเลือด

หรือ

4.โรคเอดส์

(ฆ่าประจำ ทำมาก ฆ่าสัตว์มีคุณ)

 

อันนี้คือกรรมของคนฆ่านะ

ส่วนคนสั่งฆ่า กับ คนกิน

เดี๋ยวมา เหลา ต่อนะ

ถ้ายังอยาก

อ่าน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 18:42:52


ความคิดเห็นที่ 4080 (1586390)

สาธุ  ขออนุโมทนา ธรรมทานจาก แม่อุบล และทุกท่านค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น มาโนช ปินตามูล (vathanya108-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 19:08:26


ความคิดเห็นที่ 4081 (1586399)

 สาธุอนุโมทนาครับอาจารย์

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 20:19:33


ความคิดเห็นที่ 4082 (1586410)

กราบขอบพระคุณอ.อุบลที่สอน และเตือนสติในทุกเรื่อง

ทั้งเรื่องความโกรธ ที่ตัวเองลืมนึกไปว่า แม้กระทั่ง อารมณ์หงุดหงิด

ขัดใจ ไม่พอใจเล็กๆน้อยๆ แต่บ่อยๆ และไม่แสดงอาการก็เป็นความโกรธเหมือนกัน ลืมดูตัวเองแบบละเอียดไปค่ะ มัวแต่คิดว่าเราไม่ได้อาฆาตใคร

ไม่ได้โกรธใครจริงๆจังๆ  ผิวหน้าก็เลยยังไม่สวย ใส ซักกะที

ทั้งเรื่องการกินมังฯ ก็ยังไม่จริงจัง เพราะข้ออ้างเยอะ คนที่บ้านไม่กินด้วย หากินยากบ้าง อะไรบ้าง ต่อไปจะเข้มแข็งกว่านี้ค่ะ

และขอโมทนา ธรรมทานของคุณปิ่น คุณชนิดา น้องเอิ้นและทุกท่านด้วยนะคะ

 

ขอโหวตด้วยคนค่ะ อยากอ่านต่อค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฐิติมา พฤกษ์อำนวย (pranaijai-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 21:06:34


ความคิดเห็นที่ 4083 (1586419)

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนา

กับอาจารย์อุบล และพี่ชนิดา

 

อยากอ่านต่อคะ

เรื่อง บาป กับการ ฆ่า

 

หนูกลัวว่า คนสั่ง จะบาปกว่า คนฆ่า

ส่วน คนกิน คงบาปที่สุด รึป่าวคะ

เพราะเป็น ต้นตอ ของการฆ่าที่แท้จริง

 

ฉะนั้นต้องเตือนใจตัวเองให้เข้มแข็งเสมอ

อย่ายอมให้ ความอยาก ครอบงำเด็ดขาด

รักอาจารย์จริง ต้องทำให้ได้ สู้!!!

(พยายามบอกตัวเองอยู่เสมอคะ สาธุคะ)

 

คุณฐิติมา สู้ ๆ คะ

หนูก็หลุดตลอดเหมือนกัน..เรื่องความโกรธเนี่ย เลยไม่สวยกับเค้าซะที

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 21:40:43


ความคิดเห็นที่ 4084 (1586428)

โมทนาบุญกับท่าน  อ. อุบล และครอบครัวค่ะฟังเรื่องเล่าของคนอื่นแล้วมาพิจารณาตัวเองดีกว่า   ไม่ขอพูดถึงใครตัวเองกว่าจะมาได้ทุกวันนี้ยังไม่ดีเลยกรรมมาขัดขวางไม่ให้โอกาสให้มีทางเดียวคือ    เราต้องมานั่งมองตัวเราต้องฝึกเท่านั้นการฝึกจิตให้สูงนั้นไม่อยากเลยแต่ต้องทำประจำเสมอต้นเสมอปลาย    เสื้อผ้าสกปรกที่คอจะเลอะเยอะต้องขยี้ซ้ำๆ และบ่อยๆ   ส่วนจิตของคนต้องหาพักจิตวันละครั้งคิดเรื่องดีๆให้มากที่สุด  คนจะเต็มคนได้นั้น  ต้องมี     หน้าที่     การงาน   วาจา    บุคคล     ความดี     แล้วลองตรวจสอบตัวเองว่าวันนี้เราเป็นเต็มคนแล้วหรือยัง (  เปลียนวิกฤตให้เป็นโอกาส   เปลียนความผิดพราดมาเป็นบทเรียน   ขอเป็นกำลังใจอยู่แนวหลังให้ทุกท่านชนะตัวเอง  ตือชัยชนะอันยิ่งใหญ่    บางครั้งจิตตกต้องสู้กับตัวเองมากมายต้องคิดบวก   สู้ๆๆ   แค่น้ำท่วมครั้งนี้ได้เห็นน้ำใจคนที่คิดดี   ทำดี    พูดดี  ยังมีอีกตั้งเยอะ        รีบปรับเปลียนตัวเองก่อนที่จะสายไปนะค่ะ    โมทานบุญกับทุกท่านค่ะสาธุๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 22:24:09


ความคิดเห็นที่ 4085 (1586440)

เรื่องข้ออ้าง

ไม่กินมัง

ที่ว่า หากินยาก

 

มันเอาไว้ใช้สำหรับคน

ไม่ตั้งใจ

 

เหมือนนั่งสมาธิ

บอก

ไม่ว่าง ไม่มีเวลา

ทั้งที่วันวัน สาระแนเรื่องอื่น

ที่ไร้สาระตั้งเยอะแยะ

ทั้งวี่ทั้งวัน

 

แต่พอ

จะทำความดี

ดันไม่มีเวลา นี่แหละหนา

คนบาป

(ว่าตัวเองด้วย)

 

การทำความดี

มันช่างยากเหลือเกิน

สำหรับบางคน

 

แต่

การทำชั่ว

ทำไมมันคิดได้

มันมีความชำนาญ มีทักษะ

เพราะ

มันฝึกประจำ ทำเป็นปกติ

 

เพราะเหตุนี้

จึงต้องถูกภัยพิบัติมาเยือน

มาเตือน ให้รีบทำดี

 

บางคนอยากไปนิพพาน

มีแต่อยาก

แต่

ไม่สร้างคุณสมบัติ

ของผู้จะไปนิพพานเลย

 

ยังอ่อนแอ

ยังอ่อนไหว ไม่มั่นคง

และ

ยังไม่เข้าใจ

ธรรมะ

ที่แท้จริงของพระพุทธองค์

 

ถ้าไปพิจารณา

ปฎิปทาของพระพุทธเจ้าแล้ว

 

พระองค์

ฝ่าฟันอุปสรรค

และ

เหล่ามารที่คอยผจญ

มากมาย

 

พระองค์ทรง

ปราบมาร ให้ราบคาบ

ด้วยปัญญา และ ความกล้าหาญ

 

ไม่ใช่ด้วย

การวางเฉย ปล่อยชีวิต

ให้เป็นไปอย่างไร้การต่อสู้

 

พระพุทธเจ้า

เป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่

สู้กับใจ ตนเอง

 

สู้กับกิเลส สู้กับตัณหา

สู้กับความมักง่าย ใฝ่ต่ำ

สู้กับความขี้เกียจ ความเห็นแก่ตัว

พระพุทธเจ้า

ต่อสู้มาจนชนะหมด

ทั้งภิภพ จบ จักรวาล

ไม่มีมารกล้าต่อกร

 

แต่

พวกเราที่อยาก

ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ที่นิพพาน

ได้พยายามทำตาม

รอยพระบาทของพระองค์

กันแล้วหรือยัง

(ที่ว่ามานี้ บอกตัวเองด้วยจ๊า)

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 22:52:46


ความคิดเห็นที่ 4086 (1586442)

คราวนี้อยากจะถามความเห็น

ท่านผู้อ่าน

เรื่อง

อเล็กซ์ กับ เอริก

ว่าทำไม

เขาจึงชอบไปบ้านสวนพีระมิด

ทั้งที่ชีวิตที่บ้านเพียบพร้อม

มีทุกอย่างที่ให้ความสุข

สำหรับเด็กได้

 

อย่างจักรยาน

พ่อเขาซื้อให้จากสวิส

5 คัน

จอดเรียงราย

 

ในหมู่บ้าน มีสระว่ายน้ำ

 

คือเรียกว่า

มีสิ่งอำนวยความสะดวก

ทุกอย่างที่เล่ามา

 

แต่กลับ

บอกว่า อยากมาบ้านสวนฯ

อยากอยู่บ้านสวนฯ

ใครก็ได้ ช่วยบอกที

(ทั้งที่ อ.อุบล ก็ ดุ๊ ดุ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (pamelasoap-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-30 23:05:37


ความคิดเห็นที่ 4087 (1586459)

คราวนี้อยากจะถามความเห็น

ท่านผู้อ่าน

เรื่อง

อเล็กซ์ กับ เอริก

ว่าทำไม

เขาจึงชอบไปบ้านสวนพีระมิด

ทั้งที่ชีวิตที่บ้านเพียบพร้อม

มีทุกอย่างที่ให้ความสุข

สำหรับเด็กได้

 ...................................................................

ชนิดาคิดว่า น่าจะมีมากมาย

หลายๆเหตุผลนะคะ อย่างเช่น

 

1.อยู่บ้าน สะดวกสบายแค่กาย

เล่นของเล่นเดี๋ยวเดียวก็เบื่อ

แต่มาบ้านสวนฯแล้วสุขใจ

 

2. อยู่ที่บ้านสวนฯ ไม่สบาย

แต่ได้ทำอะไรที่เกินเด็ก

เค้าก็เลยรู้สึกว่าตัวเอง มีคุณค่ามากขึ้น

 

แล้วก็เริ่มรู้สึกว่า

ตัวเองก็มีความสำคัญเหมือนกัน

อันนี้ประเมินจาก ที่เคยดูในรายการ

ที่น้องเค้าโดนคุณไสย์

จากคนของคุณพ่อเค้า

แสดงว่า ครอบครัวน้องเค้าอาจจะ

ไม่ได้อบอุ่นนัก ฉะนั้น ในมุมของเด็ก

เค้าอาจจะคิดว่า พ่อแม่ไม่รัก

และทำให้รู้สึกว่าตัวเอง "ไร้ค่า"มากๆ

 

3.กิจกรรมที่บ้านสวนฯทำให้

น้องๆเค้ามีความมั่นใจในตัวเองยิ่งขึ้น

กล้าพูด กล้าแสดงออก

ฉะนั้น เวลามีปัญหาอะไรในใจ

ก็จะกล้าเปิดเผยและพูดคุย

กับคุณโอ๋ หรือใครๆมากขึ้น

เด็กจึงไม่เก็บกด

 

จริงๆยังมีอีกหลายเหตุผลมากๆ

แต่รอท่านอื่นๆมาช่วยวิเคราะห์บ้างดีกว่า

โดยเฉพาะ ลูกบ้านสวนฯหลายๆท่าน

อาจจะรู้อะไรละเอียดกว่าชนิดาเยอะ

ชนิดาก็แค่วิเคราะห์คร่าวๆ

จากสิ่งที่เคยได้ชมมาเท่านั้นเอง...

""""""""""""""""""""""""

กราบอนุโมทนากับธรรมทาน

เรื่อง กรรมของการกินเนื้อสัตว์แบบละเอียด

 

และสอดแทรกเนื้อหาพิเศษ

ทั้งเรื่องเกี่ยวกับ ท่านท้าวพิมพิสาร

และ พระพุทธองค์ ด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

 

 

แล้วก็รออ่านต่อ ตอนต่อไปเช่นกันค๊า

วันนี้ราตรีสวัสดิ์ก่อนนะคะ ง่วงแย้ววว...

.  

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 07:12:53


ความคิดเห็นที่ 4088 (1586471)

 คนฆ่า

บาปแน่นอน 100 %

ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีทางหลุด

ไม่ว่า

จะเต็มใจฆ่า หรือ ไม่เต็มใจฆ่า

ถูกใช้ ถูกจ้างวานให้

ฆ่า

อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์

 

------------------------------------------------------

แล้วการทำอาหารเนื้อสัตว์ให้คนอื่นทาน

ก็เท่ากับเราทานเองใช่ไหมคะ

และหนูก็ยังหลงในรสชาติอยู่ค่ะ

หนูจะขอแก้ตัวใหม่ค่ะ

เพราะที่อ.อุบลพูดมาทั้งหมด

ตัวหนูเองยังพลาดหลายเรื่องเลยค่ะ

 

----------------------------------------------------

 

 

คราวนี้อยากจะถามความเห็น

ท่านผู้อ่าน

เรื่อง

อเล็กซ์ กับ เอริก

ว่าทำไม

เขาจึงชอบไปบ้านสวนพีระมิด

ทั้งที่ชีวิตที่บ้านเพียบพร้อม

มีทุกอย่างที่ให้ความสุข

สำหรับเด็กได้

 

อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์

 

-------------------------------------------------

หนูขอวิเคราะห์ว่า 

ที่เด็กๆ อยากไปบ้านสวนเพราะเขามีความสุขค่ะ

มีความสุขจากการได้เล่น

ความสุขจากส่วนลึกของจิตใจ

ที่มากกว่าทรัพย์สินเงินทอง

หรือของเล่นราคาแพง

ได้ทำอะไรอย่างเป็นอิสระ

ไม่มีกฎ ระเบียบ อะไรมากมาย

อยู่ที่บ้านอาจจะต้องมีวินัย

เข้มงวดจนเขารู้สึกกดดัน

กลัวว่าจะทำอะไรผิด

หวาดระแวง ทำให้เด็กขาดความมั่นใจไปเลยค่ะ

(เพราะตุ้ยเคยทำกับลูก และรู้สึกว่าตัวเองผิดมาก)

แต่นั่นก็เป็นเพราะความรัก

ความห่วงใยของคนเป็นพ่อเป็นแม่

หวังเพียงเพื่อให้ลูกเป็นคนดีไม่มีเหตุผลอื่นใด


และการมาอยู่ที่นี่ถึงจะมอมแมม จะสกปรกแค่ไหน

ก็ไม่มีใครว่าเพราะเป็นการทำงาน

(เพราะผู้ใหญ่ก็มอมแมมไม่แพ้เด็ก อิๆ)

แถมช่วงหน้าฝนได้เล่นน้ำฝนด้วย

แต่ถ้าเป็นที่บ้านพ่อแม่ก็คงไม่ยอม


อันนี้วิเคราะห์ตามความคิดเห็นของตัวเองค่ะ

เพราะก็มีลูกเหมือนกัน

และก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม

เด็กๆเขาถึงอยากมาบ้านสวนกัน

ทั้งๆ อยู่บ้านก็สบายกว่า

แต่มาบ้านสวนต้องทำงาน 

แต่เขาก็ยังอยากมา 

ก็คิดว่าน่าจะเป็นด้วยเหตุผลนี้ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 09:31:41


ความคิดเห็นที่ 4089 (1586485)

    ขอกราบขอบพระคุณ และ อนุโมทนากับอาจารย์อุบล ด้วยครับ ยิ่งอ่านก็ เข้าใจธรรมมะมากขึ้น จิตใจก็ยิ่ง เป็นสุข พอได้มารู้จักบ้านสวน จึงได้หันมาทานมังสะวิรัติ ทั้งๆที่ทุกคนในบ้านคัดค้าน เพราะเห็นเราสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ทุกวันนี้ก็ยัง คัดค้านอยู่ แต่เราตั้งใจแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ และ ชีวิต มีความสุขมากขึ้น แม้ร่างกาย จะป่วยไข้บ้าง แต่จะตั้งใจทำตามที่อาจารย์สอนครับ "ปล่อยวาง"ร่างกาย และ "ต่อสู้"กับกิเลส ฯลฯ

                    ***

    ส่วนเรื่อง น้องอเล็กซ์ น้องเอริค ที่ชอบมาบ้านสวน คงเป็นเพราะ อยู่ที่นี่แล้วมีความสุขใจ และบางทีอะไรๆที่มัน ตึงๆ เป็นระเบียบมากไปอาจจะทำให้เด็กเครียดได้ เพราะ เด็กกับผู้ใหญ่ อาจจะรับแรงเสียดทาน แรงกดดันได้ไม่เท่ากัน แต่ถ้าน้องเค้าทำได้ โตขึ้นก็คงเป็น เด็กที่มีระเบียบ วินัยมากๆ เลย

ผู้แสดงความคิดเห็น วีร์พสุตม์ ลิ้มสกุลภักดี (เอิ้น) (weepasuth-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 10:13:41


ความคิดเห็นที่ 4090 (1586489)

 

พระพุทธเจ้า

เป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่

สู้กับใจ ตนเอง

 

สู้กับกิเลส สู้กับตัณหา

สู้กับความมักง่าย ใฝ่ต่ำ

สู้กับความขี้เกียจ ความเห็นแก่ตัว

พระพุทธเจ้า

ต่อสู้มาจนชนะหมด

สาธุ สาธุ สาธุ

ขอกราบพระบาทพระพุทธเจ้า

ขอกราบอาจารย์อุบล

ขอกราบอนุโมทนาในสิ่ง

ที่กระทำมาทั้งหมด และถ่ายทอดมาทุกประการคะ สาธุ...

 

 

เรื่องน้องอเล็กซ์ กับ เอริก

ที่ชอบไป และมีความสุข ที่ได้ไปบ้านสวนพีระมิด

ทั้งที่อาจารย์อุบล ดุ๊ ดุ

คงเพราะ จิต น้อง ๆ สูง เหมือนคุณโอ๋ นะคะ

เด็กเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าเรา เพราะจิตยังบริสุทธิ์

เค้าคงรู้ว่าที่อาจารย์ดุ อาจารย์พูด เพราะ รัก ห่วง

อยากให้น้องเป็นเด็กดี ชีวิตข้างหน้าก็จะดีแน่นอน

เด็ก ๆ เขาสัมผัสความรู้สึกนี้ได้แน่นอน

 

เหมือนกับเด็กที่พ่อแม่ดุ แต่เค้าก็รักพ่อแม่มากที่สุด

ในความดุ หรือคำสอน บางคำพูด 

อาจทำให้เราโกรธบ้าง ไม่พอใจบ้าง

แต่เราก็รู้ว่าท่านทำเพราะรักเรา เราจึงรักท่านไงคะ

 

และพ่อแม่ที่เข้มงวด ในสิ่งที่ควร สอนสั่งในสิ่งที่ดี

แล้วเด็กรับปฏิบัติตาม ก็มักจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเสมอ

ผิดกับพ่อแม่ที่ชอบตามใจ เอาใจทุกเรื่อง

ไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีให้ลูก กลัวลูกเสียใจ กลัวลูกไม่รัก

แบบนั้น เด็กก็มีโอกาสเสียคนได้ง่าย และก็คือการทำร้ายลูกตัวเอง

 

ถ้าคุณเป็นลูก คุณอยากได้พ่อแม่แบบไหน?

แล้วถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ?

คุณจะเป็นแบบไหนถึงจะดีที่สุดสำหรับลูก...

 

 

 

อนุโมทนากับพี่ชนิดา และคุณตุ้ย และทุกท่านด้วยคะ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 10:35:26


ความคิดเห็นที่ 4091 (1586512)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานดี ๆ

จากสมาชิกลูก ๆ บ้านสวนทุกท่านค่ะ

และขอกราบขอบพระคุณในคำสอนและคำชี้แนะ

ของท่าน อ.อุบลเป็นอย่างสูง

เรื่องการทานมังสวิรัติ  

ก่อนหน้านี้ลูกเป็นผู้หนึ่งที่ได้ศึกษาธรรมมะ

ในสายธรรมหนึ่ง และก็มีการส่งเสริมให้ทานเจกัน

ลูกเป็นคนหนึ่งที่ทานเจมาเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ปี 39

  แต่มีเหตุปัจจัยกลับมาอยู่บ้าน ทำให้หาทานลำบาก

(เป็นข้ออ้างของคนที่ไม่ตั้งใจจริง)

การที่ได้เข้ามาติดตามรับข่าวสารจากบ้านสวนฯ

ทำให้ลูกรู้สึกว่า มีพลังที่จะทำสิ่งดี ๆ เพิ่มขึ้น

  เพราะได้รับการแนะนำ สั่งสอน

จากหลาย ๆ ท่าน และท่าน อ.อุบล

ผ่านรายการคุยไปแจกไป ผ่านเวปไซด์ 

รู้สึกโชคดีที่ได้ศึกษาธรรมมะ ได้มีโอกาสรับธรรมมะ

แต่เราก็ต้องนำไปปฏิบัติด้วยให้ได้

  คำแนะนำสั่งสอนของท่าน อ.อุบล 

ลูกขอน้อมรับไว้และตั้งใจว่าจะปฏิบัติตามให้ดีค่ะ

(เพลิน) ขอร่วมบุญสำหรับการเข้าค่ายถวายพระพร 3-5  ธันวาคม จำนวน   999+1  บาท

และร่วมสร้างพีระมิดจากท่อพีวีซี                                                   จำนวน   599+1 บาท  

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จิรนันท์ เดิมหมวก (bean_2521-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 12:44:34


ความคิดเห็นที่ 4092 (1586521)

คราวนี้อยากจะถามความเห็น

ท่านผู้อ่าน

เรื่อง

อเล็กซ์ กับ เอริก

ว่าทำไม

เขาจึงชอบไปบ้านสวนพีระมิด

ทั้งที่ชีวิตที่บ้านเพียบพร้อม

มีทุกอย่างที่ให้ความสุข

สำหรับเด็กได้

 

อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์

 

คงเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความสุขใจ

ที่ไร้ขอบเขตและรูปแบบ

รู้ได้เฉพาะตน

อธิบายไม่ถูกว่ามันสุขยังไง

เพราะมองไม่เห็นเป็นรูปร่าง

ไม่มีสอนในตำราหรือในห้องเรียน

แต่ต้องลงมือทำเอง

แข่งกันทำบุญกับเพื่อนๆในวัยไล่ๆกัน

ได้บุญด้วย สนุกด้วย

พลังบุญที่บ้านสวนดึงดูดจิตที่บริสุทธิ์

ของเด็กๆ

ทำให้เขาอยากมาโดยไม่เบื่อ

โดยไม่มีใครบังคับ

********

 

 

 

..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ๋อย เพ็ญศิริ บุตรมนต์ (opensirio-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 13:49:58


ความคิดเห็นที่ 4093 (1586537)

พระพุทธเจ้า

เป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่

สู้กับใจ ตนเอง

 

สู้กับกิเลส สู้กับตัณหา

สู้กับความมักง่าย ใฝ่ต่ำ

สู้กับความขี้เกียจ ความเห็นแก่ตัว

พระพุทธเจ้า

ต่อสู้มาจนชนะหมด

-*-*-*-*-*-

สาธุ ๆ ๆ

อ่านแล้ว..กำลังใจ

ซึ่งแฟ้บ ๆ พอง ๆ

ก็ฟูขึ้นจนเต็มเปี่ยม

อธิฐานขอ

เป็นนักสู้เพียงธุลี

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 15:48:30


ความคิดเห็นที่ 4094 (1586538)

เรื่องข้ออ้าง

ไม่กินมัง

ที่ว่า หากินยาก

 

มันเอาไว้ใช้สำหรับคน

ไม่ตั้งใจ

 

เหมือนนั่งสมาธิ

บอก

ไม่ว่าง ไม่มีเวลา

ทั้งที่วันวัน สาระแนเรื่องอื่น

ที่ไร้สาระตั้งเยอะแยะ

ทั้งวี่ทั้งวัน

 

แต่พอ

จะทำความดี

ดันไม่มีเวลา นี่แหละหนา

คนบาป

(โอ๊ย  โอ๊ย  โดนอย่างแรงเลยค่ะ รับผิดทุกข้อหา)

กราบขอบพระคุณท่านท้าวเวสสุวรรณ และท่านอ.อุบลในคำเตือนคำสอนทุกอย่างค่ะ

อยากเป็นคนดี ก็ต้องแก้ไข ใช่ไหมคะ

(ไม่อยากเป็นคนจั ญ ไ ร ที่ชอบแก้ตัว)

ขอบคุณ คุณพัทธ์ธีรา ที่เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการทำความดีด้วยนะคะ

เรื่องนั่งสมาธิก็เหมือนกัน ขี้เกียจตลอด เฮ้อ ได้แต่คิด

แต่ไม่ยอมทำ (สงสัยเทวดาประจำตัวท่านคงเบื่อ อีนี่มาก

มันนึกสมาธิตลอด แต่ไม่ยอมทำสมาธิซักที  ...หนูขอโทษค๊า

หนูจะทำตัวให้ดีขึ้นค่า หนูจะพยายามไม่ดูละครแล้วค่า)

๑๑๑๑๑๑๑๑

คราวนี้อยากจะถามความเห็น

ท่านผู้อ่าน

เรื่อง

อเล็กซ์ กับ เอริก

ว่าทำไม

เขาจึงชอบไปบ้านสวนพีระมิด

ทั้งที่ชีวิตที่บ้านเพียบพร้อม

มีทุกอย่างที่ให้ความสุข

สำหรับเด็กได้

อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์

หนูคิดว่า เด็กๆ เค้าชอบความเป็นอิสระ

อิสระทั้งการเล่น ทั้งความคิดสร้างสรรค์ ชอบทำอะไรที่อยากทำโดยที่ผู้ใหญ่ไม่ดุ ด่า

เด็กๆอยู่ที่ไหนมีความสุข เค้าก็ชอบไปที่นั่นแหละค่ะ

ผู้ใหญ่ยังเป็นเลย 

ชอบไปที่ชอบ ที่ชอบ

เอ๊ะ ยังไง

55555666665555

ผู้แสดงความคิดเห็น ฐิติมา พฤกษ์อำนวย (pranaijai-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 16:01:49


ความคิดเห็นที่ 4095 (1586546)

ขออนุโมทนากับธรรมทานอันยิ่งใหญ่ของอาจารย์อุบลด้วยนะคะ สาธุ ทำให้ได้ข้อคิดในสิ่งที่ดี ๆ เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติให้หลุดพ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น กนกกร แดงเอม (kanokkorntip-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-01 17:06:17


ความคิดเห็นที่ 4096 (1586674)

 

คราวนี้อยากจะถามความเห็น

ท่านผู้อ่าน

เรื่อง

อเล็กซ์ กับ เอริก

ว่าทำไม

เขาจึงชอบไปบ้านสวนพีระมิด

ทั้งที่ชีวิตที่บ้านเพียบพร้อม

มีทุกอย่างที่ให้ความสุข

สำหรับเด็กได้

 

อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ 

ลูกคิดว่าเพราะพลังความเมตตา ความรัก ความสามัคคี

ที่เด็กสัมผัสได้ด้วยตัวเขาเองจากบ้านสวนพีระมิด

ทำให้เขารู้ว่าอะไรของจริง/ของปลอม

โดยเฉพาะพลังความเมตตา  ความรัก ความปราถนาดี ของอาจารย์อุบลและครอบครัว

ที่ต้องการช่วยให้ทุกคนพ้นทุกข์ นิพพานในชาตินี้

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วิจิตร บุญศิริ (wijit2502-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-02 13:47:45


ความคิดเห็นที่ 4097 (1586680)

ขอกราบพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อฤาษีฯ

ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด ท่านท้าวเวสสุวรรณ และ

ขออนุโมทนาในธรรมทานของท่านอาจารย์อุบล

และสมาชิกบ้านสวนทุกๆท่านค่ะ

อยากไปนิพพานมานานนนแล้ว

แต่ยังอยู่ในข่ายไม่ได้เรื่อง

ยังไม่มั่นคง อ่อนแอ ขี้เกียจ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์

ที่ช่วยจี้จุดต้องแก้ไขอย่างด่วนค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธีรพร รับคำอินทร์ (แมว) (egtrk2499-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-02 14:14:26


ความคิดเห็นที่ 4098 (1586773)

     ข้าพเจ้า น.ส.ตฤน นาคทุ่งเตา กราบขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิดทุกพระองค์ อ.อุบล อ.มงคล และคุณท๊อป  เรื่องได้นำของ-เสื้อผ้าไปไว้บ้านสวนพีระมิดโดยไม่ได้บอกกล่าวขออนุญาตก่อน

     และการขออนุญาตไปทำบุญบ้านสวนพีระมิดเพียงแค่ 3 วัน แต่อยู่เกินกำหนดโดยไม่ได้บอกกล่าวอาจารย์อุบลและครอบครัว ว่าจะอยู่ต่อกี่วัน คิดเอาเองว่าจะอยู่จนทอดกฐินเสร็ฐจะกลับ แต่ก็ไม่ได้แจ้งแก่อาจารย์อุบลและครอบครัวให้ทราบ

     และเรื่องที่ตัวเองมีส่วนทำให้สามีปรามาสล่วงเกินอาจารย์   กลับจากบ้านสวนพีระมิดคิดจะเข้ามาเขียนขอขมาในเว๊ปบ้านสวนพีระมิด แต่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีสัญญานอินเตอร์เน๊ตจึงไม่สามารถได้เข้ามาเขียนขอขมาทันที 

     ขอกราบขอบคุณ อ.อุบล ที่เมตตาทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมา

     ตฤนไม่สามารถเข้าเว๊ปไซด์ได้ จึงรบกวนเพื่อนชื่อ จีรวรรณ ให้พิมพ์ให้

    

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จีรวรรณ แย้มแก้ว (jerawun_123-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-02 20:36:16


ความคิดเห็นที่ 4099 (1586812)

กราบสวัสดี

อ.แม่อุบล อ.พ่อมงคล

และน้องท๊อป ด้วยค่ะ..............

เกดขออนุโมทนากับธรรมทานของทุกท่าน

ด้วยค่ะ อาทิ น้องหญิง และ อ.แม่ เป็นที่สุดค่ะ ..........

สาธุ สาธุ สาธุ

ได้อ่านเรื่องราวความเป็นไป

ของพี่น้องบ้านสวนก็รู้สึกทั้งดีใจและเสียใจ

บ้างค่ะ เช่น เรื่องพี่แอ๊ด เกดเสียใจที่พี่แอ๊ดอาจจะ

คิดน้อยใจอ.แม่อุบล มากเกินไปจากที่อ.แม่ได้ช่วยพี่แอ๊ด

ให้พ้นทุกข์มามากมายขนาดนี้ จิตใจพี่แอ๊ดก็

สูงขึ้นมามาก แต่เรื่องแค่นิดเดียว

กลับทำให้พี่แอ๊ดถึงกลับ

ไม่มาบ้านสวน

อีกเลย

ซึ่งที่บ้านสวน

เป็นบุญใหญ่นะค่ะพี่

เกดเชื่อว่า อ.แม่ท่านให้อภัย

กับลูกหลานทุกคนอยู่แล้วค่ะ.......

ส่วนดีใจ พี่แอ๊ดน่าจะดีใจมากกว่านะค่ะ

ที่อ.แม่ท่านได้ตักเตือนเราถึงแม้พี่จะคิดว่าท่านด่า

แต่ท่านด่าหรือว่าแสดงว่าท่านรักและสนใจเราอยู่นะจ๊ะ

พี่จ๋า... เกดเชื่อว่าพี่แอ๊ดยังเข้าเวปบ้านสวนนี้อยู่

ถ้าพี่ได้อ่านแล้วเกดขอให้พี่คิดใหม่

และพี่น้องบ้านสวนทุกคน

ก็พร้อมจะให้อภัย

พี่แอ๊ด

กันทุกคนจริงมั๊ยค่ะ

พี่แมว พี่มิ้ม และพี่ๆ อีกหลายๆ คน

ขอขมามาได้ตั้งหลายครั้ง จะขอขมาอ.แม่

ของพวกเรา ทำไมจะทำไม่ได้ค่ะพี่แอ๊ดขา........

ปล. ทำบุญที่อื่นหลายครั้ง

ยังไม่เท่าทำบุญที่...

บ้านสวนพีระมิด

เพียง

ครั้งเดียว

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา กะตะศิลา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-03 12:56:35


ความคิดเห็นที่ 4100 (1586823)

เห็นข้อความจากคุณตฤณ....ก็ดีใจนะคะ

ทุกคนทำผิดกันได้ค่ะ

แต่ผิดแล้วรู้ตัว...ปรับปรุง...แก้ไข

เป็นกำลังใจให้เอาชนะมารต่างๆ

ที่มาขัดขวางทางนิพพานของทุกท่านค่ะ

สู้ๆ 

อุปสรรคต่างๆ

พิสุจน์ความตั้งใจในการทำความดีนะคะ

อาจจะหนักบ้าง  เบาบ้าง 

แล้วแต่กรรมของแต่ละคน

ไม่เท่ากัน

ความดีย่อมชนะทุกอย่างค่ะ

ยังรอ

การกลับมา

ของคุณแอ๊ด

เช่นกันค่ะ

ขอขมาท่านอาจารย์นะคะ

ท่านหวังดีจริงๆ

สู้มาตั้งไกล

อย่าท้อเลยนะคะ

ลูกบ้านสวนทุกท่าน

ยินดีให้อภัย

คนผิด

ที่

พร้อมแก้ไขตนเอง

ใช่มั้ยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น สุกันยา จรพินิจ (g-dot-greengreen-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-12-03 15:44:03



<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 [41] 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74 75 76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 102 103 104 105 106 107 108 109 110 111 112 ถัดไป >>


Copyright © 2010 All Rights Reserved.