ReadyPlanet.com


เล่าบรรยากาศวันบวงสรวงสมโภชน์พระปฐมฯ 28 ส.ค.54


ขอเชิญทุกท่าน

แสดงความรู้สึกจากส่วนลึก

ของหัวใจ(จริง)

ที่ได้ร่วมงานบวงสรวงสมโภชน์ฯ

วันอาทิตย์ที่ 28 ส.ค.54

(26-27-28)

 

ทั้งท่านที่ไปร่วมงาน

และ

ชาวเกาะหน้าเวป

ได้มาแสดงความจงรักภัคดี

ต่อ

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สิ่งศักดิ์สิทธิ์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

ถึงความรู้สึก

จากใจ

ทุกด้าน ทุกแง่มุม

ไม่ต้องสร้างภาพ เอาความจริงใจ

เป็นสำคัญ

 

ทุกพระองค์ท่าน

ตรัสว่า

จะประทานรางวัล

ให้คนจริง

ได้รับ

 

อานิสงส์จริง

เช่นกัน

 

ส่วนคนที่

ไม่จริงใจ ก็เอาอานิสงส์

แบบไม่จริงใจไป

ก็แล้วกัน

 

และคนที่สร้างภาพ

ก็เอาแต่ภาพไป

ก็แล้วกัน

 

ส่วนคนที่ทำเอาหน้า

ก็เอาแต่หน้าไป

ก็แล้วกัน

 

บุญ

และอานิสงส์

จริง

ไม่ต้องเอา

 

ท่านตรัสเช่นนี้

 

อ.อุบล

แกโม้ แกขู่ หรือว่า

แกพูดจริง

 

เชิญพิสูจน์

ดู

นะจ๊า

 

ถ้านึกไม่ออก

ว่าจะเขียนแนวไหน

ท่านบอกให้ว่า

แนวนี้

 

1.ความรู้สึกต่อบรรยากาศ

เมื่อแรกก้าวเข้าไป

ในงาน บ้านสวนพีระมิด

 

2.ความเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกได้

 

3.พลัง ที่สัมผัสได้

 

4.การเตรียมงาน

ความร่วมมือ ร่วมใจ

ความสามัคคี

 

5.ความศรัทธาของผู้มา

คิดว่ามากัน เพราะ

ศรัทธา หรือ ว่า อยาก

 

6.พิธีกรรมในการบวงสรวง

ทุกขั้นตอน

 

7.อาหาร เครื่องดื่ม

อร่อยไหม เพียงพอหรือไม่

 

8.การจัดสถานที่ต้อนรับ

เพียงพอ เหมาะสมหรือไม่

 

9.ผู้ร่วมออกร้านโรงทาน

เรารู้สึกอย่างไรต่อท่านเหล่านี้

ตลอดจนชนิด ประเภท

ของอาหาร ความ อะ หย่อย ฯลฯ

 

10.การแสดง บนเวที 4 ภาค

ความสวยงาม พร้อมเพียง

ของหัวใจ ท่ารำ เครื่องแต่งกาย

 

11.ความรู้สึกด้านอื่นๆ

ที่ท่านอยากพูดถึง ที่อยู่ในใจ

จนสำลักออกมาน่ะ

 

ขอให้ทุกท่าน

ได้พบปาฎิหารย์ อานิสงส์

แห่งธรรมทานนี้

โดยทั่วกัน

 

ทั้ง โชค ลาภ

เงินทอง ความสุข

สุขภาพ

 

ตามน้ำหนัก

กรรม ธรรมทาน ที่ท่าน

เขียนด้วยความตั้งใจ

จากใจ เต็มที่

เต็มใจ

 

สาธุ



ผู้ตั้งกระทู้ อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-29 12:23:34


<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 [6]

ความคิดเห็นที่ 501 (1571727)

 

555+++

มาช่วยกันต่อบทโคลง เคลง

กันสนุกว่าค่ะ

เชิญคุณชนิดา น้องหญิง

พี่ตาล ฯ

ช่วยด้วยนะคะ

เพราะแมว..จบเห่ แว้ว.ว.ว.

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 22:21:13


ความคิดเห็นที่ 502 (1571786)

555+++

มาช่วยกันต่อบทโคลง เคลง

กันสนุกว่าค่ะ

แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-16 22:21:13

 

คุณแมวนี่

มีความเพียรพยายาม

อดทน มุ่งมั่น

จริงจริ๊ง

 

ถ้าเหนื่อยก็หยุดได้นะ

คุณแมว จ๋งจ๋าน

 

แต่ถ้าทำแล้ว

สะ(บาย)ใจ

ก็ทำไปเต๊อะ อ.อุบล

ทนอ่านได้จ้า

แปลกดีอ๊อก ล

แต่งไป

 

ใครจะอ่านหรือไม่อ่าน

 

ใครจจะชอบ

หรือ

ใครจะรำคาญเราไม่สนใจ

 

เราว่าของเราดีซะอย่าง

จริงไหม

 

ว่าแล้วก็แต่งต่อไป

โคลง เคลง

555

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-17 02:21:04


ความคิดเห็นที่ 503 (1571796)

น๊าน..คุณแมวมาชวนเราแต่ง โคลงเคลง ซะงั้น

มันเป็นอะไรที่ไม่ถนัดเลยน๊า...คุณแมว

แต่ก็..ขอลองซักหน่อยแล้วกัน

งั้นขอเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากคุณแมว แล้วกัลล์ อิอิ

 

โคลงเคลง เรื่องราวของ มิสเตอร์ ทองหยอด

ความเดิมตอนที่แล้ว

อนิจจาคำเจ้าว่า.....อนงค์

อ้อนแอ่นแลน่าหลง.....เล่นเคลิ้ม

อีกคำมั่นที่ยืนยง......น้องว่า

พี่จะซื้อพิซ่ซ่าหน้า.....เห็ดให้

พี่บอกว่าจะให้แล้ว.....เป็นไง

ลื่นไถลไปไกลใจลึก.....ศึกคนอง

                                          ประพันธ์โดย น้องแมว แห้วพิซซ่า

.........................................................................................

ตอนล่าสุด

   ถึงคุณพี่สัตวแพทย์........That"s called ตั้ม

คุณพี่ทำอะไร ใคร......ให้ใจหมอง

คุณพี่ลอง พิจารณา........คิดไตร่ตรอง

ดันบอกน้อง ว่าจะให้พิซซ่า........แต่กลับ"ลืม"

 

โส..น้ำ..หน้า อยากเที่ยว......... หยอดไปทั่ว

ทีนี้ล่ะโดนรัว........... เป็นกระสุน

อย่าได้หวัง ว่าจะมีใคร.......เขาการุณ

ถ้าตัวยัง ไม่พรุน...น้องๆก็จะ ยัง

ไม่เลิกแซว (อิอิ)

                                       ประพันธ์โดย น้องชนิดา ณ โปแลนด์

..........................................................................................................

กราบขอบพระคุณท่านอ.อุบล ที่มาบิ๊วให้พวกเรา

ช่วยกันแต่งกลอนตามใจฉัน ใครจะอ่านหรือไม่อ่านก็ช่าง อิอิ

ไม่งั้น ชนิดาก็คงจะไม่กล้าแต่งนะคะเนี่ย

 

ฮ่า ฮ่า แต่งโคลงได้เรื่องหรือเปล่าไม่รู้

แต่ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่อง ซะมากกว่า

ไม่รู้จะมีใครมาแต่ง ตอนต่อไป หรือเปล่าหนอ..

 

ว่าแล้วก็ไปนอนดีกว่า...

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-17 06:23:02


ความคิดเห็นที่ 504 (1572122)

 

ฮ่าๆ พี่ชนิดาแต่งต่อได้น่ารักมากๆค่า 

งั้นเดี๋ยวขอช่วยพี่แมว และพี่ชนิดาแต่งต่อนะค๊าาา 

 

ความเดิมตอนที่แล้ว

อนิจจาคำเจ้าว่า.....อนงค์

อ้อนแอ่นแลน่าหลง.....เล่นเคลิ้ม

อีกคำมั่นที่ยืนยง......น้องว่า

พี่จะซื้อพิซ่ซ่าหน้า.....เห็ดให้

พี่บอกว่าจะให้แล้ว.....เป็นไง

ลื่นไถลไปไกลใจลึก.....ศึกคนอง

                                          ประพันธ์โดย น้องแมว แห้วพิซซ่า

.........................................................................................

ตอนล่าสุด

   ถึงคุณพี่สัตวแพทย์........That"s called ตั้ม

คุณพี่ทำอะไร ใคร......ให้ใจหมอง

คุณพี่ลอง พิจารณา........คิดไตร่ตรอง

ดันบอกน้อง ว่าจะให้พิซซ่า........แต่กลับ"ลืม"

 

 

โส..น้ำ..หน้า อยากเที่ยว......... หยอดไปทั่ว

ทีนี้ล่ะโดนรัว........... เป็นกระสุน

อย่าได้หวัง ว่าจะมีใคร.......เขาการุณ

ถ้าตัวยัง ไม่พรุน...น้องๆก็จะ ยัง

ไม่เลิกแซว (อิอิ)

                                       ประพันธ์โดย น้องชนิดา ณ โปแลนด์

.......................................................................................................

 

 

โอ้พิซซ่าหน้าหด     ถลำลึก

                                              เป็นศึกใหญ่ให้สงสัย   ถึงวันนี้

ได้โปรดเล่ามาเถิดพี่    ตั้มคนดี 

               น้องนี้เกาะขอบจอ        งงจริงๆ   ( 555+ )

 

  ประพันธ์โดย น้องหญิง....อยากฟังความ อิอิ

 

 

          

 แต่งเอาฮาเฉยๆนะค๊าพี่ตั้ม 

อ่านแล้วไม่โกรธหญิงเน๊อออออ ฮิฮิ

 

          

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-17 20:34:16


ความคิดเห็นที่ 505 (1572161)

น้องหญิงขอ  โคลงเคลงด้วยคน

 

ความเอยความชอบ     มันหนักจิต

คิดอย่างไรก็ไม่พ้น       ตัวเองหนอ

เฝ้าแต่ รอ  ร่อ  รอ       มา 5 วัน

วันเสาร์นี้แล้วหนอ        จะพ้อหน้า

แล้วพิชซ่าหน้าหด        แมว อด เอย

 

5555***666  แต่งงูๆ ปลาๆ ก็เป็น อิอิ

คุณน้องตั้ม  แซว นิหน่อย...นะ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-17 21:01:51


ความคิดเห็นที่ 506 (1572216)

ท่านอาจารย์อุบลและลูกบ้านสวนพีระมิดเเต่งกลอนเก่งจัง  หนูอ่านไปยิ้มไป

              อนุโมทนาทุกท่านนะคะ

คิดถึงท่านอาจารย์อุบล  พี่เเมว และลูกบ้านสวนพีระมิดค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ประภาสิริ ถาวร (มิ้ม) (prapasiri_mim-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-17 22:16:28


ความคิดเห็นที่ 507 (1572238)

 

ตอนแต่งกลอนเสร็จยังคิดเลยนะว่า คนที่จะมาแต่ง

ต่อจากชนิดาต้องเป็นน้องหญิงแน่ๆเลย

และแล้วก็ใช่จริงๆด้วย โดยมีคุณพี่อ๊อดตามมา

ร่วมด้วยช่วยกันอีกแรง ส่วนน้องมิ้มคนสวย

ไม่ยอม"ต่อกลอน"กับพวกเรา(อิอิ) แต่ก็มาทำหน้าที่

เป็นกองเชียร์แทน น่ารักม๊าก..ต้องช่วยกันทำมาหากินแบบนี้สิ..ดีมาก

 

 

พี่ตั้มบอก..เด็กพวกนี้ เล่นไม่เลิกเลยนะ (ฮิฮิ)

แหม่..ก็จะให้เลิกได้ไงล่ะจ๊ะ พี่ตั้ม

อาจารย์เมตตาเขียนกระทุ้งมาตั้งหลายกระทู้

แต่คุณพี่ก็ทำเนียนไม่ยอมเขียนสารภาพด้วยตัวเอง ซักที

พี่ก็รู้อยู่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเว็บไซต์แห่งนี้

ล้วนมีเหตุและปัจจัยให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น..

 

 

ชนิดาคิดว่า(ความเห็นส่วนตัวนะคะ อาจถูกหรือผิดก็ได้

พิจารณาเองนะค๊า) อาจารย์และพวกเราทุกคนมีเป้าหมาย

ที่ชัดเจนและหมายกำหนดการที่แน่นอนแล้ว

และเวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกทีๆ เบื้องบนและอาจารย์

คงจะไม่ต้องการให้ใคร แวะพักริมทางเพื่อชมวิวกระมัง

เดี๋ยวเกิดติดใจในวิวทิวทัศน์สวยๆ ไม่ยอมเดินทางต่อ

หรือ คิดที่จะออกนอกเส้นทางขึ้นมาอีกทำไงล่ะ

เสียเวลาทั้งส่วนตัวและส่วนรวม เพราะอาจารย์ก็คงเหนื่อย

แบกภาระมานาน ก็คงอยากจะถึง"จุดหมายปลายทาง"ซักที  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 02:36:03


ความคิดเห็นที่ 508 (1572239)

 

สุดยอดเลนค่ะ

นัก-ปะ-พัน

โคลง เคลง...

แปะ ๆๆๆๆๆๆ

ขอปรบมือให้ค่ะ

-*-*-*-*-*-*-

พึ่งกลับจากบ้านสวนฯ

สักครู่นี้

นำบุญมาฝาก

นัก-ปะ-พัน

ทุก ๆ ท่านคร๊า

คุณชนิดา

น้องหญิง

น้องมิ้ม

และลูกบ้านสวนฯ

ทุก ๆ คนค่ะ 

-*-*-*-*-*-*-*-

คุณครูมิ้ม..ขา

ไม่ช่วยพี่เล้ย 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 02:45:35


ความคิดเห็นที่ 509 (1572241)

อาจารย์และพวกเราทุกคนมีเป้าหมาย

ที่ชัดเจนและหมายกำหนดการที่แน่นอนแล้ว

และเวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกทีๆ เบื้องบนและอาจารย์

คงจะไม่ต้องการให้ใคร แวะพักริมทางเพื่อชมวิวกระมัง

-*-*-*-*-*-*-*-*-*

โดนใจสุด ๆ ค่ะ ตรงเผง...เลยค่ะ

-*-*-*-*-*-*-*-*-*

กราบขอบพระคุณ อาจารย์อุบล แห่งบ้านสวนพิรามิด

ที่เคารพ + ศรัทธา

โอ่...องค์ผู้ทรงเมตตา

ช่วยนำพาลูกนี้นำชัย

ได้ใกล้ชิดสนิททรงชัย

เป็นแรงใจสุขนิจนิรันดร์

  

-*-*-*-*-*-

และที่สุดขอ

กราบแทบพระบาท

สมเด็จองค์ปฐมฯ

พระพุทธองค์

ท่านท้าวเวสวุวรรณ

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

และสิ่งศักดิ์ทุกพระองค์ที่

ทรงเมตตา..

สาธุ ๆๆ

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 02:56:58


ความคิดเห็นที่ 510 (1572242)

เอ่อ คุณแมว จ๊ะ... ครูมิ้มบอกว่า

กลอนแปลกๆแบบนี้ ช่วยต่อไม่ไหว เจงๆ

เดี๋ยวเสียจรรยาบรรณคุณครูหม๊ด ฮิฮิ(ครูภาษาไทย ป่ะไม่รู้)

 

 ชนิดาขอมาอนุโมทนารับบุญกับคุณแมวก่อนใครเล๊ยแล้วกัน

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 02:58:19


ความคิดเห็นที่ 511 (1572244)

 

กลอนแปลกๆ

แต่จริงค่ะคุณชนิดา

-*-*-*-*-*-

ตายแน่ ๆ.. คราวนี้.. ตั้มตายแน่ ๆ

555 ...999+++

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 03:07:09


ความคิดเห็นที่ 512 (1572246)

 งั้นขอมารับอนุโมทนาบุญกับพี่แมวต่อจากพี่ชนิดาเลยนะคะ

ฮิฮิ

สาธุ สาธุ ค่าาาา

*****

ว่าแต่ใครจะมาแต่งต่ออีกน๊อออ อยากอ่านอีกค่ะ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 03:24:20


ความคิดเห็นที่ 513 (1572264)

เสด็จพ่อฯตรัส

ว่า

 

ฉายา

ไอ้แก่ปากเสีย

น่ะ

 

เอาไว้ให้ข้าเรียกเองคนเดียวก็พอ

 

เดี๋ยวไอ้ยักษ์ตั้ม

มันช้ำตาย

 

ส่วนพวกเอ็งน่าจะเรียก

ว่า

.................

 

ไอ้ยักษ์ ปากเปาะ

เหมาะกว่า

 

โอ้ โห

 

เสด็จพ่อฯ

ช่างหาฉายาได้

เหมาะ

กับ ตา ตั้มจริงๆ

 

พวกเราจะปฎิบัติ

ตาม

เจ้าค่ะ

 

แต่ลูกขออนุญาต

เรียกอย่างเดิมนะเจ้าคะ

 

คือ

ไอ้ตอแหล

เจ้าค่ะ

 

เดี๋ยวนี้มีมากกว่า

1 คนเจ้าค่ะ

 

ลูกก็เลยใช้เลข

ต่อท้ายเจ้าค่ะ

 

เช่น

ตอแหล 1

ตอแหล 2 เจ้าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 09:00:15


ความคิดเห็นที่ 514 (1572271)

 ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ไปร่วมงานค่ะ

นั่งดูรายการคุยไปแจกไปย้อนหลัง ตอน เบื้องหน้า เบื้องหลัง บวงสรวง สมโภชน์สมเด็จพระพุทธปฐมฯ วันอาทิตย์ที่ 28 ส.ค.54

แล้วรู้สึกทราบซึ้ง ดีใจ น้ำตาไหล เห็นผู้ร่วมงานมีความสุข ความสนุก ปลื้มปิติ ในการร่วมบุญครั้งนี้

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิกานต์ ปิยะศิริภัณฑ์ (yaikwew-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 11:34:05


ความคิดเห็นที่ 515 (1572295)

ฉายา

ไอ้แก่ปากเสีย

น่ะ

 

เอาไว้ให้ข้าเรียกเองคนเดียวก็พอ

 

เดี๋ยวไอ้ยักษ์ตั้ม

มันช้ำตาย

-*-*-*-*-*-*-

อ.อุบล ค่ะ

เรามาปลูกใบบัวบก

ไว้ที่แปลงเกษตร

ด้วยดีกว่า ค่ะ

เพราะ

มีคนชอกช้ำ

จะได้ทันเยียวยา

น่า ฉง ฉาน.จังเล้ย.ย.ย

555+++

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 13:38:39


ความคิดเห็นที่ 516 (1572317)

 คุณชนิดาคะ มิ้มเป็นครูวิชาสังคมค่ะ  เเต่งกลอนไม่เก่งเลยขออาสาเป็นกองเชียร์เเทนค่ะ

เเค่ได้อ่านธรรมสิ่งดีๆในบ้านสวนพีระมิดก็มีความสุขเเล้วค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ประภาสิริ ถาวร (มิ้ม) (prapasiri_mim-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 17:30:01


ความคิดเห็นที่ 517 (1572335)

เฮ้อ..ไปบ้านสวนฯ

ไม่ได้เข้าเว็ปมาสองวัน

ต้องร้อง โอ้โห..

กวีบ้านสวนฯชักเยอะ

ถึงจะ โคลง เคลง

แต่ก้อเละเป็นโจ๊กเลยป๋ม

แต่งกลอนไม่เป็นกับเขา

ทำไงดีครับ

อบอุ่นดีจังพี่ๆน้องๆ ชาวบ้านสวนฯ

ไงก้อขอขอบคุณ

คุณชนิดา น้องหญิง คุณอ๊อด

ที่ช่วยกันแต่ง โคลงนี้จนเกือบจบ(เห่) 555

และขอบคุณ น้องมิ้ม ด้วย

อุตส่าห์มาช่วยเชียร์

 

คุงแมวระวังน่ะ

โคลงเคลงมากๆ

เดี๋ยวจะออกทะเล

ไปมหาสมุทร..โน่นเลย

กู่ไม่กลับ..555

หันไปเอาดีทางเพลงฉ่อย

ดีกว่าไหมเผื่อจะรุ่ง..อิอิ

(ท่อนสร้อยเพลงฉ่อย)

เอ่..ชา เอ๊..ช้า.ชา

ช่า..ชา...อาจารย์แม่..เอย

อิอิ

กราบท่าน อ.อุบล

ยินดีน้อมรับทุกชื่อเลยครับ

ดีใจจัง มีพวกแล้วผม

...แหล2

รายงานตัวด่วนท่าน อาจารย์

เมตตาเราแล้ว...555

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 19:39:51


ความคิดเห็นที่ 518 (1572348)

 

แหล 1 เรียก แหล  2

ตอบด้วย

คอกแคก คอกแคก ปึด

ไม่มีสัญญาณตอบรับ

แหลไปคนเดียวก่อนเน้อ

อา คุง พี่ ตัม

555+++ไม่มีพวก

-*-*-*-*-

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 19:57:40


ความคิดเห็นที่ 519 (1572428)

คุงแมวระวังน่ะ

หันไปเอาดีทางเพลงฉ่อย

ดีกว่าไหมเผื่อจะรุ่ง..อิอิ

(ท่อนสร้อยเพลงฉ่อย)

เอ่..ชา เอ๊..ช้า.ชา

ช่า..ชา...อาจารย์แม่..เอย

-*-*-*-*-

Ok. ค่ะ พี่ตั้ม

อ.อุบล ขา

แมวหาคณะ

ตั้มฉ่อย..ศิษย์บ้านสวนฯ

มาร่วมแสดง

ในค่ายฯ 10 ได้แล้วคร๊า

555+++

พี่ตั้มบอก

เสื้อผ้า หน้า ผม

ค่าตัวนักแสดง

ดนตรี ฟรี ตลอดงาน

พี่ตั้มจัดเอง...ชิมิ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 20:36:34


ความคิดเห็นที่ 520 (1572496)

สงสัยเพลง ฉ่อย

จะเป็นเพลง จ่อย ไหมหนอ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 21:06:56


ความคิดเห็นที่ 521 (1572513)

อยากกิน

พิซซ่า จัง เฮ้อ

หน้า...หด...อด...เจงๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 21:17:15


ความคิดเห็นที่ 522 (1572549)

 

แหล 1 เรียก แหล  2

ตอบด้วย

*-*-*-*

แห-ล 2 รับทราบแล้ว

แบบวว่าช้าไปนิด

เพราะว่า

แห-ล 2 เป็นคนขี้อาย

จริงๆน๊า

ตอนแรกที่

ท่านอาจารย์

เรียกคำที่ได้รับเกียรตนี้

รู้มั้ยครับ

อาย..หน้าชา(ไข่มุก)

กลมไม่มีดีเลยล่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 21:36:21


ความคิดเห็นที่ 523 (1572580)

แห-ล 2 รับทราบแล้ว

แบบวว่าช้าไปนิด

เพราะว่า

แห-ล 2 เป็นคนขี้อาย

แสดงความคิดเห็น ตัวเล็ก พงษ์เดช ชาวไทย (phongdech1665-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18

 

สงสาร แหล 2 นะ

ค่าย 10

จะกล้าแสดงอะไรกะเขาไม่เนี่ย

 

ดูท่าที

แหย่ไข่มดแดง

ก็รู้

ว่าขี้อายขนาดไหน

 

เลย

เต้นแบบ

เหนียมๆ อายๆ

ไม่คอย ออกลวดลาย

เอาซะเลย

 

ใครก็ช่าง

ไม่สงสาร เอาปืนจ่อ

บังคับให้เต้น

ดูแล้ว

 

แกก็อุส่าห์

บอก อาย ไม่ค่อยจะเป็น

ยังจะไปบังคับแก

แหล 2 อีก

555

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 21:49:39


ความคิดเห็นที่ 524 (1572582)

ถ้าทางน้องผมคนนี้

ขี้อายมากเลย

ดูจากการแสดงแหย่ไข่มดแดงก้อรู้

อายขนาด..เอวสั่นเลย..

เด๋อ..นัง..เด่อ..อึ๊บๆๆๆ

555

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 22:06:14


ความคิดเห็นที่ 525 (1572607)

ฮ่า ฮ่า และแล้วอาคุณพี่ตั้มและหนุ่มขี้อายสุดๆ

อย่างคุณตัวเล็ก ก็กลายเป็นพี่น้องร่วมชื่อกัน ซะงั้น

ต่อไปเวลาคุยกันทางวิทยุสือสารก็สบายเลยดิ

 

เรียกกันสั้นๆง่ายๆเล๊ย  แหล 1 เรียก แหล 2

                                ว. 2 เปลี่ยน...

 

 

รู้สึกว่า อาคุณพี่ตั้ม จะกลายเป็น คนที่มีฉายาเย๊อะ..ที่สุด

ในบ้านสวนฯเลยนะคะเนี่ย เดี๋ยวชนิดารวบรวมให้นะ

ไอ้แก่ปากเสีย

ไอ้ตอแหล

ไอ้ยักษ์ปากเปาะ

นายทองหยอด (พี่น้องกับนายทองก้อน ล่ะมั้ง อิอิ)

 

***เ่อ่อ ไม่อยากจะสัมภาษณ์เลยว่า

ประทับใจชื่อไหนที่สุด ครับเพ่

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 23:37:36


ความคิดเห็นที่ 526 (1572609)

 อยากกิน

พิซซ่า จัง เฮ้อ

หน้า...หด...อด...เจงๆ

*******

หนูก็อยากกินค่ะอาจารย์แม่

เมื่อไหร่พี่ตั้มเขาจะมาเสิร์ฟซักทีคะ

รอนานมั่กๆเลยอ่าพิซซ่าถาดนี้

สงกะสัยว่าจาไม่ใช่พิซซ่าธรรมดาทั่วไปแน่ๆเล้ยยยย

คุงพี่ตั้มถึงได้บอกปัดอยู่เรื่อย  ฮิฮิฮิ

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-18 23:51:52


ความคิดเห็นที่ 527 (1572634)

แกก็อุส่าห์

บอก อาย ไม่ค่อยจะเป็น

ยังจะไปบังคับแก

แหล 2 อีก

555

""""""""""""""""""""""

นั่นสิคะ อาจารย์ ชนิดาก็สงสารแกจะแย่

คนอะไร๊ ขี้อาย จนเต้นได้ ไม่ยั้ง

ไม่อั้นไว้เล๊ยแม้แต่น้อย

 

 แบบว่า จัดเต็ม คร๊าบ ท่านผู้ชม

ไอ้เราก็สงสาร จนน้ำตาเล็ด เลย ฮิฮิ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 01:10:40


ความคิดเห็นที่ 528 (1572742)

กราบพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ ท่านดตาจินิน มนุษย์ต่างดาว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวาล ท่านอาจารย์อุบล อาจารย์มงคล คุณท๊อป ขอบพระคุณในความเมตตาอันประมาณมิได้จากใจเจ้าค่ะ 

 

ความรู้สึกต่อบรรยากาศ เมื่อแรกก้าวเข้าไปในงานบ้านสวน

ไม่ได้ไปงานแต่ ตั้งแต่ดูคลิป เกิดความปิติ ยินดี ดีใจกับทุกๆท่านที่ได้ไปร่วมงาน ช่วยงาน อนุโมทนากับทุกๆท่านค่ะ ขอให้มีแต่ความเจริญ สาธุ

ความเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกได้

รู้สึกปิติจากใจค่ะ ทั้งความเมตตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านอาจารย์อุบลและครอบครัว รวมทั้งเห็นพี่น้องบ้านสวน รวมแรงร่วมใจกัน ได้ปลดเปลื้องทุกข์ ก็ซึ้งใจมาก รู้สึกว่า ที่ๆข้าพเจ้าอยู่ สิ่งที่ข้าพเจ้าทำ นั้นมีแต่กิเลส  มีแต่ความทุกข์ อยากมีบุญได้ไปช่วยงานบ้านสวน ช่วยงานพระพุทธองค์ แสดงความกตัญญูเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ความขี้เกียจลดลง ขยันหมั่นเพียรในหน้าที่มากขึ้น มีสติ โง่น้อยลง ที่จะยับยั้งความรัก โลภ โกรธ หลงให้จนได้ เป็นสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสามารถทำเพื่อพระพุทธองค์ได้ 

 

ถ้าเอาชนะมารในตัว และรอบๆตัวไม่ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำงานอื่นๆเพื่อพระพุทธองค์ พระพุทธศาสนา สามสถาบัน และผู้อื่นได้

 

พลัง ที่สัมผัสได้

 

ไม่มีคำพูดไหนบรรยายอาณุภาพได้ เป็นพลังที่สว่าง ไม่เคยสัมผัสถึงพลังที่สูงส่ง มหาศาลขนาดนี้ในชีวิต ไม่มีพลังใดทดแทนได้ รู้สึกเคารพ ศรัทธา ไม่มีเหตุผล กราบหน้าจอคอมพ์เลยค่ะ 

 

การเตรียมงาน ความร่วมมือ ร่วมใจ ความสามัคคี  

เพอร์เฟ็คค่ะ ทุกๆท่านต่างประสานงาน จนงานออกมาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ข้าพเจ้าขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ยินดี และอนุโมทนาบุญกับสาวกของพระพุทธองค์ 

 

ความศรัทธาของผู้มา

 

ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกๆคนที่ร่วมงานนั้น ต่างมีความศรัทธาในพระพุทธองค์ บ้านสวนพีระมิด ถึงทำงานกันเต็มที่ ตั้งแต่เตรียมงานจนกระทั่งเลิกงาน 

 

พิธีกรรมในการบวงสรวงทุกขั้นตอน  

มีความสุขค่ะ ตั้งแต่งานเริ่ม รำถวาย เลี้ยงพระ สวดมนต์ แต่ละการแสดง เต้นบำบัดทุกข์ และขั้นตอนอื่นๆ มีความละเอียดอ่อน บุญมหาศาล

 

การจัดสถานที่ต้อนรับ

 

ดีมากที่สุดค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบล อาจารย์มงคล และคุณท๊อป เป็นอย่างสูงค่ะ 

 

ผู้ร่วมออกร้านโรงทาน

 

ใจกว้าง มีเมตตา ไม่มีความโลภ บุคคลเหล่านี้จะมีแต่ความเจริญในชีวิต ข้าพเจ้าขออนุโมทนาค่ะ สาธุ

 

การแสดงบนเวที

ทราบว่าทุกคนต่างเตรียมพร้อม แสดงอย่างสุดฝีมือ เพื่อพระพุทธองค์ งามทั้งใจ สวยทั้งการแสดง ก็ปลื้มปิติมากค่ะ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ขวัญ ครองขวัญ วงศ์ดีประสิทธิ์ (krongkwanw-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 13:44:56


ความคิดเห็นที่ 529 (1573068)

สงสัยตอนนี้

คงจะลืมงานบวงสรวงกันแล้ว

มัวสนใจ การแสดง ค่าย 10

กันละซี  ว่าแล้วก็

ไปหาไข่มดแดงไว้ให้ใคร

มาแหย่กันดีกว่า

 

จะทำรังทันไหมน๊า

เจ้ามดแดง

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-19 21:15:58


ความคิดเห็นที่ 530 (1574643)

แอบมาเล่าย้อนหลังนิดนึงครับ

เผอิญเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้

ได้พบกับเจ้าของคนที่มาทำ

วิมานไม้ไผ่

ได้เล่าให้ฟังว่า

ได้มาทำงานตกแต่งวิมานไม้ไผ่

พร้อมลูกชายและช่าง

ช่วงที่พวกเราอนุโมทนากันเสียงดังๆ

ลูกชายแกก้อพูดเล่นตามว่า

อา มิต ตา พุด

โดยไม่ได้ศรัทธาใดๆ

ผลที่ได้เมื่อกลับไปก้อป่วยเป็นไข้

ไม่มีเรี่ยวแรงเลย

แม่เขาจึงไล่ถามว่าเป็นอะไรไปทำอะไรมา

จึงนึกได้ ว่ามาพูดเล่นว่า

อา มิต ตา พุด

ตอนที่ลูกบ้านสวนฯ โมทนากัน

แม่เขาเลยบอกว่า

มาทำเล่นที่นี่ไม่ได้น่ะ

ต้องไปขอคมา

ลูกเขาก้อได้มา กราบที่องค์พระ

ในโรงทานและขอคมาสิ่งที่ทำไปแล้ว

แค่นั้นแหละครับ

จากคนที่ซูบซีดไม่มีเรี่ยวแรง

กลับมาหายและหน้าตาหายซีดทันที

มหัศจรรย์ไหมล่ะครับ

 

เหลาต่ออีกนิด

มาถึงช่างคนนึงได้ถามนายจ้าง

ว่าเขาซื้อวิมานไม้ไผ่มาทำอะไร

นายจ้างบอกว่า เอาไว้ให้เป็นที่นอนมัง

ช่างก้ออุทานออกมาว่า

จ้างให้ก้อไม่นอน

จากนั้นก้อมาทำงานต่อ

สักพักเห็นบอกว่าทำอีท่าไหนไม่รู้

โดนแท่งปูนกระแทกปากจนปากบวมเลย

 

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล่าจาก

เจ้าของคนที่รับเหมา

มาสร้างวิมานไม้ไผ่อยู่ขณะนี้ครับ

สถานที่นี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ใช่ว่าจะเข้ามาพูดเล่นหรือสบประมาทได้น่ะครับ

นำเอาเรื่องราวดังกล่าวมาเล่า

เพื่อเตือนสติผู้ที่คิดจะไปบ้านสวนฯครับ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 10:59:12


ความคิดเห็นที่ 531 (1574724)

งานบวงสรวงฯ

ผ่านไปแล้ว หนุกหนาน

 

โหด มัน ฮา

ตามประสา ชาวบ้านสวนฯ

 

การแสดงแต่ละชุด

ก็สุดยอด

 

หลายคนมีส่วนร่วม

ครั้งแรกในชีวิต

 

ตั้งแต่

รุ่นจิ๋ว ยัน รุ่นแจ๋ว

จบงานกันแล้ว ควันหลง

ยังไม่จืดจาง

 

งานค่าย 10

กำลังจะย่างเข้ามาอีกแล้ว

ประหนึ่งว่า

พวกเราต้องรีบ ต้องเร่ง

ต้องพาย ต้องแจว

หนีตอ

ที่คอยจ่อจะโผล่ขึ้นมา

ขัดขวางทางสำเร็จในชีวิต

เพราะเหลือเวลา

อีกน้อยนิด ก็จะสิ้นปีแล้ว

2555 = 2012

มารอแล้ว

บุญพวกเราพอที่ทำให้

คลาดแคล้ว

ภัย

พิบัติ

ได้แล้วหรือยัง

 

ถ้าพอแล้วก็ขอ

อนุโมทนา

 

แต่ถ้ายังไม่พอ

ก็ให้เร่งรีบ แสวงหา

บุญใหญ่ๆ ไว้เกาะ กันเร็วพลัน

 

ส่วน ค่าย 10

ก็จะเป็นมหาบุญอัศจรรย์

ที่ท่านทั้งหลายคงได้

พบ

ปาฎิหาริย์

(อนุศาสนีปาฏิหาริย์)

กันแน่นอน

 

การแสดง

ก็เตรียมกันแต่เนิ่นๆนะ

จะได้ไม่ต้องมา

ซ้อมไป แสดงไป

แต่ว่า

ไม่เคยมีที่ไหนในโลกนะ

ที่จะทำได้อย่างนี้

 

คิดดูสิ

ขนาดคุณบิ๊ก

ยัง งง เห่า ฮ่ง ฮ่ง

พี่ท้อป ทำอะไรลงไป

ไม่ได้ ไม่ได้ บิ๊กรับไม่ได้

กลับไป ไว ไว

ลงไปจากเวที เดี๋ยวนี้นะพี่ท้อป

(น๊าน อ.อุบล รู้ภาษาหมาด้วย)

 

ส่วนเจ้าหมา

ที่ชื่อว่าสโนว์ ก็เดินโชว์

ขนอันหม่นหมอง

ด้วยไม่เคยตัด ไม่เคยอาบน้ำ

แต่อยากมาดูการแสดง

 

เจ้าสโนว์ดูแล้ว

ก็เดินบ่น อุบ อิบ ทำหน้า

ทำขน แห้งๆ

เขาทำไรกันวะ อยู่แถวนี้มานาน

ไม่เคยเห็นผู้คนมีอาการ

แบบนี้เลย

 

ว่าแล้วเจ้าสโนว์

ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่

เดินไป เดินมา

เดินหา ของกินดีกว่า

 

ว่าแล้ว

ก็ใช้ 2 ขาหน้า

คุ้ยเขี่ย หาอาหารดีๆ

ที่ไม่เคยกินมาก่อน

กินแล้วก็ไปนอน

แถวโรงทาน

 

ส่วนเจ้าหมาดำ

นามว่า คาเรี๊ยส เจ้าประจำ

ที่ดำทั้งหน้า ทั้งกาย ทั้งใจ

วนเวียน แว๊บ แอบ หลบ หน้า

ผู้คนทั้งหลาย

 

ด้วยตื่นตา ตื่นใจ

ไม่เคยเห็นงานแบบนี้

ก็จะเคยเห็นได้ยังไงล่ะ

คาเรี๊ยสเอ้ย

วันๆ เอาแต่ ใช้ 2 ขาหน้า

หาตัวเมีย กับหาเศษ หาเลย

 

วันนี้

หมาดำ คาเรี๊ยส

เครียดจัด

เอ...นี่...มัน...งาน...วัด

หรืองานอะไรหว่า

ดูไปดูมา

 

เห็นมีดารา

เด็กๆ

ตัวเล็กๆ กว่าเราอีก

 

แต่

เด็กพวกนี้

ทำไมมันดีกว่าเรา

มันรู้จักทำบุญ รู้จักกล้าหาญ

ทำการแสดงออก

ในสิ่งที่ดี

 

แถมได้ออกทีวี

มีหน้า มีตา ไม่ต้องคอย

ปกปิด หลบหน้า อายชื่อ สกุล จริง

 

อันว่าตัวตู

ผู้เป็นหมาดำ นามว่า

คาเรี๊ยส

ตูไม่เคยทำอย่างนี้เลย

 

 

ไอ้สิ่งที่เด็กพวกนี้ทำ

คาเรี๊ยส

จึงเห็นว่า แปลกจัง

เพราะ

ตั้งแต่เป็นหมามา ก็พึ่ง

เคยเห็นคนตัวเล็ก

ทำก็วันนี้

 

 

คาเรี๊ยส

ไม่รู้จัก ความดี ความชั่ว

เพราะ

คาเรี๊ยส เป็นสัตว์

เดียรัจฉาน

 

ช่วงนี้

จึง...ใคร่

ขอธรรมทาน

จากผู้มีภูมิธรรมหน่อยค่ะ

 

ว่า

ทำกรรมใดมา

จึงมาเกิดเป็นหมา(คาเรี๊ยส)

เป็นสัตว์เดียรัจฉาน

 

พวกนี้

จะมีโอกาสไป

นิพพาน

(พ้นทุกข์)

ได้ไหม .... ได้ด้วยวิธีใด

โปรดเมตตา

ขอธรรมเทศนา

เมตตา คาเรี๊ยส ด้วยเถิด

สาธุ สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:01:25


ความคิดเห็นที่ 532 (1574731)

 

 

ตอนหนึ่ง  จาก.............
เรื่องที่ ๑๓๒
ตายจากคนไปเกิดเป็นสุนัข,
เป็นเทวดาที่มีเสียงดังกึกก้อง
บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

 

จาก หนังสือ 

 

 

ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

โดย  หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

"..สุนัขตัวนี้เดิมทีเดียวเป็นคน ชื่อ "โกตุหลิกะ" อยู่เมืองๆ หนึ่งเกิดโรคระบาดขึ้น ก็พาเมียกับลูกน้อยเพิ่งคลอดได้ ๒-๓ เดือนยังคลานไม่ได้ อุ้มเดินทางผ่านป่าไปยังอีกเมืองหนึ่ง ในที่สุดหลายวันเข้าอาหารที่นำมาก็หมด สองคนผัวเมียก็อดอาหาร สามีก็บอกภรรยาว่าอุ้มลูกไม่ไหวแล้วทิ้งเสียเถิด เธอยังสาวอยู่ พี่ก็ยังหนุ่ม พี่จะสร้างให้ใหม่ ฝ่ายภรรยามีความรักในลูกก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงเอาลูกมาอุ้มแทนเสียเอง

ต่อมาตอนเย็นใกล้ค่ำสามีก็หาอุบายบอกภรรยาว่า เธออุ้มลูกมานานแล้วผลัดกันเถิด ฉันก็รักลูกเหมือนกัน ภรรยาก็เชื่อยอมให้สามีอุ้มลูก สามีก็แกล้งเดินช้าๆ ให้ภรรยาเดินไปข้างหน้าก่อน เมื่อเห็นภรรยาเดินไปไกลแล้ว ก็เอาลูกไปไว้โคนต้นไม้แล้วเอาใบไม้กลบ แล้วก็เดินช้าๆ ให้ภรรยาเดินไปไกลๆ ก่อน จึงค่อยๆ เดินไปทันก็เป็นเวลาคํ่ามากแล้ว ภรรยาก็ถามว่า "ลูกไปไหน" สามีก็บอกตามความเป็นจริงว่าทิ้งไว้ตรงโคนต้นไม้โน้น ภรรยาก็เสียใจเดินย้อนกลับมาใหม่แต่ก็หาลูกไม่พบ ผลที่สุดต่างคนต่างเดินตามกันไป

พอมาถึงอีกเมืองหนึ่งอาศัยความหิวโหยมา ๒-๓ วัน มันจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว เห็นบ้านสวยหลังใหญ่มีคนมาก ก็คิดว่าบ้านนี้คงจะมีอาหาร สองคนจึงเข้าไปในบ้าน คลานเข้าไปหาเจ้าของบ้านขออาหารกิน ท่านคหบดีเวลานั้นกำลังกินข้าวอยู่และมี สุนัขตัวเมียตัวหนึ่ง หมอบอยู่ข้างๆ ท่านกินบ้างแบ่งให้สุนัขกินบ้าง ข้าวที่สุนัขกินเป็นข้าวมธุปายาสที่ท่านคหบดีกิน เป็นข้าวชั้นเลิศของคนสมัยนั้น

เมื่อสองสามีภรรยาเข้าไปขออาหาร ท่านก็สั่งคนใช้ไปนำอาหารมาให้ เมื่อเขานำอาหารมาให้แล้วภรรยามีความรักในสามีมากก็ยังไม่กิน ให้สามีกินก่อน สามีก็แสนดีกินเสียจนกระทั่งไม่เหลือ ภรรยาก็ถามว่า "อิ่มหรือยัง" สามีก็ตอบว่า "ยังไม่อิ่ม" ยังไม่พอ ภรรยาก็ส่งส่วนของตนให้อีกโดยยอมหิว ทีนี้เมื่อกินจานที่สองเข้าไปมันก็อึดอัด ผลที่สุดก็แน่นจุกเสียด ก่อนที่จะตายขณะที่กำลังกินอาหาร ท่านโกตุหลิกะคิดถึงเจ้าสุนัขตัวนี้ว่ามีบุญดีกว่าเราซึ่งเป็นคนเสียอีก เราเป็นคนอดๆ อยากๆ แต่เจ้าสุนัขตัวนี้มันมีความสุข กินอาหารดีๆ ที่อยู่ก็สบาย ท่านคหบดีกินอะไรมันก็ได้กินอย่างนั้น รู้สึกว่ามันดีกว่าคนใช้ในบ้าน และคนใช้ในบ้านก็ยังดีกว่าเรา แต่เรามีความเป็นอยู่เลวกว่าสุนัข ขณะกินข้าวท่านก็มองดูสุนัขไป จิตก็นึกถึงแต่สุนัข ก็ตายเวลานั้น เมื่อตายแล้วจิตเลยเข้าท้องสุนัขตัวนั้นไป

 

 ตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นสุนัข

ต่อมาเจ้าสุนัขตัวนั้นก็คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ เป็นสุนัขแสนรู้เพราะตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นสุนัข จึงรู้ภาษาคนทุกอย่าง ดังนั้นเวลาท่านคหบดีจะทำอะไร จะใช้อะไร มันทำได้ทุกอย่างตามที่สุนัขสามารถจะพึงทำได้

เวลาออกพรรษา ท่านคหบดีมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาก ได้นิมนต์มาฉันภัตตาหารเป็นประจำตลอดจนกว่าจะเข้าพรรษา มาอยู่ที่ภูเขาใกล้ๆ บ้าน ตอนเช้าท่านก็ไปรับพระปัจเจกพุทธเจ้า พอถึงพุ่มไม้ท่านก็เอาไม้ตีส่งเสียงดังเป็นการไล่สัตว์ร้ายที่อยู่ในพุ่มไม้นั้น พอไปถึงถ้ำในภูเขาที่พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ก็เข้าไปกราบนิมนต์ท่าน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็จำ บางวันท่านคหบดีไปนิมนต์ไม่ได้เพราะมีธุระ ก็ใช้ให้เจ้าสุนัขตัวนี้ไปแทน เมื่อไปถึงพุ่มไม้ที่ท่านคหบดีเคยเอาไม้ตี เจ้าสุนัขตัวนี้ก็ส่งเสียงเห่าโฮ้งๆ เป็นการไล่สัตว์ที่อยู่ในนั้น พอไปถึงวิหารพระปัจเจกพุทธเจ้า มันก็หมอบคลานเข้าไปส่งเสียงโหยหวนเล็กน้อย เป็นการแสดงว่านิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ตามมันมา เจ้าสุนัขก็เดินนำหน้า พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านก็เลี้ยวเข้า ทำอย่างนี้เป็นปกติ

บางครั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลองดูว่า เจ้าสุนัขตัวนี้จะรู้จริงหรือไม่ พอท่านเดินถึงทางที่เจ้าสุนัขเลี้ยว ท่านก็ไม่ยอมเลี้ยวท่านเดินตรงไป เจ้าสุนัขก็เข้าขวางหน้า เมื่อท่านไม่ยอมกลับมันก็ดึงชายสบงให้เข้าทาง ผลที่สุดพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องตามไป

รวมความว่าเจ้าสุนัขก็ปฏิบัติอย่างนี้เป็นประจำและมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก รวมทั้งมีความเคารพด้วย เพราะเวลาไปถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าก็หมอบคลานเข้าไปแล้วก็ส่งเสียงนิดหน่อย ลีลาคล้ายจะนิมนต์ท่าน เป็นการแสดงความเคารพ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้าน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็นั่งอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา

ที่มา  http://www.luangporruesi.com/772.html

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:28:55


ความคิดเห็นที่ 533 (1574733)

 ตายจากสุนัขไปเกิดเป็นเทวดา

พอถึงเวลาเข้าพรรษาพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านต้องกลับภูเขาคันธมาทน์ ท่านก็ลาท่านคหบดี อาจจะบอกลาเจ้าสุนัขด้วยก็ได้ หลังจากนั้นท่านก็เหาะไป เจ้าสุนัขตัวนี้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปมันก็คิดถึง จึงเห่าบ้างหอนบ้างแสดงความอาลัย เมื่อท่านลับไปเจ้าสุนัขตัวนี้ก็ขาดใจตายทันที อาศัยที่มีความเคารพและรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาหลายเดือน เมื่อตายจากสุนัขก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกมีนามว่า "โฆษกเทพบุตร" (โฆษกะแปลว่ากึกก้อง) แปลว่า "เทวดาที่มีเสียงดัง" พูดตามปกติธรรมดาเสียงเบาๆ ดังไปไกล ๖๐ โยชน์ ถ้าพูดเต็มเสียงจะดังก้องทั่วดาวดึงส์และมีเสียงเพราะด้วย เป็นผลของการส่งเสียงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าและส่งเสียงขับไล่สัตว์ร้ายที่จะมีระหว่างทาง และก็ส่งเสียงแสดงความรักความอาลัยในพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไป

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:32:57


ความคิดเห็นที่ 534 (1574734)

 เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน

การที่เจ้าสุนัขตัวนี้เห่าหอนจนขาดใจตายทันทีเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะลับไป ก็เพราะมีความเคารพรักและอาลัยในท่านมาก ความรู้สึกอย่างนี้ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า "พุทธานุสสติกรรมฐาน" ถ้าจะถามว่าสัตว์เจริญกรรมฐานได้หรือ ก็ขอตอบว่า "เจ้าสุนัขตัวนี้นั้นเจริญพระกรรมฐาน" ถ้าจะถามอีกว่า "ถ้าเจริญพระกรรมฐานมันนั่งสมาธิไม่ได้"

ก็ต้องตอบว่า "กรรมฐานไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิ กรรมฐานอยู่ที่อารมณ์ของใจหรือสมาธิเป็นอารมณ์ของใจ และวิปัสสนาเป็นอารมณ์ของใจ ร่างกายจะอยู่ท่าไหนนั้นไม่มีความสำคัญ จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ จะนอนก็ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าให้จิตจับอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เราต้องการ"

อย่างเจ้าสุนัขตัวนี้จิตใจจับอยู่ในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นปกติ ถ้าจะถามว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมจึงเรียกว่า พุทธานุสสติ" ก็ต้องตอบว่า"ปัจเจกพุทธะ คือ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่บรรลุเองโดยไม่ต้องมีครูสอนเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ทว่าไม่มีหน้าที่สอนโดยตรงกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ใครสนใจธรรมไปหาท่านก็ช่วยแต่ท่านไม่เดินไปสอนเป็นสาธารณะทั่วไปเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ถ้ามีความจำเป็นท่านก็ไปหาเหมือนกันเป็นบางรายเท่านั้น

ฉะนั้น การที่สุนัขตัวนี้นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเป็น "พุทธานุสสติ"

ต่อมาเกิดใหม่ภายหลังกรรมที่ทิ้งลูกให้ตายในป่า กรรมนี้เข้ามาสนองให้ท่าน ถูกทอดทิ้งให้ตายถึง ๗ ครั้ง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:33:41


ความคิดเห็นที่ 535 (1574735)

 ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๑

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๑ เมื่อหมดบุญบารมีจากความเป็นเทวดา ท่านโฆษกเทพบุตรก็จุติลงมาเกิดเป็นลูกหญิงงามเมืองคือโสเภณีในเมืองโกสัมพี เกิดเป็นลูกผู้ชาย แต่หญิงงามเมืองย่อมเลี้ยงเฉพาะลูกผู้หญิง ไม่เลี้ยงลูกผู้ชายเพราะเชื้อสายของเธอจะสืบไม่ได้ จึงเอาทารกใส่กระด้งแล้วเอาไปทิ้งที่กองขยะ ก็มีกาบ้าง สุนัขบ้าง ต่างพากันมาจับกลุ่มแวดล้อมเด็กไว้ ป้องกันไม่ให้มีอันตราย ผลแห่งการเห่าการหอนด้วยความเคารพรักพระปัจเจกพุทธเจ้า และเห่าหอนป้องกันอันตรายพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อมาถึงพุ่มไม้ที่จะเป็นอันตรายก็เห่ากรรโชกไล่สัตว์ เป็นเหตุให้กาก็ดี สุนัขก็ดีมาแวดล้อมป้องกันอันตราย แม้แต่มด เล็น ไร ตัวหนึ่งก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ได้ ขณะนั้นมีคนผู้หนึ่งออกไปนอกบ้านเห็นการจับกลุ่มของกาและสุนัข จึงเดินเข้าไปที่นั้นเห็นเด็กทารกก็เกิดความรักเหมือนกับรักลูกของตัวเอง ได้เข้าไปอุ้มนำไปสู่เรือนด้วยความดีใจว่าเราได้ลูกชายแล้ว

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:34:16


ความคิดเห็นที่ 536 (1574736)

 ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๒

 

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๒ ในเวลานั้นได้มีเศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีเดินมาพบท่านปุโรหิตออกมาจากพระราชวังจึงได้ถามว่า "ท่านอาจารย์ วันนี้จะมีเหตุร้ายเหตุดีกับชาวบ้านชาวเมืองบ้างไหม" ท่านปุโรหิตก็บอกว่า "อย่างอื่นไม่มีแต่เด็กที่เกิดวันนี้จะเป็นมหาเศรษฐีในเมืองนี้ในวันหน้า" เวลานั้นภรรยาของท่านเศรษฐีกำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงให้คนใช้ไปดูว่าคลอดหรือยังมาบอกให้ทราบ เมื่อสั่งคนใช้แล้วก็ไปเฝ้าพระราชา เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้งให้มีฉัตร ๓ ชั้นและมีกิจในการเฝ้าพระราชาเหมือนกับเสนาบดีผู้ใหญ่ เมื่อเฝ้าพระราชาแล้วก็กลับมาบ้านเมื่อทราบว่าภรรยายังไม่คลอดจึงเรียกหญิงคนใช้ชื่อ "กาลี"

"กาลี" ไม่ได้แปลว่า "ระยำ" กาละแปลว่ากาลเวลา

คือผู้หญิงคนนี้เป็นคนรับใช้ต้องทำงานตามเวลาที่เขาสั่งเรียกมาให้เงินหนึ่งพันกหาปณะ (๑ กหาปณะเท่ากับ ๔ บาท ๑,๐๐๐ กหาปณะก็เท่ากับ ๔,๐๐๐ บาท) สมัยนั้นเงินพันมีค่าสูงมาก ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ทองคำหนัก ๑ บาทราคา ๑๐ บาทเศษๆ ท่านเศรษฐีบอกให้นางกาลีไปซื้อเด็กที่เกิดวันนี้มา เมื่อนางกาลีไปถึงเรือนเด็กคนนั้นก็ถามว่า "เด็กคนนี้เกิดเมื่อไร" เขาตอบว่า "เกิดวันนี้" จึงขอซื้อเด็กประมูลราคาตั้งแต่ ๑ กหาปณะไปจนถึงหนึ่งพันกหาปณะ แล้วนำเด็กนั้นไปให้ท่านเศรษฐี ท่านก็คิดว่าถ้าลูกของเราเป็นผู้หญิงเราจะให้มันอยู่กับลูกสาวของเรา แล้วทำให้มันเป็นเจ้าของตำแหน่งมหาเศรษฐี แต่ถ้าลูกของเราเกิดเป็นชาย เราจะฆ่ามันเสีย จึงได้รับเด็กคนนั้นไว้ในเรือน

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:34:49


ความคิดเห็นที่ 537 (1574737)

 โคอสุภะนายฝูงช่วยชีวิตเด็ก

 

ต่อมาภรรยาของเศรษฐีคลอดบุตรออกมาเป็นชายล่วงไป ๒-๓ วัน ท่านเศรษฐีจึงคิดว่า ถ้าไม่มีเจ้าเด็กคนนี้ลูกชายของเราก็จะได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐี ดังนั้นเราควรจะฆ่ามันเสียเถิด จึงเรียกนางกาลีให้เอาเด็กคนนี้ไปนอนขวางทางกลางประตูคอกโค เวลาที่พวกโคออกจากคอกจะได้เหยียบมันให้ตาย แต่ต้องคอยดูให้รู้ว่าโคเหยียบหรือไม่เหยียบ แล้วกลับมาบอกเรา

พอนายโคบาลคือคนเลี้ยงวัวเปิดประตูคอกเท่านั้น นางกาลีก็เอาเด็กไปวางไว้ตามที่ท่านมหาเศรษฐีสั่ง โคอสุภะซึ่งเป็นนายฝูง ตามธรรมดาจะออกหลังโคตัวอื่นทั้งหมด แต่ทว่าวันนี้ออกไปก่อนโคอื่นทั้งหมด ไปยืนคร่อมเด็กทารานั้นไว้ในระหว่างเท้าทั้งสี่ แม่โคทั้งหลายต่างก็พากันเบียดเสียดทั้งสองข้างของโคอสุภะออกไป ท่านโฆษกเทพบุตรมีบาปเพราะทิ้งลูกให้ตายในกลางป่า แต่ด้วยอานิสงส์ที่เกิดเป็นสุนัขไปเห่าหอนถวายความเคารพรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า และก็ป้องกันอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงไม่ตกนรกเลยต้องมาถูกทิ้งแบบนี้ แต่ได้รับความช่วยเหลือเพราะความดีที่มีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง

คนเลี้ยงโคก็คิดว่าเจ้าโคตัวนี้เมื่อก่อนมันออกทีหลังเขา ทุกตัวออกไปก่อนมันจึงออกแต่วันนี้ออกไปก่อนโคอื่นๆ ทั้งหมดแล้วก็ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูคอก จึงเดินเข้าไปดูก็เห็นเด็กนอนอยู่ภายใต้ท้องโคนั้น ก็เกิดความรักคิดว่าเราได้ลูกชายแล้วจึงนำไปสู่เรือน

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:35:16


ความคิดเห็นที่ 538 (1574738)

 ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๓

 

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๓ เมื่อท่านเศรษฐีทราบจากนางกาลีว่าลูกเลี้ยงยังไม่ตาย จึงให้เงินไปหนึ่งพันกหาปณะไปบอกกับคนเลี้ยงวัวว่า ท่านต้องการเด็กคนนี้ไว้เป็นลูกบุญธรรม เมื่อนำเด็กมาแล้ว ท่านเศรษฐีก็บอกกับนางกาลีว่าในเมืองนี้มีเกวียน ๕๐๐ เล่มเขาค้าขายกันอยู่ เขาออกเดินทางในเวลาเช้ามืด ให้เอาเด็กคนนี้ไปวางไว้ที่ทางเกวียนเพื่อให้โคเหยียบ ถ้าโคไม่เหยียบล้อก็ทับมันก็จะต้องตาย แล้วให้คอยดูว่าเด็กจะตายหรือไม่ ความจริงนางกาลีเธอก็มีความสงสาร แต่เมื่อนายใช้ก็จำเป็นจะต้องทำ ถ้าไม่ทำก็มีความผิด

ในตอนดึกเธอจึงได้นำเด็กทารกคนนี้ไปวางไว้ที่ทางเกวียนให้ตรงรอยเกวียนพอดี เพราะตามปกติรอยเกวียนกับรอยเท้าโคจะขนานกัน

ในเวลาเช้ามืดหัวหน้าเกวียน ๕๐๐ เล่มนำเกวียนออกหน้า ลูกน้องก็ตามเป็นลำดับไป แต่พอไปถึงเด็กยังมืดอยู่คนบนเกวียนก็ไม่เห็นเด็ก แต่เป็นเหตุอัศจรรย์ปรากฏว่าโคเดินถึงตรงนั้นแล้วไม่ยอมเดินต่อไป สลัดจนกระทั่งแอกหลุดจากคอทั้งๆ ที่เจ้าของบังคับให้เดินด้วยการตีบ้าง แทงด้วยปฏักบ้าง ทำอย่างไรก็ไม่ไป รอจนกระทั่งสว่าง นายเกวียนก็มองไปด้านหน้าพบเด็กคนหนึ่งนอนขวางทางล้อเกวียน เขาวางเอาตัวขวางไว้ ถ้าโคก้าวไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะต้องเหยียบเด็กตาย ถ้าโคไม่เหยียบเกวียนก็จะทับตาย จึงเกิดความอาลัยตัดสินใจจะนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม จึงเข้าไปอุ้มเด็กนำขึ้นมาบนเกวียน โคก็เดินต่อไปตามปกติไม่มีพยศใดๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:35:42


ความคิดเห็นที่ 539 (1574739)

 ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๔

 

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๔ นางกาลีรีบมาบอกท่านเศรษฐี ท่านเจ็บใจว่าเด็กคนนี้มันจะมาแย่งตำแหน่งมหาเศรษฐีของลูกเรา จึงได้บอกนางกาลีว่า ในเมื่อมันยังไม่ตายฉันยอมเสียเงินอีกหนึ่งพันกหาปณะ จงไปซื้อเด็กมาจากพ่อค้าเกวียน แล้วก็นำเด็กกลับมาให้ ท่านมหาเศรษฐีก็คิดว่าทิ้งที่ไหนๆ มันก็ไม่ตาย เจ้าจงนำเอาไปไว้ในป่าช้าผีดิบให้ลึกแสนลึกอย่าให้คนเห็น ตามธรรมดาป่าช้าผีดิบจะมีเสือ สิงห์ กระทิง แรด มีงูร้ายอยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่ตายเพราะสัตว์ร้ายก็ต้องตายเพราะอดตาย ตามปกติป่าช้าไม่มีใครอยากเข้าไป อย่างมากก็หนึ่งวันก็ต้องตายแน่ ในตอนเช้าวันนั้นก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ มีพ่อค้าเลี้ยงแพะไว้สำหรับขายนับเป็นแสนตัว ก็นำแพะมาเลี้ยงที่ป่าช้าผีดิบเพราะไม่มีใครว่าและก็ปลอดภัย บังเอิญมีแพะแม่ลูกอ่อนอยู่ตัวหนึ่งบุกป่าฝ่าดงเข้าไปไกลออกไปจากฝูงแพะเข้าไปในป่าลึก เข้าไปถึงเด็กน้อยแล้วก็ย่อตัวลงมาเอานมให้เด็กดูดกิน เจ้าของแพะเห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าแพะตัวนี้ลุยผ่าเข้าไปทำไม แยกฝูงออกไป เขาหาทางตวาด เอาไม้ขว้าง อิฐขว้างเท่าไรแพะก็ไม่ยอมถอยออกมา เห็นมันย่อตัวผิดปกติจึงเข้าไปหมายจะตีแพะให้เข็ด แต่พอเข้าไปก็เห็นเด็กน้อยกำลังกินนมแพะ ใจก็เกิดความรักขึ้นมา เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ เราก็ไม่มีลูกอยากได้ลูกมานานแล้ว จึงดีใจเข้าไปอุ้มนำเอาไปเลี้ยง

หลวงพ่อท่านบอกว่าขึ้นชื่อว่า บุญก็ช่วยไม่เลือกสถานที่เหมือนกัน เป็นอันว่าคนที่เกิดมานี้ต้องรับผลของกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล กรรมที่เป็นอกุศลของท่านโกตุหลิกะเป็นเหตุให้ ถูกทอดทิ้งหวังจะประหารชีวิต เพราะทิ้งลูกให้ตายในป่า แต่ว่าบุญที่มีความจงรักภักดีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ช่วยพร้อมกันนั่นคือ แพะให้นํ้านมกิน

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:36:09


ความคิดเห็นที่ 540 (1574740)

 ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๕

 

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๕ เมื่อนางกาลีมาบอกท่านเศรษฐี ท่านก็เกิดความเจ็บใจว่าทำอย่างไรๆ มันก็ไม่ตาย จะต้องเอาชนะให้ได้ จึงมอบเงินอีกหนึ่งพันกหาปณะให้ไปขอซื้อกลับมา ถ้าอกุศลไม่สนองเขาคงไม่ให้ แต่เพราะอกุศลยังสนองจึงจำจะต้องถูกทอดทิ้งต่อไป ท่านเศรษฐีก็วางแผนต่อไปว่าคราวนี้ไม่มีใครช่วยมันได้ ให้เอาไปทิ้งเหวลึกในป่า คนเข้าไปยากมีดงไผ่มาก โยนมันลงไปในนั้นไม่ช้ามันก็ตายไม่มีใครจะไปช่วยเหลือได้ นางกาลีก็นำเด็กไปโยนลงกลางเหว ก็เป็นเหตุอัศจรรย์กลางเหวมีกอไผ่อยู่มาก ไผ่งามมาก คนที่จะจักสานเขาก็ไปเอาไม้ไผ่ในนั้น บนยอดไผ่ก็บังเอิญมีเถาวัลย์เกาะอยู่หนาทึบมาก ปรากฏว่าเด็กน้อยคนนี้พอเขาโยนลงไปก็ไปค้างบนเถาวัลย์พอดี

ในตอนสายวันนั้นนายช่างจักสานเกิดขาดไม้ไผ่ที่จะจักสานขึ้นมา จึงได้พาลูกชายเข้าไปในป่าหาทางลัดเลาะเข้าไปในเหวเพราะไม้ไผ่ในนั้นงามดี พอเข้าไปตัดไม้เถาวัลย์ก็ไหว เด็กที่อยู่บนนั้นก็ร้องจ้าขึ้นมา เขาก็ตกใจว่าผีหรือคนกันแน่ ป่าลึกอย่างนี้ไม่น่าจะมีคน สองคนพ่อลูกก็เข้าไปดูก็พบเด็กจึงรับไว้เป็นลูกชายคนรองต่อไป

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:36:35


ความคิดเห็นที่ 541 (1574741)

 ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๖

 

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๖ หลังจากที่ทิ้งเหวแล้ว ท่านเศรษฐีให้นางกาลีนำเงินหนึ่งพันกหาปณะไปไถ่ตัวกลับมา ท่านจึงคิดว่าการทอดทิ้งแบบนี้ไม่มีผลแน่ จะต้องจัดการฆ่าเป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่ท่านโฆษกเทพบุตรมาเกิดเป็นเด็กคนนี้ ท่านมีความรู้สึกว่าท่านเศรษฐีเป็นบิดาของท่านจริงๆ แต่ท่านเศรษฐีกลับคิดว่าเด็กคนนี้เป็นหนามยอกอก เกรงว่าจะแย่งตำแหน่งเศรษฐีของลูกชายตามที่ท่านปุโรหิตพยากรณ์ไว้ จึงได้คิดฆ่าตลอดมา การคิดฆ่าต้องใช้เวลาตามความเหมาะสมจึงนานจนกระทั่งท่านโฆษกเป็นหนุ่มมีเมียได้แล้ว ท่านเศรษฐีจึงคิดว่าใกล้บ้านท่านมีนายช่างหม้อ เขาทำหม้อขาย ทำตุ่มขาย ในเตาที่สุมหม้อหรือสุมตุ่มให้สุกต้องใช้ไฟแรงมาก จึงนำเงินไปหนึ่งพันกหาปณะก็เท่ากับเงินสักสองสามแสนสมัยนี้ เมื่อนายช่างหม้อรับเงินแล้วก็บอกว่าจะให้ทำอะรก็ทำให้ได้ทุกอย่าง

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:37:12


ความคิดเห็นที่ 542 (1574742)

 พอวันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีก็เขียนจดหมายสั่งให้นายช่างหม้อจัดการฆ่าผู้ถือจดหมายมาให้แล้วใส่เข้าเตาเผาให้เรียบร้อย ทำงานเสร็จให้รีบแจ้งให้ทราบจะให้รางวัลยิ่งกว่าที่ให้ไปแล้ว เมื่อเขียนจดหมายเสร็จก็เรียกท่านโฆษกให้ถือจดหมายนี้ไปหานายช่างหม้อ แต่พอท่านโฆษกลงไปจากบ้านก็ปรากฏว่าน้องชายคือลูกแท้ๆ ของท่านเศรษฐีกำลังเล่นคลีอยู่กับเพื่อนและแพ้เพื่อนสิบกระดานกว่า ท่านโฆษกเป็นผู้ฉลาดในการเล่นคลี น้องชายก็คิดว่าท่านเป็นพี่ชายจริงๆ เหมือนกัน เพราะไม่มีใครบอก จึงบอกให้พี่ชายมาช่วยเล่นคลีแก้ตัวให้ก่อน

ท่านก็บอกน้องว่า "ไม่ได้หรอก เวลานี้พ่อใช้ให้ไปธุระที่บ้านนายช่างหม้อ ต้องถือจดหมายฉบับนี้ของพ่อไปให้แล้วพี่จะรีบกลับมา"

น้องชายบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พี่เล่นแทนฉันนะแก้ตัวให้ได้เพราะฉันแพ้เขามามากแล้ว ฉันจะนำจดหมายไปเอง งานเสร็จเมื่อไรจะรีบกลับมาหาพี่"

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:37:42


ความคิดเห็นที่ 543 (1574743)

 เป็นการบังเอิญจริงๆ ลูกชายของท่านเศรษฐีอ่านหนังสือออก แต่ถือว่าเป็นจดหมายธุระของพ่อ จึงไม่คลี่ออกอ่าน พอไปถึงนายช่างหม้ออ่านจดหมายเสร็จก็จัดการตามคำสั่ง ร่างกายของลูกชายท่านเศรษฐีก็วอดวายเป็นขี้เถ้าผสมไปกับถ่าน ท่านโฆษกเล่นคลีจนกระทั่งเย็น น้องชายก็ยังไม่กลับมา จึงขึ้นมาบนบ้าน ท่านเศรษฐีเห็นเข้าก็ถามว่า "พ่อสั่งให้ไปหานายช่างหม้อ ลูกยังไม่ไปหรือ" ท่านก็ตอบว่า "น้องเล่นคลีแพ้เขาขอรับ ให้ผมเล่นแก้ตัว น้องเลยไปแทน" พอได้ฟังเท่านั้นท่านเศรษฐีก็ผลุนผลันรีบวิ่งไปบ้านนายช่างหม้อ

พอไปถึงนายช่างหม้อก็รีบมารายงานทันทีว่า "งานที่สั่งเรียบร้อยทุกอย่าง" ท่านเศรษฐีร้องไห้แทบจะเป็นลมตาย แทนที่จะฆ่าท่านโฆษกตายกลับต้องมาเสียลูกไป

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:38:00


ความคิดเห็นที่ 544 (1574744)

 ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๗

 

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๗ เมื่อลูกชายของตนตายไปแล้ว ท่านเศรษฐีกลับโทษว่าท่านโฆษกเป็นต้นเหตุให้ลูกชายตาย จึงคิดหาอุบายใหม่จะต้องฆ่าลูกเลี้ยงให้ได้ จึงส่งไปยังสำนักคนเก็บส่วย ท่านเศรษฐีมีบ้านส่วย ๑๐๐ หลังคล้ายๆ กับบ้านเช่า พระราชามอบบ้านให้เมื่อตั้งเป็นเศรษฐีแล้ว มีอำนาจในการเก็บส่วยคือเก็บภาษีอากรเป็นประจำปี โดยส่งไปให้นายเสมียนหรือคือเจ้าหน้าที่เก็บส่วยฆ่าเสียให้ตาย จึงได้เขียนจดหมายบอกว่า "ถ้าผู้ถือจดหมายนี้มาถึงบ้านนี้เมื่อไรให้จัดการฆ่าทันที และก็จัดการเผาแล้วนำไปโยนลงในส้วม ถ้าทำเสร็จเรียบร้อยฉันจะให้รางวัลเธออย่างงามในภายหลัง"

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:38:35


ความคิดเห็นที่ 545 (1574745)

 ท่านโฆษกก็บอกท่านเศรษฐีว่า "ตำบลที่จะไปมันไกล จะต้องนำอาหารไปกินตามทางบ้างเพราะต้องค้างคืน" ท่านเศรษฐีก็บอกว่า "ไม่ต้องเอาไปหรอกลูก พ่อมีเพื่อนเป็นเศรษฐี บ้านอยู่ระหว่างกลางทางที่จะผ่านไปอยู่หลังหนึ่ง เจ้าจงแวะไปรับประทานอาหารที่นั่น หลังจากนั้นก็เดินทางไปบ้านส่วยไปหานายเสมียนที่เก็บส่วย"

พอไปถึงบ้านเศรษฐีก็เข้าไปในบ้าน ภรรยาท่านเศรษฐีเห็นหน้าท่านโฆษกก็มีความรู้สึกรักเหมือนลูก บ้านนี้มีลูกสาวอายุ ๑๕ ยังไม่ถึง ๑๖ กำลังสาวและสวยด้วย เวลานั้นก็เป็นเวลาพอดีที่ลูกสาวของเศรษฐีบ้านนี้อยู่บนชั้น ๗ ได้สั่งให้หญิงคนใช้ไปซื้อของที่ตลาด แต่พอหญิงคนใช้ลงมาจากข้างบนก็พอดีภรรยาของท่านเศรษฐีใช้ให้จัดห้องพักให้แก่ท่านโฆษกซึ่งเดินทางมาเหนื่อยอ่อน พอกินอาหารเสร็จก็นอนหลับ เมื่อหญิงรับใช้ไปตลาดเสร็จก็กลับขึ้นไปข้างบน เจ้านายคอยนานผิดปกติก็ดุ เธอจึงรายงานเรื่องราวให้ทราบ พอได้ยินเท่านั้น ความรักเกิดขึ้นมาทันทีทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้า ทนไม่ไหวต้องการจะไปเห็นหน้า

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:39:00


ความคิดเห็นที่ 546 (1574746)

 บุพเพสันนิวาส

 

ลูกสาวท่านเศรษฐีคนนี้เดิมเป็นภรรยาของท่านโฆษกสมัยที่เป็นโกตุหลิกะ เมื่อท่านโกตุหลิกะตายจากความเป็นคนแล้ว ท่านเศรษฐีได้มอบข้าวสารให้เธอหนึ่งทะนาน เธอได้จัดการหุงต้มถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า และอยู่รับใช้ท่านเศรษฐีบ้านนั้น ต่อมาได้มีโอกาสปฏิบัติและไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้างตามสมควร อาศัยบุญนี้เมื่อเธอตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลังจากนั้นลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็มาเกิดเป็นลูกของอนุเศรษฐีบ้านนี้

ฉะนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อาศัยที่เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน เยื่อใยแห่งความรักมันก็เกิดขึ้น"

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:39:26


ความคิดเห็นที่ 547 (1574748)

 ลูกสาวเศรษฐีจึงลงไปจะดูหน้าชายหนุ่ม ได้ย่องๆ แอบลงไปไม่ให้มารดาเห็น เวลานั้นท่านโฆษกกำลังหลับ เมื่อเห็นเข้าก็เกิดความรักหนักขึ้นเพราะอาศัยบุญเก่าที่เคยเป็นสามีภรรยากัน ต้องพลัดกันเพราะกำลังบุญไม่เสมอกัน ท่านโฆษกทิ้งลูกแต่เธอสงสารลูก ท่านโฆษกคิดถึงสุนัขจึงไปเกิดเป็นลูกสุนัข แต่ตอนเป็นสุนัขมีความรักและเห่าหอนป้องกันอันตรายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไปเกิดเป็นเทวดา แต่ภรรยานึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้า เมื่อเธอเข้าไปมองไปก็เห็นชายผ้าขมวดอยู่จึงแก้ดูเห็นจดหมายก็นำมาอ่าน พออ่านเสร็จก็ตกใจว่าถือจดหมายฆ่าตัวเองมาได้อันตรายมาก จึงจัดการแปลงสาส์นเขียนขึ้นใหม่ ให้นายเสมียนจัดการแต่งงานลูกชายของท่านเศรษฐีกับลูกสาวของอนุเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกันในชนบท และจัดการปลูกเรือนหอให้ดี จัดเวรยามอย่าให้ใครเข้าไปรบกวนหรือให้ใครไปทำอันตรายเป็นอันขาด เป็นอันว่าท่านโฆษกไม่ได้เห็นนางเลย

พอวันรุ่งขึ้นรับประทานอาหารเสร็จก็ลาท่านเศรษฐี เดินทางไปหานายเสมียน เมื่อได้อ่านจดหมายแล้วก็ดีใจว่าท่านเศรษฐีไว้วางใจเราถึงขนาดนี้ ก็จัดการปลูกบ้านจัดคนระวังรักษา ใครจะเข้าจะออกต้องได้รับอนุญาตก่อน แล้วก็ไปสู่ขอลูกสาวเศรษฐีจัดการแต่งงานให้ เมื่อแต่งงานแล้วลูกสาวก็มาอยู่บ้านของท่านโฆษก นางได้สั่งนายเสมียนว่า ถ้าผู้ใดจะมาหาสามีจงอย่าให้เข้าไปพบ ให้มาพบเธอก่อน เป็นการป้องกันสามีเพราะท่านบิดาของสามีใจร้าย ถ้าทราบว่าท่านโฆษกยังไม่ตาย ก็จะต้องหาทางฆ่าให้ได้อีก

หลังจากนั้นมาหลายวัน ท่านเศรษฐีไม่ได้ข่าวจากนายเสมียน จึงส่งคนไปสืบก็ได้ความว่าเวลานี้ท่านโฆษกแทนที่จะตายกลับกลายเป็นได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นภรรยา ก็เจ็บใจเกิดความทุกข์หนัก จิตใจเศร้าโศกคิดถึงลูกชายที่ตายไปแล้วด้วย ตัวท่านก็แก่แล้วมีอารมณ์ครุ่นคิดแต่ประหัตประหาร ความสุขกายสุขใจจึงไม่มีก็เลยล้มป่วย ขณะล้มป่วยใหม่ๆ สั่งคนให้ไปตามท่านโฆษกมาหา ด้วยมีเจตนาให้ทนายประจำตระกูลบอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดไม่ยอมยกให้ท่านโฆษก แต่พอคนที่ท่านเศรษฐีส่งไปถึงบ้านท่านโฆษก นายเสมียนก็นำไปหาภรรยาท่านโฆษกก่อนและได้ถามว่า "เวลานี้ท่านบิดาป่วยมากหรือน้อย" เขาตอบว่า "ยังไม่มากขอรับ เพิ่งป่วยใหม่ๆ แต่ว่าบ่นถึงท่านโฆษกอยากให้ไปหา" ภรรยาท่านโฆษกก็ทราบว่าการไปหาเวลานี้ไม่เหมาะ จึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้จัดบ้านพักและให้เลี้ยงอาหารการบริโภคให้อยู่อย่างเป็นสุข และบอกว่า "ถ้าจะกลับต้องรับคำสั่งจากฉันก่อน เธอกับฉันจะไปพร้อมกัน"

ท่านเศรษฐีอาการไข้หนักลงไปทุกที ถามทนายประจำบ้านว่า "ท่านโฆษกมาหรือยัง" พอบอกว่ายังก็สั่งให้คนไปตามอีกพวกหนึ่ง ภรรยาท่านโฆษกก็ถามคนที่มาตามว่า "ท่านบิดาอาการเป็นอย่างไร" เขาก็บอกว่า "อาการป่วยมากขึ้น แต่สติสัมปชัญญะยังสมบูรณ์" นางก็จัดการให้พักอย่างดีตามเดิมเป็นการถ่วงเวลาไว้

ในที่สุดอาการของท่านเศรษฐีหนักลงไปมาก กินเข้าไปเท่าไรถ่ายออกมาหมดเท่านั้นที่เรียกว่าทวารเปิดใกล้จะตายเต็มที ก็สั่งให้คนไปตามอีกเป็นชุดที่สาม ภรรยาท่านโฆษกก็ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง คนที่มาตามก็บอกตามความเป็นจริงว่า "เวลานี้ท่านเศรษฐีแย่แล้วครับ พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้ว เสียงก็แห้ง อาการร่อแร่เต็มที" สองรายที่มาตามภรรยาไม่ได้บอกท่านโฆษกให้ทราบ แต่ครั้งที่สามจึงได้รายงานให้ทราบว่า "บิดาของท่านกำลังป่วยหนัก เราเป็นลูกต้องไปหาและไปพยาบาลท่าน" และได้มีการนัดหมายกันว่าเวลาไปถึงที่นั่นแล้ว ขอให้สามียืนอยู่ด้านปลายเท้าบิดา เธอจะยืนอยู่ด้านศีรษะ แล้วทำการปฐมพยาบาลตามโอกาสที่จะพึงมี และการไปคราวนี้ก็ควรนำของจากบ้านส่วย ๑๐๐ หลังนี้ไปฝากคุณพ่อด้วย ใช้เกวียนหลายเล่มบรรทุกไป เจตนาของนางก็เพื่อจะถ่วงเวลาไว้ แต่ท่านโฆษกคิดว่าภรรยาปรารถนาดี รู้ไม่เท่าทัน ท่านโฆษกถึงแม้จะมีวาสนาบารมีเคยเป็นสามีมาก่อนแต่ปัญญาก็สู้เธอไม่ได้ เพราะชาติสุดท้ายเธอมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ถวายทานกับท่านและอธิษฐานว่า "ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันได้เห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ"

แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ให้พรว่า "เอวัง โหตุ" แปลเป็นใจความว่า "เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา"

พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเป็นอรหันต์บรรลุเอง ความฉลาดย่อมมีมาก ในเมื่อเขาอธิษฐานต้องการความฉลาดอย่างท่านก็ต้องฉลาดเหมือนท่าน

ฉะนั้น ภรรยาของท่านโฆษกนี้จึงมีความฉลาดลํ้าลึก รู้เท่าทันเหตุการณ์ทุกอย่าง จึงทราบว่าไปคราวนี้ท่านพ่อเลี้ยงก็จะประกาศไม่ยกทรัพย์สมบัติให้ ตามธรรมดาถ้าไม่ประกาศแจ้งให้ทนายทราบก่อน บุคคลผู้เป็นบุตรก็จะต้องได้สมบัติและเป็นทายาทคนเดียว การที่นางจัดของมาหลายเล่มเกวียนทำให้การเดินทางก็ช้า เมื่อเดินทางไปได้ ๒-๓ วัน นางก็หานโยบายถ่วงให้ช้าไปกว่านั้นอีก จึงรายงานท่านโฆษกว่าบิดาป่วยหนัก ถ้านำของไปมากๆ อย่างนี้นานกว่าจะถึง ทางที่ดีควรให้เกวียนเบา จึงได้สั่งให้เกวียนย้อนกลับมาบ้านเพื่อขนของลง กว่าจะเดินทางไปใหม่ก็กินเวลาหลายวัน เมื่อไปถึงบ้านบิดาปรากฏว่า ท่านเศรษฐีป่วยหนักขนาดพูดไม่รู้เรื่อง นางก็เข้าไปด้านศีรษะ ท่านโฆษกก็ไปยืนด้านปลายเท้า ท่านเศรษฐีตาพร่าเต็มทีมองไม่เห็นว่าใครอยู่ที่นั้นบ้าง จึงถามทนายว่าท่านโฆษกมาหรือยังทั้งๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทนายบอกว่าเวลานี้บุตรชายของท่านยืนอยู่ปลายเท้าแล้ว ท่านก็อยากจะพูดว่าสมบัติทั้งหมดนี้ไม่ยกให้ท่านโฆษก แต่ประสาทมันใช้ไม่ได้จึงกล่าวว่า "สมบัตินี้เราให้"

พอพูดเพียงเท่านี้ภรรยาของท่านโฆษกผู้มีปัญญาดีก็ทุ่มศีรษะลงมาที่อก แสดงอาการร้องไห้สะอึกสะอื้นตัดเสียงของท่านเศรษฐี โดยนางคิดว่าถ้าขืนปล่อยให้พูดต่อไป ต้องกลับคำว่าไม่ให้ แต่ท่านพูดเผลอไปเพราะลิ้นมันแข็ง นางร้องห่มร้องไห้เกลือกกลิ้ง พยายามเอาหัวกระแทกอกท่านเศรษฐีตายไปเลย

ท่านโฆษกได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐี

เมื่อท่านเศรษฐีตายไปแล้ว ทำการเผาเสร็จ ท่านโฆษกก็ไปรายงานให้พระราชาทราบคือ พระเจ้าอุเทน ตอนที่จะเข้าไป พระเจ้าอุเทนยืนอยู่ที่หน้าต่างเห็นท่านโฆษกเดินเข้าไปถึงลำรางเล็กๆ ก็กระโดดข้าม ที่มีหลุมมีบ่อมีนํ้าก็กระโดดข้าม พอเข้าไปถึงก็กราบทูลพระราชาตามความจริง พระองค์ก็บอกว่า "เมื่อพ่อของเธอตายแล้ว ทายาทคนอื่นก็ไม่มี เราจะแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้แก่เจ้าแทนพ่อ" แล้วท่านก็สั่งให้กลับได้ เมื่อท่านโฆษกกราบลามาแล้ว เวลาเดินมาถึงบ่อนํ้าหรือลำรางแทนที่จะกระโดดข้ามกลับลุยนํ้าไปโดยสุภาพ เรียกว่าเดินแบบสุภาพ เมื่อพระเจ้าอุเทนเห็นดังนั้นแล้ว ก็สงสัยทำไมจริยาเปลี่ยนไป ก็ทรงสั่งให้ท่านโฆษกกลับเข้าไปเฝ้าใหม่แล้วถามว่า "เมื่อขณะที่มาถึงลำรางมีนํ้า เจ้ากระโดดข้าม ขากลับทำไมเดินแบบสุภาพลุยนํ้าไป" ท่านโฆษกก็กราบทูลว่า "เมื่อขณะมา ข้าพระพุทธเจ้ายังเป็นเด็กจึงทำอาการอย่างนั้น เมื่อรับคำสั่งจากพระองค์ว่าจะแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ จึงเดินอย่างผู้ใหญ่มีอาการสุภาพตามสมควร"

พระเจ้าอุเทนฟังแล้วก็ปลื้มใจในความดีของท่านโฆษก จึงแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้ในวันนั้น ให้ฉัตร ๓ ชั้น ให้ข้าทาสหญิงชาย ช้าง ม้า วัว ควาย และบ้านส่วย รวมความว่าได้เป็นเศรษฐีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภรรยากำลังคุยกับนางกาลีอยู่ ท่านโฆษกจึงถามว่า "คุยอะไรกัน" เธอก็ไม่บอก ท่านโฆษกก็ชักดาบแล้วบอกว่า "ถ้าไม่บอกฉันจะฆ่า" ภรรยาก็เลยบอกว่า "ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ท่านได้เพราะอาศัยฉันช่วย" แล้วก็เล่าความเป็นมาทั้งหมดให้ฟัง ท่านโฆษกฟังแล้วก็ไม่เชื่อ นางกาลีเลยเล่าความเป็นมาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนอวสาน ท่านโฆษกได้ฟังแล้วก็มีความสลดใจว่า เรามีกรรมหนักมากตั้งแต่เล็กจนโต เขาคิดจะฆ่าเราก็ไม่ทราบ เราคิดว่าท่านผู้นี้เป็นบิดา แต่จริงๆ คนนี้ก็คือศัตรูเป็นเพชฌฆาตนั่นเอง

แล้วท่านก็คิดต่อไปว่าเมื่อกรรมหนักเป็นเช่นนี้ ถ้าเรามีความประมาทอยู่ ไม่ทำความดี ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้วกรรมหนักจะซํ้าเติมเราหนักขึ้น อาจจะมีความลำบากยิ่งไปกว่านี้ ถ้ากรรมดีไม่มีสนองเราอาจจะถูกฆ่าตายในระหว่างนี้ก็ได้ ท่านจึงตัดสินใจสละทรัพย์วันละพันกหาปณะหรือวันละพันตำลึงให้ นายมิตตกุฎุมพี เป็นผู้จัดการตั้งโรงทานเลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จากเรื่องนี้จะเห็นว่าการเกิดเป็นคนนี้ บางคนคิดว่าการเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ถ้าคิดดูจริงๆ แล้วความจริงคนจะมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมีความวุ่นวายไม่เท่าคน อย่างท่านโฆษกเป็นคนดีแสนดีเกิดมาชาตินี้ไม่เคยทำอันตรายกับใคร แต่ถูกจองล้างจองผลาญอยู่ตลอดเวลา พวกเราก็เช่นเดียวกัน คิดกันดูให้ดีเราไม่เคยมีความสุขจริง ร่างกายนี้เป็นพิษเป็นภัยกับเราจริงๆ ที่เรามีทุกข์จริงๆ ก็เพราะอาศัยร่างกายอย่างเดียว ทุกข์เพราะความหิว ทุกข์เพราะความกระหาย ทุกข์จากการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากความตายเข้ามาถึงในที่สุด รวมความว่าทุกข์นับไม่ถ้วน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสกับคณะลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรีว่า "เธอจงทำใจให้เข้าถึง อากิญจัญญายตนฌาน ไว้เป็นปกติ คือมีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนเกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น วัตถุธาตุต่างๆ ในที่สุดก็สลายตัวเหมือนกัน ถ้าเราหวังจะยึดโลกนี้เป็นที่พึ่งเราก็ยึดผิด เพราะเราอยู่ได้ไม่นานร่างกายก็สลายตัวคือตาย ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้เธอจะมีความสุขและจะพาเธอเข้าถึงพระนิพพาน"

เป็นอันว่ากรรมที่ท่านโกตุหลิกะทิ้งลูกให้ตายในป่า ก็ต้องมาถูกทอดทิ้งให้เขาจะฆ่าให้ตายถึง ๗ ครั้ง แต่บังเอิญไม่ตายก็เพราะอาศัยที่ตนเคยมีความเคารพรักและเคยช่วยเหลือพระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยที่เกิดเป็นสุนัข เป็นผลให้ท่านได้เป็นมหาเศรษฐี คนเกิดมาในชาตินี้จะได้รับผลกรรมทั้ง ๒ อย่างคือ

เวลาใดกรรมที่เป็นกุศลให้ผล เวลานั้นก็มีความสุข

เวลาใดกรรมที่เป็นอกุศลในชาติก่อนให้ผล เวลานั้นก็มีความทุกข์

ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายพึงทำใจให้สบายว่า ชาตินี้กุศลหรืออกุศลจะให้ผลก็ตามที เราเกิดมาพบศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ท่านสอนให้เรารู้จักให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เราก็ทำทุกอย่างตามที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธประสงค์ อย่างนี้ถ้าตายแล้วอย่างต่ำก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ หรืออาจจะเป็นสวรรค์ชั้นไหนก็ได้ไม่จำกัด อย่างกลางก็ไปพรหมได้ อย่างดีที่สุดก็ไปพระนิพพานได้.."

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:41:30


ความคิดเห็นที่ 548 (1574749)

 เมื่อวานก่อนนอนก็เต้นเพลง

ชวนกันไปสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ครับ

ได้รับพลังและได้รับการบำบัด

สุขภาพแข็งแรง

จิตใจมีความสุข

กราบขอบพระคุณพระพุทธเจ้า

อาจารย์อุบล

และทุกๆพระองค์ครับ  สาธุ

อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 21:46:49


ความคิดเห็นที่ 549 (1574756)

เจ้าคาเรี๊ยส เอ๊ย

ถึงเป็นสัตว์เดียรฉาน

แกก็ไม่จำเป็นที่จะทำตัวเดียรฉานก็ได้

ถึงเลือกเกิดไม่ได้  แต่ก็เลือกที่จะเป็น

และเลือกที่จะไปได้นะ

ถ้าตอนนี้ยังไม่หยุด

ทำชั่ว

ก็คงรู้ละนะว่า

คงเหลือทางนรกเป็นที่ไป

สิ่งที่จะทำได้ทันทีตอนนี้

ก็คือ

หยุด คิดชั่ว ทำชั่ว

ชีวิตคนเรามีหลายทางเลือก

ทำดี

ทำชั่ว

หรือ

อยู่เฉยๆ

ถ้ารู้สึกฝืนทำดีไม่ได้

ก็แค่

หยุดทำชั่วแล้วอยู่เฉยๆก่อนก็ได้

ไม่ต้องพยายามบิ๊ว ตัวเองให้ทำชั่วตลอดหรอกนะ

เอ๊ะ นี่ เจ้าสัตว์เดียรฉาน คาเรี๊ยส

จะเข้าใจมั๊ยเนี่ย

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 22:00:24


ความคิดเห็นที่ 550 (1574760)

น้องเบลล์จ๋า

ขอเรื่อง สัตว์เดียรัจฉาน

ที่มีลำตัวขนานกับพื้นโลก

ด้วยค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 22:13:22


ความคิดเห็นที่ 551 (1574766)

 กรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

กรรมที่เป็นเหตุให้ได้รับผลเป็นความกระเสือกกระสน
ภิกษุ ท
.! สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น.

ภิกษุ ท
.! คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติทำปาณาติบาตหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิตเขากระเสือกกระสนด้วย (กรรมทางกาย กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง)วาจา กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทางใจกายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาคด อุปบัติ (การเข้าถึงภพของเขาคด.

ภิกษุ ท
.! สำหรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากล่าวคติอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาคติสองอย่างแก่เขา คือ เหล่าสัตว์นรก ผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียวหรือว่า สัตว์เดรัจฉานผู้มีกำเนิดกระเสือกกระสน ได้แก่ งู แมลงป่อง ตะขาบพังพอน แมว หนู นกเค้า หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่นที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน.

ภิกษุ ท
.! ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ คืออุปบัติย่อมมีแก่ภูตสัตว์เขาทำกรรมใดไว้ เขาย่อมอุปบัติด้วยกรรมนั้นผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว.

ภิกษุ ท
.! เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ดังนี้.
 
 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 22:23:23


ความคิดเห็นที่ 552 (1574767)

 

 

กรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ถาม – กรรมอะไรที่ทำให้ไปเป็นสัตว์ประเภทต่างๆครับ?


สัตว์ เดรัจฉานเป็นสิ่งจับต้องได้ เราสามารถเห็นพวกมันด้วยตา ฟังเสียงพวกมันด้วยแก้วหู โดยไม่จำเป็นต้องมีตาทิพย์หูทิพย์เสียก่อน ฉะนั้นก็แปลว่าเราสามารถรู้เห็นการรับ ‘ผลกรรม’ มากมายผ่านรูปชีวิตสัตว์อันหลาก


หลายมหาศาลบนโลกใบนี้เอง บางเผ่าพันธุ์เหินไปในเวิ้งอากาศว่าง บางเผ่าพันธุ์แหวกว่ายไปในห้วงน้ำใหญ่ บางเผ่าพันธุ์เอาแต่มุดหัวอยู่ในดินทึบ และหลายเผ่าพันธุ์ก็เคลื่อนไหวอยู่บนผิวโลก รับผัสสะร้อนเย็นต่างกัน มีอัตภาพเล็กใหญ่ล้ำเหลื่อมกัน และสามารถกระทำการผิดแผกกว่ากันวิจิตรพิสดารนัก
แต่สัตว์จะวิจิตรพิสดารปานใด ชนวนเหตุอันนำไปสู่อบายภูมิระดับเดรัจฉานก็ไม่ต่างกันนัก หลักๆได้แก่


๑) มีจิตเศร้าหมองก่อนตาย หมายความว่าไม่ต้องชั่วร้ายมาก ขอแค่จิตเศร้าหมอง หรือพะวงติดข้องอยู่ในความคิดที่เป็นอกุศล ก็เพียงพอแล้วกับการไปถือกำเนิดเป็นสัตว์ เนื่องจากจิตที่เศร้าหมองย่อมขาดกำลังระลึกถึงกุศลผลบุญ ฉะนั้นที่จะให้ไปสู่ภพภูมิที่เจริญคงยาก


๒) ประกอบกรรมชั่วโดยปราศจากความละอาย หมายความว่าชั่วพอประมาณ แต่ยังไม่ทะลุพื้นเดรัจฉานร่วงหล่นลงสู่นรกภูมิ เช่น เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นได้แบบไม่กะพริบตา คดโกงได้หน้าด้านๆ ประกอบกามแบบสำส่อน โป้ปดมดเท็จเอาตัวรอดไว้ก่อน ร่ำสุราจนเมามายโดยขาดความเห็นโทษ อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ ประการนี้ก็เพียงพอกับการลงไปเป็นสัตว์ เนื่องจากจิตที่สกปรกย่อมไม่อาจส่องสว่างคู่ควรกับสุคติได้ จิตที่เศร้าหมองก่อนตายด้วยความเป็นผู้ทุศีลนั้น หนักหนากว่าจิตที่เศร้าหมองเพราะความติดข้องห่วงหน้าพะวงหลังมากนัก


ส่วนที่ว่าจะไปเป็นสหายของหมู่สัตว์ชนิดใด ก็ขึ้นอยู่กับกรรมแยกกรรมย่อยที่แต่ละคนกระทำต่างๆกัน จำแนกโดยคร่าวคือ


๑) จำพวกร่างเล็ก ใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณมากกว่ามีสำนึกคิดอ่านตริตรอง รูปชีวิตแบบนี้ถือกำเนิดด้วยอำนาจกรรมชั่วที่กระทำโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ สักแต่คิดว่าใครๆเขาก็ทำกัน หรือแม้เมื่อทำดีก็ด้วยกำลังใจที่อ่อน ไม่เป็นตัวของตัวเองในการประกอบบุญกุศล ต้องรอคนชักจูงหรือคะยั้นคะยอจริงจังถึงจะยอมทำแบบเสียไม่ได้


๒) จำพวกร่างใหญ่ มีความคิดอ่านหรือสติปัญญาพอตัว มีลักษณะอุปนิสัยแบบมนุษย์ติดอยู่บ้าง รูปชีวิตแบบนี้ถือกำเนิดด้วยอำนาจกรรมชั่วที่กระทำแบบยั้งใจได้บ้าง อยากปรับปรุงนิสัยใจคออยู่บ้าง เสียแต่ว่าแพ้กิเลส ยอมประกอบกรรมชั่วอยู่เนืองๆมากกว่า แต่พวกนี้อาจเคยทำบุญมาดี มีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ต้องผลักดันมากก็คิดทำดีด้วยตนเองบ้าง
ส่วนเกณฑ์โดยคร่าวที่ทำให้ไปเป็นสัตว์ในอัตภาพและสิ่งแวดล้อมต่างๆกันนั้น ได้แก่


๑) ประเภทที่เลื่อนชั้นจากสัตว์นรกขึ้นไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน พวกนี้ยังเหลือเศษกรรมที่ควรแก่ความแผดเผา อึดอัด หรือเดือดร้อนทรมาน มักไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอันลำบากกันดาร ภูมิประเทศเขตร้อนจัด หรือตกอยู่ในภาวะบีบคั้น น่าอึดอัดคับข้อง น่าตื่นกลัวอยู่เนืองๆ


๒) ประเภทที่เปลี่ยนจากความเป็นสัตว์สู่ความเป็นสัตว์ พวกนี้ยังไม่หมดกรรมระดับเดิม หรือระหว่างมีอัตภาพหนึ่งๆก็ประกอบกรรมซ้ำเติมตนเองเข้าให้อีก ก็ต้องอยู่ในสภาพเดิมๆต่อ เช่นเมื่อถอยลงไปสู่ความเป็นสุนัข ก็อาจติดอาการเห่าเอาเรื่อง ติดกามแบบไม่เลือกหน้าอย่างสุนัข ต้องเป็นสัตว์หน้าขนชนิดเดิมซ้ำซากนับหมื่นชาติ จนกว่าจะมีเหตุให้พัฒนาจิตเลื่อนภูมิไปเป็นสัตว์อื่นที่สบายขึ้น หรือไม่ก็ลดระดับตกต่ำย่ำแย่ลง เช่นพวกมีสันดานชอบความรุนแรงมักเสี่ยงต่อการไหลสู่เหวนรกมากกว่าอยู่กับที่


๓) ประเภทที่ลดชั้นจากเปรตลงมาเป็นสัตว์ พวกนี้เคยสูงกว่าเดรัจฉาน แต่ยังไม่สามารถระลึกถึงกุศล หรือยังไม่มีกุศลในอดีตมาช่วยเลื่อนชั้นให้ไปเป็นมนุษย์ พอจะตายจิตอาจเศร้าหมองจนต้องตกต่ำไปเป็นสัตว์ ซึ่งจะสบายหรือลำบากก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่สร้างไว้เมื่อครั้งมีโอกาสเป็น มนุษย์ หากมีบุญหนุนอยู่บ้างก็จะลงไปเป็นพวกที่มีสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้น แต่หากไม่มีบุญหนุนเลย มีแต่บาปถีบหัวส่ง ก็ต้องไปเป็นพวกที่โงหัวลืมตาอ้าปากยากหน่อย


๔) ประเภทที่ลดชั้นจากมนุษย์ลงมาเป็นสัตว์ พวกนี้โดยรวมคือเป็นคนประเภททำตัวตกต่ำจนหลุดระดับชั้นของความเป็นมนุษย์ คือขาดความละอายต่อบาปซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสุคติภูมิ แต่เมื่อพลาดไปเป็นสัตว์แล้วก็อาจจะยังมีความใกล้เคียงกับครั้งเป็นมนุษย์ อยู่ คือเคยมีนิสัยหลักๆอย่างไร ก็ไปเป็นสัตว์ที่แสดงออกซึ่งนิสัยนั้นๆเด่นชัด เช่นจองหองพองขน ชอบก่อเรื่อง น้อยใจเก่ง หรือขี้ระแวง แมวบางตัวหน้าตาขี้โกงและหวาดระแวงก็เพราะครั้งเป็นมนุษย์นั้นชอบเอารัดเอา เปรียบ มีความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัวจัด จนกลายเป็นผลให้ขี้ระแวงลุกลี้ลุกลน กลัวใครจะมาทำอะไรตนตั้งแต่ยังเล็กๆ


๕) ประเภทที่ลดชั้นจากเทวดาหรือพรหมลงมาเป็นสัตว์ พวกที่ตกร่วงข้ามขั้นจากสภาพทิพย์มาอยู่ในสภาพหยาบนั้น มักมีเหตุอกุศลในอดีตมาบีบคั้น ไม่ค่อยจะใช่พวกทำบาปหนักระหว่างอยู่ในพิมานแมน จัดเป็นของหายากประมาณหนึ่งในแสนหรือหนึ่งในล้าน แต่เมื่อเป็นสัตว์ก็จะมีส่วนของบุญเก่าเกื้อหนุนให้มีลักษณะเลอเลิศหรือมี ความสุขสบายเกินผองเพื่อน เช่นเป็นหมาหรือแมวน่ารัก เป็นสุดพิศวาสขาดใจของเหล่าเศรษฐีซึ่งยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูแสนแพงยิ่งกว่า เลี้ยงดูคน สภาพถูกปรนเปรอเกินสัตว์มักทำให้เย่อหยิ่งเกินสัตว์ไปด้วย แต่ความเย่อหยิ่งนั้นก็มักผูกพวกมันไว้กับความเป็นสัตว์อีกหลายครั้ง เว้นแต่พวกที่เคยอบรมตนให้อ่อนน้อม ไร้ทิฐิ และมีสำนึกคิดอ่านในทางถ่อมตัวมามาก ก็จะไม่เย่อหยิ่งขนาดผูกไว้กับภาวะของสัตว์ได้นานนัก
สำหรับกรรมที่ทำให้ไปเป็นสหายของเหล่าเดรัจฉานนั้น แม้คนธรรมดาที่ไร้ตาทิพย์ทั่วไปก็อาจอนุมานจากความรู้สึกของตัวเองได้คร่าวๆ เพราะ มนุษย์เป็นภูมิที่อยู่สูงกว่าสัตว์ จึงสามารถเลียนแบบลักษณะของความเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งๆได้ด้วยความเข้าใจ ประเมินหรือประมาณจากใจได้ว่าความเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆเข้ากันกับความรู้สึก นึกคิดแบบไหน ยกตัวอย่างสักเล็กน้อย เช่น


๑) ลองยืดคางลงต่ำ ห่อปากทำหน้าเหมือนลิง จะรู้สึกถึงคำว่า ‘ลิงหลอกเจ้า’ ใจจะคล้อยไปทางชอบล้อเลียน ชอบเย้ยหยัน ชอบปลิ้นปล้อน ชอบซุกซน
๒) ลองทำตาดุร้ายและแยกเขี้ยวคำราม จะรู้สึกถึงคำว่า ‘ดุเหมือนเสือ’ ใจจะคล้อยไปทางชอบแสดงความโกรธ ชอบแสดงอำนาจข่มขวัญ ชอบใช้เขี้ยวเล็บในการทำร้าย


๓) ลองทำเสียงโฮ้งๆดังๆ จะรู้สึกถึงคำว่า ‘เห่าเหมือนหมา’ ใจจะคล้อยไปทางชอบบ๊งเบ๊ง ชอบทะเลาะเบาะแว้งอย่างไร้เหตุผล ชอบขู่มากกว่ากัดจริง ชอบลอบกัดศัตรูจากข้างหลัง
๔) ลองทำท่าเสือกคลานไปโดยไม่ใช้แขนขา จะรู้สึกถึงคำว่า ‘เกียจคร้านเหมือนงูเหลือม’ ใจจะคล้อยไปทางชอบนอนกองอยู่กับที่ ชอบสวาปามให้อิ่มใหญ่ๆแล้วพักยาว


อกุศลกรรมที่ทำๆไปทุกวันนั้น อาจรวมลงเป็นความชอบใจเข้าข่ายอาการแบบใดแบบหนึ่งในตัวอย่างข้างต้น จิตใจเป็นอย่างไรก็กระเดียดไปมีพฤติกรรมแบบนั้นๆ และยึดภพแห่งความเป็นเช่นนั้นไว้ แต่ตัวอย่างแค่ ๓-๔ ชนิดข้างต้นนี้น้อยเกินไปหน่อยครับ สัตว์มีเป็นแสนเหล่า แต่ละเหล่าอาจแยกย่อยได้เป็นร้อยสายพันธุ์ ลักษณะนิสัยแบบใดแบบหนึ่งมิใช่เกณฑ์ตายตัวให้ต้องอยู่ในภพจำเพาะเจาะจงเสมอ ไป เช่นตอนเป็นมนุษย์ชอบขู่ตะคอกให้คนอื่นกลัว ตายไปอาจไม่เป็นเสือในป่า เพราะวาสนาที่แท้อาจเป็นได้แค่ร็อตไวเล่อร์ที่ชอบกัดเด็กก็ได้


เมื่อเป็นสัตว์แล้ว แต่ละประเภท แต่ละเผ่าพันธุ์ก็มีสิทธิ์พัฒนาที่แตกต่างกัน การที่ได้มีโอกาสเกิดเป็นสัตว์เลี้ยงของคนมีบุญนั้น เป็นโอกาสใกล้ที่สุดที่จะยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น โดยอาจไปเป็นเปรตประเภทที่มีความสบายมากกว่าความลำบาก หรือถ้ามีวาสนาพอจะไปอยู่ในวัดที่มีพระผู้ทรงศีลให้ความเมตตาเป็นพิเศษ ก็อาจได้สปริงบอร์ดกระดกขึ้นมาเป็นมนุษย์ไปเลย
อย่างไรก็ตาม การอยู่ใกล้คนมีบุญไม่ประกันความปลอดภัยเสมอไป ตรงข้าม หากบันดาลโทสะเผลอทำร้ายมนุษย์ผู้เลี้ยงดู ก็อาจกลายเป็นเงาดำใหญ่ติดตัว ให้ผลแบบเฉียบพลัน เช่นถูกสัตว์ด้วยกันทำร้ายสาหัสแทบจะทันที กับทั้งอาจส่งผลระยะยาว เช่นขณะตายจะเป็นไข้ทรมาน ทำให้จิตปั่นป่วนและตกร่วงลงไปสู่ภพที่ยิ่งย่ำแย่หนักกว่าเก่าได้


คนเราคิดอะไรบ่อยๆ จิตก็ถูกปรุงแต่งให้เป็นดีเป็นร้ายตามนั้น อยู่ๆจิตไม่ได้เข้าไปอยู่ในภพสูงหรือภพต่ำโดยบังเอิญ แต่บางทีนึกว่าผิดเล็กผิดน้อยนิดเดียว ประมาทว่าคงไม่เป็นไร หารู้ไม่ว่าเมื่อสั่งสมจนเคยชินและกลายเป็นนิสัยติดตัวแล้ว ก็อาจรวมเข้าเป็นกรรมหนัก ให้ผลขนาดกำหนดทิศทางไปสู่ความเป็นสัตว์ได้


การทำทานสละความตระหนี่ มีแก่ใจรักษาศีลชำระความสกปรก ไม่หมกตัวอยู่กับอบายมุข และเหนือกว่านั้นคือมีจิตคิดเมตตา เจริญปัญญาเห็นความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นทั้งปวง จะเป็นประกันให้รู้สึกอุ่นใจออกมาจากข้างใน ว่าเราห่างไกลจากสภาพจิตแบบสัตว์มากแล้ว นั่นแหละครับ ประเสริฐสุด เพราะหากพลาดพลั้งถอยหลังเข้าคลองแล้ว โอกาสกลับขึ้นมาเสวยสุขแบบมนุษย์ใหม่ช่างยากเย็นเข็ญใจเหลือประมาณ


------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณ
http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare020.htm

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 22:26:58


ความคิดเห็นที่ 553 (1574770)

  กรรมที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ

 

 

 

กำเนิดเป็นกวาง เก้ง


 

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบหลงมัวเมาในเรือนร่างสัดส่วน อันน่ารัก น่าใคร่ น่าหลงใหลติดใจ พึงพอใจในการขายเนื้อขายตัว มักมากในกามารมณ์ มั่วกามเคล้าโลกีย์อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน หาเงินมาโดยมิชอบ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นพวกเนื้อ เก้ง กวาง ละมั่ง อาศัยอยู่ในป่าลึก ถูกมนุษย์ตามล่ามาบริโภค ชดใช้หนี้กรรมตามจริงนิสัยเดิมที่ตนได้ก่อไว้แต่ชาติปางก่อน

 

ยังมีสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพื่อให้เรื่องสั้นกระชับ จึงให้ข้อสังเกตว่าสัตว์เดรัจฉานส่วนมากพ้นออกมาจากนรก เปรต อสุรกาย แล้วมาชดใช้เศษกรรมเล็กๆ น้อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมเก่า มีสัตว์หลายชนิดเมื่อเสวยกรรมเก่าหมดแล้วก็อาจไปเกิดในสวรรค์ หรือเป็นมนุษย์ต่อไปได้ เช่น สุนัข ลิง แมว ปลา นก เป็นต้น แต่ขึ้นชื่อว่ากุศลธรรมและอกุศลธรรมแล้ว ทำไว้อย่างไร

 

ก็ย่อมได้รับอย่างนั้น เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

 

แต่หากท่านบำเพ็ญจิตจนทำลายอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฐิ สังโยชน์ ได้หมดสิ้นแล้ว กุศลและอกุศลก็ติดตามส่งผลให้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะกรรมใดๆ ที่ยังไม่ได้เสวยก็จะเป็นอโหสิกรรมไปทันที


กำเนิดเป็น สุนัข สุนัขจิ้งจอก

 

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในทรัพย์สมบัติ ลูกเมียสามี เฝ้าห่วงหวงอย่างยึดมั่นถือมั่น เยื่อใยตัดไม่ขาดอาลัยอาวรณ์ในบ้านที่ดิน เรียกค่าคุ้มครอง หลอกต้ม ข่มเหงคน ค้าประเวณี รับราชการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ลักเล็กขโมยน้อย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นสุนัข บ้างก็มาเฝ้าสมบัติลูกเมียสามี บ้างก็คอยเป็นยามเฝ้าระวังภัยคอยเห่าหอนให้เจ้านายด้วยความซื่อสัตย์สุจริต บ้างก็เกิดเป็นหมาขี้เรื้อนเพื่อชดใช้หนี้กรรมของตนในชาติปางก่อน


 

 

กำเนิดเป็นปลาต่าง ๆ

 

 

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ ชอบสอดรู้สอดเห็น พูดจาปลิ้นปล้น หลอกลวงให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อ วางแผนให้ผู้คนหลงเดินทางผิดจนต้องพบกับมุมอับ พูดเสียดสีให้ผู้อื่นเป็นทุกข์เสียใจ ใช้ปากพูดหว่านล้อมจูงใจโน้มน้าวให้คนมาติดกับที่ตนวางไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยให้มาเกิดเป็นปลา รับทุกข์อยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บในแหล่งน้ำ หลงทางเข้าไปติดกับ ติดแห  ติดอวน จึงเป็นไปตามกรรมที่ก่อไว้ทุกประการ

 


 

กำเนิดเป็นนกต่าง ๆ

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงใหลมัวเมาในการร้องรำทำเพลง แสดงละคร ลำตัด หมอรำ วงดนตรี การละเล่นต่างๆ เพลิดเพลิน อยู่กับเครื่องประดับตกแต่งที่สวยสดงดงาม แต่งหน้าทาปาก สร้างวจีกรรมมากมายได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด นินทา พูดเพ้อเจ้อ ประพฤติผิดศีลเป็นชู้กับคู่ครองผู้อื่น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเป็นนกต่างๆที่ชอบร้องรำทำเพลง ชอบตกแต่งขนให้มีสีสรรต่างๆ สวยงามตามนิสัยเดิม


 

กำเนิดเป็นโคเนื้อ โคนม

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในรูปร่างสัดส่วนอันสวยงาม ใช้เรือนร่างเป็นเครื่องยั่วยุคนให้หลงตัณหาราคะ แสดงหนังลามกทำลายศีลธรรม เริงระบำรำฟ้อนเปลือยอกเปลือยกายเป็นการค้า มีลูกไม่เอาใจใส่เลี้ยงดู ไม่ให้ลูกดื่มนมตนเองเพราะเกรงว่าจะเป็นทรงหย่อนยาน จึงเป็นเหตุปัจจัยมาเกิดเป็นโคนม อุทิศน้ำนมให้กับทารกชาวบ้านได้ดื่มกิน และโคเนื้อถูกคนฆ่าเอาเนื้อเป็นอาหารตามจริงนิสัยเดิมที่ชอบขายเนื้อขายตัว


กำเนิดเป็นแมลงวัน

 

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ซอบคลุกคลี หมกมุ่นอยู่กับแหล่งบันเทิง บาร์ ไนท์คลับ สถานเริงรมย์ คาราโอเกะมั่วสุมอยู่กับแหล่งอบายมุข แหล่งยาเสพติด แหล่งการพนัน ซึ่งเป็นแหล่งไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ไม่ชอบธรรมและมักเป็นแหล่งประกอบอกุศลธรรมต่างๆ จึงเป็นปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นแมลงวัน ที่ชอบอยู่กินกับแหล่งสกปรกตามจริตสันดานเดิมของตน



 

กำเนิดเป็นแมลงผึ้งต่าง ๆ

 

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบหลงใหล ดื่มด่ำ เพลิดเพลินในการประดับตกแต่งร่างกายให้มีสีสรรสวยสดงดงาม ด้วยความพึงพอใจ ติดใจในรสหวานมันแห่งกามโลกีย์ จึงเป็นเหตุให้มาถือกำเนิดเป็นแมลงผึ้ง ผู้มีตาพึงพอใจในสีสรรของดอกไม้นานาพรรณ และมีลิ้นชอบรสหวานมันตามจริงนิสัยเดิมของตน



กำเนิดเป็นงูเหลือม

 

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจ ความมีทรัพย์สมบัติมาก ขณะกำลังจะตายจิตใจก็ยังพะวง เป็นห่วงอาลัย ไม่ยอมลดละปล่อยวาง ยังยึดมั่นถือมั่นอย่างมัวเมา จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นงูเหลือมใหญ่ มีอำนาจ มีกำลัง ขอบม้วนตัวยึดเกาะ ขดตัวเป็นวงกลมอยู่นานๆ ไม่ยอมคลายตัวออกง่ายๆ ตามจริตนิสัยที่มีความยึดมั่นถือมั่นไม่ยอมคลายละปล่อยวาง



กำเนิดเป็นหนู

 

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการประกอบอาชีพผิดกฏหมาย เช่น ค้ายาบ้า ยาเสพติด เล่นการพนัน แมงดาหากินกับหญิงโสเภณี มือปืน นักเลงอันธพาล ลักเล็กขโมยน้อย จี้ปล้น ค้าอาวุธเถื่อน ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของตำรวจ ผู้คนเหล่านี้จึงต้องหลบซ่อนตัวเองอยู่ในที่มิดชิดตลอดเวลา จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องถือกำเนิดเป็นหนู คอยแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามรู ตามของที่มิดชิด พ้นภัยจากแมว นก งู และมนุษย์ตามจริตสันดานเดิม



กำเนิดเป็นมด

 

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบใจ พอใจ ดื่มด่ำ มัวเมาอยู่ในกลิ่นคาวโลกีย์ รสโลกีย์ ติดใจในกามารมณ์ ดุด่าเฆี่ยนตี ฆ่าพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ สร้างบาปกรรมไว้มากมายถึงขั้นอนันตริยกรรม เมื่อตายแล้วจึงลงไปใช้กรรมในเมืองนรก วิญญาณถูกตีกลายเป็นเศษวิญญาณ แล้วจึงมาเกิดเป็นมดเพื่อชดใช้กรรมที่ก่อไว้ในอดีตชาติ



กำเนิดเป็นกระแต

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน แล้วนำเรื่องไปพูดต่อให้เสื่อมเสีย เสียหาย เป็นที่อับอายขายหน้าของผู้คนมากมาย เป็นคนชอบพูดแต่เรื่องเสียๆ หายๆ ของคนอื่น ส่วนเรื่องที่ดีๆ มีสาระประโยชน์กลับไม่สนใจ

 

 

 

 กำเนิดเป็นแมว

          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในตำแหน่ง ไม่ทำหน้าที่ของตนในการจับโจรผู้ร้ายหรือผู้กระทำความผิด ไม่ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ชาวประชาอยู่เย็นเป็นสุข แต่กลับเอาหน้าที่มาบังหน้า มาหากิน ใช้ตำแหน่งมาเบ่ง มาข่มเหง รีดไถเรียกค่าคุ้มครอง ทุจริตประพฤติมิชอบสารพัด จึงเป็นอกุศลกรรมนำพาให้ไปเกิดเป็นแมว เข้าจับหนูอันเป็นโจรผู้ร้ายตัวสำคัญในสมัยเป็นมนุษย์ ให้เหมาะกับกรรมเก่าที่ได้ก่อเอาไว้



กำเนิดเป็นเต่า

          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ เคยเป็นนักบวชผู้ทรงศีล แต่ขาดความสำรวมในศีลวินัย ด้วยประพฤติตนไม่เหมาะสม ละโมบโลภมากในลาภสักการะ โกงเครื่องราช มั่วสีกา เอาของส่วนรวมมาเป็นส่วนตัว จนเป็นที่ติเตียนของชาวบ้าน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นเต่าอยู่ในกระดอง คอยระมัดระวัง รูป เสียง กลิ่น รู้สึกสัมผัส เพื่อฝึกความสำรวม และเนื่องจากสมัยเป็นนักบวช ไม่ฆ่าไม่ตัดรอนอายุของมนุษย์และสัตว์ จึงทำให้เต่ามีอายุยืนยาว



กำเนิดเป็นสุกร


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาพอใจในการทุจริตต่างๆ นานา ด้วยเล่ห์เพทุบายอย่างขูดเนื้อถอนขน ต้มตุ๋นหลอกลวง กดราคา สินค้าอย่างทารุณ ย้อมแมวขายเพียงเพื่อให้ได้ปัจจัย 4 มาปรนเปรอตนเองให้กินอิ่ม นอนหลับอย่างสุขสำราญ ปรนเปรอกามคุณที่ได้มาอย่างสกปรกผิดศีลธรรม จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มากำเนิดเป็นสุกร กินอาหารที่ไม่สะอาด ถูกจับตอน สุดท้ายยังต้องถูกฆ่าเพื่อสังเวยเลือด เนื้อ ตับ ไต ไส้พุง ฯลฯ ชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้


กำเนิดเป็นไส้เดือน


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ไม่รู้จักบุญคุณต่อซาติบ้านเมืองกระทำตัวเป็นไส้ศึก กบฏ สายลับ สายสืบหรือเป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับฝ่ายศัตรู เป็นคนบ่อนทำลายประเทศชาติ เป็นคนขายชาติขายแผ่นดิน จึงทำให้เป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นไส้เดือน ไม่มีตา เพราะไม่เห็นคุณประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ต้องเกิดมากินดินเป็นอาหารตามจริตสันดานที่เคยประพฤติบ่อนทำลายชาติมาแต่ ชาติปางก่อนจนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมเก่าให้หมดสิ้น



กำเนิดเป็น ยุง ริ้น ปลิง ทากดูดเลือด


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบขูดรีด กินเลือดกินเนื้อ สูบเลือดสูบเนื้อคนยากคนจน ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงทุจริตต่าง ๆ มากมาย ชอบเบียดเบียน ให้ทุกข์ให้โทษแก่ผู้คนด้วยความโกรธ ความแค้น ความอาฆาต จึงทำให้ไปเกิดในนรก หลังจากนั้นแล้วก็มาถือกำเนิดเป็นยุง ริ้น ปลิง ทาก ตัวเลือดตามสันดานเดิม ด้วยการคอยแต่จะดูดกินเลือดผู้คนอีกตามเคย


 


กำเนิดเป็นจระเข้


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลสหลงมัวเมา เห็นแก่ปากแก่ท้องแล้วประกอบอกุศลกรรม ทุจริตผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ด้วยความละโมบโลภมาก เพื่อปากท้องของตนอิ่มหนำสำราญ ไม่ว่าจะใช้ปากพูดอย่างร้ายกาจขนาดไหนก็ตาม เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ จึงทำให้ต้องเกิดมาเป็นจระเข้ปากใหญ่ ท้องใหญ่ ดุร้ายน่ากลัวตามจริงนิสัยเดิม


กำเนิดเป็นช้าง


          สัตว์บกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสมัยเป็นมนุษย์มีโมหะกิเลส หลงมัวเมาในตัวเองว่า เป็นลูกผู้ยิ่งใหญ่เกิดในตระกูลผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ มีความเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองไม่มีใครเปรียบเทียบได้ แล้วประกอบอกุศลกรรมอัปรีย์ไว้แก่ผู้คนมากมาย จนต้องไปชดใช้หนี้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย แต่เศษกรรมเก่าก็ยังไม่หมดสิ้นจากกายและใจ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นช้างตัวใหญ่ๆ สมใจ

 


กำเนิดเป็น กระทิง แรด


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการต่อสู้ต่างๆ ชอบยุยงให้ผู้คนทะเลาะกัน ให้สัตว์ตีกัน ทำร้ายกัน ด้วยเห็นเป็นเกมส์กีฬาอย่างสนุกสนาน เช่น ชนไก่ ชนแพะ ชนวัว ฯลฯ บ้างเป็นนักเลงโต เที่ยวเกะกะระราน สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คน จึงเป็นเหตุให้ต้องไปเกิดเป็นแรด กระทิง เอาหัวไล่ชนกันอย่างเมามัน เพื่อให้ผู้คนดูเป็นเกมส์กีฬาอย่างสนุกสนาน สมกับที่ตนได้เคยทำไว้ในอดีตชาติ



กำเนิดเป็น ลิง ชะนี


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการต้มตุ๋นหลอกลวง ปลิ้นปล้น ตลบแตลง แหกตาชาวบ้าน ชอบมือไวใจเร็ว ลักเล็กขโมยน้อย ฉกชิงวิ่งราว ปีนป่ายเพื่อลักขโมยทรัพย์สิ่งของ รับซื้อของโจร อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ร่อนเร่พเนจรไปตามอาชีพ จึงเป็นอกุศลกรรมให้มาเกิดเป็นลิง ค่าง ชะนี ที่มีมือไม้ไว หน่วยก้านดีในการปีนป่ายต้นไม้ตามจริงนิสัยเดิมแต่ชาติปางก่อน



กำเนิดเป็นอสรพิษ


          งูเห่า งูจงอาง งูแมวเซา งูกะปะ งู สามเหลี่ยม เป็นต้น ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการพูดจาให้ร้ายผู้คนให้เจ็บใจ ให้เจ็บปวด ให้เสียใจทุกข์ทรมานจนถึงตรอมใจตาย บ้างฆ่าตัวตายไปก็มี บ้างก็พูดให้เขาทะเลาะวิวาทกันจนถึงต้องทุบตีทำร้ายกันจนบาดเจ็บ บ้างล้มตายไปก็มี เพราประกอบอกุศลธรรมทางวาจาที่ร้ายกาจนี้ จึงเป็นปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นอสรพิษ ปากร้าย ปากมีพิษตามจริตสันดานเดิมในชาติปางก่อน



กำเนิดเป็น เป็ด ไก่ ห่าน

          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการทุจริตด้วยการต้มตุ๋นหลอกลวง ปล่อยเงินกู้คิดดอกเบี้ยอย่างหน้าเลือด อารมณ์ดุร้ายด่าพ่อล่อแม่ ใช้ปากในทางเสื่อมเสีย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นไก่ขันรับอรุณ ชาติก่อนรีดไถชาวบ้าน ชาตินี้ต้องใช้กรรมเกิดเป็นไก่ฟาร์ม เป็นอาหารตอบแทนเขา พวกที่กินดอกเบี้ยอย่างน่าเลือดก็เกิดเป็นแม่เป็ด แม่ไก่ ออกไข่มาให้มนุษย์กินชดใช้ดอกเบี้ยหน้าเลือดของตน



กำเนิดเป็น แพะ แกะ

          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการฉ้อโกงโดยหาผลประโยชน์บนความทุกข์ของผู้อื่น ฉวยโอกาสปล่อยเงินกู้คิดดอกเบี้ยแพงๆ ทุจริตยักยอกเงิน กินงบประมาณ ขายของปลอมให้คนอื่นหลงดีใจว่าได้ของดีราคาแพง ด้วยแรงอกุศลกรรมจึงมาถือกำเนิดเป็นแพะ ถูกคนฆ่ากินเลือดเนื้อ ถูกรีดนมชดใช้ชำระหนี้มนุษย์ และกำเนิดเป็นแกะที่ถูกเลี้ยงไว้ตัดขน ในที่สุดก็ถูกฆ่ากินเนื้อเพื่อชำระหนี้ผู้คนที่ตนเคยฉ้อโกงเขามาก่อน



กำเนิดเป็น วัว ควาย

          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการเอารัดเอาเปรียบ เป็นนายจ้างที่ขึ้นชื่อว่าทำนาบนหลังคน ทุจริตในการค้า โกงตาชั่ง หลอกลวงทรัพย์สินชาวบ้าน ล้มแชร์ กู้หนี้ยืมสินแล้วไม่ใช้คืน ซื้อขายไม่ยุติธรรม จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นวัว ควาย ถูกใช้แรงงานและถูกฆ่าเอาเนื้อเอาหนังเพื่อชดเชยชดใช้หนี้กรรมของตนที่ก่อ ไว้



กำเนิดเป็นเสือ


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลส มัวเมาในนิสัยนักเลงอันธพาล เป็นผู้ร้ายต่างๆ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงถูกผู้คนตั้งฉายาว่า “ไอ้เสือดำ” “ไอ้เสือลาย” “ไอ้เสือเหลือง” “ไอ้เสือโคร่ง” เมื่อประกอบอกุศลกรรมต่างๆ มากมาย หลังจากตายไปแล้วก็ต้องไปชดใช้หนี้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย แต่เศษกรรมก็ยังไม่หมดสิ้นยังติดกายติดใจอยู่อีก ก็บันดาลให้มาเกิดในตระกูลเสือร้ายต่างๆ ตามสันดานเดิม



กำเนิดเป็นราชสีห์


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลสมาก หลงมัวเมาในอำนาจความเป็นใหญ่ ปรารถนาเป็นมหาราช เป็นจักรพรรดิ แล้วประกอบอกุศลธรรมอันเป็นบาปเป็นโทษเพียงเพื่อให้ได้เป็นใหญ่ โดยไม่ละอายเกรงกลัวบาปกรรมโดๆ หลังจากตายแล้วจึงไปชดใช้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย ก็ยังไม่หมดสิ้นบาปกรรม ก็ต้องมาชดใช้เศษอกุศลกรรมโดยถือกำเนิดเป็นราชสีห์ ซึ่งสัตว์ป่านานาชนิดเกรงกลัวตามจริงนิสัยที่เคยเป็นผู้บ้าอำนาจมาแล้วจากอดีตชาติ


กำเนิดเป็นกระรอก


          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจชอบใจ ชอบชี้แนะ ชี้ช่องทาง ( ชี้โพรงให้กระรอก ) ให้ผู้อื่นทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างผิดๆ ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ให้ทุกข์ให้โทษแก่ผู้อื่น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้กำเนิดเป็นกระรอก ต้องอาศัยโพรงไม้ต่างๆ เป็นที่อยู่ และมักต้องประสบภัยอันตรายจากงู นก มนุษย์ และสัตว์อื่นๆ คอยทำลายเอาชีวิตจึงอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขด้วยแรงกรรมเก่าในชาติก่อนๆ นั่นเอง

 

 

กำเนิดเป็นหนอน

          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจสกปรก เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ แล้วมักประกอบอกุศลกรรม เช่น ทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆ อันผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ทุจริตในกิจการป่าช้าเผาผี ทุจริตในวงการศาสนา ทุจริตในวงราชการ ประกอบมิจฉาชีพ ค้าหญิงบริการ ฯลฯ ซึ่งได้ปัจจัยมาบริโภคด้วยความสกปรกเน่าเหม็น จึงเป็นเหตุบันดาลให้ต้องมาถือกำเนิดเป็นหนอนจมอยู่ในคูถ กินของสกปรกเน่าเหม็นตามจริตสันดานของตนในอดีตที่ทำไว้


 

กำเนิดเป็นปลวก

          ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจไม่เห็นคุณค่า คุณประโยชน์ของต้นไม้ ป่าไม้ คิดแต่จะตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำไม้มาขาย และบุกรุกที่ดินโดยไม่เห็นโทษภัยอันตรายอันเกิดจากการทำลายต้นไม้ ป่าไม้ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นปลวก ตามจริงนิสัยที่ชอบทำลายต้นไม้ ป่าไม้ ต้องกินไม้เป็นอาหารจนกว่าจะใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้น

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 22:44:04


ความคิดเห็นที่ 554 (1574773)

 

ขอเล่าเรื่องกฏแห่งกรรมที่ทำให้เกิดเป็นสุนัข พอยกเป็นตัวอย่าง ตามที่เคยได้ทราบด้วยมโนยิทธิ ดังนี้ครับ 

----------------------------------------------------------------------

1. สุนัขบ้าน อยู่ตัวหนึ่ง ถามท่านถึงอดีตสมัยเป็นมนุษย์ด้วยกรรมอะไร 


..ท่านสงเคราะห์ให้เห็น สุนัขตัวนี้ เคยเกิดในสมัยร. 4 เป็นมหาดเล็กในวัง เป็นพวกประจบประแจง ตอแหล 2 หน้า ชอบใช้อำนาจตน เห็นผู้หญิงลูกเมียใคร ถูกใจจะนำมาบำเรอตน ผิดศีลกาเมฯเป็นนิจ บั้นปลาย ตายเพราะถูกวางยา เนื่องเพราะมีคน(บ่าวไพร่) แค้นใจมาก ยอมสละชีวิต วางยาให้ตาย ตายอายุประมาณ 50 กว่าปีเอง จากนั้นก็ใช้กรรมมาเรื่อยๆ หากตายจากชาตินี้ ยังต้องเกิดเป็นสุนัขอย่างน้อยอีก 7 ชาติ จึงจะได้พิพากษาจากท่านลุงพญายมราช 

 

(อ.เมืองบัว ตอบเสริม = ปกติคนๆนี้จะต้องตก อเวจีฯ แต่ด้วยตายโหง แล้วได้โมทนาบุญที่เป็นสาธารณะ กำลังบุญส่งผลน้อย และกรรมมาก) พฤติกรรมของหมาตัวนี้แย่มาก เพราะสันดานเก่า เลี้ยงไม่สร้างประโยชน์ แต่ที่ได้เกิดอยู่ในบ้านคน เพราะเคยช่วยเหลือคนไว้บ้างพอควร.. 

-----------------------------------------------------------------------

2. สุนัขข้างถนน 

..ท่านสงเคราะห์ให้เห็น ชายรูปร่างกำยำ ชอบทำลายความบริสุทธิ์ของหญิงสาว ขืนใจสตรีเป็นอาจิณ เป็นแมงดาคุมซ่อง ไม่มีศาสนา ใจหยาบกระด้าง ไร้ศีลธรรม ตายเพราะเหตุว่า ครั้งหนึ่งหลงเสนห์สาวในซ่องตัวนั้น จนหญิงใช้อุบายให้ทะเลาะกัน โดยยุให้ชายลูกค้าที่มาติดพันอีกคน กำจัดคนคุมซ่องคนนี้เสีย 

 

--------------------------------------------------------------------


3. ญาติรับสุนัขของเพื่อนมาช่วยเลี้ยงระยะหนึ่ง 

.สมัยก่อน นานพอควร ยุคต้นๆ โน้น ก่อนสุโขทัยหน่อย เกิดเป็นเจ้า เป็นคนดีมีเมตตา มีข้าทาสบริวารมาก มีเมียเยอะ เป็นคนรักเมียดี(ทุกคน) เหตุเพราะตอนตาย(ตายอายุ 60 กว่าๆ ) เป็นไข้ป่าตาย ทุรนทุราย จิตไม่ตั้งอยู่ในความดี คือไม่ระลึกสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล จิตกังวลกลัวตายและห่วงแต่พวกบรรดาเมียๆ ทั้งหลาย เมื่อจิตเศร้าหมอง ตายจึงไปอบายภูมิ ใช้กรรมในนรกชั่วระยะเวลาหนึ่ง (กรรมปาณา เพราะต้องสั่งฆ่าคนกับคุมสงครามปราบเมืองแข็งข้อ) ขนาดตอนพิพากษาหลังจากใช้กรรมในนรกเสร็จ ใจยังไม่ปล่อยวาง ยึดติดสมบัติและห่วงแต่เมีย (เพราะรักมากเกินไป) จึงต้องเริ่มใช้กรรมที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน เริ่มจากวัวก่อน(เศษกรรมเรื่องโกงของแผ่นดิน และจิตห่วงสมบัติ) และเป็นสุนัข(เศษมีเมียหลายคน ยึดติดเมีย หนักตัณหา) เริ่มเป็นสุนัขมาตั้งแต่สมัย ร.2 มาบัดนี้ ตายจากชาตินี้ก็เหลืออีกไม่กี่ชาติ ก็จะพ้นกรรมแล้ว จะได้ไปเกิดเป็นคน.. 

กรรมหนักมาก ยังต้องใช้กรรมอีกนาน เหตุที่เป็นสุนัขจรจัด เพราะขาดกุศลในการสงเคราะห์ผู้อื่น มีแต่ทำลายคนอื่น เหตุที่เป็นขี้เรื้อน เพราะทำร้ายทรมานร่างกายหญิงสาว ประกอบกับด่าว่าผู้มีศีลมีธรรมเป็นนิจ.. 

 

 

..เหตุที่ญาติได้เลี้ยงเค้าสักระยะหนึ่ง เพราะในชาติก่อนนั้น เค้าเคยสงเคราะห์ดูแลชั่วระยะเวลาหนึ่ง(เหมือนมาขอแวะพักเมืองเค้าสักระยะ) ด้วยกุศลอันนั้นเธอจึงต้องสงเคราะห์เค้ากลับ และที่เพื่อนได้เป็นเจ้าของนั้น เพราะชาตินั้นเคยเป็นคนของเค้ามาก่อน (เป็นน้อง) อาศัยเค้าเลี้ยงดูสงเคราะห์ดี ชาตินี้จึงต้องเลี้ยงเค้ากลับ สังเกตดูได้ว่าจะรักกันดีมาก ทั้งเจ้าของและเจ้าตัวลูกหมานะ ถูกชะตาและเชื่อฟังกันดีสุนัขตัวนี้มารยาทดี สอนง่าย ฟังรู้เรื่อง.. 

-----------------------------------------------------------------------

..ขอให้พิจารณาด้วยปัญญาครับ ศีลควรรักษาให้ครบ อย่าประมาทนะครับ.. 

-----------------------------------------------------------------------

 โดย ลูกพระ [5 พ.ค. 2546 , 11:18:17 น.]

จาก  http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008757.htm

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 22:48:21


ความคิดเห็นที่ 555 (1574776)
 สารจากยมบาล

          ผู้ คนอย่าดูเพียงชาตินี้ชาติเดียว ควรพิจารณาว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ผลที่รับในชาตินี้สืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน ดังนั้นผู้ที่ยากจน หรือมีโรคมากก็จงอย่าโทษฟ้าดินหรือคนอื่น ควรรีบสร้างบุญสร้างกุศล ผู้ที่มีบุญวาสนาก็ยิ่งต้องรักบุญกุศล สะสมบุญบารมีอีก มิฉะนั้นพอหมดบุญลง เคราะห์กรรมมาถึงก็จะได้ลิ้มรสผลชั่วของตนเอง

          ตลอดชีวิตของคน ตอนที่ใกล้จะตายให้สังเกตอวัยวะทั้งห้าว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรร่างกายแข็งทื่อหรืออ่อนนิ่ม ใบหน้าปกติหรือไม่ จะได้รู้ว่าผู้ตายจะไปสู่สุคติหรือลงสู่ขุมนรก ให้พิจารณาดูดังนี้ :

          1. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากหน้าตาปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ก็เนื่องจากได้บรรลุธรรมดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

          2. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาซีดเผือดเหมือนคนตกใจ    นั่นแสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

          3. ถ้าตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจกลัว ทำให้เนื้อกายเปลี่ยนไป ซึ่งเรียกว่าเปลี่ยนลักษณะ จะไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดด้วยกันเราก็ดูได้จาก “ตา หู จมูก ปาก” เป็นทหารทั้งสี่ที่ดวงวิญญาณจะไปเกิด เพราะตามีน้ำตา หูก็มีขี้หู จมูกก็มีน้ำมูกปากก็มีน้ำลาย เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง ดังนั้นเมื่อตายลงแล้วถ้าวิญญาณออกจากทวารต่างๆ นี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์สี่ประเภทคือ สัตว์เกิดจากรก เกิดจากไข่ เกิดเป็นสัตว์น้ำ และเกิดเป็นพวกแมลง

 

ตา”

          พวกที่หลงกามคุณมากเกินไป พอจวนจะตายดวงตาจะเบิกกว้าง วิญญาณจะออกจากร่างทางทวารตา ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดจากไข่) เช่น พวกนกต่างๆ อันได้แก่ นกเหยี่ยว นกพิราบ นกนางแอ่น ฯลฯ เป็นต้นพวกนี้ตาจะได้เห็นทั่วทั้งสี่ทิศ

 

หู”

          พวกที่ชอบฟังเรื่องราวไม่ดีเรื่องร้ายๆ ต่างๆ มากมาย พอตายลงหูทั้งสองข้างจะชันขึ้น วิญญาณออกจากทวารหู ชาติหน้าก็เกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากรก ได้แก่ ช้าง ม้า วัวควาย หูจะเข้าใจภาษาคน ให้คนได้เรียกใช้สอย

 

ปาก”

          พวกที่กล่าวร้ายทำลายผู้อื่น พูดจาเสียดสีนินทา กล่าวหาเกินเลย ก่อนจะตาย ปากจะอ้ากว้างไม่หุบ วิญญาณออกทวารปาก จะไปเกิดเป็นพวกสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาเป็นต้น ปากจะลิ้มรสของเหม็นของ สกปรก

 

จมูก”

          พวกที่ชอบหลงใหลกับกลิ่นหอม ชอบหาเงินที่สกปรก ก่อนจะตายจมูกจะเบิกกว้าง วิญญาณออกทางจมูก ชาติหน้าจะเกิดเป็นพวกแมลง เช่น ยุง แมลงวัน มด หนอนต่างๆ เป็นต้น เพราะจมูกชอบดมของเหม็นที่สกปรก ชอบอกชอบใจตนเอง พวกนี้เกิดในที่ชื้นแฉะ มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากบาปหนักวิญญาณจะถูกตีแตกกระจายไปเกิดเป็นแมลง ต่างๆ

          เวลาคนตายลง วิญญาณที่ออกทางทวาร “ตา หู จมูก ปาก” นี้ ล้วนมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี เนื่องจากทวารทั้งสี่เป็นทวารสำรองที่คอยช่วยเหลือ “เจ้าของธาตุแท้” ถ้าหากใช้ทวารทั้งสี่ไปในทางที่ถูกต้องก็จะเป็น “ผู้เที่ยงตรงทั้งสี่” หากใช้ในทางตรงข้ามก็จะกลายเป็น “สี่มหาโจร” ซึ่งจะทำลายเจ้าของ ในเวลาปกติถ้าใช้ทวารทั้งสี่ในทางเลวร้าย พอตายลงวิญญาณก็จะออกทางทวาร เหล่านี้โดยธรรมชาติ ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ 4 ประเภท

          จากหน้าตาของผู้วายชนม์ ก็สามารถหยั่งรู้ทางไปของเขา แต่ก็ต้องอาศัยเหตุต้นผลกรรม และบาปบุญคุณโทษที่มีอยู่มาชำระคดีความจึงสามารถได้ผลที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจากรูปลักษณ์ก่อนตายก็สามารถที่จะรู้ได้ถึงที่ทางที่เขาจะ ได้ไปดีหรือร้ายอย่างไร

          ดังนั้น ทิศทางหมุนเวียนของคนก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนเอง ผู้ที่มีตาทิพย์ย่อมเห็นได้เองโดยตลอด ขอให้ผู้คนเดินในทางตรง (สร้างบุญกุศล) อย่าเดินทางอ้อม (ก่อกรรมทำเข็ญ) ตอนจะจากโลกนี้ไปจะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-26 22:59:58


ความคิดเห็นที่ 556 (1574834)

 อนุโมทนากับอาจารย์แม่

และน้องเบลล์ด้วยนะคะ

สาธุ สาธุ

*****************

โอ้โห!!! กรรมที่จะทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์แต่ละชนิด

นับว่าเจ้า คาเรียส นี้จองไว้ล่วงหน้าแล้ว

แทบทุกชนิดเลยนะเนี่ยยยย

ว่าแต่จะเป็นอะไรก่อนดีจ๊ะ

เก้ง กวาง ไส้เดือน แมลงวัน

มีให้เลือกตามใจชอบเลยจ้า

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-27 03:40:00


ความคิดเห็นที่ 557 (1574860)

สาส์นจากนายนิรยบาล

ฝากถึงหมาดำ

นาม

 คาเรี๊ยส

 

ช่วงนี้

ขอให้หมาดำ

คาเรี๊ยส ระวังเนื้อระวังตัว

เพราะ นายหัว

ของเจ้าให้ดีลูกเอ๋ย

 

ชีวิตเจ้า

ตอนนี้

ไม่ปลอดภัยเลย

 

เพราะเจ้าเร่ร่อน

หากิน ไกลบ่อน ไกลเกิน

 

เที่ยวคึกคะนอง

ไปจนเพลิน

เดินหลงไปถึง

บ้านสวนพีระมิด

อันเป็น

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ที่ทำหน้า

 

เปิด สิ่ง ที่ ปิด

หงาย สิ่ง ที่ คว่ำ

 

ไม่ว่า หมาดำ หมาแดง

หมาเห่าใบตองแห้ง

 

จะซัดเซพเนจรมาจากไหน

ย่อมได้รับความรัก

ความเมตตา

ความปรารถนาให้

พ้นทุกข์

 

คาเรี๊ยส

อยากมีความสุข

ใช่ไหมลูก

 

ถ้าเช่นนั้น

การเข้ามาวนเวียน

หากินในบ้านสวนพีระมิด

เจ้าก็มาถูกทิศถูกที่แล้ว

 

ต่อไปนี้

ถ้าเจ้า รอดชีวิต

ไม่ถูก นายหัว คิด

ฆ่าตัดตอน

 

เจ้าจะไม่ต้อง

เดือดร้อน ทุรนทุราย

อีกต่อไป

 

พ่อจะรับเจ้าไป

อยู่ที่ปลอดภัย ให้ห่างไกล

นายหัวเจ้า

 

คือ

ไปอยู่กับเรา

นายนิรยบาล ไง

 

นายหัวเจ้า

จ้องทำร้าย หมาย

ฆ่าตัดตอน

ทุกโมงยาม นะคาเรี๊ยส

 

ให้สังเกต

เดินระมัดระวัง

หน้า-หลัง-ซ้าย-ขวา

ถ้าเห็นใคร

แปลกหน้า ให้หาที่กำบัง

 

ให้เข้าไปปะปน

ที่มีคนมากๆ

ไปฝากชีวิตไว้ในหมู่

คนดี

 

เพราะ

ผลชั่ว ที่ เจ้าทำ

กำลัง ติดตาม ตอบสนอง

 

กลัวว่าเวลาเจ้า

หน้ามืด

เจ้าจะไม่ยอมตาย

คนเดียว

 

เดี๋ยวคาเรี๊ยสทรยศ

ซัดทอดหมด

ใครอยู่เบื้องหลัง

ใคร เออ ออ ใครหนอ

ร่วมสนุกกับเจ้า

ใครที่เคยแวะเวียน

มาหยอกเย้า ทักทาย

หมายว่าเจ้า

คาเรี๊ยส

คงเป็นเพื่อนตาย

มีจุดหมายเดียวกัน

แต่มันพลิกผัน

เสียแล้ว

โอ้

คาเรี๊ยสเพื่อนแก้ว

ตัวใคร ตัวมัน

นะจ๊ะ

 

เพราะ

คาเรี๊ยสกำลังจะ

ฝัง

ผองเพื่อน เพื่อนพ้อง

ไปพร้อมกัน

 

ขอให้หมาดำ

นาม คาเรี๊ยส โชคดี

 

 

จากพ่อ

นายนิรยบาล

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-27 09:10:53


ความคิดเห็นที่ 558 (1574937)

เจ้าเป็นใครหรื่อ..เจ้าหมาดำ คาเรี๊ยส

ชั่งน่าสงสารเสียนี้กระไร

เมือก่อนเพื่อนผองก้มีมาก

แต่ตอนนี้ กลายเป็น หมาดำคาเรี๊ยส

ตัวเดียว หัวเดียว กระเทียมลีบ

ซัดเซพเนจรไปทั่ว

สมแล้วที่เค๊าเรียกเจ้า..หมาดำคาเรี๊ยสจรจัด..

เมือก่อนคงจะเป็นหมาดำที่

นายหัวคงจะรักมาก

ตอนนี้แม้แต่หัวของเจ้าเขาก็ไม่เห็น

แถมเขาจะเด็ดหัวเจ้าทิ้ง

เหมือนหมาข้างถนน

โอ้...เจ้าทำกรรมอะไรไว้...หนอ

เจ้าหมาดำ...คาเรี๊ยส..เจ้าจึงจะมาตาย

อย่างน่าสมเพศ...เยี่ยงนี้...

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-27 15:59:29


ความคิดเห็นที่ 559 (1574993)

555+++

หมาหน้าหื่น

เจ้าหมา คาเรียส

คิด / บอกตัวเอง

และหมู่เพื่อนตลอดว่า

ไม่มีใครทำอะไรได้หรอก

แต่...หารู้ไม่ว่า

ตายหมู่ เป็นงัย...

สัพเพ สัพพา ฯลฯ

อู้ยลืมไป..ไอ้หมา

ไม่มีศาสนา

คงจะรับ..

ในสิ่งที่ดี ๆ ไม่ได้

น่าเวทนา

คงสมอยาก..

ที่อยากดัง..มานาน

สัตว์ เอ๋ย สัตว์

ได้ดังอย่าง สัตว์ ๆ แล้ว

555+++ ( ฮา กระจาย )

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-27 20:50:56


ความคิดเห็นที่ 560 (1575060)

 นายหัวเจ้า

จ้องทำร้าย หมาย

ฆ่าตัดตอน

ทุกโมงยาม นะคาเรี๊ยส

**************************

หากเพื่อนแท้คนไหนของเจ้าคาเรียสเข้ามาอ่าน

ฝากบอกให้เค้าอ่านด้วยนะ 

จากที่ใช้ชีวิตอย่าง ระวัง ระแวง อยู่แล้ว

ไม่รู้ว่าถ้าได้มาอ่าน

จะเพิ่มความกลัวตายเข้าไปอีกไหมน๊าาาา


วันๆคิดแต่เรื่องบัดสี

เรื่องดีๆมีไม่เคยทำ

อะไรที่ฉันทำให้พวกพ้องฉันหัวเราะ ชอบใจได้ 

คือ ฉันเก่ง แน่ เท่ห์ ไม่กลัวใคร (เพราะหัวฉันอยู่ในกระดอง)

ก็ไม่เห็นมันจะมีอะไร

คิดอย่างนี้ หรือเปล่านะ????

งั้นรอตายหมู่

กับพวกเพื่อนพ้อง

ที่ชอบเออ ออ ห่อ หมก ด้วยกัน

คงจะดีนะ

จะได้ไม่เสียเวลานายนิรยบาลมารับตัว

( ยิงปืนนัดเดียว ได้หมา 10 ตัว 555+ )

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 03:13:13


ความคิดเห็นที่ 561 (1575072)

นายหัวเจ้า

จ้องทำร้าย หมาย

ฆ่าตัดตอน

ทุกโมงยาม นะคาเรี๊ยส

 

ให้สังเกต

เดินระมัดระวัง

หน้า-หลัง-ซ้าย-ขวา

ถ้าเห็นใคร

แปลกหน้า ให้หาที่กำบัง

 

ให้เข้าไปปะปน

ที่มีคนมากๆ

ไปฝากชีวิตไว้ในหมู่

คนดี

 

เพราะ

ผลชั่ว ที่ เจ้าทำ

กำลัง ติดตาม ตอบสนอง

 ...............................................................................................................

อนุโมทนาค่ะอาจารย์

ถึงแม้ว่าเจ้าหมาดำคาเรียสและผองเพื่อน

จะเคยทำเรื่องร้ายๆไว้มากมาย

ภายใต้อาณาเขตพื้นที่

อันศักดิ์สิทธิ์อย่างบ้านสวนฯ

 

แต่อ่านข้อความเหล่านี้จากอาจารย์แล้ว

นอกจากจะเป็นธรรมทานเตือนใจ

ให้เหล่า สุนัขตัวดำๆ

และใจที่ดำสนิททั้งหลาย

ได้ คิดและิพิจารณาแล้ว

ยังรับรู้ได้ถึงความเมตตา

จากท่านอาจารย์ อย่างล้นหลามอยู่ดี

 

เพราะอาจารย์ยังอุตส่าห์

มาเตือนให้ระวังภัย

ที่เจ้าคาเรียส อาจจะไม่รู้และคิดไม่ถึง

 

จะได้รู้ตัว พร้อมทั้งเตรียมทำใจให้ได้ว่า

อาจจะได้ไปพบ นายนิรยบาล เร็วๆนี้

 

ฉะนั้น ช่วงชีวิตและลมหายใจที่ยังเหลืออยู่นี้

น่าจะคิดทำอะไรที่เป็นกุศล

และเป็นผลบุญให้ตัวเอง

ได้เกาะบ้าง

ดีไหม๊จ๊ะ.... เจ้าคาเรียส

และผองเพื่อน..ทั้งหลาย

 

......................................................


อนุโมทนากับทุกๆธรรมทานจากท่านอ.อุบล

 

และ ทุกๆข้อมูลจากน้องเบลล์ด้วยนะจ๊ะ

พี่อ่านแล้วก็ กลั๊วกลัว...

เรื่องสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานอะไรเนี่ย

แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้เตือนตัวเอง

เวลา"เผลอโง่"ปล่อยให้ตัวเองจิตตก..

 

โอ้วว....ว่าแล้วก็..

"อ.อุบลช่วยด้วย"ค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 05:48:45


ความคิดเห็นที่ 562 (1575076)

อ่านแล้ว ไม่รู้จะช่วยยังไงจริง ๆ

มันเป็นไปตามกฏของกรรม

หมาก็คือหมา น่าสงสาร จริง ๆ

เข้าใจว่า เวลากรรมบังตานั้น

แม้จะมีคำเตือน สิ่งดี ๆ คอยช่วย

แต่มักจะมองไม่เห็นทุกที

ยังไง ขอใช้รหัส อ.อุบลช่วยด้วย

ช่วยหมาคาเรียส ตัวนี้ด้วยนะคะ สาธุ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 07:27:20


ความคิดเห็นที่ 563 (1575083)

กฏแห่งกรรมมีจริง

คงถึงวาระของเจ้า คาเรี๊ยส แล้ว

ทำดีได้ดี

ทำชั่วก้อได้ไปอยู่กับนายนิรยบาร

คงโชคดีได้ตั๋วฟรีไปเป็นหมู่คณะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 08:59:35


ความคิดเห็นที่ 564 (1575095)

(ภาพประกอบ ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา) 

เจ้าคาเรียสเอ๋ย

ถึงจะชั่วแสนชั่ว

แต่อ.อุบล ท่านก็ยัง

เมตตาเสมอ

ท่านอุตส่าห์บอกวิธี

ให้แล้ว ก็ทำซะก่อนไม่มีโอกาสนะ

 

นอกจากไม่มีศาสนาแล้ว

ยังบ้ากาม มักมากด้วย

ตัณหา ราคะ

หมกหมุ่นแต่เรื่องใต้สะดือ

(นี่กำลังพูดถึงหมาคาเรียสนะคะ)

 

ทำตัวน่ารังเกียจสุดๆ

ให้รู้เงาหัวไว้ด้วย

ว่าถ้าท่านพ่อ

นายนิรยบาล

ชวนใครไปอยู่ด้วยแล้ว

ท่านพูดจริงทำจริง

เตรียมรอตั๋วเที่ยวนี้ได้เลยนะ

เจ้าหมาคาเรียส

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 09:45:32


ความคิดเห็นที่ 565 (1575100)

หลังจากซมเพราะพิษไข้มาหลายวัน ก็เลยไม่รู้ว่าที่บ้านสวนฯเมื่อเสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีใครยังเห็น เจ้าหมาดำ หน้าตัวเมีย จอมขโมยอาหารคุณแบ็งค์ กันอยู่บ้างมะครับ

ไม่รู้ว่า เจ้าหมาดำ จอมสกปรก ขี้ขลาดตัวนี้ ยังแอบเข้ามา และคอยทำตัวเหมือน เปรตหมาดำ คอยแย่งอาหารของผู้อื่นอยู่เปล่าน๊อ เจ้าเปรตหมาดำ มันคงอดอยาก ไม่มีปัญญาหากินจริงๆมั๊ง เลยต้องหน้ามึน เก๊กฉลาด ทำนิสัยแย่ๆแบบนี้ เฮ่ออ น่าสมเพช มันจริงๆเลยนะครับ

หากใครพบเจอมันที่บ้านสวนฯก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 09:56:47


ความคิดเห็นที่ 566 (1575103)

โอว้ จากข่าวสารของท่านพ่อนายนิรยบาล ตอนนี้เจ้าหมาดำคาเรียส ก็กลายเป็นหมาดำ หน้าโง่ พเนจร ตัวจริง แล้วดิครับ

นายหัวก็ไม่รัก แถมยังคิดจะฆ่าตัดตอนอีก จ๊าากก เจ้าหมาดำเก๊กฉลาด มันจะยอมตายคนเดียวรึ ผมว่าไม่มีทางแน่นอน เท่าที่ดูมา ปกติขี้ขลาด หลบๆซ่อนๆ เวลาเข้ามาบ้านสวนฯ

เรื่องจะตายคนเดียว เจ้าหมาดำคาเรียส คงไม่ให้เสียยี่ห้อหมาขี้ขลาดตาขาวแน่นอน ยังงายซะ หากมีหมาหน้าโง่ เพื่อนของมัน เจ้าหมาดำคาเรียส ก็ต้องลากกันไปทั้งหมดแน่นอน เพื่อไปหาที่ปลอดภัยอยู่กับท่านพ่อนายนิรยบาลอยู่แล้วล่ะ

เฮ่ออ หากเจ้าหมาดำคาเรียส กำลังจะได้รับความเมตตาจากท่านพ่อนายนิรยบาลเช่นนี้ ทุกคนก็สบายใจนะ เพราะว่าน่าจะเป็นที่ชอบของพวกหมาดำ หน้าโง่ แถมขี้ขลาดทั้งหลาย

แต่ว่าสงสัยเหมือนกันนะ หมาดำคาเรียส จะรู้ไหมหนอท่านพ่อนายนิรยบาล ท่านจัดที่ปลอดภัยที่ไหนให้น๊าาา

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 10:11:52


ความคิดเห็นที่ 567 (1575119)

 

หมาดำ หมาหื่น

ไอ้เจ้า คาเรียส ตัวนี้

เมาขี้ไก่ อ่ะ

บริโภคมากไปหน่อย

เพราะ

ชอบของ โส มม

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 12:22:58


ความคิดเห็นที่ 568 (1575163)

ไอ้เจ้า คาเรียส ตัวนี้

********

กายก็สกปรกอยู่แล้ว

จิตใจยังคิดแต่

เรื่อง...ชั่วๆ

สมแล้วที่

ท่าน...นายนิรยบาล

จะเอาไปอยู่ด้วย

ไม่ต้องตีตั่ว

ท่าน...นายนิรยบาล

ให้...ตั่วฟรี

เจ้า...หมาดำคาเรี๊ยส...จรจัด

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-28 14:45:40


ความคิดเห็นที่ 569 (1575306)

 

 

 

ลูกขอกราบพระบาทพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ องค์พระปฐมฯ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านท้าวมหาราชท้ังสี่ นายนิรยบาลลุงพุฒิ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อเสงี่ยม ท่านอาจารย์รัตน์  ท่านดตาจินิน และองค์เทพองค์พรหมทุกๆพระองค์ องค์เทพสฟิงซ์ องค์มหาพีระมิด องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านอาจารย์มงคล ท่านอาจารย์อุบล          

      ลูกขอกราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้กล่าวมา ณเบื้องต้น ที่มีบ้านสวนอันศักดิ์สิทธิ์ให้คนได้รับรู้   และได้ร่วมทำร่วมสร้างมหาบุญมหากุศลอันยิ่งใหญ่  

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจพร เลามาสุวพันธ์ (benjaporn-dot-tam-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-29 07:45:12


ความคิดเห็นที่ 570 (1575311)

 

ขอกราบพระบาทองค์พระปฐมฯและสิ่งศักดิ์ทุกๆพระองค์ในบ้านสวนพีระมิด และอาจารย์มงคลอาจารย์อุบล ลูกได้ลุกขึ้นมาเต้นจังหวะม้าย่องบำบัดโรคเต้นไปแล้วก็อธิษฐานตามไปด้วย  ลูกเป็นโรคอะไรต่างๆก็ให้หายหมดทุกโรค เช่นปวดแขน ขา หัวใจ  ไซนัส ขอให้หาย     และขอขอบคุณกัลยาณมิตร น้องเกสร ศรประสิทธิ์ที่ได้แนะนำให้เข้ามาดูเว็ปบ้านสวนพีระมิด   พอเต้นไปดูไปและอธิษฐานไปก็หายปวดหายเจ็บ อยากประกาศบอกคนทั้งโลกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านสวนพีระมิดมีจริงและหนึ่งเดียวในโลกจริงๆนะคะ

       และขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันร่วมแรงแข็งขันร่วมกันจัดฉลองสมโภชน์องค์พระปฐมฯสาธุสาธุสาธุ

      

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจพร เลามาสุวพันธ์ (benjaporn-dot-tam-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-29 08:26:08


ความคิดเห็นที่ 571 (1575704)

ขอขอบพระคุณอาจารย์อุบลที่่ให้โอกาสหนู นางสาวกุลภัค ชาครประดิษฐ์ได้รู้ในสิ่งที่หนูไม่รู้และขอขมาต่อสิ่งศักดิ์ในบ้านสวนพีระมิดทุกๆพระองค์ที่ข้าพเจ้าโง่สุดๆที่ไ้ด้ทำอะไรที่ช้ากว่าเพื่อน

1.ความรู้สึกต่อบรรยากาศเมื่อแรกก้าวเข้าไปในงาน บ้านสวนพีระมิด

 

ทำได้อย่างใดแค่ไม่กี่วัน สวยงามมาก  และความพร้อมของงานทำได้ยอดเยี่ยม บ้านสวนพีระมิดเปลี่ยนแปลงไปมากสวย  จริง ๆ

          2.ความเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกได้   อาจาร์ยอุบลเก่งจังเลยเนรมิตได้เร็วจริงๆ  จัดงานได้ยิ่งใหญ่มาก   สถาน  บ้านสวนพิระมิดสวยงามสมกับงานที่จัดสมโภชน์องค์พระปฐมค่ะ  

          3.พลัง ที่สัมผัสได้   รู้สึกตัวเป็นปิติ ตื่นเต้นมากเลย  เคารพพระพุทธเจ้า

จึงทำให้งานออกมาดูดีและมีพลังดี ๆ ออกมา

  

           4.การเตรียมงาน  ความร่วมมือ ร่วมใจ  ความสามัคคี   การเตรียมงามและความร่วมมือร่าวใจดีมากแต่ละคนรุ้จักหน้าที่ของตนเองว่าจะต้องทำอะไรมีแต่หนูที่มีแต่ความโง่อยู่ในตัวทำอะไรก็ไม่ค่อยสำเร็๋จ ไม่เหมือนเพื่อนๆบ้านสวนแต่ละท่านที่รู้หน้าที่ของตัวเอง ความสามัคคีมีมากไม่บอกแต่ละคนรู้หน้าที่   ลูกศิษย์ของอาจาร์ย  ไม่ว่าภาคไหน  มารวมตัวกันที่บ้านสวนพีระมิด  ทุกคนมีความร่วมมือร่วมใจ  และสามัคคี  ช่วยกันคนละไม้คนละมือ  ดูแล้วภูมิใจและปลื้มใจแทนอาจาร์ยค่ะ 

          5.ความศรัทธาของผู้มาคิดว่ามากัน เพราะศรัทธา หรือ ว่า อยาก

คิดว่าเขาศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าและตัวอาจาร์ยอุบลพร้อมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านสวนพีระมิดทุกท่านทุกองค์ค่ะ  เพราะเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์อย่างอาจาร์ยอุบลค่ะ

        6.พิธีกรรมในการบวงสรวงทุกขั้นตอน

 เป็นพิธีที่ยาวแต่ทำให้เรารู้ว่าเขามีขั้นตอนอย่างไรบ้างและถูกต้อง 

        7.อาหาร เครื่องดื่ม  อร่อยไหม เพียงพอหรือไม่   ของทุกอย่างในโรงทานอร่อยมากและอาหารไม่มีขาดมีของกินตลอด

    8.การจัดสถานที่ต้อนรับ  เพียงพอ เหมาะสมหรือไม่

     สถานที่เพียงพอและเหมาะสมแล้วค่ะ

      9.ผู้ร่วมออกร้านโรงทานเรารู้สึกอย่างไรต่อท่านเหล่านี้  ตลอดจนชนิด ประเภท

      ของอาหาร ความ อะ หย่อย ฯลฯ   ท่านที่ออกโรงทานคัดสรรแต่ของดีๆมาให้ อร่อยทุกอย่างเลย

 

          10.การแสดง บนเวที 4 ภาคความสวยงาม พร้อมเพียง ของหัวใจ

         ท่ารำ เครื่องแต่งกาย     การแสดงบนเวทีอาจจะมีบางภาคที่มีความพอเพียงน้อยอาจจะเกิดจากมีเวลาการฝึกฃ้อมมาน้อย บางภาคอาจจะทุ่มชีวิดการแสดงให้ดีเพื่อถวายองค์ปฐม 

   11.ความรู้สึกด้านอื่นๆ  ที่ท่านอยากพูดถึง ที่อยู่ในใจ  จนสำลักออกมาน่ะ

อาจาร์ยค่ะมีความรู้สึกว่าอะไรมันจะอัศจรรย์อย่างนี้ไม่มีที่ไหนทำได้มีแต่บ้านสวนเท่านั้นที่จะสามารถทำได้และทำได้ดีด้วย ตื่นเด้นเวลาเต้นม้าย่องสนุกมากๆเลยหนุขอขอบคุณค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กุลภัค ชาครประดิษฐ์ (kunkun70-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-01 13:45:21



<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 [6]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.