ReadyPlanet.com


เผยความลับ ของ จักรวาล ช่วยคนรอดตาย จากภัยพิบัติ โรคร้าย ความอดอยาก ยากจน


ความลับ

ของจักรวาล

ได้รับอนุญาต

ให้เปิดเผยแล้ว

ที่

บ้านสวนพีระมิด

 

โปรด

คอยติดตาม

 

 

ห้าม

ผู้ไม่เชื่อถือถือศรัทธา

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท้าวเวสสุวรรณ

พลังพีระมิด

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ

อ.อุบล

บ้านสวนพีระมิด

เข้ามาอ่าน

 

เพราะนอกจาก

เสียเวลาอันมีค่าของท่านแล้ว

ยังไม่ก่อให้เกิดผลดี

ทางที่ดี ไม่เชื่อ

อยู่ห่างๆ

อ.อุบล

บ้านสวนพีระมิด

เข้าไว้ ปลอดภัยที่สุด

ค่ะ พี่น้อง

 

(ใครที่รับทราบแล้ว เชิญร่วมสนทนา)

 



ผู้ตั้งกระทู้ อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-09-11 19:05:43


<< ก่อนหน้า 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 301 (1573558)

 

กราบคุณแม่ และ คุณพ่อ

              และ สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกๆท่าน ครับ

                                   ขออนุญาตมาน้อมรับ กระทำสิ่งต่างๆ ที่คุณแม่จะบอกกล่าวให้กระทำ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณากร ศิริกุลธรรมา (kunagorns-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-20 23:26:43


ความคิดเห็นที่ 302 (1573567)

 พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า

 

 "คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์"

 

 

เหล่าผู้มีบุญญาบารมีซึ่งมีอุดมการณ์คล้ายๆกับโพธิสัตว์ มีโอกาสได้มาร่วมสร้างบารมีเพื่อที่จะหลุดพ้น จากวัฏสงสารด้วย
 
        ด้วยเหตุที่พระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่มีเป้าหมายอันเด็ดเดี่ยวมั่นคง อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีน้ำใจอันเต็มเปี่ยม และมีมหากรุณาอันหาที่เปรียบมิได้นี้เอง จึงทำให้พระโพธิสัตว์มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวอยู่ 10-ประการด้วยกัน ซึ่งคุณสมบัติพิเศษทั้ง 10-ประการนี้ ถือเป็นความดีอันยิ่งใหญ่เฉพาะตัวของเอกบุรุษที่ไม่สามารถหาผู้ใดจะมาเสมอเหมือนได้

 

 

 

 พระโพธิสัตว์มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวอยู่ 10 ประการ
 
        คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่ 1.ได้แก่ อะเคธะตา คือ ความไม่ติดอยู่ในของรักของชอบของผู้อื่น หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีใจมุ่งไปสู่หนทางแห่งพระนิพพานเป็นหลัก สิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้จะไม่มีติดอยู่ภายในใจของท่านเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะติดก็ติดอยู่เพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ...ติดอยู่กับการสร้างบุญสร้างบารมี เพื่อที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

 

 

 พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีใจมุ่งไปสู่หนทางแห่งพระนิพพาน เป็นหลัก
 
        คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่ 2.ได้แก่ นิราละยะตา คือ ความไม่อาลัยเกี่ยวข้องในสิ่งของภายนอก หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีใจมุ่งไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งหลายในชีวิต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น คน สัตว์ หรือสิ่งของ ที่ชาวโลกทั้งหลายต่างก็หลงใหลได้ปลื้ม พระโพธิสัตว์ก็จะไม่หลงยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น เพราะทุกๆสิ่งทุกๆอย่างบนโลก ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ใจไม่เป็นอิสระ และเป็นเหตุที่ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องติดอยู่ในภพ กล่าวคือ ยากที่จะทำให้จิตให้หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลศทั้งหลายได้

 

 

 

 พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีใจมุ่งไปสู่ความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งหลายในชีวิต
 
        คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่ 3.ได้แก่ จาโค คือ ความเสียสละ การแบ่งปัน หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีความยินดีในการเป็นผู้ให้มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ เพราะอัธยาศัยโดยปกติของพระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อสละความตระหนี่ออกจากใจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ในทุกๆชาติที่ท่านเกิดมาสร้างบารมี ท่านจึงได้สละทรัพย์ สละอวัยวะ หรือแม้กระทั่งสละชีวิตของตัวท่านเองให้แก่ผู้อื่น เพื่อประโยชน์สุขอย่างยิ่งของตัวท่านเอง และมวลมนุษย์ชาติทั้งหลาย นั่นก็คือ...การได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ด้วยเหตุนี้เอง...พระโพธิสัตว์จึงถือเป็นสุดยอดของบุคคลที่มีความเสียสละ และเป็นนักสังคมสงเคราะห์ของโลกและจักรวาลอย่างแท้จริง

 

 

 

พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีความยินดีในการเป็นผู้ให้ มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ
 
        คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่ 4.ได้แก่ ปะหานัง คือ ความปล่อยวาง หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่สามารถปล่อยวางเรื่องราวต่างๆที่มากระทบใจได้อย่างง่ายดาย เพราะโดยปกติแล้ว พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีใจไม่ผูกโกรธใคร ไม่ว่าร้ายใคร ไม่ถือสาหาความใคร และไม่เอาเรื่องใครเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่อารมณ์ที่อยากจะสั่งสมบุญสร้างบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไปเพียงอย่างเดียว

 

 

 

 
พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่สามารถปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ที่มากระทบใจได้อย่างง่ายดาย

 

คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่5.ได้แก่ อะปุนะราวัตตินา คือ ความไม่คิดกลับกลอก หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่ไม่มีความคิดกลับกลอกไปมา เพราะโดยปกติแล้ว พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีสัจจะประจำใจ กล่าวคือ เป็นคนจริง ไม่หน้าไหว้หลังหลอกเหมือนบางคนในโลกทั่วๆไป คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น และทุกคำพูดหรือทุกการกระทำของพระโพธิสัตว์ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขต่อตัวท่านเองและชาวโลกเท่านั้น ดังนั้น สำนวนไทยที่ว่า “ปากไม่ตรงกับใจ”-จึงไม่สามารถนำมาใช้กับพระโพธิสัตว์ได้

 

พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีสัจจะประจำใจ
 
        คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่ 6.ได้แก่ สุขุมัตตา คือ ความละเอียดรอบคอบ หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบช่างสังเกต และเป็นผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบที่ดี ไม่ประมาทเลินเล่อ จนเป็นเหตุให้เสียการเสียงาน และเสียเวลาในการสร้างบารมี เพราะเวลาทุกอนุวินาทีของพระโพธิสัตว์นั้นมีค่าเป็นอย่างยิ่ง
 พระโพธิสัตว์จะทำงานที่ท่านต้องรับผิดชอบ อย่างพิถีพิถันและละเอียดรอบคอบ
 
 พระโพธิสัตว์จะทำงานอย่างเต็มที่เต็มกำลัง และทำอย่างสุดความสามารถ
        ซึ่งโดยปกติแล้ว พระโพธิสัตว์จะทำงานที่ท่านต้องรับผิดชอบอย่างพิถีพิถัน และละเอียดรอบคอบ ไม่ว่างานนั้น จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อตัวท่านเองหรือต่อผู้อื่นก็ตาม ท่านก็จะทุ่มเททำงานนั้นๆอย่างเต็มที่เต็มกำลัง และทำอย่างสุดความสามารถเท่าที่ตัวท่านจะทำได้ กล่าวคือ ถ้าเนื้องานมีหนึ่งร้อย ท่านก็จะทำไปเกินหนึ่งร้อย
 
        คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่ 7.ได้แก่ มะหันตัตตา คือ ความเป็นของใหญ่ หมายความว่า พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ และมีใจที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีประมาณ ประดุจดั่งความกว้างใหญ่ของท้องมหาสมุทร อันเนื่องมาจากท่านได้มองเห็นถึงประโยชน์สุขที่จะเกิดขึ้นแก่มวลมนุษยชาติเป็นอย่างมากที่สุด
 พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ และมีใจที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีประมาณ
 
 
        คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่ 8.ได้แก่ ทุรานุโพธัตตา คือ ความเป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปจะรู้ตามได้ยาก หมายความว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความคิดเหนือกว่าวิสัยของบุคคลทั่วไปจะคิดได้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพระโพธิสัตว์ประกอบด้วยจิตใจที่สูงส่ง มีความกล้าที่จะคิดและกล้าที่จะทำในสิ่งที่ดีงาม
 พระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่มีความคิดเหนือกว่าวิสัยของบุคคลทั่วไป จะคิดได้
 
        ด้วยความที่พระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่มีจิตใจที่สูงส่งอย่างยิ่ง ดังนั้น ท่านจึงคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้หลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยวิธีการต่างๆอย่างมีขั้นตอน กอปรกับท่านยังมองการณ์ไกลถึงเหตุแห่งปัญหา และปัญหาที่จะเกิดขึ้นในกาลภายภาคเบื้องหน้า จึงทำให้ท่านสามารถวางแผนป้องกันเหตุแห่งปัญหาเหล่านั้น และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม จนทำให้งานทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างงดงาม
 
พระโพธิสัตว์คิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้หลุดพ้น จากความทุกข์ด้วยวิธีการต่างๆอย่างมีขั้นตอน
 คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่9.ได้แก่ ทุลละภัตตา คือ ความเป็นผู้ทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ยาก หมายความว่า ท่านมีความสามารถในการที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ ยากๆ ให้เป็นเรื่องเล็กๆและง่ายๆได้ ซึ่งไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นจะยากเย็นแสนเข็ญสักปานใด แต่เมื่อเรื่องเหล่านั้นมาถึงมือของพระโพธิสัตว์แล้ว ท่านก็สามารถที่จะทำเรื่องเหล่านั้นให้สำเร็จได้อย่างดีเยี่ยมในทุกๆครั้ง

 

 

พระโพธิสัตว์มีความสามารถในการที่จะทำเรื่องใหญ่ๆยากๆ ให้เป็นเรื่องเล็กๆและง่ายๆได้
 
        ส่วนภารกิจที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญสำหรับท่านนั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือ การขจัดกิเลสอาสวะในใจของท่านให้หมดสิ้นไป และช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ สามารถข้ามพ้นห้วงแห่งวัฏสงสารไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานให้ได้
 
 ภารกิจที่สำคัญของพระโพธิสัตว์มีอยู่เรื่องเดียว คือการขจัดกิเลสในใจให้หมดสิ้นไป
   คุณสมบัติพิเศษของพระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ข้อที่10.ได้แก่ อะสะทิสะตา คือ ความเป็นของไม่มีใครเสมอ หมายความว่า ท่านเป็นผู้ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนได้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะท่านเป็นผู้นำในการสร้างบารมี ที่มีความคิด คำพูด และการกระทำที่ประเสริฐเหนือกว่าคนอื่นเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ท่านเป็นผู้ที่มีลักษณะของความเป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่ว่าท่านจะถือกำเนิดเกิดมาเป็นอะไรก็ตาม ลักษณะของความเป็นผู้นำนี้ก็จะติดตัวท่านมาโดยตลอด จนกระทั่ง ท่านได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด
 
พระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนได้ เป็นผู้นำในการสร้างบารมี
 
 คุณสมบัติพิเศษสุดทั้ง 10-ประการนี้
 
 
เป็นคุณสมบัติที่ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน
 
แต่เป็นคุณสมบัติเฉพาะที่จะเกิดขึ้นได้กับบุคคลที่มีเป้าหมายเด็ดเดี่ยว
 
มีน้ำใจอันเต็มเปี่ยมกว้างขวางและมีมหากรุณาอันจะหาที่เปรียบมิได้
เฉกเช่นพระโพธิสัตว์ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
ซึ่งนอกจากท่านจะทำให้ตนเองพ้นจากความทุกข์
และเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้แล้ว
ท่านยังมีน้ำใจอันยิ่งใหญ่ที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์
และได้พบความสุขที่แท้จริงตามท่านไปอีกด้วย
 
คุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว 10 ประการของพระโพธิสัตว์ ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:25:19


ความคิดเห็นที่ 303 (1573568)

 

สรุปเรื่องของ"พระศรีอารย์นำมนุษย์เข้ายุคใหม่"

 

ตามหลักฐานที่มีที่มาที่ไปของ พุทธทำนาย คำทำนายของศาสนาที่สำคัญๆ และผู้มีญาณวิเศษ เช่น นอสตราดามุส บ่งคล้องจองกันว่าพระธรรมมิกราช (ผู้ใช้ธรรมะชนะอธรรม) หรือ พระจักรพรรดิ หรือ พระศรีอารย์ หรือที่มีชื่อเรียกตามภาษาของเขานั้นๆ จะปรากฏในปัจจุบัน จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าพระศรีอารย์มีตัวตนจริงในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่กล่าวว่าพระศรีอารย์จะปรากฏเมื่อนั้นเมื่อนี้ เช่นจะมาปรากฏเมื่อ พ.ศ. 5000 นั้น เป็นการกล่าวเลื่อนลอย ขาดหลักฐานอ้างอิง หรือขาดเหตุผล หรือเป็นการรจนากันขึ้นมาภายหลัง

การที่พระศรีอารย์นำผู้คนเข้าสู่ยุคใหม่คือกฤดายุค หรือยุคทองจะเกิดสิ่งดีงามขึ้นเช่น

  • เพื่อหยุดภัยพิบัติ โรคภัย และวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ และยังหยุดโลกาวินาศเพื่อล้างคนบาป ที่พุทธทำนายและคำทำนายต่างๆ ได้คาดไว้เหมือนๆกันว่า จะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในอีก 3 ปีข้างหน้า ผู้คนบนโลกจะรอดชีวิตเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น
  • เพื่อสร้างสันติสุขและความยุติธรรมที่แท้จริงให้เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ไปตลอดภัทรกัป ดังตัวอย่างในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ได้บ่งบอกเรื่องยุคพระศรีอารย์ไว้ดัีงนี้ "ในยุคของศาสนาพระศรีอารยเมตไตรยนั้น ผู้คนจะมีแต่ความสุข ปราศจากกลียุคทุกข์ยาก ไม่มีผู้ร้ายฆ่าฟันกันเหมือนเช่นทุกวันนี้ ความสงบสุขจะแผ่ไปทั่ว คนในศาสนาพระศรีอารย์นั้น ไม่ต้องพึ่งพาโรงพยาบาล ไม่ต้องกังวลว่า จะไม่มีค่ารักษาพยาบาล เพราะคนทั้งปวงจะปราศจากโรคาพยาธิ ดินฟ้าอากาศก็ได้รับการควบคุมให้อยู่ในระดับที่สบาย คนยุคปัจจุบัน เมื่อเห็นว่าในศาสนาพระศรีอารย์มีแต่ความสุข ก็พากันปรารถนาที่จะไปเกิดใหม่ในศาสนานั้น โดยนิยมสร้างพระศรีอารย์ เพราะมีคติความเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะได้ไปเกิดในยุคศาสนาของพระศรีอารย์” ที่มา ไตรเทพ ไกรงู หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 10 มีนาคม 2552
ผู้มีบุญจะสนใจเรื่องพระศรีอารย์มีพระองค์จริงในปัจจุบัน โดยสามารรถหาเหตุผลมีหลักฐานข้อเท็จจริงได้ใน www.metteya.org ดังเช่น
1. 
เหตุการณ์ตำนานอายุนับพันๆปี จะเกิดขึ้นก่อนหน้าี่พระศรีอารย์จักปรากฏพระองค์ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นได้เกิดเป็นจริงแล้ว 
2. คำทำนายของนอสตราดามุส และไอแซฮ์ ที่รู้จักทั่วโลก ได้ชี้ว่าพระศรีอารย์ปรากฏในปัจจุบันจริง
3. พุทธทำนาย คำทำนายของศาสนาต่างๆ ที่บ่งว่าภัยพิบัติ โรคภัย และวิกฤติต่างๆของโลก จะเกิดขึ้นก่อนพระศรีอารย์จะปรากฏพระองค์ ซึ่งได้เป็นจริงมาโดยตลอดในปัจจุบันนี้

จากเหตุผลข้อ 1, 2 และ 3 แสดงว่าพระศรีอารย์มีพระองค์จริงในเวลานี้ แต่ที่ไม่เปิดเผยต่อผู้คนทั่วไป ก็เพราะยังขาดการพิสูจน์ความจริงตาม"กาลามสูตร" ที่พระพุทธเจ้าโคดมตรัสไว้ 
การพิสูจน์ความจริงในเรื่องพระศรีอารย์พระองค์จริงเป็นไปได้เมื่อ สื่อทีวีที่สามารถป้องกันการโกหกคดโกงผู้ชมรายการได้ ควรนำผู้คนทั่วไปพิสูจน์ความจริงให้ประจัก ด้วยวิธีนี้จะทำให้พระศรีอารย์พระองค์จริงจักปรากฏเพื่อมีโอกาสพิสูจน์ความจริง และพระศรีอารย์จะแสดงว่าสวรรค์และนรกว่ามีจริงด้วยรูปธรรม เพื่อคนทั้งหลายจักกลัวบาปกรรมที่ตนกระทำและเลิกสร้างบาปกรรมกัน ทำให้โลกเกิดสันติสุขขึ้นตลอดไปจนสิ้นภัทรกัปก่อนที่โลกจะดับไป

สำหรับวิธีการพิสูจน์ความจริง สามารถดูเป็นตัวอย่างได้จาก ตอนที่ 3

ผู้ที่ทราบเรื่องการพิสูจน์พระศรีอารย์นี้แล้วหาทางช่วยเหลือเผยแผ่เรื่องนี้ออกไปให้มีการพิสูจน์ความจริงในเรื่องพระศรีอารย์เกิดขึ้น นับว่าเป็นการสร้างมหาบุญที่ยิ่งใหญ่แก่ตน จะเกิดภพใดชาติใดก็จะช่วยให้มีความสุขอยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะถ้าพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับพระศรีอารย์พระองค์จริงแล้ว โลกาวินาศก็จะไม่เกิดขึ้น นับว่าเป็นการช่วยชีวิตมนุษย์และสัตว์มากมายเหลือคนานับ ซึ่งถ้าไม่มีการพิสูจน์ความจริง มนุษยโลก 3 ใน 4 จะถูกทำลายโดยโลกาวินาศ

แต่ผู้ที่ทราบเรื่องนี้แล้ววางเฉย ถึงแม้ว่าผู้นั้นไม่เคยทำบาปกรรม หรือเป็นคนมั่งมีศรีสุข โปรดเข้าใจว่าในช่วงชีวิตนี้ ท่านกำลังใช้บุญเก่าเหมือนอย่างที่ท่า่นฝากออมสิน เมื่อท่านถอยเงินออกมาหมดแล้ว ท่านจะไม่มีเงินทองที่จะใช้จ่ายต่อไป หรือกล่าวง่ายๆว่า"หมดบุญ" และเท่าที่ทราบมา ผู้วางเฉยในเรื่องพระศรีอารย์นั้นถือว่าขาดความเมตตาต่อสัตว์โลก มีความเห็นแก่ตนเป็นที่ตั้งเป็นปัจจัย นับว่าเป็นอกุศลกรรมแก่ผู้นั้น ซึ่งจะมีผลในภพต่อไป

จาก  

http://www.metteya.org/sriann/fact.html

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:34:07


ความคิดเห็นที่ 304 (1573569)

 การวิเคราะห์:     พระผู้มีพระภาคและนอสตราดามุส บ่งว่ามนุษย์จะอยู่บนโลกได้ก็อีก 2000-3000 ปี (หรือประมาณ 2500 ปี หรืออีก กึ่งพุทธกาล) จากปัจจุบัน และโลกจะูถูกดึงเข้าไปรวมกับพระอาทิตย์ในอีก 2000-3000 ปีต่อมา (ซึ่งในช่วง 2000-3000 หลังนี้) สิ่งมีชีวิตก็อยู่กันไม่ได้แล้ว) และทั้งสองได้บ่งว่าพระธรรมมิกราชหรือพระศรีอารย์จะปรากฏในเวลาปัจจุบัน ฉะนั้นเรื่องการปรากฏของพระศรีอารย์ในเวลานี้ จึงมีความเป็นไปได้อย่างมาก และเรื่องราวยังตรงกับหลักฐานของศาสนาอื่นๆ เกี่ยวกับการมาของผู้ที่พวกเขารอคอยในปัจจุบันเช่นกัน โดยแต่ละศาสนาก็มีชื่อเรียกพระธรรมมิกราชต่างๆกันไปตามภาษาของเขา ซึ่งพระศรีอารย์ก็คือพระจักรพรรดิ์ของโลกที่ทุกศาสนายอมรับ ฉะนั้นนี่ก็คือพระจักรพรรดิของโลก

แต่พระสงฆ์ บางรูปสอนผู้คนโดยไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า พระศรีอารย์จักบังเกิดขึ้นมาช่วยมนุษย์ใน พ.ศ. 5000 (อจ. มหาวิรัช ป.๙ ได้กรุณาสรุปว่า เรื่องพระศรีอารย์จะมาปรากฏเมื่อ 5,000 ปี หลังจากที่พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานนั้น ไม่มีปรากฏอยู่ในหลักฐานทางพระพุทธศาสนาใดๆ นอกจากว่าพระพุทธศาสนาจะจรรโลงไปจนถึง พ.ศ. 5,000 ซึ่งเรื่องนี้มีอยู่ในสังคายนาครั้งที่ 1 โดยกระทำขึ้นหลังจากพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว 3 เดือน พระมหากัสสปเถระประธานและผู้สอบถาม พระอุบาลี พระอานนท์ และพระอรหันต์ 500 รูป) ดังนั้นพุทธทำนายเรื่องพระพุทธศาสนาจะยืนยงไปถึง พ.ศ. 5,000 จึงตรงกับเรื่องในการสังคายนาครั้งที่ 1 สำหรับเรื่องพระศรีอารย์จะมาปรากฏเมื่อ พ.ศ. 5,000 นั้นอาจเป็นไปได้ที่เกจิอาจารย์ท่านใดอาจได้รจนาขึ้นมาภายหลังอย่างเช่น เรื่องของพระมาลัยเป็นต้น คำถามมีอยู่ว่าพระศรีอารย์เป็นพระจักรพรรดิผู้ที่ทุกศาสนายอมรับว่าเป็นผู้นำสันติสุข ไม่ใช่พระศาสดา ฉะนั้นพระศรีอารย์จึงไม่จำเป็นต้องสอนพระศาสนาใหม่ ่ ดังนั้นพระพุทธทำนายจึงเป็นเรื่องมีเหตุผลและมีที่มาที่ไป และอีกประการหนึ่ง ในสมัย พ.ศ. 5000  จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนโลกแล้วพระศรีอารย์จะมาทำไม เพื่ออะไร สำหรับที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกว่าพระเมตไตรยจะปรากฏขึ้นเมื่อผู้คนมีอายุได้ 80000 ปีนั้น เป็นเรื่องมีพิรุธมาก คือบุตรจะต้องมีอายุเป็นสองเท่าของผู้ให้กำเนิดซึ่งผิดจากกฎธรรมชาติ 

                        คำถาม:  พุทธทำนายและพระศรีอารย์มีที่มาที่ไปเป็นเหตุผลคือ           

  1. ทำไมเหตุการณ์บ่งในพุทธทำนายถึงตรงกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน    มีหลักฐานรูปธรรมประกอบได้
  2. ผู้สลักอักษรบนศิลาต้องทราบข้อมูลของผู้มีญาณล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต แล้วผู้มีญาณนั้นควรเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่
  3. ทำไมเหตุการณ์ในปัจจุบันถึงตรงกับข้อมูลในมหาปรินิพพานว่าด้วยการตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์(พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5) ที่บ่งบอกถึงแผ่นดินไหวใหญ่ ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติติดต่อกัน
  4. ทุกศาสนามีหลักการสอนผู้คนต่างกัน แต่ทำไมพุทธทำนายถึงบ่งบอกเหตุการณ์ตรงกันหรือสนับสนุนกันกับคำทำนายของศาสนาอื่นๆ และยังตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุสอีกด้วย
  5. อสิตะดาบสทำนายสิทธัตถะกุมารว่าถ้าครองราชย์จักเป็นจักรพรรดิครอง 4 คาบมหาสมุทร แต่ถ้าออกผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนั้นจักรพรรดิควรมีจริง สังเกตว่าทำไมท่านอินทราผู้รู้อมตธรรมที่ไม่มีผู้ใดทราบมาก่อนถึงเสียสละทรัพย์และความสุขตนไม่ใช่เพื่อเป็นจักรพรรดิ แต่เพื่อหาทางให้คนทั่วไปพิสูจน์ความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์มาโดยตลอดกว่า 17 ปีและกล้าแสดงว่าเพื่อจะหยุดภัยพิบัติ โรคภัย วิกฤติต่างๆ และสร้างความสุขที่แท้จริงให้มนุษยโลกถ้าพิสูจน์ความจริงของท่าน แต่ถ้ามนุษย์ไม่สนใจสิ่งดีงามนี้ สิ่งเลวร้ายจักเกิดขึ้นแทนไม่หยุดซึ่งก็เป็นจริง เสียดายที่ไม่มีผู้สนใจ ไม่พิสูจน์ความจริง
  6. ทำไมเหตุการณ์ตามตำนานอายุนับพันๆปีของศาสนาต่างๆ ถึงสนับสนุนกันในเรื่องพระศรีอารย์จะปรากฏในปัจจุบัน และเหตุการณ์ตามตำนานนั้นๆ ได้เกิดขึ้นจริงในเวลาใกล้เคียงกัน เช่น วัวขาวของชาวอเมริกันอินเดียน (เกิด พ.ศ. 2537วัวแดงของชาวยิว (เกิด พ.ศ. 2539) ดาวพระเคราะห์เข้าแถว (เกิดพ.ศ. 2543)    พระจันทร์สีแดง (เกิด พ.ศ.2543) เป็นต้น (ดูภาพเหตุการณ์ได้ที่ The Last Day: Event(s) ใน www.selfwisdom.net) เรื่องที่กล่าวมาไม่รวมถึงภัยพิบัติ แผ่นดินไหวใหญ่ และสิ่งอื่นๆอีกที่มีอยู่ในคำทำนายด้วย ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดได้ยากยิ่งเหล่านี้ถึงได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน สวรรค์กำหนดเรื่องเช่นนี้หรือไม่ 
    บางท่านคิดว่าวิบัติของเศรษฐกิจและสังคมเคยเกิดขึ้นแล้ว แต่โปรดสังเกตว่าเหตุการณ์เลวร้ายนี้ไม่เคยเกิดขึ้นคล้องจองกับภัยพิบัติสารพัดทิศ โรคภัยและเป็นไปทั่วโลกเช่นในขณะนี้มาก่อน มีใครบ้างคิดได้ว่ามหาภัยมาอยู่ใกล้ตัวแล้ว 
    คนเราจะอยู่ด้วยความเชื่อ  มีความยึดมั่นถือมั่นโดยไม่รู้อะไรจริงอะไรเท็จ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกได้ฉะนั้นควรหรือไม่ที่จะร่วมมือร่วมใจ สนับสนุนให้พิสูจน์ความจริงของพุทธทำนายขึ้น ซึ่งมิได้เสียหายอะไร แต่จะทำให้ผู้คนมีโอกาสเห็นสิ่งที่พิสูจน์เป็นจริงได้และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าพุทธทำนายและคำทำนายของศาสนาที่สำคัญๆของโลกเป็นจริง ก็จะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลกนี้และโลกหน้า (ถ้าเราเชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ)

การหาความจริง: 

มีผู้อ้างตนเป็นพระศรีอารย์มากมายทั่วโลกในปัจจุบัน ใครคือพระศรีอารย์พระองค์จริง เราสามารถพิสูจน์ความจริงได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ดังนี้

  1. ใช้สื่อทีวีประสานการพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ผิดเพี้ยน เห็นภาพและได้ยินเสียง เพื่อความเป็นธรรมในการพิสูจน์ความจริงแก่ทุกฝ่ายและประชาชน
  2.  เชิญผู้ที่คิดว่าตนเป็นพระศรีอารย์ส่งหลักฐานให้ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งพระและฆาราวาส ตรวจสอบเบื้องต้นเพื่อส่งผู้ที่สมควรนำมาพิสูจน์แสดงหลักฐานความจริงต่อหน้าผู้คนในทุกชาติ ศาสนาทางทีวีเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาใดๆ
  3. พระศรีอารย์จริงจะไม่ใช้ความเชื่อ ไม่มีอิทธิฤิทธิ์ แต่จะใช้ “กาลามสูตร” ของพระพุทธเจ้าโคตม คือใช้ความจริงที่มีหลักฐานรูปธรรม ตามตำนานของศาสนาต่างๆและคำทำนายโลกที่เป็นที่ยอมรับคือ ผู้รู้อนาคตกาล เช่น พระพุทธเจ้าโคตมหรือโคดม พระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  สมเด็จพระพุฒาจารย์พรหมรังสี (หลวงพ่อโต) มาลาคิ พอล อิแซ ไม
      3.1 มีชื่อ นามสกุล และมีคุณสมบัติบ่งบอกชัดเจนพอประมาณ 3.2 เกิดที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย 
      3.3 เวลาเกิดในช่วงสงครามที่เอาชนะได้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์หรือระเบิดปรมาณู คือสงครามโลกครั้งที่สอง 
      3.4 ที่อยู่ในปัจจุบันของพระศรีอารย์ เป็นบ้านอยู่บนยอดเขาหลายลูก ซึ่งบ้านดังกล่าวอยู่ในเมืองเล็กที่ล้อมรอบอยู่ภายในเมืองใหญ่อีกที 
      3.5 เป็นผู้มีความรู้ในสาขาต่างๆทั้งทางโลกและสวรรค์ แสดงให้เห็นเป็นจริงได้ 
      3.6 เป็นผู้รู้ศาสนาต่างๆโดยถ่องแท้ แสดงให้ผู้คนทั่วไปเห็นจริงได้ 
      3.7 เป็นผู้สามารถชี้และแสดงมารที่แท้จริงได้ และยังสามารถปราบมารได้ด้วยพระธรรม 
      3.8 เป็นผู้รู้แจ้งด้วยตนเองและพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้
  4. ค่า และนอสตระดามัส เป็นต้น ได้กล่าวถึงผู้นำสันติสุขหรือพระศรีอาริย์พระองค์จริงจะสามารถพิสูจน์คำทำนายให้เป็นรูปธรรมได้ ยกเป็นตัวอย่าง เช่น
ผู้ที่สามารถแสดงข้อเท็จจริงตามข้อที่กล่าวมาได้ย่อมมีบุคคลเดียว และท่านผู้นั้นควรใช่พระศรีอารย์ คำทำนายบ่งว่าการปรากฏตนของพระศรีอารย์เพื่อความสุขของคนทั่วโลกจักปรากฏขึ้นตลอดไป ภัยพิบัติและโรคภัยทั้งหลายจักสงบลง

 

ภาคผนวก:       

ผู้เปิดใจกว้างมีเหตุผล ไม่ยึดความคิดเฉพาะตนเป็นหลัก โปรดพิจารณา

  1. ทำไมต้องพิสูจน์ความจริง เพื่อให้พระศรีอารย์ปรากฏตน:  เนื่องจากพระศรีอารย์ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ การแสดงธรรมต้องเป็นไปตาม “กาลามสูตร” ซึ่งเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ ศาลยุติธรรม โดยเป็นวิธีเดียวที่จะสร้างสันติสุขที่แท้จริงขึ้นได้ 
  2. พระศรีอารย์เป็นพระพุทธเจ้า (ผู้รู้เองโดยชอบ) พระองค์ที่ 5 ตามที่พระพุทธเจ้าโคดมได้ตรัสไว้ และมีอะไรอีกที่ตรัสหรือที่ตำนานอื่นๆบ่งไว้:      
      2.1 พระศรีอารย์เป็นพระพุทธเจ้าแต่ไม่ใช่นักบวช ไม่มีสาวกจึงไม่เป็นพระศาสดา พระศรีอารย์ปรากฏขึ้นเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาให้เป็นเอกของโลก 
      2.2 พระศรีอารย์ใช้คำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าโคดมเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้คนทั้งหลาย ดังนั้นศาสนาของพระศรีอารย์จึงไม่มี ตำนานบ่งถึงพระศรีอารย์เปรียบเสมือนลูกแกะที่ผู้มีบาปเอาไปบูชายัญเพื่อไถ่บาปเขาเหล่านั้น พระศรีอารย์สละแล้วซึ่งครอบครัว ทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นผู้ติดดิน ไม่มีผู้คนสนใจเหมือนต้นไม้เหี่ยวแห้งบนแผ่นดินปราศจากน้ำแล้วใครเล่าที่จะช่วยได้ 
      2.3 ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้คนจะไม่สนใจพุทธทำนาย ทั้งนี้เพราะปกติมนุษย์จะมีเทพหรือมารดลใจให้ทำในสิ่งที่ดีหรือเลว มารจะส่งเสริมความชั่วความฉิบหายเพื่อรักษาให้มารอยู่รอดได้ ดังนั้นมารจึงดลใจผู้ขาดคุณธรรมให้ไม่สนใจพุทธทำนายและพระจักรพรรดิซึ่งเป็นสิ่งดีงามที่มารกลัวมากเพราะจะทำลายมารได้ พุทธทำนายเปรียบเสมือนเส้นผมบังภูเขา ที่มารดลใจให้คิดไปว่าพุทธทำนายเป็นเรื่องไร้สาระ นอกจากผู้มีกุศลเกิดผลบุญย่อมเห็นพุทธทำนายเป็นสิ่งดีมีค่ายิ่ง 
      ถึงเวลาหรือยังที่เราจะรู้ทันมาร กำจัดมารออกไปจากจิตใจ อัญเชิญเทพเข้ามาปกป้องตน รักษาความดี เกิดความเมตตา กรุณาแทนความเห็นแก่ตน หาทางช่วยกันเผยแผ่หาข้อเท็จจริงเพื่อความอยู่รอดจากมาร และสร้างสิ่งดีงามเกิดคุณธรรมขึ้นแก่ตนและผู้คนในทุกชั้นวรรณะทั้งในเวลานี้และอนาคต

สรุป:                    

ในปัจจุบัน ภัยพิบัติ โรคภัย ความโหดร้าย วิกฤติเศรษฐกิจและสังคม ได้เกิดขึ้นรุนแรงทั่วโลกตรงตามพุทธทำนายมาครึ่งทางแล้ว ส่วนที่เหลือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นั้นย่อมมีโอกาสเป็นจริง มนุษย์จะต้องเลือกทางเดินเอง ทางแรก ผู้คนจะต้องสนใจพุทธทำนายและผลักดันสื่อทีวีให้หาความจริงในเรื่องพระโพธิสัตว์ทั้งสองเพื่อจะนำพาให้มนุษยโลกอยู่ดีมีความสุขทั่วหน้า นอกจากไม่ยากจนแล้วคนเลวคนชั่วจะไม่มี เกิดยุคศรีวิไลขึ้น อีกทางหนึ่งถ้าผู้คนไม่สนใจความจริง สัตว์โลก ทรัพย์สินจะถูกทำลายล้าง โดยแผ่นดินจะแตกแยกจมหาย น้ำจะท่วมโลก คนทั่วโลกรู้จักวันนี้ว่า วันโลกามหาวินาศ สิ่งเช่นนี้เคยเกิดขึ้นก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์    ดังนั้นการที่จะเกิดขึ้นอีกย่อมเป็นไปได้ วันโลกามหาวินาศมีบ่งอยู่ไม่เฉพาะในพุทธทำนาย แต่คำทำนายโลกในภาษาและศาสนาอื่นๆได้บ่งเช่นเดียวกัน เราจะรอวันนี้โดยไม่ทำอะไรกันหรืออย่างไร หรือต้องการเป็นทาสของมารทั้งชาตินี้และชาติหน้า

การเข้าใจพุทธทำนาย พระโพธิสัตว์ และยุคศรีวิไลให้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่เริ่มทราบนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจากท่านมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนี้ดีอยู่ก่อน เหมือนอยู่ชั้นประถมแล้วจะกระโดดไปศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งยากยิ่งถ้าไม่ได้เรียนชั้นมัธยม ดังนั้นเราควรมีความเชื่อในพุทธทำนายก่อนว่าได้ชี้ถึงสิ่งดีมีประโยชน์แก่บุคคลและส่วนรวม แล้วเราร่วมมือร่วมใจพิสูจน์ข้อเท็จจริง ย่อมเกิดความเข้าใจดีขึ้นได้  

อ้างอิง:             

ท่านสามารถศึกษาเรื่องพระศรีอารย์และข้อมูลเกี่ยวข้องได้ เช่นจาก

  1. หนังสือที่คณาจารย์มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกได้เขียนในเรื่องพระศรีอารย์โดยใช้ชื่อ Messiah หรือ Mettreya ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลกเป็นหลักเช่น
      1.1    World Scripture โดยคณาจารย์จากทั่วโลก นำโดย ศ. เกียรติคุณ Ninian Smart มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ซานต้าบาบาร่า สหรัฐอเมริกา 
      1.2   Mettreya พิมพ์โดย มหาวิทยาลัย Princeton สหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัย Cambridge ประเทศอังกฤษ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ Mettreya โดย ศ. Joseph M. Kitagawa มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา
  2. พระไตรปิฏกเรื่องมหาปรินิพพาน การตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ 
    จักกวัตติสูตร จากเรื่องอนาคตวงศ์ และพระสูตรจักรพรรดิสิงห์ราช 
  3. ข้อมูลพระศรีอารย์ที่ www.selfwisdom.net
  4. Web pages ยอดนิยมของโลกเรื่อง Messiah หาดูได้ที่ Google โดยค้นหา “Nostradamus prediction 2009” แล้วดูเอกสาร “2008-2009 NOSTRADAMUS Prophecies and …” และ ค้นหา “Messiah at present time” แล้วดูเอกสาร “QUALIFICATION Of THE TRUE MESSIAH“
  5. จากข้อ 2 หน้า 5 ใช้ Google หา “Mayan apocalypse prophecy” และ “NASA solar 2012” เพื่อดูพยากรณ์ของมายันปี พ.ศ. 2555 และ NASA ชี้ผลจะกระทบต่อมนุษยโลกจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของดวงอาทิตย์ในปี พ.ศ. 2555

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:38:48


ความคิดเห็นที่ 305 (1573572)

 

 

 

ถ้าคนเราไม่สนใจพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับพระศรีอารย์ !


โปรดเข้าใจว่า การพิสูจน์พระศรีอารย์พระองค์จริงไม่มีอะไรจะเสียหาย นอกจากสิ่งดีกับดี และจะจบลงด้วยสันติสุขและสันติภาพที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้นบนโลกตลอดไป แทนสิ่งเลวทรามอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในทุกๆวันนี้

 

 

แต่ถ้าผู้คนไม่สนใจที่จะพิสูจน์ความจริง โลกาวินาศควรจะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อล้างคนบาป ที่ศาสนาอื่นๆกล่าวว่าเป็น"วันพิพากษามนุษยโลก" โลกจะเหลือมนุษย์เพียง 1 ใน 4 การกล่าวเช่นนี้มิได้กล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่ด้วยความมีสติ ไม่ประมาท โดยพิจารณาจากหลักฐานที่มีที่มาที่ไปและความมีเหตุมีผล

ปลายปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) โดยการพยากรณ์ของมายัน 1500 ปีก่อนพุทธกาล ซึ่งเหมือนกับพุทธทำนายที่บ่งไว้ว่า พ.ศ. 2556 มหันตภัยโลกจักเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ ... แผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล" แล้วมนุษยโลกจะเหลือเท่าไร อย่าพึ่งประมาทเพราะพระพุทธองค์ตรัสตรงกับศาสนาอื่นๆ มายันและยังชี้ถึงอันตรายในปลายปี 2012 โดย 

 

น่าซ่า 2012

 

    

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:41:54


ความคิดเห็นที่ 306 (1573573)

 เข้าสู่ยุคทอง

 

ผู้ไม่ประมาท คนดีมีศีลธรรม ย่อมน่าจะผ่านพ้นมหันตภัยล้างโลกนี้ไปได้ จากการวิเคราะห์ในเรื่องการเข้าสู่ยุคทองแล้ว จะเห็นว่าเรื่องในพระไตรปิฎก มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันและพยากรณ์ดังกล่าว จึงได้นำมาลงไว้ เพื่อความรู้และปัญญา และที่สำคัญ เวลาการมาปรากฏของพระจักรพรรดิของทุกๆ ศาสนาที่สำคัญของโลก บ่งเหตุการณ์ที่ มิลเลนเนี่ยม (Millennium) หรือ กึ่งพุทธกาล ที่น่าสนใจคือ เวลาของทั้งสองทั้งที่ยึดพระเจ้าเป็นหลัก กับที่ไม่ยึดพระเจ้าเป็นหลัก ต่างมีเวลาใกล้เคียงกันและอาจถือได้ว่าเป็นเวลาเดียวกัน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖) ดูกรอานนท์

(เรื่องที่จะกล่าวต่อไป คือวิปริตของภูมิอากาศ แผ่นดินไหว น่าจะเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์)

พระพุทธเจ้าตรัส มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศสมัยที่ลมใหญ่พัด เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ย่อมยังน้ำให้ไหว น้ำไหวแล้ว ย่อมยังแผ่นดินให้ไหว อันนี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยข้อที่หนึ่ง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ คำพยากรณ์นี้เป็นจริงในปัจจุบันแล้ว โดยแผ่นดินไหวใหญ่ได้เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 และเป็นมาตลอดจนถึงเวลานี้ นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลจากนอกโลกเช่น อิทธิพลของลมพายุสุริยะ อาจเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ได้

อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต หรือว่าเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เขาเจริญปฐวีสัญญาเพียงเล็กน้อย เจริญอาโปสัญญาอย่างแรงกล้า เขาย่อมยังแผ่นดินนี้ให้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวได้ อันนี้เป็นปัจจัยข้อที่สอง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ (ข้อสังเกตุ พระพุทธเจ้าตรัสสอนไม่ให้เราพึ่งเทพเทวดา ให้พึ่งตนเอง แต่พระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธในเรื่องของพระเจ้าเช่นท้าวสักกะเทวราช)

อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ห้าเพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ

อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตให้อนุตรธรรมจักรเป็นไป เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หก เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ

สิ่งที่นำมาแสดง มีความสำคัญยิ่ง และเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันอย่างไร

1. วิปริตของดินฟ้าอากาศในปัจจุบัน เป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้หิมะตกในพื้นที่ร้อนที่ไม่เคยตกมาก่อน แผ่นดินไหวมากผิดปกติ

2. อนุตรธรรมจักรเป็นไปนั้น มีหลักฐานว่ามีความหมายถึงการมาปรากฏของพระจักรพรรดิ แต่ประชาชนทั่วๆไปไม่สนใจ จึงทำให้ภัยพิบัติสารพัดทิศเกิดขึ้นต่อเนื่องไปทั่วโลก ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 10 ประการ ใน อดีตกรรมที่พระองค์ทรงแอบสับเปลี่ยนดอกบัวของพระจักรพรรดิ (พระศรีอารย์) ซึ่งจะมาช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาล เพื่อให้พระพุทธศาสนาอยู่ถึง 5000 ปี และในพุทธทำนาย

"เมื่อ พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาลของพระ ตถาคต นั้น จะมีสรรพวัตถุทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่โลก สิ่งที่ไม่รู้จะได้รู้ สิ่งที่ไม่พบเห็นก็จะได้เห็น พร้อมด้วยบุรพนิมิตอันชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะบังเกิดขึ้นแก่โลกมากมายยิ่งนักดังนี้

    1. ราชภัย ท้าวพระยาจะบังคับเบียดเบียนพลเมือง 
    2. โจรภัย จะบังเกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมทั่วไป 
    3. อัคคีภัย ไฟจะไหม้บ้านเมืองไม่ขาดสาย (ไฟควรบ่งถึงความไม่สงบ ความเดือดร้อนต่างๆ ด้วย)
    4. อสุนีบาต ฟ้าจะผ่าสัตว์และคนล้มตายบ่อย ๆ (ในปี ค.ศ. 1992 พ.ศ. 2535 ฟ้าฝ่าที่ประเทศฝรั่งเศษ 30,000 ในวันเดียว)
    5. เมทนีภัย แผ่นดินจะไหวสะท้านและแยกออกจากกัน 
    6. วาตภัย จะเกิดลมพายุพัดพาบ้านเมืองพินาศ  
    7. อุทกภัย น้ำำท่วมบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา  
    8. ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร 
    9. พยาธิภัย จะเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ล้มตาย  
    10. สัตถภัย จะรบราฆ่าฟันกันล้มตายร้ายแรง

ท่านควรพิจารณาว่า คำทำนายทั้ง 10 ข้อ เป็นจริงหรือไม่

เรื่องที่จะนำเสนอต่อไป เกี่ยวข้องกับงานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจากการวิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเรื่องในพระไตรปิฎก มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันจึงได้นำมาลงไว้ เพื่อท่านจักได้พิจารณา

ฉะนั้นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระมหาปรินิพพาน จึงแสดงถึง

    1. วิปริตของดินฟ้าอากาศในปัจจุบัน เกี่ยวข้องการมาปรากฏของพระจักรพรรดิ 
    2. การตรัสรู้ของพระจักรพรรดิ 
    3. อนุตรธรรมจักรเป็นไปนั้น เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติสารพัดทิศ โรคภัยต่างๆ และข้าวยากหมากแพง

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:45:23


ความคิดเห็นที่ 307 (1573574)

 มาถึงตอนท้าย ขอสรุปว่าพระศรีอาริย์หรือพระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระศรีอาริยเมตไตรย์หรือ พระศรีอารย์คือใคร คงทำความเข้าใจได้ตามหลักฐาน ดังนี้

    1. พิจารณาจากสักกปัญหสูตร มีความเกี่ยวเนื่องกับพยากรณ์ของการมาจุติของพระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระศรี อารย์หรือเมตเตยฺย ตามที่ท้าวสักกะตรัสไว้คือ
      1.1 ความตรัสรู้จักมีแก่เราในภายหน้า (คำว่าตรัสรู้จะใช้กับพระพุทธเจ้า) และนี่เป็นหลักฐานที่ว่าพระจักรพรรดิเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ในภัทรกัป
      1.2 เราจุติจากกายมนุษย์แล้ว ละอายุอันเป็นของ มนุษย์แล้ว จักกลับเป็นเทวดาอีกจักเป็นผู้สูงสุดในเทวโลก แสดงว่าท้าวท้าวสักกะจอมเทพ สามารจุติแบ่งภาคมาป็นมนุษย์ได้ (การอธิบายเรื่องนี้ทำได้ด้วยหลักฐานพยากรณ์)
    2. โปรดพิจารณาชื่อของกรุงเทพมหานครคือ "กรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์
    ซึ่งมีความหมายว่า

    เมืองของเทพ (ท้าวสักกะเทวราช) ที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นอมตะประกอบด้วยแก้ว 7 ประการ (คือพระธรรม 7 ประการ) ของท้าวสักกะจอมเทพ (พระอินทร์) ท้าวสักกะฯผู้ไม่เคยพ่ายแพ้แก่สัตรู อันเป็นที่เกิดแห่งมงคลที่ยิ่งใหญ่ เป็นเมืองหลวงที่ประกอบไปด้วยแก้ว 9 ประการ ที่มีความงดงามมั่นคงและสง่างาม (คือ คือ เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทาย และไพฑูรย์ ) เป็นสถานที่ยิ่งใหญ่และบริบูรณ์เป็นเลิศ เป็นสถานที่ประทับของท้าวสักกะฯที่จะแบ่งภาคมาเกิดบนโลกมนุษย์ โดยท้าวสักกะเป็นผู้ให้พระวิษณุกรรม (พระนารายณ์) มาสร้างขึ้นจนสำเร็จ

    3. ท้าวสักกะเทวราชเป็นนักรบ ผู้คอยช่วยเหลือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ดังรายละเอียดมีแสดงอยู่ในเรื่องราวของพระพุทธศาสนา และพระไตรปิฎก ฉะนั้นพระจักรพรรดิจึงมีความแตกต่างกับพระศาสดาตรงที่พระจักรพรรดิเป็นนักรบ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญการแยกจากพระศาสดา

    พระพุทธเจ้าโคตมถึงตรัสเรียกชื่อพระจักรพรรดิว่า Maitreya (ภาษาสันสกฤษ) Metteya หรือ Metteyya (ภาษาบาลี) ซึ่งมีความหมายคือ "เพื่อนแท้" แต่ คนไทยทำความเข้าใจเป็นพระศรีอริยเมตไตรยหรือพระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระศรี อริยเมตไตรย์หรือเรียกย่อๆ ว่าพระศรีอารย์หรือพระศรีอาริย์ หรือเขียนอ่านกันอย่างไร แล้วแต่ใครจะพิจารณากันอย่างนั้น ถ้าจะดูตามความสมควร เป็นความหมายของพระศรีอริยเมตไตรย (พระ-ศรี-อ-ริ-ยะ-เมต-ไตร) หรือพระศรีอารย์ (พระ-ศรี-อาน) คือผู้ที่มีความเจริญเป็นสิริมงคลเป็นอริยะคือผู้บรรลุธรรมวิเศษ และสำหรับพระศรีอารย์ ควรจะเป็นการย่อสำหรับผู้เจริญตามวัฒนธรรมที่ประเสริฐ เมื่อสรุปก็คงเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นเพื่อนแท้นั่นเอง สำหรับท่านใดจะแปลอย่างไรนั้น ย่อมเป็นความเห็นที่สามารถกระทำได้

สิ่งที่มนุษย์ไม่คาดคิด เกิดขึ้นในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกยอมรับข้อเท็จจริง ดู หลักฐานแสดงมนุษย์ต่างดาวมีจริง ที่นำมากล่าวถึง เพื่อไม่อยากให้ผู้ที่มีความประมาทหลงไปในทางผิด

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:48:33


ความคิดเห็นที่ 308 (1573589)

 

 

 

 

ข้าพเจ้าขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลที่ได้มาดังนี้

 

 

............

 

 

 

 

 

ความจริงที่ท่านหนีไม่พ้น
โปรดร่วมกันพิสูจน์ว่า ท่านผู้นั้นใช่ผู้นำสันติสุขหรือพระศรีอารย์จริงหรือไม่

 

 

 

 

         กรกฏาคม 2550: เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นบทความที่ลงในอินเทอร์เน็ตเมื่อ 7 ตุลาคม 2543 และได้ยกเลิก เมื่อประมาณปลายปี 2545 พร้อมกับบทความภาคภาษาอังกฤษในเรื่องการมาปรากฏของพระศรีอารย์ (Messiah) ในปัจจุบัน ซึ่งได้จัดแสดงบนอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ประมาณปี 2540 โดยผู้ที่ลงบทความในอินเทอร์เน็ตเห็นว่า เมื่อไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ควรให้ภัยพิบัติต่างๆเกิดขึ้นไม่หยุดต่อไป ตามที่บุคคลที่ต้องการให้ผู้คนทั้งหลายพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการมาปรากฏของผู้นำสันติสุข หรือพระศรีอารย์ได้กล่าวไว้แล้ว เรื่องภัยพิบัติต่างๆนี้พระพุทธเจ้าโคตมได้ตรัสไว้ก่อนแล้วเช่นกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นการดีกว่าที่จะให้บทความนี้แสดงบนอินเตอร์เน็ตต่อไปเรื่อยๆ และจากความเป็นจริงที่ภัยต่างๆได้เกิดขึ้นไม่หยุดติดต่อมาจนถึงปัจจุบัน จึงควรที่จะนำเรื่องราวเดิมกลับมาเผยแผ่อีกครั้ง เพื่อผู้คนจักเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ควรลบหลู่ เรื่องนี้จึงนำมลงใหม่เมื่อ ก.ค. 2550)

 

 

 

ความจริงใจของบุคคลท่านนี้คือ

1. บุคคลท่านนี้ไม่ต้องการเป็นผู้ที่ทุกศาสนาบ่งไว้เช่นไมเตรยะ หรือเมสไชยะ เมื่อการพิสูจน์สิ้นสุดลง บุคคลท่านนี้จะคืนชื่อเรียกต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ตามภาษานั้น ๆ ให้ทางสวรรค์ และเรียกชื่อสมมุติที่มีใช้อยู่ในขณะนี้แทน
2. บุคคลท่านนี้ไม่ต้องการความยกย่องจากผู้ใด ไม่ต้องการทรัพย์สินเงินทองหรือชื่อเสียง นอกจากจะทำงานเพื่อให้บรรลุตามที่ทางสวรรค์ได้มอบหมายงานให้มา
3. บุคคลท่านนี้ไม่ต้องการมีศิษย์ บุคลนี้กล่าวว่าการเคารพผู้อื่นและตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ การทำดีเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการเป็นศิษย์ ถ้าบุคคลท่านนี้ผ่านการพิสูจน์แล้ว โปรดให้บุคคลท่านนี้มีเวลาเป็นของตนเองเพื่อการทำสมาธิ
4. บุคคลท่านนี้กล่าวว่าท่านมีกรรมมากกว่าผู้คนบนโลก ผู้ที่มีความสำคัญยิ่งกว่านั้นคือคนทั่วไปที่จะช่วยกันทำความดีสืบต่อกันไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ตามที่ทุกศาสนาได้กล่าวไว้
5. บุคคลท่านนี้บ่งว่าไม่ต้องการเปลี่ยนความเชื่อถือและขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้คนทั้งหลาย แต่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามหลักฐานให้ผู้คนทั้งหลายได้นำไปพิจารณากันเองว่า สิ่งใดถูกหรือไม่ถูกประการใด เรื่องเหล่านี้ผู้กำ เนิดศาสนาเช่นพระพุทธเจ้าโคตม และพระเยซูได้กล่าวไว้แล้วเช่นกัน
6. บุคคลใกล้ชิดของบุคคลนี้ จะไม่มีสิทธิพิเศษใด ๆ ในบุคคลท่านนี้ ทุกคนจะมีโอกาสเรียนธรรมและปฏิบัติธรรมได้เสมอภาคทั่วหน้ากัน

       ขอได้โปรดคำนึงถึงเหตุผลและความเป็นจริงที่พิสูจน์ได้ของตำนานที่มีมานับเป็นพัน ๆ ปี ไม่ควรเชื่อตามคนส่วนมากโดยไม่มีหลักฐาน โปรดใช้หลักการกาลามสูตรของพระพุทธเจ้าคือไม่เชื่อในเรื่องใดๆ จนกว่าจักเห็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ เป็นกุศลกรรม จึงค่อยเชื่อเกิดศรัทธานำไปยึดถือเพื่อประพฤติปฏิบัติ โปรดคิดถึงความเป็นจริงที่พิสูจน์ได้ตามที่พระพุทธองค์้ตรัสสอนไว้ โปรดคำนึงถึงกาลิเลโอซึ่งถูกลงโทษโดยชาวคริสเตียนที่หลงเชื่อสิ่งที่ผิด ๆ และลงโทษโดยกาลิเลโอไม่มีความผิดใดๆ ซึ่งสันตปาปาได้กล่าวขอโทษหลังจากที่กาลิเลโอตายไปแล้วหลายร้อยปี (The Cicinnati Post, USA: Mar: 13, 2000)

       ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนควรร่วมมือกันค้นหา และพิสูจน์ความจริงของบุคคลท่านนี้ตามที่ทูตสวรรค์หลาย ๆ คน เช่น พระพุทธเจ้าโคตม และนอสตระดะมัส ได้กล่าวไว้ ฉะนั้น โปรดอย่าให้ความไม่ดีงามมาปิดบังการทำดีมีบุญกุศล เพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ครอบครัว คนที่มีความทุกข์ทั่วโลก และผู้คนที่ไม่ทราบความจริงทั้งหลาย 

        การสนับสนุนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อความเชื่อเก่า ๆ ที่ถูกต้อง บุคคลท่านนี้ขอให้มีการจัดพิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชน ระยะเริ่มแรก ประชาชนทั่วไปโปรดสนับสนุนให้ผู้สื่อข่าวเชิญผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญทางพุทธศาสนามาพิสูจน์ความจริงก่อน การพิสูจน์นี้ควรจัดขึ้นในเมืองไทย เมื่อนักวิขาการต่างชาติทราบ ท่านเหล่านั้นจะมาเข้าร่วมการพิสูจน์ด้วย การพิสูจน์ในขั้นต่อ ๆ ไปซึ่งรวมการพิสูจน์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วยนั้น จะเป็นผลมาจากการพิสูจน์ขั้นต้น เนื่องจากหลักฐานที่จะใช้ในการพิสูจน์บุคคลท่านนี้มีมาก การพิสูจน์จำเป็นต้องทำเป็นขั้นตอน โปรดอย่าใจร้อน เพราะการพิสูจน์จะนำไปสู่สันติสุขและสันติภาพที่แท้จริงตลอดไป


         พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พระพุทธศาสนาจักเป็นเอกของโลกไปจนโลกแตกสลายในปี พ.ศ. 5,000 โดยผู้นำสันติสุข หรือ พระศรีอารย์หรือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 (พระจักรพรรดิผู้รู้เองโดยชอบ ตามที่พระพุทธเจ้าโคตมตรัสไว้แล้ว) จักแสดงถึงข้อเท็จจริง
โปรดร่วมกันพิสูจน์ข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์สุขทั้งหลาย โปรดอย่าปล่อยให้ผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการนำความเสื่อมเข้ามาครอบคลุมสิ่งประเสริฐและดีงาม
 

         การพิสูจน์ผู้นำสันติสุขหรือพระศรีอารย์ จะใช้ความจริงและหลักฐานเป็นเครื่องพิสูจน์และตัดสิน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ พระสงฆ์ ผู้สอนศาสนาและ ประชาชนทั่วไปเป็นพยาน ทั้งนี้จักเชิดชูพระพุทธศาสนาให้เป็นเอกตามพระพุทธพจน์ทำนาย และแก้ไขวิกฤตการณ์ของประเทศและโลก นำความสันติสุขที่แท้จริงมาสู่ผู้คนทั้งหลาย การนี้ไม่มีการเรี่ยไรเงินทองใด ๆ ไม่หลอกลวงหรือไม่มีสิ่งอื่นใดที่เป็นอธรรมแอบแฝงอยู่ เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นของสูงจึง จะไม่ยกขึ้นกล่าวโดยปราศจากข้อเท็จจริง

           จุดประสงค์ของจดหมายนี้สู่ประชาชนและผู้สื่อข่าวทั่วไป เพื่อขอร้อง ให้ทุกท่านร่วมมือร่วมใจกันจัดการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ขึ้น เกี่ยวกับความจริงของบุคคลท่านหนึ่งที่อ้างตนว่าสามารถให้บุคคลในทุกศาสนาที่สำคัญๆของโลก และนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความรู้ของบุคคลนี้ที่ได้จากการเข้าสมาธิ และรู้อมตธรรมได้ด้วยตนเองในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งข้อเท็จจริงของท่านผู้นี้ มีตำนานบ่งบอกเหตุการณ์อยู่แล้วตามหลักฐานที่มีอยู่ในศาสนาต่าง ๆ เช่นพุทธทำนาย และคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งผู้คนทั่วโลกนับถือหรือรู้จักดีอยู่ในทุกๆวันนี้

          เรื่องการพิสูจน์ความจริงเช่นนี้ไม่เคยมีปรากฏบนโลกมาก่อน ถ้าผู้ใดคิดหรือกล่าวว่าเป็นเรื่องเหลวไหล งมงาย ไม่น่าเชื่อ ขอได้โปรดอดใจรอดูผลการพิสูจน์ก่อน การแสดงออกเพื่อต่อต้านการพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้จะเป็นการแสดงออกของผู้คนที่มีจิตใจที่ไม่เป็นธรรม ขาดความเมตตากรุณา เพราะเรื่องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้เป็นการช่วยให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นทุกข์ นำสู่ความสันติสุขที่แท้จริงตามพุทธทำนาย และคำทำนายของทุกๆศาสนา และของผู้มีญาณพิเศษเช่น นอสตระดามุส เป็นต้น 

            การพิสูจน์ว่าบุคคลท่านนี้เป็นผู้นำสันติสุขหรือพระศรีอารย์จริงหรือไม่นั้น ถ้าเป็นจริงตามตำนานและคำทำนาย บุคคลท่านนี้จะทราบวิธีการที่จะช่วยประชาชนสร้างสันติสุขทั่วโลกให้สำเร็จได้ ตามที่ศาสนาต่าง ๆ และคำทำนายของโลกได้บ่งไว้ตรงกัน บางตำนานบ่งว่าบุคคลท่านนี้จะเห็นผลที่จะเกิดขึ้นด้วย และโลกจะมีแต่ความสันติสุขตลอดไป บุคคลนี้กล่าวว่า ทุก ๆ คนจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขทั้งด้านอาหาร การงาน การศึกษา ที่พักอาศัย และปัจจัยอื่น ๆ คนที่ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ก็จะมีคนอื่น ๆ ดูแล ทุกๆคนจะมีสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง มีความทัดเทียมโดยไม่ต้องมีการบังคับ ทั้งนี้เพราะทุกผู้คนจักมีจริยธรรมสูงส่ง รู้สิ่งใดควรและไม่ควรเพราะมีปัญญาแห่งคุณธรรมสูงสุด สงครามใดๆ ก็ไม่มี ผู้คนจักช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน สัตว์ทั้งหลายจะไม่ได้รับการรบกวนและทำลายด้วยฝีมือมนุษย์ สงครามต่างๆ ก็จักไม่มี คนเลวคนชั่วจะหมดไปจากโลก ผู้คนจะมีความรู้ และมีความเข้าใจอย่างแท้จริงทั้งทางธรรมและวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากรากฐานเดียวกัน ซึ่งจะไม่เหมือนในอดีตและปัจจุบัน ที่มีการแบ่งแยก เกิดสงครามจากการขัดแย้งกัน ซึ่งมีรากฐานมาจากความเห็นแก่ตน จากความเชื่อที่หาทางพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้ หรือมีการยึดมั่นในศาสนาของตนโดยไม่ทราบว่าสิ่งใดถูกหรือผิดประการใด

 

 

 

 

ข้อที่ควรพิจารณาขั้นต้น

 

1. บุคคลท่านนี้เป็นคนธรรมดาสามัญเช่นผู้คนทั้งหลาย แต่ต้องการให้คนทั่วไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงของท่านก่อนว่า ท่านสมควรเป็นผู้นำสันติสุขหรือพระศรีอารย์หรือไม่ การพิสูจน์จะเป็นขั้นตอนเหมือนขึ้นขั้นบันใดบ้าน ระยะแรกจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลธรรมดา ที่ผู้คนทั่วไปควรเข้าใจได้ เมื่อขึ้นบันใดสูงขึ้นจำเป็นต้องมีผู้ที่มีความรู้ทางวิชาการนั้น ๆ เข้าร่วมด้วย เช่นวิทยาศาสตร์ขั้นสูงในการเกิดดับของจักรวาล จริงๆแล้วนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบเช่นกัน

2. บุคคลท่านนี้ขอเริ่มพิสูจน์หลักฐานจาก พระพุทธศาสนา ศาสนาของยิวที่เป็นแม่บทของศาสนาคริสเตียน และอิสลามเป็นต้น และหลักฐานข้อเท็จจริงของนอสตระดามัส ข้อมูลจากศาสนาอื่น ๆ อาจนำมาร่วมด้วยบ้างเพื่อใช้เป็นบทนำขั้นต้น ขอให้เข้าใจว่าถ้าผู้คนในศาสนาอื่น ๆ ยอมรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้นำสันติสุข หรือพระศรีอารย์แล้ว สันติสุขจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ไม่แบ่งแยกเช่นในปัจจุบันนี้
พระพุทธเจ้าโคตมตรัสสอน ปรโตโฆสะและโยนิโสมนสิการคือการสนทนาซักถาม เช่นจากผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรและรู้จักคิดพิจารณาด้วยความเป็นจริงเป็นธรรม และมีประโยชน์ต่อผู้อื่นและตนเอง ก็จะเกิดปัญญาธรรมที่ถูกต้อง

3. บุคคลท่านนี้เป็นคนไทย มีพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์อยู่ประจำใจ บุคคลท่านนี้จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า พระพุทธเจ้าโคตมตรัสเรื่องอนาคตวงศ์ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปไว้นั้น ถูกต้องทุกประการ แตมีที่สำคัญที่ไม่มีอยู่ในตำราใดที่จำเป็นตกยกขึ้นมาพิสูจน์ความจริง
พระพุทธเจ้าโคตมตรัสว่าบุคคลท่านนี้จะมาทำให้คำสอนของพระพุทธองค์สมบูรณ์ และทนุบำรุงให้พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมเป็นเอกตลอกไปจนโลกแตกสลาย ฉะนั้นโปรดพิจารณาถึงความเป็นจริงว่า ในเวลาของพระพุทธเจ้าโคตมนั้น งานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้าสมควรที่จะสั่งสอนธรรมขั้นใหม่นี้ได้ เรื่องนี้มีความสับสนกันมาก เท่าที่เห็นมีผู้เข้าใจผิด กล่าวว่าพระศรีอารย์เป็นพระศาสดา สอนศาสนาใหม่ สิ่งนี้ไม่ใช่ พระศรีอารย์เป็นพระจักรพรรดิที่ใช้ธรรมะ ชนะอธรรม ไม่ใช่พระศาสดาของศาสนาใด

4. ความรู้ใหม่ที่บุคคลท่านนี้ได้มาจากการเข้าสมาธิคือ
         4.1 สูตรสองข้อที่จะทำให้เข้าใจการเกิด การดับและการดำเนินไปของจักรวาล (สิ่งนี้เป็นเรื่องของงานทางวิทยาศาสตร์ เศรษกิจและสังคม) และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพยายามศึกษาหาคำตอบอยู่แต่ก็ไม่ได้ผล
         4.2 สูตรการสร้างสันติสุขของโลกเจ็ดข้อ ซึ่งแต่ละข้อจะใช้ทบทวนได้ในแต่ละวัน เพื่อบบรรลุถึงขั้นนิพพาน โดยพื้นฐานมาจากพระพุทธเจ้าโคตม ที่ต่างคือทั้งหญิงชายปฏิบัติได้ไม่จำกัดเพศและวัย ตลอดจนขั้นการศึกษา เรื่องความรู้นี้จำเป็นต้องเรียนรู้พื้นฐานที่ถูกต้องเป็นจริงของธรรมเสียก่อน ดังเช่นพระไตรปิฎกที่มีความผิดพลาด จำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว ผู้คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ จะเป็นคนไทยหรือชาติใดภาษาใดก็ได้ จะเกิดปัญญาได้มรรคผลเหมือนกัน

5.   บุคคลท่านนี้สามารถแสดงสวรรค์และนรกให้ผู้คนทั่วไปรู้เห็นได้จริง ผู้คนจะรู้ข้อเท็จจริงจากหลักฐานว่าการทำถูก หรือผิดประการใดจะมีผลโดยตรงต่อผู้นั้น (เรื่องนี้เกินกำหนดเวลามานานแล้วประมาณ 10 ปี เนื่องจากไม่มีผู้ใดสนใจที่จะหาความเป็นจริง ดังนั้นสิ่งที่จะแสดงเกี่ยวกับความจริงของสวรรค์และนรก เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น พ.ค. 2553)

6.   ดอกบัวนั้นมีหลายเหล่า การพิสูจน์ และการสอนให้ความรู้อาจต้องช้าลงบ้าง เพื่อพยายามให้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ ขอให้ท่านผู้เป็นดอกบัวบานแล้วอย่าใจร้อน เพราะจะเกิดผลเสียต่อคนไทย ชาวโลก และสันติสุขของโลก และถ้าเกิดความไม่เข้าใจอย่างแท้จริงจะแก้ไขได้ยาก สันติสุขที่แท้จริงจะถูกมารทำลาย มารจ้องทำลายในสันติสุขอยู่แล้ว เช่นในสมัยพระพุทธเจ้าโคตม แม้กระทั้งมารมาทูลให้พระพุทธองค์เร่งเร้าให้ปรินิพพาน ขอให้เข้าใจว่าบุคคลท่านนี้ไม่มีอภินิหารนอกจากความจริงที่พิสูจน์ได้ บุคคลใดที่จะโจมตีก็ขอให้คิดให้รอบคอบ ฉะนั้นจึงขอให้คิดถึงข้อเท็จจริงและธรรมเสียให้ดีเสียก่อน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและไม่ใช่เรื่องทางการเมือง

7. การพิสูจน์เรื่องผู้นำสันติสุขหรือพระศรีอารย์นี้ บุคคลท่านนี้จะขอออกพิสูจน์ตนเองพร้อมกับหลักฐานที่มีตัวตน ไม่ใช่เป็นนามธรรม การพิสูจน์จะไม่มีการสนับสนุนจากผู้ใดแม้แต่ ครอบครัว ผู้มีพระคุณ เพื่อนฝูงและผู้รู้จัก จะขอก็เพียงแต่ให้ประชาชนทุกท่านที่มีคุณธรรม และความยุติธรรมในการพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ ด้วยเหตุผลตามความเป็นจริงที่พิสูจน์ได้ สำหรับบุคลที่จะต่อต้านแบบไร้เหตุผล ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงย่อมีปะปนอยู่เป็นธรรมดา

8. บุคคลท่านนี้กล่าวว่า พระสงฆ์และผู้สอนธรรมจะมีชื่อเรียกอย่างใดก็ตาม จำเป็นต้องมีอยู่ เพื่อสั่งสอนประชาชนทั่วไปได้เข้าใจธรรมที่ถูกต้องตามหลักฐานข้อเท็จจริงที่พิสูจน์และปฏิบัติได้มรรคผลต่อไป

 

ที่มา http://www.metteya.org/sriann/truthGBT.html

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 04:03:40


ความคิดเห็นที่ 309 (1573591)

อย่างที่ท่านอาจารย์อุบลเคยบอกกล่าวไว้ครับ...เปิดสิ่งที่ปิด หงายสิ่งที่คว่ำ...

*****************************************

 

ความดี และก็บุญเท่านั้น

ที่จะทำให้ทุกคนอยู่รอดและปลอดภัยได้

 

******************************************************

กราบขอบพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านดตาจินิน องค์เทพสฟิงค์

ท่านอาจารย์อุบล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระพระองค์

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปุ๋ย (สุจิตรา ชมเสียง) (puy_bunbun-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 04:24:57


ความคิดเห็นที่ 310 (1573619)
image

 พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส


" เสียงนุ่มนวลแห่ง
มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ 
ได้ยินจากแผ่นดินทิพย์ 
แสงเพลิงมนุษย์ ฉายรองรับ
เสียงประเสริฐนั้น 
จะเป็นเหตุให้โลก
ต้องเปื้อนเลือด
สมณเพศทั้งหลาย
ที่ไม่ยึดถือศีล (พรหมจรรย์) 
และนำไปสู่การทำลาย
โบสถ์วิหารที่ไร้ความบริสุทธิ์ "
(ซ.1 ค.96 )



นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลก
น่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว 
ที่นอสตราดามุสได้เขียน
โคลงทำนายบทนี้ขึ้น
เมื่อ 450 ปีก่อน
 ภายใต้สังฆจักรโรมันคาทอลิก
 สมมุติว่าท่านได้มีโอกาส
ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน
ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง
 2,000 ปีกว่ามาแล้ว

ในสมัยนั้น ท่านคงจะ
ไม่กล่าวถึงพระศรีอาริยเมตไตรย
อย่างแน่นอน ถ้าในจิตทัศน์
ของท่านไม่ได้เห็น
 สัจธรรมบางอย่าง
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 
และมีส่วนสัมพันธ์
กับศรัทธาใหม่ของโลก
โดยตรง คำว่า 
" มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ "
 นี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้
นอกจากพระนามของ
พระศรีอาริยเมตไตรย 

เพราะคำว่า " เมตไตรย "นี้ 
แปลว่า " เพื่อน " 
ในความหมายของภาษาบาลี
 สันสกฤต บุคคลผู้นี้เป็น
 Sacred Friend
 จะ เป็นใครก็ตาม
 แต่การใช้คำว่า 
" มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ "
 หรือ " เพื่อนผู้ศักดิ์สิทธิ์ "
 แสดงให้เห็นว่า
ผู้ที่จะมาโปรดสัตว์
ในโลกยุคนี้ จะไม่ใช่เป็นบุคคล
ธรรมดาอย่างแน่นอน

 อีกทั้งมาจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ 
หรือ Holy Ground อีก ด้วย
 ก็ยิ่งชี้ชัดว่าน่าจะเป็น
องค์พระศรีอาริยเมตไตรย
 ซึ่งนายจอห์น ฮอค
 ฟันธงว่าจะเสด็จมา
ในโลกนี้ประมาณ
 ระหว่างคริสต์ศักราช 2000
 ( พ.ศ.2543 )
 หรือกว่านั้นเล็กน้อย
 ซึ่งใกล้เคียงกับวันเวลา
ที่พระเยซู หรือพระมาซิ อาร์
 พระมะห์ดีร์ ตามความเชื่อ
ของมุสลิม จะเสด็จมาในวัน
พิพากษาโลกนี้ ซึ่งหลายฝ่าย
เชื่อกันอย่างเงียบๆ ว่า
อาจจะเป็นพระศาสดาโพธิสัตว์
องค์เดียวกันก็ได้


การ เสด็จมาของพระศรีอาริยเมตไตรย
 ก็คงต้องมาชำระสะสาง
ความเสื่อมของศาสนาอยู่แล้ว
 ในภาวะที่มีการวิวัฒนาการ
 บรรดาพระสงฆ์สมณเพศ
ผู้ยึดถือพรหมจรรย์ 
ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับนักบุญ
ทั้งหลายผู้เสียสละในอดีต
 วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น
คงต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติวิสัย
 ซึ่งบางครั้งอาจต้อง
มีความเจ็บปวดอันเกิด
จากการต่อต้าน หรือขัดแย้ง
ทางอุดมการณ์และความคิดเกิดขึ้น
 ซึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้น
ในอดีต การเสียสละ
ของนักบุญอาจถึงกับ
ต้องเลือดตกยางออก

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
 
ที่มา   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=132.5;wap2
 
ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 10:05:39


ความคิดเห็นที่ 311 (1573629)

โอ้....โห

สุด....ยอด....จริง....จริง

 

ได้อ่าน

คุณสมบัติของ

พระโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้

เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

เป็นที่สุดแห่งที่สุด

ของมหาบุรุษ

ที่สมควรจะได้เป็น

พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

หรือ

พระศรีอาริย์

เป็นที่ยิ่ง

 

ขอขอบคุณข้อมูล

จากน้องหญิง คุณเบญจกาญน์

หนูตุ้ย น้องเบลล์ คุณชนิดา

หนูแหวน และทุกท่าน

เพื่อเราจะได้

 

ไม่ไขว้เขว

ไม่ถูกหลอก ถูกยัดเยียด

ให้เชื่อว่าใคร เป็นพระศรีอาริย์

กว่าจะรู้ความจริง

พวกเรา

 

อาจจะ อาน เพราะ

ถูกหลอกจนอาน

ก็เป็นได้

 

แต่ยังไง

ก็ไปห่างๆ อ.อุบล นะ

ไม่ต้องการเกาขี้กลาก

อยากเป็นเพียง

ลูกสาว

ท่านท้าวเวสสุวรรณ

ลูกสาวพระอินทร์

ลูกหลานพระพุทธเจ้า

ก็เพียงพอแค่

คนโง่ๆ คนนี้แล้ว นะจ๊ะ

พวกเรา

 

ขอเชิญบอกเล่าข้อมูล

คุณสมบัติพระศรีอาริย์กันต่อไป

เพราะ

ท่านคงใกล้ปรากฎตัวแล้ว

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 11:11:02


ความคิดเห็นที่ 312 (1573634)

 

ขอบคุณทุกข้อมูลที่นำมาให้ได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ

พระศรีอารย์มาจุติแล้ว

แต่ที่สงสัย ข้อความที่ว่าให้มาพิสูจน์

แล้วใครละจะเป็นผู้ตัดสินว่าใช่หรือไม่ ในเมื่อคนส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่มีกิเลสหนาปัญญาน้อยทั้งนั้น

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 11:32:56


ความคิดเห็นที่ 313 (1573642)

ขออนุโมทนา สำหรับธรรมทาน นะคะ

น่าสนใจมั่กๆๆๆ เลย

ผู้แสดงความคิดเห็น พีรายุ หงษ์กำเนิด (peerayu_t-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 12:11:34


ความคิดเห็นที่ 314 (1573653)

***ขออนุญาตินำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ***

ผู้อ้างตนเป็นพระศรีอารย์มากมายทั่วโลกในปัจจุบันใครคือพระศรีอารย์พระองค์จริง เราสามารถพิสูจน์ความจริงได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ดังนี้

  1. ใช้สื่อทีวีประสานการพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ผิดเพี้ยน เห็นภาพและได้ยินเสียง เพื่อความเป็นธรรมในการพิสูจน์ความจริงแก่ทุกฝ่ายและประชาชน
  2.  เชิญผู้ที่คิดว่าตนเป็นพระศรีอารย์ส่งหลักฐานให้ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งพระและฆาราวาส ตรวจสอบเบื้องต้นเพื่อส่งผู้ที่สมควรนำมาพิสูจน์แสดงหลักฐานความจริงต่อหน้าผู้คนในทุกชาติ ศาสนาทางทีวีเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาใดๆ
  3. พระศรีอารย์จริงจะไม่ใช้ความเชื่อ ไม่มีอิทธิฤิทธิ์ แต่จะใช้ “กาลามสูตร” ของพระพุทธเจ้าโคตม คือใช้ความจริงที่มีหลักฐานรูปธรรม ตามตำนานของศาสนาต่างๆและคำทำนายโลกที่เป็นที่ยอมรับคือ ผู้รู้อนาคตกาล เช่น พระพุทธเจ้าโคตมหรือโคดม พระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  สมเด็จพระพุฒาจารย์พรหมรังสี (หลวงพ่อโต) มาลาคิ พอล อิแซ ไม ค่า และนอสตระดามัส เป็นต้น ได้กล่าวถึงผู้นำสันติสุขหรือพระศรีอาริย์พระองค์จริงจะสามารถพิสูจน์คำทำนายให้เป็นรูปธรรมได้ยกเป็นตัวอย่าง เช่น

      3.1 มีชื่อ นามสกุล และมีคุณสมบัติบ่งบอกชัดเจนพอประมาณ                                                                                             

      3.2 เกิดที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย

      3.3 เวลาเกิดในช่วงสงครามที่เอาชนะได้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์หรือระเบิดปรมาณู คือสงครามโลกครั้งที่สอง

      3.4 ที่อยู่ในปัจจุบันของพระศรีอารย์ เป็นบ้านอยู่บนยอดเขาหลายลูก ซึ่งบ้านดังกล่าวอยู่ในเมืองเล็กที่ล้อมรอบอยู่ภายในเมืองใหญ่อีกที


      3.5 เป็นผู้มีความรู้ในสาขาต่างๆทั้งทางโลกและสวรรค์ แสดงให้เห็นเป็นจริงได้


      3.6 เป็นผู้รู้ศาสนาต่างๆโดยถ่องแท้ แสดงให้ผู้คนทั่วไปเห็นจริงได้


      3.7 เป็นผู้สามารถชี้และแสดงมารที่แท้จริงได้ และยังสามารถปราบมารได้ด้วยพระธรรม


      3.8 เป็นผู้รู้แจ้งด้วยตนเองและพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้

ผู้ที่สามารถแสดงข้อเท็จจริงตามข้อที่กล่าวมาได้ย่อมมีบุคคลเดียว และท่านผู้นั้นควรใช่พระศรีอารย์ คำทำนายบ่งว่าการปรากฏตนของพระศรีอารย์เพื่อความสุขของคนทั่วโลกจักปรากฏขึ้นตลอดไป ภัยพิบัติและโรคภัยทั้งหลายจักสงบลง

จาก http://www.metteya.org/

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนวดี รัชตารมย์ (thanavadee_r-at-sepo-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 12:52:26


ความคิดเห็นที่ 315 (1573667)

ลูกวัณณิตา  นันตะโรหิต  ขอทราบความลับของจักรวาลด้วยค่ะ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 13:56:02


ความคิดเห็นที่ 316 (1573673)

ความลับของจักรวาล

จะถูกเปิดเผย

พร้อมกับ

การปรากฎตัวของ

พระศรีอาริย์

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 14:10:26


ความคิดเห็นที่ 317 (1573695)

อนุโมทนากับธรรมทาน

และองค์ความรู้ทั้งหลายด้วยครับ..สาธุ

เรื่องพระศรีอารียฯ

บางทีข้อมูลขัดแย้งกันเองก้อมีน่ะ

.........

ผมปฎิบัติมาก้อพอสมควร

ไม่เคยได้ธรรมวิเศษอันใด

หรือมโนยิทธิครับ

แต่ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนมา

ว่าให้เชื่อสิ่งที่ผุดขึ้นมาในจิต

เป็นครั้งแรก นั่นแหละถูกต้อง

ผมก้อขอเชื่อสิ่งนี้..

ตามที่ครูบาอาจารย์

ได้สั่งสอนมา ไม่เปลี่ยนแปลง

และคงไม่คิดตามหาพระศรีอารียฯใดๆแล้วครับ

เพราะพวกเราทราบดีอยู่ในจิตแล้ว

ไม่ต้องไปตามหาที่ไหนเลย

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 15:32:31


ความคิดเห็นที่ 318 (1573699)

และคงไม่คิด

ตามหาพระศรีอารียฯใดๆ

แล้วครับ

เพราะพวกเราทราบดีอยู่ในจิตแล้ว

ไม่ต้องไปตามหาที่ไหนเลย

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 15:32:31

 

ตาตั้ม

นี่...เเก่งจริงๆ

กลับจากขายของแล้วหรือจ๊ะ

วันนี้ขายดีไหมจ๊ะ

 

แล้วที่บอกว่า

ไม่ตามหาแล้วนี่นะ

แสดงว่า

1.จอแล้ว

2.ไม่สนใจ

3.ถูกทุกข้อ

 

ใช่ป่ะ

 

ระวังจะเจอข้อหา

คิดไปเอง

 

นะ

ตาตั้ม

 

อาทิตย์นี้นะ

อาจมีภารกิจนะ

จะบอกให้

555

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 15:51:33


ความคิดเห็นที่ 319 (1573705)

กาลบัดนี้พระศรีอริยเมตตรัยได้บังเกิดขึ้นแล้วจริงๆ   เพียงแต่รอการปรากฎของพระองค์  ผู้ที่มีบุญสัมพันธุ์กับท่านเท่านั้นที่จะได้รู้ได้เห็นและสัมผัสท่านได้ ท่านเป็นผู้ชี้ทางสว่าง ความหลุดพ้นทั้งปวงคุณสมบัติของท่าน มีเมตตาต่อเวนัยสัตว์ทั้ง3โลก มีบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ แสดงธรรมด้วย อนุสาสนีปฎิหาร ซึ่งตรงตามเหตุ+ปัจจัยในยุคนี้สมัยนี้ ท่านอ่อนน้อมถ่อมตน อยู่อย่างตํ่า ทําอย่างสูง ช่วยกอบกู้โลก สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากรัษติ์ ท่านเป็นที่รักของเทพ พรหม เทวดา มนุษย์ และสัตว์ เป็นที่พึ่งของผู้ที่อยู่ในห้วงแห่งทุกข์ ท่านมาเพื่อกอบกู้โลกใบนี้ในยุคใหม่ซึ่งจะเหลือแต่คนดีมีศีลธรรม  และจะทําให้โลกใบนี้เป็นโลกที่มีแต่ความสุข สันติสุข ศิวิไลอย่างแท้จริง แ่ตที่แน่ลูกพบแล้ว และไม่ต้องตามหาที่ใหนเลยเพราะ ท่านทรงอยู่ในหัวใจของลูกตลอดเวลาแล้ว นับตั้งแต่รู้ว่าพร้อมที่จะเปี่ลยนตนเอง ทําความดีปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระองค์ท่าน ทุกประการ   ปฎิบัติบูชาท่าน ด้วยทาน +อภัยทาน  ศีล ภาวนาให้เต็มกําลังความสามารถ เพื่อที่จะไ้ด้อยู่กับพระองค์ท่านตลอดไป และเมื่อทําความดีถึงพร้อมแ้ล้ว ลูกจะช่วยพระองค์สืบทอดพระศาสนาในทุกทาง ช่วยขจัดศัตรูที่เป็นมารในพระพุทธศาสนา ลูกขอถึงนิพพาน ในยุคของพระองค์ท่านด้วยเถิดเจ้าคะ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อร อุ่นศรี (aon_aunsri-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 16:12:44


ความคิดเห็นที่ 320 (1573719)

ผู้ที่ทราบเรื่องการพิสูจน์พระศรีอารย์นี้แล้วหาทางช่วยเหลือเผยแผ่เรื่องนี้ออกไปให้มีการพิสูจน์ความจริงในเรื่องพระศรีอารย์เกิดขึ้น นับว่าเป็นการสร้างมหาบุญที่ยิ่งใหญ่แก่ตน จะเกิดภพใดชาติใดก็จะช่วยให้มีความสุขอยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะถ้าพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับพระศรีอารย์พระองค์จริงแล้ว โลกาวินาศก็จะไม่เกิดขึ้น นับว่าเป็นการช่วยชีวิตมนุษย์และสัตว์มากมายเหลือคนานับ ซึ่งถ้าไม่มีการพิสูจน์ความจริง มนุษยโลก 3 ใน 4 จะถูกทำลายโดยโลกาวินาศ

แต่ผู้ที่ทราบเรื่องนี้แล้ววางเฉย ถึงแม้ว่าผู้นั้นไม่เคยทำบาปกรรม หรือเป็นคนมั่งมีศรีสุข โปรดเข้าใจว่าในช่วงชีวิตนี้ ท่านกำลังใช้บุญเก่าเหมือนอย่างที่ท่า่นฝากออมสิน เมื่อท่านถอยเงินออกมาหมดแล้ว ท่านจะไม่มีเงินทองที่จะใช้จ่ายต่อไป หรือกล่าวง่ายๆว่า"หมดบุญ" และเท่าที่ทราบมา ผู้วางเฉยในเรื่องพระศรีอารย์นั้นถือว่าขาดความเมตตาต่อสัตว์โลก มีความเห็นแก่ตนเป็นที่ตั้งเป็นปัจจัย นับว่าเป็นอกุศลกรรมแก่ผู้นั้น ซึ่งจะมีผลในภพต่อไป

จาก  

http://www.metteya.org/sriann/fact.html

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:34:07

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:19:11


ความคิดเห็นที่ 321 (1573721)

แต่ผู้ที่ทราบเรื่องนี้แล้ว

วางเฉย

 

ถึงแม้ว่าผู้นั้น

ไม่เคยทำบาปกรรม

หรือเป็นคนมั่งมีศรีสุข

 

โปรดเข้าใจว่า

ในช่วงชีวิตนี้

ท่านกำลังใช้บุญเก่า

 

เหมือนอย่างที่

ท่า่นฝากออมสิน

เมื่อท่าน

ถอยเงินออกมาหมดแล้ว

 

ท่านจะไม่มีเงินทอง

ที่จะใช้จ่ายต่อไป

 

หรือ

กล่าวง่ายๆว่า

"หมดบุญ"

 

และ

เท่าที่ทราบมา

ผู้วางเฉยในเรื่อง

พระศรีอารย์

นั้น

ถือว่า

ขาดความเมตตา

ต่อสัตว์โลก

 

มีความเห็นแก่ตน

เป็นที่ตั้งเป็นปัจจัย

 

นับว่า

เป็น อกุศลกรรม

แก่ผู้นั้น

 

ซึ่งจะมีผลในภพต่อไป

จาก  

http://www.metteya.org/sriann/fact.html

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 00:34:07

โอ้

หนักหนาขนาดนี้

เลยเหรอ

น้องเบลล์

 

ใครบอกเนี่ย

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:25:00


ความคิดเห็นที่ 322 (1573724)

แ่ต่ที่แน่ๆลูกพบแล้ว

และ

ไม่ต้องตามหาที่ใหนเลย

 

เพราะ

ท่านทรงอยู่ใน

หัวใจ

ของลูกตลอดเวลาแล้ว

 

นับตั้งแต่รู้ว่า

พร้อมที่จะเปี่ลยนตนเอง

ทําความดี

ปฏิบัติตามคําสั่งสอน

ของพระองค์ท่าน ทุกประการ

 

   ปฎิบัติบูชาท่าน

ด้วยทาน +อภัยทาน

  ศีล ภาวนา

ให้เต็มกําลังความสามารถ

 

เพื่อที่จะ

ไ้ด้อยู่กับพระองค์ท่านตลอดไป

 

และ

เมื่อทําความดีถึงพร้อมแ้ล้ว

ลูกจะช่วยพระองค์

สืบทอดพระศาสนาในทุกทาง

 

ช่วยขจัดศัตรูที่เป็นมาร

ในพระพุทธศาสนา

 

ลูกขอถึงนิพพาน

ในยุคของพระองค์ท่าน

ด้วยเถิดเจ้าคะ

สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อร อุ่นศรี (aon_aunsri-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 16:12:44

 

 

อนุโมทนา

กับคุณอร อุ่นศรี

 

ที่ได้พบ

พระศรีอาริย์

แล้ว

 

พบในจิตของตน

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:30:47


ความคิดเห็นที่ 323 (1573725)

ความลับของจักรวาล

จะถูกเปิดเผย

พร้อมกับ

การปรากฎตัวของ

พระศรีอาริย์

............................................

อนุโมทนาค่ะอาจารย์ รอเวลานั้นอยู่เหมือนกันค่ะ

แต่เท่าที่อ่านคุณสมบัิติของพระศรีอาิริย์ตัวจริงแล้ว

ชนิดาคิดว่า พระองค์จะไม่แสดงตนโดยเด็ดขาด

แต่ซักวันนึง อีกไม่นาน

ทุกคนจะรู้เอง ด้วยจิตสำนึกว่า พระศรีอาริย์ คือใคร


เท่าที่อ่านข้อความที่อาจารย์เมตตาเขียน

และข้อมูลอื่นๆ ทั้งจากน้องหญิง น้องเบลล์ 

คุณตุ้ย คุณธนวดี พอจะได้คำตอบแล้วว่า

พระองค์คือใคร และคิดว่า

อาจารย์อุบลก็ทราบดีว่า พระองค์เป็นใคร


รู้สึกปลาบปลื้ม ดีใจ และภาคภูมิใจ

ที่ตัวเองได้เกิดมาในยุคพระศรีอาิริย์

และที่สำคัญได้เกิดมาในแผ่นดินของพระองค์อีกด้วย..

อ่านไป ขนลุกไป ใจเต้นตุบๆ โอ้วว..มิน่าเล่า

ผู้ใดแตะต้องพระองค์แม้เพียงความคิด

จึงส่งผลร้ายในชีวิต นานาประการ ....


แล้วก็ไม่แปลกใจเลย ที่พระองค์เป็นที่รู้จัก

และเป็นที่รักของคนทั่วโลก

เป็นที่รักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวาล

และที่สำคัญอ.อุบลและลูกบ้านสวนฯทุกคน

ก็รักและเคารพพระองค์อย่างที่สุดเช่นกัน

 

แต่ในทางกลับกัน เหล่ามารทั้งหลายก็มุ่งทำร้าย

ทำลายพระองค์ทุกวิถีทาง รวมทั้งผู้ที่รัก

และคอยปกป้องพระองค์ก็อาจจะถูกเหล่ามาร

มุ่งร้ายด้วยเช่นกัน....

 

ความคิดเห็นส่วนตัว ถูกหรือผิด ไม่รู้

รู้แต่ว่า รักและเคารพพระศรีอาริย์

และอ.อุบล อย่างที่สุด ค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:31:22


ความคิดเห็นที่ 324 (1573727)

พระศรีอารย์มาจุติแล้ว

แต่ที่สงสัย ข้อความที่ว่าให้มาพิสูจน์

แล้วใครละจะเป็นผู้ตัดสินว่าใช่หรือไม่

ในเมื่อคนส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่มีกิเลสหนาปัญญาน้อยทั้งนั้น.........................................

เห็นด้วยกับคุณหมอครับ

ว่าใครจะเป็นผู้ตัดสิน

ว่าพระศรีอาริย์คือท่านใด

แต่เบลล์คิดว่า

พอถึงเวลา

เราก็จะได้รู้กันเองครับ

อยู่ที่ว่าตอนนี้เราได้นำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

มาปฏิบัติให้เข้มข้นแล้วหรือยัง

...........................................................................

ความลับของจักรวาล

จะถูกเปิดเผย

พร้อมกับ

การปรากฎตัวของ

พระศรีอาริย์

..............

ซึ่งในขณะนี้เรากำลังอยู่ในกระทู้เผยความลับจักรวาล

ก็แสดงว่า

พระองค์ได้ค่อยๆปรากฎพระองค์

เพื่อปลุกโปรดเหล่าเวไนยสัตว์

ที่ติดตามพระองค์มา

ติดตามพระพุทธเจ้ามา

โลกยุคใหม่

โลกพระศรีอาริย์

ลูกไม่เคยนึกฝันว่าจะได้มาสัมผัสพบเจอ

สุขใจจริงครับ

ทั้งเรื่องราวจักรวาล

และที่สุดแห่งโลกคือพระนิพพาน

ต่างก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์จริงๆครับ

ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสมารับรู้และสัมผัส

เพราะลูกนี้มีบุญน้อยด้อยปัญญา

บาปหนาเหลือเกิน

ลูกขอนำเรื่องราว

ที่จักเป็นประโยชน์ต่อแม่และพ่อพี่น้องและคุณยายของลูก

ไปบอกเล่าให้ท่านเหล่านั้นได้ทราบได้ไหมครับ

ทุกเรื่องราวในบ้านสวนพีระมิด

ล้วนเป็นสิ่งที่สูงส่งและทรงอานุภาพ

ความดีทั้งหลายของบ้านสวนพีระมิด

นำโดยอาจารย์อุบล

ได้ช่วยให้หลายคนได้ตื่นจากหลับฝันร้ายในโลกทั้งสาม

ตื่นจากฝันหลงไหลในสามโลก

อาจารย์อุบล

มีเมตตาหาประมาณมิได้

ลูกขออนุโมทนากับอาจารย์อุบลด้วยนะครับ

ลูกดีใจเหลือเกิน

ที่วันนี้ได้รู้จักบ้านสวนพีระมิด

ลูกบอกแม่เสมอว่า

มีอะไรก็ขอให้ใช้รหัสอาจารย์อุบลช่วยด้วย

กราบขอบพระคุณพระพุทธเจ้า

และทุกๆพระองค์ที่เมตตาลูกหลานทั้งทางโลกและทางธรรม

หากตายจากชาตินี้ลูกขอกลับบ้านนิพพาน

สาธุ

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:33:14


ความคิดเห็นที่ 325 (1573730)

ความคิดเห็นส่วนตัว ถูกหรือผิด ไม่รู้

รู้แต่ว่า รักและเคารพพระศรีอาริย์

และอ.อุบล อย่างที่สุด ค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:31:22

คุณชนิดา

วันนี้ทำไมมา

ออนไลน์ ได้ช่วงเวลานี้จ๊ะ

 

แต่

เรื่องพระศรีอาริย์

นี้นะ คุณชนิดา

 

อ.อุบล

ยังไม่รู้จริงๆจ๊ะ

ว่าคนไหน

 

เพราะ

มีมาแสดงตน

หลายคนจ๊ะ จนพวกเรา

สับสนเหมือนกัน

 

มีทั้ง

หญิง ทั้ง ชาย

ที่มุ่งหมายมาบอกเรา

ว่า

เขาคือพระศรีอาริย์

ดังนั้น

 

เราจึงต้อง

ประกาศหาคุณสมบัติ

 

แต่บางคน

เขาอาจมั่นใจว่าเขาเจอแล้ว

 

หรือ

บางคนที่เขามั่นใจอยู่

แต่เดิมนั้น

 

เมื่อได้มาอ่านคุณสมบัติ

อาจต้องคิดใหม่

 

คุณชนิดา

จ๊ะ

เราต้องค่อยๆดูไป

อย่าพึ่งไป

คัดค้าน หรือ ฟันธง

 

เดี๋ยว โดน

เสด็จพ่อ เล่นงาน

อาน

ละคราวนี้

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:38:19


ความคิดเห็นที่ 326 (1573731)

 โอ้

หนักหนาขนาดนี้

เลยเหรอ

น้องเบลล์

 

ใครบอกเนี่ย

..............

เรียน  ท่านอาจารย์ที่เคารพ

เบลล์เองครับ

พอดีเมื่อคืนนี้เบลล์ไปค้นในเน็ตมาครับ

จาก 

http://www.metteya.org/

ครับ

รู้สึกว่าเจ้าของเว็บจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพระศรีอาริย์มากว่าสิบแปดปีแล้วครับ

และเป็นงานวิจัยประมาณนี้ครับ

เบลล์ก็หวังใจว่าหากมีบุญพอจะได้พบพระองค์

และต้องการพบพระองค์

ขอพระองค์ได้เปิดเผยพระองค์เร็วๆไวๆด้วยเถิด  สาธุ

เพราะเบลล์ได้อ่านพบมาตั้งนานแล้วว่า

พระศรีอาริย์ลงมาเกิดแต่พระองค์ได้อธิษฐานว่า

ไม่ขอให้ใครรู้ว่าพระองค์คือพระศรีอาริย์

ไม่ทราบว่าเบลล์จำมาถูกไหมหนอ

ขอท่านอาจารย์

โปรดตรวจสอบด้วยนะครับ

สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:42:28


ความคิดเห็นที่ 327 (1573734)

คุณชนิดา

จ๊ะ

เราต้องค่อยๆดูไป

อย่าพึ่งไป

คัดค้าน หรือ ฟันธง

 

เดี๋ยว โดน

เสด็จพ่อ เล่นงาน

อาน

ละคราวนี้

...............................................

อนุโมทนาค่ะอาจารย์ กราบน้อมรับและนำไปปฏิบัติค่ะ

แต่อ่านคุณสมบัิติไป พิจารณาไป ลุ้นไป เดาไป

สุดท้าย ใช่ ไม่ใช่ ไม่มีใครรู้แน่

มีแต่เพียงพระองค์จริงเท่านั้นที่ทราบ... จริงๆค่ะ

งั้นขอค้นหาพระองค์ไปพร้อมๆักับอาจารย์

และพี่น้องทุกๆท่าน .....

พร้อมกับค้นหาความลับของจักรวาล ดีกว่าค่ะ

....................................................................

พอดีวันนี้พอมีเวลาก่อนออกไปทำงาน

ก็เลยมาร่วมแจมซะก่อน

เพราะเมื่อคืนไม่ได้มาเขียนเล๊ย

เดี๋ยวลงแดงซะก่อนค่ะ อิอิ

กราบสวัสดีอาจารย์ด้วยนะค๊า

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 17:50:54


ความคิดเห็นที่ 328 (1573740)

อนุโมทนากับคุณสมบัติของพระศรีอาริย์

จากน้องหญิง และทุก ๆ ท่านด้วยนะคะ

ยิ่งได้อ่าน ยิ่งสุขใจเช่นกันคะ

สงสัยค่ายสิบอันใกล้นี้

ที่จะเปิดเผยความลับจักรวาล

ต้องมาพร้อมกับการเปิดตัวพระศรีอาริย์ ด้วยแน่เลย

หนูก็พบท่านแล้ว ด้วยใจ เช่นกันคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 18:23:52


ความคิดเห็นที่ 329 (1573746)

เมื่อเราไม่เข้าใจกาลามสูตร

เราจะเชื่ออะไรๆ

ที่ตรงกับความต้องการของตน

จนหมดโอกาสมีความคิดความอ่าน

ที่อาจเป็นประโยชน์กว่า

ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA

 

คุณชนิดาคะ

อยากรบกวนให้ช่วย

ค้นหาคำอธิบาย ของคำว่า

 

กาลามสูตร

ค่ะ

 

 

เพราะเป็นกุญแจ

ดอกสำคัญ

 

ในการ

ตามหาคุณสมบัติ

พระศรีอาริย์

 

เสด็จพ่อ

ท้าวเวสสุวรรณ

 

เบื้องบนสวรรค์

ทุกชั้นฟ้า

 

พระพุทธองค์

 

ท่านทรง

เร่ง

มาให้พวกเรา

รีบ

ค้นหา

 พระศรีอาริยเมตไตรย์

 

ท่านอาจมี

ความนัย อะไรบางอย่าง

 

แต่

ขออย่างนะ

เลิก สงสัย อ.อุบล

กันได้แล้ว

 

ไม่อยากเป็น

ผู้ ต้อง สง สัย

แต่

อยากเป็น

แค่

ลูกสาว

ท้าวเวสสุวรรณ

ก็เกินฝัน

แล้ว

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 18:45:46


ความคิดเห็นที่ 330 (1573771)

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง

ของ

หลวงพ่อฤาษีฯ

ท่านเขียนไว้ว่า

พระศรีอาริย์ท่านบอกว่า

 

คนที่จะได้พบท่าน

ท่านแนะนำไว้

หลายข้อ

 

แต่

อ.อุบล

เคยอ่านให้พวกเราฟัง

คืนวันเสาร์ ครั้งหนึ่ง ที่ศาลาไม้ไผ่

 

ตอนนี้จำได้ไม่หมด

เอาคร่าวๆ

เดี๋ยวให้พวกเราช่วยกันค้นหา

 

คนที่จะได้พบพระศรีอาริย์

จะต้องเป็นผู้

1.ถ้าไม่มีเวลาทำสมาธิ

ก็ให้ทำตอนล้มตัวนอนลง

หัวถึงหมอน ให้ภาวนาจนหลับไป

 

2.ให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์

ถ้ายังไม่ได้ทั้ง 5 ข้อ ก็ให้ค่อยๆ

ทำให้ได้ 3-4 ข้อ ก็ยังดี

(ให้ลด ละ ไปเรื่อยๆ อย่าท้อ)

 

3...................ช่วยต่อทีนะ

ฯลฯ

 

นี่เป็นวาระเร่งด่วน

จ้า

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 20:36:02


ความคิดเห็นที่ 331 (1573773)

แล้วที่บอกว่า

ไม่ตามหาแล้วนี่นะ

แสดงว่า

1.จอแล้ว

2.ไม่สนใจ

3.ถูกทุกข้อ

 

ใช่ป่ะ

 

ระวังจะเจอข้อหา

คิดไปเอง

 

นะ

ตาตั้ม

 

อาทิตย์นี้นะ

อาจมีภารกิจนะ

จะบอกให้

555

""""""""""""""""

ผมเจอแล้วครับ มันรู้ในจิตตัวเอง

ถึงจะ คิดไปเอง

ผมก้อเชื่อมั่น

ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา

ให้เชื่อสิ่งที่ ผุดขึ้นมาในจิตเป็นครั้งแรก

 ภารกิจ เล็ก ใหญ่

ไม่เคยถอยครับ

ท่านอาจารย์

(ยกเว้น ภารกิจเรื่องพิซซ่า อันนี้ยอมแพ้ อิอิ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 20:39:52


ความคิดเห็นที่ 332 (1573779)

(ยกเว้น ภารกิจเรื่องพิซซ่า อันนี้ยอมแพ้ อิอิ)

ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม)

 

ไม่ มี สะ ตัง ก็ บอก มา

ซะ ดี ดี ตาม ตั้ม

 

ช่วงนี้น้ำท่วมเยอะ

น่าเลี้ยงปลา(ไว้ให้จับ)นะคุณแมว

 

แล้วตาตั้มล่ะ

เห็นว่าชอบจับปลาเหมือนกัน

 

แต่ว่า

จะเลี้ยงปลาอะไรกันดี

คุณแมว

 

แล้วตาตั้มล่ะ

ชอบจับ

ปลาเข็ม หรือ ปลาวาฬ

จ๊ะ

(คุณแมว ยังอยากทานพิซซ่าไม๊)

อิ อิ อิ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 20:58:18


ความคิดเห็นที่ 333 (1573782)

ไม่ มี สะ ตัง ก็ บอก มา

ซะ ดี ดี ตาม ตั้ม

.................

กะตัง พอมีครับ

แต่พิซซ่าหน้าหด

ร้านเขาทำไม่เป็น(เนียนตามเคย อิอิ)

.........

แล้วตาตั้มล่ะ

ชอบจับ

ปลาเข็ม หรือ ปลาวาฬ

จ๊ะ

...........

เผอิญผมไม่ชอบทานปลาครับ

กลัวก้างติดคอ..แค๊กๆ

ตอนนี้กินมังสวิรัติซะด้วย..อิอิ

(เนียน..อีกแระ)

สงสัยจะโดนข้อหา...แหลอีก 555

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 21:08:32


ความคิดเห็นที่ 334 (1573786)

 หลวงพ่อฤาษีพบพระศรีอาริย์

 
 
วันนี้ก็เป็นวันที่ ๕ เม.ย. ๓๕ เมื่อวานได้พูดพาดพิงถึง พระศรีอาริย์ วันนี้ต่อดีไหม เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน การปฏิบัติกรรมฐาน ขอทุกคนจงอย่าลืมความตาย เข้าใจไหม เราลืมหรือไม่ลืมมันก็ต้องตาย ถ้าคิดถึงความตายไว้เสมอ

 

พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นคนที่มีความไม่ประมาท ถ้าเราไม่ประมาทในชีวิต จิตก็คิดสร้างความดีไว้เรื่อย ๆ ในที่สุดถ้าตายจากความเป็นคน อย่างเลวที่สุดก็เป็นเทวดาหรือนางฟ้าอย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีที่สุดก็ไปนิพพาน 


 

 



เพราะคำว่า ตาย กับ กายคตานุสสติ คำว่า ตาย ก็มีความหมายว่า ร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ถ้าร่างกายเป็นเราจริง เป็นของเราจริง มันก็ต้องไม่ตาย อันดับแรก ให้คิดว่าการที่เราเจริญกรรมฐาน

 

เพราะว่า เราไม่ต้องการความเกิดไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตายต่อไปอีก อันดับแรกนะ ประการที่สอง ญาติโยมที่มาใหม่ ให้ใช้อานาปานุสสติกรรมฐาน คือ รู้ลมหายใจเข้าออก กรรมฐานกองนี้จึงมีความสำคัญมาก 


สมาธิจะทรงตัวหรือไม่ทรงตัว อยู่ที่อานาปานุสสติกรรมฐาน 
และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อานาปานุสสติกรรมฐานนี่
เป็นกรรมฐานระงับกายสังขาร คือ ระงับทุกขเวทนา 
ก็ตัวอย่างไม่ยาก เมื่อปลายเดือนที่แล้วเขาฉีดสีเข้าไปที่ปอด 
เขาบอกมันปวด


พอเขาเริ่มฉีด ฉันจับอานาปานุสสติหลับไปเลย มันปวดหรือไม่ปวดก็ไม่รู้ใช่ไหม ถ้าเราใช้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก 


คำว่า อานาปา เป็นศัพท์ภาษาบาลี กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก 
หายใจเข้ารู้อยู่ หายใจออกรู้อยู่ อันนี้เป็นสมาธิ เพราะคำว่า สมาธิแปลว่า ความตั้งใจ ตั้งใจไว้จุดใดจุดหนึ่ง


ถ้าจิตมันอยู่ในจุดนั้นก็ถือว่าเป็นสมาธิ 
ต่อมาก็ใช้คำภาวนา ให้ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ง่ายดีและมีอานิสงส์มาก นี่เป็นการเบื้องต้นนะ อย่าลืมว่าคำว่า สมาธิ คือ การตั้งใจ



วันนี้ก็จะมาพูดเรื่อง พระศรีอาริย์ หน่อย เอาสักหน่อยเดียวนะ 
พระศรีอาริย์ท่านบอกว่า คนต้องการจะไปเกิดทันสมัยท่าน
ให้ปฏิบัติในศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน ศีล ๕ ด้วยนะ กรรมบถ ๑๐ ด้วย



เมื่อกี้นอนคนเดียว หาเพื่อนคุยไม่ได้ ก็ขึ้นไปหาพระที่บ้าน บ้านใหม่นะ บ้านที่สร้างไว้นานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสอยู่ พอจะไปอยู่เข้าจริง ๆ เขตปิด ใช่ไหม ไปหาพระท่านแล้วคุยกับท่าน ท่านก็บอกว่า อยากจะพบพระศรีอาริย์ไหมบอกว่าอยากพบ ท่านก็เรียกพระศรีอาริย์มา


พระศรีอาริย์นะตามปกติสวยมาก เครื่องประดับแพรวพราวมากหลายสี ก็ถามท่านว่า ทำไมให้ทำสีขาวใสอย่างเดียว ท่านบอกว่า จะได้ไม่เกิดกิเลสในสี บางคนก็ชอบสีนั้น บางคนก็ชอบสีนี้ใช่ไหม 

 

ความจริงปฏิบัติเพื่อต้องการบรรลุมรรคผล ท่านบอกไม่ต้องการสี ใช้สีใสอย่างเดียว

 

 ทีนี้ต่อ ก็ถามท่านว่า ทำไมจึงแนะนำคนแค่ศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ท่านก็บอกว่า ศีล ๕ ก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดี รวมกันแล้ว เป็น ๑๑ ข้อ มีอะไรบ้าง จำได้ไหม 


๑. ไม่ฆ่าสัตว์
๒. ไม่ลักทรัพย์
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม นี่ทางกายนะ

 

ต่อศีล ๕ อีกนิดหนึ่ง คือ ไม่ดื่มสุราเมรัยทางวาจา ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่ส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อเหลวไหล ท่านบอกทั้งสองตอนนี่ ทั้งทางกายก็ดี ทั้งทางวาจาก็ดี เป็นพื้นฐานของสวรรค์กับพรหมโลก 


คือว่า ถ้าทำได้สองอย่าง ก็ไปเกิดบนสวรรค์ เกิดบนพรหมโลก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทั้งนี้ถ้าเราตั้งใจเพื่อจะละจริง ๆ ละการไม่ฆ่าสัตว์ ละการไม่ลักทรัพย์ ละการไม่ประพฤติผิดในกาม ละการไม่ดื่มสุราเมรัย ละเลยนะ และก็ตั้งใจไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

 

ไอ้ตัวตั้งใจไว้นี่จะไม่ละเมิด มันเป็นสมาธิ ถ้าสมาธิอย่างอ่อนเราก็ไปเกิดบนสวรรค์ ถ้าสมาธิเข้มข้นเราก็ไปเกิดบนพรหมโลก ทีนี้มาทางจิตใจ ๓ ข้อ 


ข้อที่ ๑. อภิชฌา ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นโดยไม่ชอบธรรม ตัวนี้เป็นโลภะ ความโลภโดยตรง ยับยั้งความโลภ ตัดรากเหง้าของกิเลส


ข้อที่ ๒. ไม่ผูกโกรธ ไม่พยาบาท ไม่จองล้างไม่จองผลาญใคร โกรธแล้วก็โกรธไป ความโกรธยังมีอยู่ แต่ไม่จองล้างจองผลาญใคร แล้วก็แล้วกันไป


ข้อที่ ๓. สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจ ๔ นี่ตัวสุดท้ายนะ ยากไหม 

ก็เป็นอันว่า ถ้าเราละ ไม่คิดถึงความโลภ ไม่ตั้งใจผูกโกรธ และ ไม่ตั้งใจฝ่าฝืนคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาอย่างอ่อนก่อน อย่างนี้ก็เป็นพื้นฐนของพระอรหันต์ ก็เป็นอันว่า กรรมบถ ๑๐ นี่เป็นพื้นฐานของพระนิพพาน 



ฉะนั้นพระศรีอาริย์จึงต้องการแค่สองอย่าง อย่าลืมนะ อันดับแรกใหม่ ๆ ขอเป็นการค่อย ๆ ยับยั้งมันจะเลิกทีเดียว มันไม่ได้แน่นอน อยู่ ๆ เราก็จะไม่ฆ่าสัตว์บ้าง ไม่ลักทรัพย์บ้าง ไม่ประพฤติผิดในกามบ้าง ไม่ดื่มสุราเมรัยบ้าง แต่ทุกคนมีศีลอยู่แล้ว แต่ว่าจะมีครบไม่ครบไม่ทราบนะ


ศีลต้องมี ๕ ข้อนี้ไม่ขาดหมดใช่ไหม คนทุกคนก็ต้องมีอยู่แล้ว ไม่ข้อบ้าง สองข้อบ้าง สามข้อบ้าง ที่เหลืออยู่นะไอ้ที่จะไม่ค่อยเหลือคือ โกหก อีข้อนี้หลุดง่ายหน่อยนะ ต้องใช้กาวติด มันก็มีบกพร่องบางข้อ พื้นฐานจริง ๆ ที่เราจะรักษาศีลได้ และ รักษากรรมบถ ๑๐ ได้ ก็มีคุณสมบัติสองอย่างควบคู่กัน


คือ หนึ่ง เมตตา ความรัก


สอง กรุณา ความสงสาร 
เราคิดรักชาวบ้านสงสารชาวบ้านก็เหมือนกับรักตัวเอง สงสารตัวเอง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการฆ่าสัตว์มันมีจิตใจโหดร้าย เป็นการสร้างศัตรู ในเมื่อเรามีศัตรูเราก็ไม่มีความสุข เขาก็ไม่มีความสุข เราก็ไม่มีความสุข 


ข้อที่สอง ทรัพย์สินต่าง ๆ ของใครที่หามาได้ ต่างคนต่างก็หวงแหน เพราะหวังความสุขจากทรัพย์สิน ในเมื่อเราไปลักขโมยเขา เขาก็ไม่ชอบใจเรา และก็สมบัติทั้งหลายเหล่านั้นที่เราได้มา ที่คดโกงเขาบ้าง ลักขโมยเขาบ้าง มันก็ไม่คุ้มความแก่ มันกันแก่ไม่ได้ กันความป่วยไข้ไม่สบายไม่ได้ กันการพลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่ได้ กันความตายไม่ได้ จะเอามาทำไม


ศีลข้อที่ ๓ เจ้าชู้มากเกินไป เอาแค่พอดี ๆ นะ อย่างมีคู่ครองแค่ ๕ คนนี่พอดี ๆ พอถึง ๗ คนก็ห้ามสมัครผู้แทน เมืองแขกนะ ศีลข้อที่ ๓ ถ้าเราระงับได้ คนในปกครองของเราก็มีความสุข เราก็มีความสุข ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าลูกหลานที่เกิดมาใหม่จะไม่เป็นคนดื้อด้าน ว่านอนสอนง่าย 


ถ้าเรารักษาศีลข้อที่ ๔ ได้ ถ้าเกิดใหม่จะมีวาจาเป็นทิพย์ 
ถ้าละศีลข้อที่ ๕ ได้ เกิดใหม่จะเป็นคนมีความสุข สุขทั้งกายและทั้งใจ คือ ไม่เป็นโรคปวดศีรษะ ไม่เป็นโรคเส้นประสาทและก็ไม่เป็นโรคบ้า 


ในเมื่อเราตั้งใจควบคุมกำลังใจของเราแบบนี้ ว่าเราจะมีเมตตา คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม และ ไม่ดื่มสุราและเมรัย เราจะพูดแต่ความจริง พูดแต่วาจาไพเราะ คือ ไม่กล่าววาจาหยาบ และก็ไม่กล่าววาจาส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่กล่าววาจาเพ้อเจ้อเหลวไหล 



การควบคุมกำลังใจอยู่ได้เพราะอาศัยสมาธิ ถ้าขาดสมาธิการคุมใจก็คุมไม่อยู่ แต่ว่าใหม่ ๆ ก็เผลอบ้างเป็นของธรรมดา ในเมื่อเราค่อย ๆ ยับยั้งมัน ไม่ช้าก็ชิน จะต้องใช้เวลานิดหน่อยนะ ในเมื่ออารมณ์ชินเกิดขึ้น


คำว่า ชิน ก็หมายความว่า ละจนชินไม่ต้องระวัง ขึ้นชื่อว่าการฆ่าสัตว์เป็นต้น ไม่มีแน่นอน ถ้าชินแบบนี้ท่านเรียกว่า ฌาน ฌานก็คือความชิน ในเมื่อจิตเป็นฌานอย่างนี้ ตายจากความเป็นคนก็ไปเป็นพรหม


และต่อมา สำหรับมโนกรรมสามอย่าง ทางจิตใจ 
หนึ่ง ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นโดยไม่ชอบธรรม 
นั่นก็หมายความว่า ถ้าศีลห้ามแต่เพียงมือนะ ศีลถ้าไม่ลัก ศีลไม่ขาด ถ้าลักของเขาศีลขาด แต่ว่าใจมันอยากจะลักก็ได้ใช่ไหม ใจนึกชอบใจ เจ้าของเผลอเอาเสียหน่อยดีไหม ถ้าจะหยิบของเขามาก็เกรงว่าศีลขาดเลยไม่หยิบ ยังไม่ได้ห้ามใจ


ก็มากรรมบถ ๑๐ นี่ห้ามใจเลย เอาใจเข้าไปยับยั้ง
หมายความว่า ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สมบัติถ้าไม่ใช่ของเรา เราไม่ต้องการมัน ทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่าของเขาขาย ถ้าของที่เขาขายเราอยากจะได้หาสตางค์ไปซื้ออันนี้ไม่ห้าม ข้อนี้นะ ไม่ถึงข้อนี้ เอาแต่เพียงว่าอยากจะลักเขา อยากจะขโมยเขา นี่ไม่มีในจิตใจของเรา ค่อย ๆ ยั้งตัว

มโนกรรมข้อที่สอง ความโกรธยังมีอยู่ แต่ยับยั้งความโกรธไว้ ไม่จองล้างไม่จองผลาญ 

 

ข้อที่สาม สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก หมายความว่า เชื่อพระพุทธเจ้าทุกอย่าง ที่ท่านสอนมาทั้งหมด นี่อย่างอ่อน ถ้าหากว่าทำได้อย่างอ่อนแบบนี้


อย่างน้อยก็เป็นพระโสดาบัน 
ต้องเป็นพระโสดาบันขั้นต้น โกลังโกละ ไม่ใช่สัตตักขัตตุง ขั้นที่สองนะ ขั้นกลาง 

 

พระโสดาบันนี่มี ๓

ขั้น หนึ่ง เอกพิชี

สอง โกลังโกละ

สามสัตตักขัตตุง 

สัตตักขัตตุง แค่รักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ ถ้ารักษากรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง พร่องนิดหน่อย ในที่สุดก็ต้องบริสุทธิ์ แต่ว่าต้องระวัง อย่างนี้เป็น โกลังโกละ 

 

ถ้าเป็น เอกพิชี ก็หมายความว่า รักษากรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน โดยไม่ต้องระมัดระวังไม่ต้องระวังมันก็ไม่ละเมิด อย่างนี้เป็นพระโสดาบันขั้นเอกพิชี มีบารมีสูง ถ้าเกิดเป็นคนอีกชาติเดียวก็ไปนิพพาน 


ทีนี้มาข้อที่สาม ทางจิตใจ จิตใจนี่เป็นพื้นฐานของพระอรหันต์นะ กิเลสน่ะมีแค่สามตัว 

 

รากเหง้าจริง ๆ หนึ่งโลภะ ความโลภ สองโทสะ ความโกรธ สามโมหะ ความหลง อันนี้เป็นรากเหง้าของกิเลส ถ้าเราถอนรากเหง้าได้หมด กิเลสก็หมดไป ทีนี้การจะถอนเหง้าจริง ๆ จัง ๆ ครั้งเดียวสองครั้งมันก็ไม่ไหว มันต้องค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ใช้สมาธิ คือ ใช้สติสัมปชัญญะเข้าไประมัดระวัง ว่าทรัพย์สมบัติของใคร ใครเขาก็รัก คิดว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป



ขึ้นชื่อว่าการอยากได้ทรัพย์สมบัติของใครไม่มีในจิตใจของเรา 
ควาโกรธอาจจะยังมีอยู่แต่ไม่จองล้างจองผลาญใคร 
นี่เอาขั้นเข้มแข็งนะ ขั้นสุดท้าย สัมมาทิฏฐิ เห็นอริยสัจ อริยสัจมี ๔ อย่าง 



๑. ทุกข์
๒. เหตุให้เกิดทุกข์
๓. ความดับทุกข์
๔. การปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ 



ถ้าเราเห็นจริง ๆ แค่ข้อเดียวคือ ทุกข์ เท่านี้พอ ถ้าทุกคนเห็นทุกข์ ทุกคนก็ไม่อยากจะเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป เพราะโลกมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มีอะไรเป็นทุกข์ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ ความหิวความกระหายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ 

 

ความตายจะเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ถ้าเรายังขืนเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปไอ้ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มันก็มีกับเราทุกชาติ เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ 
ฉะนั้นในเมื่อเห็นทุกข์ในอริยสัจ ก็หาทางตัดทุกข์ คือ หวังไปนิพพาน 



การหวังไปนิพพานทำอย่างไร ก็ทำอย่างว่านี่แหละ ปูพื้นฐานของพระศรีอาริย์ท่าน เราปฏิบัติตามท่านเพื่อศาสนาของท่าน เราปฏิบัติตามท่านเพื่อบรรลุมรรคผลในชาตินี้ด้วย มันเหมือนกัน ถ้าชาตินี้เรามีความเข้มแข็งในกรรมบถ ๑๐ เราก็เป็นอรหันต์ในชาตินี้ ถ้าความเข้มแข็งยังไม่พอ เราก็เกิดเป็นเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง 

 


คอยพระศรีอาริย์ ในเมื่อพระศรีอาริย์ตรัส ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าเทศน์ เทวดานางฟ้ากับพรหมนี่ฟังมากกกว่าคน เขามาฟังกันนะ และการบรรลุมรรคผลก็บรรลุมากกว่าคน ไม่ห่วงการหุงข้าวเย็น หุงข้าวเช้าก็ไม่ห่วงใช่ไหม ไม่ห่วงเข้าส้วม เทวดาไม่มีส้วม ใครจะตายเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าน่ะขี้เสียให้ดีนะ ขี้ให้หมดท้อง เดี๋ยวจะไปนั่งปวดอีกมันหาส้วมไม่ได้ 


ก็เป็นอันว่า เทวดา นางฟ้าหรือพรหม ท่านไม่มีกังวล 
เวลาฟังเทศน์ก็ฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าเทศน์เกี่ยวกับอะไรท่านก็ทราบ พระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องนรก เขามีตาทิพย์เขามีร่างกายเป็นทิพย์เขาก็เห็นนรกพระพุทธเจ้าเทศน์ถึงคนเป็นทุกข์ มีอายุน้อยเขาก็มองเห็น เห็นตามนั้น 

 


พระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องพรหมเทวดาเขาก็ทราบ 
ต่อมาก็อีกข้อเดียว พระพุทธเจ้าก็เทศน์เรื่องนิพพาน เขาก็ใช้ปัญญาพิจารณาเขาสามารถระลึกชาติได้ เขาจะถอยหลังชาติของเขาไปเอง ว่าก่อนจะมาเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เขามาจากไหน 

 

เขาก็ทราบว่ามาจากคนบ้าง มาจากสัตว์บ้าง 
สัตว์ก็เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้นะ อย่าคิดว่าเป็นไม่ได้นะ 
อย่าง โฆษกเทพบุตร ตายจากคนเกิดเป็นสุนัข 
ตายจากสุนัขเกิดเป็นเทวดา เห็นไหมล่ะ 


อย่านึกว่าสัตว์เดรัจฉานเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นได้ 

 

ในเมื่อพระศรีอาริย์ท่านตรัส ถ้าเราเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า จะดีกว่าคนอื่นที่เกิดเป็นคน เพราะไม่มีกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถามท่านแล้ว ท่านบอกว่า ตามธรรมดาคนน่ะมี ๔ เหล่า



หนึ่ง อุคฆฏิตัญญู มีบารมีเต็มและมีปัญญามาก แนะนำเพียงแค่หัวข้อก็มีความเข้าใจ บรรลุมรรคผล สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ พูดย่อ ๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับพระวักกลิว่า 

 
"วักกลิ บุคคลใดเห็นธรรม บุคคลนั้นชื่อว่าเห็นตถาคต" เพียงแค่นี้ ท่านบรรลุอรหันต์เลย


สอง วิปจิตัญญู มีบารมีเต็มแต่ว่าปัญญาอ่อนไปหน่อย เทศน์แค่หัวข้อย่อย ๆ ไม่เข้าใจต้องอธิบายให้ฟังเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพระยส พระยสฟังเทศน์ครั้งแรกในอนุปุพพิกถา ๕ ข้อฟังจบเป็นพระโสดาบัน ต่อมาตอนสายพ่อไปตาม พระพุทธเจ้าเทศน์ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 
ฟังครั้งที่สองเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกว่า วิปจิตัญญูนะ



ต่อไปก็ เนยยะ พวกเนยยะนี่ก็หมายความว่า ต้องสอนกันมากหน่อย ถ้าสอนน้อยจะไม่เข้าใจ ทีนี้ก็มาเปรียบกับพระศรีอาริย์ท่านตรัส ที่ท่านบอกว่า พวกรักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วนทั้งวันปกติ และ วันพระ พวกนี้เป็น อุคฆฏิตัญญู หมายความว่า ถ้าพบท่าน ท่านเทศน์สั้น ๆ เมื่อกี้นี้คุยกันนะ เทศน์สั้น ๆ เพียงแค่หัวข้อจะบรรลุมรรคผลทันที

 


ต่อไปพวกรักษาวันปกติก็รักษาได้ดี วันพระก็รักษาได้ดี แต่บางทีก็บกพร่องบ้างเป็นนิด ๆ หน่อย ๆ ยังต้องระวังอยู่ อย่างนี้เป็นพวกอันดับที่สอง หมายความว่า เทศน์เพียงหัวข้อยังไม่เข้าใจชัด เทศน์ซ้ำครั้งที่สองจะเข้าใจชัด บรรลุอรหันต์ 



ต่อมาก็พวกที่รักษากรรมบถ ๑๐ วันปกติไม่ค่อยจะสมบูรณ์แบบ ใช่ไหม เผลอเองบ้าง ตั้งใจเผลอบ้าง แต่ว่าวันพระรักษาได้ปกติ เฉพาะวันพระ กรรมบถ ๑๐ กับ ศีล ๕ นี่แน่นอนไม่ขาดไม่บกพร่อง แต่วันปกติบกพร่องบ้าง ท่านบอกพวกนี้พวกเนยยะ ต้องสอนกันหลายครั้งจึงจะบรรลุมรรคผล



ก็เป็นอันว่า บรรดาญาติโยมพุทธศาสนาชน ที่เราปฏิบัติกันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 


กรรมบถ ๑๐ ก็จงอย่าคิดว่าจะไปนิพพานในศาสนาพระศรีอาริย์ 
ตั้งใจว่าเราจะต้องนิพพานในชาตินี้ แต่ถ้าบังเอิญจริง ๆ มันไปไม่ไหว 


ถ้าพลาดจากชาตินี้ก็ไปพบพระศรีอาริย์แน่ ฉะนั้นตั้งใจให้แน่วแน่ทั้งสองอย่าง 
คือ หนึ่งต้องการนิพพานชาตินี้ ถ้าหากว่าชาตินี้นิพพานไม่ได้

ขอทันศาสนาพระศรีอาริย์ 



ก็เป็นอันว่า เอ..จบดีไหม หรือยังไม่ดี ก็เป็นอันว่าสอนกันแค่นี้ก็พอละมั้ง 

 


เมื่อกี้ถามท่านว่า คนสมัยท่านน่ะอายุมากไหม ท่านบอกว่ามาก 
ถามว่ากี่หมื่นปี ท่านไม่ตอบ แต่ท่านบอกว่า คนสมัยของท่านน่ะ คนสวยทุกคน คนรวยทุกคน คนมีความสุขทุกคน เรื่องการทะเลาะวิวาทกันไม่มี ท่านบอกที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ทุกคน ท่านหมายความว่าคนในขอบเขตของท่านเท่านั้นเอง



ไอ้คนนอกเขตน่ะมีอยู่ ใช่ไหม อย่างพวกปทปรมะนี่ อย่างพวกปทปรมะเขาไม่เข้าเขตพระพุทธศาสนา เขาจะมีการรบฆ่าฟันกัน 
โดยเฉพาะคนในเขตของท่านเท่านั้น ที่เป็นสาวกของท่าน ก็เลยถามท่านว่า

 


ท่านจะบรรลุอายุเท่าไร ท่านไม่ตอบ ท่านตอบแต่เพียงว่าผมเป็นหนุ่มเต็มที่ผมก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ไอ้เต็มที่ของท่านมันกี่ปีก็ไม่รู้นะ ถ้าไปโดนสมัยอายุ ๘ หมื่นปี เป็นหนุ่มเป็นสาวเสียสองหมื่นปี เป็นคนวัยกลางคนเสียสองหมื่นปี เป็นคนแก่สองหมื่นปี นี่ยุ่ง ฉันแก่ไม่กี่ปียังแย่เลยนะ จะลุกไม่ไหวอยู่แล้ว 



ก็เป็นอันว่า ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน คำว่า สมาธิ แปลว่า การตั้งใจ ที่เราต้องนั่งภาวนากันนี่เป็นการฝึกการยับยั้งของใจ แต่จริง ๆ แล้ว 

 

จะต้องมีสมาธิจริง ๆ ในระหว่างที่ไม่ใช่นั่งภาวนา ให้อารมณ์มันทรงตัว เราตั้งใจไว้เพื่ออะไร ตั้งใจไว้เพื่อรักษากรรบถ ๑๐ ก็ให้มีความรู้สึกว่า 


เราจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม 

 


ถ้าเราต้องการซื้อเขานี่เขาไม่ห้ามนะ ไม่ใช่ข้อนี้นะ 
คือ ไม่อยากได้ทรัพย์ของเขาโดยที่เราจะลักขโมยเขา ไม่มี 
เรายังมีความโกรธ แต่ยับยั้งความโกรธ ไม่จองล้างจองผลาญเขา

 


เราจะมีความเห็นถูก สัมมาทิฏฐิ คือ เห็นอริยสัจ เห็นทุกข์ของความเกิดทุกข์ของความแก่ ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ 

 


ทุกข์ของการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์ของความตายจะเข้ามาถึง 
ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว ทุกคนจิตก็ไม่อยากจะเกิดต่อไป 
สิ่งที่ต้องการจะพึ่งได้ก็คือ พระนิพพาน 

 

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย พูดมาพูดไป มันก็หมดแรง ต่อนี้ไปขอให้ทุกคนสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน. 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 21:29:18


ความคิดเห็นที่ 335 (1573793)

โอ้

น้องเบลล์

เก่งจริงๆ รวดเร็ว

ปานมานพ กามนิตเลย

 

แต่ขอให้

เว้นบรรทัดเป็นหมวดๆ

สบายตา สว.หน่อย

ได้ไหมจ๊ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 21:45:52


ความคิดเห็นที่ 336 (1573816)

อย่าลืมนะจ๊ะ

ใครก็ได้ช่วยอธิบาย

 

กาลามสูตร

 

ทีเถอะจ้า

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-21 23:49:03


ความคิดเห็นที่ 337 (1573819)

ขออนุญาตเป็นฝ่ายหาข้อมูลค่ะอาจารย์

 

กาลามสูตร คือ

พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ

หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล

(เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี[1])

กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ

ที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน

ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงาย

โดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง

ถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ 

 มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่

 

1.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา

2.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา

3.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ

4.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา

5.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา

6.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา

7.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล

8.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน

9.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้

10.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผล

ไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของ

พระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน

ได้รับการบรรจุเป็น

วิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิด

หรือที่เรียกว่า                          

"การคิดเชิงวิจารณ์"             

(Critical thinking)

ไว้ในกระบวนการเรียนรู้

ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว[2]

(กาลามสูตร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

ผู้แสดงความคิดเห็น ณี พรรณี ศรีทะชะ (punnee-dot-nee-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 00:16:04


ความคิดเห็นที่ 338 (1573820)

ขอบคุณ และ อนุโมทนากับ

คุณพรรณีค่ะ

ที่ทำให้คนเข้าใจ รู้จัก กาลามสูตร

จะได้ไม่เชื่อสิ่งใดง่ายๆ

 

จะได้ไม่ถูกหลอก

 

จะได้ไม่คิดไปเอง

 

จะได้เจอ ของจริง

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 00:22:17


ความคิดเห็นที่ 339 (1573856)

กาลามสูตร

 

เป็นกุญแจ

ดอกสำคัญ

 

ในการ

ตามหาคุณสมบัติ

พระศรีอาริย์

-----------------------------------------------

กราบอนุึโมทนากับคำถามอันมีนัยยะ

จากท่านอ.อุบล และคำอธิบาย

เรื่องกาลามสูตรทั้งสิบข้อ จากคุณ ณี ด้วยนะคะ

 

 

ซึ่งจริงๆแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง

ทุกขั้นตอนที่อาจารย์บอกให้พวกเราทำอยู่นี้

ล้วนแล้วแต่เป็นแนวทางที่จะทำให้พวกเรา

ปฏิบัติได้ตามหลักกาลามสูตรทั้งสิ้น

จะได้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ

โดยไม่ได้ผ่านการพิสูจน์

 

จะเห็นว่า เริ่มต้นอาจารย์ได้ให้การบ้าน

ด้วยการให้พวกเราทุกคน ไปศึกษาค้นคว้า

เรื่อง คุณสมบัติของพระศรีอาริย์ด้วยตัวเอง

จากหลายๆแหล่งข้อมูล ซึ่งพ่อใหญ่ธนา

ก็มาบิ๊วอีกแรงหนึ่งว่า อย่ารออ่านอย่างเดียว

แต่ให้ทุกคนค้นหาและศึกษาหาข้อมูล

ด้วยตัวเองด้วยเน้อ เพราะการที่เรา

จะเชื่ือหรือไม่เชื่อ ในเรื่องอะไร

เราต้องมีความรู้ ในเรื่องนั้นๆก่อน

 

และระหว่างที่ศึกษาหาข้อมูล

เราก็จะได้คิด พิจารณาไปด้วยว่า

คุณสมบัติที่ว่ามาทั้งหมดนี้ น่าจะเป็น

ใครหนอ วิเคราะห์ไป ใช่ ไม่ใช่

ตั้งคำตอบไว้ในใจ หาเหตุผล

มาประกอบความคิดของตัวเอง

 

สุดท้ายระหว่างที่คิดหาคำตอบอยู่ว่า

พระศรีอาิริย์คือใคร อยู่ที่ไหน

มันอาจจะไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับเรา

ไปเลยก็ได้ เพราะเราอาจจะได้ไอเดียใหม่

ผุดขึ้นมาว่า ท่านจะเป็นใครไม่สำคัญ

แต่มันสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะปฏิบัติตัวอย่างไร

หรือ ตัวเราน่ะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

ถึงจะมีโอกาสได้พบพระศรีอาิริย์พระองค์จริงต่างหาก ..

ซึ่งคำตอบ ก็ศึกษาได้จากกระทู้ที่ 336 ของน้องเบลล์

เรียกได้ว่า อาจารย์จัดหลักสูตร(ลัด)สู่นิพพาน

มาให้พวกเราศึกษา ได้อย่างลงตัวที่สุดแล้ว



สรุปว่า ทุกขั้น ทุกตอน ที่อาจารย์บอกนั้น

ล้วนมีนัยยะ ทั้งสิ้น

ซึ่งเราจะค้นพบหลักธรรม หรือเกิดปัญญาได้

จากการปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้เท่านั้น

ก็เหมือนกับ การทำสมาธิ เราก็ต้องทำด้วยตัวเอง

จะไปอ่านวิธีทำสมาธิ แล้วก็มาเหมาว่าตัวเองรู้แล้ว

สำเร็จขั้นนั้น ขั้นนี้แล้ว มันไม่ใช่..ถ้าเป็นแบบนี้

ก็เรียกได้ว่า เราไม่รู้อะไรเลย ...


สรุปอีกทีว่า ถ้าจะไปนิพพาน

และถ้าเชื่อครูบาอาจารย์

เราก็ต้องปฏิบัติตามที่อาจารย์

เมตตาบอกทุกๆอย่าง

อย่างไม่ลังเลและสงสัย

แต่ขอให้ปฏิบัติตามทันที

 

..............................................................................

และทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดเห็น

ส่วนตัวเท่านั้นนะค๊า

เพราะเป็นสิ่งที่คิดและรู้สึกได้

ระหว่างที่ทำตามขั้นตอนที่อาจารย์บอกมา

แต่มันอาจจะไม่ถูก...ก็ได้นะค๊า..

 

ก็เพียงแต่ฝากให้ทุกๆท่าน

นำไปพิจารณา เท่านั้นเอง...

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 04:53:19


ความคิดเห็นที่ 340 (1573862)

 กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10

หมายถึง

วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควร

สงสัย หรือหลักความเชื่อ

ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร สูตรนี้ในบาลี

เรียกว่า เกสปุตติสูตร

ที่ชื่อกาลามสูตร

เพราะทรงแสดงแก่ชน

เผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์

ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวก

กาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม

ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่อ

งมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ

 กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10

 

 1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)

        ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย

 

 2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆ กันมา (มา ปรมฺปราย)

        ประเภท "ใครๆ ว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส

 

 3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)

        โดยความตื่นข่าวว่า เขาว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย

 

4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)

        อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก

 

 5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)

        เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา

 

 6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)

        หรือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย

 

7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)

        อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต

 

8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา

ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)

        อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้

 

9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)

        โดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง

 

10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้


        ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น


ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 06:56:35


ความคิดเห็นที่ 341 (1573872)

พระศรีอาิริย์คือใคร

อยู่ที่ไหน

มันอาจจะไม่ใช่ประเด็นหลัก

สำหรับเราไปเลยก็ได้

 

เพราะ

เราอาจจะได้ไอเดียใหม่

ผุดขึ้นมาว่า

 

ท่านจะเป็นใครไม่สำคัญ

แต่มันสำคัญอยู่ที่ว่า

 

เราจะปฏิบัติตัวอย่างไร

หรือ

ตัวเราน่ะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

ถึงจะมีโอกาส

ได้พบพระศรีอาิริย์

พระองค์จริงต่างหาก ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 04:53:19
 
 
คุณชนิดา
นี่สุดยอดจริง
เรื่องความฉลาด
ลูกใครนะ
 
5555
 
พ่อ แม่ พี่ น้อง
ภูมิใจ๊ ภูมิใจ
 
ไม่ว่า
เบื้องบน-เบื้องล่าง
ส่งสัญญาณ
สื่อสาร
อะไร
 
คุณชนิดา
ก็รับได้หมด เข้าใจหมด
 
สมแล้วที่
 
เป็น
 
ทายาทสวรรค์
 
ทายาท...ท้าวเวสสุวรรณ
ตัวจริง  สาธุ
 
คนที่ยังไม่สนใจ
 
หรือ
 
สนใจ
แต่ยังไม่ได้เข้ามาเขียน
 
แสดงว่า
 
เขาไม่สนพระศรีอาริย์
 
ไม่ใช่งาน ไม่ใช่ธุระ
 
พระศรีอาริยะ
มาเกี่ยวอะไร ฉันไม่เข้าใจ
 
ทำไมต้องอยากเจอ
 
อยากเจอ
เลขเด็ด มากกว่า
พระศรีอาริย์
 
เพราะ
มันทำให้มีข้าว
รับประทานได้
 
ตามหาพระศรีอาริย์ไป
 
มันจะได้อะไรหว่า
 
คิดไป คิดมา
คิดมา แล้วก็ คิดไป
 
โอ้ย
อะไรกันนักกันหนา
 
ว่าแล้ว
ไปแทงหวยดีกว่า
 
เวิร์คกว่ามานั่ง
ตามหา
พระศรีอาริย์
 
ตัวใครตัวมันเด้อ
 
แต่
อ.อุบล
อยากให้คน
รอดตาย
 
จากภัยร้าย
ที่ใกล้เข้ามาแล้ว
 
เสด็จพ่อ
ท้าวเวสสุวรรณ
ท่านบอกว่า
 
ถ้าเรายังตามหา
พระศรีอาริย์ไม่พบ
 
เราต้องพบ
ภัยใหญ่อย่างแน่นอน
 
คน
จะตาย
3 ใน 4 ส่วน
(จริงๆ แล้ว 99%นะ)
 
หมายความว่า
 
100 คน
จะรอดเพียง 25 คน
(ทั่วโลก นะจ๊ะ)
 
แต่ถ้าเราพบ
พระศรีอาริย์แล้ว
 
มี 2 อย่าง
 
คือ
 
1.คนที่พบ รู้ว่า ท่านเป็น
องค์จริง แต่นิ่ง ไม่ปฏิบัตตาม
พวกนี้ก็มีอีก 2 พวก
คือ 1.ไม่รอด
2.รอดก็พิการสาหัส
 
2.คนที่พบแล้ว รู้ว่า ท่านเป็น
องค์จริง แต่ ไม่นิ่งดูดาย
 
เร่งรีบขวนขวาย ร่วม สร้างบุญบารมี
รีบสร้างความดี รีบเกาะชายสังฆาฏิ
ไม่ยอมปล่อยให้ทิษฐิมานะ
หรืออัตตา มาหลอก
ให้หลุดมือได้
 
คือ
รีบชำระจิตใจ
มุ่งหมายสู่นิพพาน
สถานเดียว
 
จะไม่ลุ่มหลงทางโลก
ไม่สนใจลาภ ยศ สรรรเสริญ
ไม่สนใจเงิน ทอง ของที่เอาไปไม่ได้
แต่ก็จะทำมาหากิน และ ใช้บำรุง
สังขาร เพื่อใช้ปฎิบัติเพื่อ
เข้าสู่นิพพานชาตินี้
เท่านั้น
 
ภารกิจหลัก
คือ
ต่อบุญบารมี ที่ตั้งใจไว้
ก่อนลงมา
 
ตามที่สัญญาไว้
กับพ่อ
 
ว่าการลงมาครั้งนี้
มาทำหน้า
มาด้วยมี เป้าหมาย
 
ไม่ใช่มาอยู่
แล้ว
ลืมความตาย
 
นึกว่าจะไม่ตาย
มัวแต่ขนขวาย
ทำมาหากิน
 
ยุ่งอยู่แต่กับ
หนี้สิน สมบัติ ลูกเต้า ฯลฯ
ที่เขาสร้าง
อุบายให้หลงทาง
 
ให้หาทางกลับบ้านไม่ได้
 
พระศรีอาริย์
พระองค์นี้
คงจะเสด็จลงมา
ช่วยคลี่คลาย
 
ปม ทั้งหลาย ที่
พาเรา หลง
ประเด็น
 
ว่าแล้วก็อย่ามัว
ใจเย็น
 
เหลือเวลาค้นหา
ไม่มากแล้ว
 
ถ้าหาไม่พบ เราก็ต้องยอม
จบ
กันแค่นี้ ยอมรับ
ชะตากรรมแต่โดยดี
 
ว่า
3 ใน 4
ต้องถูกกวาดล้าง
ไม่รู้มีใครบ้าง
ก็เสี่ยงกัน
เอาเอง
เด้อ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 09:06:49


ความคิดเห็นที่ 342 (1573873)

เสด็จพ่อ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ

ตรัส  ฝาก  ว่า

 

คนเรานั้น

 

บุญวาสนา แตกต่างกัน

 

ดังนั้น

 

การตามหาคุณสมบัติ

พระศรีอาริย์

เพียงส่วนเดียวนั้น

ยังไม่พอ

 

แต่ต้องต่อ

ด้วย

การตามหาคุณสมบัติ

ผู้ที่จะได้พบ

พระศรีอาริย์ ด้วย

 

เพราะ

 

แม้จะรู้ว่า

พระศรีอาริย์ เป็นใครแล้ว

 

แต่

อาจไม่มีสิทธิ์

ได้พบพระองค์ก็ได้

 

ด้วยมาติด

เงื่อนไขคุณสมบัติ

ผู้มีโอกาสได้พบ

 

หรือ

บางคน

ได้พบแล้ว

ก็อาจมีสาเหตุให้

ต้องห่างออกไป ไม่มีสิทธิ์

เข้าใกล้พระศรีอาริย์

องค์จริง

 

อาจจะวิ่งไปหา

องค์ปลอม

ก็ได้

 

เสด็จพ่อฯ

ห่วงใย จึงฝาก

ธุระสำคัญนี้มา

 

แล้วฝากบอกอีกด้วยว่า

 

ถ้าใครมีคุณสมบัติ

ข้าจะจัดให้มันได้พบเอง

แล้วข้าจะให้

มันเฮ็ง ร่ำรวย สวยหล่อ

มีทุกอย่างเพียงพอ

หล่อเลี้ยงสังขาร

ให้สุขสวัสดี

จวบจนชีวิตนี้ของลูกหลาน

เข้าสู่นิพพานกันได้

ในชาตินี้

 

สาธุ เจ้าค่ะ เสด็จพ่อ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 09:15:23


ความคิดเห็นที่ 343 (1573875)

กราบขอบพระคุณอ.อุบล ท่านท้าวเวสสุวรรณคะ

ขออนุโมทนากับน้องเบลล์ สำหรับวิธีการปฏิบัติตน

และหลักกาลามสูตร จากคุณณี

บทสรุปของพี่ชนิดาด้วยคะ เริ่มเข้าใจแล้วคะ

ขอบพระคุณคะ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 09:18:23


ความคิดเห็นที่ 344 (1573884)

แม้จะรู้ว่า

พระศรีอาริย์ เป็นใครแล้ว

 แต่

อาจไม่มีสิทธิ์

ได้พบพระองค์ก็ได้

ด้วยมาติด

เงื่อนไขคุณสมบัติ

ผู้มีโอกาสได้พบ

-*-*-*-*-*-*-

สาธุ ๆ ๆ

กราบพระบาทขอบพระคุณ

ท่านท้าวเวสสุวรรณ

กราบขอบคุณค่ะ

อ.อุบล

โอกาสนี้...จะไม่ปล่อย

ให้หลุดมือค่ะ 

**********

ถ้าใครมีคุณสมบัติ

ข้าจะจัดให้มันได้พบเอง

***********

ทุกสิ่ง ทุกอย่าง

ไม่ใช่ความบังเอิญ

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 10:11:35


ความคิดเห็นที่ 345 (1573888)

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบล    ท่านท้าวเวสสุวรรณที่เมตตา ชี้หนทางให้ลูกหลานปฏิบัติตาม    และขออนุโมทนาในธรรมทานกับญาติธรรมทุกท่านค่ะ  สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนา จันทร์อ่อน (pouging1-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 10:44:27


ความคิดเห็นที่ 346 (1573889)

เห็นด้วยคะที่ว่า ผู้ที่จะได้พบพระศรีอารย์ ก็ต้องมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคนในโลกยุคของท่านที่จะมาเกิดในอนาคต  แล้วเราปฏิบัติตัวกันได้แค่ไหนหละ นี่ต่างหากน่าจะเป็นเรื่องที่เราจะต้องรีบเร่ง สำรวจตัวเองมากกว่าจะคิดว่าใครเป็นพระศรีอารย์ ซึ่งก็คงจะเหลือวิสัยปุถุชนอย่างเรา

แล้วเสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณก็คงจะเมตตาให้ได้พบองค์จริงโดยไม่จำเป็นว่าเราจะรู้หรือไม่ เพราะคงจะมีแต่ความสุขเย็นที่เราจะได้รับอย่างที่ท่านได้ให้สัญญา สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 10:52:14


ความคิดเห็นที่ 347 (1573901)

 

ลูกนางอังคณา สมมาก ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อุบล และครอบครัว ท่านท้าวเวสสุวรรณ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ ที่ได้เมตตาให้ลูก ๆ ได้มีโอกาสใกล้ชิดพระศรีอารย์ ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าใครจะมีบุญวาสนาได้เข้าถึงท่านหรือหลุดวงโคจรไป ขออนุโมทนาบุญกับทุกธรรมทานค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อังคณา สมมาก (angkhana-s2011-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 11:39:12


ความคิดเห็นที่ 348 (1573909)

ให้ถือคติพระเจ้าอยู่หัว

ที่ว่า

ทำความดี   ไม่ต้องเกรงใจใคร

แล้วไม่ต้องเสียใจ

ที่ไม่มีเพื่อนเลว

สาธุ...ขอน้อมนำมาใส่เกล้า

ลูกจะทำความดีถวายในหลวง

เพื่อขอให้ได้พบพระศรีอาริย์

จะได้พบหรื่อไม่ได้พบ

ลูกจะขอทำความดี

จนชีวิตจะหาไม่...เจ้าค่ะ

**********

ขอกราบขอบพระคุณ

เสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณ

ที่เมตตา

และอาจารย์แม่อุบล...ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 12:11:19


ความคิดเห็นที่ 349 (1573912)

แล้วใครที่คิดได้ว่า

ตนเอง

คือพระพุทธเจ้า

คนนั้นก็ถึงคราวเสื่อมแล้ว

 

ไม่มีพระอริยะ

หรือ

พระอรหันต์พระองค์ใด

ที่ท่านจะ

 

ทำตัว ตีเสมอ

หรือ

เทียบเท่าพระพุทธเจ้า

กันเลย

 

ท่านรู้ดีว่า

นั่นคือหนทางแห่ง

ความเสื่อม

และ

หนทางสู่นรก

สถานเดียว

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 12:29:17


ความคิดเห็นที่ 350 (1573960)

                              

                  ดิฉันขอกราบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านท้าวเวสสุวรรณ 

     สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านสวนพีระมิด ทุกๆพระองค์ ท่าน อาจารย์ อุบล และครอบครัว 

     ที่เมตตาลูกหลาน บ้านสวนพีระมิด 

                   ดิฉัน สุนีย์ ฉัตรชัยศิระกุล ขอร่วมลงชื่อ รับทราบข่าวสาร

      ความลับของ จักรวาล ด้วยค่ะ

                   ขอกราบขอบพระคุณค่ะ                                     

ผู้แสดงความคิดเห็น สุนีย์ ฉัตรชัยศิระกุล (stp_extra-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 17:33:10


ความคิดเห็นที่ 351 (1573965)

เห็นด้วยกับประโยคที่ท่านอาจารย์อุบลได้กล่าวถึง สาวสวย ณ โปร์แลนด์ ไว้ครับ...

คุณชนิดา
นี่สุดยอดจริง
เรื่องความฉลาด
 
คนอะไร๊ ทั้งคิด วิเคราะห์ ในแต่ละเรื่องได้ลงตัว และอธิบายได้ง่ายดาย อ่านแล้วเข้าใจในทันทีโดยไม่ต้องคิด(หรือว่าเราคิดไม่เป็นหว่า !!?) ชื่นชมคุณชนิดาจริงๆ ครับผม
 
ได้อ่านเรื่องราวของพระศรีอาริย์ จากหลายๆ ท่านที่ทุ่มเทหาข้อมูลด้วยใจบริสุทธิ์(แล้วทำไมตัวเองไม่หามั้งล่ะ) ยิ่งอ่าน ยิ่งสุขใจ ยิ่งประทับใจ และเหมือนยิ่งเข้าใกล้ไปทุกที ทุกขณะ ถึงแม้จะสัมผัสเป็นรูปธรรมได้ หรือไม่ได้ ก็ไม่ใช่ประเด็นแล้ว...
 
สิ่งที่ควรคำนึงถึง นั่นก็คือ กาลามสูตร ต้องพิสูจน์และรู้เห็นด้วยตนเอง จากสิ่งที่เราทำอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว นั่นก็คือ รักษาศีล 5 มั่นคงในพระรัตนตรัย และเชื่อว่ากรรมมีจริง เกิดแล้วต้องตาย...เพียงเท่านี้ก็น่าจะเตรียมตัวเอง เพื่อให้ได้พบกับพระศรีอาริย์ได้โดยไม่ต้องแสวงหาที่ใดๆ อีกแล้วมั้งครับ
 
แต่ที่แน่ๆ...จะเจอหรือไม่เจอท่าน ผมก็ขอเตรียมเสบียงบุญของตัวเอง เพื่อรอท่าน และเกาะติดท่านทุกลมหายใจครับผม 

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณสิทธิ์(สุรสิทธิ์ ศรประสิทธิ์) (surasit2010-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 18:28:43


ความคิดเห็นที่ 352 (1573970)

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์

ท่านท้าวเวสสุวรรณ และท่าน อ.อุบล

ลูกจะน้อมนำไปปฏิบัติค่ะ

ทุกข้อ

จะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปเช่นกัน

แค่เอื้อม

สู้ สู้

ผู้แสดงความคิดเห็น ปุ๋ย (สุจิตรา ชมเสียง) (puy_bunbun-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 18:44:45


ความคิดเห็นที่ 353 (1574001)

ขออนุโมทนาธรรมทาน

จากท่าน อ.อุบล ด้วยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 21:05:12


ความคิดเห็นที่ 354 (1574003)

แม้จะรู้ว่า

พระศรีอาริย์ เป็นใครแล้ว

 

แต่

อาจไม่มีสิทธิ์

ได้พบพระองค์ก็ได้

 

ด้วยมาติด

เงื่อนไขคุณสมบัติ

ผู้มีโอกาสได้พบ

***********************

สาธุ สาธุ สาธุ

ลูกขอกราบขอบพระคุณ

ในความเมตตาของท่านท้าวเวสสุวรรณค่ะ

และจะไม่ยอมให้โอกาสหลุดมือแน่นอนค่ะ

ขออนุโมทนาบุญกับน้องเบลล์

ในกระทู้ 336 นะคะ สาธุ

และคุณณีด้วยค่ะ

และอนุโมทนาบุญกับพี่ชนิดาด้วยค่ะ

ที่ได้ไขทุกข้อความ

ของท่านอ.อุบลได้กระจ่างแจ้

สาธุ สาธุ สาธุ

นักปราชณ์แห่งบ้านสวนพีระมิด 

 ต้องรักษา ศีล 5 ให้มั่น

ละวางความโกรธ

ความโลภ

อยากรวย

อยากสวย

ไม่ติดในรส

 และมีเมตตา

คงพรหมวิหาร 4 ให้ไ้ด้

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่

อ.อุบลสอนพวกเราไว้เสมอ

และอ.อุบลมักจะสอน

ให้พวกเราพิสูจน์

ทุกอย่างที่อาจารย์ทำ

ว่าเป็นจริงหรือไม่

ด้วยการแนะนำให้พวกเรา

อ่านพระไตรปิกฏ

ซึ่งก็ตรงกับที่หลวงพ่อ

เคยได้บอกไว้ว่า

คุณสมบัติเหล่านี้

จะได้อยู่ในยุคพระศรีอาริย์

และได้พบท่าน

ตอนนี้พระศรีอาริย์

อยู่ในใจของหนูแล้วค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณ

อ.อุบลที่เมตตาสอนสั่งหนู

**************

พี่ชนิดาคะ ใช่่แ่ล้วค่ะ

อ.อุบลเมตตาสอน

ทางลัด

เข้าพระนิพพาน

ให้พวกเรามาโดยตลอด

เป็นพระธรรมอันสูงสุดค่ะ

หนูขออนุโมทนาบุญกับอ.อุบลด้วยค่ะ 

สาธุ สาธุ สาธุ


ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 21:12:40


ความคิดเห็นที่ 355 (1574015)

ภัยใหญ่

ก็ใกล้เข้ามาแล้ว

แต่

ดูเหมือนว่า

พวกเราชาวไทย

ส่วนใหญ่

ไม่ค่อยสนใจภัยพิบัติ

 

สนใจแต่เรื่อง

เอาชนะ คะคานกัน

 

แล้วอย่างนี้

 

พระศรีอาริย์

ท่านจะเสด็จเมื่อไหร่หนอ

 

จะให้รอนานแค่ไหน

หรือว่าจนกว่า

ประเทศไทยจะลุกเป็นไฟ

 

ท่านจึงจะปรากฎกายให้เห็น

 

พวกเราทั้งหลาย

มาช่วยกันคิดดีกว่าว่า

ถ้าสมมุติ

ว่า

 

เราได้พบพระศรีอาริย์

จริง ๆ

เราจะทำยังไง

เราจะไปพบท่านไหม

แล้วเราจะไป

พูดยังไงกับท่าน

 

นี่คิดเล่นๆ นะ

ช่วยบอกหน่อยซี

 

เพราะ

ตอนที่ อ.อุบล

ไปหา ดร.จิตรา ท่านบอกว่า

จะมีคนๆ หนึ่งมาช่วย

ประเทศไทย

ให้พ้นภัย

 

ตอนนั้นถามท่านทันทีเลย

บอกหนูหน่อยคะ

ท่านอยู่ที่ไหนคะ หนูอยากเจอ

หนูอยากไปสัมภาษณ์

 

ตอนนั้น

กะเชิญเป็นวิทยากรพิเศษ

ประจำรายการ

เหมือน ดร.อาจอง เลยหละ

 

แต่ ดร.จิตรา

บอกว่า ถึงเวลา

ก็จะได้เห็นเอง

แป่ววว

 

อย่าลืมมาคุยกันนะ

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 21:45:15


ความคิดเห็นที่ 356 (1574016)

 

 

ผู้ถาม : ขอหลวงพ่อโปรดอธิบายเรื่องนิพพาน ให้ผมเข้าใจด้วยครับ

หลวงพ่อ : คำว่านิพพาน เหรอคุณต้องการรู้เรื่องนิพพานไป          

                                   ทำไม…?

ผู้ถาม : (หัวเราะ) เอาไว้ประดับความรู้ครับ

หลวงพ่อ : เอาไว้ประดับความรู้….ดี คำว่านิพพานเป็นของง่าย

เป็นของไม่ยาก นิพพานนี้เขาแปลว่า ดับ นะคุณนะ ถ้าจะถาม

               ว่าดับอะไร ก็ขอตอบว่า

                 ดับความชั่ว คนที่จะถึงนิพพานได้ต้องไม่มี

         ความชั่ว ๓ อย่าง คือ

             ๑. ไม่ชั่วทางกาย

             ๒. ไม่ชั่วทางวาจา

             ๓. ไม่ชั่วทางใจ

       ถ้าทุกคนดับความชั่วได้หมด 

 

       บุคคลนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

 

 

 

ที่มา:หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๓

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิงห์เงิน อุดมศิริ ( ตาโต๊ะ ) (sing_toa-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 21:45:23


ความคิดเห็นที่ 357 (1574021)

 

สรุปว่า ทุกขั้น ทุกตอน ที่อาจารย์บอกนั้น

ล้วนมีนัยยะ ทั้งสิ้น

ซึ่งเราจะค้นพบหลักธรรม

หรือเกิดปัญญาได้

จากการปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้เท่านั้น

ก็เหมือนกับ การทำสมาธิ

เราก็ต้องทำด้วยตัวเอง

จะไปอ่านวิธีทำสมาธิ

แล้วก็มาเหมาว่าตัวเองรู้แล้ว

สำเร็จขั้นนั้น ขั้นนี้แล้ว มันไม่ใช่..

ถ้าเป็นแบบนี้

ก็เรียกได้ว่า เราไม่รู้อะไรเลย ...


สรุปอีกทีว่า ถ้าจะไปนิพพาน

และถ้าเชื่อครูบาอาจารย์

เราก็ต้องปฏิบัติตามที่อาจารย์

เมตตาบอกทุกๆอย่าง

อย่างไม่ลังเลและสงสัย

แต่ขอให้ปฏิบัติตามทันที

**************************************

 

สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือ

ขอให้พวกเราลงมือปฎิบัติอย่างจริงจัง

ตามที่อ .อุบลได้เมตตาพร่ำบอก

ละความชั่ว

ทำความดี

ทำจิตใจให้เบิกบาน

บางคนอ่านถึงตรงนี้

อาจจะบอกว่าง่ายจัง

ฟังดูเรียบง่ายเกินไป ดูไม่ขลัง

เพราะสักแต่อ่านผ่านๆ

แต่ไม่คิดตามว่า

นี่แหละคือ หนทาง ลัดๆสั้นๆ

เพื่อไปสู่นิพพาน

และ

ทำบุญที่มีอานิสงส์สูง โดยเฉพาะ

ธรรมทาน ซึ่งเป็นบุญที่ไม่ต้องใช้เงิน

แต่ต้องใช้

กำลังใจ จริงใจ และตั้งใจ

ซึ่งถ้าพวกเราสามารถปฎิบัติตามนี้ได้

เชื่อว่าพวกเราจะได้พบ พระศรีอาริย์

เพราะถ้าเราทำได้ หรือได้พยายามทำอยู่

แต่บางครั้งอาจจะพร่องไปบ้าง

แต่เราก็พยายามใหม่ ไม่ย่อท้อ

ถือว่าเราก็อยู่บนเส้นทาง

ที่ใกล้จะได้พบท่านแน่นอน

ขอให้เราประคับประคองตัวเอง

ให้เดินอยู่บนเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ

คิดว่าในที่สุดเราจะได้พบท่านแน่นอน

เมื่อเราได้พบท่าน

แสดงว่าเราเริ่มมีกำลังใจเข้มแข็ง

รู้เป้าหมายชีวิตที่แท้จริง

ซึ่งก็คือ นิพพาน

และพร้อมที่จะเดินตามท่าน

อย่างสง่างาม

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) (parichat-dot-chompoo-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 22:21:02


ความคิดเห็นที่ 358 (1574023)

 

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

*************************

หนูจำได้ว่าพระพุทธองค์เมตตาบอกไว้ว่า

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

************************

ในเมื่อพระศรีอาริย์เป็นผู้นำธรรมของพระพุทธเจ้า

มาโปรดพวกเราให้เดินในทางที่ถูกต้อง

มาช่วยเหลือประเทศไทย และโลกใบนี้

ที่สำคัญ มานำพาพวกเรา

กลับบ้านพระนิพพาน

เราต้องเคารพรัก เทิดทูน 

เหมือนที่เรารักพระพุทธองค์ค่ะ

 

คือ ทำตามที่ท่านเมตตา

สอนสั่งทุกอย่างค่ะ

*********************** 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ หล่าบรรเทา (iceteaza-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 22:21:55


ความคิดเห็นที่ 359 (1574025)

 

    อนุโมทนาบุญกับทุกท่าน  ที่ได้รวบรวมและตามหาคุณสมบัติ

พระศรีอาริย์

สำหรับตัวเองไม่ได้ไปหาจากที่ไหน

แต่อ่านจากที่ทุกท่านได้  นำมาเผยแพร่ในเวปนี้

ทำให้หนูคิดว่า หนูมีท่านอยู่ในดวงใจแล้ว

แต่หนูยังไม่พบตัวท่าน  เพราะหนูยังขาดคุณสมบัติอยู่ 

และคงต้องเร่งสร้างความดีมากกว่านี้ 

เพื่อจะได้ไม่ตกขบวนเที่ยวสุดท้ายค่ะ

                                                                                  ************

อย่าลืมมาคุยกันนะ

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

   ถ้าหนูเจอท่าน  หนูจะกราบแทบพระบาทท่าน

และพูดกับท่านว่า  หนูกราบขอบพระคุณที่ท่าน

มาช่วยชี้ทางหนีนรกให้หนู  และเป็นกำลังใจให้หนูได้เปลี่ยนตัว

เอง  เพื่อไม่สร้างวิบากกรรมเพิ่มขึ้น

และกราบขอบพระคุณ  ในความเมตตาที่ท่าน

ได้มาช่วยเหลือมนุษย์โลก  และโลกใบนี้ 

ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ 

และหนูขอเดินตามคำสอนของท่าน ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) (cha2508-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 22:29:30


ความคิดเห็นที่ 360 (1574029)

 หากลูกได้พบพระศรีอาริย์

ลูกจะกราบพระบาทพระองค์

ทูลขอรับฟังพระธรรมเทศนาจากพระองค์

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-22 22:35:41


ความคิดเห็นที่ 361 (1574086)

คนที่อยากเจอ

พระศรีอาริย์

สงสัย

หลับกันหมดแล้วเนาะ

 

เลยไม่ได้

มาตอบกระทู้

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ (PAMELASOAP-at-YAHOO-dot-COM) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 01:33:15


ความคิดเห็นที่ 362 (1574090)

คนที่อยากเจอ

พระศรีอาริย์

............

ผู้ใดเห็นธรรม

ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

ถ้าเช่นนั้น

ลูกขอรับฟังพระธรรมเทศนา

จากพระองค์ท่านเช่นกันค่ะ

เพื่อเป็นแสงสว่างนำทางกลับบ้าน

นิพพาน

ซึ่งขณะนี้ทั้งมืด ทั้งรก

อีกทั้งยังมีภัยอันตรายมากมาย

แต่ลูกยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะได้พบพระองค์ท่าน

กราบพระบาทท่านท้าวเวสสุวรรณ

ท่านอาจารย์อุบลเมตตาลูกด้วยนะเจ้าคะ

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เบ็ญจากาญจน์ ศุภศิริว้ฒนา (aungpao-dot-benjy-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 03:41:02


ความคิดเห็นที่ 363 (1574092)

สงสัยอาจารย์จะให้การบ้านยากไปรึเปล่าคะ

นักเรียนที่ไม่ได้ทำการบ้่าน

ก็เลยโดดเรียนกันหม๊ด..

หรือไม่ก็เป็นคำถาม ที่ต้องใช้เวลา

ในการคิดคำตอบนานซักหน่อยค่ะ

เพราะบางคนก็อาจจะยังไม่รู้่จัก

องค์พระศรีอาริย์ดีพอ ว่าท่านเป็นใคร

ลงมาเพื่อทำอะไร ถ้าอยากเจอต้องทำยังไง

แล้วถ้า..เจอแล้ว จะเกิดผลอะไรกับเรา..

 

 

แต่ถ้าชนิดาได้พบองค์พระศรีอาิริย์

วาบแรกแห่งความรู้สึก ชนิดาคงจะดีใจ

ปลาบปลื้ม ภาคภูมิใจเป็นที่สุด ว่าในที่สุด

คนแย่ๆอย่างเราก็มีบุญได้มาพบพระองค์ด้วย

แล้วชนิดาก็จะกราบพระองค์ด้วยความเคารพ

อย่างที่สุด และกล่าวกราบขอบพระคุณ

ในพระมหาเมตตาของพระองค์

ที่มีต่อสัตว์โลกทั้งหลาย

พระองค์ได้เสียสละ

รับอาสาลงมาปฏิบัติภาระกิจ

พลิกวิกฤติของโลกที่เ้ข้าขั้นอุกฤษณ์นี้

ให้เข้าสู่ภาวะแห่งความสงบสุข

กลายเป็นยุคศรีวิไล

มันคงจะเป็นภาระกิจ

ที่ยิ่งใหญ่และยากมากเลยทีเีดียว

และที่สำคัญ ทุกทุ๊กคน ก็ตั้งหน้าตั้งตา

รอให้พระองค์มาโปรด และฝากความหวัง

ไว้กับพระองค์อย่างเดียวเลย

ว่าแล้วก็อยากสัมภาษณ์ความรู้สึก

พระองค์เหมือนกันนะคะว่า

พระองค์รู้สึกหนักใจกับภาระกิจนี้บ้างไหม๊..


แล้วก็อยากทราบจังว่า ถ้าท่านอ.อุบล

ได้พบองค์พระศรีอาริย์แล้ว

อาจารย์จะทำยังไง หรือทำอะไร หนอ..


กราบแทบพระบาทท่านท้าวเวสสุวรรณ

ที่จะเมตตาลูกหลานทุกคนที่มุ่งมั่น

ที่จะทำตนให้มีคุณสมบัติที่ดีพอ

ที่จะได้พบพระศรีอาริย์พระองค์จริง

ด้วยนะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ

 

แล้วก็กราบอนุโมทนากับทุกๆธรรมทาน

จากท่านอ.อุบลด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

 

อนุโมทนากับธรรมทานจากพี่น้องทุกๆคน

และขอบพระคุณสำหรับคำชื่นชม

ทั้งจากท่านอ.อุบลและพี่น้องทุกๆท่านด้วยนะค๊า

อ่านแล้วก็อ๊ายอายนะ ฟังดูดีมากๆ

แต่เรามองตัวเอง ก็ยังเห็นว่า

ตัวเอง โง่ๆ บื้อๆอยู่มิใช่น้อย...ค๊า 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 03:54:05


ความคิดเห็นที่ 364 (1574094)

อนุโมทนากับพี่ชนิดาและทุกๆท่านด้วยนะคะ

หลากหลายแง่มุม หลากหลายความรู้จริงๆค่ะ

พี่ชนิดานี่เก่งสมกับเป็นทายาทสวรรค์อย่างที่อาจารย์ได้บอกมา

จริงๆนะคะ

ไขได้ทุกเรื่อง ทุกอย่าง แบบเข้าใจง่าย

ไม่คลุมเครือเลยจริงๆ อะไรที่ไม่ชัดเจน

ก็จะได้พี่ชนิดามาจุดเทียนให้สว่าง

ต่อจากอาจารย์แม่ตลอดเล๊ยยยย 

ทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งฉลาดจริงๆพี่ฉาวเรา ฮิฮิ

***********************

 

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

หากว่าหญิงมีโอกาสได้พบพระพุทธองค์

จะขอกราบแทบพระบาทพระพุทธองค์

ที่ทำให้หญิงเปลี่ยนตัวเองได้มากมายขนาดนี้

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์

ที่ทรงเสีย สละ บำเพ็ญ บุญ บารมี

มาหลายกัปล์ หลายอสงค์ไข 

เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นทุกข์

เพื่อช่วยเหลือผู้คนทั้งหลายกลับนิพพาน

ภารกิจนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ดังนั้นทุกท่านที่ตั้งจิตอธิษฐานในการลงมาเกิดครั้งนี้

คงจะบ่งบอกได้ดี

ว่าอีกไม่นานพระพุทธองค์คงปรากฏตัว

เพื่อแยกคนชั่ว คนดีออกจากกัน

ยุคศิวิไลซ์จะได้รุ่งเรือง เจริญก้าวหน้า

กว่ายุคที่ผ่านๆมา..

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญิง < นันทนา แหกาวี > ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 04:22:06


ความคิดเห็นที่ 365 (1574159)

อย่าลืมมาคุยกันนะ

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

"""""""""""""

ถ้าผมได้พบพระองค์ท่านฯ

ผมก้อคงทำได้แค่เพียง

ปฎิบัติตามคำสั่งและสอนของพระองค์ท่านฯ

เพราะผมนั้นเป็นเพียง

มนุษย์โง่ๆ ปัญญาน้อยนิด

คนนึงแค่นั้นครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนาธิป มานีมาน(ตั้ม) (cntip-dot-m-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 12:09:55


ความคิดเห็นที่ 366 (1574169)

ถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

-*-*-*-*-*-*-*-

กราบขอบคุณ

กับคำถามที่ประเสริฐ

แมวขอคิด .. เป็น

การบ้าน.. ก่อนนะคะ

เพราะขนาดได้พบ

อ.อุบล บ้านสวนพิรามิด

ก็ยังขนลุก

ตั้งแต่ศีรษะ

( ขนหัวลุก )

ทำอะไรไม่ถูก

รู้แต่ว่า..

ทำไม ปิติ..มากได้ขนาดนี้

กราบ ๆ ๆ

ความรัก ความเมตตา

ที่สัมผัส อ.อุบลได้ตั้งแต่

นาทีแรก..ที่ได้พบ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 12:31:04


ความคิดเห็นที่ 367 (1574185)

 จะขอกราบพระบาทของท่าน

และบอกท่านว่า

ลูกขอมอบกาย ถวายชีวิต

ทั้งจิต และวิญญาณ

เพื่อรับใช้ และกอบกู้

 

ตามเจตนารมย์

ของพระองค์ที่มีพระเมตตา

ลงมาโปรดสรรพสัตว์

ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

ให้ก้าวผ่าน ความทุกข์ยาก


และจะบอกท่่านว่า

สิ่งใดที่เป็นภาระหน้าที่ของท่าน

ลูกขอเดินตาม แบ่งเบา

และร่วมในเจตนารมย์นั้น

ทุกอย่างค่ะ

 

ขอบุญบารมีของท่าน

โปรดปกปักรักษาตัวลูก

ให้ต่อสู้เหล่ามาร

ให้หมดสิ้น

 

และขอถ่ายรูปท่านไว้บูชาด้วยค่ะ

หากท่านอนุญาติค่ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ตุ้ย ศิริพร โฉมจันทร์ (kondee25121-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 13:31:17


ความคิดเห็นที่ 368 (1574189)

เราได้พบพระศรีอาริย์

จริง ๆ

เราจะทำยังไง

เราจะไปพบท่านไหม

แล้วเราจะไป

พูดยังไงกับท่าน

*********

อาจารย์ขาาาา

ด้วยปัญญาอันน้อยนิด..ค่ะ

เมื่อได้พบท่านอ๊อดจะพูดกับท่าน

ว่า

ขอให้พระองค์ทรงสั่งสอน

ธรรมะของพระองค์

ให้มนุษย์ทั้งโลกเป็นคนดี

ไม่รบลาฆ่าฟันกัน

ขอให้มนุษย์ฟังธรรมะของพระองค์แล้ว

เข้าใจได้ง่ายๆ

และขอให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้

เจ้าค่ะ

และขอกราบฝ่าพระบาท

พระองค์อีก...สักครั้ง

ก่อนตาย...เจ้าค่ะ

******

ตอนนี้ยังไม่ได้พบ

พระศรีอารย์

อ๊อดขอกราบเท้าอาจารย์ แม่อุบล

ผ่านทางหน้าจอ

ก่อนนะค่ะ

กราบ

กราบ

กราบ

สาธุ...เจ้าค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น กมลลักษณ์ โปษณกุล อ๊อด (aod5961-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 14:14:47


ความคิดเห็นที่ 369 (1574192)

อย่าลืมมาคุยกันนะ

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

สิ่งแรกที่ลูกจะทำ

คือจะเข้าไปขอ

กราบพระบาทท่าน

และขอฟังธรรมจากท่าน

เกิดมาชาตินี้ ไม่เสียชาติเกิด

ที่ได้มาพบพระองค์ค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนวดี รัชตารมย์ (thanavadee_r-at-sepo-dot-go-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 15:22:32


ความคิดเห็นที่ 370 (1574193)

กราบพระบาท

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เสด็จพ่อท่านท้าวเวสสุวรรณ และ

อ.แม่อุบล เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ.............

ได้อ่านกระทู้มาทั้งหมดนี้ มีความรู้สึกว่า เราก็มีความ

โชคดีอยู่บ้างที่ได้เกิดมาในยุคของพระองค์ ( พระศรีอาริย์ )

กราบพระบาทพระองค์เจ้าค่ะ สาธุ

ขออนุญาติตอบคำถาม อ.แม่ ค่ะ

ถ้าลูกได้เจอพระศรีอาริย์ตัวเป็นๆ ( ซึ่งไม่รู้

ว่าจะมีวันนั้นหรือเปล่า เพราะลูกเป็นคนบาปหนานัก )

เกดจะกราบแทบพระบาทพระองค์ และตอนนั้นคงรู้สึกปิติ

มากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และคงพูดอะไรไม่ออก คงได้แต่ ขอบพระคุณ

ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ อยู่ในใจ ตอนนี้ยังคิดไม่ค่อยออกมากค่ะ

ขออนุโมทนา

สำหรับธรรมทานของ

ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นิพาดา กะตะศิลา (tee-ged-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 15:38:38


ความคิดเห็นที่ 371 (1574201)

 คำว่า "เมตไตรย" มีความหมายเดียวกับคำว่า

"เมตตา" แปลว่า ความรัก หรือ ความเป็นมิตร

คือ อยู่กันด้วยความรักความเมตตาศาสนาของ

พระศรีอริยเมตไตรย คือ ศาสนาที่อยู่กัน

ด้วยความเป็นมิตรชั้นเลิศ ชั้นประเสริฐ ชั้นสูงสุด

เหมือนกับการนั่งอยู่บนตักของมารดาหรือนั่งอยู่

ในวงล้อมของคณาญาติ มีแต่กลิ่นไอของความรัก

ตลบอบอวลไปทั่วปฐพี ซึ่งเป็นแผ่นดินแห่งศานติ

ที่ทุกคนปรารถนา

อีกประการหนึ่ง คำว่า "ศรีอริยเมตไตรย"

 มีความหมายดังนี้

ชื่อว่า "ศรี" เพราะอรรถว่า "ประเสริฐ"

ชื่อว่า"อริยะ" เพราะอรรถว่า "โสดาบัน"

ชื่อว่า "เมตไตรย" เพราะอรรถว่า " มารดา"

ดังนั้น คำว่า "ศรีอริยเมตไตรย"

จึงมีความหมายว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ประสูติจากพระครรภ์ของพุทธมารดา

ผู้ทรงบรรลุโสดาบันอันประเสริฐ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล (shindo_ploy-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 17:01:52


ความคิดเห็นที่ 372 (1574203)

ถ้าหนูเจอพระศรีอาริย์

สิ่งแรกหนูขอทำบุญกับท่านก่อนคะ

เพราะท่านคือเนื้อนาบุญที่บริสุทธ์มากๆ

ขอใด้มีโอกาสถวายอาหาร

และบูชาท่านด้วยดอกไม้

และสุดท้ายรับฟังและปฏิบัติตามคำสอนของท่าน

เพราะท่านคือบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ 

ผู้แสดงความคิดเห็น พีรายุ หงษ์กำเนิด (peerayu_t-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 17:08:12


ความคิดเห็นที่ 373 (1574204)

สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น พีรายุ หงษ์กำเนิด (peerayu_t-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 17:08:12


ความคิดเห็นที่ 374 (1574216)

 พระพุทธมารดาผู้ทรงบรรลุพระโสดาบัน

 ก็คือ "พระสิริมายาเทพบุตร" ผู้ทรงตั้งพระหทัย

 ปรารถนาขอให้ได้เป็น"พระพุทธมารดา"

 ของพระพุทธเจ้า 5  พระองค์ ในภัทรกัปนี้ คือ

1.พระกกุสันธะพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุ 4 หมื่นปี

2.พระโกนาคมนะพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุ 3 หมื่นปี

3.พระกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุ 2 หมื่นปี

4.พรโคตมะพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุ 80 ปี

5.พระเมตไตรยโพธิสัตว์ จะทรงมีพระชนมายุ 8 หมื่นปี

จึงเรียกว่า "ภัทรกัป" แปลว่า กัปที่เจริญ คือ มีพระพุทธ

เจ้าเสด็จอุบัติติดต่อกันถึง 5 พระองค์ เพราะเป็นยุคที่

โลกไม่ว่างจากพระพุทธเจ้าเลย กล่าวคือ เมื่อศาสนาของ

พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนสิ้นสุดลงก็จะมีพระพุทธเจ้า

พระองค์ใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นอย่างนี้มาแล้วถึง

 

4 พระองค์ และพระองค์ที่ 5 ซึ่งพระเป็นพระองค์สุดท้าย

ในภัทรกัปนี้ก็เสด็จมาอุบัติในโลกนี้หลังจากที่ศาสนา

ของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันสิ้นสุดลง ซึ่งไม่เคย

ปรากฏในโลกยุคใดเลย เพราะเท่าที่มีหลักฐานเกี่ยว

กับการอุบัติของพระพุทธเจ้า มากที่สุดเพียง 4 พระองค์

เท่านั้น ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า " ภัทรกัป"

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล (shindo_ploy-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 18:17:15


ความคิดเห็นที่ 375 (1574235)

ขอแชร์ตามที่ผมเข้าใจนะครับ ไม่ได้แวะมาตั้งนาน  อยากจะแชร์ไอเดียตามที่ผมทราบนะครับ

ผู้ที่ปฎิบัติ จะมีการแบ่งเป็นสองประเภทนะครับ

๑.      พุทธภูมิ ได้แก่ ผู้ที่หวังจะเป็นพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อที่จะได้ช่วยนำเหล่าสัตว์โลกทั้งหลาย นำสู่พระนิพพาน จึงต้องศึกษาครบทุกด้าน เพื่อจะได้แนะนำคนได้ทุกแนวทาง ซึ่งเราเรียกบุคคลเหล่านี้ว่า พระโพธิสัตว์ ซึ่งยังเป็นผู้ข้องอยู่กับโลกอยู่ เพื่อที่จะเวียนว่ายตายเกิด เพื่อที่จะศึกษาให้ครบทุกภพภูมิ เพื่อที่จะได้มีความรู้สั่งสอนได้ครบทุกด้าน ถ้าเปรียบก็คือ ศึกษาเพื่อที่จะเป็นครูเขา ซึ่ง ต้องบำเพ็ญบารมี 30 ทัศ คือบารมี สิบทัศ ขั้นปรมัตถ์

๒.      สาวกภูมิ ได้แก่ พระอรหันต์ ผู้ประสงค์เข้าสู่พระนิพพาน แต่ไม่ได้หวังที่จะช่วยผู้อื่นให้เข้าพระนิพพาน สามารถสอนผู้อื่นให้เข้านิพพานตามตนเองได้ เฉพาะด้วยวิธี ที่ตัวเองสำเร็จมรรคผลเท่านั้น ซึ่งถ้าศิษย์ผู้ปฎิบัติมีจริตตรงกับ พระอรหันต์ผู้นั้น ก็จะสำเร็จมรรคผลได้ แต่ถ้าไม่ ก็อาจจะเนิ่นช้า ขึ้น ซึ่งจะแตกต่างจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์สามารถ รู้ได้ถึงจริตของทุกบุคคล ทำให้พระองค์สามารถแนะนำ วิธีให้เหมาะกับบุคคลนั้นๆ ซึ่งระดับผู้ที่จะประสงค์เข้าพระนิพพาน ต้องบำเพ็ญบารมีให้ได้ครบ 10 ทัศ เต็ม

ซึ่งบารมี ทั้งสิบทัศ ได้แก่

  • บารมี แปลว่า กำลังใจเต็ม บารมี 10 ทัศ มีดังนี้

    1. ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสำคัญ
  • 2. ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ หากเป็นฆราวาสหมายถึงการถือศีล 5 หากเป็นนักบวชคือการถือศีล 8 ขึ้นไป
  • 3. เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช หากฆราวาสถือศีล ๘ ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อเว้นจากกามสุข
  • 4. ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็นปัญญาทางโลกและทางธรรม เนื่องจากพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาตคตกาล จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อจะได้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ การเรียนของพระโพธิสัตว์จึงต้องเรียนมากกว่าผู้อื่น
  • 5. วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง การมีวิริยะอาจไม่ได้หมายถึงการเพียรจนกระทั่งตัวตายในครั้งเดียว แต่หมายถึงมีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังจนกว่าจะสำเร็จ

สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ

o สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น

o ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว

o ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น

o อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง

  • 6. ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
  • 7. สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้
  • 8. อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน
  • 9. เมตตาบารมี หมายถึง การมีความปรารถดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร เมตตาแตกต่างจากราคะตรงที่ ราคะอาจรักเฉพาะตัวหรือพวกพ้อง แต่เมตตาเป็นรักที่ไม่แบ่งแยก
  • 10. อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน และสัตว์ที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตน ไม่มีใครได้รับความยากลำบากโดยไม่มีเหตุปัจจัย ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เคยทำมาทั้งสิ้น

ซึ่งในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่

1.   บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี, รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี, หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น

2.   บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี, การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี ,การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี, มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี, หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น

3.   บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี , ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี, ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี, หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น

ดังนั้น จึงรวมเป็นบารมี 30 ทัศ

 

โดยประโยชน์ของ บารมีทั้งสิบ คือ

ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
ศีล เรามีก็ตัดความโกรธ
เนกขัมมะ เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
ปัญญา ตัดความโง่
วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
ขันติ ตัดความไม่รู้จักอดทน
สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์
เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเรา

(Credit บารมีสิบทัศ นำมาจาก เวปพลังจิต)

ในพระไตรปิฎกจะแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าไว้ดังนี้ การแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าตามวิธีการสร้างบารมี[1]

1.       ปัญญาธิกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี 20 อสงไขยกับอีก 100,000 มหากัปป์
ตั้งความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ 7 อสงไขย กล่าววาจาปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า 9 อสงไขย นับเวลาตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก 4 อสงไขยกัป กับอีก 100
,000 มหากัปป์

2.       ศรัทธาธิกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี 40 อสงไขยกับอีก 100,000 มหากัปป์
ตั้งความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ 14 อสงไขย กล่าววาจาปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า 18 อสงไขย นับเวลาตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก 8 อสงไขยกัป กับอีก 100
,000 มหากัปป์

3.       วิริยะธิกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ความเพียรเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี 80 อสงไขยกับอีก 100,000 มหากัปป์
ตั้งความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ 28 อสงไขย กล่าววาจาปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า 36 อสงไขย นับเวลาตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก 16 อสงไขยกัป กับอีก 100
,000 มหากัปป์

ซึ่งองค์พระสมณโคดม ได้บำเพ็ญบารมีในแบบ ปัญญาธิกพุทธเจ้า ซึ่งเน้นปัญญานำ แต่เนื่องจากเวลาบำเพ็ญน้อยกว่า พุทธเจ้าประเภทอื่นๆ ทำให้ในยุคของพระองค์ อาจจะทำให้มีคนชั่ว หรือ มีคนจน หลุดรอดมาได้

ในขณะที่พระศรีอริยเมตไตรย หรือ แม้กระทั่ง ในหลวงของเรา ก็ได้ถือว่า ทรงได้บำเพ็ญมาแบบ วิริยะธิกะ ดังนั้นยุคของพระองค์ จึงมีแต่ คนที่ รูปร่างหน้าตาดี จิตใจงดงาม ไม่มีคนจน พวกคนชั่ว จะไม่สามารถมาเกิดในยุคนั้นได้เลย ดังนั้นจึงถือว่าในหลวงของเรา เป็นผู้มีบารมีมากผู้หนึ่งครับ

ส่วนผู้ที่กำลังบำเพ็ญเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนั้น ซึ่ง พวกเราเรียกว่า กันว่า พระโพธิสัตว์นั้น เป็นผู้ซึ่งจะเข้าใจว่า นิพพานเป็นเช่นไร เห็นความน่าเบื่อหน่าย ในโลกมนุษย์ แต่ เนื่องจากตั้งใจจะขนเหล่าสัตว์ให้พ้นจากวัฎสงสาร จึงจำเป็นต้องมาเกิดอีก ดังมีผู้กล่าวว่า ผู้ที่หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์ แม้จะเห็นมหาสมุทร เป็นเข็มพันเล่ม ก็พร้อมที่จะว่ายฝ่า ข้ามไป เพื่อที่หวังจะช่วยคนทั้งปวงให้บรรลุธรรม

1.        1. พระฌานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และสำเร็จเป็นพระธยานิโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ในสมาธิโดยยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด พระธยานิโพธิสัตว์นี้เป็นทิพยบุคคลที่มีลักษณะดังหนึ่งเทพยดา มีคุณชาติทางจิตเข้าสู่ภูมิธรรมขั้นสูงสุดและทรงไว้ซึ่งพระโพธิญาณอย่างมั่นคง จึงมีสภาวะที่สูงกว่าพระโพธิสัตว์ทั่วไป พระธยานิโพธิสัตว์มักจะมีภูมิหลังที่ยาวนาน เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มาเนิ่นนานนับแต่สมัยพระอดีตพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สุดจะคณานับเป็นกาลเวลาได้ พระธยานิโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานรู้จักดี เป็นพระโพธิสัตว์ที่กำหนดไม่ได้ว่าเกิดเมื่อใด แต่เกิดก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นผู้บรรลุพุทธภูมิแล้วแต่ไม่ไปเพราะมุ่งจะช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์ จึงไม่เสด็จเข้านิพพาน พระฌานิโพธิสัตว์ที่สำคัญที่ควรทราบคือ
          1. พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ คุณธรรมพิเศษคือ มหากรุณา
          2. พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ มีความสามารถพิเศษในการเทศนาให้คนเกิดปัญญา
          3. พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ สามารถรู้ถึงความต้องการทางสติปัญญาของสรรพสัตว์ ทรงมีปัญญาเยี่ยม ใช้ปัญญาทำลายอวิชชา

     

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 19:09:47


ความคิดเห็นที่ 376 (1574236)

1.                 2. พระมานุษิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในสภาพมนุษย์ทั่วไป หรือเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ยังต้องฝึกอบรมตนเอง และทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน เป็นผู้ที่กำลังบำเพ็ญสั่งสมบารมีอันยิ่งใหญ่เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ ถ้าตามมติของฝ่ายเถรวาทก็คือผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อบำเพ็ญ ทศบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำมาในอดีต โดยที่ทรงเสวยพระชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์จนได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีดังกล่าวนี้เป็นความยากลำบากแสนสาหัส สำเร็จได้ด้วยโพธิจิต อีกทั้งวิริยะและความกรุณาอันหาที่เปรียบมิได้ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับด้วยกัปอสงไขย สิ้นภพสิ้นชาติสุดจะประมาณได้ (http://community.buddhayan.com)

   ซึ่งพระโพธิสัตว์ที่เป็นมนุษย์นั้น ยังแบ่งเป็นสองประเภท อีก คือ

 

1. อนิตยโพธิสัตว์

 

พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิตยโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้ ซึ่งที่บารมีเต็มสิบทัศแล้ว ก็สามารถลาเข้าพระนิพพานได้ทันที  อย่างเช่น หลวงปู่มั่น หลวงพ่อฤาษี ดังนั้น ท่านเหล่านั้นจึงมีวิธีการสอนที่หลายหลายให้เข้ากับแต่ละบุคคล เนื่องจากได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว  เพื่อที่พร้อมจะเป็นพุทธเจ้าแล้วนี่เอง

2. นิตยโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิตยโพธิสัตว์ ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยียมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์ ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย และ รวมถึงในหลวงของเรา ก็ได้รับการพยากรณ์แล้วเช่นกัน  ซึ่ง มีผู้กล่าวกันว่า พระสมณโคดม ท่าน มีทศชาติ  ในหลวงเอง ชาตินี่ท่านก็บำเพ็ญปัญญา บารมีเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าเปรียบกับ ชาติพระสมณโคดม ก็คือ มโหสถ นั่นเอง

 

เดี้ยวมาต่อนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 19:13:26


ความคิดเห็นที่ 377 (1574241)

มีคนกล่าวว่า หลวงปู่ทวด จะเป็น พระศรีอาริยเมตไตรย ในอนาคตครับ

 

ในสมัยสมเด็จเจ้าพะโคะ (หลวงปู่ทวด) พำนักอยู่วัดพะโคะครั้งนั้นยังมีสามเณรน้อยรูปหนึ่งเข้าใจว่าคงอาศัยอยู่วัดใดวัดหนึ่งในท้องที่อำเภอหาดใหญ่เวลานี้  สามเณรรูปนี้ได้บวชมาแต่อายุน้อย ๆ ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดมีความขยันหมั่นเพียรก่อแต่การกุศลในพระพุทธศาสนาและตั้งจิตอธิษฐานจะขอพบพระศรีอริยะอย่างแรงกล้า  อยู่มาคืนหนึ่งมีคนแก่ถือดอกไม้เดินเข้ามาหาแล้วประเคนดอกไม้ส่งให้แล้วบอกว่า  นี่เป็นดอกไม้ทิพย์ไม่รู้จักร่วงโรยพร้อยกับกล่าวว่า  พระศรีอริยะโพธิสัตว์นั้นขณะนี้ได้จุติลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เพื่อโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนาสามเณรเจ้าจงถือดอกไม้ทิพย์นี้ออกค้นหาเถิดหากผู้ใดรู้จักกำเนิดของดอกไม้แล้วผู้นั้นแหละเป็นพระศรีอริยะที่จุติมา เจ้าจงพยายามเที่ยวค้นหาคงจะพบเมื่อกล่าวจบแล้วคนแก่นั้นก็อันตรธานหายไปทันที
 สมาเณรน้อยมีความปิติยินดีเป็นยิ่งนักวันรุ่งเช้าจึงกราบลาสมภารเจ้าอาวาสถือดอกไม้ทิพย์เดินออกจากวัดไป  สามเณรเดินทางตรากตรำลำบากไปทั่วทุกหนทุกแห่งก็ไม่มีใครทักถามถึงดอกไม้ทิพย์ที่ตนถืออยู่นั้นเลยแต่สามเณรก็พยายามอดทนต่อความเหนื่อยยากต้องตากแดดกรำฝนไปเป็นเวลาช้านาน  วันหนึ่งต่อมาสามเณรน้อยเดินทางเข้าเขตวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะในเวลาใกล้จะมืดค่ำเป็นวันขึ้น  ๑๕  ค่ำ  พระจันทร์เต็มดวงส่องรัศมีจ้าไปทั่วท้องฟ้าและเป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์ลงทำสังฆกรรมในอุโบสถ สามเณรถือดอกไม้ทิพย์เดินเข้าไปยืนถือดอกไม้ทิพย์อยู่ริมอุโบสถรอคอยพระสงฆ์ที่จะลงมาอุโบสถ พอถึงเวลาพระภิกษุทั้งหลายก็เดินทะยอยกันเข้าอุโบสถผ่านหน้าสามเณรไปจนหมดไม่มีพระภิกษุองค์ใดทักสามเณรเลย  เมื่อพระสงฆ์เข้านั่งในอุโบสถเรียบร้อยแล้วสามเณรจึงเดินเข้าไปนมัสการถามพระสงฆ์เหล่านั้นว่า  วันนี้พระมาลงอุโบสถหมดแล้วหรือ พระภิกษุตอบว่า ยังมีสมเด็จอยู่อีกองค์วันนี้ไม่มาลงอุโบสถ สามเณรทราบดังนั้นก็กราบลาพระสงฆ์เหล่านั้นเดินออกจากอุโบสถมุ่งตรงไปยังกุฏิของสมเด็จเจ้าฯ ทันที
 ครั้นถึงสามเณรก็คลานเข้าไปใกล้ก้มกราบนมัสการท่านอยู่ตรงหน้าสมเด็จเจ้าฯ  สมเด็จเจ้าฯ ได้ประสพดอกไม้ในมือสามเณรถืออยู่  จึงถามสามเณรว่า  นั่นดอกไม้ทิพย์เป็นดอกไม้เมืองสวรรค์ผู้ใดให้เจ้ามา  สามเณรรู้แจ้งใจตามที่นิมิตจึงคลานเข้าไปก้มลงกราบที่ฝ่าเท้าแล้วประเคนดอกไม้ทิพย์นั้นแก่สมเด็จเจ้าฯ ทันที  เมื่อสมเด็จเจ้าฯ รับประเคนดอกไม้ทิพย์จาดสามเณรน้อยแล้วท่านได้สงบอารมณ์อยู่ชั่วครู่มิได้พูดจาประการใด  แล้วลุกขึ้นเรียกสามเณรเดินตรงเข้าไปในกุฏิปิดประตูลงกลอนและเงียบหายไปในคืนนั้น  มิได้มีร่องรอยแต่อย่างใดเหลือไว้ให้พิสูจน์จนเวลาล่วงเลยมาบัดนี้ประมาณสามร้อยปีเศษแล้ว
 การหายตัวไปของสมเด็จเจ้าพะโคะครั้งนั้นประชาชนเล่าลือกันว่าท่านได้สำเร็จสู่สวรรค์ไปเสียแล้วด้วยอำนาจบุญบารมีอภินิหารท่านแรงกล้า  ตามที่กล่าวลือกันเช่นนี้เพราะมีเหตุอัศจรรย์ปรากฏขึ้นในคืนนั้นว่าบนอากาศบริเวณวัดพะโคะ ได้มีดวงไฟโตขนาดเท่าดวงไต้ส่องรัศมีต่าง ๆ เป็นปริมณฑลดังพระจันทร์ทรงกลดลอยวนเวียนรอบบริเวณวัดพะโคะส่องรัศมีจ้าไปทั่วบริเวณวัดเมื่อดวงไฟดวงนั้นลอยวนเวียนอยู่ครบสามรอบแล้วลอยเคลื่อนไปทางทิศอาคเนย์เงียบหายมาจนกระทั่งบัดนี้
 วันรุ่งเช้าประชาชนมาร่วมประชุมกันที่วัดและต่างคนต่างก็เข้าใจว่าสมเด็จเจ้าฯ ท่านสำเร็จสู่สวรรค์ไปจึงได้พากันพนมมือขึ้นเหนือศรีษะพร้อมกับเปล่งเสียงว่าสมเด็จเจ้าพะโคะโล่ไปเสียแล้วเจ้าข้าเอย  เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะโล่หายไปจากวัดพะโคะครั้งนั้น สมเด็จเจ้าฯ ท่านได้ทิ้งของสำคัญไว้ให้เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนตลอดมาคือ
  ๑. ดวงแก้วที่พระยางูใหญ่ให้ครั้งเป็นทารกอยู่ในเปล    ดวง  และสมภารทุกๆ องค์ของวัดพะโคะได้  เก็บรักษาไว้จนถึงบัดนี้ปรากฏว่า  แก้วดวงนี้ไม่มีใครกล้านำออกจากบริเวณวัดพะโคะเพราะเกรงจะเกิดภัย
 ๒. ก่อนที่สมเด็จเจ้าฯ จะโล่หายไปปรากฏว่าท่านได้ขึ้นไปทำสมาธิอยู่บนชะง่อนผาภูเขาบาท  ได้เอาเท้าซ้ายเหยียบลงบนลาดผาลึกเป็นรอยเท้าเป็นที่สักการะบูชาของประชาชนมาจนกระทั่งบัดนี้ (ท่านพระครูวิสัยโสภณวัดช้างให้ได้ไปนมัสการมาแล้ว)
 สมัยที่สมเด็จเจ้าพะโคะโล่หายไปจากวัดพะโคะ  ตำบลชุมพล  อำเภอจะทิ้งพระ  จังหวัดสงขลา  ครั้งนั้นได้มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เมืองรัฐไทรบุรีเวลานี้พระภิกษุรูปนี้เป็นปราชญ์ทางธรรมและเชี่ยวชาญทางอิทธิอภินิหารเป็นยอดเยี่ยมชาวเมืองไทรบุรีมีความเคารพเลื่อมใสมาก ซึ่งสมัยนั้นคนมลายูในเมืองไทรบุรีนับถือศาสนาพุทธ  ต่อมาท่านก็ได้เป็นสมภารเจ้าวัดแห่งหนึ่งในสมัยนั้น

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 19:28:51


ความคิดเห็นที่ 378 (1574242)

สาเหตุ ที่ หลวงปู่ทวด ได้ชื่อว่า หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด


หลังจากหลวงปู่ทวดท่านได้ เรียนจบชั้นธรรมบทบริบูรณ์พระภิกษุปู่ได้กราบลาพระครูกาเดิมจากวัดสีมาเมืองกลับภูมิลำเนาเดิม 

ต่อมาได้ขอโดยสารเรือสำเภาของนายอินทร์ลงเรือที่ท่าเมืองจะทิ้งพระจะไปกรุงศรีอยุธยาพระนครหลวงเพื่อศึกษาเล่าเรียนธรรมเพิ่มเติมอีกเรือสำเภาใช้ใบแล่นถึงเมืองนครศรีธรรมราช  นายอินทร์เจ้าของเรือได้นิมนต์ขึ้นบกไปนมัสการพระบรมธาตุตามประเพณีชาวเรือเดินทางไกลซึ่งได้ปฏิบัติกันมาแต่กาลก่อน ๆ เพื่อขอความสวัสดีต่อการเดินทางทางทะเลแล้วพากันลงเรือสำเภาที่คลองท่าแพ เรือสำเภาใช้ใบสู่ทะเลหลวงเรียบร้อยตลอดมาเป็นระยะทาง  ๓  วัน  ๓  คืน  วันหนึ่งท้องทะเลฟ้าวิปริตเกิดพายุ ฝนตกมืดฟ้ามัวดินคลื่นคนองเป็นคลั่งเรือจะแล่นต่อไปไม่ได้จึงลดใบทอดสมอสู้คลื่นลมอยู่ถึง  ๓  วัน  ๓  คืน  จนพายุสงบเงียบลงเป็นปกติ  แต่เหตุการณืบนเรือสำเภาเกิดความเดือดร้อนมากเรพาะน้ำจืดที่ลำเลียงมาหมดลง  คนเรือไม่มีน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหารนายอินทร์เจ้าของเรือเป็นเดือดเป็นแค้นในเหตุการณ์ครั้งนั้นหาว่าเป็นเพราะพระภิกษุปู่พลอยอาศัยมาจึงทำให้เกิดเหตุร้ายซึ่งตนไม่เคยประสบเช่นนี้มาแต่ก่อนเลย  ผู้บันดาลโทสะย่อมไม่รู้จักผิดชอบฉันใดนายเรือคนนี้ก็ฉันนั้น  เขาจึงได้ไล่ให้พระภิกษุปู่ลงเรือใช้ให้ลูกเรือนำไปขึ้นฝั่งหมายจะปล่อยให้ท่านไปตามยะถากรรม ขณะที่พระภิกษุปู่ลงนั่งอยู่ในเรือเล็กท่านได้ยื่นเท้าลงเหยียบน้ำทะเลแล้วบอกให้ลูกเรือคนนั้นตักน้ำขึ้นดื่มกินดู 

 

ปรากฏว่าน้ำทะเลที่เค็มจัดตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำที่มีรสจืดสนิท ลูกเรือคนนั้นจึงบอกขึ้นไปบนเรือใหญ่ให้เพื่อนทราบพวกกะลาสีบนเรือใหญ่จึงพากันตักน้ำทะเลตรงนั้นขึ้นไปดื่มแก้กระหาย  พากันอัศจรรย์ในอภินิหารของพระภิกษุหนุ่มยิ่งนัก ความทราบถึงนายอินทร์เจ้าของเรือจึงได้ดื่มน้ำพิสูจน์ดูปรากฏว่าน้ำทะเลที่จืดนั้นมีบริเวณอยู่จำกัดเป็นวงกลมประมาณเท่าล้อเกวียนนอกนั้นเป็นน้ำเค็มตามธรรมชาติของทะเลจึงสั่งให้ลูกเรือตักน้ำในบริเวณนั้นขึ้นบรรจุภาชนะไว้บนเรือจนเต็ม  นายอินทร์และลูกเรือได้ประจักษ์ในอภินิหารของท่านเป็นที่อัศจรรย์เช่นนั้นก็เกิดความหวาดวิตกภัยภิบัติที่ตนได้กระทำไว้ต่อท่านจึงได้นิมนต์ให้ท่านขึ้นบนเรือใหญ่แล้วพากันการบไหว้ขอขมาโทษตามที่ตนได้กล่าวคำหยาบต่อท่านมาแล้วและถอนสมอใช้ใบแล่นเรือต่อไปเป็นเวลาหลายวันหลายคืนโดยเรียบร้อย

 

ขณะที่สมเด็จเจ้าพะโคะ(หลวงปู่ทวด)กลับจากกรุงศรีอยุธยาได้ประจำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ
ครั้งนี้คาดคะเนว่าท่านมีอายุกาลถึง  ๘๐  ปีเศษอยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์ประจำตัว  ไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น  ๓  คด  ชาวบ้านเรียกว่าไม้เท้า  ๓  คด  ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังฝั่งทะเลจีน  และขณะที่ท่านเดินเล่นรับอากาศทะเลอยู่นั้น  ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลี่ยบชายฝั่งมา  พวกโจรสลัดจีนเห็นสมเด็จเดินอยู่  คิดเห็นว่าเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ  พวกโจรจึงแวะเรือเข้าขึ้นฝัง  นำเอาท่านลงเรือไป  เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน  เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น  คือเรือลำนั้นจะแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่  พวกโจรจีนได้พยายามแก้ไขจนหมดความสามารถ  เรือก็ยังไม่เคลื่อนจึงได้จอดเรือนิ่งอยู่  ณ  ที่นั่นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน  ที่สุดน้ำจืดที่ลำเลียงมาบริโภคในเรือก็ได้หมดสิ้นจึงขาดน้ำดื่มและหุงต้มอาหาร  พากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยการกระหายน้ำเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จท่านสังเกตเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกเรือถึงขั้นที่สุดแล้วท่านจึงเหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล  ทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกจีนไปเมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากผิวน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวกโจรจีนตักน้ำตรงนั้นขึ้นมาดื่มชิมดู  พวกจีนแม้ไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลองเพราะไม่มีทางใดที่จะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรสลัดจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้นก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก้พวกเขาต่อไปจึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วพาท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป
 เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะขึ้นจากเรือเดินกลับวัดถึงที่แห่งหนึ่ง ท่านหยุดพักเหนื่อยได้เอาไม้เท้า  ๓  คด พิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน  ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้นลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนสภาพจากเดิมกลับคด ๆ  งอ ๆ  แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่า  ต้นยางไม้เท้า ยังมีปรากฏอยู่ถึงเวลา

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 19:38:09


ความคิดเห็นที่ 379 (1574244)

นอกจากนี้ ท่านยัง เคยช่วยกอบกู้ เอกราชของประเทศไทยไว้เช่นกัน


 ในสมัยนั้นประเทศลังกาอันมีพระเจ้าวัฏฏะคามินีครองราชเป็นเจ้าแผ่นดินมีพระประสงค์จะได้กรุงศรีอยุธยาไว้ใต้พระบรมเดชานุภาพ แต่พระองค์ไม่มีประสงค์จะก่อสงครามให้เกิดการรบราฆ่าฟันและกันให้ประชาชนข้าแผ่นดินเดือดร้อนจึงมีนโยบายอย่างหนึ่งที่สามารถจะเอาชนะประเทศอื่นโดยการท้าพนัน  พระองค์จึงตรัสสั่งให้พนักงานพระคลังเบิกจ่ายทองคำในท้องพระคลังหลวงมอบให้แก่นายช่างทองไปจัดการหลอมหล่อเป็นตัวอักษรเท่าใบมะขามจำนวน  ๘๔,๐๐๐  เมล็ด  แล้วมอบให้แก่พราหนณ์ผู้เฒ่า  ๗  คน  พร้อมด้วยข้าวของอันมีค่าบรรทุกลงเรือสำเภา  ๗  ลำ  พร้อมด้วยพระราชสาส์นให้แก่พราหมณ์ทั้ง  ๗  นำลงเรือสำเภาใช้ใบแล่นไปยังกรุศรีอยุธยา  เมื่อเรือสำเภาจอดท่ากรุศรีอยุธยาเรียบร้อยแล้ว  พราหมณ์ทั้ง  ๗ ได้พากันเข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาธรรมราชาและถวายสาส์น


 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงไทยทรงอ่านพระราชสาส์นความว่า  พระเจ้ากรุงลังกาขอท้าพระเจ้ากรุงไทยให้ทรงแปลพระธรรมในเมล็ดทองคำและเรียบเรียงลำดับให้เสร์จภายใน  ๗  วัน  ถ้าแปลแและเรียบเรียงได้ทันกำหนดพระเจ้ากรุงลังกาขอภวายข้าวของอันมีค่าทั้ง  ๗  ลำเรือสำเภาเป็นบรรณาการแก่พระเจ้ากรุงไทย  แต่ถ้าพระเจ้ากรุงไทยแปลเรียงเมล็ดทองคำไม่ได้ตามกำหนดให้พระเจ้ากรุงไทยจัดการถวายดอกไม้เงินและทองส่งเป็นราชบรรณาการแก่กรุงลังกาทุก ๆ ปีตลอดไป


 เมื่อพระองค์ทรงทราบพระราชสาส์นอันมีข้อความดังนั้น  จึงทรงจัดสั่งนายศรีธนญชัยสังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิทั่วประเทศให้เข้ามาแปลธรรมในพระมหานครทันกำหนด เมื่อประกาศไปแล้ว  ๖  วัน  ก็ไม่มีใครสามารถแปลเรียบเรียงเมล็ดทองคำนั้นได้ พระองค์ทรงปริวิตกยิ่งนักและในคืนวันนั้นพระองค์ทรงสุบินนิมิตว่ามีพระยาช้างเผือกผู้มาจากทิศตะวันตกขึ้นยืนอยู่บนพระแท่นในพระบรมมหาราชวังได้เปล่งเสียงร้องก้องดังได้ยินไปทั่วทั้งสี่ทิศ  ทรงตกพระทัยตื่นบรรทมในยามนั้นและทรงพระปริวิตกในพระสุบินนิมิตเกรงว่าประเทศชาติจะเสียอธิปไตยและเสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพทรงพระวิตกกังวลไม่เป์นอันบรรทมจนรุ่งสาง
 เมื่อได้เสด็จออกยังท้องพระโรงสั่งให้โหรหลวงเข้าเฝ้าโดยด่วนและทรงเล่าสุบินนิมิตให้โหรหลวงทำนายเพื่อจะได้ทรงทราบว่าร้ายดีประการใด  เมื่อโหรหลวงทั้งคณะได้พิจารณาดูยามในพระสุบินนิมิตนั้นละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว  ก็พร้อมกันกราบถวายบังคมทูลว่าตามพระสุบินนิมิตนี้จะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งมาจากทิศตะวันตกอาสาเรียงและแปลพระธรรมได้สำเร็จ  พระบรมเดชานุภาพของพระองค์จะยั่งยืนแผ่ไพศาลไปทั่วทั้งสี่ทิศเมื่อพระองค์ทรงทราบแล้วก็คลายพระปริวิตกลงได้บ้าง
 ด้วยเดชะบุญบันดาลในเช้าวันนั้นบังเอิญศรีธนญชัยไปพบพระภิกษุปู่ที่วัดราชานุวาส  ได้สนทนาปราศรัยกันแล้วก็ทราบว่าท่านมาจากเมืองตะลุง ( พัทลุงเวลานี้ )  เพื่อศึกษาธรรม  ศรีธนญชัยเล่าเรื่องกรุงลังกาท้าพนันให้แปลธรรม  แล้วถามว่าท่านยังจะช่วยแปลได้หรือ  พระภิกษุปู่ตอบว่าถ้าไม่ลองก็ไม่รู้  ศรีธนญชัยจึงนิมนต์ท่านเข้าเฝ้า  ณ  ที่ประชุมสงฆ์  ขณะที่พระภิกษุปู่ถึงประตูหน้าวิหาร  ท่านย่างก้าวขึ้นไปยืนเหยียบบนก้อนหินศิลาแลง  ทันทีนั้นศิลาแลงได้หักออกเป็นสองท่อนด้วยอำนาจอภินิหารเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อเข้าไปในพระวิหารพระทหากษัตริย์ตรัสสั่งพนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันสมควร แต่ก่อนที่ท่านจะเข้านั่งที่แปลพระธรรมนั้นท่านได้แสดงกิริยาอาการเป็นปัญหาธรรมต่อหน้าพราหมณ์ทั้ง  ๗  กล่าวคือ  ท่าแรกท่านนอนลงในท่าสีหะไสยาสน์  แล้วลุกขึ้นนั่งทรงกายตรงแล้วกะเถิบไปข้างหน้า  ๕  ที  แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งในที่อันสมควร  พราหมณ์ผู้เฒ่าทั้ง  ๗  เห็นท่านแสดงกิริยาเช่นนั้นเป็นการขบขันก็พากันหัวเราะและพูดว่า  นี่หรือพระภิกษุที่จะแปลธรรมของพระบรมศาสดา อะไรจึงแสดงกิริยาอย่างเด็กไร้เดียงสา พราหมณ์พูดดูหมิ่นท่านหลายครั้ง ท่านจึงหัวเราะ แล้วถามพรามณ์ว่า ประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ท่านไม่เคยพบเห็นกิริยาเช่นนี้บ้างหรือ ?  พราหมณ์เฒ่าฉงนใจก็นิ่งอยู่ ต่างนำบาตรใส่เมล็ดทองคำเข้าประเคนท่านทันที
 เมื่อพระภิกษุปู่รับประเคนบาตรจากมือพราหมณ์มาแล้วท่านก็นั่งสงบจิตอธิษฐานแต่ในใจว่า ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาอันรักษาพระนครตลอดถึงเทวาอารักษ์ศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบัลดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่มาขัดขวางขอให้แปลพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์สำเร็จสมปรารถนาเถิด ครั้นแล้วท่านคว่ำบาตเททองเรี่ยราดลงบนพรมและนั่งคุยกับพราหมณ์ตามปกติ
 ด้วยอำนาจบารมีอภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนาประกอบกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย  เทพยดาทั้งหลายจึงดลบันดาลเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับตัวอักษรโดยเรียบร้อยใน้วลานั้น  ชั่วครู่นั้นท่านก็ได้เหลียวกลับมาลงมือเรียบเรียงและแปลอักษรในเมล็ดทองคำจำนวน  ๘๔,๐๐๐  เมล็ด  เป็นลำดับโดยสะดวกและไม่ติดขัดประการใดเลย  นับว่าโชคชะตาของประเทศชาติยังคงรุ่งเรืองสืบไป


 ขณะที่พระภิกษุปู่เรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้วปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไป  ๗  ตัว  คือตัว  สํ  วิ  ทา  ปุ  กะ  ยะ  ปะ  ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์พราหมณ์ทั้ง  ๗  คนยอมจำนน  จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้แก่ท่านโดยดี  ปรากฏว่าพระภิกษุปู่แปลพระไตรปิฎกในเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์  เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้นและทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงปี่พาทย์ประโคมพร้อมเสียงประชาชนโห่ร้องต้อนรับชัยชนะเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทั่วพระนครศรีอยุธยาเป็นการฉลองชัย


 สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่งจึงตรัสสั่งถวายราชสมบัติให้พระภิกษุปู่ครอง  ๗  วัน  แต่ท่านไม่ยอมรับโดยไห้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณเพศไม่สมควรที่จะครองราชสมบัติอันผิดกิจของสมณควรประพฤติ  พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้าที่จะสนองคุณความดีความชอบอันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าทรงแต่งตั้งให้พระภิกษุปู่ดำรงสมณศักดิ์ ทรงพระราชทานนามว่า  "พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์"
หรือที่เรารู้จักกันในนาม หลวงปู่ทวด นั่นเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 19:41:45


ความคิดเห็นที่ 380 (1574247)

และมีผู้กล่าวว่า หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเป็นหลวงปู่ทวด กลับชาติ มาเกิดครับ ถ้าท่านเป็นหลวงปู่ทวด ก็เท่ากับว่า ท่านเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยด้วย นั่นเอง

ขอนำข้อมูลจากอีกที่มาฝากนะครับ

 

มีลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นนักปฏิบัติ
ได้มาเจอกับผู้เขียนที่หน้ากุฏิหลวงปู่
ขณะนั้นท่านกำลังถวายข้าวพระอยู่
ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเลยให้เขานั่งดูสักครู่เขาบอกว่า

หลวงพ่อกำลังถวายของ พระพุทธเจ้า
อยู่บนวิมานแก้ว มีพระมากมาย

ผู้เขียนเลยบอกว่าถ้าเห็นพระแล้วทำอย่างไรต่อ
เขาบอกไม่รู้ ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเลยพูดว่าหลวงปู่บอกไว้
ถ้าเจอพระให้อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เขาก็ทำตาม
และบอกว่าหลวงพ่อองค์นี้ไม่น่าจะธรรมดา
เพราะตอนที่ท่านประสิทธิพระเครื่องให้เขาเห็นแต่งตัวแบบเทวดา
พอลืมตามาเห็นท่านยิ้มๆ

มาครั้งหลัง เขาบอกว่ามาพบ
หลวงปู่ท่านเป่าหัวให้สว่างไป ๗ วัน
คุยกันไปคุยกันมา
ผู้เขียนเลยให้เขานั่งดูลูกแก้วมหาจักรพรรดิ
(แก้วสารพัดนึก)
เขานั่งสักครู่
แล้วบอกว่าตรงกลางลูกแก้วเห็นเป็นแสงสว่าง
เลยให้เขาเดินจิตไปไหว้พระพุทธเจ้า
จนไปถึงพระพุทธรูปองค์ที่ ๔
พอไปถึงองค์ที่ ๕
พออธิษฐานก็เห็นพระหน้าตัก ๒๐ วา
ตามที่หลวงปู่บอกไว้
ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งให้เขาอธิษฐานเข้าไปในองค์พระ
เขาเห็น พระศรีอาริย์ นั่งอยู่ตรงกลาง
หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ขวา
หลวงปู่ดู่อยู่ซ้ายมือของพระศรีอาริย์

ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่บอกว่าขอให้อธิษฐานว่า
หลวงปู่ทวดกับหลวงปู่ดู่ เป็นองค์เดียวกันหรือไม่
หรือท่านจะเป็น อัครสาวกเบื้องซ้ายขวา
ของพระศรีอาริย์ในอนาคต
อธิษฐานเสร็จเขาบอกว่า
เห็นทั้งสามองค์ มารวมเป็นหลวงปู่ดู่
แสดงว่าทั้ง สามองค์เป็น องค์เดียวกัน

ตั้งแต่นั้นมาเขามีความเคารพหลวงพ่อมาก
เพราะจากประสบการณ์ที่ลูกแก้วมหาจักรพรรดิ์แสดงให้เขารู้เห็นด้วยตัวเอง

มีลูกศิษย์ของท่านเป็นคริสต์ แต่ได้มาปฏิบัติ

ขณะที่นั่งปฏิบัติที่กรุงเทพ
หลวงปู่ทวดมาโปรดในนิมิต
เมื่อหลวงปู่ยกมือขึ้นประทานพร
เขาเห็นรูปผีเสื้อ ตรงกลางฝ่ามือ
เขารีบขับรถจากกรุงเทพฯ มาหาหลวงปู่ที่วัด
หลังจากกราบหลวงปู่แล้ว
เขาก็ขอดูเห็นเป็นรูปผีเสื้อจริง
หลวงปู่ท่านบอกว่า

“หลวงปู่ทวด ไม่ใช่ข้าแสดง
ท่านเป็นครูบาอาจารย์
ท่านจะทำอย่างไรก็ได้
เออ...โมทนาสาธุด้วย”

หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า
มีชาวบ้านแถบวัดสะแกเป็นผู้หญิง ปฏิบัติเก่ง
อยากเห็นพระศรีอาริย์มาก
จึงขอหลวงปู่ทวด ช่วยพาไปวิมานพระศรีอาริย์
เมื่อไปถึง เขาบอกหลวงพ่อว่า
เป็นเหมือนโรงลิเกประดับประดาอย่างสวยงาม
หลวงปู่ทวดบอกว่า แกรอประเดี๋ยว
พระศรีอาริย์ ท่านจะออกมาจากฉากคอยดูให้ดี
หลวงปู่ทวดหายไปสักครู่
ก็มีพระศรีอาริย์เดินออกมาจากฉาก
พอพระศรีอาริย์หายไป เป็นหลวงปู่ทวดเดินมา
เธอเลยถามหลวงปู่ว่าไหนล่ะพระศรีอาริย์
หลวงปู่บอกว่าแกก็ดูเองซิสลับกันไปมาเช่นนี้
จนปฏิบัติเสร็จเขาก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟัง
ท่านก็พูดกับผู้เขียนว่า

“คนเราบางทีต้องอาศัยไหวพริบปฏิภาณ”

แกเลยงงว่าใครคือพระศรีอาริย์

“แล้วแกล่ะว่าเป็นใคร”

ท่านพูดแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี



นะโม โพธิสัตโต พรหมปัญโญ

เรียบเรียงจาก


http://board.agalico.com/showthread.php?t=18424


 

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 19:47:50


ความคิดเห็นที่ 381 (1574251)

แต่ผมเคยได้ยินคนพูดกันว่า ถ้าต้องการ จะนิพพาน ให้ไป สายของหลวงพ่อฤาษี แต่ในขณะที่ ผู้ใด หวังจะสร้างบารมีให้เต็ม เพื่อหวัง พุทธภูมิ ให้ มา สายของหลวงปู่ดู่  เพราะเนื่องจากผู้ซึ่งหวังจะเป็น พุทธภูมิ ต้องมี เหล่าบริวารติดตามกัน มาแต่เนื่องจาก หลวงพ่อฤาษี ท่านไม่ได้ปรารถนา พุทธภูมิแล้ว ท่านจึงพยายาม จะให้ลูกหลานของท่าน ที่บารมีถึงแล้ว ได้เข้านิพพานกันให้หมด แต่ถ้าผู้ใด บารมียังไม่เข้มข้นพอ ท่านก็ได้ฝากให้ หลวงปู่ดู่ ช่วยต่อไป ในอนาคตที่ ท่านจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย

แต่ที่สงสัย ก็คือ ทำให้ ท่านปู่เวสสุวรรณ ถึง อยากให้หา พระศรีอาริยเมตไตรย ใน เมื่อ หลวงปู่ดู่ ท่านถึงแก่กรรม ไปแล้ว เมือประมาณ สิบกว่า ปีที่แล้ว  หรือ สิ่งที่ท่าน ต้องการ ให้หา ไม่ใช่แค่หา พระศรีอาริยเมตไตรย  แต่เป็นวิชา ที่ท่าน ได้ทิ้งไว้ครับ   เพราะเท่าที่ผม ได้มีโอกาส ได้ ศึกษามา  วิชา บางส่วนที่ท่าน สอน จะเป็น ใบไม้นอกกำมือของพุทธเจ้า  คือ ไม่ได้ เน้น แค่ สติปัฐฐาน สูตร  เพื่อให้ถึง นิพพาน เพียงเท่านั้น แต่ ยังเป็นวิชา ที่ไว้ใช้ในอนาคต ด้วย  ไม่ว่า จะเป็นวิชา ที่ช่วย สงเคราะห์ เหล่า สัมภเวสี เพราะท่านได้กล่าวไว้ ว่า อนาคต วิชา เหล่านี้จะจำเป็นอย่างมาก  ผม ก็ไม่แน่ใจ ว่า อาจจะเนื่องจากเกิดภัยพิบัติ ทำให้คน ตายเป็นจำนวน มาก ทำให้เราต้องใช้วิชา เพื่อช่วยคนเหล่านี้ หรือเปล่า

ถ้า อ.อุบล คิดว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์  ผมจะได้นำวิชาเหล่านี้ บางส่วน มา แจ้ง เพื่อจะได้ช่วย บุคคลต่างๆ ต่อไปครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 20:04:00


ความคิดเห็นที่ 382 (1574252)

พระโพธิสัตว์

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กว่าจะได้เสด็จอุบัติแล้วตรัสรู้

เป็นพระตถาคตอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น  จะต้อง

บำเพ็ญบารมีเป็นเวลายาวนานมาก ซึ่งไม่มีงานอื่นใด

ในโลกจะมาเทียบได้ และผู้ที่จะทำงานนี้ได้ก็ต้องเป็น

มหาวีรบุรุษหัวใจเพชร คือ มีจิตใจเด็ดเดี่ยว สามารถ

อดทนต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ

มหาวีรบุรุษหัวใจเพชรในระหว่างที่ทรงบำเพ็ญบารมี

อยู่นั้น เรียกว่า "พระโพธิ์สัตว์" หมายถึงบุคคลผู้ฉลาด

ผู้จะได้ตรัสรู้ ได้แก่ บุคคลผู้บำเพ็ญมรรค 4 เพื่อบรรลุ

โพธิญาณ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1.พระอนิยตโพธิสัตว์ ได้แก่ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับ

การพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดว่า จะได้ตรัสรู้

เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล แต่ได้ตั้งความปรารถนา

เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

2.พระนิยตโพธิสัตว์ ได้แก่ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการ

พยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง

แล้วว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

และพระนิยตโพธิสัตว์นี้ ยังแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล (shindo_ploy-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 20:14:22


ความคิดเห็นที่ 383 (1574257)

 2.1 พระปัญญาโพธิกะโพธิสัตว์ ได้แก่ พระโพธิสัตว์

ที่มีปัญญามาก ทรงบำเพ็ญบารมีธรรมน้อยกว่า

พระโพธิ์สัตว์ประเภทอื่น คือ ทรงบำเพ็ญบารมี

4 อสงไขย กำไรอีกแสนกัปก็สามารถจะตรัสรู้เป็น

พุทธเจ้าได้ เพราะเหตุที่ทรงตรัสรู้ได้เร็ว จึงมี

พระนามอีกอย่างหนึ่งว่า พระอุคฆฏิตัญญูโพธิ์สัตว์

เมื่อตรัสรู้แล้ว เรียกว่า พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า

2.2 พระสัทธาธิกะโพธิสัตว์ ได้แก่ พระโพธิสัตว์

ที่มีศรัทธามาก มีปัญญาปานกลาง ทรงบำเพ็ญ

บารมีธรรมปานกลาง คือ  8 อสงไขย กับอีกแสนกัป

ก็สามารถจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะเหตุ

ที่ตรัสรู้ได้ไม่เร็วไม่ช้านี้เอง จึงได้พระนามอีก

อย่างหนึ่งว่า พระวิปจิตัญญูโพธิสัตว์ เมื่อตรัสรู้

แล้วเรียกว่า พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า

2.3 พระวิริยาธิกะโพธิสัตว์ ได้แก่ พระโพธิสัตว์

ที่มีความเพียรมาก แต่มีปัญญาน้อย จึงต้อง

บำเพ็ญบารมีธรรมมาก และยาวนานกว่า

พระโพธิสัตว์ประเภทอื่น คือ ต้องบำเพ็ญบารมี

ธรรมถึง 16 อสงไขย กับอีกแสนกัป จึงจะสามารถ

ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ และเพราะเหตุที่ทรงใช้

เวลาในการบำเพ็ญบารมีธรรม กว่าจะได้ตรัสรู้เป็น

พระพุทธเจ้า จึงมีพระนามว่า พระเนยย-โพธิสัตว์

เมื่อตรัสรู้แล้ว เรียกว่า พระวิริยาธิกะพุทธเจ้าและมี

กฏสำหรับพระโพธิสัตว์ทุกประเภทว่า หากพระโพธิสัตว์

ประเภทนั้น ๆ บำเพ็ญบารมีธรรมยังไม่ครบตามจำนวน

ที่กำหนดไว้ ในการสร้างบารมีแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่

จะตรัสรู้ก่อนกำหนดเวลา เพราะปัญญาของพระโพธิสัตว์

นั้นยังไม่เต็มเปี่ยมและแก่กล้าพอ เปรียบเสมือนข้าวกล้า

ในนา ย่อมไม่ออกรวงก่อนกำหนดฉะนั้น

สำหรับพระพุทธศาสนามหายานมีความเชื่อว่าพระโพธิสัตว์

มีจำนวนนับไม่ถ้วนมากมายเหลือคณานับ ดุจเมล็ดทราย

ในแม่น้ำคงคาไม่จำกัดอยู่เพียงฐานะ แต่มีขอบเขตกว้าง

ไปถึงสรรพสัตว์สูงต่ำทั้งปวงเป็นผู้มีศีลประพฤติธรรม

รู้แจ้งธรรมและสามารถบรรลุธรรมเข้าสู่นิพพานได้

แต่เพราะทรงเมตตาที่จะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์

ทรงปรารถนาเป็นคนสุดท้ายที่จะเข้าสู่นิพพาน

ดังนั้น พระโพธิสัตว์ ตามความหมายของพระพุทธศาสนา

มหายานจึงหมายถึง พระผู้รู้แล้ว จะตรัสรู้เมื่อไรก็ได้

แต่เพราะพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ จึงดำรงอยู่ใน

โพธิภูมิ คือ พระโพธิสัตว์ เพื่อคอยช่วยเหลือสรรพสัตว์

ให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล (shindo_ploy-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 21:06:27


ความคิดเห็นที่ 384 (1574262)

อย่าลืมมาคุยกันนะ

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

หนูจะขอกราบขอบพระคุณคะ

1. มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสอนที่บ้านสวนพีระมิด

2. โปรดประทานเมตตา ให้เลื่อมใสศรัทธา อ.อุบล

3. ให้โอกาสลูกได้ทดลองทำความเลว และรู้จักแก้ไข

4. ขอบพระคุณที่โปรดให้ลูกได้เห็นพระพักตร์ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แอ๊ด อร่ามศรี สุวัตถิกุล (adda_bkk-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 21:29:47


ความคิดเห็นที่ 385 (1574264)

ถ้ามีบุญได้เห็นพระองค์ท่านจริงๆ ก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนค่ะ หนูจะมองพระพักตร์พระองค์ให้ชัดๆ ว่าผิวพรรณพระองค์คงสวยงาม พระสุรเสียงคงไพเราะจับใจ และอยากรับฟังธรรมะจากพระองค์ และน้อมรับคำสั่งสอนไปปฏิบัติตาม เพื่อหาทางกลับบ้านค่ะ เมื่อก่อนเคยคิดว่ายุคพระศรีอาริย์ไกลเกินที่ตัวจะพบเจอได้  แต่มาตอนนี้อยู่แค่เอื้อม  สาธุขอให้ท่านปรากฏตัวเร็วๆด้วยเถิด ประเทศไทยจะได้รอดพ้นจากภัยพิบัติ 

              กุหลาบ  รักสนิท

ผู้แสดงความคิดเห็น กุหลาบ รักสนิท (ROSE_1968-at-hotmail-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 21:32:40


ความคิดเห็นที่ 386 (1574269)

 พระเมตไตรยโพธิสัตว์

ในอดีตกาลเมื่อ 80 อสงไขยกัปที่ผ่านมา

พระเมตไตรยโพธิสัตว์ได้ตั้งจิตปรารถนา

พุทธภูมิ เพื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

เพื่อช่วยสัตว์โลกให้ข้ามพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร

ด้วยการตั้งความปรารถนาไว้ว่า

"เราตรัสรู้แล้ว จะให้สัตว์โลกตรัสรู้ด้วย

เราข้ามพ้นแล้ว จะให้สัตว์โลกข้ามพ้นด้วย

เราสงบได้แล้ว จะให้สัตว์โลกสงบได้ด้วย

เราดับสนิทได้แล้ว จะให้สัตว์โลกดับสนิทได้ด้วย"

ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "สิริมิตร"

นับถอยหลังจากภัทรกัปนี้ไป  16 อสงไขยกับอีก

แสนกัป ทรงได้รับการพยากรณ์จาก พระพุทธสิริมิตรว่า

"จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต"

พระเมตไตรยโพธิสัตว์ จึงเป็นพระโพธิสัตว์ประเภท

" นิยตะ" คือ พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะได้ตรัสรู้อย่างแน่นอน

และจะเป็นพระพุทธเจ้าประเภท "วิริยาธิกะ" เพราะ

ทรงมีความเพียรมากในการบำเพ็ญบารมี

หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ พระเมตไตรยโพธิสัตว์

ได้บำเพ็ญ "พุทธการกธรรม" คือธรรมที่ทำให้เป็น

พระพุทธเจ้า เรียกว่า "ทศบารมี"(บารมี 10)

ผู้แสดงความคิดเห็น สมจิต โพธิ์นิล (shindo_ploy-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 21:51:52


ความคิดเห็นที่ 387 (1574273)

อย่าลืมมาคุยกันนะ

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

สำหรับพระองค์ท่านลงมาในครั้งนี้ในฐานะเพื่อเป็นผู้นำทุกๆคนเพื่อแก้ปัญหาใหญ่ของชาติและโลกใบนี้ และก้าวสู่ยุคใหม่อย่างสง่างาม ดังนั้นหากท่านมาแล้วท่านคงกำลังทำงานใหญ่อยู่ เพื่อสะสางปัญหาใหญ่ของประเทศไทยก่อนและขนานกันไปกับช่วยในระดับโลก

ดังนั้นสำหรับผมแล้วหากเจอพระองค์ท่าน ก็คงทูลถามขอธรรมะก่อนเลยครับว่า

ทำอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า ทุกคนถึงจะมีจิตใจเข้มแข็ง มีสติ ปัญญา และไม่กลัวตาย ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ เพื่อมีคุณสมบัติพร้อมที่จะสู้และถวายงานเคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับพระองค์ท่าน เพราะบัดนี้ ชาติไทยมีปัญหาใหญ่ต่างๆมากมายเหลือเกิน ผู้คนต่างพากันหลับไหล ไม่ยอมก้าวออกมาสู้เพื่อความถูกต้องเท่าที่ควร

หากข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติแต่ธรรมะอย่างเดียวนั้นคงไม่ไหว เพราะชาติกำลังเสียหาย บ้านกำลังโดนไฟไหม้ ต่อไปก็จะไม่มีบ้านให้อยู่ จะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร ขอให้พระองค์ได้โปรดให้ธรรมะและกำลังใจ แก่คนไทยทุกๆคนด้วยเถิด

ผมเลยคิดว่าหากพระองค์ท่านเกิดแล้วก็คงกำลังทำหน้าที่เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่ ผมจึงอยากขอธรรมะเพื่อยกระดับจิตใจไปพร้อมกับการสู้ทั้งทางโลกเพื่อปรับสมดุลครั้งใหญ่เพื่อช่วยพระองค์ท่าน ไม่ปล่อยให้พระองค์ท่านต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว เมื่องานสำเร็จ เท่ากับโลกทั้งใบนี้กลับสู่ผาสุก และทุกๆคนจะมีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับบ้านที่แท้จริง

นี่แหละนักรบผู้ลงมาเกิดเพื่อรอดไปสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง สร้างโลกใบนี้ใหม่ให้กลับมาเป็นพระนิพพานบนดินอย่างแท้จริงในยุค ศิวิไลซ์

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล (nirvana_time-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 22:05:59


ความคิดเห็นที่ 388 (1574280)

 มีคนกล่าวว่า

 หลวงปู่ทวด

จะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย 

 

ในอนาคต

ในสมัยสมเด็จเจ้าพะโคะ (หลวงปู่ทวด) 

พำนักอยู่วัดพะโคะครั้งนั้น

ยังมีสามเณรน้อยรูปหนึ่ง

เข้าใจว่า

คงอาศัยอยู่วัดใดวัดหนึ่ง

ในท้องที่อำเภอหาดใหญ่เวลานี้  

สามเณรรูปนี้ได้บวชมาแต่อายุน้อย ๆ 

ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด

มีความขยันหมั่นเพียรก่อแต่การกุศลในพระพุทธศาสนา

และตั้งจิตอธิษฐานจะขอพบพระศรีอริยะอย่างแรงกล้า  

อยู่มาคืนหนึ่งมีคนแก่ถือดอกไม้เดินเข้ามาหา

แล้วประเคนดอกไม้ส่งให้แล้วบอกว่า 

 นี่เป็นดอกไม้ทิพย์ไม่รู้จักร่วงโรยพร้อยกับกล่าวว่า  

พระศรีอริยะโพธิสัตว์นั้น

ขณะนี้ได้จุติลงมาเกิดในเมืองมนุษย์

เพื่อโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา

สามเณรเจ้าจงถือดอกไม้ทิพย์นี้ออกค้นหาเถิด

หากผู้ใดรู้จักกำเนิดของดอกไม้แล้ว

ผู้นั้นแหละเป็นพระศรีอริยะที่จุติมา 

เจ้าจงพยายามเที่ยวค้นหา

คงจะพบ

เมื่อกล่าวจบแล้ว

คนแก่นั้นก็อันตรธานหายไปทันที

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-23 22:15:35


ความคิดเห็นที่ 389 (1574305)
image

คนที่อยากเจอ

พระศรีอาริย์

สงสัย

หลับกันหมดแล้วเนาะ

 

เลยไม่ได้

มาตอบกระทู้


ยังไม่หลับครับท่านอาจารย์

ชาตินี้ผมได้พบครูบาอาจารย์หลายท่าน

ได้พบหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

มีท่านอยู่ในใจเสมอ

จะดีบ้าง เลวมาก ก็ไม่เคยลืม

และได้มีโอกาสพบท่านอาจารย์

ก็เป็นบุญหนักหนาแล้วครับ

เคยอ่านพบว่า

สมเด็จองค์ปฐม

ท่านสอนว่า พระไตรปิฎก

จะทำให้ผู้ที่อ่าน

ทำความเข้าใจและปฏิบัติตาม

บารมีเต็ม

และไปสู่พระนิพพาน 

ท่านอาจารย์ก็สอนให้

ยึดมั่นในพระไตรปิฏกเสมอมา

และตั้งใจช่วยคนทั้งประเทศ

ตั้งใจช่วยคนทั้งโลก

เปรียบประดุจพระโพธิสัตว์เจ้าอยู่แล้ว

 

ดังนั้น ชาตินี้แม้ไม่มีบุญบารมีพอ

ไม่มีโอกาส

พบพระศรีอาริย์

แค่ได้พบครูบาอาจารย์

พบพระมหากษัตริย์

ผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม

และท่านอาจารย์ทั้งสอง

ก็พอใจแล้วครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น โฆษิต ควรหาเวช (kosit-dot-koanhavej-at-nectec-dot-or-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 01:07:50


ความคิดเห็นที่ 390 (1574306)

 

ยังไม่หลับเหมือนกัลล์ คร๊า

ภาพลักษณะคล้ายกันนี้

ได้พบ..ในสมาธิ

ที่บ้านสวนพิรามิด

โดย

อ.อุบล เป็นผู้

นำปฏิบัติ

ราว ๆ เดือน พ.ค.53

ถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

และหากได้มีบุญ

ได้พบจริง ๆ

ขอกำลังใจ

ที่จะติดตาม

อ.อุบล กลับบ้าน

( เพราะ ทราบดีว่า ไม่ง่ายค่ะ ) 

 

 

เราจะทำยังไง

จะทำตามที่ อ.อุบล

สั้งสอน ชี้แนะ

ทำอะไร

กอบกู้..รักษา

ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

แบบเต็มกำลัง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น แมว ประวีณา แค้มป์ (prawinakamp-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 01:22:58


ความคิดเห็นที่ 391 (1574310)

 

 จากกระทู้ 343 ของท่านอ.อุบล

 
อ.อุบล
 
อยากให้คน
 
 
รอดตาย
 
 
จากภัยร้าย
ที่ใกล้เข้ามาแล้ว
 
เสด็จพ่อ
ท้าวเวสสุวรรณ
ท่านบอกว่า
 
ถ้าเรายังตามหา
พระศรีอาริย์ไม่พบ
 
เราต้องพบ
ภัยใหญ่อย่างแน่นอน
 
คน
จะตาย
3 ใน 4 ส่วน
 
(จริงๆ แล้ว 99%นะ)
 
 
หมายความว่า
 
100 คน
จะรอดเพียง 25 คน
(ทั่วโลก นะจ๊ะ)
 
แต่ถ้าเราพบ
พระศรีอาริย์แล้ว
 
มี 2 อย่าง
 
คือ
 
1.คนที่พบ รู้ว่า ท่านเป็น
องค์จริง แต่นิ่ง ไม่ปฏิบัตตาม
พวกนี้ก็มีอีก 2 พวก
 
คือ 1.ไม่รอด
 
 
2.รอดก็พิการสาหัส
 
 
2.คนที่พบแล้ว รู้ว่า ท่านเป็น
องค์จริง แต่ ไม่นิ่งดูดาย
 
เร่งรีบขวนขวาย ร่วม สร้างบุญบารมี
รีบสร้างความดี รีบเกาะชายสังฆาฏิ
ไม่ยอมปล่อยให้ทิษฐิมานะ
หรืออัตตา มาหลอก
ให้หลุดมือได้
 
 
คือ
 
 
รีบชำระจิตใจ
 
 
มุ่งหมายสู่นิพพาน
 
 
สถานเดียว
 
 
จะไม่ลุ่มหลงทางโลก
ไม่สนใจลาภ ยศ สรรรเสริญ
ไม่สนใจเงิน ทอง ของที่เอาไปไม่ได้
แต่ก็จะทำมาหากิน และ ใช้บำรุง
สังขาร เพื่อใช้ปฎิบัติเพื่อ
เข้าสู่นิพพานชาตินี้
เท่านั้น
 
ภารกิจหลัก
คือ
ต่อบุญบารมี ที่ตั้งใจไว้
ก่อนลงมา
 
 
ตามที่สัญญาไว้
 
 
กับพ่อ
 
 
ว่าการลงมาครั้งนี้
มาทำหน้าที่
มาด้วยมี เป้าหมาย
 
ไม่ใช่มาอยู่
แล้ว
ลืมความตาย
 
นึกว่าจะไม่ตาย
มัวแต่ขนขวาย
ทำมาหากิน
 
ยุ่งอยู่แต่กับ
หนี้สิน สมบัติ ลูกเต้า ฯลฯ
ที่เขาสร้าง
อุบายให้หลงทาง
 
ให้หาทางกลับบ้านไม่ได้
 
 
พระศรีอาริย์
 
พระองค์นี้
คงจะเสด็จลงมา
ช่วยคลี่คลาย
 
ปม ทั้งหลาย ที่
พาเรา หลง
ประเด็น
 
ว่าแล้วก็อย่ามัว
ใจเย็น
 
เหลือเวลาค้นหา
ไม่มากแล้ว
 
ถ้าหาไม่พบ เราก็ต้องยอม
 
จบ
 
กันแค่นี้ ยอมรับ
ชะตากรรมแต่โดยดี
...............................................
ว่าแล้วก็อย่า..นิ่งเฉย ยอมรับชะตากรรม
แต่โดยดีเลยนะคะ พวกเราทุกคน
ยังพอมีเวลาที่จะค้นหาองค์พระศรีอาริย์ต่อไป
ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงน้อยนิด
แต่ถ้าพวกเราโชคดีได้พบพระองค์ท่าน
ก็ถือว่า พวกเราได้พบทางหลุดพ้น..แ่น่นอน

 
หรือบางท่านที่ได้อ่านข้อมูลต่างๆ
เกี่ยวกับพระศรีอาิริย์แล้ว เชื่อมั่นว่า
พระองค์ได้มาจุติแล้วในยุคนี้
และเชื่อว่าพระองค์มีตัวตนจริง
 
 
แสดงว่าผู้นั้น มีบารมีหรือกำลังใจเต็มแล้ว
พร้อมทั้งรู้แนวทางที่จะปฏิบัติตน
เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งของคนในยุคศิวิไลซ์
 
และตั้งใจที่จะปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อ
ต่ออุปสรรค และกิเลส
ตัณหา ที่จะมาขวางทางไม่ให้ถึงฝั่งฝัน
 
ก็ต้องบอกว่า ท่านคงจะถึงพร้อมแล้ว
ด้วยบุญและบารมี
ฉะนั้นอย่าเผลอใจ ปล่อยกาย
ให้เดินออกนอกเส้นทางไปได้..เน้อ

 
แต่ที่แน่ๆถ้าผู้ใด นึกถึง
 
พระนิพพาน
 
หรือ พระศรีอาริย์
 
หรือ "อุบลช่วยด้วย"
 
เป็นอารมณ์
 
ผู้นั้นก็จะได้พบพระศรีอาริย์
 
พระองค์จริง...
 
เร็วๆนี้ แน่นอน
 
สาธุ
 


ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 03:59:00


ความคิดเห็นที่ 392 (1574319)

อนุโมทนากับพี่ชนิดา และทุก ๆ ท่านคะ

คำตอบทุกอย่างมีอยู่แล้ว

ขอให้มั่นใจ และเร่งปฏิบัติด้วยตัวเองเท่านั้น

 

พาเมล่า เป็นธาตุของความสว่าง  ปัญญาที่ทำให้ได้พบวัตถุธาตุทั้งหลาย  มาจาก พระมหากรุณาธิคุณบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระอรหันตสาวกทุกพระองค์  มีหลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ  หลวงพ่อสุ่น  หลวงพ่อปั้น  หลวงปู่คล้าย หลวงพ่อสด เป็นอาทิ  เทพ พรหม เทวดา องค์อินทร์ ทั้งหลาย บุญฤทธิ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  บารมีของหลวงพ่อเสงี่ยม โอภาษี จ.ลพบุรี พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโน วัดดอยเกิ้ง จ.แม่ฮ่องสอน เป็นบัญชาจากสวรรค์ลิขิตให้พาเมล่า มาทำหน้าที่บรรเทาทุกข์

 

เป็นหน้าที่ ที่จะมาให้แสงสว่างนำทาง 

แก่ผู้เดินหลงทางไปในป่ารก ในราตรีที่มืดมิด

จนหาทางออกไม่พบ  ให้มองเห็นช่องทาง

มนุษย์ผู้มีบุญญาธิการ  ผู้ได้รับความทุกข์

จะถูกลิขิตให้ชีวิตมีทางออก 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทวดาจะดลใจ 

จะสร้างสาเหตุให้ได้พบช่องทางเอง

 

พาเมล่า  เป็นเพียงแสงสว่างส่องทาง ให้ผู้ที่หลงทางไปในที่มืด

 ได้เดินออกมาจากความมืด  ได้กลับสู่บ้านอันเป็นสุข 

แต่ในการเดินทางนั้น  เราจะต้องเดินเอง 

ดังนั้นระหว่างทางที่เดินเราจะต้องใช้กำลังกาย

กำลังใจที่เข้มแข็ง  เพราะระหว่างทางนั้นอาจมีอุปสรรค 

อาจมีอันตราย  ถ้าเราไม่เข้มแข็ง 

แม้จะมีแสงสว่างส่องทางแล้ว  มองเห็นทางแล้ว 

เราก็อาจจะกลับบ้านไม่ได้

 

นอกจากแสงสว่างส่องทางแล้ว  พาเมล่า

ยังเป็นกองเสบียงชั้นดีให้กับท่าน 

ระหว่างการเดินทาง 

ซึ่งมีทั้งอาหาร อาวุธ สติ ปัญญา  พาหนะ 

ซึ่งท่านจะต้องใช้สิ่งต่าง ๆ ให้เป็น 

และรู้จักเลือกใช้ให้เหมาะกับโอกาสและปัญหา

 

99999999999999999999999999999999999999999999999999999

กราบขอบพระคุณที่มอบแสงสว่างแก่ลูกคะ

ลูกอยากตอบแทนในพระเมตตาของทุก ๆ พระองค์

ขอให้ลูกมีโอกาสนั้นด้วยเถิดเจ้าคะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร (vann_ult-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 07:02:11


ความคิดเห็นที่ 393 (1574321)

อนุโมทนากับหนูแหวนด้วยเช่นกันจ๊า

คงต้องบอกว่าเป็นความแยบยล

และความประเสิรฐเลิศแห่งปัญญา

ของเบื้องบนทุกๆพระองค์ ที่ได้เมตตา

ประทาน"พาเมล่า" มาเป็นทางออก

แห่งความทุกข์ แก่พวกเราทุกๆคน

 

เพราะเป็นอุบาย ที่แยบยลให้เราสร้างบุญ

ได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจริงๆ

เพราะในชีวิตประจำวันพวกเราทุกคน

ต้องใช้เครื่องสำอางค์อยู่แล้ว

ยังไงก็ต้องเสียเงินซื้ออยู่แล้ว

 

แต่การมาใช้ผลิตภัณท์พาเมล่า

นอกจากจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ

และเป็นธรรมชาติแล้ว ยังทำให้เรา

ได้มีโอกาสสร้างบุญอย่างต่อเนื่อง

และได้ทั้ง"ปัญญา" ที่มาจาก

พลังปราณและมโนธาตุอีก

 

ถ้าคิดดูดีๆแล้วเหมือนพวกเราไม่ได้ลงทุนอะไร

เพิ่มมากมายเลย แต่เรากลับได้สร้างบุญ อย่างมหาศาล

 

แบบนี้ ต้องบอกว่า ฟ้าส่งอ.อุบล ผู้ล้ำเลิศด้วยปัญญา

มาโปรด"สัตว์โลก"ผู้โง่เขลา อย่างพวกเราแท้ๆ

 

กราบขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์

รวมถึงอ.อุบลและครอบครัว ด้วยค่ะ

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 07:28:18


ความคิดเห็นที่ 394 (1574327)

หากลูกได้พบพระศรีอาริย์

ลูกจะกราบขอฟังธรรมะจากพระองค์

และจะบอกพระองค์่ว่าลูกจะตั้งใจ

ทำความดี ปรับปรุงตัวเอง

สร้างบุญให้มากขึ้น

และจะขอตั้งใจช่วยทำนุบำรุง

ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

สุดความสามารถของมนุษย์โง่ๆอย่างลูกคนนึงจะทำได้


สาธุค่ะ แค่คิดหรือพิมพ์ก็เกิดปิติแล้ว


กราบขอบพระคุณ พระพุทธองค์   ท่านท้าวเวสสุวรรณ อาจารย์อุบล

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย บ้านสวนพีระมิด เว็บมาสเตอร์

ที่จัดทำเว็บไซต์บ้านสวนพีระมิดขึ้นมา

เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ฉุดดึง ขัดเกลาจิตใจของลูกจากกิเลส

ไม่มากก็น้อย ทุกครั้งที่เข้าเว็บบ้านสวน

อนุโมทนาบุญกับอาจารย์ และลูกๆบ้านสวนทุกท่านสำหรับธรรมทานค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น คุิณิตา ใจสะอาด (u_duck2-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 08:57:59


ความคิดเห็นที่ 395 (1574342)

ผมขอนำข้อความจากเวปหลวงตาม้า ซึ่งเป็นศิษย์หลวงปู่ดู่ สายที่บำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธภูมิ มาฝากนะครับ

ซึ่งวิชาดังกล่าว จะช่วย เหลือเหล่า สัมภเวสี หรือ ช่วยลดพลังงานไม่ดีของโลก ลงไปได้ครับ ซึ่ง สายของหลวงตาม้านี้ ได้ทำการแผ่บุญให้โลก และ ประเทศไทย ทุกวัน ซึ่ง ท่านได้เคยบอกว่า แผ่ให้ประเทศไทย ทุกวัน ซึ่ง จะมี ความสว่าง ขึ้นมา แต่ไม่นาน ก็ มืดลงไปอีก เนื่องจากคนทำไม่ดีกัน เหลือเกินครับ แต่ถ้าพวกเราช่วยกัน ก็อาจจะช่วยลดพลังงานไม่ดีลงไป ด้วยการเอาพลังงานดีเข้าไปแทนที่ ซึ่งอาจจะผ่อนปรนภัยพิบัติลงได้  ตามที่ผมเข้าใจนะครับ


ขอนำหนึ่งในวิชาที่หลวงปู่ท่านได้เมตตาสอนไว้ให้ลูกศิษย์ซึ่งท่านได้รับวิชา นี้มาจากมาจากเบื้องบนมาแนะนำกันครับ หลวงตาม้าท่านสำเร็จวิชาเปิดโลกมาจากหลวงปู่ดู่อีกทีหนึงและเมตตานำมา สอนอยู่ในปัจจุบัน(ปัจจุบันผู้ที่แตกฉานวิชาหลวงปู่ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือ ท่านหลวงตาม้า) โดยส่วนตัวผมเองนั้นโชคดีมากๆที่ได้มีบุญพบท่านและเรียนวิชานี้จากท่าน จึงอยากนำมาแบ่งปันผู้อื่นครับ

เบื้องต้น เมื่อมีองค์พระแล้ว อารธนามาไว้ในมือแล้วสวดบทเจริญพระกรรมฐานด้วย บทสรรเสริญพุทธคุณ บทอารธนาศีล บทบูชาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และ บทขอขมาพระรัตนตรัย แล้วต่อด้วยบทพระมหาจักรพรรดิ

จากนั้นจึงทำสมาธิในอิริยาบถที่เราถนัด กำพระไว้ในมือ น้อมนึกอารธนา
กำลังจากองค์พระมาที่จิตเป็นการเพิ่มกำลังจิตในการภาวนาของเรา

แล้ว น้อมพลังงานพุทธคุณนี้มายังฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิด้วย เช่นหากทำแนวอานาปานสติก็น้อมมาที่ลมหายใจ หรือถ้าเป็นแนวกำหนดสมาธิเฉพาะจุด(ที่เป็นสมถะ)เช่นที่หว่างคิ้ว ก็น้อมมารวมที่นั้น โดยนิมิตใดๆที่จะให้กำหนดต่อไปก็กำหนดไว้ที่ฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิของเรา

การ บริกรรมใช้คำภาวนาพุทธคุณใดก็ได้ พุทโธ หรือ ภาวนาไตรสรณะคมไปเรื่อยๆ แต่แนะนำให้ใช้บทสวดพระจักรพรรดิมาใช้เป็นคำบริกรรมในการทำสมาธิเพราะจะได้ ผลเร็วที่สุด(ควรท่องจำให้ขึ้นใจและในชีวิตประจำวันนึกได้เมื่อไรไม่ว่าทำ อะไรอยู่ก็บริกรรมสบายๆในจิตของเราจะเป็นการทรงจิตเราให้เป็นทิพย์และเป็น กำแพงแก้วคุ้มตัวเราด้วย)

การกำหนดนิมิตที่ฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิ ให้กำหนดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ หรือจะเป็นหลวงปู่ทวด หรือ หลวงปู่ดู่ก็ได้ กำหนดนิมิตเบาๆ พร้อมไปกับการ ภาวนาคำบริกรรมเมื่อทำได้คืบหน้าแล้วจะรู้ที่จิตเองโดยพลังงานของครูบา อาจารย์ที่คุมการภาวนาเราอยู่จะสื่อมาที่เรา(เพราะก่อนนั่งเราอัญเชิญท่านมา แล้ว)และพระท่านจะมาสอนเราในสมาธิได้เมื่อสมาธิเราละเอียดเข้าหรือใจทรงความ เป็นทิพย์ได้ดีขึ้นและวางอารมณ์ได้สบายๆ และหากถึงจุดๆหนึงจะทำให้สามารถสัมพัสโลกทิพย์ได้ซึ่งมีประโยชน์ที่จะทำให้ เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติได้

สรุปย่อๆก็คือเรานำพระมากำก็เพื่อ เพิ่มกำลังจิตในการทำสมาธิของเรา และ หากเราไปแห่งหนตำบลใดหากต้องการแผ่บุญปรับภพปรับภูมิส่งวิญญาณแก้ภูมิแถว นั้นให้กำหนดขอพลังจากองค์พระพร้อมบริกรรมบทพระจักรพรรดิแล้วน้อมแผ่ออกไปจะ เป็นการส่งวิญญาณภพภูมิแถวนั้นโดยวิชานี้ทำได้แม้ยังไม่เห็นภพภูมิก็ตามขอ แค่จิตเราน้อมไปด้วยความเป็นบุญเมตตาและหวังดี(การแผ่บุญครอบบุญใช้กับคนที่ เราหวังดีได้ด้วยเช่นกันหรือแม้กระทั่งกับศัตรูเราให้เขามาเป็นมิตรกับเรา)



หมายเหตุ
-ทั้งนี้การทำกรรมฐานหลวงปุ่ดู่ ทุกแบบต้องมีการสวดบทจักรพรรดิ ก่อน หรือ ขณะที่ทำกรรมฐาน เพราะบทจักรพรรดิที่หลวงปู่ท่านให้ไว้ขณะที่สวดจิตเราจะทรงความเป็นทิพย์ เป็นการเร่งการปฎิบัติ
-แนะนำให้ใช้คาถาบทพระจักรพรรดิในการทำสมาธิ สำหรับผู้ที่กำหนดนิมิตองค์พระไม่ออกเพราะคาถานี้เป็นคาถาเร่ง นิมิตและหากทำถึงจุดหนึงจะเปิด 3 โลกธาตุให้เห็นได้ เป็นขั้นๆไป และอย่าลืมว่า การกำหนดดูทุกแบบใช้ ใจ (จิต) ดู ไม่ใช่ตา เพราะลูกตาคนเราเป็นแค่ธาตุหยาบๆ ประกอบขึ้นจาก ดินน้ำลมไฟ ส่วนจิตเรานี้มีความละเอียด จึงย่อมสามารถฝึกให้เห็นความละเอียดได้ เวลาปฎิบัติ นักปฎิบัติชอบสงสัยว่า ภาพจะเกิดที่ไหน อารมณ์กำหนดนั้น คล้ายการ นึกขึ้นมาในจิต แต่ไม่ใช่การนึกเดาเอาเองเพราะเราได้ทำมาตามขั้นตอนเบื้องแรกแล้ว ทรงกำลัง นิมิตครูบาอาจารย์อยู่ในใจสบายๆ อธิษฐานจิตขอดูในสิ่งที่ต้องการกำหนด ทำบ่อยๆจะค่อยๆซึมซับและชิน ทำทุกวันจะคล่อง และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และอย่าลืมบทสวดพระมหาจักรพรรดิ ยืนเดินนั่งนอน ว่าง เมื่อไร ทรงในจิต ทันที ความเป็นทิพย์จะเกิด กายทิพย์จะสว่าง นึกน้อมขอบารมีพระทุกองค์บารมีหลวงปู่ดู่เป็นที่สุดครอบวิมานแก้วให้ตัวเรา ด้วย เพื่อเป็นกำลังในการดำเนินชีวิต ป้องภัยและช่วยในการทรงกำลังใจ และอย่าลืมหมั่นแผ่บุญช่วยวิญญาน หลวงปู่ท่านสอนเรื่องการใช้พลังงาน ศึกษาเรื่องพลังงานให้รู้จริงเรื่องภพภูมิ  3 แดนโลกธาตุ   เพื่อให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท  และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ วิญญาณเร่รอน สัมปะเวสี โอปาติกะ โดยการแผ่บุญ ให้ภพภูมิ นั้นๆ โดยถือเป็นการสร้างบารมีอย่างหนึง และเป็นปัจจัยให้ถึงพร้อมสู่การได้มรรคผลนิพพาน เพราะมีบารมี และกำลังใจที่ฝึกมาดีแล้ว

 

 

http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,31.0.html

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 11:18:58


ความคิดเห็นที่ 396 (1574345)

บทสวดพระมหาจักรพรรดิ

เป็นบทสวดที่เรียบเรียงมาจากชมพูปติสูตรในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตร พระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อกำราบทิฐิมานะของพญาชมพูบดีพระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ โดยผู้ที่แต่งพระคาถาบทนี้คือหลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ คาถาจักรพรรดิ บทนี้เป็นพระคาถาหลักที่หลวงปู่ดู่ใช้ในการรวมบารมีแผ่ช่วยเหลือภพภูมิและใช้ในการอธิษฐานปลุกเสกพระเครื่องทุกชนิดของท่าน
การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงค์แผ่ไปทั้งสามแดนโลกธาตุแผ่บุญไปทั่วถึงสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตร เพื่อนฝูง ครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรบทสวดพระมหาจักรพรรดินี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งหมดตลอดจนถึงพระธรรมและพระโพธิสัตว์เจ้าพระอริยสงฆ์ทั้งมวล รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหม พระอริยะเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิทุกพระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต มาอารธนารวมเข้าที่กายใจอัญเชิญเข้าตัวป้องกันภัยมีการกล่าวถึงพระสีวลีเป็นมหาโชคมหาลาภและบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญกรรมฐานหากสวดบทนี้สามารถอธิษฐานเรื่องราวที่ขัดข้องให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง
ทุกๆวัน ในเวลา ๒๐.๓๐ น.หลวงตาม้า(ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ที่ยังดำรงค์ขันธ์อยู่)และศิษย์ทั้งหมดจะร่วมสวดมนต์บทนี้ เพราะเป็นช่วงที่เปิดทั้งสามโลกธาตุให้สื่อถึงกันได้หมดเทพพรหมทั่วแสนโกฏิจักรวาล จะร่วมกันสวดบทนี้ ในช่วงนี้แม้แต่ไฟนรกก็ดับชั่วคราว
คาถา มหาจักรพรรดิเปิดโลก
ที่หลวงตาหลวงตานำลูกศิตย์ และ เทพพรหม โอปปาติกะทั่ว 3 แดนโลกธาตุ สวดตอน 20.30 น. ของทุกวัน

บทอาราธนาพระ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(๓ ครั้ง)

พุทธัง อาราธนานังกะโรมิ

ธัมมัง อาราธนานังกะโรมิ

สังฆัง อาราธนานังกะโรมิ


คาถาหลวงปู่ทวด


น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวดแล้วว่าคาถาดังนี้

นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (๓ครั้ง)


คาถาหลวงปู่ดู่

น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่แล้วว่าคาถาดังนี้

นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ (๓ครั้ง)


บทขอขมาพระรัตนตรัย

โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโตมะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ


โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโตมะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ


โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโตมะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ


บทสวดมหาจักรพรรดิ
 

นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (กราบ 3 ครั้ง)

(สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ 6 จันทร์ 15 อังคาร 8 พุธ 17 พฤหัส 19 ศุกร์ 21 เสาร์ 10 )

นโม พุทธายะ
พระพุทธะไตรรัตนญาณ
มณีนพรัตน์
สีสหัสสะ สุธรรมา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ยะ-ธา-พุท-โม-นะ
พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีทานัง วรังคันธัง
สีวลี จะ มหาเถรัง
อหัง วันทามิ ทูรโต
อหัง วันทามิ ธาตุโย
อหัง วันทามิ สัพพโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

ชิญพระเข้าตัว แผ่บุญปรับภพภูมิส่งวิญญาน


สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พลัง
อรหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส
(3 หรือ 5 จบ)

พุทธัง อธิฏฐามิ ธัมมัง อธิฏฐามิ สังฆัง อธิฏฐามิ (ให้อธิษฐานจิตแผ่)


(ให้อธิษฐานจิตแผ่บุญไปทั้งสามโลกธาตุ ภพภูมิทั้งหมดทั้งมวลบิดามารดา ญาติ เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ และส่งวิญญาณทั้งหลาย)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 11:25:36


ความคิดเห็นที่ 397 (1574348)

วิธีง่ายๆ ที่ เราจะช่วยลดพลังงานไม่ดีในโลก

ให้นึกนิมิต พระพุทธรูปทรงเครื่องปางจักรพรรดิ หรือ หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หรือ แม้แต่ พระแก้วแดงก็ได้ แล้วแต่ ถนัด (รูปลักษณ์เดียวกับ พระแก้วมรกต แต่เป็นสีทับทิมแดง แทน, เนื่องจาก พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จะ มีพระประจำพระองค์ ซึ่ง จะมีตั้งแต่ ตั้งจิต ปรารถนา จะเป็น พระพุทธเจ้า ซึ่ง สี จะแตกต่างกันไป ตามแต่ บารมี โดย พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน จะเป็น พระแก้วมรกต ซึ่ง ปัจจุบัน ที่มีอยู่ในเมืองไทย จะเป็นองค์จำลอง องค์จริง ได้ไปอยู่ ที่นิพพาน กับ พระองค์แล้ว ส่วนขององค์พระศรีอาริยเมตไตรย จะเป็น พระแก้วแดง ซึ่ง ปัจจุบันนี้ ยังไม่ปรากฎขึ้นบน โลก จะปรากฎ ขึ้นอีกที ในยุค พระศรีอาริยเมตตไตรย)

แล้วให้สวด บทจักรพรรดิ หนึ่ง จบ แล้ว ก็นึกนิมิต รูปพระที่กล่าวมาขั้นต้น ครอบไปกับ อาหาร ที่เรา ทาน แล้ว กล่าวบทสัพเพ หรือ ที่เรียกว่า อัญเชิญพระเข้าตัว ก็จะสามารถ แผ่ให้เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตายได้  เพราะเนื่องจากสัตว์ที่ถูกฆ่า จะยังมีความอาฆาตอยู่ค่อนข้างสูง ถ้า เรา สัพเพแล้วให้เค้าได้เปลี่ยนภพภูมิ เป็นเทวดา ก็จะสามารถช่วยเค้าได้ ให้ พลังงานลบ น้อยลง

ซึ่งวิธีนี้ สามารถใช้ได้กับ เวลาเรา เดินผ่าน ตลาด ที่มีเนื้อสัตว์  ที่ๆเคยมีคนเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก ก็จะใช้วิธีนี้ได้เช่นกันครับ

 

ขออธิบายให้เห็นภาพของพลังงานนะครับ (ผมไม่ได้เห็นเอง แต่ ได้ยินจากคนที่เห็นพลังงาน)

พอเราสวดบทพระมหาจักรพรรดิ  จะมีลำแสง สีทองๆ พุ่ง มาจาก ทุกทิศ เข้ามาสู่ตัวเรา  หลังจากนั้น ให้พอ เรา เริ่มสวดบท สัพเพ พุทธาฯ ไปเรื่อยๆ เรา ก็กำหนดจิตไปด้วย ว่า เราจะส่งบุญให้ใคร  ให้สัตว์ ให้ สัมภเวสี  ขณะเรากำหนดจิต แล้ว สวดสัพเพไปนั้น จะมี เส้นสีขาวๆ พุ่งออกจากตัวเรา ไปยัง คน ที่เรากำหนดจิตถึง  แล้วพอเราสวด พุทธัง อธิษฐาิมิ ธัมมังฯ   แสงสีทอง จากตัวเรา ก็จะ พุ่งไปยัง เส้นสีขาวๆ ไปหายัง บุคคลที่เรากำหนดจิตถึง ครับ

 

คำถาม: ทำไม ต้องใช้ รูปลักษณ์ดังกล่าวในการทำนิมิต

ตอบ: ผมเอง ก็เคยสงสัยเหมือนกัน เลยได้รับคำตอบมาว่า เนื่องจาก หลวงปู่ทวด(หลวงปู่ดู่) ท่านยังไม่ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า   พลังงานที่เลยกระจายอยู่ไปทั่วโลก ยังไม่รวมอยู่ที่พระนิพพาน และเนื่องจากบารมีของท่านเต็มครบ 30 ทัศแล้ว ทำให้เราสามารถดึงพลังงานจากท่าน มาช่วย สรรพสัตว์ทั้งหลายได้ง่าย 

และก็มีคนเคยถามเช่นกัน ว่า ในเมื่อบารมีท่านเต็มนานแล้ว พอที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว ทำไม ยังต้องมาเกิด เพื่อสั่งสมบารมีอีก อยู่บนชั้น ดุสิต เฉยๆ รอถึงยุคท่าน ก็ค่อยมาเกิดทีเดียว ก็ได้   เหมือนท่านเคยเมตตาบอกว่า ถ้าผู้ที่หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อจะช่วยขนไถ่เวไนยสัตว์ แล้ว จะมารักสบาย อยู่ ย่อมไม่ได้ ย่อมต้องมา เกิด เพื่อ ช่วยเหลือคนตลอด นั่นแหล่ะ คือ ความมุ่งมั่น หรือ หน้าที่ ของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นพระโพธิสัตว์

 

คำถาม: ทำไมถึงต้องช่วยสัมภเวสี

ตอบ: โดยทั่วไปแล้ว ถ้าคนเราตายขณะที่หมดอายุขััย ก็จะได้ไปเสวยบุญ หรือ กรรม ที่ได้ทำไว้ แต่ถ้าในกรณีที่มีกรรม มาตัดรอน ทำให้ตายก่อน กำหนด จะทำให้เค้าไม่สามารถ ไปเสวยบุญ หรือ กรรม ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในโลก จนครบอายุขัย ของเค้า ถึงจะไปได้

   ตัวอย่าง ถ้า มี ทหาร ผู้หนึ่ง ถูกฆ่าตาย ซึ่งมาจาก ผลกรรมตัดรอน ทำให้ต้องตายก่อนกำหนด ซึ่งจริงๆ อายุขัย ของเค้าต้องอายุ 80 ปี แต่ ถ้าเค้า ตาย ตอนอายุ 30 ปี ตามที่เราเข้าใจ ก็คือ เค้ายังต้องวนเวียนอยู่ในโลก อีก 50 ปี  แต่นี่ เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะว่า จริงๆแล้ว เค้ายังต้องวนเวียนอยู่ในโลก อีก 2500 ปี เนื่องจาก เมื่อเค้าตายแล้ว อายุของเค้า จะกลายเป็น อายุทิพย์ ราว ของชั้นจาตุมหาราชิกา คือ 1 ปี เท่ากับ 50 ปีของเรา ซึ่ง เมื่ออายุเค้าเหลือ อีก 50 ปี ดังนั้น จะคำณวน ออกมาได้ 50 x 50 = 2500 ปี 

ซึ่ง ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเค้าจะต้องตกค้าง อยู่บนโลกมนุษย์ ถึง 2500 ปี ซึ่ง ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้งเสวยบุญ หรือ ไปใช้บาป นี่ถึงเป็นสาเหตุให้ บางคนเวลาไปยังเมืองโบราณ แล้ว ยังเห็นวิญญาณทหารยังอยู่ เนื่องจากเค้าไม่สามารถไปไหนได้นี่เอง   ซึ่งทางหลวงปู่ ก็ได้มอบหมายให้หลวงตาม้า ท่านทำหน้าที่นี้ เพื่อที่จะช่วยเหลือ เหล่า สัมภเวสี ที่น่าสงสารเหล่านี้เช่นกัน

แต่ ก็เหมือนตามที่อ.อุบล คุณธนา หรือ คุณชนิดาบอก ทุกคนเกิดมาล้วนมีหน้าที่ ซึ่งแล้วแต่ว่า เรามีหน้าที่อะไร ซึ่งหลวงปู่ท่านเอง ก้ได้ให้ศิษย์บางส่วนที่มีอีกหน้าที่นึง ไปยัง บางประเทศ ที่ถือว่าเป็นสะดือของโลก หรือ แม้กระทั่ง บางจังหวัดที่มีความเสี่ยง เพื่อไปทำเรื่องบางอย่าง เพื่อที่จะลดพลังงานลบ เพื่อให้ ภัยพิบัติ เบาบางลงเช่นกัน ส่วนผมก็ทำเท่าที่ทำได้ เช่น เจอ สัตว์ ตาย หรือ ผ่านตามตลาด ก็ช่วยสัพเพ ลดพลังไม่ดีลงไป หรือ ทุกๆวัน ก็ช่วยใช้พลังจักรพรรดิ (ซึ่งก็คือ พลังของพุทธเจ้าปางจักรพรรดิ) ช่วยสัพเพให้ทั้งสามแดนโลกธาตุเช่นกัน ได้มั่ง ไม่ได้มั่ง ก็ดีกว่า ไม่ได้ทำอะครับ

และบางที ถ้าเรามองรูปหลวงปู่ท่าน ถ้าจิตเราว่างพอท่านก็สามารถมีการสื่อสารมาถึง เราได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเช่นนี้หรือเปล่า ที่ กล่าวได้ว่า ค้นพบพระศรีอาริยเมตไตรย ในตัวเราเองนี่เอง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Anorio (ธนกร ชูศรีจรรยา) (ariosto9-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 12:01:17


ความคิดเห็นที่ 398 (1574381)
image

สวัสดีคะ เป็นสมาชิกใหม่นะคะ

ขออนุโมทนาในธรรมจากทุกๆท่านชาวบ้านสวนค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณทุกๆสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบขอบพระคุณอาจารย์อุบลและสมาชิกทุกท่านค่ะ

ที่คอยเหลาให้ดิฉันเข้าใจในธรรมทาน และปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อความสงบของชีวิตค่ะ

ขอบคุณคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปวีณา ติดทะ (kai1pawee-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 16:29:58


ความคิดเห็นที่ 399 (1574393)

อย่าลืมมาคุยกันนะ

ว่าถ้าพวกเราเจอพระศรีอาริย์

เราจะทำยังไง ทำอะไร

ถ้าหากเจอพระองค์ท่าน ก็จะขอเข้าไป

1..กราบท่าน และขอพระธรรมคำสอนของท่านที่จะสามารถช่วยเหลือผู้คนในภาวะวิกฤตินี้  เพื่อเผยแพร่คำสอนและแนวทางวิธีปฏินัติเพื่อให้ผู้คนสามารถอยู่รอดในยุคภัยพิบัติ และกลับสู่บ้านนิพพานต่อไป 

2..ขอพรจากพระองค์ท่านเพื่อให้ผู้ที่หลับไหลอยู่ได้ตื่นมาทำหน้าที่

ที่ได้อาสาลงมาทำให้บรรลุเป้าหมาย 

 

3..ขอมีส่วนร่วมที่จะขอช่วยแบ่งเบาภาระของท่านอย่างเต็มความสามารถของตนเองที่พึงมีเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้ทรงเมตตาต่อทั้ง 3 โลกอย่างหาประมาณมิได้

4..น้อมรับปฏิบัติตามแนวคำสอนของพระพุทธองค์อย่างสุดใจ  เริ่มจากตัวเราก่อนแล้วกระจายความดี พระธรรมคำสอนบอกกล่าวไปยังผู้คนรอบๆ ตัว ตลอดจนทั่วทั้งจักรวาล

เพื่อนๆ ท่านอื่น สามารถมาร่วมแชร์ได้นะคะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญชลา บุตรโส (anchala_23580-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 18:49:29


ความคิดเห็นที่ 400 (1574396)

คำสอนพระศรีอาริย์ 

( 3 ข้อ นี้ น่าจะพอช่วยให้พบพระศรีอาริย์ได้)

จากหนังสือ ประวัติการสร้าง “พระศรีอาริยเมตไตรย” วัดท่าซุง โดยพระราชพรหมยาน

หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ใน “บันทึกความจำ

มีใจความตามที่ สมเด็จองค์ปฐม

ท่านตรัสไว้ ขอนำมาโดยย่อดังนี้

” …ที่ตรงนั้น ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้

ฉันต้องการให้สร้าง วิหารพระศรีอาริยเมตไตรย

เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น และคนจำนวนแสน

ที่ติดตามพระศรีอาริย์ฯ ต้องการเป็นสาวกของท่าน

ก็มาเกิดสมัยนี้เป็นแสน ทั้งพระศรีอาริย์ฯ ก็ฝากเธอไว้ว่า

ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน…”


“…ใน ขณะนั้น ท่านเรียกพระศรีอาริย์ฯ มา

พระศรีอาริย์ฯ ท่านมีความต้องการให้คน

ที่มีความต้องการที่จะเกิดในสมัยท่านได้ฟังเทศน์จบเดียว

ก็เป็นพระอรหันต์ พระศรีอาริย์ฯ ท่านตรัสว่า

คนที่ต้องการไปเกิดในสมัยผม ขอให้ปฏิบัติตามนี้ คือ…


 

(นี่..สำหรับคนมี “บารมีอ่อน” นะ คนมี “บารมีเข้ม

ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน “บารมีอ่อน”

ตั้งใจไปนิพพานชาติพระศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒ อย่างก็ได้ว่า

ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้

ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้)


ข้อปฏิบัติเกิดทันสมัยพระศรีอาริย์ 3 ประการ

.

1. ตั้งใจรักษา ศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วนเสมอ

เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็นอุคฆฏิตัญญู

ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่ หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที

ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ กรรมบถ ๑๐

เหมือนกัน ศีล๕ ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย

อย่างนี้เป็นวิปจิตัญญู หมายความไปเกิดสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจ

ต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์

บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ

อาจจะบกพร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบ

ถ้วนทั้ง ศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ หมายความตามธรรมดา

คน เรามีอาชีพต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร

ก็ต้องฉีดยา ฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง

บางคนมี อาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง

ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์

อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า เนยยะ

เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน

สามารถ เป็นพระอริยะได้

2. จงหมั่นให้ทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ สังฆทาน

ถ้าจนมาก ทรัพย์มีน้อย ก็จัดอาหารหรือผลไม้ ผลสองผล

ถวายพระที่มีตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป ก็เป็นสังฆทาน มีอานิสงส์มาก

3. จงเจริญภาวนาเสมอๆ ถ้าทำไม่ได้มาก เมื่อศีรษะถึงหมอน

ก็ให้ภาวนาเล็กน้อยแล้วหลับไป


เพียงเท่านี้ เขาจะเกิดในสมัยผมตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน


เอาละ… บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้และฟังเทศน์แล้ว

เรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่าง

กับเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าทุกท่านรักษาศีล ๕ ครบถ้วน

กรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้

ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี

หรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์

จากพระศรีอาริย์ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์สามารถไปนิพพานได้”

**********************************

ขอช่วยด้วยอีกแรงค่ะ

เป็นชาวเกาะ   กินแรงคนอื่นมานาน



ผู้แสดงความคิดเห็น น้ำฝน พิมพ์มีลาย (rain_richer-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-24 19:24:32



<< ก่อนหน้า 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 ถัดไป >>


Copyright © 2010 All Rights Reserved.