ReadyPlanet.com


ผู้ที่ต้องการร่วมกิจกรรมธรรมะบำบัดสัญจร ณ ม.มหิดล ศ.17 ส.ค.55 ให้มาลงทะเบียนที่กระทู้นี้ค่ะ


 สำหรับผู้ที่ต้องการไปร่วมกิจกรรม

ธรรมบำบัดสัญจร

จัดโดย

สวัสดิการคณะเวชศาสตร์เขตร้อน

ร่วมกับชมรมรักธรรม

มหาวิทยาลัยมหิดล

เรื่อง

"ธรรมบำบัดแบบเห็นผลฉับพลันทันที"

ณ ห้องประชุม ตึกเฉลิมพระเกียรติ 50 ปี  

ชั้น 5 ศุกร์ที่ 17 ส.ค.55

เวลา 13-15.00 น.

ให้มาลงทะเบียนได้ ที่กระทู้นี้ค่ะ



ผู้ตั้งกระทู้ อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-08-08 22:22:53


<< ก่อนหน้า 1 [2] 3 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 101 (1624463)

สำหรับ

ผู้ที่ลงทะเบียนแล้ว ในกระทู้นี้

ขอให้ตรวจสอบรายชื่อของตน

ว่า

อยู่ในลำดับที่เท่าใด

และโปรดจด จำ ลำดัับที่ของตนไว้

 

เมื่อไปลงทะเบียน

ที่ มหิดล

โปรดบอกลำดับที่ ที่ได้ลงทะเบียนไว้

ที่เวปนี้ เพื่อความรวดเร็ว

ในการตรวจสอบ

ค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 12:23:02


ความคิดเห็นที่ 102 (1624469)

ผู้ที่มีรายชื่อที่่คุณแมวได้นำมาลงไว้

เท่านั้น

ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงาน "ธรรมะบำบัดฯ" ที่มหิดล

ในวันพรุ่งนี้ ศุกร์ที่ 17 ส.ค.55

ขอให้ผู้ที่ยังไม่ส่งเอกสาร แต่เตรียมไปหน้างาน ปฎิบัติดังนี้

1.ให้นำรูปถ่าย 2 นิ้ว แม๊กติดกับ สำเนาบัตรประชาชน และ ข้อมูลส่วนตัวที่ให้เขียน

โดยนำรูปติดกับ

มุมกระดาษหัวมุมบนซ้าย  

 

2.ให้หัวหน้าทีม ที่ชวกชวนทีมของตนมา

นำเอกสารทั้งหมดใส่ซองใหญ่

(ที่ใส่ได้ โดยไม่ต้องพับเอกสาร)

รวบรวมของทุกคน ใส่ในซองเดียวกัน

แต่ไม่ต้องปิดซอง

 

3.ให้เขียนหน้าซอง ว่า

มีเอกสารของใครบ้าง ระบุชื่อ-สกุล

ลำดับที่ ที่คุณแมวแจ้ง ในเวปไซด์  

เพื่อความรวดเร็ว

 

4.สำหรับคนที่อยู่คนละที่กัน แต่ ทีมเดียวกัน

ก็ให้ ต่างคน ต่างใส่ซอง ของตัวเอง

เขียนชื่อ ลำดับที่เหมือนข้อ 3

หรือคนที่ไม่มีกลุ่ม

ก็ให้ใส่ซองเฉพาะของตน ทำเหมือนกัน

 

 

5.เอกสารทุกอย่าง เป็นข้อมูลส่วนตัว

เพื่อป้องกัน การนำไปใช้ในทางทุจริต

ขอให้ท่าน เขียนกำกับว่า

ใช้เฉพาะ ลงทะเบียน

เข้าร่วมกิจกรรม ธรรมะบำบัด

ที มหิดล เท่านัั้น

 

6.เขียนชื่อ-สกุล หลังรูปด้วย

(เผื่อหลุดหาย จะได้ทราบว่า เป็นรูปใคร)

 

7.เอกสารทุกอย่าง ไม่ต้องนำออกมาโชว์  

ต้องตรวจ ใส่ซอง ก่อนเข้าไปในบริเวณงาน จนกว่าจะส่งถึงมือ จนท.บ้านสวน

 

8.เอกสารนี้ ต้องส่งมอบ กับ

จนท.บ้านสวนฯ เท่านั้น

 

ได่แก่คุณแมว

น้องเบส คุณป้อม คุณอัญ

ห้ามให้กับบุคคลอื่น

ที่ไม่ใช่ บุคคล ที่ อ.อุบล แต่งตั้ง เด็ดขาด

มิฉะนั้น ถือว่า การเข้าร่วมกิจกรรม

และการบำบัด ของท่าน

เป็นโมฆะ

(อย่าอ้างว่า ไม่รู้ ไม่ได้เข้าเวป)

 

การกล่าวอ้างเช่นนั้น

แม้เข้าไปร่วมงานได้ ผลการบำบัด

ก็จะไม่เกิดนะค๊า บอกไว้ก่อนค่ะ

 

9.ขอให้ทุกท่าน ที่ต้องการบำบัด

ทำตาม กติกา อย่างเข้มงวด

อย่าใช้เส้น หรือ วิธีพิเศษ

ที่ อ.อุบล ไม่ได้เป็นผู้เสนอให้

 

 

มิฉะนั้น

การบำบัด ของท่าน จะไม่เกิดผลอะไรเลย

 

อ.อุบล

ไม่ได้ออกนอกสถานที่ ง่ายๆ

การออกไปครั้งนี้

ก็ปรารถนาให้ทุกท่านที่อุส่าห์

เดินทางไปหาพ้นทุกข์

 

จึงบอกวิธีให้ทุกอย่าง

รวมถึง


การทำตามกติกา

เป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง ที่แสดงความเคารพ

ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีผลอย่างยิ่ง

ต่อการบำบัดของตัวท่านเอง

ไม่ใช่ ของ อ.อุบล

 

ดังนั้น

การบอกให้ท่านทำอะไร

แต่ละอย่าง อย่างเข้มงวด

ก็เพื่่อให้เกิดผลดี ต่อตัวท่านเอง

 

หากท่านเห็นว่า ยุ่งยาก

ก็จงไปบำบัดรักษาด้วยวิธีอื่นเถิดค่ะ

อาจไปโรงพยาบาล คลีนิค

หรือ อื่นๆ ก็ได้ค่ะ

 

เพราะวิธีการต่างกัน

ผลการบำบัดย่อมต่างกัน

 

ขอให้ท่านทำได้

อย่ายอมแพ้ความมักง่าย

และเจ้ากรรม

ขอให้ท่านมีโอกาสเข้าถึงธรรม

ให้ได้นะคะ

 

เพราะการหาย

ทันทีได้ เมื่อท่านบรรลุธรรม

 

ชื่องานก็บอกอยู่แล้วว่า

"ธรรมะบำบัด แบบเห็นผลฉับพลันทันที"

ถ้าเข้าไม่ถึงธรรม จะเอาอะไรบำบัดจ๊ะ

 

เวลาอยู่ในกิจกรรม

ก็ให้สำรวม กาย วาจา ใจ

อย่าปล่อยให้ โอกาสทองนี้ หลุดลอย

เพราะความเผลอสติ

นะจ๊ะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 12:57:52


ความคิดเห็นที่ 103 (1624472)

การจัดกิจกรรมธรรมบำบัด

ที่ มหิดล ครั้งนี้  

 

อันที่จริง

เป็นการจัดภายใน

ซึ่งคนนอกอย่างพวกเรา ถ้าเขาไม่เชิญ

ไม่อนุญาต ก็คงไม่มีโอกาสไปร่วม  

 

ดังนั้น

เมื่อผู้จัดให้เกียรติเรา

เราก็ควรจะให้เกียติ เจ้าภาพผู้จัด

ด้วยการแสดงความเคารพสถานที่

แต่ไม่ได้แปลว่า ทำตัวเครียด จนเกินเหตุ

 

คือ

ทำตัวสบายๆ

แต่ไม่สร้างปัญหา

ไม่ทำให้สถานที่สกปรก ไม่ทิ้งขยะ

ไม่ทำให้ห้องน้ำสกปรก ไม่ส่งเสียงดัง

 

 

ขอให้พวกเรา

แสดงความเป็น อริยบุคคล ออกมา

ให้เห็น ต่อทุกกาล สถานที่

ที่เราไป

 

1.ขยะของเรา ก็หาถุงไปใส่

แล้วนำออกมาด้วย ไม่ต้องทิ้งที่นั้น

 

2.ห้องน้ำ

เขาทำไว้สะอาดอย่างไร เมื่อเราเข้าไป

ก่อนออกมา ทำให้สะอาดกว่าเดิม

 

3.เห็นอะไรรก ตกพื้น ช่วยกันเก็บ  

 

4.เห็นคนทำสิ่งที่ไม่เหมาะ ไม่ควร

ต้องกล้าแสดงความรัก ความเมตตา

ด้วยการบอก ความจริง ตรงๆ 

 

5.แต่งกายสุภาพ

แต่ไม่ใช่ ต้องไปซื้อชุดใหม่

แต่งชุดที่มีอยู่นั่นแหละ แต่

ให้เกียติสถานที่ราชการ

 

ที่สุดแล้ว

ก็คือการให้เกียติตัวเราเอง

นั่นเอง

 

เพราะคนที่จะได้รับผล ไม่ใช่สถานที่

แต่เป็นตัวเราเอง

ต่างหาก

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 13:10:06


ความคิดเห็นที่ 104 (1624477)

ปัญหา และ ทุกข์ของเรา

ที่ไม่คลี่คลาย

เพราะ

สวนใหญ่ เราสร้างปัญหา ให้คนอื่น โดยเป็นสิ่งที่เรา

"มองข้าม"

ไปอย่างคาดไม่ถึง คือ

1.เราไปไหน เราไปทำให้สถานที่สกปรก

ทิ้งขยะ  ทำให้รก สกปรก

 

ดังนั้น

ลองแก้ตรงนี้ดูนะ

ทุกที่ ที่เราไป ให้เรา นำถุงก๊อปแก๊ป หรือ อะไรก็ได้

เตรียมไปใส่ขยะของเรา กลับไปทิ้ง ที่บ้านเรา

 

แล้วถ้าอยากได้

ผลบุญที่เห็นทันที มากไปกว่านี้

เอาขยะที่เราเห็นรก สกปรก ไร้ประโยชน์ แม้ไม่ใช่ของเรา

ก็เอาไปทิ้งให้ด้วย

(แต่อย่ามีอุบาย ขโมยของ ที่ไม่ใช่ขยะแล้วกัน

เพราะนั่น คือ ไฟนรกเย็นๆ เนียนๆ)

 

2.เราไปใช้ห้องน้ำ

ก็ถือว่าเปลืองน้ำ เปลืองไฟ

ทำให้ห้องน้ำเขาเต็มเร็วขึ้น นั่นคือค่าใช้จ่าย

ที่เขาต้องจ่ายแน่นอน สิ่งเหล่านี้ เป็น กรรมเย็น ที่เรา มองข้าม ซึ่งเราไม่เคย ช่วยเงิน ช่วยจ่าย

หรือ

ไม่เคยช่วยแบ่งเบาภาระ

 

บางที

เขาอาจจะมีเงินจ่าย

แต่หาคนทำไม่ได้

ก็เรียกว่า เราสร้างปัญหา ให้เขาอยู่ดี  

 

ดังนั้น

ถ้าจะให้ดี เราช่วยทำ

เอาแรงเรานี่แหละ ทำทันทีเลย เก็บ เช็ด

แต่ไม่ต้องถึงกับไปตั้งหน้า ตั้งตาล้างห้องน้ำให้เขาหรอก

 

เอาแค่

อย่าไปทำให้เพิ่มความสกปรก

อย่าสร้างปัญหาเพิ่ม โดยไม่แยแส

 

คิดด้วยทุกขณะจิต

ว่า

สิ่งที่เราใช้ของเขาอยู่นี้

ถ้าเป็นบ้านเรา เป็นของ เรา เราจะทำอย่างไร

เดือดร้อนอย่างไร

 

ส่วนไหน

ที่ช่วยให้เราลดกรรมตัวเราเองได้ ต้องรีบทำ

 

นี่เป็นกรรมเนียนๆ

 

บางสถานที่

เ่ช่น วัด หรือ บ้านสวนพีระมิด

อันนี้ ท่านมาตั้งหน้าตั้งตาล้างห้องน้ำได้

 

ร่วมบุญค่าน้ำ ค่าไฟได้

แต่ที่ผ่านมา อ.มงคล จ่ายให้ทั้งหมด

มีหลายท่านช่วยมา ก็ยังเก็บไว้อยู่

จะเอาไปรวมจ่าย ค่าโซล่าเซลล์

 

แต่ถือว่าท่านได้บุญแล้วหละ อย่ากังวล

 

พ่อใหญ่ธนา

เคยขอให้ อ.อุบล เอาตู้ ค่าน้ำ ค่าไฟ ไปตั้ง

แต่ อ.อุบล อยากให้พวกเรา ช่วยกันประหยัด

ทำให้สะอาด มากกว่าอีก

 

จะรับพิจารณานะพ่อใหญ่นะ

 

3.แต่ตอนนี้

เอาเป็นว่าให้พวกเรา

ช่วยกันประหยัดสิ่งที่ควรประหยัดก่อน

เห็นไฟห้องน้ำเปิดทิ้งไว้ ไม่มีคน ก็ช่วยกันปิด

หรือ อื่นๆ ที่เห็น ไม่นิ่งดูดาย และเราต้องเอานิสัยนี้ ไปใช้กับทุกที่ ที่เราไป รวมทั้งบ้านเราเอง

 

เพื่อ

เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า

การที่ พระอริยบุคคล ไปที่ใด

ก็จะนำความ สงบเย็น ความสุข ไปให้ที่นั่น

 

ตรงกันข้าม

การที่ คนชั่ว คนพาล คนกิเลสหนา ไปที่ใด

ก็จะไปสร้าง ความเดือดร้อน และ ปัญหา

ให้ที่นั่น

 

อย่าได้คิดว่าำ

ทำลับหลังคน ไม่มีใครเห็น

แล้ว จะไม่มีผลต่อตัวเรา

 

ไอ้ที่เราเป็นกันอยู่นี่แหละ

เราทำลับหลังคนอื่นกันมาทั้งนั้น

แต่ที่สุด ก็มีคนรู้คนเห็น ผลของมันอยู่ดี

แล้วก็ต้องย้อนไปที่ เหตุของมัน

อยู่ดี  

 

ความเป็น

"พระอริยบุคคล"

อยู่ที่การปฏิบัติตนของตัวเราเอง

ไม่ใช่อยู่มี่ใครบอก

 

ใคร

จะมารู้เรื่องของเรา ได้ดีกว่าตัวเรา

 

ดังนั้น

ตั้งจิต ตั้งใจ ดำรงกาย

ให้เป็น อริยบุคคล ตั้งแต่บัดนี้

และเอาความเป็น อริยะนี้ ติดตัว ติดใจ ไปทุกที่

ไม่ใช่เฉพาะ ที่ มหิดล เท่านั้น

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 13:36:43


ความคิดเห็นที่ 105 (1624479)

เรียนท่านอาจารย์และพี่น้องบ้านสวนพ๊รามิด

ทางชมรมศิลปวัฒนธรรม ชมรมผู้รักธรรม เป็นคณะทำงานที่เสียสละ เขาอยากจัดงานให้เป็นธรรมทานอยู่แล้ว ทางคณะขอแค่เซ็นชื่อ แล้วเข้าไปนั่งดู VCD ของท่านอาจารย์กันเลย

สถานที่ราชการก็เป็นของพวกเราที่เสียภาษีทั้งนั้น ปกติเราก็ทำงานเพื่อรักษาคน ช่วยชีวิตคนเหมือนกันค่ะ

ขอบคุณมากที่มาเยี่ยมเยียน ชาวเขตร้อนยินดีต้อนรับทุกท่าน

จุ๋ม

ผู้แสดงความคิดเห็น ธารีรัตน์ กะลัมพะเหติ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 13:42:16


ความคิดเห็นที่ 106 (1624481)

ผู้ที่ต้องการบำบัดทุกข์

ทุกโรค ทุกปัญหา โปรด เตรียม

นึกกรรมของตนไปด้วย

อย่าบอกว่า ไม่รู้ งานนี้ จะบำบัด เฉพาะคนที่

ให้ความร่วมมือ สารภาพกรรม

เท่านั้น

 

ยกเว้น

กรรมในอดีต หรือ กรรมเกิินวิสัย

เท่านั้น

ที่เบื้องบนท่านจะอนุญาต

ให้ อ.อุบล บอกได้

 

เราทุกคน

พึงรู้ว่าเรามีเวลาสั้นๆ

แต่คนที่ไปร่วมงาน มีเกือบ 200 คน

เราจึงไม่เป็นตัวถ่วงเวลาคนอื่น

จะได้หายด้วยกันทุกคน

นะจ๊ะ

(อยากให้หายจริง จิ๊ง ถึงต้องมาปากเปียก มือหงิกอยู่เนี่ย)

แต่ถ้าใครไม่อยากหาย เราก็ไม่ว่ากันอยู่แล้ว

 

เผื่ออยากไป แค่ลองของ ก็รับรอง

ว่า

ได้ลองแน่ แบบ ไม่ผิดตัว

ไม่ว่า

จะนั่งแอบอยู่ตรงไหน หรือ คิดในใจ

 

และ

อยากให้ มีคนไปลอง จะได้หายสงสัย

 

สำหรับ

คนที่ไม่ได้ไปลอง แต่ไปด้วยศรัทธา

ก็เตรียมตัว ให้พร้อม ลดละ อัตตา

ให้ได้ รีบสารภาพ เวลาบอกให้สารภาพ ถ้าหาย ก็รีบบอกว่าหาย ถ้าดีขึ้น ให้รีบบอกว่า ดีขึ้นก่อน กี่ %

 

อย่าพูดว่า

ยังไม่หาย โดย ไม่ยอมพูดส่วนที่ดีขึ้น

ถือว่า ไม่กตัญญู

จะไม่ได้รับความช่วยเหลือต่อ

เพราะ

ท่านถือว่าเรามาด้วย

ความ "อยาก" มากกว่า ความ "ศรัทธา"

และ

ความเชื่อถือในกฎแห่งกรรม

ตามหลักธรรม

ของพระพุทธเจ้า

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 13:48:24


ความคิดเห็นที่ 107 (1624483)

เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า

พระศรีิอาริย์

มีจริง และ จะมาโปรด สัตว์โลก

ในอีกไม่นานนี้  

 

 

อ.อุบล

ได้ขอเข้าเฝ้า กราบพระบาทพระพุทธเจ้า

องค์พระปฐม บรมธรรมบิดา พระบรมศาสดา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

เพื่อ

ขอพระบารมีแห่งพระองค์

และ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตลอดจน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วจักรวาล

เพื่อไปโปรด

ไปแสดงพระธรรมอันงดงามแห่งพระพุทธองค์

 

ทั้งนี้

มีท่านท้าวมหาราชทั้งสี่

ท้าวเวสสุวรรณ

ผู้เป็นอธิบดี

พร้อมบริวาร

 

แล้ว

ได้ขอกราบบังคมทูล

ขออาราธนาบารมี

พระศรีอาริยเมตไตร

ได้โปรดเมตตา แสดงธรรมฤทธิ์ บุญฤทธิ์

 

ในการไปแสดงธรรมบำบัดครั้งนี้ด้วย

 

เพื่อเป็นการยืนยัน

ว่า

พระศรีอาริย์มีจริง

จะมาปรากฎพระองค์จริง

 

ควรมิควร แล้วแต่จะทรงเมตตา

 

ด้วยความซาบซึ้ง

ในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

ทรงโปรด

และ พระราชทาน

 

ทั้ง

พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

เทวคุณ พรหมคุณ

บุญฤทธิ์ และ ธรรมฤทธิ์

ในการไปแสดงธรรมบำบัดครั้งนี้

 

ส่วนการแสดง

พระบารมีแห่งพระศรีอาริย์นั้น

ท่านจะได้เห็นกันเอง ในวันพรุ่งนี้

ด้วย

พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ  สังฆานุภาพ

เทวานุภาพ พรหมานุภาพ

ว่า

มีจริง หรือ ไม่มีจริง

ทุกสิ่งจะพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

ไม่ใช่ความเชื่อ

ที่ปราศจากหลักฐานรับรอง

 ผู้ใดจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ

ไม่ห้าม

สำหรับการปรามาส ลบหลู่ ล่วงเิกิน

เชิญตามสบาย

จะได้รู้ในวันพรุ่งนี้

 

ศุกร์ 17 ส.ค.55 เวลา

13.30-15.30 น. ณ ม.มหิดล เขตร้อนฯ

 

ขอให้ทุกท่านโชคดี

ความปรารถนาสมหวัง ทุกคน นะคะ

แล้วพบกันค่ะ.......สวัสดีค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 14:07:46


ความคิดเห็นที่ 108 (1624491)

ปรากฎการณ์

"หาย หรือ ดีขึ้นทันที"

เกิดจากพระบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน

ที่ท่านเป็นผู้แสดง

 

อ.อุบล

เป็นเพียงผู้สื่อสาร

เปรียบเหมือน เป็นล่ามแปล

หรือ

เป็น ทนายความ หรือ เป็น อัยการ เท่านั้น

 

ดังนั้น

การที่ได้บอกให้ทำอะไร นั้น

มนุษย์ อย่าง อ.อุบล

ไม่มีสิทธิ์ โต้แย้ง ต่อ พระบัญชา

 

 ซึ่งพวกเราก็เคยได้เห็น ผู้ฝ่าฝืนกฏสวรรค์มาแล้ว

ว่า

ได้รับผลอย่างไร อย่างครอบครัวคุณโชค

เ็ป็นต้น  เมื่อเราอยากพบปรากฏการณ์

"หายจริง" เราต้องพร้อมพบ

ปรากฏการณ์ "มีเคราะห์จริง" ด้วยเช่นกัน  

 

เราจะเอาแต่ได้ โดยไม่มีเงื่อนไขเลย นั้น เป็นไปไม่ได้  และอย่ามาใช้คำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องมีแต่ความเมตตา ต้องไม่ทำร้ายใคร ไม่ลงโทษใคร นี่เป็นการกล่าวอ้าง ของคนที่จะเอาแต่ได้ แต่ในชีวิต ก็ไม่เห็นว่า จะเคยแต่ได้ ซึ่ง การที่ผู้คนทั้งหลาย มีสุข หรือ มีทุกข์ มีโชค หรือ มีเคราะห์ นั้นก็เกิดจากการกระทำของเราเอง แต่ เมื่อมีคนมาบอกก่อนล่วงหน้า ว่าทำอย่างนี้ จะเป็นอย่างนั้น ดันไปคิดว่า เขาแช่ง คิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษ

 

แต่เวลาหาเงินได้

บอกว่า ใช้ัปัญญา ความสามารถของตัวเอง

 

คนเรานี่ก็แปลกเน๊าะ

 

 อยากได้ แต่ไม่อยากเสีย

พอเสีย ก็พาล โทษโน่น โทษนี่

 

แต่ไอ้ที่หาย ฟรี ฟรี ทันที

นี่ชอบกันจัง

แล้วก็ลืมง่าย ด้วยซี  

 

ตอนหาย

ไม่เห็นเคยซาบซึ้งกันเลย

ว่าใครทำให้หาย แต่พอตาย พอมีเคราะห์

บอกใจร้าย

555

 

คิดได้ทุกอย่าง

ที่จะให้ตัวเอง ได้อย่างเดียว

 

หรือ ถ้าใครทำได้ บ้าง

ทำให้หายทันที ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนน่ะ

ก็ลองบอกมา และ ทำให้ดูหน่อย

 

แต่สำหรับ

อ.อุบล บอกได้เลย ว่า ทำไม่ได้

ดอกเด้อ ค่ะเด้อ

 

แหกกฏสวรรค์ แล้ว จะเอาหายทันที

หรือ

ดีขึ้น...ทันที...เีนี่ย

 

อ.อุบล

ไม่สามารถ จริงๆ

ค๊า

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 14:56:09


ความคิดเห็นที่ 109 (1624512)

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์

เป็นอย่างสูงด้วยค่ะ

ที่เมตตามาติวเข้มทุกๆท่านก่อนไปร่วมงาน

แบบว่าละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว

คิดว่าสิ่งที่อาจารย์แนะนำ

ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นอะไรเลยนะคะ

 

และถ้าทำได้ครบ

การได้ร่วมกิจกรรม

ธรรมะบำบัดในครั้งนี้ของคุณ

จะมีแต่"บุญ บุญ บุญ"

โดยไม่มี"บาป"มาปะปนได้เลย

 

ฉะนั้น เคารพตนเอง

เคารพผู้อื่นและ สถานที่ นะค๊า

 

 

ยินดีกับทุกๆท่านที่จะได้พบหนทาง

แห่งการพ้นทุกข์ชั่วนิรันดร์

และที่สำคัญครั้งนี้ทุกท่าน

จะได้สัมผัสกับธรรมฤทธิ์

และบุญฤทธิ์แห่งพระศรีอาริย์ด้วย

 

 

เท่าที่ได้อ่านข้อความที่ทุกท่าน

เขียนสมัครเพื่อเข้าร่วมงานแล้ว

เห็นได้ชัดเลยว่า

ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความทุกข์จริงๆ

แต่ต่างกันแค่ รูปแบบ

ของความทุกข์ที่ได้รับเท่านั้นเอง

 

อนิจัง ทุกขัง อนัตตา สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 16:49:56


ความคิดเห็นที่ 110 (1624513)

 ลูกกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงสำหรับการเมตตาติวเข้มเช่นกันเจ้าค่ะ


กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น อาจินต์ ภิรมย์รักษ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 16:55:15


ความคิดเห็นที่ 111 (1624517)

พอดีผมเห็นข้อความนี้ในเฟสบุ๊คบ้านสวนฯซึ่งแอดมินนำมาลง เห็นว่ามีประโยชน์กับญาติธรรมท่านอื่นๆสำหรับการเตรียมตัวนึกกรรมของตนเองในวันพรุ่งนี้ ก็เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันครับ

----------------------------------------------------------------

ผมขออนุญาติรวมรวมผลของกรรมในบางส่วนที่เคยเห็นมากับตัวเองที่บ้านสวนพีระมิดและพอจำได้ เพื่อช่วยให้หลายๆท่านที่จะไปร่วมงานธรรมะบำบัดสัญจรได้ระลึกถึงกรรมตนเอง ซึ่งบาปกรรมเหล่านี้บางสิ่งนั้นเราไม่เคยทราบมาก่อนว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีปัญหาชีวิตมากมาย ทั้งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ การงาน การเงิน ฯลฯ

บางคนคิดว่าหลายปีมานี้เราไม่เค
ยทำกรรมอย่างที่ท่านอาจารย์อุบลถามเราก็เลยไม่ยกมือหรือ
ตอบท่าน ซึ่งเราเข้าใจผิดแล้วกรรมที่เราทำมาตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ บางกรรมก็อาจส่งผลเลยทันที บางกรรมก็รอส่งผลอีกหลายสิบปีก็มี ดังนั้นกรรมทุกอย่างที่เราทำมาตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ หรืออาจเป็นกรรมแต่ชาติก่อนมาส่งผลก็มี ซึ่งเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายคอยจ้องเอาคืนอยู่ตลอดเวลา

และผมเห็นกับตาว่าท่านที่นึกกรร
มได้และได้สารภาพพร้อมจิตที่สำนึกและตั้งใจจะไม่กลับไปทำบาปอีก อาการเจ็บป่วยก็หายทันทีอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งๆที่ป่วยมานับหลายปีหรือถึงสิบปีก็มี เช่น ปวดหลัง ปวดขา ปวดบ่า ปวดนั่นปวดนี่อีกมากมาย

1. โรคเกี่ยวกับขา เช่น ปวดขา ขาตึง ขาร้อน ขาชา อื่นๆ
เคยใช้ขาทำลายความดีทุกประเภท เช่น
-หันเท้าไปทางพระ ใช้เท้าเหยียบเหรียญ ธนบัตรซึ่งมีรูปในหลวงอยู่
-เดินกระทืบเท้า เวลาโกรธ โมโหพ่อแม่ หรือคนอื่นๆ
-ใช้เท้าแทนมือ เช่น เปิดปิด พัดลม เขี่ยสิ่งของ และอื่นๆ
-เดินข้ามคน สิ่งของ เช่น เดินข้ามพ่อแม่ซึ่งนอนอยู่ หรือมีสิ่งของก็ไม่ยอมเก็บกลับป
ล่อยอย่างนั้น เดินข้ามไปมา
-ใช้ขาเตะทำร้ายคน สัตว์ สิ่งของ หรือบางทีก็เต๊ะหยอกกันเล่น ซึ่งบางท่านคิดว่าไม่บาป แต่ลองถามคนที่โดนเราเตะเล่นสิเ
ขาชอบไหม อย่าเอาใจตนเองเป็นสำคัญ ผมเห็นคนคิดอย่างนี้แต่พอสารภาพบาปอาการที่ขากลับหายทันที
-ใช้ขาเดินไปที่ไม่สมควร หรือไปทำความชั่ว เช่น ไปที่อโคจร แหล่งอบายมุข ไปทำร้ายคนอื่น ฯลฯ
-เคยทำลาย ทำร้ายขาคนอื่น หรือสัตว์มา เช่น ใช้ไม้ตีขาคนอื่น ตีขาสัตว์ ขาแมว ขาหมา ฯลฯ
และอื่นๆอีกมากมายนะครับ นึกไรได้ก็จดเอาไว้นะครับ

2.มีปัญหาการเงิน
- เคยลักทรัพย์มา เช่น ขโมยเงินพ่อแม่ตอนเด็ก หยิบเงินไปโดยไม่บอก555 ขโมยปากกา ดินสอ ยางลบเพื่อน
- เคยทำแท้ง รู้เห็นหรือให้คำแนะนำ ส่งเสริมเห็นดีเห็นงามไม่ว่าจะไ
ด้ยินที่ไหนมาก็ตาม หรือพาเพื่อนไปทำแท้ง ให้เงินไปทำแท้งเป็นต้น จิตวิญญาณเด็กเหล่านี้เกาะวนเวียนทำให้มีปัญหาสุขภาพและการเงิน การงานเป็นอย่างมาก ซึ่งเคยพิสูจน์มาแล้วที่บ้านสวนพีระมิด
- ทำงานราชการ แต่มาสาย กลับก่อน อู้งาน นินทานาย กินกาแฟนนาน เอาของหลวงกลับบ้าน เข้าห้องน้ำทั้งวัน แต่รับเงินเดือนเต็ม เรียกว่าติดหนี้แผ่นดิน เพราะเงินเดือนมาจากภาษีอากร
- ทำงานบริษัท มาสาย กลับก่อน อู้งาน นินทานาย เอาของบริษัทกลับบ้าน กระดาษ ปากกา อื่นๆ
- ติดหนี้สงฆ์ ขโมยของวัด เช่น ตอนเด็กขโมยมะม่วงวัด เอาของที่พระให้มากลับบ้าน ซึ่งของที่โยมไปถวาย ถือว่าเป็นของสงฆ์ของวัด พระรูปใดรูปหนึ่งหรือแม้แต่เจ้า
อาวาสไม่มีสิทธิ์ให้ใครทั้งนั้น ยกเว้นมีมติสงฆ์ทั้งหมดพร้อมใจให้ ดังนั้นบาปหนักทั้งคนให้คนรับ
- ขายของใช้เล่ห์เหลี่ยมทำให้คนอื
่นเสียทรัพย์โดยไม่เต็มใจหรือไม่รู้ เช่น ของไม่ดีบอกว่าดี เขาก็ซื้อไป ถือว่าโกงทรัพย์เขา ผิดทั้งข้อ4 และข้อ2
- เป็นพวกชอบของฟรี ไม่ต้องทำงาน ขอให้มีของฟรีที่ไหนกระโดดเข้าใ
ส่ บางทีเพื่อนเลี้ยง สั่งดะเต็มที่ ทั้งๆที่เขาอาจมีงบแค่500 แต่เราไม่เคยสนใจว่าเขาอยากเลี้ยงอะไรแค่ไหน ลุยของฟรีอย่างเดียว
-เป็นคนไม่เคยทำทาน ขี้เหนียว ตระหนี่
-อื่นๆอีกมากมาย

3.ปวดคอ ปวดไหล่
- เคยทำแท้ง เคยทำแท้ง รู้เห็นหรือให้คำแนะนำ ส่งเสริมเห็นดีเห็นงามไม่ว่าจะไ
ด้ยินที่ไหนมาก็ตาม หรือพาเพื่อนไปทำแท้ง ให้เงินไปทำแท้งเป็นต้น จิตวิญญาณเด็กเหล่านี้เกาะวนเวียนทำให้มีปัญหาปวดคอ ปวดไหล่และการเงิน การงานเป็นอย่างมาก ซึ่งเคยพิสูจน์มาแล้วที่บ้านสวนพีระมิด
- เคยใช้เชือกล่ามสัตว์ที่คอ เช่น หมา แมว
และอื่นๆ

4.ปวดหลัง เช่น ไขกระดูกทับเส้น เจ็บหลังเรื้อรัง เป็นต้น
- เคยทำร้ายคน สัตว์ที่หลัง เช่นตีหลังคน สัตว์
- อันนี้เด็ดคือเคยผิดศีลข้อ3 ใช้หลัง เอว ขา เข่า ทำบาปเกี่ยวกับข้อกามาอย่างมากม
าย ซึ่งหลายๆคนพอรับสารภาพปุ๊บ อาการที่หลัง เอวและขา หายปั๊บทันที
- เคยเหยียบหลังให้พ่อแม่ ถึงแม้ว่าท่านบอกให้ทำก็ตาม แต่นั่นเป็นกรรมซึ่งสิ่งที่ทำให
้ท่านปวดหลังนั้นเกิดจากผลกรรม เราไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้น ซึ่งเคยพิสูจน์มาแล้ว พอคนสารภาพบาปเรื่องนี้ อาการที่ปวดหลังก็หายหรือดีขึ้นในทันที
- อื่นๆอีกมากมาย

5.ลูก/บริวาร ดื้อ กระด้าง ไม่เชื่อฟัง สร้างปัญหา
- ผิดศีลข้อ3มาทั้งนั้น ไม่ว่าจะผิดศีลก่อนแต่ง หลังแต่ง หรือคิดชอบคนอื่นขณะที่เรามีคู่
ครองแล้ว หรือใช้คำพูดเกี้ยว ส่อไปทางกามรมณ์หรืออื่นๆ

6. มีปัญหาสายตา เช่น สายตาสั้น เป็นต้น
- เคยใช้สายตาในทางที่ผิด เช่น ด่าด้วยสายตา มองค้อนด้วยสายตา หรืออื่นๆ
- ดูภาพโป๊ ภาพลามก สิ่งไม่เป็นมงคลทั้งหลาย
- เคยทำลายดวงตาคนอื่นมา เช่น ทำให้ตาคน สัตว์ บาดเจ็บมาก่อน
-และอื่นๆ

7.ปวดหัว ไมเกรนเรื้อรัง สมองเบลอ
- กินเหล้า เบียร์ ของมึนเมา
- ขายเหล้า เบียร์ ของมีนเมา นี่โทษหลายเด้งเลย
- คิดไม่ดีกับคนอื่น เช่น ด่า สาปแช่ง
- เคยหยอกล้อ ใช้อวัยวะหรือสิ่งอื่นๆทำร้าย หรือล้อเล่นที่ศรีษะคนอื่น ตีหัวคนอื่น ตบหัวคนอื่น
- และอื่นๆ

8.โรคเบาหวาน เกิดจากการฆ่าสัตว์ต่างๆ เช่น ฆ่าหมู ฆ่าไก่ ฆ่าปลา เป็นต้น

9.โรคไทรอยด์ เกิดจากการใช้ปากทำลายความดี เช่น ปากหมา ปากจัด ด่าเก่ง พูดเลอะเทอะ คอยว่าแต่คนอื่น ตัวเองดีหมด พูดโกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อนตอแหล

ผมเขียนไม่หมดหรอกครับ เพราะเยอะเหลือเกินครับขอเขียนแ
ค่เป็ฯตัวอย่างให้ท่านพอเห็นภาพและนึกออก เพราะเห็นวิบากกรรม ผลกรรมของสิ่งเหล่านี้มาเยอะมากครับที่บ้านสวนพีระมิด และท่านอาจารย์ก็พิสูจน์ให้เห็นกันจะๆเลย ว่ามีผลจริงหรือไม่ บางอย่างที่เราคิดว่าไม่น่าใช่ ไม่น่ามีผล แต่กลับมีผลจริงๆ คือคนยอมรับ สำนึก อาการนั้นก็หายไป อัศจรรย์ใจมาก ได้รู้ความละเอียดของกรรมดีมาก

และที่สำคัญกรรมนั้นไม่ใช่ว่าเร
าเพิ่งทำจะส่งผลทันทีก็อาจไม่ใช่ทั้งหมด บางกรรมเกิดจากเราทำตั้งแต่เด็กๆมา เพิ่งจะส่งผลในตอนนี้ก็มี ขอให้ทุกท่านคิดถึงกรรมที่ตนเองทำให้ออกนะครับ เวลาท่านอาจารย์อุบลใช้ธรรมะบำบัด ท่านก็จะระลึกถึงกรรมของตนเองได้ และจะพบปาฏิหาริย์เหมือนผมและคนอื่นๆได้เจอกันแบบจะๆ จัดเต็ม อ้าปากค้างเลยทีเดียว

 
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 17:21:48


ความคิดเห็นที่ 112 (1624521)

 ซึ่งในบางพระสูตรยังกล่าวเป็นตำนานไว้อีกว่า

 

 

พระราชาจักรพรรดิ

ผู้ประกอบด้วยธรรมทรงเป็นธรรมราชา

เป็นผู้ทำให้จักรหมุนไป

โดยธรรมจักรนั้น

 

 

อันสัตว์มนุษย์ไร ๆ ผู้เป็นปรปักษ์

(ต่อพระเจ้าจักรพรรดิ์)

จะหมุนไม่ได้   

 

จาก

กระทู้ธํรรมชาติ .....เอาคืน

เรื่อง ธรรมจักร

 

*********************

อ.อุบล

จะขอพิสูจน์ ข้อความนี้

ในวันพรุ่งนี้ ต่อหน้าสาธารณชน

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 17:41:11


ความคิดเห็นที่ 113 (1624541)

    

ส่วนการแสดง

พระบารมีแห่งพระศรีอาริย์นั้น

ท่านจะได้เห็นกันเอง ในวันพรุ่งนี้

ด้วย

พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ  สังฆานุภาพ

เทวานุภาพ พรหมานุภาพ

ว่า

มีจริง หรือ ไม่มีจริง

ทุกสิ่งจะพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

ไม่ใช่ความเชื่อ

ที่ปราศจากหลักฐานรับรอง

 

+++++++

พระราชาจักรพรรดิ

ผู้ประกอบด้วยธรรมทรงเป็นธรรมราชา

เป็นผู้ทำให้จักรหมุนไป

โดยธรรมจักรนั้น

 

 

อันสัตว์มนุษย์ไร ๆ ผู้เป็นปรปักษ์

(ต่อพระเจ้าจักรพรรดิ์)

จะหมุนไม่ได้   

 

จาก

กระทู้ธํรรมชาติ .....เอาคืน

เรื่อง ธรรมจักร

 

*********************

อ.อุบล

จะขอพิสูจน์ ข้อความนี้

ในวันพรุ่งนี้ ต่อหน้าสาธารณชน

+++++++

  เห็นการเตรียมการ  ในการไปร่วมงาน

"ธรรมะบำบัด แบบเห็นผลฉับพลันทันที"

ในครั้งนี้  ก็รอลุ้นอยู่ว่าน่าจะมีอะไร

ที่พิเศษมาก ๆ กว่าทุกครั้งไหม  เพราะบุคคลที่ไป

ก็เป็น อริยบุคคล  และแล้วก็ได้ทราบว่า

การไปครั้งนี้จะได้พบกับการ

ปรากฏพระวรกายของ    พระราชาจักรพรรดิ

ช่างเป็นพระมหากรุณาธิคุณ อันหาประมาณมิได้

ดังนั้นทุกท่านที่ได้ไปร่วมครั้งนี้  มิควรพลาด

ที่จะทำตามกฏกติกา  ที่ท่าน อ. อุบล

ได้กรุณานำมาแจ้งเตือน  เพราะบุญใหญ่มหาศาล

มาถึงท่านแล้ว  อยู่ที่ว่าท่านจะเลือกรับ  หรือไม่รับ

เท่านั้นเอง

       เพียงแค่ได้อ่าน  ก็ลุ้นระทึกแล้วค่ะ 

พรุ่งนี้แล้ว  พระองค์จะทรงเมตตา

ปรากฏพระวรกายให้พวกเราได้เห็น

เป็นที่ประจักษ์ 

     หนูอ่านแล้วเข้าใจเช่นนี้นะคะ

หากผิดพลาดประการใด  หนูกราบขออภัยด้วยค่ะ

    หนูไม่ได้ไปด้วย  แต่ว่า คืนนี้หนูจะนอนหลับ

ไหมค่ะนี่  ตื่นเต้นมากค่ะ  แล้วคนที่ได้ไปจะตื่นเต้น

ขนาดไหน

กราบ  กราบ  กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 20:22:05


ความคิดเห็นที่ 114 (1624558)

  เพียงแค่ได้อ่าน  ก็ลุ้นระทึกแล้วค่ะ 

 

พรุ่งนี้แล้ว 

พระองค์จะทรงเมตตา

ปรากฏพระวรกายให้พวกเราได้เห็น

เป็นที่ประจักษ์ 

     หนูอ่านแล้วเข้าใจเช่นนี้นะคะ

หากผิดพลาดประการใด  หนูกราบขออภัยด้วยค่ะ

    หนูไม่ได้ไปด้วย  แต่ว่า คืนนี้หนูจะนอนหลับ

ไหมค่ะนี่  ตื่นเต้นมากค่ะ  แล้วคนที่ได้ไปจะตื่นเต้น

ขนาดไหน

กราบ  กราบ  กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 20:22:05
 
 
ไม่ใช่
การปรากฏพระวรกายค่ะ
คุณตาล
 
 
 
แต่
อ.อุบล
เพียง ขอบารมี
พระศรีอาริย์
 
ด้วยเห็นว่า ท่านมีทั้ง
ธรรมฤทธิ์ และ บุญฤทธิ์ มีจักรแก้ว มีพระขรรค์
 
 
ซึ่งการบำบัดทุกครั้ง
อ.อุบล จะขอบารมีพระพุทธเจ้า พระปฐมฯก่อน
และ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์
มีเสด็จพ่อท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งวิญญาณ
 
 แต่ไม่เคยเลย
สักครั้งเีดียว ที่จะคิดขอบารมีพระศรีอาริย์  
 
 
แต่ครั้งนี้
เพื่อให้หายสงสัย
ว่าต่อไป พระศรีอาริย์จะลงมาตรัส
จริงหรือไม่
 
จึงขอพุทธานุญาต จาก องค์พระปฐมก่อน
 
และ
ขออาราธนาบารมีพระศรีอาริย์
ให้ปรากฎการแสดง
ธรรมฤทธิ์ และ บุญฤทธิ์
ผ่าน อ.อุบล เท่านั้นค่ะ
 
ไม่ใช่
การปรากฏพระวรกาย
ค๊าคุณตาลขา
 
ขอทำความเข้าใจจ่าาาาา

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 20:47:47


ความคิดเห็นที่ 115 (1624561)

 8.เอกสารนี้ ต้องส่งมอบ กับ

จนท.บ้านสวนฯ เท่านั้น

 

ได่แก่คุณแมว

น้องเบส คุณป้อม คุณอัญ

ห้ามให้กับบุคคลอื่น

ที่ไม่ใช่ บุคคล ที่ อ.อุบล แต่งตั้ง เด็ดขาด

มิฉะนั้น ถือว่า การเข้าร่วมกิจกรรม

และการบำบัด ของท่าน

เป็นโมฆะ

************************

ขอเพิ่มรายชื่อ

คนรับเอกสารที่ท่านนำไปค่ะ

ขอเพิ่ม

1.คุณธนา  

2.คุณสิทธิ์(พี่มหา)

3.น้องเบส  

4.คุณอัญ

 5.คุณป้อม  

6.คุณเหมี่ยว  

7.คุณแมว


เจอใคร ใน 7 คนนี้

ก็ส่งมอบเลยนะจ๊ะ  

 

จะไปรอรับทุกท่าน

อยู่ชั้นล่างค่ะ

 

ส่งเอกสาร ชั้นล่างค๊า

อย่าลืม

 

เขาจะมี

รหัสลับ บอก ด้วยนะ

555

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 20:56:42


ความคิดเห็นที่ 116 (1624564)

    กราบขอบพระคุณค่ะท่านอาจารย์

ที่กรุณาแปลไทยเป็นไทย  ให้หนูได้เข้าใจ

ได้ถูกต้องค่ะ

หนูกราบขออภัยด้วยค่ะ  ที่เข้าใจผิด

แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดีค่ะ  คอยลุ้นบรรยากาศแห่งบุญ

ที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้  และก็รอมีผู้ใจบุญ

มาเล่าเหตุการณ์ให้ได้รับทราบค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 21:00:55


ความคิดเห็นที่ 117 (1624565)

กราบเรียนท่านอ.อุบล

นาย พงษ์ศิริ พัชรวรรณกิจ ตัดสินใจไม่เข้าร่วมกิจกรรมธรรมบำบัดค่ะเนื่องจากไม่สบายท้องเสีย

หนูขอกราบขออภัยค่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ครองขวัญ วงศ์ดีประสิทธิ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 21:09:23


ความคิดเห็นที่ 118 (1624568)

 

จาก

กระทู้ธํรรมชาติ .....เอาคืน

เรื่อง ธรรมจักร

 

*********************

อ.อุบล

จะขอพิสูจน์ ข้อความนี้

ในวันพรุ่งนี้ ต่อหน้าสาธารณชน

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 17:41:11
 
ขอแก้ข่าวหน่อยค๊า
ข้อความดังกล่าว มาจากกระทู้
 

"ท่านแน่ใจหรือว่า
ท่านได้พบพระศรีอาริย์แล้ว"
 
 
 
ไม่ใช่
 
ธรรมชาติ....เอาคืน
 
ค๊า
 
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-16 21:26:54


ความคิดเห็นที่ 119 (1624599)

 กราบขอบพระคุณอ.

ที่ได้บอกเหตุแห่งทุกข์ให้เราได้อ่านกันชัดๆอีกครั้ง

หากเราปฎิบัติได้ เราก็จะไม่ทุกข์

ไปไหนก็ไม่นำความเดือดร้อนไปให้ที่แห่งนั้น

จึงจะเป็นบุคคลที่สมควรอยู่ในยุคใหม่จริงๆ

ว่าแล้วหนูก็จะพยายามทำให้ได้เช่นกันค่ะ

*************************************************

 ซึ่งในบางพระสูตรยังกล่าวเป็นตำนานไว้อีกว่า

 

 

พระราชาจักรพรรดิ

ผู้ประกอบด้วยธรรมทรงเป็นธรรมราชา

เป็นผู้ทำให้จักรหมุนไป

โดยธรรมจักรนั้น

 

 

อันสัตว์มนุษย์ไร ๆ ผู้เป็นปรปักษ์

(ต่อพระเจ้าจักรพรรดิ์)

จะหมุนไม่ได้   

 

จาก

กระทู้ธํรรมชาติ .....เอาคืน

เรื่อง ธรรมจักร

 

*********************

อ.อุบล

จะขอพิสูจน์ ข้อความนี้

ในวันพรุ่งนี้ ต่อหน้าสาธารณชน

 

อ่านข้อความนี้แล้ว.......

เป็นไปได้มั้ยคะว่า เราจะมีโอกาสพบพระศรีอาริย์

ก่อนภัยพิบัติจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง

ตื่นเต้น ลุ้นระทึกไปด้วยเลยค่ะ

อยากให้มีถ่ายทอดสดจัง ฮิฮิ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นันทนา แหกาวี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-17 03:32:38


ความคิดเห็นที่ 120 (1624651)

 

ดีใจแทนทุก ๆ ท่านจริง ๆ ค่ะ

ที่ได้มีโอกาสร่วมงานในครั้งนี้

จะได้มีโอกาสได้พ้นทุกข์กันทั่วหน้า 

หนูขอขอบคุณท่าน อ.อุบล และครอบครัว

พร้อมคณะที่ได้อุทิศใจ กาย ปลดเปลื้องทุกข์

และขออนุโมทนา

กับดร.จุ๋ม เจ้าภาพ และผู้มีส่วนร่วม 

ที่ได้จัดให้มีงานธรรมมะบำบัดขึ้น

สาธุ สาธุ สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จิรนันท์ เดิมหมวก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-17 13:04:20


ความคิดเห็นที่ 121 (1624654)

ตื่นเต้นจังค่ะ

จะได้ติดตามชม 

แต่อยากให้มีถ่ายทอดสดจริง ๆ ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น จิรนันท์ เดิมหมวก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-17 13:11:44


ความคิดเห็นที่ 122 (1624700)

pig_cryy2หมอเลยอดไปช่วยงานอาจารย์อุบล แสดงธรรมทานที่มหิดลวันนี้ เพราะเครื่องบินนกแอร์ทำพิษเสีย ต้องรอเอาอาหลั่ยจากกรุงเทพมาซ่อม จะออกได้ก็ประมาณ15.30 เลยต้องยกเลิกการเดินทางเพราะไปไม่ทัน ทั้งๆที่กระเป๋าขึ้นไปอยู่บนเครื่องแล้ว ก็ได้แต่ส่งใจไปช่วยอาจารย์คะ เสียด้ายจัง

 รออ่านจากท่านที่ได้ไปร่วมงานครั้งนี้ ด่วนคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ๋ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-17 19:38:39


ความคิดเห็นที่ 123 (1624704)

ยิ่งนับวันทุกคนเริ่ม

ได้มีโอกาสรู้จักอาจารย์ อุบล มากขึ้น มากขึ้น

กราบ กราบ กราบ

ทุกๆ พระองค์

-----------

ขอให้มีผู้รอดพ้นภัยพิบัติ

และได้พบพระศรีอาริย์เกิน 50%

สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์ โพธิ์อุ่น ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-17 20:08:49


ความคิดเห็นที่ 124 (1624717)

ธรรมทานจากธรรมบำบัด

วันนี้มีผู้ไปร่วมงานธรรมบำบัด ราว 200 คนเต็มห้องประชุม เป็นคนของศูนย์เวชศาสตร์เขตร้อนประมาณ 20 คน นอกนั้นก็เป็นลูกบ้านสวนฯ ผู้ติดตามที่ลูกบ้านสวนฯพามา และผู้ที่ติดตามแวปไซด์บ้านสวนฯ อุ่นหนาฝาครั่งเต็มห้องประชุม

 เริ่มจากด็อกเตอร์จุ๋มเป็นผู้บรรยายประวัติของท่านอาจารย์คร่าวๆ ซึ่งท่านอาจารย์ไม่เคยบอกให้ลูกบ้านสวนฯทราบ หรือเคยเล่าให้ฟังเลย ว่าครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เคยเป็นคนส่งนางสาวไทยเข้าประกวดนางงาม ซึ่งก็คือคุณสาวิณี ประการะนัง ซึ่งก็ได้เป็นนางสาวไทยด้วยค่ะ

จากนั้นส่งไม้ต่อให้พิธีกรที่หล่อที่สุดของบ้านสวนฯ(เพราะมีคนเดียว)ได้ดำเนินการต่อค่ะ ด้วยการแนะนำท่านอาจารย์ให้ทุกคนได้รู้จัก จากนั้นท่านอาจารย์ก็ได้พูดถึงเรื่องการทำบุญที่ได้รับอานิสงค์แบบฉับพลันทันที ต้องบริสุทธ์ 3 ส่วนคือ

1.ผู้ให้ต้องมีจิตบริสุทธ์ ต้องการให้เพื่อระวางความโลภ เพื่อบำรุงความสุขของคนที่เราให้

2.วัตถุทานบริสุทธ์ ทรัพย์ที่ซื้อหาวัตถุทานต้องบริสุทธ์

3.เนื้อนาบุญ(ผู้รับทาน)ต้องบริสุทธ์ ซึ่งเราจะดูว่าเนื้อนาบุญบริสุทธ์หรือไม่ ต้องใช้ศีลไปจับ ว่าเขายังผิดศีลหรือไม่

จากนั้นท่านอาจารย์ก็ได้ถามว่ามีใครเจ็บปวดตรงไหนบ้าง ก็ให้ยืนขึ้นและสารภาพออกมา แล้วให้เช็คดูว่าอาการที่เจ็บหายหรือยังต่างก็บอกว่าดีขึ้นแต่ยังไม่หาย 100%

ซึ่งในนั้น ก็มีลูกน้องของดร.วิชิต(เจ้าของสถานที่)ที่ปวดหัวอยู่ เมื่อได้รับการบำบัดก็หายดี ซึ่งดร.วิชิตบอกว่าก็เริ่มสนใจเล็กๆ แต่ยังไม่เชือที่เดียวเพราะเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์

จากนันเมื่อบำบัดใ้ห้คนอื่นไปเรื่อยๆ ก็จะมีคนหายแล้วนั่งลง ท่านอาจารย์ได้ถามความห็นจาก ดร.วิชิต แต่ดร.วิชิตบอกว่า เขาเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งศักดิ์สิทธื์มีจริง แต่ยังไม่้ได้เชื่อว่าจะหายปวดโดยวิธ้สารภาพบาป อาจารย์จึงลองให้คนของเวชศาสตร์เขตร้อน ซึ่งปวดไหล่มานานมาสารภาพบาปต่อหน้า ดร.วิชิต ลูกน้องบอกเคยฆ่าหนูเพื่อทำแล๊บ 200-300 ตัว และเล่นคอมพ์ เล่นเกมส์ ลูกน้องลองเช็คดูว่าอาการหรือไม่ เธอบอกดีขึึ้นเล็กน้อย

ท่านอาจารย์ก็เลยลองให้้เธอสารภาพบาปกับท่านอาจารย์ ด้วยถ้อยคำที่เหมือนกัน ปรากฏว่าเมื่อดูอาการแล้วก็หายนิดหน่อยเช่นกัน ท่านอาจารย์ อธิบายว่า เพราะใจเขาต่อต้านไม่เปิดรับการรักษา   จีงทำให้ไม่หาย

ท่านอาจารย์บอกว่าได้อัญเชิญพระศรีอารย์มาด้วย โดยนำธรรมจักรไปด้วย ธรรมจักรจะหมุนตลอด

เมื่อจักรหมุนไป ประตูจิตเปิด การรักษาก็จะสำเร็จ

ถ้าประตูจิตปิด จักรก็จะหยุดหมุน การรักษาก็จะไม่สำเร็จ

พี่ของคุณแก้วได้มาสารภาพบาฟเรื่องเคยตีหมาหลังหัก หลังจาักนั้น ตัวเองก็ตกบันไดขาหัก ปวดขมา 6 ปี รักษาที่ รพ.พระมงกุฎแต่ก็ไม่ดีขึ้น เมื่อสารภาพบาปเรื่องตีหมา โดยการขอขมาหมา ก็ดีขึ้น 50 %

ขอเวลานอกค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น เพชรดา วรรณรักษ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-17 21:45:37


ความคิดเห็นที่ 125 (1624723)

กราบขอบพระคุณอ.อุบลมาก ๆ คะ

อนุโมทนากับทุก ๆ ท่านด้วยคะ

 

คุณเพชรดามาเขียนเร็วมากเลยคะ

กำลังลุ้นเรื่อง ธรรมจักรหมุน อยู่เลยคะ

รีบ ๆ มาเขียนกันนะคะ

อนุโมทนาสาธุคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น พัทธ์ธีรา วังกาวันมณเฑียร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-17 22:25:33


ความคิดเห็นที่ 126 (1624731)

ต่อคะ

พระศรีอารย์ซึ่งมีพระจักรแก้วและพระขรรค์ ซึ่งท่านอาจารย์อารธนามาด้วยนั้น ท่านอาจารย์ให้พิสูจน์พระบารมีของพระศรีอารย์ที่เสด็จมากับท่านอาจารย์ โดยการให้คนที่มีอาการเจ็บปวดตามร่างกายใ้้ห้เดินเข้ามาใกล้ท่านอาจารย์ แล้วใ้ห้เจ้าตัวสังเกตุว่ามีอาการดีขึ้นตอนอยู่ใกล้ตัวท่านอาจารย์ระยะไหนบ้าง แล้วให้บอกมาว่าดีขึ้นกี่เปอร์เซนต์

ซึ่งทุกคน(มีประมาณ 10 คน)ก็บอกเหมือนกันหมดว่าดีขึ้น แต่ระยะทางที่เริ่มรู้ตัวว่าดีขึ้นนั้นห่างจากท่านอาจารย์มากน้อยไม่เท่ากัน บางคนบอกพอลุกจะออกมาจากที่นั่งก็เริ่มรู้สึกแล้ว บางคนก็ใกล้ถึงเวทีก็เริ่มดีขึ้น สุดท้ายเมื่อเดินขี้นเวทีมาบอกท่านอาจารย์ทีละคน ต่างก็ขอแถมด้วยการกราบท่านอาจารย์ สาธุ ต่างก็บอกว่าหายแล้วค่ะ

นี้คงเป็นวิธีการบำบัดแบบใหม่ของท่านอาจารย์อีกวิธีหนึ่ง คือแค่อยู่ใกล้ๆท่านอาจารย์ก็ดีขึ้นแล้ว

ซึ่งตรงตามข้อพิสูจน์ที่ท่านอาจารย์ตั้งโจทย์ไว้คือ ถ้าพระศรีอารย์เสด็จมากับท่านอาจารย์จริง ถ้าเราเข้าใกล้ท่านอาจารย์ เราก็จะหายจากอาการเจ็บป่วย   โดยที่ประตูจิตเราต้องเปิดด้วยเช่นกัน

ท่านอาจารย์ได้ถามความเห็นกับ ดร.วิชิต ว่ามีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร ท่านยังคงไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เพราะการเจ็บป่วยนั้น คนที่เจ็บป่วยรู้อยู่คนเดียวว่าเจ็บปวดขนาดไหน หายประมาณไหน ไม่มีคนอื่นเห็นเป็นรูปธรรม ถ้าเป็นคนขาง่อย แล้วเดินได้ เห็นเป็นรูปธรรม ท่านจึงจะเชื่อ

ท่านอาจารย์จึงให้ ดร.จิ๋มของเรา ซึ่งขาเป็นโปลิโอตั้งแต่อายุ 6 เดือน เดินลำบากต้องมีไม้คอยพยุงตัว ปวดหลังตั้งแต่ครั้งแรกที่มาสร้างบุญที่บ้านสวนฯ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เดินได้คล่องและตรงกว่าแต่ก่อนมาก ออกมาเล่าให้้ฟังเป็นธรรมทาน

สำหรับคนที่มีปัญหาทางการเงิน มีปัญหาหนี้สิน ไม่มีสภาพคล่อง

เป็นเพราะเรื่องการให้ทาน เราต้องให้ทานถูกวิธี การทำทานต้องบริสุทธ์ทั้ง 3 ส่วนดังที่กล่าวข้างต้น และการใ้ห้ทานนั้นมี 3 แบบคือ

1.ทาสทาน  ให้ทานในสิ่งของที่ตัวเองไม่ชอบ หรือไม่ใช้หรือไม่ดี จะทำให้เราไม่ค่อยมีทรัพย์

2.สหายทาน  ให้ทานในสิ่งของที่เหมือนกับเราใช้(ปานกลาง) จะทำให้เรามีทรัพย์ปานกลาง

3.สามีทาน  ให้ทานในสิ่งของที่ดีที่สุดเสมอ จะทำใ้ห้เรามีทรัพย์มาก ร่ำรวย

ดังนั้นเราต้องเลือกเอาว่าเราจะทำทานแบบไหน แล้วจะได้ผลแบบไหน

การที่มีหนี้สินนั้น สาเหตุเพราะเราได้ทำลายโอกาสในการสร้างทาน การลักทรัพย์ ทำให้คนอื่นเสียทรัพย์โดยไม่จำเป็น ใช้อุบายในการเบียดเบียนทรัพย์ของผู้อื่น  เอาของวัดกลับบ้าน เป็นหนี้สงฆ์  ทำอาชีพโดยการยัดเยียดขายให้คนอื่น  ชอบของฟรี  ตระหนี่ถี่เหนียว  ชอบยืมเงินคนอื่นแล้วไม่ใช้คืน  กรรมเหล่านี้จะไม่ถูกไถ่ถอน

เราต้องตั้งใจนับตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า จะไม่ก่อหนี้ใหม่ จะไม่ชอบของฟรี ถ้าใครให้ของก็รับด้วยความนอบน้อม และหาทางตอบแทนเขา เช่นซื้อของมาฝากเขาด้วยการเอาของดีๆ หรือถ้าไม่มีเงินก็ให้ใช้แรงกายตอบแทนก็ได้

เอาของวัดกลับบ้าน แก้กรรมด้วยการต้องสร้างพระชำระหนี้สงฆ์หน้าตัก 4 ศอกขึ้นไป ถ้าเราไม่มีโอกาสสร้าง หรือไม่สามารถสร้าง ก็ให้หยอดตู้ชำระหนี้สงฆ์ไปเรื่อยๆ

ถ้าเป็นหนี้แผ่นดิน ต้องสร้างพระชำระหนี้แผ่นดิน ถ้าไม่มีโอกาสสร้างให้หยุดสร้างหนี้ใหม่ แล้วให้ใส่บาตรวิระทะโยทุกวันตามกำลังทรัพย์ของตัวเอง ทุกครั้งที่ใส่เงินให้อธิษฐานว่า ปัจจัยนี้ขอสร้างวิหารทาน ธรรมทาน และบุญใหญ่น้อยทั้งปวง

เริ่มทำตั้งแต่วันนี้แล้วชีวิตจะพลิกผันให้กลับมามีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น

สำหรับคนที่จิตใจมีความทุกข์

ถามตัวเองว่าเป็นคนขี้อิจฉาหรือไม่ ไม่อยากให้ใครได้ดีหรือเปล่า

ความอิจฉา (อยากเป็นอย่างเขา แล้วเป็นไม่ได้ หงุดหงิด) จะค่อนแคะ กระแหนะกระแหน

ริษยา (ไม่อยากเห็นเขาเห็นเป็นอย่างนั้น เช่น รวย สวย อยากทำลายเขา)

ความอิจฉา ริษยาจะทำให้เรามีความทุกข์ ทำให้ไม่สำเร็จในทางธรรม

พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเรามีใจพลอยยินดีกับเขา อนุโมทนากับเขา เราจะได้ 90 %

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราอิจฉาริษยาเขา เราก็จะได้รับผลกรรม 90 % เช่นเดียวกัน

ให้เราแก้ที่ใจ โดยทำตัวใ้ห้เป็นภูเขา อย่าเป็นยอดหญ้า เพราะ

ภูเขา คือ ใจมั่นคง แข็งแรง ไม่หวั่นไหว โดนน้ำก็ไม่เป็นไร โดนไฟก็ยังเป็นภูเขาอยู่เหมือนเดิม โดนฝนก็แค่เปียก

ถ้าเป็นยอดหญ้า คือใจจะลู่ไปตามลม เอนไปเอนมาไม่มั่นคง โดนน้ำก็ท่วมตาย โดนไฟก็ตายเกลี้ยง

ดังนั้นอย่าไปเปลียนคนอื่น ให้เปลี่ยนที่ตัวเรา ใจของเราเอง

สุดท้ายนี้ขออนุโมทนาบุญกับดร.จุ๋มและดร.จิ๋ม ที่จัดงานนี้ขึ้นมาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้รับพระบารมีจากพระศรีอารย์กันถ้วนหน้าค่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น เพชรดา วรรณรักษ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-17 23:57:03


ความคิดเห็นที่ 127 (1624734)

ขออนุโมทนาที่คุณเพชรดา มาเล่าบรรยากาศในงานทันใจคะ

งานนี้หนักใจแน่เพราะคนที่ไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ยังมีอีกมาก และอาการบางอย่างจะไม่เห็นผลทันที แต่จะค่อยๆดีขึ้นในภายหลัง อย่างที่ท่านอาจารย์อุบลบอกว่าเป็นเพราะจิตไม่ค่อยยอมรับส่วนหนึ่ง แต่หมอก็แน่ใจว่าสักพักก็จะมีคนยอมรับมากขึ้น

ดั่งคำที่ว่าเมื่อยังไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาcatt3

การจะอ้างว่าเพระเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้วจะต้องไม่ยอมรับอะไรง่ายๆนั้นเป็นมิจฉาทิฐิต่างหาก แต่ก็ดีแล้วหละที่เขาไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะต้องเหนื่อยมากๆเมื่อมีคนแห่catt4กันมาสารภาพบาปกับอจ. อุบลมากขึ้น อิ อิ

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ๋ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-18 06:02:59


ความคิดเห็นที่ 128 (1624739)

สงสัยจะอยู่รอดไม่ถึง 50%

ก็เพราะความเป็นตัวตนของเราเอง

ไม่ทำให้แก้วว่างเพื่อลองรับน้ำ (ธรรม)

อย่างนี้พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถช่วยได้

เพราะท่านเป็นผู้เลือกเอง อัตตา มีไว้ให้ละ

แต่คนเรากลับไปเจริญให้มียิ่งๆ ขึ้น

มันชั่งสวนกระแสธรรม จริงๆ

ความไม่รู้ ความเห็นผิด จึงเป็นเหตุให้

การบรรลุธรรม น้อยเหลือเกิน

เราเป็นสาวก

จะไม่ย้อท้อ

กราบ กราบ กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์ โพธิ์อุ่น ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-18 09:31:50


ความคิดเห็นที่ 129 (1624742)

         อนุโมทนากับพี่เจี๊ยบด้วยค่ะ

ที่เข้าใจคนรอคอย  รีบมาเล่าบรรยากาศในงานให้ทราบ

แม้ว่าจะดึกมากแล้ว  สาธุ  สาธุ  สาธุ

        ดีใจมากเลยค่ะ  ที่ไม่ได้เกิดมา

เป็นนักวิทยาศาสตร์

ไม่ยังงั้น อัตาตัวตน  คงสูงมากละไม่ได้

เพราะถูกหล่อหลอมมา 

ให้เชื่อมั่นในตัวเองมากที่สุด

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-18 10:14:39


ความคิดเห็นที่ 130 (1624746)

กราบขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านสวนพีระมิดทุก ๆ พระองค์

อ.อุบล อ.มงคล

ขอบคุณ ดร.จุ๋ม ดร.จิ๋มด้วยค่ะ

เป็นครั้งแรกที่ได้พบ ท่านอ.อุบล และสัมผัสบารมีสิ่งศักดิ์ทุก ๆ พระองค์

หลังจากที่พบหน้าท่านอาจารย์ก็สัมผัสถึงความเมตตาได้เลยค่ะ เมื่อวานพาพี่สาวไปบำบัดด้วย ก็เริ่มปวดไปทั้งตัวเลย พออาจารย์บอกกรรมเคยคิดเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ เคยฆ่าปลามั๊ย พอสารภาพ ก็รู้สึกดีขึ้นทันที แต่พอนั่งก็กลับมาปวดอีก นั่นคือยังสารภาพไม่หมด พอสารภาพเกี่ยวกับการทำแท้งอีกก็ดีขึ้นอีก เคยคิดไม่ดีกับพ่อแม่มั๊ย คิดไม่ดีกับเจ้านายมั๊ย โดนทุกข้อเลยค่ะ แต่น้องดันรีบนั่งซะก่อนที่จะสารภาพ เคยคิดไม่ดีเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว และคิดไมดีกับพระสงฆ์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม ก็เลยยังติดอีกสองข้อ รู้สึกดีมากเลยค่ะ หลังจากบำบัดมา พี่สาวตอนแรกยังก้ำ ๆ กึ่ง เชื่อครึ่ง แต่ยังลังเลอีกครึ่ง แต่พอบำบัดโดยที่ไม่แรงต้าน หรืออคติ แม้แต่น้อย ก็เห็นผลเลยค่ะว่าหายจริง ๆ ตอนแรกพี่สาวกำลังจะเป็นไข้เริ่มปวดหัวมีอาการหนาวนิด ๆ แต่พอสารภาพบาปกับอาจารย์ ก็อาการก็หายไปเลยค่ะ แต่พี่สาวก็บอกว่าตอนแรกก็สงสัยอาจารย์นิด ๆ ว่าอาจารย์จะช่วยยังไงเพราะตอนน้องแนะนำให้มาบำบัด ให้มาสัมผัสกับบารมีอาจารย์ดู เพราะน้องก็ไม่เคยสัมผัสกับตัวเป็น ๆ ของอาจารย์เหมือนกัน แต่จากที่เราดูคลิปมาเป็นปีกว่าได้แล้ว ก็รู้สึกศรัทธาทั้งคำสอนของอาจารย์ที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย ทั้งพี่สาวและน้องทึ่งเลยค่ะ เลยคิดกันว่าจะต้องไปร่วมสร้างบุญใหญ่ที่บ้านสวนพีระมิดให้ได้เร็ว ๆ แต่ประทับใจตรงที่ ผู้หญิงที่ใส่เสื้อน้ำเงินรู้สึกจะวางระบบคอมพิวเตอร์ให้สภากาชาด

ตอนแรกเค้าก็ยังก้ำกึ่งระหว่างความเชื่อ แต่ก็อยากหายแล้วไม่มีใจอคติตอนแรก ๆ สารภาพ ก็ยังไม่หายเลยร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็อยากที่จะหายร้อยเปอร์เซนต์ พออาจารย์ขอบารมารพระศรีอาริย์เมตไตร แล้วให้มาพิสูจน์บารมีท่านใกล้ ๆ กลับหายตั้งแต่เริ่มเดินก้าวกำลังจะขึ้นเวทีเลยค่ะ จนสุดท้ายต้องขอกราบอาจารย์ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ศรัทธาก็จะไม่ได้สัมผัสธรรมบำบัดของบารมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์และสิ่งศักดิ์ และท่านอาจารย์อุบล ก็ปวดต่อไป ของน้องกับพี่สาวก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาเลยค่ะ แต่พอหลัง ๆ ที่ปวดหัวยังไม่หายแล้วไม่ลุกขึ้นก็เพราะรู้ตัวเองแล้วค่ะ ว่าอาการเริ่มหิวกับเมื่อยนี่เอง

นี่ขนาดยังไม่ได้ไปบ้านสวนเลย ยังประทับใจกับศิษย์บ้านสวนทุก ๆ ท่านเลยค่ะ ไม่ว่าจะตำแหน่งหน้าที่การงานสูงสุดขนาดไหนก็ไม่มีใคร แบ่งแยกชนชั้นกัน สัมผัสได้ถึงความเมตตาตั้งแต่ท่านอาจารย์อุบล จนถึงศิษย์บ้านสวนทุก ๆ ท่านเลยค่ะ

ก่อนกลับก็ไปขอให้อาจารย์อุบลเคาะหัวหนึ่งที อาจารย์คะเดี๋ยวน้องกับพี่สาวจะตามไปกราบอาจารย์ที่บ้านสวนนะคะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธันย์วรินทร์ ศรีรักษา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-18 10:31:27


ความคิดเห็นที่ 131 (1624753)

เรียนคุณธันย์วรินทร์

จากความเห็นที่ 131 กรุณาแก้ไขลบอีเมล์ออกด้วยค่ะ เพื่อความปลอดภัย

ด้วยการ ติ๊ก ช่องไม่ต้องให้แสดงอีเมล์

ผู้แสดงความคิดเห็น เพชรดา วรรณรักษ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-18 11:30:13


ความคิดเห็นที่ 132 (1624809)

 

 
ว่าครั้งหนึ่ง
ท่านอาจารย์เคยเป็นคน
ส่งนางสาวไทยเข้าประกวดนางงาม
ซึ่งก็คือคุณสาวิณี ประการะนัง ซึ่งก็ได้เป็นนางสาวไทยด้วยค่ะ
 
 
ความเห็นคุณเจี๊ยบ เพชรลดา วรรณรักษณ์
 
*****************
 
 
อันนี้ต้องขอแก้ข่าวหน่อยค่ะ
คุณเจี๊ยบ  เพราะ คงเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างแรงค่ะ อ.อุบล ไม่ได้เป็นคนส่งเธอเข้าประกวดนางสาวไทยค่ะ แต่ เป็นผู้ประสานงาน
 
ส่งเธอไปประกวด
มิสซิสเวิลด์
ที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ค่ะ
 
เธอได้นางสาวไทยตั้งแต่ ปี 27
แต่เธอไปประกวดครั้งนี้

ในฐานะ นางงามที่แต่งงานแล้วค่ะ
ส่วนการประกวดครั้งนี้ เธอได้ตำแหน่ง รองอันดับ 1 ค่ะ
(นางงาม เปรู ได้ตำแหน่ง มิสซิสเวิลด์ค่ะ)
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-18 20:23:26


ความคิดเห็นที่ 133 (1624820)

 อนุโมทนาธรรมทานกับพี่เจี๊ยบและคุณธันย์วรินทร์ด้วยครับ

 

เรื่องแค่เดินผ่านใกล้ท่านอาจารย์อาการโรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็หายแล้ว

เมื่อวันแม่ผมเองได้มีโอกาศร่วมบุญที่บ้านสวนพีระมิด

ผมเองถ้าได้ทำงานกลางแดดเหงื่อจะใหลเข้าตาต้องซับเหงื่อออกจากตาบ่อยๆ

ซับมากจนตาอักเสบจะเป็นขี้ตาก้อนใหญ่แทน

ทำงานไปจากซับเหงื่อไปเป็นซับขี้ตาออกแทนซะงั้น

ช่วงบ่ายได้ร่วมบุญก่ออิฐที่พระบาททำเป็นฐานบัวควั่มหงาย

ท่านอาจารย์ได้ขึ้นมาดูงานก่ออิฐถือปูนกันผ่านผมไป

ตั้งแต่ท่านยืนอยู่และเดินกลับไปผมเองไม่มีอาการซับขี้ตาอีกเลย

ผมเองก็แปลกใจมากและอาการตาบวมก็ยุบลงเรื่อยๆ

อันนี้ใช่ธรรมฤทธ์และบุญฤทธ์ของพระศรีอาริย์ใช่หรือไม่

ถึงอย่างไรผมก็ไม่สงสัยในพระองค์ท่านที่ช่วยให้พ้นทุกข์ในครั้งนี้

ลูกขอกราบแทบพระบาท

กราบ กราบ กราบ

ผู้แสดงความคิดเห็น สิงห์เงิน อุดมศิริ (ตาโต๊ะ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-18 23:15:54


ความคิดเห็นที่ 134 (1624829)

อันนี้ใช่ธรรมฤทธ์และบุญฤทธ์ของพระศรีอาริย์ใช่หรือไม่

----------------

อนุโมทนาบุญกับคุณ สิงห์เงิน

ผมว่าใช่

และจะยังคงอยู่กับท่านอาจารย์

ตลอดไป

สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกียรติศักดิ์ โพธิ์อุ่น ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-18 23:52:35


ความคิดเห็นที่ 135 (1624832)

ไปร่วมกิจกรรมธรรมบำบัด นอกจากได้ชม ได้สัมผัสพระบารมีของพระศรีอาริย์ ได้ฟังธรรมแล้ว

ยังได้ฟังความคิดเห็นของนักวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล และท่านอื่น ต่อปรากฏการณ์ครั้งนี้ด้วยค่ะ

ความเข้าใจของดร.วิชิต เจ้าภาพ คือ การที่แต่ละคนบอกว่า หายเจ็บป่วยหรือดีขึ้นฉับพลันทันที ก็เพราะอาจคิดกันไปเอง

แล้วก็ตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าอาการดีขึ้นหรือหายไปเป็นความจริง คงเป็นเพราะตั้งจิตให้อยู่กับปัจจุบัน คิดถึงอาการเจ็บของตน

แต่เมื่อทดลองสมมติฐานกับพี่ผู้หญิงที่เป็นลูกศิษย์ เคยฆ่าหนูทดลอง 200-300 ตัว แล้ว ก็ไม่สำเร็จ พี่เขาไม่หายปวดไหล่

แล้วการที่คนหายปวดเพียงสารภาพบาปเป็นธรรมทาน ซึ่งรู้ได้เฉพาะตนนั้น ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง

จึงอยากพิสูจน์ด้วยตาเปล่ากับคนที่มีอาการเจ็บป่วยภายนอกแล้วดีขึ้นหรือหายจริง

ท่านอาจารย์ก็เลยพูดเรื่อง ดร. ที่เท้ากลับมาตรง แต่พยานคนที่เห็นความเปลี่ยนแปลงไม่มา แล้วก็พูดถึงพี่ธนา ที่จากเคยขาโก่งมาหลายปีก็กลับมาเป็นปกติเพียงสารภาพบาปพิสูจน์กฏแห่งกรรม ซึ่งน่าจะมีในวีดีโออัดสำหรับรายการคุยไปแจกไปไว้

แต่ที่จริง ท่านอาจารย์ก็ได้เคลียร์ข้อสงสัยทั้งหมดแล้วตามหลักวิทยาศาสตร์

เมื่อมีเจตนาบริสุทธิ์ สำนึกผิด ไม่อยากทำอีก กล้าพูดความจริงว่าทำกรรมอะไรมา ซึ่งเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ และการให้ธรรมทานนั้นเป็นทานสูงสุด กับเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ ซึ่งก็คือท่านอ.อุบล พระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวาลที่เสด็จมา ก็เกิดผล หายได้หรือดีขึ้นได้ฉับพลันทันที 

และเป็นการพิสูจน์กฏแห่งกรรม สร้างเหตุใด  ย่อมได้รับผลเช่นนั้น และเมื่อดับเหตุ ผลก็ดับ

แต่ดร.วิชิต กลับไม่เปิดใจ ไม่เชื่อปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น แม้ได้อ่านจากพระไตรปิฎกที่ท่านอาจารย์นำมาให้พิสูจน์แล้ว

พี่ผู้หญิงที่เคยฆ่าหนู ก็คิดว่าไม่ใช่จะหายได้ทันทีโดยไม่มีกระบวนการ

ซึ่งท่านอาจารย์ก็อธิบาย method ในการหายแบบทันทีแล้ว

แล้วก็คิดว่าการฆ่าหนู นั้นทำเพราะความจำเป็นด้านการวิจัย

จึงทำให้ไม่ได้เข้าถึงคำสอน

พี่อีกคนที่ขวัญแนะนำมาพิสูจน์ ก็พูดว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยบอกเรื่องทางลัดการหายป่วยทันที ฯลฯ

พวกเขาคงต้องทดลองฝึกมโนมยิทธิ เพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

หรือถ้าหากยอมวางทิฐิ แง้มจิตซักนิด อาจได้สัมผัสพระบารมี ได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์

*******************

ได้ฟังการไต่สวนกรรมที่ทำในที่ทำงาน เช่น อู้งาน เอาเวลางานไปทำอย่างอื่น ต่อให้เปิดเว็บบ้านสวนพีระมิดก็ตาม โดด อ้างลางาน เบิกเงินเต็มอัตราแต่ที่จริงแล้วใช้ไม่ถึง ผลักงานให้เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานอ้างว่างานเราเยอะแล้ว นินทาเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน คนอื่นๆ คุยโทรศัพท์ ส่งเมสเสจ แต่ได้รับเงินเดือนเต็ม ซึ่งพี่หนึ่งและหลายๆคนยอมรับ ก็หายเจ็บป่วยกัน 

ทำให้ย้อนคิดถึงตอนเรียนหนังสือของตัวเอง พ่อแม่จ่ายค่าเล่าเรียนเต็ม ให้เงินเดือนเต็ม แต่เราก็ไม่ประพฤติตามที่ท่านคาดหวัง ทำให้ผลการเรียนไม่ดี เจอเพื่อนที่ผิดศีลพาให้เราผิดศีล ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข ไม่เข้าถึงธรรม 

นอกจากนี้ กรรมผิดศีลข้อ 1 ทางความคิด เช่น คิดฆ่าตัวตาย ฆ่าคนอื่น ทำร้ายคนอื่น เห็นเป็นภาพในความคิดเรากำลังทำร้ายเขา ก็มีผลมาก จากที่เห็นหลายคนสารภาพแล้วหายปวด

กรรมผิดศีลข้อ 2 นอกจากกรรมทางความคิด คำพูด การกระทำเรื่องความโลภ ชอบของฟรี อิจฉา อยากได้ เอาของคนอื่นด้วยไม่ได้อนุญาตแล้ว ยังมีการทำให้ทรัพยากร ทรัพย์สินสาธารณะเสียหาย สกปรก สิ้นเปลือง และก็การเอาแล็ปท๊อป เอามือถือไปชาร์จในร้านข้างนอกด้วยซึ่งขวัญคิดไม่ถึง และทำบ่อย

ขออนุโมทนาและกราบขอบพระคุณท่านอ.อุบล ท่านอ.มงคล พระพุทธองค์ พระศรีอาริย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ที่เมตตามาช่วยคนให้พ้นทุกข์ค่ะ ขอบคุณดร.จุ๋มและเจ้าภาพทุกคนด้วยค่ะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ครองขวัญ วงศ์ดีประสิทธิ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 00:47:38


ความคิดเห็นที่ 136 (1624840)

ซึ่งในบางพระสูตรยังกล่าวเป็นตำนานไว้อีกว่า

 

 

พระราชาจักรพรรดิ

ผู้ประกอบด้วยธรรมทรงเป็นธรรมราชา

เป็นผู้ทำให้จักรหมุนไป

โดยธรรมจักรนั้น

 

 

อันสัตว์มนุษย์ไร ๆ ผู้เป็นปรปักษ์

(ต่อพระเจ้าจักรพรรดิ์)

จะหมุนไม่ได้   

.......................................

เมื่อได้อ่านธรรมทาน

จากพี่เจี๊ยบ เพชรดา

คุณ ธันย์วรินทร์ และจากน้องขวัญแล้ว

 

ก็พิสูจน์ได้ว่า พระธรรมจักร

ไม่สามารถหมุนได้

ถ้าจิตใจผู้นั้นไม่เปิดรับ

ดังตัวอย่าง ที่ ดร.วิชิต และ ลูกศิษย์คนนั้น

 

ไม่เชื่อและไม่คิดว่า

อาการป่วยจะหายได้จริง

โดยฉับพลันทันที

 

ทั้งๆที่มีคน"หาย"ให้เห็น

เป็นหลักฐาน ตั้งหลายคน

แต่กลับ เรียกหา หลักฐาน

ที่เป็นรูปธรรมกว่านี้ ถึงจะยอมเชื่อ 

 

 

ฉะนั้น เชื่อเท่าไหร่ ก็สัมผัสได้เท่านั้น

ไม่เชื่อเลย ก็สัมผัสไม่ได้เลย

เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ก็สัมผัสได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

แต่ ถ้าเชื่อหมดใจ ก็หายตั้งแต่เชื่อแล้ว 

 

ความคิดและความเชื่อของคน

เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้คน

พบหนทางพ้นทุกข์ก็ได้

หรือไม่ ก็ปิดหนทาง ที่จะพบสุข

ไปเลยก็ได้....เช่นกัน

 

ฉะนั้น ไม่ว่าจะ"เชื่อ"

หรือ "ไม่เชื่อ" ในสิ่งใด

ก็ควรเปิดใจ เพื่อที่จะพิสูจน์

ให้รู้แน่ชัดด้วยตัวเองดูนะคะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 04:38:36


ความคิดเห็นที่ 137 (1624875)

 อนุโมทนากับพี่เจี๊ยบ คุณธัญย์วรินทร์ และขวัญด้วยจ้า

เพิ่งรู้จริงค่ะว่าทุกๆครั้งที่พวกเราสารภาพบาปนั้น

หากจิตเราเปิด ธรรมจักรก็จะหมุน

หากจิตเราไม่เปิด ธรรมจักรก็จะไม่หมุน

ทำให้ไม่สามารถรับธรรมะ รับสิ่งดีๆจากพระพุทธองค์ได้

แบบนี้นี่เองบ้านสวนจึงมีธรรมจักร ไว้ตรงกลางอันใหญ่ๆ

เพื่อช่วยพวกเราทุกคนนี่เอง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นันทนา แหกาวี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 16:12:06


ความคิดเห็นที่ 138 (1624878)

อนุโมทนาบุญกับพี่เจี๊ยบที่เก็บทุกรายละเอียดของการแสดงกฎแห่งกรรมของท่านอาจารย์มาให้ได้ทบทวนอีกที

วันนั้นได้มีโอกาสไปร่วมงานพร้อมด้วยพี่ๆน้องๆหลายคน

พี่คนนึงเคยเป็นแฟนรายการคุยไปแจกไป

ยังไม่มีโอกาสไปทำบุญที่บ้านสวนฯ

วันนั้นอาการนิ้วล๊อคหายไป

พอเลิกงานเดินทางกลับบ้านก็แสนสะดวกสบาย

ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าต้องไปคิวรถตู้ที่ส่วนไหนของอนุสาวรีย์

เดินไปก็เจอรถตู้ ขึ้นไปเลือกที่นั่งสบายๆได้เลยย

รุ่งเช้าโทรมาโมทนาบุญพร้อมกำชับว่า

ถ้าท่านอาจารย์มาแสดงธรรมอีกเมื่อไร

ต้องบอกพี่อีกนะ

สำหรับพี่ต้องให้ช่างมาดูกล่องรับสัญญาณที่บ้าน

เพื่อจะได้ดูรายการคุยไปแจกไปได้อืก

นิ้วล็อคที่หายไปเริ่มเจ็บนิดๆ

แต่พี่มั่นใจสบายใจ อิ่มใจ ยอมรับว่าตัวเองกรรมเยอะ

เลยบอกพี่ให้ศึกษาวิธีใช้และเผยแพร่รหัส อาจารย์อุบลช่วยด้วย อย่างถูกต้องและได้ผล ในเอกสารที่ได้รับมาด้วย

--------

พี่อีกคนนึงหมอบอกว่า

การทำงานของตับไม่ปกติ

ตอนสายวันนั้นกินข้าวเสร็จรู้สึกท้องอืด แน่นในช่องท้อง

คุยไปคุยมาก็เลยให้เค้าสารภาพกับจี้เท่าที่จะนึกออกก่อน

แต่ดูเหมือนเค้ายังเกร็งๆ ไม่กล้าพูดนัก

เลยบอกพี่ให้ใช้รหัสอาจารย์อุบลช่วยด้วยไปก่อน

ระหว่างนั่งฟังกฎแห่งกรรมจากท่านอาจารย์

พี่กระซิบว่ารู้สืกถึงสัญญาณตอบรับที่ดีในช่องท้อง

ไม่อืดแน่นเหมือนหลายๆวันที่เคยเป็นมา

อาการปวดเข่าก็หายไปด้วย

ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่ากรรมที่ตัวเองทำมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม

เราต้องได้รับผลจากกรรมนั้นเองทั้งหมด ไม่ช้าก็เร็ว

ก่อนแยกจากกันก็เลยย้ำให้พี่ดูซีดี อ่านเอกสารที่ได้รับ แล้วให้ช่วยเผยแพร่รหัสอาจารย์ด้วย

---------

อีกคนนึงเจ้าตัวบอกว่าระหว่างฟังกรรมคนอื่นก็สแกนกรรมตัวเองไปด้วย

รู้สึกโล่งใจ สบายใจขึ้นเยอะเลย

----------

น้องอีกคนทำหน้า เหวอๆ ตาค้าง

แบบหายจริงๆ เหรอ?????

วันนี้โทรมาบอกว่า อยากได้แหวนสฟิงค์

เลยบอกให้ไปศึกษาในเวปไซต์ หรือเฟสก่อน แล้วค่อยว่ากัน

เค้าบอกว่ากรรมทางความคิดทำให้เค้าอารมณ์ไม่ดี หรือเจอเหตุการณ์ไม่ดีในวันนั้นๆ

ต่อไปจะระวังความคิดให้มากขึ้น

----------

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ ท่านอาจารย์อุบล ที่เมตตามาแสดงธรรมให้ลูกหลานได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา

กราบอนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์อุบล อนุโมทนาบุญกับทีมงานบ้านสวนฯ ทีมงานเวชศาสตร์เขตร้อน โดยเฉพาะพี่จุ๋มที่ทำให้เกิดงานนี้ขึ้นมา

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่นอกจากจะทำให้ผู้คนได้พ้นทุกข์ มีความสุขกันถ้วนหน้า แล้วยังให้ปัญญาในอีกหลายๆเรื่อง

  -   เทคนิคการทำบุญที่ให้ผลบุญทันที    

  -   การเลือกคบคน การดูคนอย่างฉลาด โดยการเทียบเคียงด้วยศีล 5

  -   การใช้ปัญญาในการตอบแทนผู้มีบุญคุณ

  -   การทำใจให้มั่นคงเหมือนภูเขาไม่ใช่ยอดหญ้า

  -   อยากรวยต้องไม่ผิดศีลข้อ 2 และข้อ 4      

อีกอย่างรหัสอาจารย์อุบลช่วยด้วย แจกฟรีทุกท่านให้ได้ใช้กันตลอดไป

ผู้แสดงความคิดเห็น ภิญญลักษณ์ เลิศอัครศักดิ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 16:50:57


ความคิดเห็นที่ 139 (1624886)

 

กราบขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านสวนพีระมิดทุก ๆ พระองค์

อ.อุบล อ.มงคล

ขอบคุณ ดร.จุ๋ม ดร.จิ๋มด้วยค่ะ

เป็นครั้งแรกที่ได้พบ ท่านอ.อุบล และสัมผัสบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ พระองค์ สัมผัสและรับรู้ได้ถึงความเมตตาที่ อ.อุบลมีให้กับทุกคน ความปรารถนาที่ดีที่อาจารย์ต้องการให้ทุกคนเป็นคนดี ทำความดี รู้สึกโชคดีจังที่ได้มีโอกาสเข้ารับฟังธรรมและการบำบัด ได้ติดตามรายการคุยไปแจกไปทางเว็บไซต์ในทุกสัปดาห์ และได้มีโอกาสใช้รหัส อ.อุบล ซึ่งสามารถหาที่จอดรถได้ง่าย อาการเจ็บคอหายไป

อาจารย์สอนเรื่องการทำบุญให้ทานจะได้ผลต้องประกอบด้วย วัตถุทานบริสุทธิ์,เจตนาบริสุทธ์,เนื้อนาบุญต้องบริสุทธ์

อาจารย์ได้เริ่มบำบัดโดยเริ่มจากคนที่ปวดหัว ปวดหลัง ปวดขา ตามอาการโดยผู้รับการบำบัดที่สารภาพบาปและมีศรัทธาและใจต้องเปิดรับ จะสามารถหายได้ แต่หากปิดใจอาการที่เป็นอยู่ก็ไม่สามารถหายได้

การทำบุญเราสามารถใส่บาตรวิรัทโยได้ทุกวันโดยใส่ตามกำลังที่เรามีโดยเป็นเงิน 1 บาทก็ได้ ให้ทำทุกวันโดยอธิษฐานจิตว่าข้าพเจ้าขอนำปัจจัยจำนวน 1 บาทนี้ใส่บาตรวิรัทโยเพื่อสร้างสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานและทานใหญ่น้อยทุกทาน แล้วนำเงินที่เราใส่นี้ไปร่วมทำบุญกับที่วัดหรือที่บ้านสวนพีระมิดก็ได้

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ณัฐากาญจน์ จันทรเตมีย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 19:12:57


ความคิดเห็นที่ 140 (1624899)

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มาเล่าธรรมทานที่ มหิดล

อ้อยได้เห็นอีกภาพหนึ่งซึ่ง

ที่ผ่านมาไม่ได้คิดถึงมาก่อนก็คือ

ครั้งนี้เราเริ่มเจอคนที่เป็นตัวแทน

ของคนอีกกลุ่ม ที่มีการศึกษาสูง

นับถือศาสนาพุทธ

และคิดว่าตัวเองก็เข้าใจ

ในคำสอนของพระพระพุทธเจ้า

และทำตามคำสอนของพระพุทธองค์อยู่

แต่

ก็ไม่รู้ว่าที่ตนเองต้องทุกข์

อยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะ

ไม่ได้ทำตามคำสอนพระพุทธองค์อย่างแท้จริง

  ดร.วิชิต และเลขา ซึ่งปวดไหล่

ดร.วิชิต ปวดไหล่

แต่ได้พยายามบอกตัวเอง

ว่ามันเป็เรื่องธรรมดา

เพราะท่านได้นั่งหน้าคอมพิวเตอร์

วันละหลายชั่วโมง

 ส่วนเลขา หรือลูกศิษย์ไม่แน่ใจนะคะ

ปวดไหล่ขวา

ก็สารภาพกับท่านอ.อุบล

ว่าน่าจะเกิดจากฆ่าหนู

ซึ่งเป็นสัตว์ทดลอง 200-300 ตัว

อาการดีขึ้นเล็กน้อย

พยายามพูดให้เหตุผลอาจารย์ว่า

  การฆ่าของเค้าเป็นการทำงาน

เพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่น 

แต่ท่านอาจารย์บอกว่า

ถึงยังไงก็ถือว่าเราไปเบียดเบียนคนอื่น 

  อย่าพยายามหาเหตุผล

ให้ตัวเองพ้นผิด

และไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

ซึ่งน้องคนนี้ บอกว่า

เค้าเป็นนักวิทยาศาตร์ เค้ารู้สึกว่า

การแค่มาพูดสารภาพบาป

ไม่น่าจะช่วยอะไรได้

ไม่น่าจะทำให้หายได้

เพราะดูมันไม่มี Method

นี่คือศัพท์ที่เธอใช้ 

ซึ่งอ้อยแปลเอาเองว่า

การสารภาพบาปแล้วหาย

มันดูไม่มีพิธีกรรม

ไม่มีขั้นตอนอะไรที่ดูขลัง

  ที่จะทำไห้เชื่อได้ว่าจะช่วยให้หายได้เลย

เพราะธรรมชาติคนสมัยนี้

ชอบทำเรื่องง่ายๆให้ดูยุ่งยาก 

ชอบอะไรที่มีขั้นตอนเยอะๆจะได้ดูขลัง

ซึ่งดูแล้วเธอไม่เปิดใจ

เพราะมัวแต่ยึดติดกับ Method

   โดยลืมว่า

การสารภาพบาปด้วยความสำนึกผิดนี่แหละคือ Method

ดร.วิชิตท่านก็ยอมรับว่าท่านยังไม่เชื่อ

ในสิ่งที่ท่าน อ.อุบลแสดงกฎแห่งกรรม

ธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ดี

ทั้งๆที่ อาจารย์ได้ใช้วิธีทางวิทยาศาตร์ 

ใช้การตั้งสมมติฐานก่อน

ถ้าเพราะเหตุนี้  

ผลจะทำให้เป็นอย่างนี้นะ

แต่ ดร.วิชิต ก็มัวแต่ยึดติดกับกับดัก

ของคนที่นับถือและศรัทธาพุทธศาสนา

แต่ไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งว่าคำสอนพระพุทธองค์จริงๆคืออย่างไร

ดร.วิชิต

คิดว่าการที่ทุกคนหาย

เป็นเพราะจิตที่ศรัทธา อาจารย์

แล้วก็คิดว่าตัวเราต้องหาย 

จึงทำให้อาการหายได้

คิดว่าปรากฎการณ์เหล่านี้

เกิดจากจิตใต้สำนึก

ของเราที่สั่งตัวเองได้

ไม่น่าจะเกิดจากอนุศาสนีย์ปาฎิหาริย์

 ของพระพุทธเจ้า

ตัวอย่างของ ดร.วิชิต และเลขา

เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่

ในสังคมทุกวันนี้ 

ที่คิดว่าเรานับถือศาสนาพุทธ

เราก็เป็นคนดีคนหนึ่ง 

เราไม่ได้เบียดเบียนใคร 

และเราไม่ใช่คนงมงาย 

แต่เราก็มีทุกข์

โดยที่หาทางพ้นทุกข์ไม่ได้

พอเราเจอครูบาอาจารย์

ที่จะมาบอกทางพ้นทุกข์

เราก็ตั้งการ์ด 

เอาความรู้แค่หางอึ่ง

มาคอยจับว่า 

งมงาย หลอกลวงรึเปล่า

  จนลืมเปิดจิตให้โอกาสตัวเอง

ที่จะรับฟังและคิดตามก่อน

แล้วค่อยตัดสินใจ

อันนี้คงป็นโจทย์ที่ท้าทายมากอันหนึ่ง

ในการแสดงธรรมะอันงดงาม

ของพระพุทธองค์

ดูๆไปคนพวกนี้น่าเห็นใจกว่า

พวกที่ทำชั่วอย่างชัดเจน 

ที่สามารถใส่ร้าย ทำร้ายคนอื่น

ได้แม้โดยไม่ได้มีเรื่องโกรธแค้น

ไม่พอใจกันมาก่อน

คนพวกนี้อาจจะเปลี่ยนยาก

เพราะทำชั่วชัดเจน 

และมีจิตตั้งมั่นในความชั่ว

ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้เยอะมาก

ถ้าเทียบจำนวนจริงๆ

แต่คนส่วนใหญ่ที่ชอบตีกรอบให้ตัวเอง

หลงผิดว่าเรามีความรู้ อันท่วมหัว

(อันนี้ไม่ต้องจบดอกเตอร์อย่างเดียวนะคะ) 

แต่เอาตัวไม่ค่อยจะรอดกันเลย 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ้อย (ปาริชาต ชมภู) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 20:38:08


ความคิดเห็นที่ 141 (1624913)

 

ธรรมทาน วันเสาร์ที่ 18 และอาทิตย์ที่ 19 สค. 55 และ เรื่องธรรมะสัญจรที่ มหิดล
                วันเสาร์ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์อุบลได้พาคณะลูกหลานบ้านสวนฯ ให้ทำการย้ายกระท่อมที่พัก ออกไป 3 หลัง หลังเล็ก 1 หลัง และ หลังใหญ่ 2 หลัง ทั้งนี้เพื่อท่านจะทำโรงเรือนที่พัก สำหรับคนที่จะมาพักพิงที่นี่ ตอนเกิดภัยพิบัติ หรือเป็นที่สำหรับให้คนที่มาร่วมงานบุญต่างๆ  เข้ามาทำงานกัน หลังจากนั้นก็ไปทำงานปูน หล่อฐานพระด้านหลัง จิ๋มก็ได้ฝากเหรียญ อ.อภิชัย ไปจำนวนหนึ่งด้วย สุดท้ายก็ไปทำการดำนา ปลูกข้าวลงดินกัน ท่ามกลางสายฝน และอากาศที่เริ่มเย็นตอนพลบค่ำ นับว่าวันนี้เราได้ทำบุญกันหลายประการมาก
พอวันอาทิตย์ อาจารย์ก็เรียกจุ๋ม เข้ามาคุยถึงเรื่องมหิดล ซึ่งอาจารย์ได้กล่าวถึงจุ๋มว่า เอาตัวเข้าแลก เพราะเชื่อมั่นในอาจารย์อุบล ที่กล่าวอย่างนี้ก็เพราะว่า วันที่ก่อนจะจัดงานวันที่ 17 สค. จุ๋มได้ e-mail ไปขอหลักฐาน ตามกฎกติกาของบ้านสวน เช่น สำเนาบัตร ปชช รูปถ่าย ประวัติย่อ และอาการที่ต้องการบำบัด อาจารย์บอกว่าที่อาจารย์ต้องดูก่อนก็เพราะว่า อาจารย์จะได้รู้ว่า คนแต่ละคนมีกรรมอะไร จะได้พูดบอกแนวทางให้เขาสารภาพกรรมได้ถูก แต่ทาง คณะบดีของเขตร้อน ไม่เข้าใจ ไปประชุมกัน และบอกว่าการขอหลักฐานเหล่านี้ เ ป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล จะไม่ให้จัด จนทางบ้านสวนต้องเปลี่ยนแผน โดยให้ลงทะเบียนที่บ้านสวนก็จริง แต่ให้เก็บหลักฐานใส่ซองต่างหาก แล้วมายื่นแบบเงียบ ๆ ให้ staff บ้านสวนเท่านั้น ผลก็คือคณะยินยอม ให้จัดต่อได้ อาจารย์บอกว่า จุ๋มเขามี pressure ทั้ง 2 ด้าน ทั้งจาก บ้านสวน และจากมหิดล เขาจะเลิกจัดเมื่อไรก็ได้ เพื่อ safe ตัวเอง แต่เขาก็ไม่เลิก พยายามจัดอย่างไม่ย่อท้อ จนงานสำเร็จไปได้ด้วยดี วันนั้นมีคนลงทะเบียนผ่านคุณแมวบ้านสวน เกือบ 150 คนเขตร้อน น้อยหน่อย แต่ก็เกือบ 50 รวมกันแล้วก็น่าจะราว ๆ 200 กว่า บรรยากาศที่อาจารย์บรรยายไป และรักษาไปมีผลให้ทุกคนหน้าตา สงสัยกันตลอด ไม่มีการหลับ เพราะมีธรรมะที่ง่าย แต่ลึกซึ้งให้ฟัง พร้อมยกตัวอย่างกฎแห่งกรรม ได้อย่างชัดเจน   แรก ๆ ก็ไม่มีใครกล้ายกมือ  พอคุณหนึ่ง ลูกบ้านสวนของเราเข้าไปทำการบำบัดกับ อ.อุบล พร้อมสารภาพอย่างหมดเปลือกเช่น มีกิ๊ก ทำแท้ง โกหก และอื่น ๆก็ทำเอาคนในงานอ้าปากค้างตาม ๆ กันว่าทำได้อย่างนี้เชียวหรือ แต่พอแลกกับการหายจากความเจ็บปวด ก็ทำให้แต่ละคนรวบรวมความกล้าขึ้นในที่สุด  และก็พากันหายจากอาการต่างๆ ในฉับพลันทันที
                อาจารย์วิชิต แห่งเขตร้อน เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในงานนี้ที่จะเป็นสักขีพยานในปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทีแรก คุณหมอวัฒนา ลูกบ้านสวนคนนึง จะมาร่วมงานนี้ด้วยโดยจองตั๋วเครื่องบินมาแล้ว แต่กลับพลาดเที่ยวบิน อยู่ดี ๆ ก็เครื่องบินเสียซะงั้น เขาคงต้องการให้คนของเขตร้อนเองเป็นคนพิสูจน์เท่านั้น ถ้านำคนนอกมาก็จะให้เกิดความแคลงใจขึ้นมาบ้าง อ.อุบล รักษาไป ก็หันมาถามอาจารย์วิชิต เป็นระยะ ๆ ว่าให้คอยดูว่าคนหายยกมือจำนวนเท่าไร อ.วิชิต ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี บอกว่าน่าจะเป็นเพราะกำลังใจ และความศรัทธาในตัวอาจารย์อุบลมากกว่า อาจารย์ อุบล เลยขอร้องให้คนเขตร้อนมาลองบำบัดดู
                รายแรกเป็นลูกศิษย์ สาว คนนึงใส่เสื้อสีชมพู มีความมั่นใจในตัวเองสูง เป็นนักศึกษาปริญญาเอก คนนี้มีอาการปวดไหล่ และแขน ซึ่งเขาก็บอกกรรมของเขาได้ถูกต้อง แต่เขาไม่สำนึก คอยแต่คิดว่า เขาไม่ผิด แต่ทำไปเพื่อการศึกษา ถึงจะฆ่าหนูก็ตาม พอไม่สำนึก ก็ไม่หาย เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมจักรจะหมุนได้ เมื่อผู้นั้นให้ความร่วมมือในการรักษา และสารภาพด้วย ถ้ามิเช่นนั้นก็จะไม่หายเพราะเกิดแรงต้านอยู่
                มาถึงอีกรายเป็นเพื่อนที่คุณแหม่มลูกบ้านสวนชวนมา อาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็สารภาพ และดีขึ้นถึง 30% มีความอยากหาย และอยากลองดี และอยากพิสูจน์ มีอาการปวดขา และ เข่า ดีขึ้น 30% แต่พอจะให้สารภาพต่อ เธอก็บอกว่าไม่มีแล้ว เขาไม่ทำอะไรผิด อาจารย์อุบล จึงได้ลองให้หายซะ 1 นาที โดยเอาบุญของท่านให้หาย พอเขาหายแล้ว สักพักก็เป็นต่อ ตอนอาจารย์อาราธนาบารมีพระศรีอารย์ และให้คนเดินผ่านท่าน ก็พบว่าอาการต่างๆ ของคนที่เดินผ่านดีขึ้น เป็นแถวเลย จิ๋มเอง ขณะท่านอาราธนาพระศรีอารย์ ตัวเองก็มีอาการขนลุก และเย็นวาบไปทั้งตัวเลย
                หลังเลิกงานก็มีพยาบาลเขตร้อนที่ คงร่วมบำบัดด้วย เชื่อในธรรมะของท่านอาจารย์อุบล เข้ามากราบท่านบางคนก็ขอถ่ายรูป และไปหาของที่จะเป็นตัวแทนของบ้านสวน เช่น sheet และสติกเกอร์ติดรถ รหัส อาจารย์อุบลช่วยด้วย บอกว่าจะไปแจกคนไข้ เพื่อให้เขาใช้รหัสกัน งานนี้ก็จบด้วยความขื่นมื่น กะว่าจะเลิกตอนบ่าย 3 โมง แต่ก็ยาวถึง 4 โมงครึ่งแน่ะ 
อนุโมทนาบุญในธรรมทานอันยิ่งใหญ่ของท่าน อ.อุบล และการพากเพียรจัดงานของ พี่จุ๋ม ด้วยจ้ะ
ผู้แสดงความคิดเห็น ชัชวลี กะลัมพะเหติ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 21:38:05


ความคิดเห็นที่ 142 (1624919)

ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ เสียดายยังไม่ค่อยได้อ่านมากนัก คงต้องใช้เวลาอ่านของแต่ละท่านหน่อย แต่ตอนนี้ผมขอเหลาเหตุการณ์ทั้งหมดในวันงานธรรมะบำบัดสัญจรในสไตล์บักจ่อย บ้างนะครับ 5555

เส้นทางสู่หมู่ตึกต้องห้าม..

ที่ตั้งชื่อเช่นนี้ เพราะอยากจะร้องว่า แม่เจ้าโว้ยย..นี่หนทางไปสู่หมู่ตึกในตำนานอันแสนพิสวงหรือนี่ ป๊าดด เพราะว่าเบื้องหน้าผมคือตึกคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ซึ่งมีลักษณะเหมือนตึกที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ทำให้เรารู้สึกว่าเกรงใจเล็กน้อยเหมือนเรากำลังเข้าไปสู่อาณาเขตส่วนตัวของคณะนี้จริงๆ 555

แต่พอไปถึงหน้าห้องจัดงาน ก็เห็นแขกที่มาร่วมงานหลายๆท่านกำลังลงทะเบียน ทำให้บรรยากาศกลายเป็นวังวนแห่งความอบอุ่นไปแทน

สายตาก็เหลือบไปเห็นอาจารย์ป้าจุ๋ม แต่งตัวเต็มยศ เสียดายหากอาจารย์ป้าจุ๋มหิ้วตะกร้าหมากหรือใส่โจงกระเบนนะ คงครบสูตร ผู้ดีเก่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแน่ๆ 5555

ว่าแล้วก็เห็นผู้มาร่วมงานทะยอยมาอย่างไม่ขาดสาย ลงทะเบียนกันให้สนุกมือเลย และก็มีเจ้าหน้าที่ของทางคณะฯได้มาช่วยลงทะเบียนด้วย ทำให้บรรยากาศของงานคึกคักเริ่มที่จะอดตื่นเต้นกับสิ่งที่จะกำลังจะได้พบเจอในงานไม่ได้...

กราบเรียน...ท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย

ในงานนี้ผมถือว่าสมบูรณ์แบบมากๆ เพราะมีสาขาอาชีพต่างๆมากมายมาร่วมกันพิสูจน์และสังเกตการณ์กิจกรรมธรรมะบำบัด เพราะมีตั้งแต่ ดอกเตอร์ต่างๆ นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ พยาบาล วิศวกร เจ้าของกิจการ แม่บ้าน และอีกหลายสาขาอาชีพ

เรียกว่าเรามีประจักษ์พยานที่พร้อมจะให้แง่คิดหรือให้มุมมองที่แตกต่างกัน เพื่อพิสูจน์ว่า ธรรมะบำบัดนั้น ให้ผลฉับพลันทันที จริงหรือไม่ ?? แค่เริ่มต้นก็สนุกแว้ววว...

ประวัตินั้นสำคัญฉไน

ป๊าดดด ป๊าดดดด ป๊าดดดด ผมงี้อึ้งไปพร้อมๆกับทุกท่านที่มาร่วมงานฯเลยทีเดียว เพราะเราเปิดงานด้วยการอ่านประวัติของท่านอาจารย์อุบล ซึ่งเราไม่เคยได้ยินประวัติของท่านมาก่อนเลย ไม่ว่าจะงานไหนๆก็ตามแต่ ทุกงานก็เรียกร้องหาแต่ประวัติวิทยากร แต่สุดท้ายพวกเราก็ไม่เคยได้รู้ประวัติท่านอาจารย์มาก่อนเลย

ทำให้พี่น้องหมู่เฮา อึ้งไปตามๆกัน หลังจากได้รับรู้ประวัติที่พวกเราฟังแล้วต๊กกะใจ  ท่านอาจารย์เราเคยเป็นทั้งอาจารย์สอนนักเรียนจริงๆ เคยเป็นพี่เลี้ยงประกวด Miss World เคยเป็นทั้งวิทยาการสอนทำงานประดิษฐ์ใยบัว เคยเป็น ผอ.Suprederm ผู้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดคนแรก ไหนจะเคยเป็นที่ปรึกษาของประธานกรรมาธิการทหาร นักการเมืองที่มีชื่อเสียง ที่ปรึกษาโครงการของท่านนายพล และอื่นๆอีกมากมาย

เป็นไงล่ะ อึ้งไปเลยใช่มะพี่น้อง ท่านอาจารย์อุบลเรานี่มีดีมากมายแต่ไม่ยักยอมบอกใครเลย เก็บแอบมาตลอด เรียกว่าคนมีดีแต่ไม่อวดใคร เอาแต่ความดี ธรรมะมาสอนคนให้พ้นทุกข์อย่างเดียว...

และแล้วเราก็ได้รับรู้จากปากท่านอาจารย์อุบล หลังจากพิธีกรเริ่มกล่าวนำเข้าสู่งานฯ และท่านอาจารย์อุบลก็เริ่มให้ธรรมะ ด้วยการตอบคำถามเรื่องประวัติของท่านว่า

ที่อาจารย์ไม่เคยให้ประวัติกับกิจกรรมสัญจรที่ใดมาก่อน เพราะท่านไม่เคยเห็นว่า การรู้ประวัติของท่านนั้น จะทำให้ใครสิ้นทุกข์ได้เลย แล้วพวกเราตอนนี้รู้จักประวัติของท่านแล้ว สิ้นทุกข์หรือยัง หายโรค สิ้นปัญหากันไหม เรียกว่าหากรู้แล้วไม่ก่อให้คนฟังสิ้นทุกข์ ท่านก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อันใดที่จะต้องบอกกล่าวประวัติของท่าน

เพราะท่านถนัดในการกล่าวโจษตนเอง ท่านชอบพูดเรื่องไม่ดีของตนเอง เพราะถนัดและชอบ พูดไม่ผิดแน่นอน และธรรมะใดที่จะช่วยให้คนได้พัฒนาจิตใจ และพ้นทุกข์ สิ่งนั้นท่านก็จะทำ

เป็นไงล่ะพี่น้อง อึ้งไปเลยชิมิๆๆ....

บุญที่เห็นผลฉับพลันทันที

ท่านอาจารย์เริ่มกิจกรรมธรรมะบำบัดแบบเห็นผลฉับพลันทันที ด้วยการให้ธรรมะที่เป็นเหตุก่อให้เราได้รับอานิสงค์แบบทันทีตามหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ ย่อๆคือ

1.ศรัทธาของผู้ให้ต้องบริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทน หรือเจือด้วยกิเลส

2.วัตถุทานบริสุทธิ์ เช่น ข้าวของเครื่องใช้ หรือแม้แต่เงิน ก็ต้องบริสุทธิ ซึ่งเงินที่เรามาทำบุญมักไม่บริสุทธิ์เพราะว่าเรามักจะทำงานมาสาย กลับก่อน อู้งาน นินทานาย เอาของหลวงกลับบ้าน สารพัด แต่รับเงินเดือนเต็ม เงินที่ได้มาย่อมไม่บริสุทธิ์

3.เนื้อนาบุญบริสุทธิ์ คือผู้ที่เราให้ทานนั้นต้องเป็นเนื้อนาบุญ ซึ่งเราสามารถเอาศีล5เข้าไปจับ เราก็จะรู้ได้แล้วว่านี่เป็นเนื้อนาบุญอยู่หรือเปล่า หากคนที่เราให้ยังคงเป็นขี้เมา คนขี้นินทา นั่นก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เนื้อนาบุญบริสุทธิ์

ดังนั้นหากมีองค์ประกอบครบ3อย่างอานิสงค์ก็จะเกิดฉับพลันทันทีเลย หากไม่เกิดทันทีเราก็ต้องมานั่งไล่ว่า มีอะไรบ้างที่ไม่บริสุทธิ์ในสามอย่างข้างต้นนี้

เดี๋ยวมาต่อ...

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 21:54:13


ความคิดเห็นที่ 143 (1624930)

เนื่องจากธรรมะมีเด็ดๆทั้งน้านน ประกอบกับธรรมะบำบัดก็สุดๆๆไปเลยงานนี้ ดังนั้นผมขอสรุปเป็นทีละประเด็นดังนี้

หายจริงๆจ้าา

ในงานนี้ท่านอาจารย์ได้พิสูจน์ การใช้ธรรมะบำบัดทีละเรื่องๆเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงผลของกรรมที่แต่ละคนได้ก่อมา เช่น กรรมที่เราสร้างที่ทำงาน ซึ่งน้องหนึ่ง เจิดหทัย ก็ได้ออกมาเล่าเรื่องกรรมที่ตนเองสร้างที่ทำงาน ไม่ว่าจะ นินทาเจ้านาย บ่นเจ้านายให้งานเยอะ เอาของบริษัทกลับบ้าน อู้งาน มาสาย กลับก่อน เอาเวลางานไปช้อปปิ้ง ขี้โกงวันหยุดบริษัทด้วยเล่ห์กล และอีกมากมาย

การสารภาพบาปของน้องหนึ่งสร้างเสียงฮือฮาอย่างมาก เพราะว่าทุกๆคนก็ต้องอมยิ้ม เพราะฉันก็ทำเหมือนกัน ฮ่าๆๆ และที่น้องหนึ่งมีอาการเจ็บปวดอยู่นั้นก็หายเกือบหมด100%เลยทีเดียว

เรียกว่า เป็นการอุ่นเครื่องที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า หากคุณนึกกรรมออก และสำนึกด้วยใจจริง และตั้งใจจะไม่กลับไปทำอีก คุณก็จะเจอปาฏิหาริย์ในทันทีเหมือนที่น้องหนึ่งเจอ หากนึกไม่ออกก็ไม่รู้จะช่วยยังไงนะ...

และต่อมา ท่านอาจารย์ก็ได้เมตตาใช้ธรรมะบำบัดไล่อาการเจ็บป่วยทีละส่วนๆ ซึ่งเรียกว่า เป็นที่ฮือฮาของผู้มาร่วมงานมากเลยทีเดียว เพราะไล่ตั้งแต่ปวดหัว ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดขา อื่นๆ

แต่ละอย่างท่านอาจารย์ก็ถามถึงกรรมว่าใครเคยทำอะไรมาบ้าง ต่างก็ยกมือให้ความร่วมมือ บางคนก็ยังไม่ค่อยให้ความร่วมมือนัก แต่อยากหาย

ซึ่งผลที่ออกมาแต่ละครั้ง สร้างบรรยากาศช็อคให้แก่ทุกๆคนไปตามๆกัน เพราะแต่ละโรคนั้นมีคนหาย100%ในรอบแรกนั้นมากกว่า 70-90% เลยทีเดียว ที่เหลือที่ยังไม่หายหมดก็จะมีอาการดีขึ้นส่วนใหญ่ 80% พอท่านอาจารย์ถามกรรมเพิ่ม หรือใครที่นึกออกก็หายทันทีครบ100% ส่วนใครที่ยังนึกไม่ออกก็ต้องไปนึกกรรมต้องตนเองต่อไป

สรุปคือทุกคนเห็นชัดเจนว่าการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากผลกรรมที่แต่ละคนทำมาจริงๆ แต่หากไม่ให้ความร่วมมือ อาย หรือนึกไม่ออก อันนี้ก็ต้องตัวใครตัวมันเด้อพี่น้องงงง แต่ แต่ แต่ มีทีเด็ดตอนท้ายก๊าบบ ฮ่าๆๆๆ

ผมยังไม่เชื่อ ยังไงผมก็ยังไม่เชื่อ

งานนี้ผมถือว่า ผมได้เจอนักปราญช์ตัวจริง คือ รศ.ดร.วิชิต ท่านเป็นประธานอนุกรรมการสวัสดิการ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ท่านให้เกียรติมานั่งฟังและร่วมสนทนา ตลอดรายการเลย

อาจารย์ท่านนี้เป็นคนที่ตรงไปตรงมา ฉะฉาน ชัดเจน และช่วยชีวิตผมได้มากเลย ฮ่าๆๆ คือว่าที่ผ่านมาท่านอาจารย์อุบลก็พยายามบอกผมหลายครั้งแล้วว่า ให้ถามตรงๆ ยิงคำถามแรงๆ และทำตัวในฐานะคนที่ต้องการอยากรู้ ไม่ใช่การถามแบบชิวๆ หน่อมแน้ม เพราะเห็นว่าเป็นครูบาอาจารย์ของตนเองก็เลยไม่กล้าถาม ซึ่งแบบนี้คนฟังก็จะไม่ได้ประโยชน์ เพราะอาจยังสงสัยอยู่

โอ้โห ผมมาเจอ ดร.วิชิตท่านนี้ต้องขอยกนิ้วให้เลย สวดดยอดด เพราะท่านใช้ทักษะ ความรู้ และมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสังเกต สิ่งที่น่าสงสัย หรือว่าความเป็นไปได้ ตั้งคำถามที่ตรง แร็งส์ สะใจวัยรุ่นดีแท้ เช่นว่า ที่หายๆกันทันทีน่ะอาจเกิดจากพลังของจิตใจต่างหากล่ะ สรุปว่า พ้มยางม่ายยเชื่ออ.... 5555 ถูกใจผมมากครับ เพราะท่านทำให้ผมได้คิดตามและสนุกไปกับการพิสูจน์ของท่านจริงๆ

โดยท่านอาจารย์ให้ท่านออกมาบำบัดเลขาของภาควิชาฯ ท่านใช้ทักษะทางด้านความเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทางการแพทย์ ผสานกับหลักทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้ผู้หญิงซึ่งเป็นเลขาท่านนี้ได้เปิดจิตและน้อมจิตตาม เพื่อพิสูจน์ผลทางการบำบัดว่าเกิดจากพลังของจิตใจมากกว่า ปาฏิหาริย์ที่ท่านอาจารย์อุบลแสดงตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

สุดท้ายผู้หญิงซึ่งเป็นเลขาท่านนี้ก็จิตไม่เปิด ไม่ว่าจะบำบัดกับท่านอาจารย์อุบลหรือ ดร.วิชิตก็ไม่หาย เพราะเขาคิดว่าการฆ่ากบหลายร้อยตัวเพื่อทำการศึกษานั้น ไม่ได้ฆ่าเพราะตั้งใจ แต่เพื่อศึกษามาช่วยคน คือจิตไม่ได้สำนึกอย่างแท้จริงเลย พยายามหาคำตอบเหตุผลมาเข้าข้างตนเอง เพราะด้วยเหตุที่เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ คิดอย่างวิทยาศาสตร์มากกว่า

และแล้ว ผมเห็น ดร.วิชิต ออกมาสรุปว่า หากเลขาท่านนี้จิตไม่เปิด ก็ช่วยไม่ได้ ซึ่งหากจิตไม่ศรัทธา ไม่เปิดการบำบัดใดๆก็ช่วยไม่ได้เลย

โอว้ววว สุดยอดจริงๆ คำกล่าวนี้ทำให้เห็นว่า ดร.วิชิตนั้นถึงแม้ว่าปากจะบอกว่ายังไม่เชื่อนั้น แต่จริงๆแล้วท่านใช้ปัญญาในการพิสูจน์ และเป็นผู้มีเหตุมีผลอย่างแท้จริง และท่านก็เรียนเชิญท่านอาจารย์อุบลพิสูจน์การใช้ธรรมะบำบัดต่อ

เดี๋ยวมาต่อ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 22:26:09


ความคิดเห็นที่ 144 (1624935)

งานนี้เรียกว่า ดร.วิชิต ทำให้หลายๆคนได้ตระหนักถึงการใช้ปัญญา และผมก็สังเกตเห็นตลอดเวลาว่า เวลาที่ท่านอาจารย์อุบลได้สอนธรรมะต่างๆนั้น ดร.วิชิตก็นั่งฟังและพิจารณาตามตลอดเวลา ก็และพยักหน้าคล้อยตามเรื่อยๆ

และทุกครั้งที่ท่านอาจารย์บำบัด และเกิดปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ คือ มีคนมากกว่า 80%หายแบบฉับพลันทันที ท่านอาจารย์ก็บอกให้ ดร.วิชิต ลองหันไปดู แล้วถามความเห็นท่าน

ดร.วิชิตท่านก็ยังคงยืนยันว่า "ผมยังไม่เชื่อ" แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมหมายถึงคนที่บอกว่าหายนั้นโกหกนะครับ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดเฉพาะตน และมันยังไม่ได้เกิดกับผมเอง ผมก็ยังไม่เชื่อ

สวดดดยอดดด สำหรับผมแล้วผมคิดว่า ดร.วิชิตท่านนี้เป็นผู้ใช้หลักกาลามสูตรอย่างแท้จริง คือไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะพิสูน์ให้เห็นด้วยตนเองอย่างแท้จริง

แต่ว่าเวลาท่านให้ความเห็นต่างๆ วิธีการพูดของ ดร.วิชิตนั้น ทำให้รู้ว่า ท่านไม่ธรรมดา มีภูมิธรรมและความรู้ ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

แต่ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์และเป็นครูบาอาจารย์ที่มีเหตุมีผล ท่านบอกหรือพูดอะไรตรงๆ ว่า ไม่เชื่อ ทำให้ผมต้องย้อนคิดว่า แหม...อาจารย์ท่านนี้ของแท้ คือจะเฝ้าติดตามการบำบัดทุกอย่าง คอยวิเคราะห์ดูผลที่แต่ละคนหายทันที ว่าเป็นเพราะเหตุอะไร ทำกรรมอะไรมา แล้วเปรียบเทียบในหลักของวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเพราะอะไร

ที่สำคัญ ดร.วิชิต ย้ำตลอดว่า ท่านเชื่อว่าคนที่หายพูดจริงไม่โกหก ท่านดีใจกับทุกคนด้วยที่พบทางที่ทำให้ตนเองหายเช่นนี้ แต่จะให้ท่านเชื่อเลยนั้น ท่านยังไม่เชื่อ เพราะยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเอง

ป๊าดดด...แบบนี้เรียกว่า นักวิทยาศาสตร์ของแท้

ผมขอชื่นชมจากใจจริงถึงความกล้าของ ดร.วิชิต ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ลองพิจารณา เปรียบเทียบ และพิสูจน์อย่างเป็นเหตุเป็นผลก่อนจะตัดสินใจเชื่ออะไรง่ายๆ

ซึ่งทำให้ท่านอาจารย์อุบลเองก็ยิ่งมีโอกาสได้ใช้ธรรมะของพระพุทธองค์พิสูจน์และแสดงให้เห็นอานุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ที่พระพุทะองค์ทรงสรรเสริญได้อย่างสง่างามที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้ว ท่าน ดร.วิชิตเองก็เป็นผู้สรุปเองว่า

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในงานนี้ ท่านเชื่อว่าเป็นเพราะอำนาจแห่งพุทธคุณ ซึ่งท่านเชื่อว่ามีจริงแท้แน่นอน  สมแล้วครับกับการเป็นนักวิทยาศาสตร์ และท่าน ดร.วิชิต ทำให้ธรรมะของพระพุทธองค์ได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายอย่างสง่างามอย่างแท้จริง เพราะสุดท้ายท่านเองและผู้คนก็ต้องยอมรับและจำนนด้วยผลที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานและสิ่งที่ท่านอาจารย์อุบลบอกไว้ทุกประการ

ไว้พรุ่งนี้ผมพยายามจะมาเหลาให้เห็นในรายละเอียด ของบางมุม ให้ทุกท่านได้อ่านจนน้ำลายไหลยืดอีกครั้งนะครับ สำหรับวันนี้ขอราตรีสลบไปก่อนเน้ออออ....

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-19 22:46:05


ความคิดเห็นที่ 145 (1624961)

ได้อ่านธรรมทานจากหลายๆมุมมองเพิ่มขึ้น

ก็พอจะเห็นภาพในงานชัดเจนขึ้นนะคะ

ว่าจริงๆแล้ว ดร.วิชิต เป็นผู้ที่มีหลักการ

ในการวิเคราะห์และค้นหาคำตอบต่างๆ

โดยใช้หลักกาลามสูตร

 

แต่ชนิดาก็ยังสงสัยอยู่ดีนะคะว่า

ในเมื่อดร.วิชิต วิเคราะห์แล้ว

และเชื่อว่าทุกคนหายได้จริง ไม่ได้เฟค

 

แต่ทำไมตัวท่านเอง

ไม่คิดที่จะลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง

ให้รู้ชัดๆไปเลย

ว่าสารภาพแล้วหายทันทีนั้น เป็นอย่างไร

 

หรือว่า วันนั้น ดร.วิชิต

ไม่มีอาการป่วยให้พิสูจน์ ก็ไม่รู้นะคะ 

.............................

ได้อ่านธรรมทานจาก คุณพี่จิ๋ม แล้ว

ก็ได้เห็นพลังใจอันยิ่งใหญ่ของคุณพี่จุ๋ม

ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคและเอาชนะใจตัวเอง

รวมถึงแรงกดดันจากทุกๆฝ่ายได้อย่างสง่างาม

 

ทั้งๆที่มีสิทธิ์เต็มที่ 

ที่จะยกเลิกการจัดงานได้ทุกเมื่อ

 

อนุโมทนากับพี่จิ๋มอีกครั้งด้วยค่ะ

...........................

แล้วก็อนุโมทนากับธรรมทาน

จากทุกๆท่านด้วยนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 06:04:06


ความคิดเห็นที่ 146 (1624981)

 ปกติแล้ว

การไป "ธรรมะบำบัด สัญจร" ทุกที่

จะมีผู้ติดตาม อ.อุบล ไป ประมาณ 3-7 คนเท่านั้น

และไปในฐานะ ทีมงาน ของ อ.อุบล

ที่สำคัญ ไม่เคยบอกใครล่วงหน้า เรียกว่า เป็นความลับสุดยอด ทุกที่ คนอื่นจะรู้ได้ เมื่อไป แล้วกลับมาแล้วเท่านั้น

ด้วยเกรงว่า พวกเรา จะแห่ตามกันไป ทำให้เจ้าภาพเค้า ตกอก ตกใจ ว่า อ้าวงานนี้ มันงานใคร กันวะเนี่ย ทำไม พวกเราที่เป็นเจ้าภาพจัดงานแท้

ไม่มีที่จะนั่งเลยวะเนี่ย จึงให้ผู้ติดตามที่เป็นทีมงาน ปิดปากสนิทที่สุด ซึ่งก็ทำอย่างนั้น มาทุกครั้ง   ซึ่งครั้งที่ไปบ้านไร่ปลายตะวันล่าสุดนี้ ก็เกิดปรากฏการณ์ ที่ทางเจ้าภาพ ต้องแก้ปัญหา หลายอย่าง ร.ต.ต.ประวัติ ซึ่งเป็น แม่งานจัด บอกว่า ผมต้องวางแผนนะครับ อ. ต้องไม่บอกว่า อ.อุบล จะมาวันไหน  เพราะอะไร  ก็เราจัดงาน 3 วันไงครับ เดี๋ยวถ้ารู้ว่า อ.อุบล จะมาวันไหน มันก็จะมีแต่คนมากันเฉพาะวันนั้นนะซีครับ เพราะถ้าประกาศว่า อ.อุบล จะมา มันจะแห่กันมา เพราะเรตติ้ง อ.อุบล ทำไว้สูงมากนะครับ ผมเช็คกับลูกพี่ผมตลอดครับ (แต่ อ.อุบล ว่า ไม่ใช่เรตติ้ง อ.อุบล หรอก แต่เป็นเรตติ้ง พระพุทธองค์ ลำพัง อ.อุบล ทำให้เกิด การหายทันที ไม่ได้แน่ ที่เขาแห่กันมาน่าจะอยากหายมากกว่า มาดู ความสวยไม่บันยะบันยัง ของ อ.อุบล แน่นอน)   มาเปรียบเทียบกับ การไปที่มหิดล อันนี้ มาแจ้ง ในเวปไซด์ แต่ไม่ได้ประกาศทาง ที.วี. แม้แต่ขึ้นตัวหนังสือไปทางรายการ ที่จะออกอากาศ วันอาทิตย์ ที่ 12 ส.ค.55 ยังเกิดอาถรรภ์ เทปรายการหาย ทางสถานีหาไม่เจอ แล้วเขาติดต่อ อ.อุบล ไม่ได้(ไม่ได้รับโทรศัพท)เขาเลยตัดสินใจ เอาเทปเก่า ออกซ้ำไปอีกครั้ง คิดดูสิ เหมือนกันเบื้องบนจะทราบล่วงหน้า ไม่ต้องไปโฆษณา แค่นี้ ก็ไม่มีที่ตะนั่งแล้ว ประมาณนี้ ส่วนเทปรายการ ปรากฎว่า จนท.รับเทป ส่งไปผิดตึก เพราะมีหลายตึกนั่นเอง เอาเป็นว่า เราได้บอกล่วงหน้าว่่าจะไปมหิดล ไม่กี่วัน ทางเวปไซด์นี้เท่านั้น แล้วก็รีบปิดรับ วันพุธ หลัง 3 ทุ่มคุณแมวเช็คได้ 137  คน แต่ตอนนั่งอยู่กับ อ.อุบล ไม่โทร.เข้ามาขอลงทะเบีบนสำรองอีก เกือบ 20 คน แต่พอวันจริง วอร์คอิน เข้าไปเองอีกจำนวนหนึ่ ซึ่งทำให้ที่นั่งส่วนที่เจ้าภาพเขาจัดไว้ให้พวกเรานั้น เต็มหมด อ.อุบล เข้ามาอีกที ตอนจะเริ่มบรรยาย มองไป โห มากันทำไมนักหนาเนี่ย เกิดมา ไม่เคยเห็นคนสวยแบบแปลกๆ กันขนาดนี้ เหรอเลยเนี่ย สงสัย เราจะสวยแปลกจริงๆนะเนี่ย สวยไม่เหมือนใคร สวยตามลำพัง 5555  ไปดีกว่า อาย

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 09:55:41


ความคิดเห็นที่ 147 (1624983)

 ที่บ้านไร่ปลายตะวัน ครั้งล่าสุด

ก่อนจะถึงเวลาบรรยาย อ.อุบล จะอยู่ที่ บ้านพัก ซึ่งห่างจากหอประชุมพอประมาณ ได้ยินเสียงตามสาย แต่ทีมงานของพวกเรา จะเข้าไปร่วมสังเกตุการณ์ และ ช่วยเขาดูแลคณะผู้มาปฏิบัติธรรม เพราะมีจำนวนมาก หมวดประวัติ เป็นคนใช้ไมล์คนเดียว คุมเกมส์ไม่อยู่ ครั้งนี้ มีิสิงห์ป้อม ไปช่วยหมวดประวัติ ส่วน อ.มงคล ไปเตรียมหามุมกล้องเพื่อบันทึกภาพ  ทางสิงห์ป้อมจะเป็นผู้ประสานงานกับหมวดประวัติ ว่า จะเริ่มตอนไหน และ จะโทร.มาบอกคุณแมว เป็นระยะ เพื่อให้ อ.อุบล ได้เตรียมตัวเดินทางไป โดยเขา จะมีคนขับรถก๊อล์ฟมารับ ซึ่งก็คือ หมอกุหลาบ กับน้องแตมป์นั่นเอง  ช่วงที่ใกล้เวลาบรรยาย สิงห์ป้อมได้โทร.มาบอกคุณแมวว่า พี่แมว บอกอาจารย์ด้วยว่า เดี๋ยวต้องเลื่อนเวลาออกไปสักหน่อย  ทำไมเหรอ  คือว่า....สิงห์ป้อมพูดกับคุณแมว เราไม่ได้ยินว่า เขาพูดอะไร แต่เห็นแต่ คุณแมวขำกลิ้ง เราก็ได้แต่คิดว่า สงสัยเขามีตลกขั้นรายการ บรรยาย ธรรมะบำบัดก่อนละมัง สิงห์ป้อม คงถ่ายทอดสด (หรือว่าสิงห์ป้อม ไปตด เรี่ยราด อีกแล้ว ทำอับอายขายหน้าอีกแล้ว ไปไหน ก็ตดดังอีตาหมอนี่ เรานึก) หาเหตุผล เพราะตอนนั้น คุณแมวหันมาบอกแค่ว่า เลื่อนเวลาค่ะอาจารย์ แต่ยังไม่ได้บอกเหตุผล ได้แต่ขำ แล้วคุยกับสิงห์ป้อมต่อ พูดไปหัวเราตัวหงิกตัวงอไป  โอ งานนี้ ตองมีโชว์อะไร ที่ไม่ธรรมดา แน่เลย คุณแมวจึงไม่ยอมวางสายสิงห์ป้อม มาบอกให้เรา ได้ร่วมหัวเราะบ้างเลย เราก็เลย พักผ่อนก่อนดีกว่า เพราะว่าไมค่อยได้นอน เอนหลังเลย สักงีบ ก็ยังดี แหะ แหะ เดี๋ยวคุณแมว คงจะถ่ายทอดภายหลังเอง ถ้าไม่เป็นความลับส่วนตัว หรือว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องสิงห์ป้อม ตด ว่างั้นเถอะ

เดี๋ยวมาเล่าต่อนะ ขอเวลาสักครู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 10:13:29


ความคิดเห็นที่ 148 (1624984)

ขออนุญาติขยายตัวอักษรนะครับ

ปกติแล้ว

การไป "ธรรมะบำบัด สัญจร" ทุกที่

จะมีผู้ติดตาม อ.อุบล

ไป ประมาณ 3-7 คนเท่านั้น

และไปในฐานะ

ทีมงาน

ของ อ.อุบล

ที่สำคัญ

ไม่เคยบอกใครล่วงหน้า

เรียกว่า เป็นความลับสุดยอด

ทุกที่ คนอื่นจะรู้ได้

เมื่อไป แล้วกลับมาแล้วเท่านั้น

ด้วยเกรงว่า

พวกเรา จะแห่ตามกันไป

ทำให้เจ้าภาพเค้า

ตกอก ตกใจ

ว่า อ้าวงานนี้

มันงานใคร กันวะเนี่ย

ทำไม

พวกเราที่เป็นเจ้าภาพจัดงานแท้

ไม่มีที่จะนั่งเลยวะเนี่ย

จึงให้ผู้ติดตามที่เป็นทีมงาน

 ปิดปากสนิทที่สุด

ซึ่งก็ทำอย่างนั้น

มาทุกครั้ง  

ซึ่งครั้งที่ไปบ้านไร่ปลายตะวันล่าสุดนี้ ก็เกิดปรากฏการณ์ ที่ทางเจ้าภาพ ต้องแก้ปัญหา หลายอย่าง ร.ต.ต.ประวัติ ซึ่งเป็น แม่งานจัด บอกว่า ผมต้องวางแผนนะครับ อ. ต้องไม่บอกว่า อ.อุบล จะมาวันไหน  เพราะอะไร  ก็เราจัดงาน 3 วันไงครับ เดี๋ยวถ้ารู้ว่า อ.อุบล จะมาวันไหน มันก็จะมีแต่คนมากันเฉพาะวันนั้นนะซีครับ เพราะถ้าประกาศว่า อ.อุบล จะมา มันจะแห่กันมา เพราะเรตติ้ง อ.อุบล ทำไว้สูงมากนะครับ ผมเช็คกับลูกพี่ผมตลอดครับ (แต่ อ.อุบล ว่า ไม่ใช่เรตติ้ง อ.อุบล หรอก แต่เป็นเรตติ้ง พระพุทธองค์ ลำพัง อ.อุบล ทำให้เกิด การหายทันที ไม่ได้แน่ ที่เขาแห่กันมาน่าจะอยากหายมากกว่า มาดู ความสวยไม่บันยะบันยัง ของ อ.อุบล แน่นอน)  

มาเปรียบเทียบกับ การไปที่มหิดล อันนี้ มาแจ้ง ในเวปไซด์ แต่ไม่ได้ประกาศทาง ที.วี. แม้แต่ขึ้นตัวหนังสือไปทางรายการ ที่จะออกอากาศ วันอาทิตย์ ที่ 12 ส.ค.55 ยังเกิดอาถรรพ์ เทปรายการหาย ทางสถานีหาไม่เจอ แล้วเขาติดต่อ อ.อุบล ไม่ได้(ไม่ได้รับโทรศัพท์)เขาเลยตัดสินใจ เอาเทปเก่า ออกซ้ำไปอีกครั้ง คิดดูสิ เหมือนกันเบื้องบนจะทราบล่วงหน้า ไม่ต้องไปโฆษณา แค่นี้ ก็ไม่มีที่จะนั่งแล้ว ประมาณนี้ ส่วนเทปรายการ ปรากฎว่า จนท.รับเทป ส่งไปผิดตึก เพราะมีหลายตึกนั่นเอง เอาเป็นว่า เราได้บอกล่วงหน้าว่าจะไปมหิดล ไม่กี่วัน ทางเวปไซด์นี้เท่านั้น แล้วก็รีบปิดรับ วันพุธ หลัง 3 ทุ่มคุณแมวเช็คได้ 137  คน แต่ตอนนั่งอยู่กับ อ.อุบล ได้โทร.เข้ามาขอลงทะเบีบนสำรองอีก เกือบ 20 คน แต่พอวันจริง วอร์คอิน เข้าไปเองอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทำให้ที่นั่งส่วนที่เจ้าภาพเขาจัดไว้ให้พวกเรานั้น เต็มหมด อ.อุบล เข้ามาอีกที ตอนจะเริ่มบรรยาย มองไป โห มากันทำไมนักหนาเนี่ย เกิดมา ไม่เคยเห็นคนสวยแบบแปลกๆ กันขนาดนี้ เหรอเลยเนี่ย สงสัย เราจะสวยแปลกจริงๆนะเนี่ย สวยไม่เหมือนใคร สวยตามลำพัง 5555  ไปดีกว่า อาย

 


ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 09:55:41

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 10:14:24


ความคิดเห็นที่ 149 (1624994)

ที่บ้านไร่ปลายตะวัน ครั้งล่าสุด

ก่อนจะถึงเวลาบรรยาย อ.อุบล จะอยู่ที่ บ้านพัก ซึ่งห่างจากหอประชุมพอประมาณ ได้ยินเสียงตามสาย แต่ทีมงานของพวกเรา จะเข้าไปร่วมสังเกตุการณ์ และ ช่วยเขาดูแลคณะผู้มาปฏิบัติธรรม เพราะมีจำนวนมาก หมวดประวัติ เป็นคนใช้ไมล์คนเดียว คุมเกมส์ไม่อยู่ ครั้งนี้ มีิสิงห์ป้อม ไปช่วยหมวดประวัติ ส่วน อ.มงคล ไปเตรียมหามุมกล้องเพื่อบันทึกภาพ  ทางสิงห์ป้อมจะเป็นผู้ประสานงานกับหมวดประวัติ ว่า จะเริ่มตอนไหน และ จะโทร.มาบอกคุณแมว เป็นระยะ เพื่อให้ อ.อุบล ได้เตรียมตัวเดินทางไป โดยเขา จะมีคนขับรถก๊อล์ฟมารับ ซึ่งก็คือ หมอกุหลาบ กับน้องแตมป์นั่นเอง  ช่วงที่ใกล้เวลาบรรยาย สิงห์ป้อมได้โทร.มาบอกคุณแมวว่า พี่แมว บอกอาจารย์ด้วยว่า เดี๋ยวต้องเลื่อนเวลาออกไปสักหน่อย  ทำไมเหรอ  คือว่า....สิงห์ป้อมพูดกับคุณแมว เราไม่ได้ยินว่า เขาพูดอะไร แต่เห็นแต่ คุณแมวขำกลิ้ง เราก็ได้แต่คิดว่า สงสัยเขามีตลกขั้นรายการ บรรยาย ธรรมะบำบัดก่อนละมัง สิงห์ป้อม คงถ่ายทอดสด (หรือว่าสิงห์ป้อม ไปตด เรี่ยราด อีกแล้ว ทำอับอายขายหน้าอีกแล้ว ไปไหน ก็ตดดังอีตาหมอนี่ เรานึก) หาเหตุผล เพราะตอนนั้น คุณแมวหันมาบอกแค่ว่า เลื่อนเวลาค่ะอาจารย์ แต่ยังไม่ได้บอกเหตุผล ได้แต่ขำ แล้วคุยกับสิงห์ป้อมต่อ พูดไปหัวเราตัวหงิกตัวงอไป  โอ งานนี้ ตองมีโชว์อะไร ที่ไม่ธรรมดา แน่เลย คุณแมวจึงไม่ยอมวางสายสิงห์ป้อม มาบอกให้เรา ได้ร่วมหัวเราะบ้างเลย เราก็เลย พักผ่อนก่อนดีกว่า เพราะว่าไมค่อยได้นอน เอนหลังเลย สักงีบ ก็ยังดี แหะ แหะ เดี๋ยวคุณแมว คงจะถ่ายทอดภายหลังเอง ถ้าไม่เป็นความลับส่วนตัว หรือว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องสิงห์ป้อม ตด ว่างั้นเถอะ

เดี๋ยวมาเล่าต่อนะ ขอเวลาสักครู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์

 

ขออนุญาติขยายตัวอักษรค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น เพชรดา วรรณรักษ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 10:56:12


ความคิดเห็นที่ 150 (1624999)

 พอคุณแมว วางสายจากสิงห์ป้อม

ก็ขำต่อ

 

อ้าว

ะได้ฟังเรื่องตลกอะไรน้อ

กำลังเคลิ้มๆเลย คุณแมวก็เล่าไป ขำไป

 

อ.คะ ป้อมบอกว่า

เกิดจราจลเล็กน้อย ถึงปานกลาง

เนื่องจากว่า

พอหมวดประวัติประกาศไมค์ว่า

ช่วงเวลาต่อไปนี้ จะเป็นกิจกรรมอะไร

 

ก็ประกาศไป 

 ประมาณว่า กิจกรรมธรรมบำบัด

กับ อ.อุบล

เท่านั้นแหละค่ะ ก็เกิดจราจลกันขึ้น

ปกติผู้ปฎิบัติธรรม

ก็จะนั่งกันเป็นระเบียบ เรียบร้อย

เป็นแถว มีที่รองนั่ง อย่างที่พวกเราเห็น

ทางทีวีนั่นแหละ

 

คือนั่งกัน สบายๆ

เต็มห้องพอดี คุณแมวเล่าว่า

หลังหมวดประกาศว่า ต่อไปนี้

เป็นช่วงเวลา

 

ที่ท่านจะได้พบ อ.อุบล

ก็เกิด อลหม่านขึ้นทันที มีการย้ายที่นั่ง

มาออ กระจุกกัน

อยู่ข้างหน้าหมดเลย

 

ตอนแรก

ก็ยังพอมีคนอยู่ข้างหลังมั่ง

เรียกว่า ยังไม่ได้ลุกไปกันหมด

แต่พอเห็นว่า มีคนไปออ ข้างหน้ากัน

 

คนข้างหลังก็ย้ายถิ่นฐานกันมั่ง

ไม่สนใจแล้ว เรื่องแถว เรื่องช่องไฟ

เรื่องที่รองนั่ง

 

จะเอาแบบใกล้ๆ ที่สุดอย่างเดียว

 

หมวดประวัติ

(ในฐานะตำรวจมือปราบพระกาฬ)

จะปราบญาติธรรมจราจลได้อย่่างไรเนี่ย

 

แต่เราต้องยอมรับว่า

ปลัดนิรันดร์ เจ้าของบ้านไร่ปลายตะวัน

ตาแหลมคมมาก

ที่เลือก หมวดประวัติ

มาทำหน้าที่ เป็นแม่งาน

 

เพราะทำได้ทุกหน้าที่

ครบวงจร จริงๆ

ทั้งพิธีกร ทั้งต้อนรับ

ทั้งปราบม๊อบ 555  ทั้ง "จัดแถว"

555

แล้วก็สามารถ

ควบคุม การก่อจราจล

ให้เข้าสู่สถานการณ์ปกติได้  

 

อันนี้

ต้องยกความดีให้ หมวดประวัติ

และ ที่ลืมไม่ได้ คือ สิงห์ป้อม

ผู้ช่วยหมวดประวัติ

ไปช่วย "จัดแถว"ใหม่

 

จัดไปก็ขำไป

อันนี้ อ.อุบล

ต้องขอโทษสิงห์ป้อมด้วย

ที่ไปคิดว่า สิงห์ป้อม ไปตดทำขายหน้า

อันนี้ ก็เป็นเพราะว่า สิงห์ป้อมทำจน

พี่น้อง บ้านสวนเขา รู้กันหมดแล้ว

แม้แต่ตอนสิงห์ป้อมหน้าบวม

ตอนทำรั้วปลูกต้นโมก

ยังมีคนช่วยคิดกรรมให้สิงห์ป้อมว่า

อาจจะเป็นเพราะสิงห์ป้อม

ตดบ่อยเสียงดัง

ในบ้านสวนรึเปล่าครับ / ค่ะ อาจารย์

ถึงทำให้เป็นขนาดนี้ โชคดีที่ไม่ใช่

 

เอาเป็นว่า

 ที่เล่าเยิ่นเย้อมาทั้งหมดนี้  

เป็นประสบการณ์ การจัดกิจกรรมสัญจร นอกสถานที่

ที่มีความโกลาหลเกิดขึ้น

เล็กน้อยถึงปานกลาง

 

แต่ที่บ้านไร่ปลายตะวันนั้น

เป็นคนของเขาเอง

ไม่ใช่เกิดจากผู้ติดตาม อ.อุบล 

 

ซึ่งทำให้เรามองเห็นภาพรวม

ของการจัดกิจกรรมแบบ เปิดกว้้าง ได้

 

และ

นำมาเปรียบเทียบกัน

การจัดภายในของเขาเอง

ยังคุมไม่ค่อยอยู่เลย

 

แถมหมวดประวัติเล่าว่า

กิจกรรมครั้งหลังนี้ เกิดกรณี

คนเกินกว่า สถานที่พักรับรอง

 จะรองรับได้ขึ้น

 

เขาจัดติดต่อ 3 วัน

ผู้ร่วมกิจกรรมต้องค้างคืน แต่ที่พักนอน

รับได้แค่ 200-300 คนเท่านั้น

ผู้ต้องการเข้าร่วมเกินจะรับ

 

หมวดประวัติ โทร.บอก อ.อุบล

เพื่อปรึกษา ว่า จะมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ประมาณ กี่รถบัส  จำไม่ได้

เขาจะมากัน  

 

เขาบอกว่า

เขาไม่ค้างก็ได้ เขาจะมาแค่พบ

ฟัง บำบัดกับ อ.อุบล แล้วกลับเลย

ไม่รบกวนเรื่องที่พัก

 

อ.อุบล

บอกว่า ก็ให้เจ้าภาพ

เจ้าของสถานที่

พิจารณาห้องประชุมเอาก็แล้วกัน

ว่าจุได้เท่าไหร่ ตัดสินใจไปเลย

 

ก็เลยเป็นที่มาของการโกลาหล

แต่สิงห์ป้อมขำ คุณแมวขำ

แต่ยังไม่ได้ซักถามเลยว่า

ขำเพราะอะไรกันแน่ เพราะเห็นคนแก่

อยากนั่งหน้า หรือว่า

นึกถึงตัวเองตอนเป็นนักเรียน

ชอบนั่งหลัง

 

ส่วน ดร.จุ๋ม

มาหา อ.อุบล แรกๆ

นั่งบังเสาตลอด 

 

 อิ อิ อิ

ช่วยมาบอกหน่อยนะ

ว่าขำอะไรกันนักกันหนา

นี่มันงานธรรมะ นะ

ไม่ใช่

เดี่ยวไมโครโฟน

นะจ๊ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 12:03:30


ความคิดเห็นที่ 151 (1625012)

ธรรมบําบัด สัญจรที่ มหิดล  งานในวันนั้น ลูกบ้านสวนส่วนใหญ่ ตรต่อเวลา และพร้อมกันดีมาก จํานวนแยอะกว่าเจ้าภาพ  ทําให้บรรยากาศ ดูอบอุ่นเป็นกันเองมาก คุณดร.จุ๋ม เป็นผู้กล่าวเปิดงาน และได้บอกเล่าถึงประวัติ ของท่านอาจารย์ (นี้แค่คล่าวๆนะ) อันนี้ท่านบอกทีหลัง ท่านมีตําแหน่งหน้าที่การงานที่ทําประโยชน์ให้กับสังคม และประเทศชาติมากมายขนาดนี้เชียวหรือ  แล้วก็ซาบซึ่งโดนใจมากๆ ตอนท่านบอกว่า ถึงแม้นว่าทุกคนอยากจะรู้ประวัติท่าน หากรู้แล้ว  ก็ไม่ได้ทําให้ใครพ้นทุกข์ได้เลย  จะมีประโยชน์อะไรหละ ท่านอาจารย์บรรยายถึงเรื่องทาน การให้ทานต้องบริสุทธิ์สามอย่าง 

1.ศรัทธาบริสุทธิ์ ก่อนให้ต้องทําใจเบิกบานแจ่มใสมีอารมณ์ใจที่สะอาด ไม่เจือด้วยทุกข์ ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้เพื่อต้องการให้ผูรับมีความสุข

2.วัตถุทานบริสุทธิ์ คือ อาหาร สิ่งของ หรือปัจจัยที่ได้มาต้องบริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เช่นเรามีอาชีพทํานา ข้าวที่เราปลูก เราใช้ยาฆ่าแมลง ฆ่าหญ้า ฆ่าหนู ฆ่าหอย ที่มากัดกินข้าวในนาหรือไม่ หรืออาชีพ ราชการ มาสาย กลับก่อน ลาบ่อย เขียนข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อบิดเบือนความจริง หรืออาชีพค้าขาย ก็มาจากการมุสา โกหกปลิ้นปล้อน กระล้อน ตอแหลกับลูกค้า ชักชวนหลอกล่อให้ซื้อของแยอะๆ ได้กําไร ก้บอกไม่มีกําไร ของไม่สวย ก็บอกของสวยๆทั้งน้านนเลยยจ้าา เอาไปเลยเอาไปแยอะๆ

3.เนื้อนาบุญบริสุทธิ์ คือผูที่รับทานจากเรา ต้องบริสุทธิ์ด้วยศีล หากดูไม่ออก ให้เอาศีลมาจับ  ทั้งสามข้อ หากขาดข้อไดข้อหนึ่ง บริสุทธิ์ไม่ครบ บุญก็ไม่บังเกิดขึ้นกับเราฉับพลันทันที

ท่านอาจารย์อธิบายให้ฟังจบ ก็เริ่มการบําบัดโดยเริ่มตั้งแต่หัวไล่ลงมา ใครปวดหัว ปวดคอ ปวดบ่า คนที่มีอาการยืนขึ้นกันมากมาย เมื่อยอมรับสารภาพบาปตามที่ท่านอาจารย์ บอกเหตุไว้ ต่างก็หายกันเป็นแถว มีหลายคนของคณะเขตร้อน ที่จิตไม่เปิดรับ เรียกว่าจิตต้าน นั้นเองโดยเฉพาะน้องคนหนึ่งที่เป็น เลขา ประธานจัดงานคือ ดร.วิชิต เธอผู้นี้บอกว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสติ์ต้องฆ่าหนูเพื่อทดลอง  ดูเธอไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่คิดที่จะทดลองดูว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองตรงหน้านั้นจริงหรือไม่ คืออยากหาย แต่ไม่ยอมรับ แบบสํานึกผิดว่า ตนเองเป็นผู้กระทําเหตุนี้ไว้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่หน้าเสียดายมากๆ ที่โอกาสทองอยู่ในมือแท้ๆ แล้วเธอก็ปล่อยให้หลุดไปได้ ส่วนคุณดร.วิชิตแก ก็ประมานว่าอยากเชื่อ แต่คงอยากพิสูทรให้เห็นแบบจัดหนัก แสดงว่าที่แกบอกว่า พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณมีจริง อาจจะรู้แค่เปลือกนอก หากไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมมีจริง  เพราะทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ การขอดับเหตุ คือการสารภาพสํานึกผิด ขออโหสิกรรม และตั้งใจว่าจะไม่ทําอีก แต่ต้องสารภาพกับอาจารย์ อุบลเท่านั้นนะถึงจะหาย  อันนี้อาจจะเป็นการบ้านให้คิดหนักก็ได้ นะ แต่ลูกบ้านสวนทุกคนรู้ดี ว่าการสารภาพบาปแบบไม่บิดเบือน เป็นการปลดทุกข์ได้จริง  

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อร อุ่นศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 13:13:18


ความคิดเห็นที่ 152 (1625013)

 ที่บ้านไร่ปลายตะวัน ครั้งล่าสุด

ก่อนจะถึงเวลาบรรยาย

อ.อุบล จะอยู่ที่ บ้านพัก

ซึ่งห่างจากหอประชุมพอประมาณ ได้ยินเสียงตามสาย

แต่ทีมงานของพวกเรา จะเข้าไปร่วมสังเกตุการณ์

และ ช่วยเขาดูแลคณะผู้มาปฏิบัติธรรม

เพราะมีจำนวนมาก หมวดประวัติ เป็นคนใช้ไมล์คนเดียว

คุมเกมส์ไม่อยู่ ครั้งนี้ มีิสิงห์ป้อม ไปช่วยหมวดประวัติ

ส่วน อ.มงคล ไปเตรียมหามุมกล้องเพื่อบันทึกภาพ  

ทางสิงห์ป้อมจะเป็นผู้ประสานงานกับหมวดประวัติ ว่า

จะเริ่มตอนไหน และ จะโทร.มาบอกคุณแมว เป็นระยะ

เพื่อให้ อ.อุบล ได้เตรียมตัวเดินทางไป

โดยเขา จะมีคนขับรถก๊อล์ฟมารับ

ซึ่งก็คือ หมอกุหลาบ กับน้องแตมป์นั่นเอง  

ช่วงที่ใกล้เวลาบรรยาย สิงห์ป้อมได้โทร.มาบอกคุณแมวว่า

พี่แมว บอกอาจารย์ด้วยว่า เดี๋ยวต้องเลื่อนเวลาออกไปสักหน่อย  

ทำไมเหรอ  คือว่า....สิงห์ป้อมพูดกับคุณแมว

เราไม่ได้ยินว่า เขาพูดอะไร แต่เห็นแต่

คุณแมวขำกลิ้ง เราก็ได้แต่คิดว่า

สงสัยเขามีตลกขั้นรายการ บรรยาย ธรรมะบำบัดก่อนละมัง

สิงห์ป้อม คงถ่ายทอดสด

(หรือว่าสิงห์ป้อม ไปตด เรี่ยราด อีกแล้ว

ทำอับอายขายหน้าอีกแล้ว

ไปไหน ก็ตดดังอีตาหมอนี่ เรานึก)

หาเหตุผล เพราะตอนนั้น คุณแมวหันมาบอกแค่ว่า

เลื่อนเวลาค่ะอาจารย์

แต่ยังไม่ได้บอกเหตุผล ได้แต่ขำ

แล้วคุยกับสิงห์ป้อมต่อ พูดไปหัวเราตัวหงิกตัวงอไป  

โอ งานนี้ ตองมีโชว์อะไร ที่ไม่ธรรมดา แน่เลย

คุณแมวจึงไม่ยอมวางสายสิงห์ป้อม

มาบอกให้เรา ได้ร่วมหัวเราะบ้างเลย

เราก็เลย พักผ่อนก่อนดีกว่า

เพราะว่าไมค่อยได้นอน เอนหลังเลย สักงีบ ก็ยังดี

แหะ แหะ

เดี๋ยวคุณแมว คงจะถ่ายทอดภายหลังเอง

ถ้าไม่เป็นความลับส่วนตัว หรือว่า

ถ้าไม่ใช่เรื่องสิงห์ป้อม ตด ว่างั้นเถอะ

เดี๋ยวมาเล่าต่อนะ ขอเวลาสักครู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์

ผู้แสดงความคิดเห็น เบญจรัตน์ สีทองสุก ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 13:18:36


ความคิดเห็นที่ 153 (1625026)

ขอพูดถึง

บรรยากาศ ที่บ้านไร่ปลายตะวัน

อีกหน่อย เพราะ ประทับใจ

เจ้าภาพผู้จัด

คือ

เรียกว่า เขาเป็น มืออาชีพ

ด้านการ จัดการ การรองรับคน จำนวนมาก

เพราะ เขาทำกิจกรรมประจำ

เดือนละ 2 รอบ นี่คือ

กิจกรรม ของเขาเอง ไม่รวมถึง

ผู้ไปขอใช้สถานที่

ซึ่งเขาให้ใช้ฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย นะ

 

แล้วสถานที่เขา

ยังกะ รีสอร์ท แน่ะ อากาศดีมาก

เนื้อที่หลายร้อยไร่ ต้องใช้รถยนต์

หรือ รถกอล์ฟ ในการเดินทาง

ภายใน ว่างั้นเถอะ

 

นึกถึงบ้านสวนพีระมิด

แค่ 20 ไร่

ยังต้องใช้รถกอล์ฟเลย แต่ของบ้านไร่

รถกอล์ฟเค้า เพียบ เลย ไม่รู้จำนวน

ส่วนของ อ.อุบล มีคันเดียว

นี่ก็เป็นอภินันทนาการ จากเจ้าของ

สนามกอล์ฟ ใจบุญ

คุณธีระ+คุณบุญศิริ จากสนามกอล์ฟ

เอ็น ซี อาร์ นครปฐม

และ เจ้าของโรงแรม พัทยา เบย์

ซึ่งนำมาให้ทั้งรถกระบะเล็ก

และ ระกอล์ฟ เราใช้กันอย่างคุ้มค่าเลย

เมื่อวันเสาร์ ยิ่งเห็นคุณค่า

เราขนฟืนกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงใช้รถเข็น

กับรถไถเล็ก ใส่พ่วง แต่นี่ เราใช้กระบะเล็ก

รถเข็น อ.สมศักดิ์ นำมาให้คันใหญ่

อีก 2 คัน และ ที่ คุณมงคล เสี่ยร้าน

กระจก อลูมีเนียม จากเชียงราย

ซื้อมาให้อีกหลายคัน และ ท่านอื่นๆ

อีกหลายคัน ขนกัน

 

ตอนจะขนกิ่งไม้ ที่ตัดออก ก่อนย้าย

บ้านไม้ไผ่ อ.อุบล ก็ใช้รถกอล์ฟ

แล้วให้คุณอัง กับลูกสาว ถือกิ่งไม้ไว้

มือหนึ่ง อีกมือหนึ่ง เกาะรถกอล์ฟ

ยืนไป ลากไปด้านหลัง

ทั้งสนุก ทั้งได้งาน ได้บุญ ทั้งเร็ว

ใช้เกินคุ้มเลย

 

อ้าว

ออกนอกเรื่องอีกแล้วเรา

จะเล่าเรื่อง บ้านไร่ปลายตะวัน

ไปเรื่องรถกอล์ฟ เฉยเลย

 

เอาเป็นว่า

เมื่อครั้งที่ อ.อุบล ไปบ้านไร่ฯ

ครั้งแรกนั้น ไม่ได้ไปบำบัด

ไปกราบครูบาอริยชาติ

ตามคำเชิญ

ของเจ้าของบ้านไร่ ผ่านมาทาง

ร.ต.ต.ประวัติ ทองมา

 

ตั้งใจว่า

กราบท่านแล้ว เช้าก็จะกลับ

แต่เช้า

 

แต่เจ้าของบ้าน ใจดี

บอก ต้องทานอาหารเช้าก่อน

ระหว่างทานอาหารเช้า

มีนักการเมือง

ทั้งระดับประเทศ และ ท้องถิ่น

มารอกันเยอะแยะ เราก็แปลกใจ

อ้าว รู้ได้ไงเนี่ย ไปชวนญาติพี่น้อง

มากันเป็นรถๆ เลย แถมมาเชิญ

ไปเหยียบ โรงแรม ห้าดาว ให้หน่อย

 

ตายแล้ว

อ.อุบล เอ๋ย ไม่เคยทำเลย

ขอสารภาพ คิดได้ไง ไปเหยียบ

โรงแรม ให้เป็นศิริมงคล

ทำไมไม่ไปเชิญ

อ.มงคล

เล่า

 

มาเชิญผิดคนแล้ว

อ.อุบล เหยียบได้แต่เจ้าของโรงแรม

เขาบอกว่า

จะเหยียบเจ้าของโรงแรมก็ได้

แต่ต้องไปเหยียบที่โรงแรม

อ้าว

ท่าทาง เราจะโดน ล่อลวง

ไปเหยียบ ซะมากว่า นะงานนี้

เลยไม่ได้ไป

(อ่ะ ล้อ เล่น)

 

ระหว่างทานข้าว

มีคนแต่งชุดขาว มารอพบ

มาเป็นชุดๆ ชุดละ 3-4 คน

 

ตอนนั้น ส.ส.ประนอมมาคุยด้วย

แต่ญาติธรรมชุดขาว ไม่สนใจ

ขอเข้ามากราบอย่างเดียว

 

เราก็ โอ้ย อ๊าย อาย

มากราบกันทำไมเนี่ย ใครสั่ง

ใครสอน ให้ทำแบบนี้

 

แหะ แหะ

พวกเมื่อกี้เล่าให้ฟัง

ว่าเขามากราบ อ.อุบล แล้วหาย

ปวดแข้งปวดขา หายกันหมดเลย

เลยอยากมากราบมั่ง

 

ตกลง

อยากกราบ หรือ อยากหาย

 

อยากทั้งสองอย่างจ้า

อาจารย์จ๋า

 

แล้วถ้ากราบแล้ว

เกิดไม่หายขึ้นมาจะทำไง

อ.อุบล ต้องกราบคืนไหม

ตกลงกันก่อน

 

ไม่ต้องจ้าอาจารย์

ให้ฉันกราบเถอะค่ะ ฉันปวดขา

 

ยังไม่ได้ตอบตกลง

หรือ ห้ามเลย

กราบกันก่อนแล้ว ความอยากหาย

มันไม่ปราณีใครจริง

 

พอแกเงิยหน้าขึ้นมา

อุ๊ย

หายแล้วจริงๆ

โอ้ย เป็นบุญ ของฉันจริงๆ

อาจารย์เอ้ย ปวดทรมานมานาน

หลายสิบปีแล้ว สาธุ สาธุ

ขอบคุณอาจารย์

หลายๆเด้อ ขอให้อาจารย์

สวย อายุยืน เด้อ อาจารย์เด้อ

ฉันไปละเด้อ อาจารย์

 

แล้วก็มีชุดใหม่มาอีก

 

เอ

อย่างนี้ ไม่เข้าทีซะแล้ว

 

ถือว่า

อ.อุบล กำลังทำให้

เขาเสียระบบ การจัดกิจกรรม

โดยไม่ได้ตั้งใจ โดยไม่เจตนา

แต่ต้องสร้างปัญหา

แน่นอน

 

พอดี

หมวดประวัติ

คนฉลาด อ่านเกมส์ขาด

มาบอกว่า อาจารย์ครับ

ถ้าอาจารย์ จะเมตตา ผู้มาปฎิบัติธรรม

ในห้องประชุม ที่อยากพบ อ.อุบล

จะได้ไหมครับ

 

เราก็นึก

เรามาผิดงานป่าวเนี่ย

 

นี่ไม่อยู่ในกำหนดการนี่นา

จึงต้องขอ พุทธานุญาต ดูก่อน

ว่า

จะทรงวินิจฉัยอย่างไร

เพราะเดี๋ยวจะ

เกินพอดี

ของหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย

 

เลยขอกราบบังคมทูล

ขอองค์พระปฐมบรมธรรมบิดา

ทรงวินิจฉัย สุดแต่ทรงบัญชา

ข้าพระพุทธเจ้า

พร้อมเสมอ ที่จะปฎิบัติตาม

 

ทรงตรัสว่า

เธอจงนำพระธรรมอันงดงาม

ของตถาคต ไปแสดง

ให้บันลือสีหนาท

 

โอ้

ลูกจะทำได้หรือเจ้าคะ

ลูกไม่ทันเตรียมตัว

และ

ลูกแต่งตัวไม่เหมาะสมพระพุทธเจ้าค่ะ

(เสื้อเขียวตอง กางเกงขมพูบานเย็น)

และอีกอย่าง คนเยอะมาก

ลูกจะทำอย่างไรเจ้าคะ

ในเวลาสั้นๆ

ให้ทุกคน รับสัมผัส พระธรรม

อันงดงาม ได้ทั่วถึงกัน

 

วันนี้

ตถาคต จะมอบ วิชาใหม่

มาให้เธอ เดี๋ยวนี้

ให้เธอ สามารถ บำบัดหมู่ได้

คือ

หายพร้อมกัน ทั้งห้องประชุมได้

ด้วยปัญหาเดียวกัน

ให้สมาทานศีล พร้อมกัน โดยให้เขา

เปล่งวาจา สารภาพ ออกมา

ตถาคตจะถือว่า

เขา แสดง อาบัติ จะอนุโลม

ให้เขาสัมผัสความสุขแห่งพระธรรม

ที่เธอ นำออกแสดงได้ ในวันนี้

 

จะทำได้ อย่าง

อัศจรรย์

เช่นนี้ เลยหรือ พระพุทธเจ้าค่ะ

 

เจริญพร

 

แล้วถ้าเขาไม่หายล่ะเจ้าคะ

เพราะลูกยังไม่เคยลอง

ที่ไหนมาก่อนเลย

แม้แต่ทีบ้านสวนพีระมิด

ก็ยังไม่เคยบำบัดหมู่เลย

พระพุทธเจ้าค่ะ

 

ถ้าไม่หาย

ก็แสดงว่า เธอ ไม่ได้มา

ขอพุทธานุญาต ตถาคนจริง

เมื่อเธอเชื่อมั่นใน ตถาคต ใยเธอ

จึงต้องหวั่นไหว

 

ข้าพระพุทธเจ้า

เชื่อมั่นในพระองค์

แต่

ไม่เชื่อมั่นในตนเอง พระพุทธเจ้าค่ะ

 

แสดงว่า

เธอยังมี อัตตา ยังห่วง

ภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่อีกหรือ

 

(อายมาก

ทำให้คิดได้ว่า

เรามอบกายถวายชีวิต

ให้พระองค์แล้ว

เราไม่มีตัวตนแล้ว

เราเป็นสมบัติของพระองค์แล้ว

ไม่มีสิทธิ์ คิดโต้แย้ง พระบัญชา)

 

ข้าพระพุทธเจ้า

จะไม่นึกถึง ตัวเอง อีกแล้ว

พระพุทธเจ้าข้า

 

แต่ข้าพระพุทธเจ้า

จะบอกเขาอย่างไร ว่านี่ไม่ใช่

ข้าพระพุทธเจ้า ทำเอง

 

ความจริงเป็นอย่างไร

เธอก็บอกไปอย่างนั้น ให้ใช้ความจริง

 

ความจริง

ก็คือ พระพุทธองค์ ทรงเป็นผู้

อยู่เบื้องบน อยู่เบื้องหลัง

ปรากฏการณ์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าข้า

 

แต่ว่า............

 

เธอเกรงว่า

จะมีคนโต้แย้ง ว่าไม่เชื่อ

ว่า ตถาคต เป็นผู้ แสดงฤทธิ์ ใช่ไหม

 

เจ้าค่ะ

 

ตถาคต

ไม่ได้ แสดง ธรรมะ

เพื่อให้ทุกคนเชื่อ แต่แสดงเพื่อ

ให้คนพ้นทุกข์ โดย ใช้ปัญญา

สิ่งที่ผู้คนจะได้เห็นวันนี้

คนมีปัญญา เขาจะต้อง หาเหตุผล

ต้องนำไปคิด พิจารณา แต่ว่า

เขาอาจจะยังไม่เชื่อ

ด้วยเหตุที่

ไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้ที่ใดมาก่อน

ดังนั้น เธอจงอย่าด่วนสรุป

ว่าเขา ไม่มีปัญญา เขาไม่ศรัทธา

เพราะ ปัญญา มันมักจะมา

ภายหลังจากความทุกข์ และ ปัญหา

ที่เกิดกับตัวเขาเอง แล้วเขารับรู้เอง

แต่สำหรับบางคน ซึ่งเป็นบัวพ้นน้ำ

เขาไม่ต้องรอให้ ปัญหา

เกิดขึ้นกับตัวเอง

เขาสามารถ ใช้ ปัญญาญาน

ซึ่งเหนือกว่า ความรู้ ในทางโลก

มาตัดสินได้ทันที ที่เห็นปรากฏการณ์

แต่สำหรับ บัวปริ่มน้ำ เธอจงเข้าใจ

เขาต้องการเวลา พ้นน้ำก่อน

ส่วนบัวใต้น้ำนั้น

ต้องใช้เวลามากกว่า บัวปริ่มน้ำ

แต่อย่างไร ก็จะผุดขึ้นมาได้

 

ส่วนบัวใต้โคลนตมนั้น

ตถาคต เคยบอกเธอว่า อย่างไร

 

ไม่ต้องสนใจ

พระพุทธเจ้าค่ะ เพราะ

ไม่มีวัน ผุด โผล่ ขึ้นมาได้เลย

รังแต่จะเป็นเหยื่อของ

เต่า ปู ปลา

พระพุทธเจ้าค่ะ

 

แล้วเธอยังกลัวอะไรอีก

 

ไม่กลัวอะไรเลย

พระพุทธเจ้าค่ะ

 

ถ้าเช่นนั้น

เธอจงประกาศพระธรรม

ที่เธอนำออกแสดง

ในวันนี้

ให้บันลือสีหนาท

ประกาศว่า

ตถาคต เสด็จมา กับเธอ

 

พระพุทธเจ้าค่ะ

ลูกจะทำอย่างองอาจ

ไม่หวาดหวั่น

ต่อบัวใต้โคลนตม

พระพุทธเจ้าค่ะ

 

นี่เป็นที่มาของ

การ "บำบัดหมู่" ครั้งแรก

ที่บ้านไร่ปลายตะวัน

อย่างไม่มี

โปรแกรม ล่วงหน้า

 

เหมือนกับ

การอาราธนา บารมีพระศรีอาริย์

ที่ มหิดล เขตร้อน ก็เช่นกัน

ไม่มีในกำหนดการเดิม

เลยสักนิด

 

ท่านไม่เคยให้เวลา

อ.อุบล

ได้มีโอกาสตั้งตัวเลย

 

นี่กำลังจะพูดถึง

วิธีการ จัดการ ของ

เจ้าของ และ แม่งาน

บ้านไร่ปลายตะวัน เลยยาวเลย

 

เดี๋ยวมาต่อนะจ๊ะ

ยัง บ่ จบ จ้า

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 14:24:48


ความคิดเห็นที่ 154 (1625040)

ส่วนเรื่อง

การแต่งกาย เรื่อง

การไม่ได้เตรียมตัว นั้น

ขอข้ามไปก่อน เผื่อบางคน

อาจไม่อยากรับรู้ก็ได้

ว่าพระพุทธองค์

ทรงรับสั่งอย่างไร ถ้าใครอยากรู้

ค่อยมาแสดงเจตนาก็แล้วกัน

 

---------

คราวนี้

ก็มาถึงเรื่องที่ ตอบรับ

หมวดประวัติไป

ว่า

เอางี้นะ อ.จะบำบัดหมู่

ซึ่งไม่เคยทำเหมือนกัน ใช้เวลาสัก

15-20 นาทีก็พอ

 

อ.อยากได้เวลาไหนครับ

เอาหลังญาติธรรมทานอาหารกลางวัน

ดีกว่านะ กิจกรรมเดิม จะได้ไม่สะดุด

และ

อีกอย่าง ให้หมวดประวัติ

ไปถามญาติธรรมดูก่อนว่า

เขาอยากจะเจอ อ.อุบล กันรึเปล่า

หรือ มีแค่บางคน

เราต้องเอาคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ส่วนน้อย

ถ้ามีคนทีเขาคัดค้าน ไม่ต้องการ

ก็ยกเลิกไป ทางบ้านไร่

ก็จะได้ทำกิจกรรมเดิม ที่วางแผนไว้

อย่ามาเสียเวลาเลย

 

ไม่เสียเวลาหรอกครับอาจารย์

เอาสัก 1 ชั่วโมงได้ไหมครับ

 

------------

ว่าแล้ว ปลัดนิรันดร์ ผู้ใจดี

(แต่ต้องไม่มีกล้อง)

ก็พาไปเที่ยว วัดต่างๆ และ

พาชมอาคาร ต่างๆ ในบ้านไร่

ท่านใจดีจริงๆนะ

 

เห็นที่ดินข้างๆบ้านไร่

ท่านก็ถาม ว่า อ.อยากทำ

บ้านสวนพีระมิด 2 ไหมครับ

ที่ตรงนี้เขาจะขาย

 

โห

บ้านสวน 1 มีที่ 20 ไร่

ยังเอาตัวไม่รอดเลยค่ะ

 

พอผ่านบ้านสีประจำวัน

คือ จันทร์ ถึง อาทิตย์

ท่านให้ทาสีบ้านตามวันเลย

ท่านชี้ให้ดู

แล้วบอกว่า ครั้งต่อไป อ.มาพัก

บ้านหลังนี้ก็ได้นะครับ

(เดิมให้พักบ้านหมอเก่ง ลูกชายท่าน

ซึ่งเป็น อาจารย์หมอ อยู่รามาฯ)

 

ตอนทานอาหาร

ท่านก็บอกว่า ผมจะให้คนงาน

ทำป้ายติด ว่า ห้องอาจารย์อุบล

ซึ่งท่านชี้ไป เราก็ไม่ทราบหรอก

ว่าห้องไหน

 

โอ

อ.อุบล คงไม่มีวาสนา

ได้มาใช้ห้องหรอก ไม่ใช่ใกล้เลย

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

 

ตอนที่ท่านพาไปวัด

ท่าซุง สาขา 9

คุณป้า พี่สาวภรรยาท่าน

บอกว่า พาอาจารย์ ไปกราบพระศรีอาริย์สิ

อยู่ไหนคะ

ลงไปทางโน้นค่ะ

 

ไกลไหมคะ

 

ก็พอประมาณค่ะ สัก 1 กม.ได้

 

เดินไปเหรอค่ะ / ค่ะ

 

ปลัดนิรันดร์ท่านมาช่วยไว้ทัน

เพราะ อ.อุบล ยอมแพ้

เดิน 1 กม.

ไม่ใช่อะไร ใส่ส้นสูง น่ะฮ่ะ

ท่านพูดว่า

 

ป้าแต๋ว

อย่าพึ่งพาอาจารย์ไป

ครบหมดทุกที่ซิ

เดี๋ยวอาจารย์ไม่ยอมมาอีก

 

ท่านปลัดนิรันดร์

ที่หมวดประวัติ รักนัก รักหนา

เรียกว่า นาย เรียก ลูกพี่

บอกว่า

ลูกพี่ผม ขี้อาย ไม่ชอบออก ทีวี.

ท่าทางจะจริง เดินแอบหลัง

อ.มงคล ตลอดเลย

ถ้าไม่มีกล้องนะ คุยเล่นสนุกมาก

พอเจอกล้อง หลบเลย

-------

ย้อนมาที่

วิธีแก้ปัญหา ของบ้านไร่ ปลายตะวัน

พอครั้งแรก คนหนีห้องประชุม

มาหา อ.อุบล กันทีละกลุ่ม

เขาก็แก้ปัญหา

โดย

ไม่บอกว่า อ.อุบล จะมาวันไหน

ส่วนคนที่ไม่ได้มาค้าง แต่อยากมา

ก็ให้รู้ได้ ให้มาร่วมบำบัดได้

 

ส่วนพวกชอบหนี

ครั้งนี้

ไม่มีใครเล็ดลอดออกมาเลย

แต่มาวงแตก

ตอนแย่งกันนั่งหน้านี่แหละ

สรุปว่า

เขาแก้ปัญหาได้เก่งจริงๆ

 

ก็เอาตำรวจมือปราบ

ระดับพระกาฬ

มาคุม มานำ มาเป็นพิธีกร

มาต้อนรับแขก

ทั้งครอบครัว เรียกว่า

วันสต๊อป เซอร์วิส เลยทีเดียว

ทำไม จะเอาไม่อยู่ล่ะ

 

-------------

ทำให้ อ.อุบล

นึกถึงบ้านไร่ ก่อนไป มหิดล

จะจราจล แค่ไหน ถ้าคุมคนไม่ได้

เพราะขนาด บ้านไร่ ตำรวจคุม

ยังชุลมุน ชุลเก ขนาดนี้

 

ที่สำคัญ

คนที่บ้านไร่นี่

เป็นคนของเจ้าถิ่นทั้งหมด

 

อ.อุบล

มีผู้ติดตาม ในฐานะ ทีมงาน

ผู้ช่วย แค่ 3 คนเท่านั้น

และ

ไม่มีการบอกใครล่วงหน้าเลย

ปิดเป็นความลับเงียบกริบ

กลับมาค่อยรู้กันดีกว่า

 

แค่เจ้าภาพ

สถานที่ก็ไม่เพียงพอรองรับแล้ว

ขืนประกาศให้ผู้ติดตาม

อ.อุบล ไปร่วมได้อีก ละคงหนุกน่าดู

 

ย้อนมาดู

ที่มหิดล และ อยุธยา

กันดีกว่า

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 15:46:48


ความคิดเห็นที่ 155 (1625052)

ส่วนที่

ม.เทคโนฯ สุวรรณภูมิ

อยุธยา

 

อ.ปัทมานำหนังสือเชิญมา

วันที่ครูบาอริยชาติ

มาพอดีเลย

 

แต่ได้มาคุยไว้ก่อนแล้ว

เพื่อดูวันที่ว่างตรงกัน

แต่จริงๆ

อ.อุบล ไม่เคยว่าง นอกจาก

ต้องทำให้ว่างให้ได้

 

วันที่ไปอยุธยานี่

วันเสาร์

เป็นวันกิจกรรมของบ้านสวนพีระมิด

ซึ่ง อ.อุบล จะไม่ยอมยกเลิก

กิจกรรมบ้านสวน

เด็ดขาด

 

ด้วย

เวลาเหลือน้อยแล้ว

แต่ละวินาที ที่คนได้มีโอกาส

มาสร้างบุญในบ้านสวนนั้น

คือ

ลมหายใจ

อันมีค่ายิ่ง ของคนที่เข้ามา

ไม่อยากพูดให้คน

มีกิเลสในการมามากหรอก

แต่มันก็พิสูจน์ผล

กันมาแล้ว

 

ดังนั้น อ.อุบล ไม่ยกเลิก

การทำกิจกรรมบ้านสวน

แต่ รับเชิญ อ.ปัทมา วันเสาร์ด้วย

แต่ไม่ได้บอกใครอีกเช่นกัน

 

เพราะว่า

เดี๋ยวจะเหมือนกับ

สัญจร วัดใหม่สันติธรรม ลพบุรี

ไปกัน ซะจน พระในวัด งง

นี่งานสวดหลังเคลื่อนพระศพหลวงพ่อแล้วนะ

เล่นเอา กุฏิที่เก็บสังขารหลวงพ่อ

ไม่พอนั่งกันเลย

ต้องลงมาอยู่กันด้านล่าง

ซาบซึ้งมาก

ที่พวกเรา เป็นห่วง อ.อุบล กัน

ตามคุ้มครอง คุ้มกัน กันน่าดูเลย

ไปไหน แห่กันไป เป็นร้อยๆ

จนเจ้าภาพ ต๊กกะใจ

------

วันไปสุวรรณภูมิ

ก็ไม่ประกาศ ไม่แจ้งล่วงหน้า

เดี๋ยวกลับมาค่อยให้รู้

ตอนดู ที.วี.ดีกว่า

------

เจ้าภาพ มีผู้เข้าฟัง บรรยาย

เป็นนักศึกษา ปี 1 + ปี 3

350 คน + จนท.+อาจารย์+ทีมจัดงาน

อีกจำนวนหนึ่ง

 

ซึ่งรวมแล้ว น่าจะประมาณ

400 กว่าคน

------

ครั้งนั้น

มีผู้ติดตาม อ.อุบล ไป

7 คน ฐานะ ทีมงาน

 

คิดดูสิ

ถ้าไปกันเป็นกองทัพ

เหมือนวัดใหม่สันติธรรม

ไปเจอกับ นักศึกษาสุวรรณภูมิ

จะทำยังไงกัน

-------

ที่สุวรรณภูมิ

คณบดี

บอก อ.ปัทมา ว่า ใครจะมาเป็น

วิทยากร

อ.อุบล บ้านสวนพีระมิดค่ะ

 

ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อเลย

ไม่เห็นดังเลย มีประวัติไหม ขอหน่อย

 

วิทยากรคนนี้

ไม่มีประวัติค่ะ เอาไว้เจอตัว

แล้วจะรู้เองค่ะ

 

-------

คณบดี อาจารย์ทั้งหลาย

ไม่ค่อยสบายใจ ในการจัดกิจกรรม

ของ อ.ปัทมาครั้งนี้

เพราะ

 

หลังจากที่ อ.ปัทมา

นำหนังสือเชิญมาให้ อ.อุบล

วันเสาร์

 

พอวันพุธ นักศึกษาตีกัน

รุมกระทืบนักศึกษา

ซึ่งเป็นลูกพัศดีเรือนจำเข้า

เป็นเรื่องใหญ่เลย

 

ต้องไปเอาคอมมานโดชุดดำ

มาคุมเข้ม เต็ม มหาวิทยาลัยกันเลย

 

เรียกว่า

บรรยากาศ การตีกัน คุกรุ่นมาก

แต่ อ.อุบล ไม่รู้เรื่องด้วยหรอก

 

วันที่ อ.ปัทมา มารับ

ได้เล่าให้ฟัง ระหว่างนั่งรถไป

ว่า ที่จริง งานนี้ เขาสั่งให้

งด

แต่ อ.ปัทมา เห็นว่า

นี่แหละ ยิ่ง ต้องจัดให้ได้

 

เราก็สงสัย

มันเกี่ยวอะไรกับการที่

นักศึกษาตีกันคะอาจารย์

การบรรยายธรรมะ

จะทำให้นักศึกษาตีกันได้ยังไงคะ

 

โอ๊ย

มันตีกันได้ทุกงานค่ะ

 

ตีตอนไหนคะ

 

ก็ตอนวิทยากรบรรยาย

นี่แหละค่ะ

 

แล้วเค้าตีกันเรื่องอะไรคะ

 

ก็ตีได้ทุกเรื่องแหละค่ะ

 

มองหน้ากันไป

นั่งไปนั่งมา มองหน้ากันแล้ว

หมั่นไส้กัน มันก็ตีกันได้ค่ะอาจารย์

 

ต่อหน้าวิทยากรเนี่ยนะคะ

 

ค่ะ

 

แล้วที่ผ่านมา

วิทยากรเป็นพระหรือฆราวาสคะ

 

พระมันก็ตีกัน

มันบอก มันเบื่อฟังพระ

งานนี้ มันบอกว่า ถ้าเอาพระมาอีก

มันจะนอนฟังต่อหน้าพระ

เลยคิดว่า

ไม่มีใครหรอกค่ะ ที่จะเอาพวกนี้อยู่

นอกจาก อ.อุบล คนเดียว

 

อ.คิดอย่างนั้นเลยเหรอคะ

 

เราก็คิดในใจ

ทำไม อ.ปัทมา พึ่งมาเล่า

ตอนขึ้นรถ เดินทางมาแล้วนะเนี่ย

ทำไมไม่เล่าก่อนขึ้นรถนะเนี่ย

หันไปดูผู้ติดตามข้างหลัง

พวกสูเจ้า จะรู้ชะตากรรม กันไหมเนี่ย

ว่าวันนี้ สูเจ้า จะไปเจออะไร

อ.อุบล น่ะ ไม่เท่าไหร่

วิ่งเก่ง 555

เพราะมีหลวงพ่อโกยหลายองค์

แต่ พ่อใหญ่อมรนี่สิ

ท่าทางวิ่งไม่ทันแน่เลย

ส่วนพ่อใหญ่ธนา ก็บักจ่อย

กระดูกขา ที่หักมาแล้ว จะหักอีก

เป็นรอบสองรึเปล่าเนี่ย

จะวิ่งทันไหมเนี่ย

 

ส่วนน้องเอิ้น

ไหนจะตาบอดสนิท 1 ข้าง

ไหนจะบอบบาง แถมโรคเอดส์

โอ๊ย จะวิ่งไหวรึเปล่า

ตาข้างที่เห็นก็พร่ามัว เกิดวิ่งไป

สะดุดขาพวกนักเลงเข้า

จะพาลบอดอีกข้าง

รึเปล่าเนี่ย

 

ส่วนสิงห์ป้อม กับหนูไอซ์

น่าจะพอใช้เสน่ห์

หว่านไป เอาตัวรอดได้

 

แต่ยายแมวนี่สิ

ไหนจะห่วงกระเป๋า อ.อุบล

ไหนจะอุ้มท้องอีก

ไหนจะห่วงสวัสดิภาพความสวย

ของ อ.อุบล อีก ตกลง

จะได้หนีกะเค้าไหมเนี่ย ถ้าเกิดมีตีกันเนี่ย

 

แล้วรหัส อ.อุบล ช่วยด้วย

จะทันได้ใช้ หรือ นึกทันไหมเนี่ย

555 555 555

อ.ปัทมา ช่างทำกับหนูได้

 

ไม่ฉงฉาน

พวกหนูกันบ้างเยยย

 

หนูออกจะสวย

บอบบาง

 

เราถอยไม่ได้แล้ว

เราขึ้นรถมากับเขาแล้ว

แล้วเขาก็ไม่ให้เราลงกลางทางด้วย

ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ

หนูจะฟ้องแม่ให้ดู ถ้าหนูกลับบ้านได้

---------

พอไปถึง

ลงรถ ขึ้นไป ห้องประชุม

ใหญ่โต มโหระทึก

ประตูกระจก

แต่เรายังเข้าไปไม่ได้

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 17:31:14


ความคิดเห็นที่ 156 (1625053)

แต่ยายแมวนี่สิ

ไหนจะห่วงกระเป๋า อ.อุบล

ไหนจะอุ้มท้องอีก

ไหนจะห่วงสวัสดิภาพความสวย

ของ อ.อุบล อีก ตกลง

จะได้หนีกะเค้าไหมเนี่ย ถ้าเกิดมีตีกันเนี่ย

-*-*-*-*-*-*-*-*-

5555555555+++ Oop

ท้องแตกไม่ว่า

แต่

อาจารย์ข้า ใครอย่าแตะ

ขอบอกคร๊าบ.บ.บ.  เจ้านาย

ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 17:43:35


ความคิดเห็นที่ 157 (1625056)

ไปที่อยุธยา

ต้องไปรอเค้าเปิดประตูให้

เป็นประตูกระจก แต่ล็อกไว้

 

ตอนแรกนึก

เอ นี่เขากลัว เราเข้าไป

ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย โอ้ โห

ที่นี่ระเบียบเคร่งเน๊าะ

 

จะเปิดประตูรับวิทยากร

ต้องดูความสวยก่อนรึเปล่าเนี่ย

ถ้าสวยไม่ได้มาตรฐาน

ไม่เปิดประตูรับ

กันเลยเหรอเนี่ย

สักพัก

มีคนมาเปิดประตูให้เข้า

 

ค่อยยังชั่ว

สงสัยเราจะสวยได้มาตรฐาน

แน่นอนเลย เขาถึงให้เข้า

 

พอเราเข้าไปเสร็จ

เขารีบล็อกประตูเลยหละ

โอ

อ.ปัทมา เอา อ.อุบล มาขังรวม

เลยเหรอเนี่ย

 

โห

ที่นี่ ไม่ใช่ ใครๆ

จะเข้า จะออก ได้ง่ายๆนะ

 

เข้าก็ยาก ออกก็ยาก

โดนขังอีกแน่ะ

555

เอาหละงานนี้

ปิดประตูตีแมว

อ.อุบล ไม่เกี่ยว คุณแมวรับไปนะ

---------

ที่เล่ามานี่

มีใครเชื่อสักคนไหมเนี่ย

ถ้าเชื่อ จะได้รู้ว่า ที่แท้

อ.อุบล ก็สวยจริงๆ

 

แต่ถ้าไม่เชื่อ

ก็ช่วยมาบอกหน่อย

ว่าทำไมไม่เชื่อ

จ๊ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 18:06:43


ความคิดเห็นที่ 158 (1625076)

ระหว่างเดินทางไปอยุธยา

อ.ปัทมา

ก็เล่า เรื่อง

 เด็กไม่สนใจกิจกรรม

"ธรรมะ"

ให้ฟัง

 

แค่เริ่มพูดว่าจะจัด อบรม

"ธรรมะ"

ก็เบะปากกันแล้ว

 

เริ่มพูดกันแล้ว ว่า

จะพานั่งสมาธิอีกละซี

จะเอาแม่ชีวัดไหนมา หรือว่าพระ

จะนอนฟังเลยดีกว่า

 

นี่คือ

เสียงบ่นของนักศึกษา

 

ส่วนอาจารย์หลายคน

ก็คาดการณ์ว่า

งานนี้

ล้มเหลว ไม่เป็นท่า หน้าแหก

อีกตามเคย

 

เหตุผลหนึ่ง

คือ

วิทยากร ไม่ดัง ไม่เป็นที่รู้จัก

ขนาดเอาพระดี วิทยากรดังมา

มันยังไม่ฟังกันเลย

นี่ พึ่งตีกันหมาดๆ จะทำให้ประวัติศาสตร์

ซ้ำรอยอีกแล้วเหรอนี่ ยกเลิกดีกว่าไหม

 

อ.ปัทมาบอก ไม่ยกเลิก

เขาขอประวัติวิทยากร ก็บอกไม่มี

โอ้ โห สงสัย วิทยากรคนนี้

คงกระจอก งอกง่อยน่าดู

(เขารู้ได้ไงเนี่ย แล้วรู้จริงซะด้วย)

 

อ.ปัทมา

จัดกิจกรรมนี้ ด้วยเพรชเชอร์

หลายด้าน ทั้งเด็กตีกัน

ทั้งคนคอย เยาะเย้ย ว่างานจะล้ม

เด็กจะตีกันต่อหน้าวิทยากร

เด็กต้องไม่ฟัง ต้องล้มเหลวอีกแน่นอน

 

อ.ปัทมา

ยืนยัน และ ยืนหยัด

ที่จะจัด และ มีอาจารย์อีก

หลายท่าน ที่เคยมาบ้านสวนบ้าง

เคยได้ดูเวปบ้าง อ.ปัมมาเล่าให้ฟังบ้าง

ที่เห็นว่า ควรจัด ไม่ควรยกเลิก

แล้วก็เชื่อว่า จะเกิดผลดี

ไม่มีผลเสียอย่างที่คิด

 

ก็เลยเป็นที่มา

ของการจัด ซึ่งระหว่าง

ดำเนินกิจกรรม

เด็กก็จะมีพัฒนาการทางใจ

อ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด

จนในที่สุด เด็กขอให้ ต่อเวลา

ถึง 3 ทุ่ม

แต่เรายุติตามเวลา ที่กำหนด

ซึ่งมหาวิทยาลัย

เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้น

อย่างโด่งดัง ในครั้งนี้

 

นี่เล่าตามที่

อ.ปัทมา มาเล่าให้ฟัง

 

ที่จริง อ.ปัทมา

จะมาขอบคุณ ในวันอาทิตย์

(จัดงานวันเสาร์)

แต่ "งานเข้า" มาไม่ได้

"สายไหม้"

ว่างั้นเถอะ

 

ครูบาอาจารย์

ต่างโทร.มาถามด้วยความ

"ประหลาดใจ"

ว่าเป็นไปได้ไง ทำได้ไง

ที่ทำให้เด็กสนใจ ธรรมะ ชนิดที่

เด็ก ไม่ตีกัน ไม่หนีกิจกรรม

ขอต่อเวลา เด็กชอบ

เด็กเปลี่ยนพฤติกรรม จากก้าวร้าว

เป็นกลัวบาป สุภาพ อ่อนโยน

ไปกราบขอโทษ อาจารย์

ที่เคยคิดไม่ดี

โห

เด็กเปลี่ยนขนาดนี้

เลยเหรอนั่น

 

แล้วจากนั้นมา

อ.ปัทมา ก็ งานเข้า ไม่หยุด

ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ รุมล้อม

อยากรู้ อยากเห็น

ตื่นเต้น

กับสิ่งที่ กลุ่มร่วมกิจกรรม ไปเล่า

 

แหะ แหะ

พระพุทธองค์ทรงล้ำเลิศ

ทรงทราบวาระจิต

ของมนุษย์

ว่า

ชอบความแปลกใหม่

เร้าใจ เห็นผล ทันที

ต่อหน้า เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอ ชาติหน้า

เด็ก ๆ ต่างพากัน

ละ ลด อัตตา

 

อ.ปัทมา กับ พ.ต.อ.พิเศษ

พฤฒิพงษ์ พุทธชาติ

อดีตรองผู้บังคับการ ตชด.

ท่านมาอีก เมื่อไม่นานนี้ บอกว่า

อยากให้ซ้ำอีกที

ส่วน อ.ปัทมา บอกว่า ปัจฉิมนิเทศ

จะขอจัดอีก เพื่อ ให้เด็กได้ออกไป

เป็นคนเข้มแข็ง มีภูมิธรรม

นำชีวิต ก่อนออกไปเผชิญโลกต่อไป

 

แหะ แหะ

ยังไม่เข็ด กับวิทยากร

ไม่มีชื่อเสียง

 

สงสัยต้องเป็นเพราะ

พ่อใหญ่ธนา กับ สิงห์ป้อม

หน้าตาดี แน่เลย

555

 

เอ

หรือว่า อ.อุบล

จะหน้าตาดีกว่าหว่า

(หน้าไม่อาย)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 21:06:33


ความคิดเห็นที่ 159 (1625088)

บรรยากาศหลังงานธรรมบำบัดที่มหิดล

อาจารย์รุ่นน้องท่านนี้ นั่งสังเกตุการณ์เฉยๆ แต่ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ก็มาบ่นๆว่า เขาทำผิดศีล ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย ฆ่าหนูมาเหมือนจุ๋ม แต่เขาเข้าใจและพยายามที่จะเปลี่ยน และดูขอบคุณที่ชวนเขามา

ส่วนอจ. อีกท่านเขาก็บอกว่าประทับใจในคำสอน ว่าสอนถูกสอนตรง แต่เรื่องที่บำบัดแล้วมีคนหาย เขายืนยันว่าไม่เชื่อ ก็เลยถามเขาว่าแล้วทำไมบอกว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่เปลี่ยนเป็นชาๆแทน เขาบอกว่าอันนั้นเขาน่าจะหายเอง เพราะได้ยืนขยับแข้งขา ไม่ได้หายจากการบำบัดของท่านอาจารย์สักหน่อย จุ๋มก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่คิดที่จะชักจูงใครอีกแล้ว ทำได้แค่นี้ เขาคงไม่มีบุญสัมพันธ์กับท่านอาจารย์ของเรา ภัยพิบัติที่จะมาถึงเขาคงไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวตามเคย

อีกคนที่ได้คุยกันก็พี่เอี้ยงคนงานหน้าห้อง คนนี้เขาศรัทธาอาจารย์เพราะ จุ๋มเคยบอกรหัสอาจารย์อุบลช่วยด้วย ให้เขาใช้ตอนเขาปวดขา (เป็นเส้นเลือดขอด) เป็นภูมิแพ้หายใจไม่ออก ก็บรรเทาได้แยะ ตอนเขาปวดไหล่ เคยไปแตะไหล่เขา แล้วเรียก อ.อุบลช่วย เขาก็เบาอย่างอัศจรรย์ พอได้มาเจอตัวจริงท่านอาจารย์ ตอนอาจารย์บำบัดเขาก็หายปวดอีก  ตอนกลางคืนก็เล่าว่าไปดู VDO ถึงตี 1 แต่ตืนมาก็ไม่เพลีย และมีศรัทธาอยากฝากซื้อจี้องค์สฟิงส์ ครอบครัวเขาทุกคนนั่งดู VDO ก็ศรัทธาเต็มร้อยกันทั้งบ้าน ตอนนี้ได้พิมพ์ธรรมทานคุณธนา ว่าด้วย สาเหตุกรรมที่ทำให้เจ็บป่วย ให้เขานึกกรรมออก จะให้มาสารภาพกับจี้ของอ.อุบลต่อไป แต่เขาเล่าว่าเขาเรียก อ.อุบลทั้งวันเลย นอนไม่หลับก็ได้หลับสนิท ที่น่าสนใจเขาให้อ.อุบลช่วยไล่มด ที่แห่กันมามากมายช่วงนี้ จนนั่งทานข้าวไม่ได้ ใข้รหัสทีเดียวมดหายไปหมด

นั่งฟังพี่เอี้ยงเล่าอย่างตื่นเต้นและมีความสุข จุ๋มรู้สึกยินดีกับครอบครัวเขามากๆ ขอให้เมตตาบารมีของ อ.อุบล คุ้มภัยให้พวกเขาด้วยเถิด สาธุ

ดูจากจำนวนคนที่จุ๋มเชิญชวนให้เข้าฟังได้น่าจะมีแค่ 30 คน ไม่แน่ใจนักว่าทั้งคณะมีกี่คน แต่จากคำบอกเล่าของท่านอาจารย์อุบลว่า ใน 10 คน จะรอดแค่ 1 คน น่าจะเป็นจริง คนส่วนใหญ่ทุกองค์กรเขาไม่สนใจใน ศาสนากันหรอก เห็นทำงานกันอย่างมึทุกข์ สาเหตูที่แกนโลกพลิกก็เพราะการไม่เปลี่ยน ปรับปรุงจิตใจของพวกเรานั่นเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น ธารีรัตน์ กะลัมพะเหติ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 21:51:54


ความคิดเห็นที่ 160 (1625089)

ใครไป มหิดล มามั่งจ๊ะ

เป็นไงบ้าง ไม่เห็นเล่า มั่งเลย

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 21:53:26


ความคิดเห็นที่ 161 (1625093)

 หนูขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ  หนูได้เข้าร่วมกิจกรรมธรรมะบำบัดที่ มหาลัยมหิดล  ตอนที่อาจารย์เดินเข้ามา หนูเกิดปิติ น้ำตาไหลออกมา ไม่ยอมหลุด แต่ในที่สุดก็หยุดไหลตอนที่อาจารย์ท่านกำลังจะกล่าวบรรยายค่ะ  ตอนมาหลังจากที่อาจารย์ได้ถามว่าใครมีอาการปวดศีรษะ หนูได้ได้ยืนขึ้น สารภาพออกมา ว่าเคยคิดไม่ดีกับอาจารย์ และ ในหลวง อาการปวดหัวคิดว่าดีขึ้น แต่ยังมีอยู่ คงเป็นเพราะ ณ ตอนนั้น คิดกรรมอื่นไม่ออกค่ะ 

หนูขออนุโมทนากับทุกท่าน และกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่สละเวลาอันมีค่ามาช่วยคนให้พ้นทุกข์ค่ะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น พุทธิมา วงศ์ดีประสิทธิ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 22:01:28


ความคิดเห็นที่ 162 (1625102)

กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์  พระศรีอาริยะฯ  และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์

     กราบขอบพระคุณ อ.อุบล   อ.มงคล และชาวคณะลูกบ้านสวนพีระมิดทุกท่าน

          และขอบคุณ ดร.จุ๋ม ดร.จิ๋ม ดร.วิชิต ด้วยครับ

ก่อนไปที่ ม.มหิดล คิดว่างานนี้คงมีคนร่วมงานมากมายแน่เลย เพราะขนาดคนจากส่วนของบ้านสวนก็เกีอบ150 คนแล้ว เป็นครั้งแรก เป็นโชคดีเป็นโอกาสดีที่ได้ เข้าเฝ้าพุทธองค์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ได้รับธรรมทานจาก อ.อุบล และได้ร่วมส่งอ.อุบล และคณะขึ้นรถกลับ และได้รับน้ำทิพย์จากเบื้องบน

    ช่วง ดร.วิชิต บอกว่าปวดไหล่มาเป็นเวลานานจากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ มีอยู่ช่วงหนึ่งได้โอกาสช่วงสอบถามได้ยกมือขออนุญาต อ.อุบล และถาม ดร.วิชิต ว่าอาการปวดไหล่ยังปวดอยู่หรือเปล่า ทำนองอยากให้ ดร.วิชิตได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง แต่ท่านก็พูดทำนองไม่พิสูจน์ด้วยตัวเอง หรือว่าผมเข้าใจผิด  พูดไปแล้วไม่สบายใจมากเลยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ซึ่งตอนหลังก็ไปกราบขอขมาท่านที่อยากให้ท่านพิสูจน์ด้วยตัวเอง ท่านไม่ได้ถือโทษหรือโกรธแต่ประการใด และได้พูดขอขมาอาจารย์อุบลด้วยตอนเลิกงานอยู่หน้าห้องประชุมซึ่งก็เมตตาต่อผมมาก

ผู้แสดงความคิดเห็น จุมพล บัวโต ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-20 22:35:29


ความคิดเห็นที่ 163 (1625114)

 เนื่องในงาน มหิดล ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเข้าร่วมบำบัดกับท่านอาจารย์ เป็นครั้งแรก

ที่ได้ร่วมอยุ่ในเหตุการณ์จริงที่ท่านอาจารย์ได้ให้ธรรมมะและบำบัดผู้คนทั้งหลาย

ตัวปุณญิสาได้พาเพื่อนไป 1 คน ซึ้่งก่อนไป1 วันเขาท้องเสีย พอตกกลางคืออาเจียรตลอด

ทานอะไรเข้าไปก็ออกหมด (เขาใช้รหัส อ.อุบลช่วยด้วยตลอด) ยาไม่ได้กินเลย

พอตอนเช้าก่อนไปเขาก็มีอาการคลื่นใส้ และเจ็บในท้องเพราะเกร็งที่อาเจียน

ก่อนเที่ยงนิดหน่อยเข้าไปในงานน้่งดู ซีดี ที่เปิดไปสักพักก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง

เขาบอกปกติแล้ว แต่เจ็บในท้องนานๆ เป็นที ก็บอกเดี๋ยวรออาจารย์บำบัด

พอจะถึงบำบัดปวดท้องเขาไม่ปวดเลยไม่ได้ยกมือ แต่เขามีอาการปวดขามาก่อน

เขาบำบัดเรื่องขา ก็หายปวด เขาบอกเย็นๆ ชาๆ ไม่ปวดแล้ว 

เขาบอกว่าปกติเขาเป็นคนไม่อยู่นิ่ง แต่ฟังท่านอ.ให้ธรรมมะ และบำบัดไปด้วยเขาชอบ

และพร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเอง

...............................................................................

ส่วนท่านอื่นๆ ที่ไปบำบัด สำหรับบุคลลที่เปิดจิตรับ ก็จะหาย มีบางคนที่กรรมมากก็จะดีขึ้น

ตามแต่สารภาพบาบกรรมที่ตัวเองนึกได้ ได้มากก็หายหมด ได้น้อยก็แค่ดีขึ้น

อย่างที่คุณธนาบอก ดร.วิชิต ท่านเชื่อในอำนาจพระพุทธคุณ เชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ที่ยังไม่เชื่อท่านอ.อุบล เพราะท่านอาจจะเพิ่งรู้จักท่านอาจารย์ และพึ่งเคยเจอท่าน อ.

เป็นครั้งแรก และท่านก็เป็นนักวิทยาศาตร์ จะให้ปากบอกเชื่่อง่ายๆ ได้ยังไง เพราะมีลูกน้อง

อยู่มาก แต่ปุณญิสาคิดว่า ท่านเชื่อท่านอาจารย์ อุบลค่ะ หมายถึงใจของ ดร.วิชิต นะคะ

ส่วนคำพูดของท่านคงต้องรอให้ท่าน ละอัตตา ได้ก่อน เพราะดูแล้ว ท่านไม่ยอมบำบัด

ก็คงกลัวหาย และท่านคงต้องกลับไปคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน อาจจะมีภาค2 ต่อค่ะ

............................................................................................

ตอนที่่อ.ได้ขอบารมีพระศรีอริย์เมตไตร ปุณญิสาก็เกิดอาการวูบๆ เย็นๆ ค่ะ

และเห็นบารมีของท่าน ไม่ต้องสารภาพบาปกรรม แค่เดินไปใกล้ ๆ ก็หายแล้ว

.........................................................................................................

อนุโมทนากับธรรมทานจากทุกๆ ท่านด้วยค่ะ



 

ผู้แสดงความคิดเห็น ปุณญิสา พูลชื่น ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 02:25:30


ความคิดเห็นที่ 164 (1625119)

 

ตถาคต

 

ไม่ได้ แสดง ธรรมะ

 

เพื่อให้ทุกคนเชื่อ แต่แสดงเพื่อ

ให้คนพ้นทุกข์ โดย ใช้ปัญญา

สิ่งที่ผู้คนจะได้เห็นวันนี้

คนมีปัญญา เขาจะต้อง หาเหตุผล

ต้องนำไปคิด พิจารณา แต่ว่า

เขาอาจจะยังไม่เชื่อ

ด้วยเหตุที่

ไม่เคยมีปรากฎการณ์นี้ที่ใดมาก่อน

ดังนั้น เธอจงอย่าด่วนสรุป

ว่าเขา ไม่มีปัญญา เขาไม่ศรัทธา

เพราะ ปัญญา มันมักจะมา

ภายหลังจากความทุกข์ และ ปัญหา

ที่เกิดกับตัวเขาเอง แล้วเขารับรู้เอง

แต่สำหรับบางคน ซึ่งเป็นบัวพ้นน้ำ

เขาไม่ต้องรอให้ ปัญหา

เกิดขึ้นกับตัวเอง

เขาสามารถ ใช้ ปัญญาญาน

ซึ่งเหนือกว่า ความรู้ ในทางโลก

มาตัดสินได้ทันที ที่เห็นปรากฎการณ์

แต่สำหรับ บัวปิ่มน้ำ เธอจงเข้าใจ

เขาต้องการเวลา พ้นน้ำก่อน

ส่วนบัวใต้น้ำนั้น

ต้องใช้เวลามากกว่า บัวปิ่มน้ำ

แต่อย่างไร ก็จะผุดขึ้นมาได้

 

ส่วนบัวใต้โคลนตมนั้น

ตถาคต เคยบอกเธอว่า อย่างไร

 

ไม่ต้องสนใจ

พระพุทธเจ้าค่ะ เพราะ

ไม่มีวัน ผุด โผล่ ขึ้นมาได้เลย

รังแต่จะเป็นเหยื่อของ

เต่า ปู ปลา

พระพุทธเจ้าค่ะ

 

แล้วเธอยังกลัวอะไรอีก

 

ไม่กลัวอะไรเลย

พระพุทธเจ้าค่ะ

 

ถ้าเช่นนั้น

เธอจงประกาศพระธรรม

ที่เธอนำออกแสดง

ในวันนี้

ให้บันลือสีหนาท

ประกาศว่า

ตถาคต เสด็จมา กับเธอ

 

พระพุทธเจ้าค่ะ

ลูกจะทำอย่างองอาจ

ไม่หวาดหวั่น

ต่อบัวใต้โคลนตม

พระพุทธเจ้าค่ะ

...............................

กราบพระบาทพระพุทธองค์

ที่เมตตามาแสดงธรรมอันล้ำลึก

ให้พวกเราทุกคนตระหนักถึง

ความปรารถนาที่จะเห็น

ผู้อื่นพ้นทุกข์เป็นสำคัญ

โดยไม่ต้องคำนึงถึงภาพพจน์ของตัวเอง

และอย่าได้หวั่นไหว ถ้ามีใครเขา...ไม่เชื่อ.. 


กราบอนุโมทนากับทุกๆธรรมทาน

จากท่านอาจารย์ด้วยนะคะ

 

เพราะทุกๆเหตุการณ์ที่อาจารย์

นำมาเล่ารวมกันในวันนี้

มันสื่อให้พวกเราได้รู้ ได้เห็นว่า

ไม่ว่าจะอ.ปัทมา จากเทคโนฯ สุวรรณภูมิ

หรือแม้แต่ คุณพี่จุ๋ม แม่งาน ม.มหิดล

หรือแม้กระทั่ง ความรู้สึกของท่านอาจารย์

กับการออกไปแสดงธรรมะบำบัดหมู่ครั้งแรก 


ทุกๆท่านต้องต่อสู้กับความกดดัน

ทั้งจากคนภายนอกมากมาย

และแม้กระทั่งความกดดันภายในใจของตัวเอง


แต่ทุกท่านก็เชื่อมั่นในบารมีพระพุทธองค์

เชื่อมั่นในความดี

และเชื่อมั่นว่าตนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง


จึงได้ยืนหยัดที่จะจัดงานต่อไป

โดยไม่ยกเลิก

ส่วนท่านอาจารย์ก็ได้ออกไป

ประกาศธรรมอย่างสง่างาม

ทั้งๆที่ไม่ได้เตรียมตัวไปก่อนเลยแม้แต่น้อย


ทุกๆธรรมทานในวันนี้

ที่ท่านอาจารย์เมตตาถ่ายทอด

คงจะสร้างความฮึกเหิม

ให้กับลูกบ้านสวนฯทุกคน

ให้มีความกล้าหาญและมั่นใจ

ที่จะออกไปประกาศธรรมะอันงดงาม

ของพระพุทธองค์ โดยไม่หวั่นไหว

ต่อปฏิกิริยาของบัวเหล่าที่สี่อีกต่อไป


ถึงแม้จะไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก

แต่ก็จะทำให้ได้ค่ะอาจารย์

..........................................

อนุโมทนากับธรรมทานจากทุกๆท่านด้วยนะคะ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 06:21:06


ความคิดเห็นที่ 165 (1625125)

ตถาคต

 

 

ให้คนพ้นทุกข์ โดย ใช้ปัญญา

สิ่งที่ผู้คนจะได้เห็นวันนี้

คนมีปัญญา เขาจะต้อง หาเหตุผล

ต้องนำไปคิด พิจารณา แต่ว่า

เขาอาจจะยังไม่เชื่อ

ด้วยเหตุที่

ไม่เคยมีปรากฎการณ์นี้ที่ใดมาก่อน

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

การบรรยาย / การบำบัดครั้งนี้

ของ อ.อุบล บ้านสวนพิรามิด

ในหัวข้อ

ธรรมบำบัด

แบบเห็นผลฉับพลันทันที

แลร็ง.ง.ง.ง.ง อ่ะค่ะ

สำหรับผู้ที่ไม่เคย

ได้สัมผัส อ.อุบล

แต่

สำหรับพวกเราลูกบ้านสวนฯ

เมื่อได้ยินแล้วต้องร้อง  จิ๊บ ๆ

จิ๊บ ๆ ในที่นี้หมายถึง

อาการ ปวดหัว ปวดไหล่

ปวดหลัง นิ้วล๊อก ฯลฯ

เป็นเรื่องเล็กจริง ๆ

เพราะ

บุคคลที่มีอาการเหล่านี้

หายขาดมาแล้วโดย

ไม่รู้เนื้อ รู้ตัว

เมื่อเข้าใกล้ อ.อุบล

หรือแค่เลี้ยวรถ

เข้าเขตรั้วบ้านสวนพิรามิด

555++

โดยส่วนตัวเห็นว่า

ผู้ฟัง + ผู้ร่วมกิจกกรม

เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ

มิใช่ประเด็นที่น่าสนใจ

แต่ ธรรมะที่โดนใจต่างหาก

ที่เราต้องนำมาพิจารณา

ปรับปรุง แก้ไข ตัวเราเอง

ถือว่า เป็นประโยชน์สูงสุดที่ได้ในครั้งนี้

กรรม เป็นที่รู้จักกัน ซึ่งแปลว่า

การกระทำ

บุญ - บาป

ตัวเรา สามารถ รู้ตัวเราเองดี

เพราะฉะนั้น

ไม่มีใครสามารถ เลี่ยงกรรมได้

ถึงแม้จะมีเหตุ ผล นานับประการ

ในการเข้าข้างตัวเอง

แต่

ท่าน อ.อุบล ได้บอกเสมอว่า

กรรม ไม่เคยส่งผล ผิดตัว

ในการเป็นผู้ฟังครั้งนี้

เห็นตัวอย่าง

นักวิทยาศาสตร์

นักทดลอง

ซึ่งการปฏิบัติการที่ต้อง

ใช้ชีวิต หนู

ฆ่า หนู มาประมาณ 200-300 ตัว

และเธอเชื่อเรื่องเวรกรรมด้วย

เธอพูดว่า การฆ่า นี้

เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

การฆ่า ที่เกิดขึ้น

เป็น กรรมดี ( ฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้)

แต่

การฆ่า โดยเจตนา

การฆ่า โดยวางแผน

จะเพื่ออะไรก็ตาม

ก็คือ การฆ่า

การทำลายชีวิตผู้อื่น

หากวันนั้น

เธอผู้นี้เป็น นักทดลองจริง

ก็ควรที่จะ

ทดลองเปิดจิต

ลด ละ อัตรา ตัวตน

ในการเป็นนักวิทยาศาสตร์ดู

ทดลอง ขอโทษ หนูที่เคยฆ่า

ด้วยสำนึกที่ตัวเองนั้น

กระทำ ผิดจริงๆ ดู

หนู..ซึ่งอาจจะรอการให้อภัย

ก็อาจจะยกโทษ อภัยให้ จริง ๆ

ก้ออาจจะได้...พบ ปาฏิหารย์

ซึ่งนักวิทยาศาสตร์

ไม่เคยเชื่อ ว่า

มีอยู่จริงก็ได้

เพราะได้ยิน ตลอดค่ะ

ท่าน ดร.วิชิต กล่าวว่า

"ยังไง ผมก็ไม่เชื่ออยู่ดี"

"ยังไง ก็ต้องใช้ ปัญญา

ในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ

ที่เกิดขึ้นในวันนี้"

ประโยคนี้ เด็ดค่ะ

พวกเรา ลูกบ้านสวนฯ

เมื่อได้ยิน ต้องยิ้ม มุมปาก

เพราะ อะไร ?

ก็เพราะ...

ผู้ที่มากด้วยปัญญา ( ทางโลก )

ก็ไม่สามารถ หาทางดับทุกข์ได้

เมื่อย้อนกลับมาทบททวน

คำว่า ปัญญา

ท่าน อ.อุบล ได้เคยนำ

คำสอนของพระพุทธองค์

มาสอนพวกเราว่า

ปัญญา หมายถึง

ปัญญา ที่ดับทุกข์ได้

ดังนั้น ปัญญา น่าจะมีความหมาย

หลายอย่าง หลายประการ

ตามความเข้าใจ...ส่วนตัว

ปัญญา คือ บุญกุศล

ปัญญา คือ บุญวาสนา

ปัญญา คือ บุญเก่า

ปัญญา คือ ความสุข

ปัญญา คือ การหมดทุกข์

ดังนั้น ธรรมะ ในวันนั้น

ท่าน อ.อุบล จึงนำคำสอน

แต่เรื่อง

สาเหตุของทุกข์

และ

การดับทุกข์

ถ้ามีปัญญา ก็แสดงว่า

เรา ดับทุกข์ได้แล้ว..ชิมิ

แต่ถึงอย่างไร

ท่าน อ.อุบล ก็ยังนำประโยค

ของพระพุทธองค์

ที่น่าคิด..ชวนศึกษา ที่ว่า

ธรรมะ ที่พระองค์ตรัสรู้

มีมากมายมหาศาล

เปรียบได้กับใบไม้ในป่า ทั้งป่า

แต่พระองค์นำมาสอนพวกเรานั้น

น้อยนิด เหมือนดังใบไม้ในกำมือเดียว

อ.อุบล ขา

ผู้มีปัญญา น้อยนิดอย่างแมว

อยาก กราบ รบกวน

อ.อุบล ขยาย อธิบาย

คำตรัส ของพระพุทธเจ้า ข้างต้น

อีกครั้งได้ไหม คะ

เพื่อเป็น กำลัง ในการเรียนรู้

พระธรรม ของพระองค์

เพื่อเป็นแนวทาง การปฏิบัติ

กราบขอบพระคุณค่ะ

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 08:32:04


ความคิดเห็นที่ 166 (1625137)

ขอขอบพระคุณ

คณะทำงาน

คณะต้อนรับ

ของเวชศาสตร์เขตร้อน

ม.มหิดล

ซึ่งให้การต้อนรับอย่างดี

ขอขอบคุณ

ดร.วิชิต ประธานการจัดงาน

ขอบคุณ สะพานบุญผู้น่ารัก

ดร.ธารีรัตน์

และที่สุด

ขอกราบขอบพระคุณ

ท่าน อ.อุบล บ้านสวนพิรามิด

ในการบรรยาย ครั้งนี้นะคะ

และขอ อนุโมทนาบุญ

กับธรรมทานของทุกท่าน

ที่ได้มอบให้ในครั้งนี้

ขอสรุป ส่วนตัวกับ

ประโยชน์ธรรม ครั้งนี้ว่า

ความจริง กับ ความเชื่อ

ว่าต่างกันอย่างไร

วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของ

การพิสูจน์ การทำวิจัย

และการทำการทดลอง

สิ่งเหล่านี้ยังอยู่ในระดับ

ความเชื่อ

แต่ทางธรรม เป็นเรื่องของ

ความจริง

ความจริง คือ ปัญญา

ปัญญา คือ ความรู้ที่ดับทุกข์ได้

และก็ทำให้แยก ปัญญา

ออกได้ 2 ทาง คือ

ปัญญา ที่ดับทุกข์ได้ ( ความจริง )

กับ

ปัญญา ที่ดับทุกข์ไม่ได้ ( ความเชื่อ )

และทำให้เห็นชัดค่ะว่า

ความเชื่อ เป็นตัวขวางกั้น ความจริง

ดังนั้นหากเรา ปฏิบัติ

ให้เข้าถึงความจริงได้

ก็เป็นอะไรที่เราก็ก้าวข้าม

ความเชื่อ ไปสู่ ความจริงได้ไม่ยาก

ความจริง คือ พระนิพพาน

การที่เราจะก้าวเข้าสู่พระนิพานได้

ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองอีกนั่นแหละ

เพราะ ตัวเรา ยึดถือ ตัวเราเอง

ว่าเรา เก่ง เราดี เรารู้มาก

ทุกสิ่งทุกอย่างต้อง

มีเหตุ มีผล ซึ่งล้วนแล้วแต่

เข้าข้างตัวเราเองทั้งสิ้น

ไม่ว่า จะเป็น

คิด พูด หรือ กระทำ

บิดเบือน ความจริง

คำสอนของพระพุทธองค์

คือ วิทยาศาสตร์

สามารถพิสูจน์ได้

แต่นักวิทยาศาสตร์

ก็หักล้าง โดยการบิดเบือน

เข้าข้างตนเอง หนีความจริง

และสิ่งที่ได้อีกประการหนึ่ง

ก็คือ

นักวิทยาศาสตร์

หากเป็น นักปฏิบัติธรรม

ควบคู่ไปด้วย

ก็คงจะก้าวพ้น ความเชื่อ

โดยหาคำตอบ คือ

ความจริงได้ไม่ยาก

การทดลอง...สิ่งต่าง ๆ

ก็คงจะลดอัตรา

การเบียดเบียน น้อยลงไปด้วย

อย่างน้อย ๆ ก็ได้รู้ว่า

ทุกข์ และ สุข เป็นนามธรรม

นักวิทยาศาตร์ไม่สามารถบอกได้

ไม่มีเครื่องมือตรวจวัดค่าได้

แต่

ธรรมะ ของพระพุทธองค์

สามารถสอนให้เรา

สัมผัสได้ ถึง

ทุกข์  และ  สุข

ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 09:45:59


ความคิดเห็นที่ 167 (1625148)

ความเชื่อและความศรัทธาของเราคงจะต้องมีสะสมมาตั้งแต่อดีตหลายภพชาติ เป็นอนุสัยกิเลสของแต่ละคนเพราะฉนั้นคงจะไม่ง่ายนักที่จะเปลี่ยนได้ง่ายในทันที

หมอเคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเราถึงเชื่อและรับได้ทันที แต่ทำไมเขาไม่เชื่อนะ แม้ว่าจะมีเหตุมีผลอย่างไรก็ตาม

ก็คงจะต้องอาศัยเวลาเรียนรู้ใหม่ ต่อเมื่อหาทางออกไม่ได้  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องตายเกิดไปอีกสักเท่าไหร่

ซึ่งมันอาจจะสายเกินแก้เสียแล้ว

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ๋ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 10:56:49


ความคิดเห็นที่ 168 (1625161)

คุณแมว

ถามเรื่อง อะไรจ๊ะ

ขอทวน คำถาม หน่อยค่า

 

แต่เมื่อคุณแมว เปิดประเด็น

คำว่า

"ปัญญา"

มาแล้ว ก็จะขอ พูดถึงสักหน่อย

ถึงความหมาย ของคำว่า

ปัญญา

----------

แล้วก่อนที่จะพูดถึงเรื่อง

ปัญญา ก็ขอพูดถึง ปัญหา ไปด้วย

เพราะมันเขียนคล้ายๆกัน

เสียงคล้ายๆกัน

แต่

ความหมายต่างกัน

 

ปัญหา คือ อุปสรรค

อุปสรรค นำมาซึ่ง ความทุกข์

ความปรารถนาไม่สมหวัง

 

คนเราทั่วโลก

ทุกวันนี้ เท่าที่เราเห็นกัน

แต่ละคนล้วนมีปัญหา

หรือ มี ทุกข์

นั่นเอง

 

บางคนมีปัญหาเรื่องสุขภาพ

มากน้อย ต่างกัน

บางคนปวดหัว ปวดต้นคอ ปวดไหล่

ปวดแขน ปวดนิ้ว ปวดขา ปวดหลัง ปวดเอว

ปวดเท้า เท้าขา

 

บางคนหนักกว่านี้

เป็นโรคร้ายแรง เช่น เบาหวาน ความดัน

หัวใจ มะเร็ง เอดส์ ตาบอด ตาพร่า

ตามัว หูหนวก หูตึง

แขน ขา อวัยวะ บางส่วน พิการ

ทั้งอวัยวะภายนอก ภายใน

---------

บางคนมีปัญหาชีวิตด้านอื่น

เช่น

การงาน การเงิน ความรัก

ครอบครัว สังคม

 

เงินไม่พอใช้ มีหนี้สิน

ยังหาทางใช้เขาไม่ได้ รายได้ไม่ดี

รายได้ไม่มี ไม่มีสภาพคล่อง

ทางการเงิน ก็ทุกข์

 

บางคน

มีแฟน ก็ไม่เข้าใจกัน

มีคนมาเกี่ยวข้องกับแฟนเรา

กลัวแฟนนอกใจ ไม่ซื่อกับเรา หึงหวง

บางคนมีแฟนแล้ว แต่แฟนไม่รัก

ไม่เอาใจใส่ กินเหล้า เล่นการพนัน ติดหญิง

ติดเพื่อน บ้างานเกินไป ใจง่ายถูกหลอก

เชื่อคนอื่น รักคนอื่น ไม่สนใจครอบครัว

 

บางคนแฟนดี แต่ลูกดื้อ ไม่เชื่อฟัง

ลูกติดเกมส์ ติดเพื่อน ไม่สนใจเรื่องเรียน

ไม่ช่วยเหลือการงาน ไม่สงสารพ่อแม่

ต้องการแต่เงิน เป็นเด็กใจแตก

ท้องก่อนแต่ง สร้างแต่ปัญหาให้พ่อแม่

 

บางคน ลูกดี สามีดี

แต่มีทุกข์ โกรธง่าย เอาแต่ใจตัวเอง

จิตไม่สงบ ไม่สามารถเข้าถึงธรรมะ

ของพระพุทธเจ้าได้

นั่งสมาธิไม่ได้

ฟุ้งซ่าน คิดโน่น คิดนี่ ตอนทำสมาธิ

 

บางคน

มีปัญหากับเพื่อนบ้าน

เพื่อนร่วมงาน เขานินทาเรา เรานินทาเขา

เขม่นกัน อิจฉา ริษยากัน ไม่จริงใจกัน

 

บางคน

ไปที่ไหนๆ ก็เจอแต่คน ไม่ถูกใจ

ไปตลาด ก็หมั่นไส้แม่ค้า

ขึ้นรถเมล์ ก็หงุดหงิด ผู้โดยสาร

และกระเป๋ารถเมล์

 

บางคนขับรถ

ก็โมโห คนขับอีกคัน ที่ไม่มีมารยาท

 

บางคน

อยากขายของได้เยอะๆ

แต่ก็ไม่ได้ดังใจ

 

บางคนขายของได้

แต่โดนเพื่อน โดนหัวหน้า

แย่งยอดขายไป ต่อหน้าต่อตา

 

บางคน

ทำงานตรงเวลา ทำดี

แต่มีคนหมั่นไส้ ที่ทำเกินหน้าเกินตา

ฯลฯ

สารพัด สารพัน ทั้งหลายทั้งปวง

ที่ยกตัวอย่างมาเล็กน้อยนี้

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

ในสังคมไทย + สังคมโลก

 

นี่ยังไม่รวมถึง

ปัญหา  ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ

นักการเมือง ที่ไม่ถูกใจอีก

 

เรื่อง ยาบ้า สิ่งผิดกฎหมาย

ในสังคม เป็นข่าว และ ไม่เป็นข่าวอีก

นักโทษ ฆ่าผู้คุม ส่งนมยัดไส้ยาบ้า

เข้าไปในเรือนจำอีก

โอ๊ย สารพัด

 

ไหนจะปัญหา ภัยพิบัติ ก็มาแล้วอีก

 

ปัญหาทั้งหมดนี้

มันนำมาซึ่ง ความทุกข์ ใช่หรือไม่

---------------

พระพุทธเจ้า

สอนอะไรแก่พวกเรา

ถ้าจะสรุปรวบยอด ถึงคำสอนทั้งปวง

 

พระพุทธเจ้า

สอนให้เรา พ้นทุกข์ ทั้งปวง

ด้วยปัญญา

 

แล้วปัญญา

จะหาซื้อได้ที่ไหน ห้างไหน

บริษัทไหนบ้าง มหาวิทยาลัยไหน

โรงเรียนไหน วัดไหน สำนักไหน

มีปัญญา

คุณภาพสูง เกรด เอ ขาย บ้าง

 

ถ้า

ปัญญา

มีขาย หาซื้อได้ ก็คงไม่มี

ปัญหา

 

แต่เพราะ ปัญญา ไม่มีขาย

ไม่มีในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย

เราจึง หา ปัญญา กันไม่ได้

 

เมื่อเรา หา ปัญญา ไม่ได้

เราก็ต้อง ทนรับ ปัญหา กันต่อไป

 

ผู้มีความสูง

อาจเถียงว่า ตนนี่แหละ

คือผู้มีปัญญา อุตส่าห์ร่ำเรียนมา

จนจบ ปริญญาตรี โท เอก

เป็นหมอ วิศวะ นักวิชาการ นักวิจัย

จะมาพูดว่า ไม่มีปัญญา ได้ไง

นี่มั่วแล้วนะ พิสูจน์มาซะดีๆ

อย่ามากล่าวหากัน

อย่างนี้ โกรธนะ

(แค่โกรธนี่ก็ ถือว่า ขาดปัญญาแล้ว)

 

พระพุทธเจ้า

ท่านตรัสว่า ความรู้ กับปัญญา

ไม่เหมือนกัน และ ต่างกัน

 

ความรู้นั้น เป็น เพียง

สิ่งที่ทำให้ผู้มีความรู้ ได้ใช้ประกอบอาชีพ

เพื่อยังชีพของตน และ ครอบครัว

หรืออาจจะเพื่อคนอื่นได้

(ในทางโลก)

 

แต่ความรู้นั้น

ยังให้ประโยชน์จำกัด

เพราะผู้มีความรู้ ไม่ว่าจะสูงสุด

เพียงใด ก็ยังไม่สามารถใช้ความรู้

แก้ปัญหา และ ความทุกข์

ของตน ของคนรอบข้าง ได้ทุกปัญหา

 

หากความรู้

เป็นสิ่งที่ดีที่สุด และสูงที่สุด

จริงแล้วไซร้ ต้องพิสูจน์ให้เห็น

เป็นที่ประจักษ์ได้ ว่าท่านทั้งหลาย

ที่มีความรู้นั้น ล้วนสิ้นทุกข์ทั้งปวงแล้ว

มีแต่เพียง ความสุข สถานเดียว

 

แล้วความเป็นจริง

เป็นเช่นนี้ หรือไม่ ท่านทั้งหลาย

 

เคยเห็น หมอ เจ็บป่วย หรือไม่

เคยเห็น ครอบครัวหมอ

เจ็บป่วยหรือไม่

 

หมอ

เคยรักษาได้ทุกโรค หรือไม่

 

ดร.มีความทุกข์ หรือไม่

นักวิชาการ วิศวะ ป่วยหรือไม่ จนเป็นหรือไม่

ผิดหวังจากความรัก ครอบครัว

การงาน ไม่สำเร็จ หรือไม่

 

แล้วทำไม ผู้มีความรู้เหล่านี้

จึงไม่ใช้ความรู้ของตน

ทำให้ตนพ้นทุกข์ พ้นปัญหาเหล่านี้

 

เอ

จะไปขัดใจ คนอ่านไหมเนี่ย

ถ้าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย

ก็แสดงความเห็นได้เต็มที่

เพราะทุกคน

มีเสรี ทางความคิด ไม่จำเป็น

ต้องคิดเหมือนกัน

เชิญค่ะ

(เดี๋ยวมาต่อค่ะ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 11:56:13


ความคิดเห็นที่ 169 (1625178)

เรากำลังอยู่ในหัวข้อ

ความรู้ กับ ปัญญา ซึ่งแตกต่างกัน

---------

ความรู้ ทำให้เราใช้ ประกอบอาชีพ

หาเงิน หาเกียรติ ได้ มีความสุข

ได้บ้าง จากเกียรติ และ ทรัพย์ ที่ใช้ความรู้

หามาได้ แต่ ก็ไม่ได้ทำให้

เกียรติ และ เงิน ที่ได้มานั้น ดับทุกข์

ในชีวิต ได้ทั้งหมด ทั้งสิ้น

--------

ความรู้ เกิดจาก การศึกษา เล่าเรียน

ในโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย

หรือ สถาบันการศึกษา ที่มีชื่ออย่างอื่นก็ได้

ซึ่งเรียนจากตำรา การค้นคว้า ทดลอง

ที่มีแบบให้ทำตาม ตอบให้ตรงกับที่

ผู้สอน สอน และอ้างอิงตำรา

จึงจะถือว่า เรียนเก่ง ความรู้สูง

--------

ส่วนปัญญา

เกิดจากทั้ง การศึกษาเล่าเรียน

การสั่งสมประสบการณ์

ที่สำคัญที่สุด คือ การคิด อย่างมีเหตุผล

ละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อน แค่ไหน

ผู้มีปัญญา ก็จะสามรถ

ใช้กระบวนการคิดนั้นได้

--------

ที่สำคัญ

ผลของปัญญา จะต่างกันกับ

ผลของความรู้

 

กล่าวคือ

ผลของปัญญา สามารถ

แก้ปัญหา ได้ทุกปัญหา และนำพา

ให้หลุดพ้นทุกข์ได้จริงแท้แน่นอน

ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว

คือ

พระพุทธเจ้า

 

ทรงใช้ปัญญา ศึกษาค้นคว้า

หาความจริง และ ธรรมชาติ ที่มีอยู่จริง

ในจักรวาลนี้ ในโลกนี้ และโลกหน้า

ตลอดจน โลกที่ล่วงมาแล้ว

ซึ่งสิ่งเหล่านี้

ต้องใช้ปัญญา แต่เป็นสิ่งที่ ความรู้

ยังก้าวไปไม่ถึง

 

ปัญญาของพระพุทธเจ้า

ที่ได้รับการยกย่อง ยอมรับว่าเป็น

จอมอรหันต์ เป็น ยอดสัพพัญญูนั้น

ไม่ใช่ยกย่องกันส่งเดช

แต่ยกย่องกัน

เพราะ

เห็นผลพิสูจน์ได้จริงมาแล้ว

พระพุทธเจ้า ท่านทำแล้ว เห็นผลจริง

จึงมาบอก มาสอน ให้ลองทำ

ถ้าพระพุทธเจ้าทำแล้ว

ไม่มีผล ท่านเป็น พระพุทธเจ้าไม่ได้

 

แสดงว่า

ที่ท่านสอนพวกเรามานั้น

พวกที่อ้างว่า มีปัญญา กำลังกล่าวหา

ว่า

พระพุทธเจ้าโกหก

ใช่หรือไม่

 

อย่ามาหักล้างว่า

เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ ไม่เชื่อ อ.อุบล

 

ก็ อ.อุบล ก็บอกอยู่แล้วไง

ว่า สิ่งที่แสดง ไม่ใช่วิชาของ อ.อุบล

แต่เป็นของพระพุทธเจ้า

ที่ อ.อุบล พิสูจน์แล้ว ได้ผลกับตนเองแล้ว

จึงมายืนยัน ให้ท่านมีโอกาสพ้นทุกข์

มีความสุขทุกด้าน เหมือน อ.อุบล

ไม่ได้มาบอกให้ท่านเชื่อ อ.อุบล

แต่บอกให้ท่านเชื่อพระพุทธเจ้า

แล้วลองทำตามคำสอนของพระองค์

 

ก็ในเมื่อปากบอกว่า

เชื่อพระพุทธเจ้า นับถือพระองค์

แล้วไย ไม่ทำตาม ที่พระองค์สอน

ไยจะมาอ้างโน่น อ้างนี่ หักล้างคำสอน

ของพระองค์ อยู่ไย

 

ตัด อ.อุบล ออกไป จากใจ

ของทุกคนได้เลย

แต่

ลองหันไปหา พระธรรม คำสอน

ของพระพุทธเจ้าดูใหม่

ว่า

พระพุทธเจ้าสอนอะไร

ใน

ทาน ศีล สมาธิ

 

ทำกันได้หรือยัง

ถ้ายัง อย่าเสนอหน้า มาหักล้าง

 

แต่ถ้าทำหมดแล้ว

ไม่มีผลเกิดขึ้นเลย ค่อยมาพูดว่า

พระพุทธเจ้าโกหก หลอกลวง

 

แล้วต้องอธิบายให้ได้ด้วย

ว่าหลอกยังไง

ทำตามแล้ว เสียหาย ตรงไหน

ถ้าอธิบายไม่ได้ มีแต่กล่าวหา ถือว่า

ไร้ปัญญา และ อันธพาล

-------

ที่สุดแล้ว

ศีล สมาธิ ปัญญา

3 ลำดับนี้

พระพุทธเจ้า บอกว่า ต้องอาศัยกัน

ใช่หรือไม่

 

พระองค์สอนว่า

ก่อนที่การบำเพ็ญความดีใด

จะเจริญก้าวหน้า

ต้องมีศีล 5 เป็น พื้นฐาน

จริงๆ ศาสนาอื่นเขาก็มีการรักษาศีล

เพียงแต่เขาไม่เรียกว่า ศีล เท่านั้นเอง

อย่างฝรั่ง เขามี สามัญสำนึก

ในการไม่ละเมิดผู้อื่น ก็ถือว่า เขาทำตน

อยู่ในศีล นั่นเอง

 

แต่คนไทย ชาวพุทธ

ทั้งมีความรู้ และ ไม่มีความรู้

ตั้งหน้าตั้งตา ยกตนขึ้นสูง ด้วยคิดว่า

ความรู้

กับฐานะการเงิน ตำแหน่งงาน

จะบันดาล

ให้ตนเหนือผู้อื่น

 

แม้แต่

การคิดอยากเหนือผู้อื่น

ก็ทุกข์แล้ว ก็ผิด ก็เป็นบาปแล้ว

แต่ทั้งปวงที่ทำมา

ก็ไม่เห็นว่า

จะทำให้ตนเองพ้นทุกข์ทั้งปวงได้

 

-------------

แต่พระธรรม

คำสอนพระพุทธเจ้า

สามารถ ทำให้ พ้นทุกข์ ทั้งปวงได้

อย่างแน่นอน อ.อุบล พิสูจน์มาแล้ว

ด้วยตัวเอง อีกเช่นกัน

-------

พระพุทธเจ้า สอนให้เรา

ไปนิพพาน

 

นิพพาน คือ พ้นทุกข์ทั้งปวง

 

เส้นทางที่จะถึงซึ่งนิพพาน

คือ

ทาน ศีล ภาวนา

ละโลภ โกรธ หลง ดับกิเลส ตัณหา

เหลือแต่ความเมตตาอย่างเดียว

 

นิพพาน

ไม่ได้เกิดขึ้น เฉพาะ หลังความตาย

 

แต่

เกิดตั้งแต่ ยังมีชีวิต

คือเมื่อยังเป็นคนอยู่ ไม่มีทุกข์

มีแต่ความสุข นั่นคือ อารมณ์ นิพพาน

 

การจะมีแต่สุข หรือ อารมณ์นิพาพาน

พระองค์ท่านให้ใช้ ปัญญา

ละวางอัตตา หรือ ความรู้ ฐานะ หน้าที่

เพราะ

ความรู้ ฐานะ ทรัพย์ หน้าที่

คือ ตัวถ่วง ที่มีน้ำหนัก มากที่สุด

ในการพบหนทาง ดับทุกข์

เพราะมันเป็นของหนัก

ถ้าไม่วาง ไม่ทิ้ง

 

ท่านไม่มีวันเดินขึ้นที่สูงได้

 

สมมุติว่า

ทุกอย่าง มีน้ำหนัก อย่างละ 1 กก.

 

ท่านจะเดินขึ้นนึกสูง 5 ชั้น

ถือของหนักอย่างละ 1 กิโล ไปสัก 10 ถุง

ท่านจะขึ้นไหวไหม

 

ถ้าท่านลองทิ้งมันไป ทีละถุง

ท่านจะเบาไหม เดินคล่องขึ้นไหม

กับถ้า ทิ้งได้หมดทุกถุง

อันไหน จะขึ้นได้สะดวกกว่ากัน

 

โธ่

ลำพัง ขึ้นโดยไม่ถืออะไรเลย

ก็ใช่ว่า จะ ง่าย เหนื่อยแทบตายเหมือนกัน

แต่มันขึ้นง่ายกว่า คนถือของหนัก

ของหนักเหล่านั้นแหละ

คือสิ่งที่

ผู้มีความรู้สูง(ก็หนักมากหน่อย ถ้ายึดติด)

ผู้มีฐานะการเงินสูง ก็หนัก

ผู้มีตำแหน่งงานสูง ก็หนัก

ผู้มีตำแหน่งทางสังคมสูง ก็หนัก

 

แล้วลองหันไปมองดูซิ

ว่า

คนทั่วบ้าน ทั่วเมือง ที่ทุกข์กันอยู่นี้

มีความรู้กันไหม มีฐานะไหม

 

ความรู้สูง และ อื่นๆ ที่ชื่นชม ชื่นชอบ

กันนักหนา นี้ ช่วยให้พ้นทุกข์ไหม

 

ดูโปรแกรมเมอร์

สภากาชาดไทยสิ เห็นว่า

มีแต่คนต้องมาหา มาง้อ มาอ้อนวอน

แล้ววันนั้น ทำไมไม่รักษาอาการ

เจ็บปวดของตัวเองให้ได้

มาหา อ.อุบล ทำไม

 

อ.อุบล

ไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์ ซะหน่อย

แล้วตอนหาย ได้ใช้ ความรู้ไหม

 

แล้วมาดูว่า

อ.อุบล ใช้ อะไร ทำให้เขา

รู้สึกได้ ถึง ความสุข พ้นทุกข์กว่าเดิม

ในฉับพลันทันที ณ เวลานั้น

 

อ.อุบล

ไม่ได้ใช้ความรู้สักเท่าไหร่

ใช้บ้างเล็กน้อย คือ ใช้ภาษาไทย

ในการพูดสื่อสาร ให้คนฟังรับฟังได้

แต่ที่ใช้ปลดทุกข์

ให้เห็นได้ ฉับพลัน ทันที

ต่อหน้าสาธารณชน

อ.อุบล ใช้ปัญญา

 

แต่

ไม่ใช่ปัญญาของ อ.อุบล เอง

แต่เป็นปัญญา บารมีของพระพุทธเจ้า

ที่พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพ

หลายภพ หลายชาติ

ค้นคว้า รวบรวมไว้ แล้วมาสอนเรา

 

อ.อุบล

ทำไม ถึงรับ ธรรมะ

ของพระพุทธเจ้าได้ อ.อุบล ใช้อะไร

ในการรับธรรมะ ใช้ความรู้หรือไม่

 

ขอบอกว่า

อ.อุบล ใช้ทำอย่างที่

มีประสบการณ์มาในชีวิต

ใช้วิธีคิด หาทางออก ของทุกข์

เพราะ

เดิม ใช้แต่เงิน กับความรู้

ตำแหน่งหน้าที่

ดับทุกข์

แต่มันดับไม่ได้ มันอับจนหนทาง

ยิ่งแก้ ก็ยิ่งเพิ่มทุกข์

 

ดังนั้น

เมื่อถึงทางตัน

ก็หันมาหา พระธรรม คำสอน

ทั้งที่ พบ มาตั้งนานแล้ว

แต่ไม่สนใจ ไม่ใช่ไม่เชื่อ

ปากบอกเชื่อ แต่ การกระทำสวนทาง

คือ ไม่ได้ทำทุกอย่างที่พระองค์สอน

ไม่ได้งดเว้นทุกอย่างที่พระองค์สั่ง(ห้าม)

 

เรียกได้เลยว่า

 

ไม่เห็นทุกข์ ก็ ไม่เห็นธรรม

อ.อุบล ก็เป็นอย่างนั้นเลย

 

พอเห็นทุกข์ ก็ เห็นธรรม

พอเห็นกรรม ก็อยาก พ้นกรรม

พออยากพ้นกรรม ก็หาทาง

การหาทาง ก็ต้องใช้ปัญญา

 

คนไม่มีปัญญา

ต้องพึ่งปัญญา ผู้มีปัญญา

และ

พอเราหลงทาง

มองเห็นผู้เดียว ที่ไว้ใจได้

คือ

พระพุทธเจ้าเท่านั้น

ที่เราจะปลอดภัย ไม่หักหลัง

*-----------*

พูดมายาว ขอสรุปก่อน

 

ความรู้  เกิดจาก  การศึกษาเล่าเรียน

ปัญญา เกิดจาก การคิด อย่างมีเหตุผล

 

ซึ่งทั้งความรู้และปัญญา

สามารถพิสูจน์ความแตกต่างกันได้

ว่า

สิ่งใดประเสริฐกว่ากัน

ก็ให้ดูที่ผลการใช้ความรู้ กับ ปัญญา

 

ดูว่า ความรู้ หรือ ปัญญา กันแน่

ที่ทำให้พ้นทุกข์ ได้แน่นอน

 

คนที่ใช้แต่ความรู้ ทำให้หายป่วยได้ไหม

คนมีปัญญา ทำให้หายป่วยได้ไหม

พ้นทุกข์ พ้นเจ็บ พ้นจน ได้ไหม

ใครจะยึดถือ

ความรู้ หรือ ปัญญา

ก็เลือกเอา

 

เดี๋ยวค่อยมาโม้ต่อ

เอาไว้มีคนมาคุยด้วยก่อน

เดี๋ยวจะเป็นคุยคนเดียว

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 12:46:51


ความคิดเห็นที่ 170 (1625205)

(แค่โกรธนี่ ก็ถือว่ขาดปัญญาแล้ว)

..........................................................

ประสบการณ์ของเล็ก

คือมีเพื่อนบ้านห้องติดกัน ย้ายมาอยู่ใหม่

และเป็นเพื่อนบ้านที่ชอบสังสรรค์ นัดเพื่อนมา

ครั้งนึงเกือบ 10 คน เที่ยงคืน ตีหนึ่่ง คุยกันไม่เลิก 

ทั้งคุย ทั้งหัวเราะเสียงดัง

ขนาดปิดประตูเสียงยังดังเข้ามาห้องเรา

เล็กกับพี่สาวก็โวยวายให้รู้ว่าเราไม่พอใจนะ

แล้วก็ไปฟ้องส่วนกลางให้ตักเตือน ให้เกรงใจกันบ้าง

เพราะคนอื่นเขาอยู่อย่างสงบมานาน

ผลปรากฎว่า พอฟ้องส่วนกลาง ก็นัดเพื่อนมาเหมือนเดิม

แถมเหมือนแกล้งทำเสียงดังกว่าเดิม

เล็กก็มาคิดไตร่ตรองว่า

ส่วนกลางเราก็บอกให้เขาตักเตือนให้แล้ว

ก็ยังไม่เป็นผล เขาก็มีความสุข สังสรรค์ก้นเหมือนเดิม

แล้วเราหล่ะ โกรธโมโห ใจเต้นแรง  อารมณ์เสีย

แล้วใครหล่ะที่เหนื่อย ก็เราเอง

เล็กก็เลยบอกพี่สาวว่าไม่ต้องไปฟ้องส่วนกลางแล้ว

ปล่อยให้เวรกรรม ลงโทษเอง ทำอะไรไว้ก็คงได้รับอย่างนั้น

พอเราบอกตัวเองว่าไม่สนใจแล้ว จะเสียงดังเท่าไหร่ก็ดังไป

เราถือคำที่ว่าอย่าเอากรรมของคนอื่นมาเกี่ยวกับเรา

เมื่อถึงเวลานอน ก็บอกตัวเองมันไม่ใช่เรื่องของเรา

ก็นอนหลับได้สบายขึ้น

แต่ความโกรธก็ยังมีอยู่ แต่เบาบางลง

จนมีอยู่วันนึง เสียงก็ยังดังอย่างไร้ความเกรงใจเหมือนเดิม

เราก็เลยแผ่เมตตา เสีัยงดังฟังชัดไปถึงห้องข้าง ๆ ว่า

สัพเพสัตตา

สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแ่ก่เจ็บตาย

ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

จงเป็นสุขเป็นสุขเิถิด ฯ

ท่องอยู่อย่างนี้ หลาย ๆ รอบ จนคณะสังสรรค์เิ่ริ่มทยอย

เปิดประตูกลับไปในเวลาไม่นาน

สถานการณ์ดีขึ้น แต่ยังไม่สงบ

วันหลังก็มีสังสรรค์เหมือนเดิม

เล็กเลยปิดประตูสวดมนต์ แผ่เมตตา คณะสังสรรค์

ก็ทยอยกลับเหมือนครั้งก่อนในเวลาอันรวดเร็ว

เล็กก็บอกกับตัวเองว่าเฮ้ย แผ่เมตตานี่ดีจริง ๆ 

สามารถไล่เสียงดังได้ด้วย

เท่านั้นไม่พอ

ในวันหยุดวันแม่ ก็ไปบวชเนกขัมมะ

พร้อมกับไปฝึกมโนมยิทธิด้วย

พอกลับมาขณะนั่งรถ ใกล้ถึงคอนโด ก็คิดว่าเราน่าจะอุทิศบุญ

ให้เทวดาที่ดูแลอาณาเขตของคอนโด เทวดาที่ดูแลห้องเรา เทวดาที่ดูแลห้องข้าง ๆ เรา

ก็เลยอุทิศบุญให้เทวดาเหล่านี้

พร้อมบอกเทวดาที่ดูแลห้องข้าง ๆ ว่าขอให้ท่านดูแล

ให้เขาอยู่อย่างสงบ ถ้าไม่สามารถทำให้สงบเงียบ

ได้ก็ขอให้ท่านดลใจให้เขาย้ายออกไป

พอมาถึงห้องก็สังสรรค์เหมือนเดิม

แต่พอแป๊บเดียวก็สลายตัวหมด

และต่อมาก็เงียบได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แม้วันเสาร์อาทิตย์ ก็ไม่มีการสังสรรค์แต่อย่างใด

ความโกรธเมื่อเราละได้ ก็รู้สึกสบายใจ มีความสุข

แม้ว่าเล็กจะยังทำได้ไม่ถึงร้อยเปอร์เซนต์

แต่ก็จะพยายามทำให้มีน้อยลง

ก็พยายามเก็บคำสอนของท่านอาจารย์เอามาปฏิบัติ

ศีล 5 ก็พยายามรักษา

อาราธนาศีล 5 ทุกเช้า

ตอนกลางคืนก็กลับไปตรวจศีล 5 ว่าทำได้ครบหรือไม่

ข้อไหนยังไม่ได้ พรุ่งต้องทำให้ดีขึ้น

ภาพพระก็พยายามจับอยู่ แม้ว่ายังไม่ชัด ยังไม่ใส

ก็จะพยายามเพื่อให้จิตนี้ละเอียด และใสขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น เยาวลักษณ์ เกิดมีทรัพย์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 14:46:17


ความคิดเห็นที่ 171 (1625265)

จากการเข้าร่วมกิจกรรม ธรรมมะบำบัด แบบเห็นผลฉับพลันทันที

ที่ ม.มหิดล เมื่อวันที่ 17 สค.55 เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก

เพราะ ม.มหิดล  เป็นสถานที่ทรงเกียรติที่ผลิตบุคคลากรที่มีความรู้

ระดับหัวกะทิของประเทศ   ซึ่งภายในงานก็ล้วนมีแต่ผู้ที่ทรงความรู้มากมาย

หลากหลาย อาชีพ และ ระดับการศึกษา แต่ที่มีเหมือนกัน ก็คือ ความทุกข์ 

ซึ่งทุกข์ของแต่ละท่านก็จะแตกต่างกันไป

 

สิ่งที่ประทับใจอย่างแรกของการได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ คือเรื่องการอ่านประวัติวิทยากรก่อนบรรยาย  ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำกัน  โดยท่าน อ.อุบล ก็เขียนประวัติอย่างย่อ ให้ ดร.จุ๋ม อ่าน  แล้วตามมาด้วยคำถามที่ว่า พวกเรา “รู้ประวัติท่านแล้ว  พ้นทุกข์กันหรือไม่”  โดนใจจริง ๆ ค่ะ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ก่อนหน้านี้ทุกที่ที่ท่าน อ.อุบลไปบรรยาย จะไม่เคยให้ประวัติ

เนื้อหาในการบรรยาย กระทัดรัด ครอบคลุม ในเวลาอันจำกัด ซึ่งจะมี ท่าน ดร.วิชิต คอยเป็นกำลังหนุน   กับประโยคที่ว่า “ผมไม่เชื่อ” ขนาดลูกน้องท่านอาการดีขึ้น  ท่านยังบอกว่า แล้วเราไปคุยกันนอกรอบ ต้องขอนับถือและชื่นชมในตัวท่านจริง ๆ ค่ะ เพราะงานนี้ท่านถามคำถาม หรือ พูด ได้โดนใจผู้ที่ไม่เคยเห็นปรากฎการณ์ มหัศจรรย์อย่างนี้มาก่อน  เพื่อจะได้นำไปพิจารณา เปรียบเทียบ ได้อย่างมีเหตุผล ก่อนจะเชื่อ  สมแล้วที่ท่าน เป็นนักวิทยาศาสตร์ และยังเป็นประธานจัดงานนี้ด้วย

ช่วงบำบัด ขอเล่าเครส เป็นพี่ที่อัญ พาไปนะคะ เป็นเจ้าของกิจการ โดยรวมทุกอย่างดีหมดทั้ง หน้าตา หน้าที่การงาน ครอบครัว แต่ก็ยังมีทุกข์  คือ ปวดขา และ หลัง โดยเป็นมาตั้งแต่เด็กต้องนวดเกือบทุกวัน  (ซึ่งได้เคยบอกพี่เค้าว่าอาการที่เค้าเป็นนั้นเล็กน้อยมาก ๆ)  ช่วงที่รับการบำบัด ที่เค้าตั้งใจฟังอย่างมาก และยืนขึ้นตอนที่ท่าน อาจารย์ถาม  แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ (ส่วนตัวคิดว่า จิตพี่เค้ายังไม่เปิดเต็มที่ และนึกกรรมที่ตนเองทำไม่ได้)  แต่พอถึงช่วงสุดท้ายที่ได้ขึ้นไปบนเวที เพื่อสัมผัสบารมีพระศรีอาริย์ นั้น กลับลงมา หน้าเปลี่ยน เลยค่ะ  บอกว่าพี่ดีขึ้นจริง ๆ นะ กลับไปพี่จะติดตามต่อที่เวป  ยังมีเครสที่ประทับอีกมากมายโดยจะขอเล่าภายหลัง

 

ขออนุโมทนาบุญ และ ขอกราบขอบพระคุณ ท่าน ดร.วิชิต ประธานจัดงาน   ดร.พี่จุ๋ม ของเรา (ผู้เป็นสะพานบุญ) และ เจ้าหน้าที่เวชศาสตร์เขตร้อนทุก ๆ ท่าน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าน อ.อุบล ศุภาเดชภรณ์  ที่ทำให้เกิดกิจกรรม “ธรรมมะบำบัด แบบเห็นผลฉับพลันทันที” ในครั้งนี้  ขอแสดงความยินดี และ อนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านที่ได้ชม ได้สัมผัส บารมีของพระศรีอาริย์กันถ้วนหน้าค่ะ 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อัญ - อนัญญา สุขถาวร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 17:18:48


ความคิดเห็นที่ 172 (1625363)

ขอพูดถึง

"ภาพรวม"

ของงานที่มหิดล

เพื่อขั้นรายการก่อนเลยนะคะ

-------

ทันที ที่รู้ว่า ที่มหิดล

มีชมรม  "รักธรรม" ก็รู้สึกว่า

เป็นโชคดีของชาวมหิดล

ที่ผู้คน ยังไม่ทิ้ง ศาสนา

ยังศรัทธาพระพุทธเจ้า

 

ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์แล้ว

คิดว่า จะ ยิ่งใหญ่ กว่าพระพุทธเจ้า

หรือละเลย

คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม

เพียงแต่ว่า

สถาบัน ได้นำเอา หลักธรรม

คำสอนของพระพุทธเจ้า

ไปใช้ในการดำเนินชีวิตของ

นักวิทยาศาสตร์

หรือไม่

 

อย่างคุณพ่อ

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

นี่ท่านก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ นาซ่า

ซึ่งท่านพูดอย่างองอาจว่า

ท่านสำเร็จในโครงการทุกโครงการ

ตั้งแต่ผลการเรียนที่ดีเลิศ

จนถึงเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังนั้น

เกิดจากการ "หยั่งรู้"

จากการทำสมาธิ ตามคำสอนของ

พระพุทธเจ้า

 

ท่านไปไหน

ท่านก็พูด ก็บรรยาย อย่างนี้

อย่างสง่างาม

 

อ.อุบล

เคยถามท่านเรื่อง

วิทยานิพนธ์ ซึ่งท่านบอกว่า

คิดเครื่องขยายคลื่นไมโครเวป

จากการหยั่งรู้เช่นกัน

ท่านเขียนไปในวิทยานิพนธ์ด้วย

อ.อุบล ถามท่านว่า

แล้วฝรั่งเขายอมรับได้หรือคะ

 

ท่านตอบว่า

ก็เขาให้บอกความจริง

ผมก็บอกไปตามความจริง

 

นี่คือ นักวิทยาศาสตร์ ตัวจริง

 

การพิสูจน์ปรากฎการณ์

บ้านสวนพีระมิด

ท่านก็ใช้หลักวิทยาศาสตร์

"ตัดสิน"

ว่า

ถ้าเราตั้งสมมติฐานไว้ก่อน

แล้วแสดงให้เห็นได้

ตามที่ตั้งสมมติฐานไว้

นั่นถือว่า เป็นหลัก วิทยาศาสตร์

 

ซึ่งพอเห็น ดร.วิชิต แล้ว

รู้สึกสบายใจ ขึ้นมาเลยว่า

เรายังมีนักวิทยาศาสตร์ที่ศรัทธา

พระพุทธเจ้าอย่างมั่นคง

นึกถึง

คุณพ่อ ดร.อาจอง ขึ้นมาเลย

 

ดร.วิชิต

เป็นประธานชมรม รักธรรม

ซึ่งแน่นอน ท่านต้องปรารถนาจะ

ขับเคลื่อน พระธรรม ของพระพุทธเจ้า

เข้าไปหล่อหลอมจิตใจ

บุคลากรในองกร

 

ไม่เช่นนั้น

ท่านคงไม่พยายาม

จัดกิจกรรม ธรรมะ เพื่อเปิดโอกาส

ให้ผู้คนทั้ง ใน และ นอก

ได้เข้าถึงธรรม

 

ยิ่งเป็นการเชิญ

วิทยากรอย่าง อ.อุบล ไป

ซึ่งเป็นคนที่ท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน

ไม่มีชื่อเสียง แถมวิธีการ

นำเสนอธรรมะ

ก็ไม่เหมือนที่ท่านเคยเห็นมา

 

เริ่มตั้งแต่ หัวข้อแล้ว

"ธรรมบำบัด แบบเห็นผลฉับพลันทันที"

แถมด้วยคำโฆษณาว่า อาการเจ็บปวด

สามารถเห็นผลทันทีได้

 

อันนี้

เราต้องเข้าใจด้วยนะว่า

ดร.วิชิต เสี่ยงมาก

สถาบันเสี่ยงมาก

 

หากไม่มีผลเกิดทันที

ดร.วิชิต กับ สถาบัน จะเสียหาย

สักเพียงไหน อันนี้ เราคิดยังไง

 

แต่พวกเรา

เห็นเหตุการณ์บ้านสวนฯ

มาจนชินแล้ว เรารู้ เราเห็น เรามั่นใจ

แต่ ดร.วิชิต และ ผู้ใหญ่

ไม่มีใครเคยเห็น

 

 

การที่ ดร.วิชิต

จัดงานนี้ กิจกรรมนี้ ในหัวข้อนี้

ถือว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์

ที่ใจกว้างมาก และ พร้อมพิสูจน์

ในปรากฏการณ์ที่กล่าวอ้าง

ในหัวข้อ และ การเชิญพิสูจน์

ผลแบบฉับพลันทันที

 

เมื่อท่านเห็น

จำนวนผู้คน ที่สนใจเข้าร่วม

กิจกรรมครั้งนี้ ท่านแสดงความรู้สึก

ยินดี ในปรากฏการณ์นี้มาก

ท่านบอกว่า

 

ท่านปรารถนามานาน

ที่จะทำกิจกรรม ให้เป็นประโยชน์

ทั้งต่อองค์กร และ คนภายนอก

ซึ่งก็คือ กิจกรรมธรรมะ

ของเขตร้อนนี่แหละ

 

ท่านสบายใจ

ตั้งแต่ เห็นจำนวนคน ที่สนใจแล้ว

และ

ท่านก็เป็นคนที่ยอมรับความจริง

ไม่ใช่ดันทุรัง แบบตั้งกำแพง

ปิดกั้นการพิสูจน์

 

อันนี้

เราดูได้จาก

การที่ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ

ต่อเวลา การบรรยายออกไปอีก

โดย

ถามความสมัครใจ

ของผู้เข้าฟัง และ วิทยากร

เดิมต้องเลิก บ่าย 3 ครึ่ง

แต่ต่อเวลาไปถึง 2 ครั้ง จน สี่โมงกว่า

นี่แสดงว่า ท่าน เปิดใจกว้าง

ทั้งที่ท่านสามารถ

ให้ยุติได้ ตามเวลา ถ้าจะรักษามารยาท

และมีใจต้าน การแสดงธรรม

 

ตลอดเวลากิจกรรม

ท่านตั้งใจฟัง มีส่วนร่วมด้วยตลอด

และ

เป็นผู้ขับเคลื่อน ให้กิจกรรม

ดำเนินไปแบบ ท้าทาย

วิทยากร

 

เปิดโอกาสให้ วิทยากร

ได้แสดงธรรมะ ในแง่มุมต่างๆ

พิสูจน์กฎของกรรม

อย่างเต็มที่

 

โดยเฉพาะ

ตอนชมบารมีพระศรีอาริย์

ซึ่ง

เป็นช่วง "ไฮไลท์" สำคัญ

ของงานวันนั้น

 

ซึ่งท่านก็ได้แสดงความ

เป็นนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชื่อใน

พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

อย่างชัดเจน

โดย

ท่านบอกว่า ท่านอยากเห็น

อยากชม การพิสูจน์ บารมีพระศรีอาริย์

เปิดโอกาสให้เราได้แสดง

 

แล้วความใจกว้างของท่าน

ในช่วงกิจกรรมนี้

ซึ่ง

มีคนเดินเข้ามาใกล้ อ.อุบล

แล้วหาย

 

โดยไม่ได้สารภาพบาป

ไม่มีการใต่สวนใดใดทั้งนั้น

ซึ่งดูไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

แต่ท่านก็ต้องการพิสูจน์

อย่างนักวิทยาศาสตร์

ว่า

มีความเป็นไปได้ จริงหรือไม่ อย่างไร

 

โดย

ท่านมีส่วนช่วย

ให้กิจกรรม ดำเนินไปตลอด

มีบางคน ที่ทำผิด ข้อตกลง

คือ

แค่ให้เดินมาใกล้ อ.อุบล

แล้วเดินผ่านไปลงเวทีอีกด้านหนึ่ง

แต่มีบางคน บอก ขอสารภาพบาป

อ.อุบล บอก ไม่ใช่เวลาสารภาพ

ท่านก็รีบช่วย พูดว่า อย่าร่ำไร

เดินผ่านไปเลยครับ

 

มีบางคน ที่กราบ อ.อุบล

แล้วหาย ท่านก็สนับสนุน ให้ทำได้

เพื่อเป็นการพิสูจน์

 

ซึ่งบทนี้

เป็นบท ต้องห้าม ที่ อ.อุบล

กำชับคุณธนา ว่า อย่าพูดเด็ดขาด

แต่ก็มีคน มากราบ แบบไม่ตั้งตัว

แล้วหายเสียด้วย

 

ดร.วิชิต

ท่านก็เปิดโอกาสให้

คนที่อยากหาย กราบได้

ท่านเป็นผู้คอยดูผล

แล้วยังอำนวยความสะดวก

ให้ผู้อยากกราบ อ.อุบล

ด้วยการ ให้จัดการเอาเก้าอี้ที่ขวาง

ออกไป ให้คนเข้ามากราบ

ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น

 

เรียกว่า

งานนี้ ดร.วิชิต ได้ทำบทบาท

หน้าที่ ทั้งในฐานะ นักวิทยาศาสตร์

ที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ขององค์กร

โดย

พิสูจน์ให้ได้ว่า การบรรยายครั้งนี้

มีผล ตรงตามหัวข้อหรือไม่

และ

สามารถพิสูจน์สิ่งต่างๆ

ตามที่ได้ระบุไว้

ได้ครบถ้วน สมบูรณ์ หรือไม่

 

มีสิ่งใด ที่ทำให้ ผู้ร่วมกิจกรรม

เดือดร้อน จากการร่วมกิจกรรมหรือไม่

บิดเบือนคำสอนพระพุทธองค์หรือไม่

ประเมินผล ว่าผู้ร่วมกิจกรรม

มีความพึงพอใจหรือไม่

ซึ่งเหตุการณ์

เป็นการ "ตอบโจทย์" ทุกอย่าง

ซึ่งท่านบอกไว้แต่แรก

ก่อนเข้าห้องบรรยายว่า

 

ผม ต้องขอโทษ อ.อุบล ด้วย

ผมไม่เคยรู้จัก อ.มาก่อนเลย

วันนี้ ขอชม ขอพิสูจน์ก่อนนะครับ

 

พวกเรา

ลองนึกถึงวันที่ท่าน

ดูรายการ อ.อุบล วันแรกสิ

เชื่อไหม รับได้ไหม

แล้วพวกเรา

ต้องเห็นใจ ดร.วิชิต และ

คนที่ไม่รู้จัก อ.อุบล บ้างซี

 

แต่

สรุปว่า งานนี้

ดร.วิชิต สุดยอด ความเป็น

นักวิทยาศาสตร์

ที่เป็น

หัวหน้าชมรม รักธรรม

 

ยังไง

อยากเห็น บทบาท ลีลา

ดร.วิชิต

 

ก็ดูได้ จากรายการ ที.วี.

สัปดาห์นี้ แล้ว พิจารณาเอาเอง

 

แต่ท่านที่ไปร่วมงาน

ช่วยมาเขียนธรรมทาน ในมุมมอง

ของท่านได้เลย

 

อย่ามาเอา

อ.อุบล หรือใครเป็นมาตรฐาน

ท่านเอาความรู้สึกของท่าน

ตัดสิน คิดยังไง ก็เขียนอย่างนั้น

 

คนเรา

มีสิทธิ์ คิดเห็น ต่างกัน

มีสิทธิ์เสรี ในการคิด

 

ขอบคุณ ดร.วิชิต มากค่ะ

ที่เป็นผู้ขับเคลื่อน

การพิสูจน์

ให้มีชีวิต ชีวา น่าติดตาม

การแสดงธรรมบำบัด

ครั้งนี้ ให้สมบูรณ์ ที่สุดค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 18:56:21


ความคิดเห็นที่ 173 (1625410)

การแสดง

ธรรมบำบัดทุกที่

 

เป็นการยืนยัน

พระธรรมอันงดงาม

ของ

พระพุทธเจ้า

ให้เป็นที่ประจักษ์ว่า

 

ทองแท้ ต้องไม่ แพ้ไฟ

ของจริง แล้วไซร้ ต้องไม่กลัว

การพิสูจน์

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 20:44:07


ความคิดเห็นที่ 174 (1625420)

ทองแท้ ต้องไม่ แพ้ไฟ

ของจริง แล้วไซร้ ต้องไม่กลัว

การพิสูจน์

-*-*-*-*-*-*-*-.

ขอกด Like ค่ะ

ชอบประโยคนี้ที่สุดค่ะ

เรื่องการพิสูจน์

ทำให้ มีลุ้น

ทั้งนี้การแสดง

ธรรม สัญจร หรือ ไม่สัญจร

ของ อ.อุบล ไม่มีสคลิป

ไม่มีแผนการแสดง

และก็ไม่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

เลยสักครั้งเดียว

แต่

อ.อุบล

สง่า งาม ทุกครั้งที่เห็น

พระพุทธองค์ และ เบื้องบน

ทุก ๆ พระองค์ สุดยอดที่สุดค่ะ

และทุกครั้งที่ได้เห็น ได้สัมผัส

รู้ได้ว่า

อ.อุบล คือ ผู้ให้ เพื่อ ให้

ไม่ใช่ ให้ เพื่อ เอา

คนยอดคน

อาริยบุคคลที่มีแต่ให้

และอยากให้สังคม

เป็นสังคมไทยเป็น

สังคมอาริยบุคคลเช่นกันนะคะ

แบบ

บ้านสวนพิรามิดอ่ะค่ะ

ประเทศไทยคงมีแต่ความสุขที่ซู๊ด

เพราะ

อ.อุบล สร้างบุญถวายในหลวง

เป็นมหาบุญ มหากุศล

ที่สุดค่ะ

( รัก อ.อุบล ที่สุดค่ะ )

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-21 21:41:11


ความคิดเห็นที่ 175 (1625457)

 

ยังไง

อยากเห็น บทบาท ลีลา

ดร.วิชิต

 

ก็ดูได้ จากรายการ ที.วี.

สัปดาห์นี้ แล้ว พิจารณาเอาเอง

 

แต่ท่านที่ไปร่วมงาน

ช่วยมาเขียนธรรมทาน ในมุมมอง

ของท่านได้เลย

 

อย่ามาเอา

อ.อุบล หรือใครเป็นมาตรฐาน

ท่านเอาความรู้สึกของท่าน

ตัดสิน คิดยังไง ก็เขียนอย่างนั้น

..................................

ชนิดาคนนึงค่ะ

ที่อยากเห็นลีลาของดร.วิชิต

ด้วยตาตัวเอง เพราะเท่าที่อ่าน

 

ชนิดาก็พอจะนึกภาพได้ออกว่า

ด็อกเตอร์ท่านนี้น่าจะเป็นผู้ที่มี

"ความรู้"ทางโลกและภูมิรู้ทางธรรม

ในระดับที่่ไม่ธรรมดาแน่ๆค่ะ

 

แต่มาเอะใจอยู่จุดเดียว

คือ ทำไมท่านไม่ลองพิสูจน์

อาการปวดไหล่ที่เป็นมานานนั้น

ว่าจะหายได้ฉับพลันทันที

เป็นไปได้จริงหรือไม่


ทั้งๆที่ ถ้าคิดดีๆแล้ว

ครั้งนี้ดร.วิชิต มีโอกาสดีมากๆ

ที่จะได้พบหนทางพ้นทุกข์ให้ตนเอง

 

แต่ท่านก็ยอมเก็บความทุกข์

นั้นไว้กับตัวเองต่อไป

เพราะไม่ต้องการพิสูจน์

ด้วยอาจจะคิดว่า

เป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่สมควรมาพิสูจน์แบบนี้

หรือ ท่านไม่ต้องการจะสารภาพบาป ก็ไม่รู้นะคะ


ฉะนั้น ถ้าดร.วิชิต คิดว่า

อาการปวดบ่าไหล่นั้น ไม่ใช่ "ความทุกข์"

 

ก็คงจะสรุปได้ง่ายๆว่า

เมื่อไม่เห็น"ตัวทุกข์" ก็ไม่ต้องไป

พิจารณาถึงข้ออื่นๆในอริยสัจสี่เลยค่ะ

เมื่อไม่เห็น"ทุกข์"

ก็ไม่รู้ถึงสาเหตุของ"ความทุกข์"

แล้วก็คงจะไม่พบวิธี

ที่จะทำให้ตนพ้นทุกข์ได้


ชนิดาจึงคิดว่า

คนที่มีความรู้สูงๆส่วนใหญ่

มักจะมีระดับของ"ความไม่รู้"(อวิชา)

ที่เป็นเสมือนเงาตามตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน

 

แล้วตัวอวิชานี้

ก็คือหลุมใหญ่ๆในใจของเรานั่นเอง

และด้วยความไม่รู้นี้

จึงทำให้เรา"กลัว"ทุกอย่าง

กลัวว่าจะไม่มีคนนับถือ

กลัวว่าจะไม่เป็นที่รักของคนอื่น

กลัวเสียภาพพจน์ ฯลฯ

และที่สำคัญที่สุด คือ

กลัวความจริง


ได้อ่านที่ท่านอาจารย์เขียนถึง

ท่านดร.อาจอง แล้วก็ต้องบอกว่า

ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์

ที่เคารพใน"ความจริง"มากๆ

แล้วก็ไม่สนด้วยว่า

คนอื่นจะมองท่านอย่างไร

 

ฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้

ชนิดาขอเลือกเป็นคนที่มีปัญญา

ไม่ใช่เป็นแค่คนที่มี"ความรู้" แต่ยอมทนทุกข์

 

เพราะถ้ามีปัญญาสว่างมากพอ

ก็คงจะเห็นถึงสัจธรรมต่างๆได้อย่างถ่องแท้

และ พบหนทางที่จะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

 

 

กราบอนุโมทนากับทุกๆธรรมทาน

จากท่านอาจารย์

และทุกๆท่านด้วยค่ะ  

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 04:09:09


ความคิดเห็นที่ 176 (1625458)

ซึ่งท่านบอกไว้แต่แรก

ก่อนเข้าห้องบรรยายว่า

 

ผม ต้องขอโทษ อ.อุบล ด้วย

ผมไม่เคยรู้จัก อ.มาก่อนเลย

วันนี้ ขอชม ขอพิสูจน์ก่อนนะครับ

 

*********

ขอชื่นชม ดร.วิชิต

อีก 1 เสียงค่ะ

ถึงแม้ท่านจะเป็นนักวิทยาศาสตร์

 

ท่านก็ไม่ได้ละเลยทางด้านศีลธรรม

จะเห็นได้จาก

ตำแหน่งหัวหน้าชมรม "รักธรรม" อีกฐานะนึง

 

จะว่าไปแล้วก็จำเป็นอยู่ดี

ที่ท่านจะต้องขอพิสูจน์เสียก่อน

ก่อนที่จะเชื่อสิ่งใดๆ

ซึ่งคนทั่วไปก็คงจะทำเช่นนี้เหมือนกันเน๊าะ

 

อย่างไรก็ตาม

ธัญญาภรณ์ก็แอบหวังว่า

จากงานธรรมสัญจรในครั้งนี้

ท่านคงจะได้สัมผัสพระบารมีของพระศรีอาริย์

ไม่มากก็น้อยละค่ะ

 

*********

 

 

แต่คนไทย ชาวพุทธ

ทั้งมีความรู้ และ ไม่มีความรู้

ตั้งหน้าตั้งตา ยกตนขึ้นสูง ด้วยคิดว่า

ความรู้

กับฐานะการเงิน ตำแหน่งงาน

จะบันดาล

ให้ตนเหนือผู้อื่น

 

แม้แต่

การคิดอยากเหนือผู้อื่น

ก็ทุกข์แล้ว ก็ผิด ก็เป็นบาปแล้ว

แต่ทั้งปวงที่ทำมา

ก็ไม่เห็นว่า

จะทำให้ตนเองพ้นทุกข์ทั้งปวงได้

 

**********

กราบ กราบ กราบ

ขออนุโมทนากับธรรมทานของท่านอาจารย์ค่ะ

ข้อนี้...โดนธัญญาภรณ์เข้าไปเต็มๆ

แม้ไม่ค่อยจะมีดี

แต่ทำมั๊ย ทำไม ชอบอวดดีเหลือเกิน

เฮ้อ...ไม่ไหวจะเคลียร์

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธัญญาภรณ์ พุกภัย พิสมัย (ฝรั่งเศส) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 04:20:40


ความคิดเห็นที่ 177 (1625572)

 พระพุทธเจ้า

ตรัสว่า

ศีล และ ปัญญา อาศัยกัน



ปัญญา ย่อมมีแก่ ผู้มีศีล

และ

ศีล และ ปัญญา

 

 

นักปราชญ์ ย่อมกล่าว

ว่า

ศีล และ ปํํญญา

เป็นสุดยอดในโลก

 

ศีล และ ปัญญา

ทำให้บุคคลบริสุทธิ์

 

เปรีบบเหมือนบุคคลใช้มือล้างมือ

ใช้เท้าล้างเท้า

 

คนที่ไม่มีศีล

เปรียบเหมือนบ้านเรือนที่ไม่สะอาด

 

คนที่ขาดปัญญา

เหมือน บ้านเรือนที่ไม่มีแสงสว่าง

 

ศีล

ทำให้ กาย วาจา สะอาด หมดจด งดงาม

 

สมาธิ

ทำให้ใจสงบตั้งมั่น

 

ปัญญา

ทำให้ใจสว่าง

 

รวมเป็น

สะอาด สงบ และ สว่าง

 

อันนี้

ไม่ได้ว่าเองหรอกนะ

อย่าพึ่งนึกว่า อ.อุบล มาเทศน์

เอาของพระพุทธเจ้าท่านมา

 

ไปหาอ่านได้

ในพระไตรปิฎก หมวดพระสูตร

เรื่อง

ศีลและปัญญาอาศัยกัน

นะจ๊ะ

****************

ถ้าจัดลำดับ ความสำคัญสูงสุด

ก็ลองไล่ดูนะจ๊ะ

ศีล สมาธิ ปัญญา

 

นี่

พระพุทธเจ้า

สอนเราให้ไปถึงสิ่งสูงสุด

คือปัญญา

แล้วจะนำพาชีวิต ให้พ้นทุกข์

มีสุขได้

 

แต่ทั้งนี้

ไม่ได้แปลว่า ความรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ดี

หรือ

เป็นสิ่งเสียหายนะจ๊ะ

 

ไม่งั้น

จะไปเรียนหนังสือกันทำไม

ออกจากท้องพ่อท้องแม่แล้ว ก็ตั้งอกตั้งใจ

รักษาศีล ทำสมาธิ ก็พอ อย่างนี้ ใช่ไหม

 

ก็ไม่ใช่อีก

เพราะ พระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกว่า

ความรู้เป็นสิ่งไม่ดี

 

ตรงกันข้าม

พระพุทธเจ้า ให้ศึกษา หาความรู้

โดยใช้ปัญญา

ไม่ให้ปิดกั้นศาสตร์ต่างๆ

ที่เรายังไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ว่าไม่มีอยู่จริง

 

ไม่เช่นนั้น

พระพุทธเ้จ้า จะไม่ทรงบอกไว้ว่า

สิ่งที่พระองค์ค้นพบนั้น เท่ากับใบไม้เพียงกอบมือเดียว

เมื่อเทียบกับใบไม้ในป่าในโลกนี้

 

แสดงว่าพระพุทธเจ้า บอกเราไว้แล้วว่า

ยังมีสิ่งที่พระองค์ไม่ไ้ด้พบ ไม่ได้บอกเราอีกก็มี

แต่เราสามารถใช้หลัก ที่พระองค์พบแล้วนี้ เป็นเครื่องนำทาง

การค้นพบศาสตร์ใหม่ๆ

 

เหมือนอย่างเทคโนโลยีทุกวันนี้

ตั้งแต่เราเกิดมา ก็ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน

อย่างโทรศัพท์มือถือ ตอน อ.อุบล อายุ 30 กว่า จึงมามี

อย่าง ที วี สี สมัยเด็กๆก็ไม่มี

 

ซึ่งสิ่งเหล่านี้

พระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยบอก ทำไมเราถึงชอบ

ถึงยอมรับกัน

 

ยาบ้า ยาเสพติด

พระพุทธเจ้าห้าม ทำไมเราชอบกัน

 

ดังนั้น

คนมีกรรม มีบาปเท่านั้น

ที่จะไม่ยอมรับ ทางพ้นทุกข์

 

เหมือนคนเป็นเอดส์

ที่ไม่มีทางรักษาหายอยู่แล้ว

ถ้ามีหมอคนหนึ่งบอกว่า ยาตัวนี้ ทำให้เอดส์หายได้

ซึ่งเป็นยาตัวใหม่ ยังไม่มีใครค้นพบ

 

ถ้าคนเป็นเอดส์

ปฎิเสธเสียแล้ว ว่าไม่เชื่อ

ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างนี้ก็เท่ากับว่า

เขายอมรับ ที่จะรอให้ความตายมาถึง

ไม่ต้องการพิสูจน์ตัวยาใหม่ ที่ไม่เคยมีใครรู้จัก

 

ซึ่งหมอก็บอกว่า

มีคนกินหายมาเยอะแล้ว

แต่ถ้ามีคนเป็นเอดส์กลุ่มหนึ่งไม่เชื่อ

หมอก็คงรักษาไปตามอาการ รอวันตายตามอาการ

ตามเวลาเมื่อเชื้อลุกลามถึงขั้นสูงสุด

 

ท่านว่า

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

 

นี่เรากำลังคุยกัน

เรื่อง

ปัญญา กับ ความรู้

อยู่นะจ๊ะ

 

มีใครอยากคุยด้วย

หรือ สนับสนุน อย่างไหน ก็เชิญแสดงความเห็นได้นะจ๊ะ

 

อย่าอ่านอย่างเดียว

เพราะ นั่นแหละ ได้แค่ความรู้

แต่การแสดงความเห็น นั่นคือ การใช้ปัญญา

จ้า

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 17:00:06


ความคิดเห็นที่ 178 (1625577)

 

จากการยกตัวอย่าง

ยา ตัวใหม่

สำหรับคนเป็นเอดส์

ซึ่งโรคนี้ยังไงก็ไม่หายอยู่แล้ว

 

ถ้าคนไข้ปฎิเสธยาตัวใหม่ของหมอ

ก็เท่ากับว่า คนไข้ ไม่เลือกที่จะมีชีวิตรอด

เพราะคนไข้รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า โรคของตน ไม่มีทางรอด

 

การทดลองยาตัวใหม่

ที่หมอบอกว่า มีคนหายมาแล้ว

คือ

การมีทางเลือกของคนไข้

ซึ่งเดิม ไม่มีทางเลือก มีแต่ทางรอวันตาย

 

แต่ถ้าคนไข้

ลองตัวยา ตัวใหม่

คนไข้ยังมีโอกาสหาย หรือ อาจไม่หายก็ไ้ด้

แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีหนทางเลือกเลย

 

นี่คือ

วิ ธี คิ ด

ของผู้มีปัญญา และ ผู้ที่ไม่มีปัญญา

ที่จะนำพาชีวิตตนให้พ้นทุกข์ หรือไม่พ้นทุกข์ก็ได้

ตามสภาวะแห่งปัญญา

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 17:48:33


ความคิดเห็นที่ 179 (1625580)

นอกจากนั้น

พระพุทธเจ้า

ยังสอนเรา

เรื่อง

ความรู้ และ ความประพฤติ

หรือ

วิชา และ จรณะ

นั่นเอง

 

พระพุทธเจ้า

สอนเรื่องนี้ว่า ความรู้ดี และ ความประพฤติดีนั้น

เป็นสาระสำคัญของคน

 

คนเราจะเกิดในตระกูลใด

วรรณะใด หรือมียศศักดิ์อย่างไร

แต่ถ้าขาดความรู้ดี และความประพฤติดีเสียแล้ว

ก็เสื่อมความนิยมนับถือ และเสื่อมเกียรติ

 

ในสองอย่างคือ

ความรู้และความประพฤตินั้น

 

ถ้าบกพร่องทางความรู้

ก็จะเป็นคนที่โง่เขลา

 

ถ้าบกพร่องทางความประพฤติ

ก็จะเป็นคนฉลาดรอบรู้ ที่ไม่น่าไว้วางใจ

เป็นอันตรายได้มาก

 

ต้องมีทั้งสองอย่างรวมกัน

จึงจะทำให้สำเร็จประโยชน์ได้มาก

 

อันนี้

ก็ไม่ได้คิดได้เองนะจ๊ะ

เอาของพระพุทธเจ้าท่านมาอีกเหมือนกัน

อย่าคิดว่า อ.อุบล มาตั้งตัวเป็นศาสดา หรือ เจ้าลัทธิ

 

อันนี้

มีในพระไตรปิฎกเลยทีเดียว

อยู่ในหมวดพระสูตร

เรื่อง

ความประเสริฐของความรู้ และ ความประพฤติ

 

ลองไปอ่านดูนะสนุกมากเลย

เวลาพระพุทธเจ้า ท่านโปรดคนที่ก้าวร้าว รุกรานท่าน

ท่านเจอมาแล้วทุกรูปแบบ คนดูถูกเหยียดหยาม

แต่ที่สุดแล้วก็ต้องสยบราบคาบสิ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 18:05:42


ความคิดเห็นที่ 180 (1625581)

ผู้ที่ไป มหิดล มาแล้ว

เชิญท่านมาแสดงความรู้ ความประพฤติ

เป็นพุทธบูชานะคะ

 

การไปเพื่อจะรักษา

เพื่อจะหาย เพื่อประโยชน์ตนนั้น

พระพุทธองค์ ไม่ทรงสรรเสริญ

 

พระองค์ทรงสรรเสริญ

ผู้ยังประโยชน์ตน

และ ประโยชน์ต่อผู้อื่น

 

ในโลกนี้

คงไม่มีผู้ใดต้องการ คบค้าสมาคม

กับคนที่เอาแต่ได้ แต่ไม่เคยให้ใครเลย

แม้แต่ใ้ห้สิ่งที่ไม่ต้องลงทุน

ให้ธรรมทาน ยังไม่คิดให้เลย ก็คงจะไม่มีใคร

ที่จะให้ที่จะช่วยอีกเมื่อถึงคราวจำเป็น

ถึงคราวเดือดร้อน

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 18:11:21


ความคิดเห็นที่ 181 (1625583)

 ท่านว่า

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

+++++++++++++++++++++

ก็ต้องเป็นคนไข้ที่เป็นเอดส์แน่นอนครับ

เพราะว่าหมอไม่ได้ป่วยด้วย ไม่ได้ทุกข์ด้วย

แค่มียาหรือก็คือหนทางรอดให้ลองใช้

แต่ในเมื่อคนป่วยไม่ยอม

ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นกรรมของเขา

แต่หมอควรจะบอกคนอื่นที่อยากลองยาตัวนี้ต่อไป

เพราะไม่ใช่ทุกคนจะไม่เชื่อ

ไม่ใช่ว่าคนแรกไม่ยอมรับยาแล้ว

จะถอดใจ ท้อใจ

แล้วไม่ยอมไปบอกคนอื่นเลย

ถือสะว่าเรามีหน้าที่ช่วยเขา 

แล้วเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ 

จะรับยา หรือไม่รับยา

ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขา

และถ้าคนไข้ไม่ยอมใช้ยา

หมอก็ควรจะรักษาตามอาการต่อไป

แต่หมอคงสงสารคนไข้มากกว่าที่ไม่ยอมรับยาตัวใหม่

ทั้งๆที่บอกว่ามีคนหายมาแล้ว 

ก็ยังไม่เชื่ออีก


 

ผู้แสดงความคิดเห็น พัฒนพงศ์ ปรับโตวิดโจโย ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 18:25:38


ความคิดเห็นที่ 182 (1625587)

ท่านว่า

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

-*-*-*-*-*-*-*-

คนเดือดร้อนคือ

คนไข้ที่เป็นเอดส์

หากคิดว่า

ยังไงก็ไม่มีทางรักษา

เท่ากับปิดกั้นทางรักษา

รอตาย ..อย่างเดียว

ในมุมมอง

ก็คือผู้ที่มีใจแคบนิดนึงค่ะ

ว่า รู้อยู่แล้วว่า ต้องตาย

หากมีทางรักษาใหม่ให้

ก็ต้องกลายเป็น

ตายช้า - ตายเร็ว

ยังไงก็ต้องตาย

ทำประโยชน์ให้สังคม

ส่วนรวม สักครั้งจะเป็นไรไป

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 18:44:19


ความคิดเห็นที่ 183 (1625605)

 

หมอเห็นด้วยกับคุณแมวเกิน 100 %ค้า

ขณะนี้เลยรู้สึกเป็นสุขที่ได้มีโอกาศแนะนำคนไข้ให้มีทางเลือก อื่นๆบ้าง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น วัฒนา ชัยจำรูญพันธุ๋ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 19:43:20


ความคิดเห็นที่ 184 (1625606)

 ท่านว่า

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

+++++++++++++++++++++

    ต้องเป็นคนไข้ที่เป็นเอดส์ค่ะ เพราะเขาเป็นคนที่ำได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอยู่ คุณหมอไม่ได้เจ็บป่วยด้วย ไม่ได้เป็นผู้รับความทุกข์ทรมาน เปรียบคนไข้เหมือนคนที่ตกน้ำ เกาะกิ่งไม้ผุๆอยู่ รู้ทั้งรู้ว่ากิ่งที่ตัวเองกำลังเกาะอยู่นั้น กำลังจะจมลง ไม่สามารถทำให้ตัวเองรอดชีวิตได้ ถ้ามีผู้ยื่นกิ่งไม้ใหม่มาให้ จะปฏิเสธตั้งแต่แรกเห็น โดยไม่คิดลองเกาะดู ก็ต้องคิดว่าเป็นกรรมเวรของเขาแล้วค่ะ  ที่รอความตายมาเยือน

ผู้แสดงความคิดเห็น เพชรดา วรรณรักษ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 19:50:31


ความคิดเห็นที่ 185 (1625607)

ขออนุญาติ นำบทความ

ขอผู้ได้มีโอกาสเข้า

ร่วมฟัง + ร่วมกิจกรรม

ในครั้งนี้ จากทาง

Facebook Baansuanฯ นะคะ

 

 

 

22 ชั่วโมงที่แล้ว ·
  • Kai Kaija ดิฉัน เป็นผู้หนึ่งใน กิจกรรรมธรรมะบำบัดสัญจรที่ ม.มหิดล มีส่วนร่วมอยู่ในที่นั้นด้วยและเป็นผู้ที่ต้องการจะให้ หัวเข่าทั้ง 2 ข้างที่เจ็บปวด
    อยู่นั้น ให้หายจากความเจ็บปวด จึงได้รับและกล่าวกับ อาจารย์อุบลว่า ได้เคยกระทำความผิดอะไรมาแล
    ้วบ้าง รับหมดทุกข้อที่อาจารย์อุบลได้
    กล่าวนำ ยกแรก อาการที่ปวดอยู่นั้น ลดลงไป 50 % ยังไม่เป็นที่พอใจ ของตัวดิฉัน อาจารย์อุบล ก็แนะนำต่อไปว่า ให้กล่าวมาเลย ว่ามีสิ่ง
    ใดที่เรา ยังไม่ได้กล่าว หรือพูดออกมาจากใจ ที่อาจารย์อุบลได้กล่าวนำไป
    แล้วอีกหรือไม่ที่ได้พูดก็ให้พูดออกมาให้หมด
    ดิฉัน บอกตรงๆ ว่าคิดไม่ออกในช่วงเวลานั้น
    หลอกคะ แต่มีคุณพี่ที่อยู่ในกิจกรรมนี้ อาจารย์อุบลได้เรียกให้ออกไปหาอาจารย์ แล้วบอกว่า
    ให้บอกมาว่ายังมีสิ่งใดอีกท
    ี่ย้งไม่พูดก็ให้พูดออกมาเอง พี่ท่าน
    นั้นนึกได้ว่า เคยได้ทำให้สุนัขขาหักไว้นา
    นแล้ว แต่เหมือนกับ เจ้าสุนัขตัวนั้นเขายังไม่ให้อภัย พี่ท่่านนั้น อาจารย์อุบลจึงให้พี่ท่านนั้นกล่าว
    ขอโทษเจ้าสุนัขตัวนั้น โดยให้นึกถึงว่า เจ้าสุนัขตัวนั้นได้อยู่ในห
    ้องนั้น ตรงที่พี่ท่านนั้นยืนอยู่ แต่ห้ามหันหน้ามาทางอาจารย์อุบล
    เพราะอาจารย์ท่านบอกว่า ท่านไม่ใช้เจ้าสุนัขตัวนั้น
    ให้พี่ท่านนั้นนึกคิดและตั้งจิตใจคิดถึงเจ้าสุนัขตัวนั้น เมื่อพี่ท่านนั้นได้ทำการกล่าวอยู่
    นั้น ทางดิฉันเองก็มานึกได้ว่า เมื่อตอนเป็นเด็กนั้น ได้มีการทำร้ายสัตว์อยู่เหม
    ือนก้น ซึ่งมองแล้วร้ายแรงกว่ามากเลย คือ ได้มีการหักขาเจ้า
    ตั๊กแตน เพี่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องกระ
    โดด หายไปไหนอยู่ตรงที่เราต้องการให้อยู่ เพื่อที่จะได้เลี้ยงดูเขา ตอนนั้นยอมรับว่า คิดแค่นั้นไม่คิดถึง
    ความเจ็บปวดที่เขาจะได้รับ ต้องทุกข์หรือขาดอิสระอย่าง
    มากมาย เมื่อคิดได้ว่าได้ทำอะไรไว้แล้ว ก็ฟังพี่ท่านนั้นต่อ พี่ท่านนั้นเมื่อได้รับ
    ว่าตัวเองนั้นผิด และได้พูดกับเจ้าสุนัขตัวนั
    ้นว่า ขอให้อภัยพี่เขาด้วย อาจารย์อุบลได้ถามว่าหายหรือยัง พี่ท่านนั้นบอกว่าดีขึ้นแต่
    ไม่หาย
    อาจารย์อุบล จึงกล่าวไว้ว่าอาจจะเป็นไปได้ว่ายังกล่าวไม่หมดที่พี่ท่านนั้นได้มีการกระทำผิด จึงให้พี่ท่านนั้นหยุดไว้เพียงเท่านี้ ทีนี้
    มายกที่สอง อาจารย์อุบล ถามว่าใครยังต้องการหายจากอ
    าการเจ็บปวด อีกบ้างตัวดิฉัน นั้นในใจก็คิดว่า เราก็ยังไม่หาย จึงทำการยืน
    ขึ้นเพื่อให้อาจารย์อุบล ช่วยทำให้ดิฉันหายจากอาการ ซึ่งอาจารย์อุบล ก็กล่าวถามว่ายังมีอีกไหนที
    ่ดิฉันยังไม่ได้รับสารภาพ อันที่จริงดิฉัน
    คิดได้ว่าเคยทำร้ายร่างกายเ
    จ้าตั๊กแตนนั้น ก็ได้ลืมไปเลย เมื่ออาจารย์ท่านถามจึงไม่ได้คิดถึงอีก และได้ฟังอาจารย์กล่าวถามว่
    ดิฉันมีจิตคิดไม่ดีกับท่านอ
    าจารย์หรือเปล่า ดิฉันตอบว่าคิด
    Kai Kaija ต่อค่ะ
    21 ชั่วโมงที่แล้ว ·
    Kai Kaija แต่ในความคิดของดิฉันไม่ได้คิดในแง่ทางด้านลบ เช่น อาจารย์ไม่ใช้คนสวย หรือทำไมไปตัดผมทรงนี้ แต่ที่คิดนั้นเป็นทางด้านที่ว่า
    อาจารย์อุบลทำอย่างไรจึงมีห
    นทาง หรือสามารถเชิญพระศรีอาริย์ ให้มาช่วยรักษาอาการทางกายให้หายได้ มีดีที่ตรงไหน ดิฉันได้
    บอกท่านไปว่าได้คิดอย่างไร ในยกสองนี้ ดิฉันหายจากอาการได้ 90 % แต่มีอาการชาหัวเข่ามาแทนที
    ่ จึงตอบท่านไปว่า หาย 90 %
    ยังไม่หาย อาจารย์อุบลจึงกล่าวว่าจะเช
    ิญ สิ่งที่ท่านไม่เคยเชิญให้มาช่วยดิฉัน และให้ดิฉันเดิมขึ้นไปหาท่าน เมื่อถึงตัวท่าน อาจารย์อุบล
    จึงถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้างดิฉันจึงต
    ั้งจิตตั้งใจ วิเคราะห์ร่างกายของตัวเอง พบว่ายังชาอยู่แต่ดีขึ้น 98 % ยังไม่หายชา อาจารย์อุบล
    ท่านก็ได้ให้ตัวดิฉันกล่าวใ
    ช้ รหัสจักรวาล ว่า อาจารย์อุบล ช่วยด้วย ช่วยให้หัวเข่าทั้งสองข้างของดิฉับหายจากอาการเจ็บและอาการชา
    ด้วยค่ะ เมื่อกล่าวจบ อาจารย์ก็ให้ดิฉันสำรวจตรวจ
    ร่างกาย ก็ยังไม่หายชา จึงให้พักยกไว้ก่อน แล้วเรียกผู้ที่ต้องการให้อาจารย์รักษา
    อาการเจ็บปวด ให้เดินมาหาอาจารย์ที่ และให้ดิฉันยืนดู พวกพี่ๆ ทั้งหลาย ที่ขึ้นมารักษานั้น หายจากอาการเจ็บปวด หรือมีอาการ
    บรรเทาการเจ็บปวดลง แต่มีอยู่อีกวิธีที่อาจารย์
    นั้นไม่ต้องการให้ พวกเราทำนั้นก็คือ การกราบ แต่ก็มีพวกที่ยังดื้อที่จะทำอยู่รวม
    ได้ทำการกราบ ขอบารมีของอาจารย์อุุบลและพ
    ระศรีอาริย์ ช่วยให้ผู้ที่ได้กราบด้วยใจจริงนั้นหายจากอาการเจ็บปวด หรือบรรเทา
    อาการลงบ้างก็ยังดี จึงดื้อทำกัน ดิฉันได้เห็นเช่นนั้นก็คิดว
    ่า ตัวเราก็ยังไม่หายจึงยืนคอยเป็นคนสุดท้าย เพื่อที่จะได้ขอกราบ
    จึงกล่าวกับอาจารย์ว่า ดิฉันจะกราบแต่ต้องให้ดิฉัน
    หายจากอาการเจ็บปวดต่างๆ ด้วยนะค่ะ อาจารย์อุบลกล่าวว่า ดิฉันนั้นไม่ต้องการ
    ทำการกราบจากใจจริง ดิฉันจีงบอกอาจาย์อุบลว่า นั้นไม่
    เป็นไร ดิฉันไม่ได้ตามที่ดิฉันขอก็ได้แต่ขอกราบไว้ก่อนแล้วก้น ดิฉันจึงตั้งใจ
    กราบท่านเพราะคิดว่ามันไม่ผ
    ิดอะไร ถ้าบุคคลผู้นั้นมีจิตใจที่ตั้งมั่นเพื่อที่จะทำให้ผู้คนหายจากอาการเจ็บปวดต่างๆ หรือบรรเทาอาการ
    ลงได้บ้างโดยไม่ต้องรับประท
    านยา ก็นับว่าเป็นบุญทีเดี่ยวที่
    ได้พบเนื้อนาบุญแล้วค่ะ
ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 19:52:17


ความคิดเห็นที่ 186 (1625613)
รูปประจำตัว
ผีเสื้อ ลายตะวัน ได้สัมผัสพระบารมีของพระองค์ท่านที่งานธรรมสัญจรที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 55และที่บ้านสวนพีระมิด เมื่อ 19 ส.ค. 55 ซึ่งท่านอ.อุบลได้อัญเชิญบุญฤทธิ์และเทวฤทธิ์ของสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย์ เพียงพระองค์เดียวมาโปรด ก็สามารถทำให้หลายคน คุณแม่ของผม มีอาการเจ็บปวดทางร่างการลดลงกว่า 80% โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ ที่บ้านสวนฯ อาการปวดขาจนถึงไหล่และหลังข้างขวาของผม หายอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากท่านอ.อุบล ได้อัญเชิญท่านมาโปรดครับ ผมขอกราบขอบพระคุณสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย์กราบขอบพระคุณท่านอ.อุบลและครอบครัว ที่ให้โอกาสผมได้พบสมเด็จท่านในชาติปัจจุบันนี้ ด้วยการพิสูจน์จากอาการเจ็บป่วยที่หายอย่างฉับพลันทันทีครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 20:21:18


ความคิดเห็นที่ 187 (1625614)

Somporn Poon สาธุ สาธุค่ะ ที่ได้ชมพระบารมีของพระพุทธองค์ ที่ม.มหิดลเมื่อวันที่17ที่ผ่านมา ส่วนตัวเองได้สารภาพบาปอาการปวดไหล่ก็หายยเป็นปรกติ ส่วนลูกน้องที่ไปด้วยมีปัญหาปวดหลังปวดไหล่เป็นอย่างมากไม่สามารถเอามือเอี้ยวไปแตะด้านหลังได้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเขาทำให้ดูว่าเขาสาามารถเอาแขนไปแตะที่หลังงได้สบายมาก ซึ่งสามีเขางงเป็นอย่างมากว่าเป็นไปได้อย่างไร. ด้วยอานิสงค์ของงพระพุทุธองค์และอ.อุบลทรงพระเมตตาาให้พวกเราาหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่มาเบียดเบียนสาธุ สาธุค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 20:30:20


ความคิดเห็นที่ 188 (1625617)

   benjakan.sirivat

วันนี้ได้เข้าร่วมกิจกรรมธรรมะบำบัดสัญจรค่ะ เดินทางถึงห้องประชุม ประมาณเที่ยง กราบสวัสดีอาจารย์แม่ คนบ้านใกล้ยังเดินทางไปถึงที่หลังน่าอายจัง ห้องประชุมบรรจุคนได้ประมาณ 200 คน เหลือที่นั่งว่างไม่กี่ตัว บ่ายโมงครึ่งตามเวลานัดหมาย พิธีกรสาวสวยได้กล่าวต้อนรับและแนะนำสถานที่ หลังจากนั้น ดร.จุ๋ม ได้กล่าวแนะนำวิทยากร(ประวัติของอาจารย์แม่) เพียงบางส่วนเท่านั้น หากนำมากล่าวทั้งหมดคงจะหมดเวลาเสียก่อน จากนั้นอาจารย์แม่ก็ได้นำพระธรรมอันงดงามของพระพุทธองค์มาสาธยายให้ เราได้รับรู้และพิสูจน์ด้วยความรู้สึกของแต่ละคน ซึ่งประเด็นสำคัญในวันนี้จะต่างจากทุกครั้งที่ได้พบมา แต่อาจารย์แม่ก็ได้เขียนไว้แต่แรกแล้ว "ธรรมะบำบัด แบบเห็นผลฉับพลันทันที" ถ้าเข้าไม่ถึงธรรม จะเอาอะไรบำบัดจ๊ะ การพิสูจน์ในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าทุกสิ่งเกิดแต่เหตุเมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ ซึ่งหลายๆท่านก็ได้หายจากโรคในฉับพลันทันทีเกือบ 100% เมื่อนำมาเทียบกับการรักษาทางการแพทย์ ผลการหายยังต้องใช้เวลาเลยและส่วนใหญ่ก็รักษาตามอาการ มิได้รักษาที่ต้นเหตุจริงๆ อย่างเช่น อาการปวดหัว หมอจะให้ยาแก้ปวดมา หากอาการไม่รุนแรงก็จะหายเร็ว เมื่อเทียบกับการบำบัดของอาจารย์แม่ ท่านจะให้เราได้ใช้ปัญญาคิดว่า เราได้สร้างกรรมอะไรไว้บ้าง เช่น การทุบหัวปลา ตีหัวคน( ทั้งที่ตั้งใจ + ไม่ตั้งใจ) คิดในสิ่งที่ไม่ดี ทั้งหมดนี้มีผลทำให้ปวดหัวได้ การกินยาแก้ปวดเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ วันดีคืนดีก็สามารถเป็นได้อีก ส่วนวิธีการที่อาจารย์แม่นำมาให้เราปฎิบัติคือให้สำนึกในกรรมที่เราก่อไว้ และไม่กลับไปทำอีก และสร้างบุญอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น และไม่ลืมที่จะอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย ผู้คนทุกวันนี้ก็ใจบุญ ทำบุญปฏิบัติธรรมกันก็มาก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังมีทุกข์อยู่ ยังยากจนขัดสน ไม่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่ทางโลกและทางธรรม เนื่องจากสร้างทั้งบุญและกรรมควบคู่กันไป เรื่องการทำบุญ ที่มีอานิสงค์มากต้องมีความบริสุทธิ์ทั้ง 3 อย่าง จิตบริสุทธิ์(ตัดความตระหนี่)ได้ วัตถุทานบริสุทธิ์(สิ่งของที่เรานำไปทำบุญ) และเนื้อนาบุญ ( ผู้รับ ) หากทั้ง 3 ส่วนนี้บริสุทธิ์แล้วไซต์ ผลของบุญย่อมได้อานิสงค์ในทันที เช่นการใช้แรงกายทำงานในบ้านสวนฯ เป็นต้น และที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งก็คือความไม่ก้าวหน้าในทางธรรม เนื่องจากยังรักษาศีล 5 ไม่ครบ และยังมีจิตอิจฉา ริษยา คนอื่น หัวข้อธรรมวันนี้ "ธรรมะบำบัด แบบเห็นผลฉับพลันทันที" ถ้าเข้าไม่ถึงธรรม จะเอาอะไรบำบัด ลูกได้ประจักกับตาและหูแล้วว่า คนที่เข้าไม่ถึงธรรม ก็ไม่มีอะไรมาช่วยให้หายจากอาการเจ็บปวดได้ เนื่องจากท่านได้ปิดประตูใจและใส่กุญแจล็อคไว้ด้านใน ด้วยสติปัญญาที่มีหากมีเวลาได้กลับมาพิจารณาตัวเองก็คงจะรู้ว่า ทำไมตัวเองโง่จัง และในวันนี้ก็มีหลายคนที่ปิดประตูใจ ในการรับธรรมมะของพระพุทธองค์ ที่อาจารย์แม่ได้ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงในการช่วยให้ลูกหลายได้รับฟังและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ชีวิตก็จะพบแต่ความสุข ตลอดไป กราบโมทนากับอาจารย์แม่ อ.มงคล ลูกบ้านสวนฯทุกๆท่านที่ช่วยในกิจกรรมครั้งนี้ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 20:50:55


ความคิดเห็นที่ 189 (1625626)

เสาร์อาทิตย์ที่เพิ่งผ่านมานี้มีโอกาสไปที่บ้านสวนพีระมิด ถือว่าโชคดีมากๆที่มีโอกาสชมบารมีพระองค์ท่าน ของผมมีปัญหาสายตาสั้น และผมบางบริเวณกลางศีรษะ ซึ่งได้เรียนแจ้งท่านอาจารย์ทีละคนๆว่าตนเองมีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อเปรียบเทียบดูผลว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร
 
พอได้ท่านอาจารย์อุบลอาราธนาบารมีพระศรีอาริย์ ผมรู้สึกทันทีว่าข้างหน้าเรามีพลังงานอะไรบางอย่าง จนศีรษะเราตัวโน้มไปข้างหน้าเองขณะหลับตา และมีอาการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับผมทันที คือจากปกติสายตาผมจะมองหรืออ่านตัวหนังสือเล็กๆที่ไกลไม่ออก กลับพบว่า ตาผมมองชัดแจ๋วแบบผิดไปจากเดิม จนตัวเองแปลกใจเลย ตาตนเองโฟกัสภาพได้ดีขึ้นมากๆ เริ่มอ่านตัวหนังสือไกลๆออก
 
สรุปว่า สายตาของผมดีขึ้นจากที่มีอาการสายตาสั้น 50-60% ในทันทีเลย หัวก็โล่งขึ้นด้วย ผมเชื่อ 1,000,000เปอร์เซ็นต์เลยครับ ว่าพระศรีอาริย์มีจริงแน่นอนที่สุด เพราะนี่คือสิ่งที่ผมพบกับตัวเอง สาธุ สาธุ สาธุ ท่านอาจารย์อุบลบอกว่า จำผลไว้นะ แล้วเปรียบเทียบกับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ว่า ดีขึ้นกว่าเดิมไหมอาการต่างๆที่เราเคยมีปัญหาอยู่ สาธุ
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 21:22:07


ความคิดเห็นที่ 190 (1625627)

อนัญญา สุขถาวร ตื่นเต้นที่สุด..ที่ได้ชมบารมีของพระศรีอาริย์ ที่ ม.มหิดล เห็นทุก ๆ คนที่มีความทุกข์ เจ็บป่วย แค่เพียงได้เข้าใกล้ ท่าน อ.อุบล แล้วหายแบบฉับพลันทันที ก็ขอยินดี และอนุโมทนา กับทุก ๆ ท่านที่หายด้วยนะคะ
 
และหัวใจยิ่งพองโตเมื่อได้สัมผัสพระบารมีของพระองค์ท่าน ด้วยตัวเอง ที่บ้านสวนพีระมิด โดยตัวเอง มีปัญหาสายตาสั้น พอท่าน อ.อุบล ขออาราธนาบารมีพระศรีอาริย์ เห็นแสงสว่างที่จ้ามากส่องมาบริเวณหน้าผาก และหมุน ๆ พอลีมตาขึ้น ทุกอย่างที่มองเห็นสว่างชัดเจน แจ่มใสมาก และ ตัวเราก็เบาสบาย อย่างประหลาด
 
ขอกราบแทบพระบาทองค์พระศรีอาริยเมตไตร ที่พระองค์ทรงเมตตาให้ลูกสัมผัสได้ชมพระบารมี ของพระองค์ สาธุ
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 21:23:48


ความคิดเห็นที่ 191 (1625628)

Goi Vinita ก้อยก็ได้ชื่นชมบารมีของพระพุทธองค์ เมื่อตอนท่านอ.อุบล อาราธนาพระบารมีของพระศรีอาริย์มาที่ ม. มหิดล

มีหลายคนที่มีอาการเจ็บป่วย
ได้ลุกขึ้นเดินไปใกล้ท่านอ.อุบล ก็มีอาการหาย 80-90 กว่าเปอร์เซ็นต์ในทันที

ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเพราะบา
รมีของพระศรีอาริย์แน่นอนที่
ได้มาโปรดลูกหลาน
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 21:25:06


ความคิดเห็นที่ 192 (1625629)

ตุ้ย ตุ้ย ศิริพร ตัวตุ้ยเองไปได้ไปที่ม.มหิดลมาเมื่อวันที่่ 17 ส.ค. ท่าน อ.อุบลได้บอกไว้ว่าวันนี้ได้อัญเชิญบารมีขององค์พระศรีอาริย์มา ธรรมจักรของท่านจะหมุนไปเรื่อย ๆ
 
ผู้ใดศรัทธา ธรรมจักรก็จะหมุนไป แต่ถ้าผู้ใดมีจิตต้าน ธรรมจักรของท่านก็จะหยุดหมุนอยู่แค่นั้น ท่านให้พวกเราได้ร่วมพิสูจน์ดูว่า หากบารมีของพระศรีอาริย์มีจริง ให้พวกเราลองเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ท่าน อ.อุบลดู
 
ปรากฎว่ามีหลายท่าน ที่เพียงแค่เดินเฉียดเข้าไป ยังไม่ทันถึงตัวท่าน อ. อาการเจ็บปวด ก็หายทันที บ้างก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แถมบางคนขอกราบด้วย
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 21:26:03


ความคิดเห็นที่ 193 (1625630)

ช่วงที่ท่านอาจารย์อุบล อาราธนาบารมีพระศรีอาริย์ มีอาการเหมือนว่ามีพลังงานอะไรสักอย่าง หมุน อยู่บนศรีษะ ในขณะที่หลับตาก็เห็น เหมือนพระศรีอาริย์ในรูป ที่เคยเอามาลงครับ มือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายถือจักร โดย ที่ตัวผมเองอาการ ที่ เจ็บคอ จมูกไม่โล่ง เหมือนเป็นหวัด ตามัว
 
อาการที่จมูกดึขึ้นมาก อาการเจ็บคอ โล่งขึ้นแต่ไม่หายขาด เพราะ ยังมีกรรมในการนินทาผู้อื่น บวกกับ จิตที่ยังไม่เปิด ยังมีความลังเล สงสัย ทำให้จักรทำงานไม่เต็มที่ อันนี้ก็เป็นความผิดที่ตัวผมเองครับ เราศรัทธาท่านไม่เต็ม 100 และ เราไม่ได้ทำตามที่ท่านบอก 100 เปอร์เซนต์ ก็เลยไม่ได้ผลเหมือนคนอื่นๆน่ะครับ
 
แต่ยังไงก็ ขอกราบขอบพระคุณท่าน ที่ได้เมตตาให้ผมสัมผัสบารมีของท่าน ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อุบล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ด้วยครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 21:27:17


ความคิดเห็นที่ 194 (1625631)

เจี๊ยบเองก็ได้ไปที่งานธรรมะสัญจรที่ ม.มหิดล ก็ตื่นเต้นและดีใจกับคนที่ได้รับฉัพพรรณรังสีของพระศรีอารย์ เมื่อเข้าไปใกล้ท่านอาจารย์ อาการป่วยก็ดีขึ้น หรือบางคนก็หาย นั่นเป็นเพราะพระจักรแก้วของพระองค์ สามารถหมุนไปได้เรื่อยๆ สำหรับคนที่มีจิตเปิดรับ แต่ก็มีบางคนไม่หาย นั่นเป็นเพราะจิตไม่เปิดรับ จิตไม่ศรัทธา คิดต่อต้าน ว่าไม่เป็นความจริงไม่เชื่อ
 
เมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้รับพระบารมีของพระศรีอารย์ที่บ้านสวนฯ โดยตัวเองมีปัญหา คือคันตามผิวหนังเกือบตลอดเวลา เป็นเม็ดเล็กๆ บางที่เป็นปื้นหนา สายตาสั้น เมื่อท่านอาจารย์กราบอัญเชิญพระบารมีของท่านมา ปรากฏว่า อาการเหล่านี้ ก็หายคัน และเม็ดเล็กๆ ก็ทุเลาลง 70 % เมื่อเข้ามาใกล้ท่านอาจารย์ สายตาก็ดีขึ้ืน 30 % นั่นแสดงว่าพระศรีอารย์มีจริงแน่นอน
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 21:29:10


ความคิดเห็นที่ 195 (1625635)

ท่านว่า

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

คนไข้แน่นอนครับที่จะต้องเดือดร้อน คนที่คิดแบบนี้มีเยอะครับ แม้ว่าไม่ได้เป็นโรคนี้ก็ตามแต่ หากคนมีปัญญาหรือรู้สึกว่าคนเองมีค่า ก็จะรีบฉวยโอกาสนี้ไว้ทันที เพราะยิ่งศึกษาหรือดูข่าวยิ่งรู้ว่า เดี๋ยวนี้คนไข้เอดส์อยู่ได้จนแก่ หากไม่มีโรคแทรกซ้อนซึ่งเขาสามารถดูแลตนเองได้ และทุกอย่างเป็นปกติทั่วไปเลย

คนที่คิดแบบนี้คือคนจิตใจคับแคบ ไม่เปิดใจยอมรับไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัว หรือคิดว่ายังไงๆซะก็รักษาไม่ได้

แต่หากว่าเขายอมเปิดใจสักนิด เพราะว่ายังไงๆซะก็ต้องตาย หากลองดูก็อาจมีโอกาสหายจริงๆก็ได้หรือไม่หายก็ไม่เป็นไร ซึ่งอย่างน้อยก็ขึ้นชื่อว่าเขาได้ให้โอกาสตัวเอง ให้ความหวังตัวเอง ดีกว่าการปิดประตูไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น

พวกคนแบบนี้มักเป็นลักษณะของคนที่โทษสังคม โทษคนอื่น ไม่ไว้ใจใคร ดีที่สุด เจ๋งที่สุดคือตัวกูเอง เพราะสิ่งที่ตนเองประพฤติมาบ่อยๆจนเป็นนิสัย พอถึงเวลาที่ต้องให้ความไว้วางใจคนอื่นหรือเปิดใจรับอะไรใหม่ คนเหล่านี้มักใช้นิสัยเดิมๆคือ "กูแน่จนวินาทีสุดท้าย คือยอมตายดีกว่า จะลองเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ"...

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 21:43:29


ความคิดเห็นที่ 196 (1625642)

  

 

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

__________

หากเจ้าตัวปฎิเสธการรักษาโดยสิ้นเชิง

คนที่ทุกข์ร้อนคงไม่พ้นคนที่ป่วย

พ่อแม่รวมถึงญาติพี่น้องนั่นแหละ

หมอคงได้้แต่เห็นใจ สงสาร และสมเพช

เพราะหมอเองก็เห็นความทรมานจากโรคมานับไม่ถ้วนแล้ว

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ภิญญลักษณ์ เลิศอัครศักดิ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 21:59:02


ความคิดเห็นที่ 197 (1625655)

 ท่านว่า

 

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

----------------------------------------

คนไข้ครับ เพราะจิตใจเขาเกาะติดกับสังขาร ที่เจ็บป่วยอย่างนี้ตายเป็นตาย คิดว่าว่ายาตัวใหนก็คงไม่ทำให้หายจากโรคไป

ได้ซึ่งไม่คิดต่อสู้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จากการลองยาตัว

ใหม่ และคงปล่อยชีวิตไปตามเวรตามกรรมต่อไป

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิงห์เงิน อุดมศิริ (ตาโต๊ะ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-22 22:52:45


ความคิดเห็นที่ 198 (1625667)

                                                                                                   ท่านว่า

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

................................................................

คนที่เดือดร้อนก็คงจะเป็นคนไข้แหละค่ะ

ถ้าคนไข้ที่เปิดใจยอมรับว่าตัวเองเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

อย่างไรก็ต้องตายอยู่่แล้ว

ยอมที่จะใช้ยาตัวใหม่เพื่อทดสอบ

ถ้าเกิดหายก็ถือว่าโชคดี ที่ยอมทดลองสิ่งใหม่

แต่ถ้าไม่หายก็ถือว่าไม่เป็นไร

ยังไงก็ยังเป็นโรคเดิมอยู่ไม่มีข้อเสียตรงไหนเลย

ถ้าคนไม่เปิดจิตยอมทดสอบ

ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

เคยเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น

ส่วนหมอถ้าคนไข้ไม่ได้สนใจที่จะทดสอบ

หมอก็ไม่ต้องมาเสียเวลาในการทดสอบ

หมอไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย

เมื่อคนไข้ไม่คิดอยากหายก็แล้วแต่ตัวของเขาเอง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ปุณญิสา พูลชื่น ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-23 00:50:39


ความคิดเห็นที่ 199 (1625668)

ท่านว่า

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

    คงต้องเป็นคนไข้ที่เดือดร้อน เพราะปิดกั้นตัวเอง

มีทางเลือกให้  แต่ไม่ยอมเลือก  ขอยอมตายดีกว่า

ถ้าเขายอมเปิดใจสักนิด  ขอลองดูบ้าง  เขาก็มีโอกาส

ที่อาจจะหาย  หรือไม่หาย  ถ้าลองแล้วมันไม่ดีขึ้น

ไม่ได้ผลอย่างที่หมอบอก  เขาก็สามารถเลิกกินยาตัวนั้นได้

อย่างน้อยชีวิตก็มีทางเลือกอีกทาง

ผู้แสดงความคิดเห็น ฉวีวรรณ นภาพรรณราย (ตาล) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-23 00:56:18


ความคิดเห็นที่ 200 (1625673)

ท่านว่า

ใครที่เดือดร้อน จากการ ไม่ลองยาตัวใหม่

หมอ หรือ ว่าคนไข้ที่เป็นเอดส์

ช่วยตอบที

.....................................

ถ้าคิดให้ดีและมองผลกระทบโดยรวมแล้ว

เดือดร้อนทุกฝ่ายเลยค่ะ

แล้วที่ คนไข้โรคเอดส์คนนั้น

ไม่ยอมลองยาตัวใหม่

ก็เพราะเค้าคิดแค่ในมุมแคบๆและเห็นแก่ตัว

 

คิดแค่ว่า ชีวิตของตน

ตนจะทำอะไรก็เป็นสิทธิ์ของตน

ฉะนั้น จะตายหรือไม่ตาย

ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร


แต่หารู้ไม่ว่า

เสียโอกาสที่จะ"หายขาด"

จากโรคเอดส์ไปเต็มๆ

 

แล้วก็ยังจะสร้างความเดือดร้อน

ให้กับคนอื่นต่อไปอย่างต่อเนื่อง

 

ทั้งคุณหมอ เพราะหมอต้องมาคอยร่ำไร

รักษาตามอาการ หนักบ้างเบาบ้าง

ก็ต้องรักษาไปเรื่อยๆ จนกว่า จะ"ตาย"

 

แต่ถ้าเค้าลองยาแล้วหาย

หมอก็จะได้มีเวลาไปรักษาชีวิตคนไข้คนอื่นๆ

และ โรคอื่นๆได้อีกมากมาย

 

ส่วนคนรอบข้างคนไข้โรคเอดส์คนนั้น

ก็ต้องมาพลอยเดือดร้อน

ต้องคอยห่วงคอยไยว่า

อาการในแต่ละวันจะเป็นยังไง

หรือถ้าอยู่ดีๆ อาการหนักขึ้นมา

ก็ต้องรีบหามส่งโรงพยาบาล

ดึกๆดื่นๆเที่ยงคืน ก็ต้อง คอยสแตนบาย

และพลอยไม่สบายใจ ไม่สบายกายไปด้วย


ฉะนั้น โอกาสทองในชีวิต

ที่เข้ามาให้เราต้อง"ตัดสินใจ"ในแต่ละครั้ง

 

ถ้าเราคิดเอาความสุขส่วนรวม

เป็นที่ตั้งและยังประโยชน์ส่วนตนด้วย

คำตอบที่ได้จะพลาดน้อยมาก

 

เพราะถ้าเค้าคิดในมุมใหม่

ไหนๆก็จะตายแล้ว

ขอลองซักหน่อย เพราะถ้า"ยา"นี้

ทำให้ตนหายได้

เพื่อนๆเราที่เป็นเอดส์อยู่

ที่มีตั้งเป็นแสนเป็นล้านคน

เพื่อนเราก็จะได้ "หายขาด"ด้วย

 

แค่เพียงนึกว่า ชีวิตของเพื่อนๆนับล้าน

จะกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง

มันช่างประเสริฐที่สุดเลย

แล้วไหนจะ ญาติพี่น้องของคนเหล่านั้นอีกล่ะ

จะมีความสุขขนาดไหน ....

 

จะเห็นว่า หนึ่งการตัดสินใจของเรา

ส่งผลอันยิ่งใหญ่ทั้งต่อตนเอง

และคนรอบข้างเพียงใด

 

กราบอนุโมทนาในทุกๆธรรมทานจากท่านอาจารย์

และทุกๆความคิดเห็นจากทุกๆท่านด้วยค่ะ






 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด/CHANIDA ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-23 03:51:56



<< ก่อนหน้า 1 [2] 3 ถัดไป >>


Copyright © 2010 All Rights Reserved.