ReadyPlanet.com


คืนโหดวิญญาณหลอน ผลจากไปทำข่าวเลาด้าแอร์ตกตาย 223 ศพ ที่อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี


  เหตุการณ์ที่ผมขอสารภาพเป็นธรรมทานนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพ.ค.2534 หลังจากสายการบินเลาด้าแอร์ บินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 6 นาที ก็หายไปจากจอเรด้า หอบังคับการวิทยุแจ้งทุกหน่วยงานว่าสงสัยเครื่องบินจะตก ในรัศมีประมาณจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี หรือประเทศพม่า เหยี่ยวข่าวอย่างผมได้รับคำสั่งจากกองบรรณาธิการให้เดินทางไปทำข่าวทันทีที่ได้รับวิทยุ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบเป้าหมายที่แน่ชัด ช่วงนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ต้องขับรถแข่งกับสื่อมวลชนแขนงอื่นๆ ทั่งวิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์ และมูลนิธิที่ต้องไปเก็บศพ  ด้วยความคึกคะนองของช่วงวัยรุ่นที่กล้าได้กล้าเสียแบบไม่กลัวตาย แต่กว่าจะไปถึงจุดที่เครืื่องตกเวลานั้นก็ประมาณตี 5 เคยวาดภาพว่าจังหวัดสุพรรณบุรีมีแต่ทุ่งนานั้นผิดถนัด เพราะจังหวัดสุพรรณฯจุดที่เครื่องบินตกเป็น ต.ห้วยป่าขี อ.ด่านช้าง พื้นที่ติดต่อกับอ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จึงเต็มไปด้วยป่าเขา ต้องขับรถปีนขึ้นไปบนภูเขา เห็นแต่แสงไฟลุกไหม้ป่า 

  สภาพที่ไปถึงใหม่ๆ ได้กลิ่นเหม็นไหม้ของซากศพ ช่วงนั้นทุกคนทำอะไรไม่ได้ ต้องนอนพักผ่อนในรถใครรถมันด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นขึ้นมาช่วงเช้าเดินไปถ่ายรูปสัมผัสกับบรรยากาศสุสานคนตาย ซึ่งเกิดจากกรรมอะไรไม่ทราบที่ต้องมาจบชีวิตรวมกันถึง 223 ศพ ไม่มีรอดแม้แต่คนเดียว 1 ในผู้เสียชีวิตมีนายไพรัช เตชะริน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นรวมอยู่ด้วย

  กลิ่นคาวเลือด กลิ่นไหม้คลุ้งทั่วภูเขา สภาพศพแต่ละท่านช่างน่าอนาถนัก บางคนแขนขาด ขาขาด หัวขาด ไส้ทะลัก  อันเกิดจากแรงกระแทกที่หนักหน่วง เหมือนลูกแตงโมที่ตกจากที่สูง จุดที่พบศพผู้โดยสารที่เคราะห์ร้ายมากที่สุดคือตรงกลางลำประมาณ 80 ศพ  กระจัดกระจายเกลื่อน ลักษณะมือกำไว้แน่น เกร็ง เหมือนจะรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะตก สภาพศพคนไทยหรือคนเอเซีย เจ้าหน้าที่มูลนิธิใช้ผ้าขาวเพียงผืนเดียวก็ห่อศพ ส่วนศพฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ อ้วน ต้องใช้ผ้าขาวห่อศพถึง 2-3 ผืน 

 ผมมีหน้าที่ทำข่าว รายงานข่าวสดๆ จากจุดเกิดเหตุกลับกรุงเทพฯอย่างเร่งด่วนด้วยเครื่องโทรศัพท์ฮอทไลน์กระเป๋าหิ้ว เครื่องประมาณ 2 แสน ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นโทรศัพท์ที่ทันสมัยที่สุด ไม่มีไอโฟนหรือสมาร์ทโฟนเหมือนปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตไม่มี ต้องใช้โทรศัพท์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนภาพถ่่ายเป็นฟิล์มต้องนำมาส่งรถทัวร์ในตลาดด่านช้าง เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาล้างตีพิมพฺ์ 

 ช่วงเช้าของวันนั้นหลังจากข่าวแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีไทยมุง ชาวเขามุง(มีกะเหรี่ยง ชาวเขาอยู่ด้วย) เดินทางมายังตีนเขาแน่นไปหมด แม้กำลังตำรวจ อาสาสมัครนับ 100 ก็ห้ามไม่อยู่ ลักษณะของเครื่องบินมันตกในป่า ลำตัวเครื่อง หัวเครื่อง ท้ายเครื่องห่างกันเป็น 2-3 กิโลเมตร แล้วกระจายเกลื่อนป่า ยากต่อการเก็บศพและลำเลียงมารวมกัน เพราะยังเป็นป่าที่สมบูรณ์มาก จะเดินหรือติดต่อกันต้องใช้วิทยุ(วอ)สั่งการเท่านั้น 

  สายการบินเลาด้าแอร์เที่ยวนั้นกำลังจะบินไปยุโรป ที่ประเทศออสเตรีย เพื่อจะพาคุณหญิง คุณนายหรือผู้มีอันจะกินไปดูโอเปล่า ที่กรุงเวียนนา ทุกคนต่างแต่งตัวสวย ด้วยเครื่องประดับล้ำค่า แหวนเพชร นาฬิกา สร้อยคอต่างหู หรูหรา พกเงินเป็นฟ่อน และเป็นที่แน่นอนทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นก็จะถูกเก็บ ถูกฉกไปจากที่พวกเราเรียกว่าแร้งทึ้ง มีทั้งเจ้าหน้าที่เก็บศพ ชาวบ้าน พราน ชาวป่า ถึงขนาดว่ามีนายทุนมารับแลกเงินดอลล่าร์กันที่ตีนเขา ช่วงปีนั้น 1 ดอลล่าร์ราคาแลก 25 บาท นายทุนมาแลก 10-15 บาท พวกแร้งทึ้งก็ยอม 

  เจ้าหน้าที่มูลนิธีฯต้องใช้เวลาเก็บศพอยู่ประมาณ 4-5 วันถึงลำเลียงศพออกมาชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ได้เกือบหมด มีหลงเหลือบ้างก็เป็นพวกชิ้นเนื้อ กระดูก ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่หมาป่า สัตว์ร้ายแทะเอาไปกิน หลังจากส่งข่าวแล้ว ผมจะกลับมานอนที่โรงแรมใน อ.ด่านช้าง เมื่อมาถึงโรงแรมหรือไปนั่งในร้านอาหาร สาวเสิร์ฟมักจะถามว่าพี่ไปเก็บศพมาหรือ เพราะกลิ่นศพจะติดมากับเสื้อผ้า บางครั้งซักแล้ว และซื้อตัวใหม่ แต่กลิ่นศพก็ยังติดตัว ผมก็จะภาวนาว่า มาทำข่าวตามหน้าที่นะ เราไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกัน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้วิญญาณแต่ละดวงอยู่ห่างๆ เราไว้ อย่าตามมาหลอกหลอนเลย พร้อมๆ กับนิมนต์พระวัดใกล้ๆ ไปสวดบังสุกุลให้

   ด้วยภาระกิจที่ต่อเนื่องผมต้องอยู่ทำข่าวเกือบครึ่งเดือน รอทำข่าวญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตบินมาจากต่างประเทศ เพื่อมาเรียกวิญญาณกลับ ได้เห็นพิธีกรรมแต่ละชาติศาสนา เรียกวิญญาณ เชิญวิญญาณแตกต่างกันไป รอสัมภาษณ์ "นิกิ เลาด้า"  นักแข่งรถสูตร 1 (ในอดีตดังมาก) เป็นเจ้าของสายการบินเลาด้าแอร์ บินจากกรุงเวึยนนา มาดูเครื่องบินไอพ่นชะตาขาดของตัวเอง และรอทำข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ที่ฉกทรัพย์ แร้งทึ้งทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตมาทำแผน ประกอบคำรับสารภาพ มีผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก  มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิเก็บศพรวมอยู่ด้วย

  สำหรับตัวกระผมเอง วันนั้นจำได้ว่าเดินทางไปกับตำรวจ 3-4 นาย เพื่อไปถ่ายภาพและทำข่าวที่ห้องนักบิน หรือกัปตัน ซึ่งห้องดังกล่าวกระจายห่างออกไป 2 กิโลเมตร สภาพห้องกัปตันโดนไฟไหม้เกือบหมด มีเอกสารกระจัดกระเกลื่อน ผมไปเห็นหนังสือสมบูรณ์อยู่เล่มหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ อ่านพอจับใจความได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการนำร่องของนักบิน วิธีการขับเครื่องบิน ผมก็เก็บนำมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปด้วยกัน ตำรวจบอกว่าเก็บไว้ที่น้องก็ได้ ไม่ใช่เป็นหลักฐานทางคดี หรือน้องจะเอาไปอ่านประกอบการทำข่าวก็ได้  ผมจึงนำมาเก็บไว้ที่รถทำข่าว และก็นำติดตัวกลับมากรุงเทพฯ  มานั่งอ่านก็ไม่ค่อยเกี่ยวหรือมีเนื้อหาพอจะมาทำข่าวได้ จึงเก็บไปไว้ที่อพาร์ตเม้นท์แถวหน้ารามฯ  ปรากฎกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่หลายวัน มีอะไรคอยติดตามมา หน้าผมจะดำมากช่วงนั้น ถามแฟนที่อยู่ด้วยกัน เขาก็บอกว่าไม่สบายใจ แต่สรุปฯแล้วต้องย้ายออกจากอพาร์ตเม้นหลังนั้น ผมย้ายไปพักอยู่แถวสุทธิสารพร้อมหนังสือเล่มนั้น แล้วก็ลืมๆ ไป นึกขึ้นได้ก็หาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอแล้ว จะเอาไปคืนก็หาไม่เจอ สิ่งที่ผมกระทำไป รู้สึกผิด ที่หาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอ และไม่ได้นำไปคืนที่เดิม จึงขอสารภาพบาปที่ได้กระทำไป บุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ขออุทิศให้วิญาณทั้ง 223 ดวง และเจ้าของหนังสือเล่มนั้นด้วย สาธุ



ผู้ตั้งกระทู้ จตุพล ยอดวงศ์พะเนา กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-10-31 23:14:07


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1637918)

โมทนาบุญกับธรรมทานของคุณจตุพล

และกรุณาติกที่ช่องไม่ต้องการแสดงอีเมลด้วยนะค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญภิบาล คงเขียว ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 08:15:06


ความคิดเห็นที่ 2 (1637952)

 อนุโมทนาบุญเช่นกันครับคุณบุญภิบาล ขอบคุณมากครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 10:43:35


ความคิดเห็นที่ 3 (1637971)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทาน คุณ จตุพล ด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นัยนา ชมภูบุตร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 11:36:04


ความคิดเห็นที่ 4 (1637990)

ขออนุญาติขยายตัวอักษรนะครับ

คืนโหดวิญญาณหลอน ผลจากไปทำข่าวเลาด้าแอร์ตกตาย 223 ศพ ที่อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี


เหตุการณ์ที่ผมขอสารภาพเป็นธรรมทานนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพ.ค.2534 หลังจากสายการบินเลาด้าแอร์ บินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 6 นาที ก็หายไปจากจอเรด้า หอบังคับการวิทยุแจ้งทุกหน่วยงานว่าสงสัยเครื่องบินจะตก ในรัศมีประมาณจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี หรือประเทศพม่า

เหยี่ยวข่าวอย่างผมได้รับคำสั่งจากกองบรรณาธิการให้เดินทางไปทำข่าวทันทีที่ได้รับวิทยุ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบเป้าหมายที่แน่ชัด ช่วงนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ต้องขับรถแข่งกับสื่อมวลชนแขนงอื่นๆ ทั่งวิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์ และมูลนิธิที่ต้องไปเก็บศพ  

ด้วยความคึกคะนองของช่วงวัยรุ่นที่กล้าได้กล้าเสียแบบไม่กลัวตาย แต่กว่าจะไปถึงจุดที่เครืื่องตกเวลานั้นก็ประมาณตี 5 เคยวาดภาพว่าจังหวัดสุพรรณบุรีมีแต่ทุ่งนานั้นผิดถนัด เพราะจังหวัดสุพรรณฯจุดที่เครื่องบินตกเป็น ต.ห้วยป่าขี อ.ด่านช้าง พื้นที่ติดต่อกับอ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จึงเต็มไปด้วยป่าเขา ต้องขับรถปีนขึ้นไปบนภูเขา เห็นแต่แสงไฟลุกไหม้ป่า 

สภาพที่ไปถึงใหม่ๆ ได้กลิ่นเหม็นไหม้ของซากศพ ช่วงนั้นทุกคนทำอะไรไม่ได้ ต้องนอนพักผ่อนในรถใครรถมันด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นขึ้นมาช่วงเช้าเดินไปถ่ายรูปสัมผัสกับบรรยากาศสุสานคนตาย ซึ่งเกิดจากกรรมอะไรไม่ทราบที่ต้องมาจบชีวิตรวมกันถึง 223 ศพ ไม่มีรอดแม้แต่คนเดียว 1 ในผู้เสียชีวิตมีนายไพรัช เตชะริน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นรวมอยู่ด้วย

กลิ่นคาวเลือด กลิ่นไหม้คลุ้งทั่วภูเขา สภาพศพแต่ละท่านช่างน่าอนาถนัก บางคนแขนขาด ขาขาด หัวขาด ไส้ทะลัก  อันเกิดจากแรงกระแทกที่หนักหน่วง เหมือนลูกแตงโมที่ตกจากที่สูง จุดที่พบศพผู้โดยสารที่เคราะห์ร้ายมากที่สุดคือตรงกลางลำประมาณ 80 ศพ  กระจัดกระจายเกลื่อน ลักษณะมือกำไว้แน่น เกร็ง เหมือนจะรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะตก

สภาพศพคนไทยหรือคนเอเซีย เจ้าหน้าที่มูลนิธิใช้ผ้าขาวเพียงผืนเดียวก็ห่อศพ ส่วนศพฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ อ้วน ต้องใช้ผ้าขาวห่อศพถึง 2-3 ผืน 

ผมมีหน้าที่ทำข่าว รายงานข่าวสดๆ จากจุดเกิดเหตุกลับกรุงเทพฯอย่างเร่งด่วนด้วยเครื่องโทรศัพท์ฮอทไลน์กระเป๋าหิ้ว เครื่องประมาณ 2 แสน ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นโทรศัพท์ที่ทันสมัยที่สุด ไม่มีไอโฟนหรือสมาร์ทโฟนเหมือนปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตไม่มี ต้องใช้โทรศัพท์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนภาพถ่่ายเป็นฟิล์มต้องนำมาส่งรถทัวร์ในตลาดด่านช้าง เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาล้างตีพิมพฺ์ 

ช่วงเช้าของวันนั้นหลังจากข่าวแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีไทยมุง ชาวเขามุง(มีกะเหรี่ยง ชาวเขาอยู่ด้วย) เดินทางมายังตีนเขาแน่นไปหมด แม้กำลังตำรวจ อาสาสมัครนับ 100 ก็ห้ามไม่อยู่ ลักษณะของเครื่องบินมันตกในป่า ลำตัวเครื่อง หัวเครื่อง ท้ายเครื่องห่างกันเป็น 2-3 กิโลเมตร แล้วกระจายเกลื่อนป่า ยากต่อการเก็บศพและลำเลียงมารวมกัน เพราะยังเป็นป่าที่สมบูรณ์มาก จะเดินหรือติดต่อกันต้องใช้วิทยุ(วอ)สั่งการเท่านั้น 

สายการบินเลาด้าแอร์เที่ยวนั้นกำลังจะบินไปยุโรป ที่ประเทศออสเตรีย เพื่อจะพาคุณหญิง คุณนายหรือผู้มีอันจะกินไปดูโอเปล่า ที่กรุงเวียนนา ทุกคนต่างแต่งตัวสวย ด้วยเครื่องประดับล่ำค่า แหวนเพชร นาฬิกา สร้อยคอต่างหู หรูหรา พกเงินเป็นฟ่อน และเป็นที่แน่นอนทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นก็จะถูกเก็บ ถูกฉกไปจากที่พวกเราเรียกว่าแร้งทึ้ง มีทั้งเจ้าหน้าที่เก็บศพ ชาวบ้าน พราน ชาวป่า ถึงขนาดว่ามีนายทุนมารับแลกเงินดอลล่าร์กันที่ตีนเขา ช่วงปีนั้น 1 ดอลล่าร์ราคาแลก 25 บาท นายทุนมาแลก 10-15 บาท พวกแร้งทึ้งก็ยอม 

เจ้าหน้าที่มูลนิธีฯต้องใช้เวลาเก็บศพอยู่ประมาณ 4-5 วันถึงลำเลียงศพออกมาชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ได้เกือบหมด มีหลงเหลือบ้างก็เป็นพวกชิ้นเนื้อ กระดูก ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่หมาป่า สัตว์ร้ายแทะเอาไปกิน หลังจากส่งข่าวแล้ว ผมจะกลับมานอนที่โรงแรมใน อ.ด่านช้าง เมื่อมาถึงโรงแรมหรือไปนั่งในร้านอาหาร สาวเสิร์ฟมักจะถามว่าพี่ไปเก็บศพมาหรือ เพราะกลิ่นศพจะติดมากับเสื้อผ้า บางครั้งซักแล้ว และซื้อตัวใหม่ แต่กลิ่นศพก็ยังติดตัว ผมก็จะภาวนาว่า มาทำข่าวตามหน้าที่นะ เราไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกัน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้วิญญาณแต่ละดวงอยู่ห่างๆ เราไว้ อย่าตามมาหลอกหลอนเลย พร้อมๆ กับนิมนต์พระวัดใกล้ๆ ไปสวดบังสุกุลให้

ด้วยภาระกิจที่ต่อเนื่องผมต้องอยู่ทำข่าวเกือบครึ่งเดือน รอทำข่าวญาติที่น้องของผู้เสียชีวิตบินมาจากต่างประเทศ เพื่อมาเรียกวิญญาณกลับ ได้เห็นพิธีกรรมแต่ละชาติศาสนา เรียกวิญญาณ เชิญวิญญาณแตกต่างกันไป รอสัมภาษณ์ "นิกิ เลาด้า"  นักแข่งรถสูตร 1 (ในอดีตดังมาก) เป็นเจ้าของสายการบินเลาด้าแอร์ บินจากกรุงเวึยนนา มาดูเครื่องบินไอพ่นชะตาขาดของตัวเอง และรอทำข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ที่ฉกทรัพย์ แร้งทึ้งทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตมาทำแผน ประกอบคำรับสารภาพ มีผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก  มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิเก็บศพรวมอยู่ด้วย

สำหรับตัวกระผมเอง วันนั้นจำได้ว่าเดินทางไปกับตำรวจ 3-4 นาย เพื่อไปถ่ายภาพและทำข่าวที่ห้องนักบิน หรือกัปตัน ซึ่งห้องดังกล่าวกระจายห่างออกไป 2 กิโลเมตร สภาพห้องกัปตันโดนไฟไหม้เกือบหมด มีเอกสารกระจัดกระเกลื่อน ผมไปเห็นหนังสือสมบูรณ์อยู่เล่มหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ อ่านพอจับใจความได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการนำร่องของนักบิน วิธีการขับเครื่องบิน ผมก็เก็บนำมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปด้วยกัน ตำรวจบอกว่าเก็บไว้ที่น้องก็ได้ ไม่ใช่เป็นหลักฐานทางคดี หรือน้องจะเอาไปอ่านประกอบการทำข่าวก็ได้  ผมจึงนำมาเก็บไว้ที่รถทำข่าว และก็นำติดตัวกลับมากรุงเทพฯ  มานั่งอ่านก็ไม่ค่อยเกี่ยวหรือมีเนื้อหาพอจะมาทำข่าวได้ จึงเก็บไปไว้ที่อพาร์ตเม้นท์แถวหน้ารามฯ  ปรากฎกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่หลายวัน มีอะไรคอยติดตามมา หน้าผมจะดำมากช่วงนั้น ถามแฟนที่อยู่ด้วยกัน(ขอสงวนนามเพราะไม่ใช่คนปัจจุบัน) เขาก็บอกว่าไม่สบายใจ แต่สรุปฯแล้วต้องย้ายออกจากอพาร์ตเม้นหลังนั้น ผมย้ายไปพักอยู่แถวสุทธิสารพร้อมหนังสือเล่มนั้น แล้วก็ลืมๆ ไป นึกขึ้นได้ก็หาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอแล้ว จะเอาไปคืนก็หาไม่เจอ สิ่งที่ผมกระทำไป รู้สึกผิด ที่หาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอ และไม่ได้นำไปคืนที่เดิม จึงขอสารภาพบาปที่ได้กระทำไป บุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ขออุทิศให้วิญาณทั้ง 223 ดวง และเจ้าของหนังสือเล่มนั้นด้วย สาธุ

ผู้ตั้งกระทู้ จตุพล ยอดวงศ์พะเนา กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-10-31 23:14:07

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 12:31:52


ความคิดเห็นที่ 5 (1637995)

อนุโมทนาบุญกับพี่จตุพลด้วยครับ เหมือนได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์เลยยังไงยังงั้น

เขียนซะคนอ่านอินไปด้วยเลยครับ ไงก็อย่าลืมใช้จี้องค์เทพสฟิงซ์สารภาพบาปด้วยนะครับพี่

อ่านแล้วรู้สึกสงสารผู้คนเหล่านี้ครับ วิบากกรรมพาให้มารวมตัวกัน ผิดศีลเหมือนกัน ก็ต้องโดนกวาดไปด้วยเที่ยวกันเดียวกัน เป็นธรรมทานที่ดี สอนใจคนครับ ว่าเร็วๆนี้พวกเราก็ต้องระวังตัว เพราะกรรมที่แต่ละคนทำไว้ ก็จะพาพวกเราไปรวมกันที่เดียวกัน ก่อนที่จะโดนจัดหนักเช่นเดียวกันกับกรณีนี้เลย

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนา อรุณภิญโญพล ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 12:40:07


ความคิดเห็นที่ 6 (1638021)

นักข่าว

บรรณาธิการข่าว

สุดหล่อ นามว่า จตุพล

มาเปิดเผยกรรมจาการ

ทำข่าวแล้ว

 

ซึ่งการทำงานสื่อมวลชน

หรืออาชีพไหนๆ ก็มีโอกาสพลาด

ทำให้กรรมตามเช็คบิล

ได้ง่ายๆ แต่ตอนแก้ไข ไม่ง่ายเลย

 

แปลกดีนะ

สื่อมวลชน ที่เข้ามาบ้านสวน

ต่างคนต่างมา

แต่

พอมาเจอกัน

แม้ว่าจะอยู่คนละสื่อ

แต่ก็รู้จักกัน

 

อย่างคุณกุ้ง จาก TNN

ก็รู้จักกับน้องจตุพล

และ

คุณเจต จากบางกอกโพส

ก็รู้จักเคยเจอคุณกุ้ง

 

เพียงแต่

แต่ละคนไม่คิดว่า

จะได้มาเจอกันที่บ้านสวน

 

แล้วคุยไปคุยมา

น้องจตุพล ซึ่งเคยอยู่ในเครือ

บางกอกโพสมาระยะหนึ่ง

ก็มารู้จัก กับคนรู้จัก ของคุณเจต

 

โลกกลมจริงๆ

 

ส่วนวันที่

ที.วี. 3 ช่องมาถ่ายทำ

เรื่องไบโอแก๊ส

แต่ละทีม เป็นผู้ผลิตรายการส่ง

ช่องต่างๆ ซึ่งไม่รู้จักกัน

แต่พอมาทำข่าว

ก็รู้จักกัน

ง่ายๆ ซะงั้น

 

เอ

เป็นไปได้ไหมว่า

พวกเราทุกคนก่อนมาเกิด

ล้วนเคยเป็นญาติพี่น้องกันมา

เป็นหนึ่งเดียวกันมา

แต่บัดนี้

 

ดวงจิตแต่ละดวง

ต่างกระจัดกระจายกันอยู่

 

ต่าง

กระจายกัน

ทำกรรมดี กรรมชั่ว

พาดวงจิต ให้หมองมัว

หรือเป็นสุข ต่างกัน

 

นักข่าว

อย่างน้องจตุพล

และน้องกุ้ง ก็เป็นตัวแทน

อีกสาขาอาชีพหนึ่ง

ซึ่งเบื้องบนท่านคงห่วงใยมาก

เกรงว่า จะมีเคราะห์กรรม

จากการบิดเบือน

ข่าว

ทำให้อาชีพ

ไม่สุจริต ให้ให้พบอุปสรรค

ในชีวิต ดิ้นไม่หลุด

 

เป็นไปได้ไหม

ที่ทำให้ ได้มาพบเจอกัน

บ้านสวนพีระมิด

เพื่อ

ปลดล๊อกกรรม

ด้วยกัน

ผู้แสดงความคิดเห็น อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 13:46:05


ความคิดเห็นที่ 7 (1638044)

 

หว๊ายย.ย.ย.ย

อ่านแล้วเหมือนอยู่ด้วยในเหตุการณ์ค่ะ

ไม่ว่าภาพ หรือกลิ่น มาเลย

อ่านแล้วภาพสะท้อนตามมาจริง ๆ

เหตุการณ์ที่เศร้าสลด

อุบัติเหตุครั้งนั้น

เป็นข่าวครึกโครมมาก ๆ

ที่แท้นักข่าว หัวเห็ด

อย่างคุณจตุพล ได้นำประสบการณ์ตรง

มาสรุปเป็นคำ สารภาพบาป

การผิดศิล โดยไม่เจตนา

กรรมละเอียดอ่อน มากจริง ๆ

หากพวกเราไม่ได้มาพบ

อ.อุบล ก็คง คิดไม่ออก เขียนไม่ได้

บุญสัมพันธ์ที่ทำให้

เรา พี่ๆ น้อง ๆ หรืออะไรก็แล้วแต่

ได้มาพึงใบบุญ

บ้านสวนพิรามิดแห่งนี้

ขออนุโมทนากับ

ธรรมทาน

ของ คุณจตุพลด้วยนะคะ

สาธุ ๆๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น ประวีณา แค้มป์ ( แมว ) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 15:42:01


ความคิดเห็นที่ 8 (1638160)

เป็นไปได้ไหมว่า

พวกเราทุกคนก่อนมาเกิด

ล้วนเคยเป็นญาติพี่น้องกันมา

เป็นหนึ่งเดียวกันมา

แต่บัดนี้

 

ดวงจิตแต่ละดวง

ต่างกระจัดกระจายกันอยู่

 

ต่าง

กระจายกัน

ทำกรรมดี กรรมชั่ว

พาดวงจิต ให้หมองมัว

หรือเป็นสุข ต่างกัน

 

*********

 

คิดว่าเป็นไปได้อย่างที่ท่านอาจารย์บอกทุกประการค่ะ

เพราะช่วงที่ธัญญาภรณ์ได้เข้ามาที่บ้านสวนฯ

มีความรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเพื่อนๆที่นี่ค่ะ

ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ซึ่งต่างคนต่างอยู่ ต่างที่มา

แต่รู้สึกดีและสนิทใจต่อกัน

กราบอนุโมทนากับท่านอาจารย์อุบลและครอบครัว

ที่มีเมตตารวบรวมพวกเราที่ต่างออกนอกลู่ทาง

ให้กลับมาเดินท่านเพื่อกลับบ้าน

บ้านของพวกเราที่จากมานานแสนนานค่ะ

 

ลูกขอกราบ กราบ กราบ

(ขณะที่พิมพ์นี้รู้สึกตื้นตันใจที่สุดค่ะ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธัญญาภรณ์ พุกภัย พิสมัย (ฝรั่งเศส) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-01 21:50:08


ความคิดเห็นที่ 9 (1638382)

     เป็นไปได้ครับที่ทุกคนมีบุญสัมพันธ์กันมาจึงได้มาเจอกัน และมาสร้างบุญกุุศลใหญ่ร่วมกัน อาจารย์อุบล คูณแมว คุณธนา ผมและลูกบ้านสวนทุกคน คงเคยทำบุญร่วมกันมาจึงมาเจอกัน

   อย่างพี่น้อย(ขออนุญาตเรียกชื่อเล่นนี่ถนัดกว่าครับ) คงเป็นบุญสัมพันธ์กันที่มาเจอกับผม น้องนักข่าวตัวเล็กๆ ในกองบรรณาธิการแห่งหนึ่ง เพราะพี่น้อยหรื้ออาจารย์อุบล ต้องการปกป้องพระอาจารย์คือหลวงพ่อเสงี่ยม ที่จ.ลพบุรี ซึ่งกำลังถูกมารผจญ  ด้วยบุญกุศลที่พี่น้อยปกป้องพระอาจารย์ จึงมีญาติธรรมหรือลูกบ้านสวนออกมาเป็นแม่ทัพ และออกรบเป็นจำนวนมาก และจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะบารมีของพี่น้อยและพี่มงคลครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-02 23:55:47


ความคิดเห็นที่ 10 (1638430)

โมทนาด้วยค่ะ คุณจตุพล นักตัวจริงเล่าสถานการณ์ได้อย่างละเอียด เห็นภาพตามด้วยจริงๆเลยค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อร อุ่นศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-03 14:19:45


ความคิดเห็นที่ 11 (1638479)


อ่านแล้วก็แอบคิดไปไกลว่าอาชีพนักข่าวนี่มันก็น่ากลัวเหมือนกันนะคะ

เวลาที่ต้องไปทำข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุ หรือการเสียชีวิตของผู้คนอะค่ะ

เพราะหากเราเผลอเอาทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตกลับมาใช้

ไม่ใช่แค่กรรมที่จะตามเล่นงานเรา เพราะเจ้าตัวเขาก็คงจะตามมาด้วย

เพราะของๆใคร ใครก็รักและหวง

เราได้มาแต่สิ่งที่เราต้องชดใช้ในภายภาคหน้าอาจไม่คุ้มกันเลยเนอะ

อนุโมทนากับคุณจตุพลด้วยค่ะที่มาเหลาประสบการณ์นักข่าว

ไว้เป็นธรรมทานเพื่อเป็นตัวอย่างให้นักข่าวคนอื่นๆ

สาธุ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นันทนา แหกาวี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-04 06:41:27


ความคิดเห็นที่ 12 (1639848)

อนุโมทนากับธรรมทาน

จากคุณ จตุพล ด้วยนะคะ

อ่านแล้ว ยังกะได้นั่งไทม์แมชชีน

ย้อนอดีตไปอยู่ในเหตุการณ์

อันสยดสยองนั้นด้วยเลยนะคะ

 

จะว่าไปนี่ขนาดคุณ จตุพล

ได้รับอนุญาตจากจนท.ตำรวจ

ว่าสามารถนำหนังสือนี้ติดมือกลับมาได้นะคะ

 

แต่ในทางโลกทิพย์แล้ว ก็คงผิดเต็มๆ

เพราะเจ้าของตัวจริงไม่ได้เป็นผู้อนุญาต

จึงตามมาทวงให้รู้ชัดๆเลย

เพราะมาทั้งกลิ่น

ทั้งพลังงานดำเลยทีเดียว

 

แหม่ นึกภาพ แล้วอย่างนี้

บรรดาแร้งทึ้งทั้งหลาย

จะโดน"วิญญาณหลอน"

กันมากมายขนาดไหนเนี่ย

 

 

ชนิดาคิดว่า อาชีพนักข่าว

นับว่าเป็นอาชีพหนึ่ง

ที่มีโอกาสผิดศีลทุกข้อได้มากสุดๆ

อาชีพหนึ่งเลยนะคะ

 

หลักๆก็ศีลข้อสองแหล่ะ

โดยเฉพาะนักข่าวบันเทิง

ได้ของแจกฟรีบ่อยๆ ทั้ง หนังสือ

เสื้อยืด เทป ซีดี ตั๋วหนัง

ตั๋วคอนเสิร์ต ละครเวที

โอ๊ย สาระพัด ได้จนชิน จนติดนิสัย

บางทีก็ไม่รู้จักพอ แถมขอเพิ่มอีกต่างหาก

 

แถมเวลาไปงานเปิดตัว อัลบั้มใหม่บางที 

ก็รีบๆสัมภาษณ์ให้เสร็จ

แล้วก็ไปนั่งดื่มต่อจนพอใจ

ผิดศีลข้อห้าเต็มๆ

แล้วก็กลับออฟฟิศมานั่งเขียนสคริปต์

ทั้งๆที่มึนๆเมาๆนั่นแหล่ะ

หึ หึ เมาในหน้าที่เห็นๆ

 

ส่วนศีลข้อสี่ ก็ขาด ทะลุ เพราะเสียดสี

ก๊อสซิปเป็นว่าเล่น แถมข้อมูล

อาจจะจริงบ้างเสริมบ้างก็มี

 

ส่วนศีลข้อหนึ่ง ก็ทำร้ายจิตใจ

ดารา ทั้งหลายให้กลุ้ม ให้เครียด

ถูกกดดัน ไม่เว้นแต่ละวัน

 

โอ๊ย...นึกแล้วก็ น่าละอายจริงๆค่ะ

ส่วนศีลข้อสาม ก็ไม่พ้น

เพราะเจอคนมากมายไม่เว้นแต่ละวัน

ฉะนั้น หยอดได้ก็หยอด กันไปเต็มๆ 

 

 

ไม่ทราบว่า นักข่าวสายอาชญากรรม(รึเปล่า)

อย่างคุณ จตุพล

เป็นเช่นนั้นๆ บ้างรึเปล่าหนอ...??? 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-12 08:14:36


ความคิดเห็นที่ 13 (1639872)

                                                           อนุโมทนากับธรรมทาน

                            จากคูณ จตุพล ด้วยค่ะ โหยยยย

                    อ่านไปตื่นเต้นไปเหมือนเหตุอยู่ในเหตุการด้วยเลย

                            ไม่น่าเชื่อว่าขนาดอาชีพนักข่าว มีหน้าที่ไปช่วย

                    เอาข้อมูลมาบอกให้ญาติของผู้ที่รับชตากรรมได้รับรู้

                           ยังมีผลขนาดนี้ แล้วพวกที่เอาของเค้าไป

                    จะโดนขนาดใหน หรือโดนแต่ไม่รู้สึกก็เป็นได้เน้อ

                                              ตอนที่อ่านคิดว่าเดี๋ยวตอนเย็นด่อยมาเขียน

                     อนุโมทนาบูญ แต่มีอาการ ตึงที่ใหล่ทั้งสองข้างจนถึง

                          ปลายมือซ่าๆ ชาๆ ไม่รู้ว่าตอนเกิดเหตุเราได้คิด

                     หรือไม่สนใจข่าวทั้งๆที่ข่าวออกดังไปทั้วบ้านทั้วเมือง

                          รีบเบิกบูญอทิศบูญให้ผู้เคราะร้ายทั้งหมดที่ต้อง

                   เสียชีวิตในครั้งนั้น เลยต้องรีบเขียน ขอแสดงความเสียใจ

                        กับครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคลอันเป็นที่รักไป

                    พอเขียนมาถึงตรงนี้อาการเบาขึ้นนิดหย่อย ไม่รู้จากอะไร

                       นึกย้อนกลับไปก็นึกไม่ออก หรือว่าชวงนั้นเรารับชี้อเงิน

                    ดอลที่มีคนเอามาขายให้ เห็นว่าถูกเลยชื้อไว้ ไม่รู้ว่าเป็น

                               เงินมาจากใหน อุทิศบูยต่อ และขอขมาโทษเจ้า

                    ของเงิน จำได้แค่รางๆ ขอให้ทุกดวงวิญญาณจงไปสู่สูขติภูมิ

                             ข้พเจ้าขอส่งบูญที่ทำทั้งหมดที่มีให้พวกท่านทั้งหมด

                                       สาธุ สาธุ สาธุ

               อาจารย์อุบลช่วยด้วย ขอให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นได้รับ

                         ผลบูญนี้ด้วยเถิด ขอให้ข้าเจ้าหายจาก

              อาการชา ที่แขนและมือด้วยเถิด อาการดีขื้นแล้วค่กราบ

         ขอบคูณเทวดาที่รักษาตัว อาจารย์อุบล และสี่งศักดิ์สิทธิ์ที่

              บ้านสวนพีระมิด ทุกๆพระองค์ กราบ กราบ กราบ

                                           

                           

ผู้แสดงความคิดเห็น เจนมณีรัตน์ นาคชยานันท์ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-12 11:07:19


ความคิดเห็นที่ 14 (1640004)

     อนุโมทนาบุญกับคุณชนิดาด้วยครับ เป็นอีกท่านหนึ่งที่รู้ลึกในวงการสื่อสารมวลชน สื่อสารมวลชนก็เป็นคนหมู่มาก มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกันไป เช่นเดียวกับทุกวงการ แล้วแต่ใครจะมีศีล มีจิตสำนึก และจรรยาบรรณมากกว่ากัน  ถ้าใครพร่องศีลก็ย่อมบาปสาระพัด ผมเคยอยู่สายอาชญากรรม ภูมิภาค การศึกษา กทม. แต่ไม่เคยอยู่สายบันเทิงเลย 

    ปัจจุบันสื่อจะแตกต่างกับกับสมัยที่คุณชนิดาพูดถึง อาจจะคนละยุคกัน ยุคนั้นคงเป็นยุคเก่า ไม่ใช่นิวมีเดียเหมือนปัจจุบัน เพราะการสื่อสารและเทคโนโลยีก้าวรุดหน้าไปจนตามไม่ทัน  ปัจจุบันมันยุค 3 จี 4 จี แล้ว อย่างคุณชนิดาก็เป็นนักสื่อสารมวลชนได้ เช่นการเขียนธรรมทานในขณะนี้ คุณชนิดาอยู่ประเทศโปแลนด์แต่ก็เหมือนอยู่ที่บ้านสวน ได้รับรู้ข่าวสารพอๆ กับอยู่ที่เมืองไทย เหตุการณ์ที่เมืองไทยยังรับรู้ได้เลย แล้วใครจะไปกล้าปิดบังผู้บริโภคละครับ

  สื่อมีหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ และอื่นๆ ปัจจุบันจึงไม่ค่อยเห็นสื่อบันเทิงทำอะไรอย่างที่คุณชนิดาว่า เพราะเขาก็ระวังตัวกลัวบาป คือมีหิริ ความละอายแก่ใจ และโอดตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปมากขึ้นครับ 

    อีกท่านขออนุโมทนาบุญกับคุณเจนมณีรัตน์ ด้วยเช่นกันครับ ที่ช่วยอุทิศบุญให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้ จนอาการตึงที่ไหล่หาย ถึงแม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นกว่า 20 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังอุทิศบุญให้เขาอยู่ และขอขอบคุณอาจารย์อุบล ที่ช่วยชักนำสู่บ้านสวนพีระมิด และเส้นทางพระนิพพาน ถึงแม้จะใช้อิทธิบาทสี่อย่างหนักก็จะเดินตามเส้นทางนี้ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-12 23:38:54


ความคิดเห็นที่ 15 (1640017)

ปัจจุบัน สื่อจะแตกต่างกับสมัยที่คุณชนิดาพูดถึง อาจจะคนละยุคกัน ยุคนั้นคงเป็นยุคเก่า ไม่ใช่นิวมีเดียเหมือนปัจจุบัน เพราะการสื่อสารและเทคโนโลยีก้าวรุดหน้าไปจนตามไม่ทัน  ปัจจุบันมันยุค 3 จี 4 จี แล้ว

............................................

อิอิ อ่านแล้วก็สะอึก

เขียนซะเราเป็นคนตกยุคเล๊ย

 

แต่จริงค่ะ สิ่งที่ชนิดาเขียน

มันสะท้อนภาพนักข่าว(บันเทิง)

ในยุคสิบกว่าปีที่แล้วจริงๆ

 

แล้วก็ขอสารภาพก่อนนะคะว่า

ทุกสิ่งที่ชนิดาเขียนมันสะท้อน

มาจากความชั่วที่่ชนิดา

เคยทำมาเอง...ทั้งสิ้นค่ะ

 

ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้"นักข่าวดีๆ"

แปดเปื้อนไปด้วยจริงๆ

ขออภัยค่ะ ไม่ได้เขียนให้ละเอียด..

 

แต่ยุคนั้น งานแถลงข่าวแต่ละงาน

เค้าทุ่มทุนจริงๆค่ะ (แต่ยุคนี้ก็ไม่ใช่ย่อยน๊า)

เลี้ยงไม่อั้น นักข่าวกินดื่มได้เต็มที่

แล้วนักข่าวหน้าด้านๆอย่างชนิดา

ก็ใช้สิทธิ์เต็มที่ซะด้วย

จนบาปเกาะเต็มตัวเลยทีเดียว

 

แต่ถึงแม้ยุคนี้จะเป็นยุคนิวมีเดีย

ชนิดาว่าการเขียนข่าว

หรือนำเสนอข่าวบันเทิงยุคนี้

เผ็ด แรง เดือด กว่ายุคก่อนอีกน๊า

 

ถามแต่ละคำถาม

ดาราแทบจะสำลักน้ำตาตกในที่ไหลลงคอซะ

(เปรียบเทียบเว่อร์เีชียว)

บางที่ก็เต้าข่าว

สร้างกระแส ซะเว่อร์อีก

ก็เพราะช่องทางให้สร้างข่าวมันเยอะ

ไปหม๊ดนี่แหล่ะค่ะ

 

คือถ้านักข่าวทุกคนมีความละอาย

และเกรงกลัวต่อบาป

พร้อมกับมีความเมตตาเป็นที่ตั้งแล้ว

 

วงการสื่อสารจะพัฒนาไปในทาง

ที่ถูกต้องและดีกว่านี้เยอะ

แต่ก็ต้องยอมรับนะคะว่า

ในปัจจุบันนี้ มีสื่อดีๆ

ที่ทำงานเพื่อสร้างสรรค์สังคม

ให้ดีงามยิ่งขึ้นก็มากมาย จริงๆ

 

อนุโมทนากับคุณ จตุพล อีกครั้งด้วยนะค๊า

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนิดา เชิงสะอาด ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-13 06:54:31


ความคิดเห็นที่ 16 (1641135)

 เพิ่งทราบเหมือนกันว่าคุณชนิดา ก็เป็นนักข่าวมาก่อน อยู่สายบันเทิงเสียด้วย  

                  สงสัยอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะจับประเด็นเก่ง

ควรจะเปิดคอร์สเรื่องการจับประเด็นให้กับลูกบ้านสวนนะครับ โดยมีคุณชนิดา เป็นวิทยากร ธรรมทานของคุณชนิดา ดูมีชีวิตชีวา เหมือนคุณชนิดาอยู่ที่เมืองไทย อัปเดทเหตุการณ์ได้เหมือนตาเห็น

                       คุณชนิดา เขียนธรรมทาน ก็เหมือนเขียนข่าวให้กับผู้ที่ได้อ่านรับรู้ เป็นวิทยาทานแก่ผู้ได้อ่านอย่างดีทีเดียว ข้อนี้ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

                          วงการสื่อสารมวลชนในเมืองไทยทุกวันนี้ค่อนข้างระวังตัว เผยไต๋ออกไป เขาจะรู้ทันทีว่าสีไหน(พวกไหน  เชียร์ใคร รัฐบาลหรือฝ่ายค้าน) 

                          สื่อทุกสายนั้นแหละครับ  โดนเอาใจจนลืมตัว เพราะเขาต้องการเผยแพร่ข่าว ถ้าเราไปติดยึดก็จะแย่ และที่สำคัญปัจจุบันระบบตรวจสอบมันเยอะ แม้แต่สื่อด้วยกันเองก็ตรวจสอบกันอย่างเข้มข้น  แหล่งข่าวเอาใจสื่อพาไปเที่ยวต่างประเทศ  ก็โดนถามว่าไปกับใคร เพื่ออะไร มีวัตถุประสงค์อะไร ออกมาแฉกันเองก็เยอะครับ ดูอย่างคุณสรยุทธ ช่อง3 เคยไปทำรายการที่ช่อง 9  ในนามบริษัทไร่ส้ม ก็โดนปปช.ตัดสินว่าผิด ลองไปย้อนข่าวเก่าๆ อ่านดูได้ครับ 

     อนุโมทนาบุญกับคุณชนิดา อีกครั้งครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-18 22:36:34


ความคิดเห็นที่ 17 (1641136)

 เพิ่งทราบเหมือนกันว่าคุณชนิดา ก็เป็นนักข่าวมาก่อน อยู่สายบันเทิงเสียด้วย  

                  สงสัยอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะจับประเด็นเก่ง

ควรจะเปิดคอร์สเรื่องการจับประเด็นให้กับลูกบ้านสวนนะครับ โดยมีคุณชนิดา เป็นวิทยากร ธรรมทานของคุณชนิดา ดูมีชีวิตชีวา เหมือนคุณชนิดาอยู่ที่เมืองไทย อัปเดทเหตุการณ์ได้เหมือนตาเห็น

                       คุณชนิดา เขียนธรรมทาน ก็เหมือนเขียนข่าวให้กับผู้ที่ได้อ่านรับรู้ เป็นวิทยาทานแก่ผู้ได้อ่านอย่างดีทีเดียว ข้อนี้ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

                          วงการสื่อสารมวลชนในเมืองไทยทุกวันนี้ค่อนข้างระวังตัว เผยไต๋ออกไป เขาจะรู้ทันทีว่าสีไหน(พวกไหน  เชียร์ใคร รัฐบาลหรือฝ่ายค้าน) 

                          สื่อทุกสายนั้นแหละครับ  โดนเอาใจจนลืมตัว เพราะเขาต้องการเผยแพร่ข่าว ถ้าเราไปติดยึดก็จะแย่ และที่สำคัญปัจจุบันระบบตรวจสอบมันเยอะ แม้แต่สื่อด้วยกันเองก็ตรวจสอบกันอย่างเข้มข้น  แหล่งข่าวเอาใจสื่อพาไปเที่ยวต่างประเทศ  ก็โดนถามว่าไปกับใคร เพื่ออะไร มีวัตถุประสงค์อะไร ออกมาแฉกันเองก็เยอะครับ ดูอย่างคุณสรยุทธ ช่อง3 เคยไปทำรายการที่ช่อง 9  ในนามบริษัทไร่ส้ม ก็โดนปปช.ตัดสินว่าผิด ลองไปย้อนข่าวเก่าๆ อ่านดูได้ครับ 

     อนุโมทนาบุญกับคุณชนิดา อีกครั้งครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-18 22:36:36


ความคิดเห็นที่ 18 (1664047)

 เมื่อปลายปี2555 ผมได้นำภาพถ่ายเหตุการณ์เม่ือปี2534 ซึ่งอัดกรอบไว้มาตั้งไว้ที่โต๊ะในบ้าน เพื่อมาทำความสะอาด เนื่องจากเก็บไว้นาน ปรากฏว่าลูกชายคนเล็กอายุเพิ่ง3ขวบ บอกว่าป๊ะเห็นผีในรูปนั้น เขาพูดหลายครั้ง ผมเองก็ก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่เพื่อความสบายใจ จึงเก็บรูปนั้นไว้อย่างมิดชิด

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-08-05 16:20:38


ความคิดเห็นที่ 19 (1667641)
image

ขณะเขียนกระทู้นี้ กำลังดูการแถลงผลงานรัฐบาลในรอบ2ปี

นักการเมืองทำไมเขาโกหกกัน ด่ากัน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2013-09-24 15:19:00


ความคิดเห็นที่ 20 (3813717)

 บุญกุศลแห่งการเจริญภาวนา ขอบารมีอาจารย์อุบลฯช่วยด้วย ให้ถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2015-08-01 09:34:14


ความคิดเห็นที่ 21 (3813718)

 บุญกุศลแห่งการเจริญภาวนา ขอบารมีอาจารย์อุบลฯช่วยด้วย ให้ถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุพล ยอดวงศ์พะเนา ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2015-08-01 09:34:56



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.