ReadyPlanet.com


คำสารภาพบาปเพื่อเป็นธรรมทาน


  ลูกขอกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ องค์เทพสฟริ้งค์ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ณ บ้านสวนพีรามิด และ อ.อุบล และลูกขอกราบขอบคุณหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตา ม้า  หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สมเด็จพุฒจารย์โต ค่ะ

  ก่อนอื่นลูกขอกราบขอขมาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ องค์เทพสฟริ้งค์ และ อ.อุบล เนื่องจากครั้งแรกที่ลูกได้เข้ามารู้จักเว็บบ้านสวนแห่งนี้ เนื่องจากต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับภัยพิบัติแล้วได้เข้ามาดูคลิปที่เว็บบ้านสวนนี้ แต่พอดูไปได้ซักพักเริ่มรู้สึกกลัวน่ะค่ะ ที่กลัวไม่ใช่เพราะเหตุภัยพิบัติ แต่ที่กลัวคือความคิดของตนเองจึงปิดเว็บนี้แล้วไม่ดูอีก เหตุผลคือกลัวความคิดตัวเองเพราะชอบคิด ชอบสงสัย และฟุ้งซ่าน กลัวติดกรรม ยิ่งพอได้ยินเรื่องราวของคนอื่นที่คิดไม่ดีต่อ อ.อุบล แล้วได้รับผลกรรมต่าง ๆ  ทำให้ไม่กล้าดูอีก หลังจากนั้นไม่นาน หนูก็กลับมาเปิดเจอเว็บนี้อีก ลองตัดสินใจเข้ามาดูและคิดว่าเราต้องหัดที่จะฟังแล้วคิดแต่สิ่ง ๆ ดี เลยลองเปิดดูรายการตั้งแต่อันแรก ๆ (แต่ไม่ได้ดูครบทุกคลิปน่ะค่ะ)พอดูไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มสงสัยว่าเป็นท่านท้าวเวสสุวรรณจริงหรือเปล่าน๊า หากเป็นท่านจริงท่านน่าจะมีเมตตาไม่ทำร้ายใครเพราะด้วยเหตุของความไม่รู้ของมนุษย์ แต่ใจก็ยังคิดอีกว่าเมื่อเค้าไม่รู้เราก็ต้องบอกให้เค้ารู้ และเวลาที่หนูดู อ.อุบล หนูรู้สึกว่า อ.อุบล ดุมาก พูดจาไม่เกรงใจใครเลย แต่ถึงกระนั้นหนูก็ยังคงดูคลิปมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ ความสงสัยมันอาจจะยังไม่หมดเสียทีเดียว แต่หนูเชื่อในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหนูเชื่อว่าอาจารย์เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ อาจารย์ไม่ได้สอนอะไรที่แตกต่างจากพระองค์ท่าน ความรู้สึกหนูจึงเปลี่ยนไปมากจากครั้งแรก ทำให้ทุกวันนี้ไม่ว่าหนูจะกระทำการใด ๆ ก็ตามก็จะคิดให้มากขึ้น เพื่อไม่สร้างกรรมใหม่ เพราะกรรมเก่าของเรายังชดใช้ไม่หมด ถึงแม้ว่าจะยังทำได้ไม่ดีมาก แต่ก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดค่ะ

วันนี้หนูจะเล่าประการณ์เรื่องของการเบียดเบียนเวลาทำงานให้ฟัง เมื่อก่อนนี้หนูได้ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง หนูได้ทำเรื่องที่ลูกจ้างไม่ควรทำคือ การเปิดหนังดู เล่นเกมบ้าง เล่นfacebook  เล่น msn แล้วยังมาทำงานสาย เข้างานช้า ทำบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษี ถึงไม่จะไม่ได้ทำเอกสารปลอม แต่เราก็รู้ว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหล่านั้นมันไม่จริง แต่เราทำเป็นไม่สนใจแล้วนำเอกสารเหล่านั้นมาใช้ กรรมนี้ส่งผลให้หนูเป็นซีสต์ถุงน้ำที่ข้อมือ มีก้อนซีสต์ปูดขึ้นมาตรงข้อมือ พับข้อมือไม่ได้เพราะมันจะเจ็บ หลังจากนั้นหนูก็ไปหาหมอคุณหมอบอกว่าโรคนี้มักจะเป็นกับคนที่ใช้ข้อมือมาก เช่น กรรมกร แต่เราทำแค่บัญชีไม่น่าจะมีผลอะไรมากขนาดนี้ และคุณหมอก็ยังบอกอีกว่าต้องบี้ให้ถุงน้ำแตกเอง ไม่ผ่าตัดให้ เพราะถึงผ่าตัดมันก็อาจเกิดขึ้นมาอีก มันทำให้หนูรู้สึกแย่มาก

     แต่หลังจากนั้นไม่นานหนูก็ไปช่วยแรงให้กับแม่ชีใหญ่ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อยุธยา หนูได้ยินแม่ชีใหญ่ท่านกล่าวว่า หากใครมีเรื่องทุกข์ร้อน มีปัญหาสุขภาพก็ขอให้อธิฐานจิต เพราะบุญที่เราได้สร้างร่วมกันเป็นบุญใหญ่ หนูเลยอธิฐานว่าขอให้ข้อมือหนูหาย  หลังจากที่หนูกลับมาจากงานของแม่ชีใหญ่แล้ว ข้อมือของหนูก็หายเจ็บ ไม่มีก้อนเนื้อปูดอีก แต่หลังจากที่หายแล้ว หนูก็ได้กลับไปทำงานที่บริษัทนี้อีก คราวนี้ก็ทำเหมือนเดิม ทำซ้ำ ๆ ข้อมือก็เริ่มกลับมาเป็นอีก แต่หนูก็ยังไม่รู้ตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งหนูรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเราเอง เลยตั้งใจทำงานไม่เล่นเกม ไม่ดูหนัง ไม่แชต ชีวิตหนูก็กลับมาเป็นปกติเองแบบค่อย ๆ หายไปและดีขึ้น

   จริง ๆ แล้วหนูก็ไม่ได้รู้สาเหตุหรอกน่ะค่ะว่าโรคที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งหนูเข้ามาอ่านบทความของอาจารย์น่ะค่ะ ทำให้หนูคิดได้และได้สำนึกและมั่นใจมากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมค่ะ

ขอบคุณน่ะค่ะที่ให้โอกาสหนูได้บอกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ยังมีอีกหลายเรื่องค่ะที่หนูทำผิดเอาไว้มากมาย

                ด้วยความเคารพอย่างที่สุด

 

 

 



ผู้ตั้งกระทู้ สุริวัสสา แสนสุข กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-10-18 15:07:35


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1635309)

 

อนุโมทนาบุญในธรรมทานของน้องด้วยนะคะ พี่เชื่อว่าน้องคงอายุไม่เยอะ

และคงเป็นเด็กที่อยู่ในวัยทำงานไม่นาน พี่จึงคิดว่าน้องโชคดีมากๆที่ได้รู้จักบ้าบสวนฯ

และท่านอาจารย์อุบล พี่เห็นวัยรุ่นที่มีใจใฝ่ในธรรม และสนใจในกฎแห่งกรรมแล้ว

รู้สึกชื่นชม ถ้าเทียบกันแล้วพี่เหมือนไม้ใกล้ฝั่งที่เพิ่งจะเข้ามาสัมผัส

แต่ถึงเวลาเหลือน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเวลา ถือว่าเราโชคดีเหมือนกัน

ได้อ่านของน้องแล้ว ทำให้คิดถึงลูกๆของพี่ที่ใจไม่เปิด คิดถึงแต่ทางโลก

ถึงเวลาคงต่างคนต่างไป น้องคงมีบุญสัมพันธ์ จึงได้มาเจอกัน

เข้ามาเขียนมาเล่าเพิ่มอีกนะคะ

ธรรมทานเป็นบุญใหญ่มาก ตามที่ท่านอาจารย์ได้เมตตาแนะนำเน้นเป็นพิเศษ

ซึ่งพี่เองก็พยายามทำให้ได้ทุกวันอยุ่ค่ะ ขอให้โชคดีค่ะ

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คนึงนุช พงษ์ดี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-10-19 00:33:01


ความคิดเห็นที่ 2 (1635469)

 อนุโมทนากับธรรมทานของคุณสุริวัสสาด้วยนะคะ

ธรรมทานที่เล่ามาสะท้อนเรื่องกฎแห่งกรรมได้ดีทีเดียวเลยค่ะ

เราใช้มือเล่นคอม ใช้มือทำสิ่งที่ผิดในเรื่องต่างๆ

มือเราก็จะมีปัญหา

เป็นอะไรที่ตรงตัวมากๆเลยเนอะ

ดีใจด้วยนะคะที่พบทางสว่างแล้ว

และก็ยังรอคุณสุริวัสสามาเหลาต่อนะค๊าาา

ผู้แสดงความคิดเห็น นันทนา แหกาวี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-10-20 05:51:58


ความคิดเห็นที่ 3 (1635513)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทาน คุณ สุริวัสสา ด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นัยนา ชมภูบุตร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-10-20 11:57:20


ความคิดเห็นที่ 4 (1635813)

                                                                    ขออนุโมทนาบุญกับคุณสุริวัสสา ด้วยค่ะ

                 ที่ได้เขียนธรรมทานดีๆ ให้ทุกคนได้อ่านและได้ปรับปรุงตัวเอง

                    และได้รู้ว่าบาปบุญมีจริง กฎแห่งกรรมมีจริงทุกคนจะได้หยุดทำบาป

                 กรรมชาติที่แล้วยังติดมารับกรรมในชาตินี้ยังมี  ขออนุโมทนาบุญกับ

                        คุณสุริวัสสาที่มีดวงตาเห็นธรรมพบความสว่างแล้วค่ะ

                                                                       สาธุ  สาธุ  สาธุ

                                                                         

ผู้แสดงความคิดเห็น วิราภรณ์ พุฒศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-10-22 14:21:03


ความคิดเห็นที่ 5 (1636654)

   ลูกขอกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ องค์เทพสฟริ้งค์ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ณ บ้านสวนพีรามิด และ อ.อุบล และลูกขอกราบขอบคุณหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตา ม้า  หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สมเด็จพุฒจารย์โต และแม่ชีทศพรค่ะ

   วันนี้จะขอเล่าเรื่องกรรมที่เกี่ยวกับติดหนี้สงฆ์ค่ะ จะขอเริ่มตั้งแต่อดีตชาติก่อนน่ะค่ะ(ไม่ได้รู้เองน่ะ ครูบาอาจารย์ท่านเปิดกรรมให้น่ะค่ะ เป็นเรื่องที่ตัวเราเองยังพิสูจน์ไม่ได้แต่ที่เชื่อเพราะเหตุการณ์ในชีวิตตั้งเกิดจนวันนี้มันเป็นเรื่องราวที่ตรงกับตัวเราน่ะ อีกอย่างเราเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อเรื่องกรรมค่ะ ไม่ได้เล่าเรียงชาติน่ะค่ะเพราะรู้ว่าอันไหนเกิดก่อนกัน)

    ชาติที่ 1 เป็นคนที่ชอบช่วยงานบุญช่วยทั้งแรงและทรัพย์ มีอยู่วันหนึ่งได้ช่วยวัดซ่อมแซมโบสถ์ ปีนขึ้นไปเหยียบไม้คานของวัดหักแล้วบอกให้ลูกน้องเอาไปทิ้ง แล้วไปเอาไม้อันใหม่ของวัดมาใช้ โดยไม่ได้ซื้อไม้มาชดใช้วัดที่ทำเสียหาย เพราะคิดว่าไม่เป็นไร เห็นว่าของส่วนใหญ่ในวัดหรือไม้ที่เราเอาไปเปลี่ยนให้วัดนั้นเราก็เป็นคนจัดหามาเอง แล้วในขณะที่เราช่วยงานวัดบ่อย ๆ ก็จะกลับบ้านดึกจึงได้ยืมคบเพลิงของวัดกลับบ้าน แล้วไม่ได้หาใช้คืนวัด ซึ่งเจ้าอาวาสของวัดนั้นท่านมีชื่อว่าหลวงตาแสนค่ะ

     ชาติที่ 2 ก็เช่นเดิมค่ะ พากันไปช่วยงานที่วัดเป็นงานครัว ช่วยเค้าล้างถ้วยชามทำจานชามของวัดแตกบ้าง จมน้ำบ้าง ทำทัพพีไม้วัดหักบ้าง แล้วไม่ได้หามาใช้คนวัดเพราะคิดว่าไม่เป็นไรเป็นเรื่องธรรมดาที่ของจะแตกบ้าง ชำรุดบ้าง เจ้าอาวาสของวัดนั้น ท่านมีชื่อว่าหลวงตาเมฆ สูง 169 ซม.อายุ 76 ปี สีผิวขาว ค่ะ

     ชาติที่ 3 นี้ต่างกันนิดหนึง เพราะอันนี้เป็นพ่อค้า ค้าขายปลาอยู่ที่หน้าวัด ปลาที่เราจะนำไปขายจะถูกขังเอาไว้(คงเหมือนที่คนอื่นเค้าขายอยู่ที่หน้าวัดแล้วให้ซื้อไปปล่อยน่ะค่ะ)แล้วที่ตรงที่เราขายของนั้นก็เป็นที่ธรณีสงฆ์ เรายึดที่ของวัดมาเป็นที่ของเราเพื่อค้าขาย

    คราวนี้ก็มาถึงปัจจุบันน่ะค่ะ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเวลาไปโรงเรียนจะเดินผ่านวัดทุกวัน ชอบไปเล่นที่วัด เด็ดดอกไม้ เก็บก้อนหินเอากลับมาบ้าน ไปวิ่งเล่นในโบสถ์กับเณรบ้าง(โบสถ์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ) ไปเล่นกองทราย บางที่ก็กินข้าว กินขนมของวัด เวลาเดินผ่านวัดบางครั้งก็จะเข้าไปหาพระอาจารย์ ท่านก็จะเมตตาให้ข้าว ให้ขนม ให้ปัจจัย ซึ่งเราเป็นเด็กไม่เคยได้คิดอะไรเลย ใครให้ก้อเอาทั้งนั้น พอโตขึ้นมา เวลาไปวัดก็ไปทำบุญบ้าง ไปนั่งเล่นไปใช้ห้องน้ำวัด ใช้น้ำ ใช้ไฟ ใช้สถานที่ของวัด แต่ไม่เคยรู้จักคำว่าชำระหนี้สงฆ์ ครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่บวชชีพราหมณ์ ณ วัดแห่งหนึ่งที่เข้าไปบวชไม่ได้รู้จักอะไรเลย แค่อยากไป อยู่ที่วัดนั้น 8 วัน 7 คืนเราก็กระทำผิดเรื่องมโนกรรมอีก คิดๆๆๆ แต่เรื่องไร้สาระ สงสัยกิจกรรมทุกอย่างที่ทางวัดจัด เช่น ทำไมถึงมีตู้บริจาคเยอะจัง ทำไมทุกครั้งเวลาสวดมนต์ทำวัตรจะต้องเรี่ยไร(ซึ่งที่นี่จะสวดวันละ 4 ครั้ง)และสงสัยในพฤติกรรมของพระที่วัด(ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อประมาณซัก 10 ปีที่ผ่านมาท่านอดีตเจ้าอาวาสมีประวัติที่ไม่ค่อยเพราะมีการลงข่าวหน้า 1 ดังมาก)จริง ๆ เข้าไปที่วัดไม่รู้หรอกค่ะว่าประวัติเป็นยังไง แต่เราแทนที่จะปฎิบัติ แต่กลับไปฟังเรื่่องราวในอดีตเหล่านั้น แล้วก็คิดว่าจริงมั๊ย ทำไม การบวชครั้งแรกไม่ได้บุญเลย ได้แต่บาปติดตัวกลับไป ทุกวันนี้ยังละอายอยู่เลยค่ะ มันเป็นบาปที่ติดอยู่ในใจ เพราะกลับมาคิดได้หลาย ๆ อย่างค่ะ เหตุที่วัดต้องมีตู้บริจาค เพราะวัดเองก็มีค่าใช้จ่าย มีภาระเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าโรงงาน และยังอื่น ๆ อีกมากมาย

     และเมื่อวันหนึ่งเรามีเพื่อนมากขึ้น เราจึงคิดสร้างผ้าป่าสามัคคีให้กับวัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่หลวงน้าเราเป็นเจ้าอาวาส เราเคยไปเยี่ยมท่าน เราเห็นว่า โบสถ์ก็สร้างไม่เสร็จ กุฎิก็ทรุดโทรมใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปิดกันลม รั้ววัดก็ไม่มี พระที่จำวัดที่นั้นประจำก็คงจะมีแค่เจ้าอาวาสเพียงรูปเดียว นอกนั้นก็จะบวชช่วงที่ไม่ได้ทำนากัน พอเราไปเห็นสภาพของวัดเราจึงอยากมีส่วนช่วยในการทำนุบำรุุงวัด จึงได้บอกบุญกัับเพื่อน ๆ ว่าจะจัดทำผ้าป่า เราได้รวบรวมปัจจัยไปถวายวัด และบอกกับทางวัดไม่จัดพิธีต้อนรับอะไรน่ะ เราไม่อยากให้สิ้นเปลือง(เพราะเห็นว่ามีเวลามีผ้าป่ามีการแสดง อะไรมากมาย)เมื่อเราผ้าป่ามาถึงวัดแล้ว พระท่านก็สวดรับผ้าป่า แต่พอกรรมการวัดมาเห็นเข้าก็ตำหนิว่า ทำไมทางวัดไม่แจ้งว่ามีผ้าป่ามา เพราะจะต้องให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และกรรมการวัดเป็นพยาน เราก็เกิดมโนกรรรมอีกว่า หากกรรมการวัดไม่รู้เห็น ท่านเจ้าอาวาสจะนำเงินไปซ่อมบำรุงวัดหรือไม่ แต่กระนั้น เราได้ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสหักเงินทำบุญส่วนหนึ่งออกไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าอาหารให้คณะที่เดินทางไปทำบุญ เป็นจำนวนประมาณ 8,000 บาท

     เรื่องของหนี้สงฆ์ทั้งหมดนี้ทำให้ชีวิตของเรามีแต่อุปสรรค ทำการงานอะไรมันไปไม่ได้ไกลอย่างที่คาดคิดไว้ มีปัญหาติดขัดด้านการเงิน การที่เรากักขังปลา ส่งผลให้ชีวิตของเราเหมือนปลาที่ถูกขัง ทำงานที่ไหนก็อยู่ไม่นานเหมือนคนอื่น คนอื่นทำงานที่เดียวกันตลอดชีวิต แต่เราอยู่ได้แค่ 2-3 ปี ก็เปลี่ยน เจ้านายทุกคนดีกับเรา แต่เรามักตีกรอบให้ตัวเอง หากเจ้านายตีกรอบเราก็จะวิ่งออกจากกรอบนั้นคือลาออก เหมือนปลาที่ว่ายวนอยู่แต่ในอ่าง ไม่สามารถออกนอกอ่างได้ ตั้งแต่ได้ทำงานไม่เคยที่ทำงานสบายเหมือนเพื่อนคนอื่น เรามีเรื่องที่ต้องแก้ปัญหาให้กับบริษัททุกวัน พอเสร็จเรื่องนี้ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาตลอด ไม่เคยได้พักสมอง หรือเวลาเลิกงานได้กลับบ้านเหมือนคนอื่น เรายังต้องทำงาน ต้องอยู่กับความเครียดมันไม่มีความสุข

   ขอบคุณค่ะที่ให้โอกาสอีกครั้ง และขออนุโมทนากับธรรมทานของทุกท่านด้วยน่ะ คือ หนูเข้ามาอ่านเรื่อย ๆ  แต่ไม่ได้ร่วมอนุโมทนาในบอร์ดน่ะค่ะ

                          ด้วยความเคารพอย่างสูง

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวัสสา แสนสุข (insurerich-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-10-25 21:52:41


ความคิดเห็นที่ 6 (1636667)

ต้องขออธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อยน่ะค่ะ จริง ๆ ปิดเครื่องเตรียมจะนอนแหละแต่นึกได้เลยรีบเข้ามาเพิ่มก่อนเดี๋ยวนอนไม่หลับ

คือ เรื่องเงินผ้าป่าที่ได้ขอท่านเจ้าอาวาสมา 8,000 บาทนั้นมันก็ยังคงทำให้เราติดหนี้สงฆ์เหมือนเดิมน่ะค่ะ ปุ๋มเคยฟังแม่ชีใหญ่ท่านสอนมาว่า เงินผ้าป่าที่เราถวายให้สงฆ์ไปแล้ว จะนำมาหักกับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหาร ค่าจัดเลี้ยง หรืออะไรที่ไม่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการจัดทำผ้าป่าขึ้นไม่ได้ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับสงฆ์ ปัจจุบันมักมีการเข้าใจผิดว่าสามารถนำมาใช้ได้(ซึ่งปุ๋มเองก็เข้าใจเช่นนั้นเหมือนกัน)แล้วเรื่องมโนกรรมที่เกี่ยวกับสงฆ์ ปุ๋มคิดว่ามันส่งผลแล้วในปัจจุบัน เพราะเมื่อเร็วนี้พระวัดหนึ่งได้ฝากซองมากับสามีให้ไปบอกบุญกฐิน เชื่อมั๊ยค่ะ ว่ามีบางคนคิดกับเราเหมือนที่เราเคยคิดกับพระ ตอนแรกก็ท้อใจน่ะค่ะ คิดว่าทำดีนี้ยากจัง ซองที่รับมาก็แค่ 10 ซองแต่แจกได้แค่ครึ่ง และที่รับเราไปทำให้รู้รู้สึกว่าเค้าไม่พร้อม ไม่เต็มใจ แต่เราไม่ได้บังคับใคร แล้วเราก็ปลอบใจตัวเองว่า ทำดีต้องมีอุปสรรค มันต้องมีมารมาผจญ งั้นเราก็ต้องพยายามทำให้มากขึ้น(หมายถึงกับทุก ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามา มันก็จะผ่านไป สู้ ๆๆๆ ค่ะ) 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุริวัสสา แสนสุข (insurerich-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-10-25 22:44:53



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.