ReadyPlanet.com


บาปบุญทันตาชาตินี้


ดิฉัน นางสาวิตรี คงศรี ได้กระทำบาปกรรมไว้มากมายนัก เพราะความขี้ริ้วขี้เหร่เริ่มฉายแววตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษา ดิฉันไม่เป็นที่ต้องการของเพื่อนๆ ร่วมห้อง และดิฉันมักจะคิดว่าดิฉันไม่ได้รับความเมตตาจากคุณครูเหมือนกับเพื่อนๆ มันทำให้ดิฉันรู้สึกแย่มากๆและไม่อยากไปโรงเรียน ยิ่งมีเพื่อนบางคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบหน้าดิฉันเอาเสียเลย ดิฉันก็ได้แต่อดทนเรียนหนังสือและก็ไปโรงเรียนให้พ้นไปวันๆ เท่านั้น หาความสุขแทบไม่ได้เลยจริงๆ พอมาสมัยเรียนชั้นมัธยมตอนต้น เพื่อนๆ ร่วมห้องก็ไม่ได้ชอบหน้าดิฉันมากนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นรังเกียจจนออกหน้าออกตาดิฉันเองก็พอจะมีเพื่อนสนิทในกลุ่มกับเขาบ้าง 4-5 คน แต่มีเพื่อนในกลุ่มอยู่ 1 คน ชื่อ เกวลิน แซ่ไหล ดิฉันได้ทำความเลว และสร้างความกดดันให้กับเพื่อนคนนี้อย่างที่สุด (เหมือนคนเก็บกด) ในห้องเรียนก็ไม่มีใครชอบเพื่อนคนนี้เลย ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจ ตลอดระยะเวลา 3 ปีเต็ม ที่เพื่อนคนนี้ต้องร้องไห้จนตาบวมในวันที่ต้องมาโรงเรียน แทนที่ดิฉันจะนึกสงสารเพื่อนเพราะตอนสมัยเรียนชั้นประถมตัวดิฉันเองก็เคยตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นมาก่อน ดิฉันกลับเห็นแก่ตัวกลัวว่าเพื่อนจะไม่คบและไม่รักดิฉันถ้าดิฉันไม่แสดงอาการรังเกียจเพื่อนคนนี้ ดิฉันนี่มันสารเลวจริงๆ ทำร้ายจิตใจเพื่อนคนนี้ ด้วยการ ดุ ด่า ว่ากล่าว ด้วยวาจาเสียดสีสารพัด แม้เพื่อนจะช้ำใจจนร้องไห้ดิฉันก็ไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย ยังคงกระทำตัวเลวๆ อยู่ร่ำไป จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจึงแยกย้ายจากเพื่อนคนนี้ไป และด้วยนิสัยเลวๆ ที่ดิฉันได้ฝึกฝนจนชำนาญนั้นมันได้กลายเป็นสมบัติติดตัวของดิฉันไปแล้ว ดิฉันคิดว่าไหนๆ ดิฉันก็ไม่สวย ไม่มีใครรักใครชอบอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่คนอย่างดิฉันจะต้องมานั่งอดทนกับการกระทำของใครที่ทำให้ดิฉันไม่พอใจเมื่อคิดเช่นนั้น ชีวิตของดิฉันก็มีความโกรธ ความโลภ ความหลง เป็นเพื่อนสนิทชนิดที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย ดิฉันมักจะใช้วาจา จวก สับ เชือดเฉือน ผู้ที่ทำให้ดิฉันไม่พอใจอยู่เสมอ ในที่สุดผู้หญิงเลวอย่างดิฉันก็ได้รับเวรกรรม ดิฉันกลายเป็นคนไม่มีเพื่อนคบกับเพื่อนคนไหนก็คบได้ไม่นาน แถมโรคประสาทก็เริ่มถามหา ดิฉันกลายเป็นคนไม่มีสติ และมักจะได้ยินเสียงรบกวนเข้ามาในหัวสมอง ในหัวสมองของดิฉันมีแต่คำหยาบ คำด่าทอ ซึ่งดิฉันไม่สามารถควบคุมตนเองให้หยุดคิดได้ ทั้งๆ ที่ใจไม่อยากคิด จะเดิน จะนั่ง จะนอน สติก็ไม่เต็มร้อยเพราะต้องคอยต่อสู้กับสิ่งรบกวนที่ดิฉันไม่สามารถควบคุมมันได้เลย ดิฉันคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้รับปริญญาแล้ว เพราะดิฉันจะต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลประสาทแทน แต่อาจจะเป็นเพราะบุญที่มีอยู่น้อยนิดมาฉุดช่วยชีวิตของดิฉันไว้ ในวันที่ชีวิตของดิฉันจมดิ่ง มืดมน ไม่มีทางออก คิดแต่ว่าเราไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะตายๆ ไปซะทีมันทุกข์ใจเหลือเกิน บังเอิญโชคดีได้อ่านหนังสือธรรมะเรื่อง โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน ซึ่งนับเป็นหนังสือที่ฉุดช่วยชีวิตผู้หญิงเลวๆ อย่างดิฉันขึ้นจากนรกขุมอเวจี หลังจากอ่านหนังสือจบ ดิฉันนั่งพนมมือตั้งใจสำนึกกรรมชั่วที่ได้กระทำมา และสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้วจะตั้งใจทำแต่ความดี ขอบารมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับดิฉัน ขอให้ดิฉันหายจากโรคประสาทด้วยเถิด นับจากวันที่ดิฉันได้อธิษฐานไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดิฉันก็ก้มหน้าก้มตาทำแต่ความดี และมักจะจดบันทึกความดีที่ได้กระทำไว้ เพื่อคอยเตือนจิตตนว่าในแต่ละวันดิฉันได้ทำความดีอะไรบ้าง ดิฉันตั้งใจทำมากพยายามทำทุกอย่างที่เป็นความดีแล้วคอยหมั่นจดบันทึกความดีที่ทำไว้ ดิฉันทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 3 ปี บุญที่ทำไว้ส่งผลให้ดิฉันหายจากอาการทางประสาทเป็นปลิดทิ้ง และบุญอีกนั่นแหละที่ช่วยให้ดิฉันรอดพ้นจากความตายมาได้ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ (จำปี พ.ศ.ไม่ได้) ดิฉันและครอบครัวไปเที่ยวบ้านป้าที่จังหวัดชุมพร พี่โอม ลูกชายของป้าได้จองเรือไว้สำหรับพาบรรดาเครือญาติ (ประมาณ 30 คน) ออกทะเลไปดำน้ำดูปะการังตามเกาะต่างๆ คณะของเราได้เดินทางไปขึ้นเรือตามนัดหมาย พอไปถึงเรือปรากฎว่ามีสายฝนตกลงมาโปรยๆ เจ้าของเรือจึงถามกับทางคณะของเราว่าจะให้ออกเรือหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ออกเรือก็จะริบเงินมัดจำทั้งหมด ทางเราเห็นว่าฝนโปรยลงมาแค่นิดหน่อย ท้องฟ้าก็ยังแจ่มใส ประกอบกับเสียดายเงินมัดจำที่เสียไปแล้ว จึงให้เรือออกทะเลตามที่ได้ตกลงกันไว้ พอเรือไปส่งถึงเกาะปรากฎว่าทางคณะของเราไม่สามารถดำน้ำดูปะการังได้อย่างที่ตั้งใจไว้เนื่องจากลมพายุเข้า เราติดอยู่ที่เกาะประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อลมพายุสงบลงเจ้าของเรือบอกให้เรารีบขึ้นเรือกลับเข้าฝั่ง เรือแล่นออกไปได้ไม่นานก็เกิดลมพายุขึ้นอีก ท้องฟ้ามืดครึ้มขนาดความสูงของคลื่นประมาณตึก 3 ชั้น เวลาที่คลื่นซัดมาแต่ละทีเรือก็โพนขึ้นสูง (ดิฉันนึกถึงตอนนั่งเครื่องเล่นไวกิ้งที่สวนสยาม) ไม่มีเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดจากคนที่นั่งอยู่ในเรือเพราะทุกคนอยู่ในอาการตกใจจนร้องไม่ออก "สมอเรือขาดแล้ว ดับเครื่อง ดับเครื่อง ปล่อยให้คลื่นซัด" เสียงลูกเรือตะโกนบอกคนขับ เมื่อสิ้นเสียงตะโกนดิฉันคิดว่าวันนี้คงจะเป็นวันตายของดิฉันแล้ว ดิฉันจึงนึกถึงความดีที่เคยช่วย มดตัวเล็กๆ ขึ้นจากน้ำ พวกมันตะกายหมายเอาชีวิตรอดอย่างน่าสงสารเมื่อตกลงไปในน้ำ และในวันนี้ตัวดิฉันเองก็ไม่ได้แตกต่างไปกับมดตัวเล็กๆ เมื่อเทียบกับคลื่นขนาดมหึมาที่กำลังถาโถมซัดเข้าหาเรืออย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครคาดคิดว่าจะรอดชีวิตกลับมา เมื่อคลื่นลมขนาดมหึมาสงบลงเจ้าคนขับเรือก็พยายามบังคับเรือพาทุกคนกลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ดิฉันมั่นใจเหลือเกินว่าที่ดิฉันรอดตายมาได้ในครั้งนั้น เป็นเพราะบุญกุศลที่เคยช่วยชีวิต มด และ แมลง ที่ตกลงไปในน้ำ ด้วยความเมตตาสงสาร เหตุการณ์เฉียดตายในครั้งนั้นมันทำให้ดิฉันมีความมุ่งมั่นที่จะทำความดีต่อไป แต่แม้ว่าดิฉันจะตั้งใจทำความดีมากขึ้นเพียงใด ดิฉันกลับยิ่งคิดถึงเรื่องที่เคยทำร้ายเพื่อนผู้น่าสงสาร อย่าง เกวลิน  แซ่ไหล ดิฉันสำนึกผิดอยู่เสมอเฝ้ารอวันที่จะได้พบเพื่อนคนนี้อีกสักครั้งในชีวิต ตอนนั้นดิฉันได้แต่เฝ้าวอนขอพรพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดิฉันได้เจอกับเพื่อนคนนี้ ขอให้ดิฉันได้มีโอกาสกล่าวคำขอโทษต่อเขาด้วยเถิด ดิฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ หากไม่ได้ขอโทษเพื่อนคนนี้ ดิฉันคงรู้สึกผิดบาปไปจนตาย และแล้วดิฉันก็ได้รับเมตตาอย่างที่สุดจากพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดิฉันเจอเพื่อนคนนี้กำลังขับรถส่งนมอยู่บนถนน (เป็นตัวแทนขายนม) ดิฉันพยายามเรียกแต่เขาไม่ได้ยิน เพราะบนถนนมีรถราวิ่งเยอะ เสียงก็ดัง ดิฉันตัดสินใจวิ่งตามรถพร้อมตะโกนเรียกชื่อเพื่อน ตอนนั้นดิฉันไม่สนใจแล้วก็ไม่อายผู้คนที่ข้างถนนที่ยืนมองดิฉันอยู่ ดิฉันยังคงวิ่งตามรถและตะโกนเรียกให้เพื่อนหยุดรถก่อน พอเพื่อนหยุดรถหัวใจของดิฉันก็แทบจะหยุดเต้นไปด้วย ดิฉันเฝ้ารอวันนี้มาหลายปี ดีใจเหลือเกินหลังจากที่ได้กล่าวคำขอโทษเพื่อนด้วยความรู้สึกสำนึกผิดจริงๆ ดิฉันรู้สึกเบาตัวขึ้นทันทีเหมือนมีใครมาช่วยปลดแอกที่แบบหามมา 10 กว่าปี

   อกุศลกรรมที่ดิฉันทำส่งผลให้

1. ไม่มีเพื่อน คบใครเป็นเพื่อนก็คบได้ไม่นานจะต้องมีเหตุให้เพื่อนเข้าใจดิฉันผิด และต้องเลิกคบกันในที่สุด

2. พ่อ กับ แม่ ของดิฉันทะเลาะกันแทบทุกวันและมักจะด่าทอกันด้วยคำหยาบ บางครั้งก็ลงไม้ลงมือตบตีกัน

3. ดิฉันมีหน้าตาหมองคล้ำขี้ริ้วขี้เหร่มีสิวขึ้นเต็มใบหน้า

4. ดิฉันเป็นคนไม่มีสติ จิตตก มีอาการทางประสาท

5. เพื่อนสนิทที่ดิฉันรักมักจะคิดว่าดิฉันนำเรื่องของเขาไปพูดในทางที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่ดิฉันไม่ได้คิดและพูดเช่นนั้นเลย และดิฉันก็มักจะได้รับการโต้ตอบด้วยวาจาที่เสียดแทงให้เจ็บช้ำน้ำใจจากเพื่อนที่ดิฉันรักและจริงใจต่อเขา

6. สมัยที่ดิฉันทำงานบริษัท ดิฉันต้องอดทนกับความหงุดหงิด ใจร้อน และอาการวีนแตกของเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ (ชีวิตของดิฉันตอนนั้นไม่แตกต่างอะไรจากกระโถน)

7. มรดกกรรม ลูกสาวคนโตของดิฉันไม่อยากไปโรงเรียน ร้องไห้ทุกวันบอกว่าโดนเพื่อนรังแก (ทุกวันนี้ลูกสาวคนโต น้องโบนัส อายุ 5 ขวบ ไปโรงเรียนอย่างมีความสุข ดิฉันให้ลูกสาวแขวนจี้องค์เทพสฟิงซ์และใช้รหัส อ.อุบลช่วยด้วย)

8.ลูกสาวคนเล็ก  ชอบหยิก กัด จิกหัวดึงผม แล้วก็ตบหน้าดิฉันอยู่เสมอ ดิฉันพยายามสอนให้ลูกหยุดทำลูกก็ไม่หยุด (ปัจจุบันลูกสาวคนเล็ก น้องโบตั๋น อายุขวบครึ่งมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป หลังจากที่ดิฉันให้ลูกแขวนจี้องค์เทพสฟิงซ์ ลูกไม่จิกตี ตบหน้าดิฉันเหมือนเมื่อก่อนแต่เปลี่ยนมาเป็น กอดคอและหอมแก้มดิฉันแทน

   กุศลกรรมที่ดิฉันทำส่งผลให้

1. ดิฉันมีหน้าตาสวยขึ้นกว่าเดิมมาก ๆๆๆ

2. ดิฉันมักจะได้รับความช่วยเหลือในยามสถานการณ์คับขันอยู่เสมอ คือไม่ว่าจะมีปัญหาใหญ่แค่ไหนดิฉันก็สามารถก้าวผ่านไปได้เพราะความช่วยเหลือนั้น

3. ทำให้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เผชิญลมพายุที่จังหวัดชุมพร

4. มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัย

5. ชีวิตครอบครัวของดิฉันมีความสุข

6. ดิฉันสอบบรรจุราชการได้ (ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง หัวหน้าสำนักงานปลัด องค์การบริหารส่วนตำบลมะกรูด อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี)

7. ธุรกิจอู่ซ่อมรถของครอบครัวประสบความสำเร็จ



ผู้ตั้งกระทู้ สาวิตรี คงศรี กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-11-05 08:49:46


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1638623)

ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทาน คุณ สาวิตรี ด้วยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นัยนา ชมภูบุตร ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-05 10:00:53


ความคิดเห็นที่ 2 (1638797)

โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน

โอวาทข้อที่หนึ่ง  การสร้างอนาคต

            พ่อพบผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ที่วัดฉืออวิ๋นจื้อ ท่านแซ่ข่ง เป็นชาวอวิ๋นหนาน ท่านมีราศรีผ่องใสยิ่งนักรูปร่างสูงใหญ่ สง่างามราวกับเทพยดา พ่อจึงคารวะท่านด้วยความเคารพ ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยากรณ์พ่อไว้ว่า จะได้เป็นขุนนางสอบผ่านได้ทั้งสามขั้น ปรากฎว่าผลออกมาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ต่อมาท่านก็พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้ว่า ปีใดจะสอบได้เป็นนักเรียนหลวง ได้ข้าวพระราชทานเป็นจำนวนเท่านั้นถัง ปีใดจะได้สอบขั้นสุดท้าย ปีใดจะได้เป็นนายอำเภอ เมื่อเป็นนายอำเภอแล้วสามปีครึ่ง ก็ควรลาออกจากราชการ เพราะอายุ 53 ปี ก็จะสิ้นอายุขัยจะนอนตายอย่างสงบในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 เวลาระหว่างตี 1-3 น่าเสียดายจะไม่มีบุตรไว้สืบสกุล พ่อได้บันทึกไว้ทุกคำ เพื่อกันลืม ในโอกาสต่อๆ มา คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่งก็ยังคงแม่นยำเสมอมา เมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้พ่อเพิ่มความเชื่อถือในคำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่งยิ่งขึ้น เพราะอุปสรรคที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ทำให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ชาตาชีวิตนั้นได้ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน จะช้าจะเร็ว จะมีใครเป็นอุปสรรคอย่างไรก็หนีไม่พ้น พ่อจึงปล่อยใจให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่ทะเยอทะยานขวนขวาย ไม่ดิ้นรนที่จะเอาดีไปกว่านี้อีกต่อไปทำให้จิตใจสงบดียิ่งนัก เมื่อพ่อสอบได้แล้วพ่อไม่ได้ดูหนังสือพ่อไม่ได้ดูหนังสือหรือตำราเรียนใดๆ อีกเลย เอาแต่นั่งสมาธิ ไม่พูดไม่จา ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พ่อได้รับคำสั่งให้ย้ายไปเข้ามหาวิทยาลัยของหลวงทางใต้ ก่อนที่พ่อจะไป ได้แวะไปที่วัดชีเสียซาน เพื่อคารวะท่านอวิ๋นกุเถระพ่อได้นั่งสมาธิกับท่านสองต่อสอง เป็นเวลานานถึงสามวันสามคืนโดยมิได้หลับนอนเลย พระเถระกล่าวกับพ่อด้วยความแปลกใจว่า อันธรรมดาปุถุชนนั้น จิตใจว้าวุ่นสับสน จึงไม่สามารถบรรลุฌานได้ ส่วนพ่อนั้นไฉนนั่งสามวันแล้วยังไม่เห็นจิตใจวอกแวกเลย พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟังว่า ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้แน่นอนแล้ว คิดวุ่นวายไปก็ไร้ประโยชน์จึงทำใจให้สบายไร้กังวลดีกว่า ท่านอวิ๋นกุเถระหัวเราะแล้วก็ร้องว่า โธ่เอ๋ย นึกว่าเป็นผู้วิเศษแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ยังคงเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง พ่อจึงกราบถามท่านว่า ทำไมจึงว่าพ่อเป็นปุถุชน ท่านตอบว่า อันที่จริง คนเรานั้นถ้าจิตใจไม่ว้าวุ่นทำใจให้สงบได้แล้ว ก็เกือบจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พ้นจากความเป็นปุถุชนได้แล้ว แต่คนธรรมดานั้นจิตใจยากที่จะสงบระงับได้ การฟุ้งซ่านนี่เอง ที่ทำให้คนเราถูกผูกมัดด้วยอำนาจพลังบวกและพลังลบของธรรมชาติ ทำให้ไม่มีอิสระเสรี ต้องขึ้นกับดวงชาตาราศี และการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้าที่โหราจารย์ทั้งหลายได้คิดค้นทำสถิติกันไว้ โหราศาสตร์จึงมีขึ้นด้วยเหตุนี้ ก็มีแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้นที่จะถูกกำหนดได้ตามวิชาโหราศาสตร์ แต่คนที่ทำความดีมากๆ แล้ว ชาตาชีวิตจักทำอะไรได้ โหราศาสตร์นั้นหยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่วของคนเราหรอก วิชาโหราศาสตร์จึงยึดถือเป็นบรรทัดฐานไปหมดมิได้ เพราะคนดีนั้น ถึงแม้ชาตาชีวิตจะบ่งไว้ว่าไม่ดีอย่างไร แต่พลังแห่งกุศลกรรมนั้นใหญ่หลวงนักสามารถพลิกความคาดหมายของโหราศาสตร์ได้ คนจนก็กลายเป็นคนรวยได้ คนอายุสั้นก็กลายเป็นคนอายุยืนได้ ในทำนองเดียวกัน คนที่สร้างอกุศลกรรมอย่างหนักไว้ชาตาชีวิตก็ไม่สามารถผูกมัดเขาไว้ได้เช่นกัน แม้จะถูกลิขิตมาว่าจะได้ดีมีสุขอย่างไร แต่พลังแห่งอกุศลกรรมนั้นหนักนัก ย่อมสามารถเปลี่ยนความสุขเป็นความทุกข์ ความมีลาภยศ กลายเป็นหมดลาภยศ ความอายุยืนก็กลายเป็นอายุสั้นได้เช่นกัน ท่านว่าพ่อนั้นปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับชาตากรรมมายี่สิบปี ไฉนจะไม่ใช่ปุถุชนเล่า พ่อกราบถามท่านอีกว่าถ้าเช่นนั้นชาตาชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้หรือ ท่านตอบว่า ชาตาชีวิตนั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอน อนาคตเราต้องสร้างของเราเอง คนทำดีชาตาก็ดี คนทำชั่วชาตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดีก็ต้องทำดี ถ้าทำแต่ความไม่ดีแม้ชาตาจะดีก็กลายเป็นร้ายไปได้ ผู้ใดต้องการลาภยศ ย่อมได้ลาภยศ ผู้ใดต้องการบุตรธิดาย่อมได้บุตรธิดา ผู้ใดต้องการอายุยืนย่อมได้อายุยืน หากประกอบแต่กรรมดี ย่อมสมปรารถนาแล เพราะฉะนั้นการแสวงหาแต่สิ่งที่ดีงามนั้นย่อมได้สิ่งที่ดีงามตามปรารถนาในทำนองเดียวกัน หากไม่สำรวจตนเอง ไม่เริ่มต้นทำความดีจากตัวเราเองกลับดิ้นรนคิดแสวงหาจากภายนอกแม้จะแสวงหามาได้ ก็เป็นเพียงได้ตามชาตากรรมหนดไว้เท่านั้น ไม่ใช่ได้เพราะความดีของเรา เพราะการแสวงหาจากภายนอกนั้น อาจจะต้องใช้ความพยายามในทางที่ถูกบ้างผิดบ้าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา แสวงหาด้วยแรงขับของกิเลสตัณหา จึงไม่ทันได้คำนึงถึงศีลธรรม เป็นการสูญเปล่าทั้งสองทาง ทางธรรมก็เสียหายแล้ว ทางโลกก็เสียหายอีก

ผู้แสดงความคิดเห็น สาวิตรี คงศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-06 08:29:33


ความคิดเห็นที่ 3 (1638867)

โอวาทข้อที่ 1 การสร้างอนาคต(ต่อ)

ท่านถามพ่อว่า ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ว่าอย่างไรบ้าง พ่อก็เล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด ท่านจึงถามพ่อว่าเธอลองทายดูเองสิว่า จะสอบได้เป็นขุนนางหรือเปล่าจะมีบุตรได้ไหม พ่อให้เหตุผลท่านว่าคนที่จะได้เป็นขุนนางจะต้องมีบุญวาสนา ส่วนพ่อนั้นบุญวาสนาน้อย ตนเองก็มิได้สั่งสมกุศลกรรมอันใดไว้ ให้เป็นพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างบุญบารมีใดๆ นิสัยของพ่อก็ไม่ดี ไม่มีความอดทน งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ใครทำให้ไม่ถูกใจก็โกรธ ไม่ยอมให้อภัย ใจคอคับแคบ บางครั้งยังอวดดี ว่ามีความรู้มากมาย ยกตนข่มท่าน ใจคิดอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น คนเช่นพ่อนี้ไม่สมควรมาสอบเพื่อเป็นขุนนางกับเขาเลย ท่านอวิ๋นกุเถระฟังพ่อพูดเสียยืดยาวแล้ว จึงกล่าวว่าไม่เพียงแต่พ่อไม่สมควรเข้าสอบเป็นขุนทางเท่านั้นยังมีอีกหลายๆ สิ่งที่พ่อก็ไม่สมควรจะได้รับด้วย แล้วท่านก็บอกพ่อว่า เมื่อพ่อรู้ตัวเองว่าไม่ดีอย่างไรบ้างแล้วเช่นนี้ ก็จงรีบเร่งสั่งสมคุณธรรมความดีงามทันที ไม่คอยแต่จับผิดผู้อื่น สามารถให้อภัยได้ แม้ความผิดนั้นจะเทียบเท่าภูเขาก็ตาม มีขันติอดทนต่อความไม่พอใจ ไม่โกรธง่าย มีแต่ความเมตตากรุณาไม่พูดมาก ไม่ดื่มสุรา รักษาสุขภาพให้ดีทั้งกายและใจ สิ่งที่แล้วมาแล้วก็ให้คิดว่าตายไปแล้วเมื่อวานนี้ แล้วเริ่มต้นสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมาแทนที่ เหมือนเกิดใหม่ในวันนี้ มีชีวิตใหม่เพื่อสร้างสมคุณธรรมที่ดีใหม่ ครอบครัวใดสั่งสมแต่ความดีงาม ไม่เพียงแต่หัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่จะได้เสวยผลแห่งความดีนั้น แม้ว่าลูกหลานเหลนโหลนก็จะพลอยได้เสวยผลแห่งกรรมดีนั้นด้วย ชาตาชีวิตไม่สามารถควบคุมมนุษย์ไว้ได้เสมอไปจิตใจมนุษย์สำคัญกว่า จิตใจที่ดีงาม ย่อมกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม และได้รับผลที่ดีงาม ผู้มีจิตใจทรามย่อมกระทำแต่สิ่งที่เลวทราม และได้ผลที่ทราม ท่านถามพ่อว่าเชื่อท่านหรือไม่ พ่อเชื่ออย่างมาก เพราะท่านพูดมีเหตุผลพ่อจึงคุกเข่าลงกราบท่าน แล้วพ่อไปนั่งลง ณ หน้าที่บูชาพระรัตนตรัย สารภาพบาปในอดีตอย่างหมดเปลือก แล้วอธิษฐานขอให้ได้เป็นขุนนาง ต่อนี้ไปจะเริ่มกระทำความดีให้ครบสามพันครั้งเพื่อตอบแทนพระคุณฟ้าดินและบรรพชนของพ่อ ท่านอวิ๋นกุเถระเห็นพ่อมีความตั้งใจทำความดีถึงปานนี้ จึงเอาตัวอย่างบัญชีกรรมดีกรรมชั่วมาให้พ่อดูแล้วสอนพ่อให้จดบัญชีพฤติกรรมของตนเองแต่ละวันอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยไม่เข้าข้างตนเอง ถ้าเป็นกรรมดีก็จดไว้ข้างหนึ่ง ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จดไว้อีกข้างหนึ่งเหมือนบัญชีรับจ่าย ต้องนำกรรมชั่วไปลบกรรมดี ให้เหลือกรรมดีสามพันครั้งโดยไม่มีกรรมชั่วที่ไม่ได้หักกลบลบหนี้แล้ว จึงจะนับว่าทำความดีได้ครบสามพันครั้งต้องนำบัญชีมาทบทวนดูทุกวัน เพื่อเตือนใจให้รู้ว่าในวันหนึ่งๆ เราได้ทำอะไรไปบ้าง ดีมากกว่าชั่ว หรือชั่วมากกว่าดี อะไรผิดอะไรถูก จักได้แก้ไขปรับปรุงตนเองไม่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก กรรมชั่วเบาๆ ก็ต้องนำมาลบกรรมดีออกเสียหนึ่งครั้ง กรรมชั่วหนักๆ ก็ต้องลบความดีออกหลายๆ ครั้ง แล้วสอนพ่อสวดมนต์บริกรรมคาถาเพื่อช่วยให้มีจิตมั่นคง โดยอาศัยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นสรณะ การสั่งสมบุญบารมีต้องพยายามอยู่ทุกขณะจิต ค่อยทำค่อยไป ไม่หวังผลจนเกินกำลัง ไม่หย่อนยานจนไม่ก้าวหน้า ท่านบอกกับพ่อว่า จิตนั้นเกิดดับอยู่ทุกขณะ ขอให้หมั่นบริกรรมอย่าได้หยุดยั้ง จะขาดการสืบต่อ เมื่อบริกรรมจนเกิดความชำนาญแล้ว ก็จะกลายเป็นนิสัยไม่ว่าปากจะบริกรรมหรือไม่ จิตก็จะทำไปเองโดยอัตโนมัติ แต่การทำความดีนั้น มิได้ง่ายอย่างที่นึกไว้ สำรวจดูแล้วก็พบข้อบกพร่องมากมาย เช่น ไม่มีความอาจหาญพอที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย บางทีจิตใจลังเล ไม่สามารถช่วยได้สุดกำลัง บางทีก็ช่วยไปบ่นว่าไป อดติเตียนเสียมิได้ เวลาปกติก็ยังมีสติควบคุมตนเองได้ดีอยู่ บางทีดื่มเหล้าเมามาย ความประพฤติดั้งเดิมก็กลับมามีบทบาทอีก คะแนนของกรรมดี ถูกกรรมชั่วลบไปเสียมาก ทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ 11 ปี จึงสามารถรวบรวมการทำความดีได้ครบสามพันครั้ง พ่อได้ไปนิมนต์พระเถระ มาประกอบพิธีอุทิศกุศลผลบุญที่ได้เพียรทำต่อเนื่องมาได้รวมสามพันครั้งตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ แล้วเริ่มตั้งจิตอธิษฐานใหม่ครั้งนี้ขอให้ได้ลูกที่ดี จะทำความดีอีกสามพันครั้ง พอรุ่งขึ้นอีกปี พ.ศ. 2124  ก็ได้บุตร จึงตั้งชื่อให้ว่า "เทียนชี่" แปลว่า ฟ้าประทาน  และเริ่มตั้งจิตอธิษฐานขอให้สอบตำแหน่งจิ้นสือได้ จะทำความดีให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ต่อมาอีกสามปีพ่อก็สอบได้และได้เป็นนายอำเภอในปีนั้นเอง  พ่อฝันเห็นเทวดาองค์หนึ่ง ท่านบอกกับพ่อว่าพ่อได้ทำความดีครบหนึ่งหมื่นครั้งแล้ว เพียงแต่ลดภาษีข้าวให้แก่ราษฎรทั้งหมดที่อยู่ในความปกครองของพ่อโดยทั่วหน้ากัน การบรรเทาภาระอันหนักของราษฎร เป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ พ่อตื่นขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่าพ่อได้ทำไปเช่นนั้นจริงๆ เพราะสงสารราษฎรที่ต้องเสียภาษีหนักเกินไป ทำไมเรื่องราวเหล่านี้ซึ่งพ่อเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ล่วงรู้ถึงเทวดาฟ้าดินได้ และก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำเพียงแค่นี้นะหรือเป็นความดีได้ถึงหนึ่งหมื่นครั้ง บังเอิญท่านฝานอวี๋ย์เถระมาจากภูเขาอู่ถายซาน พ่อจึงกราบถามท่านเพื่อให้หายสงสัย ท่านตอบว่า กุศลกรรมใดก็ตาม ถ้าทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ ไม่หวังตอบแทนเป็นส่วนตัวแล้วไซร์แม้กระทำครั้งเดียว ก็เท่ากับกระทำหมื่นครั้งได้ทีเดียว การที่พ่อเห็นความทุกข์ยากของราษฎร หาทางแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบา ความสุขที่ราษฎรทั้งอำเภอได้รับย่อมเป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ พ่อจึงเอาเงินเดือนของพ่อเดือนนั้นถวายแก่ท่านฝานอวี๋ย์เถระ เพื่อให้ทำอาหารมังสวิรัติถวายพระภิกษุในวัดของท่าน ซึ่งมีประมาณหนึ่งหมื่นรูป และอุทิศกุศลกรรมทั้งมวลไปตามที่อธิษฐานเอาไว้ ท่านผู้เฒ่าข่งเคยพยากรณ์พ่อไว้ว่า พ่อจะมีอายุอยู่ได้ 53 ปีเท่านนั้น พ่อก็มิได้อธิษฐานให้ตนเองมีอายุยืนยาวแต่อย่างใด แต่ปีนั้นพ่อก็ไม่เป็นไร อยู่มาจนบัดนี้พ่อมีอายุได้ 69 ปี แล้ว โบราณท่านกล่าวไว้ว่า ฟ้าดินนั้นสุดที่จะหยั่งรู้ได้ ชาตาชีวิตจึงเอาแน่ไม่ได้ ชีวิตของใครคนนั้นก็ต้องสร้างอนาคตเอาเอง จะให้คนอื่นสร้างให้หาได้ไม่  คำพูดนี้เป็นความจริงที่พ่อพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง สำหรับตัวของลูกนั้น พ่อก็ยังไม่ทราบว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ ขอให้ลูกจำไว้ว่า แม้ลูกจะมีบุญวาสนาชาตาสูงก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อาจจะมีวันที่ตกต่ำลงได้ ถ้าลูกไม่รู้จักการระวังตัว ยามใดที่ลูกรู้สึกชีวิตมีแต่ความราบรื่นปลอดโปร่งสะดวกสบายไปทุกสิ่ง ลูกก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป อาจจะมีวันที่ต้องประสบความยุ่งยากเดือดร้อน ถ้าลูกไม่ตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมอยู่เสมอ ยามใดที่ลูกมีความเหลือเฟือเงินทองไหลมาเทมามีความสมบูรณ์พูนสุขทุกประการก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป  อาจจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกจะต้องตกระกำลำบาก ระหกระเหินแม้จะหาที่ค้างกายสักคืนก็ทั้งยากหากลูกไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ในทางที่ถูกที่ควร ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นยามใดที่มีคนนิยมชมชอบ เคารพนบนอบต่อลูก ลูกก็จะต้องยิ่งทำตนให้เป็นที่น่าเคารพยิ่งๆ ขึ้น ถ่อมเนื้อถ่อมตัวด้วยความจริงใจ มิใช่เสแสร้งแกล้งทำ ปากอย่างใจอย่างอวดดีวางอำนาจ ยามใดที่ลูกได้รับยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ลูกก็อย่ายึดมั่นในโลกธรรมนั้นว่าจะแน่นอนเสมอไป ต้องเตือนสติตนเองอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งยศศักดิ์ชื่อเสียง เงินทองและความสุขทั้งมวลอาจจะพังพินาศไปในพริบตาเดียวก็ได้ ถ้าลูกไม่หมั่นประกอบความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แม้ลูกจะมีความรู้ความสามารถเพียงใด ก็จงอย่าทะนงตนว่าใครก็สู้ไม่ได้ ลูกจะต้องหมั่นฝึกฝนเพื่อให้ความรู้นั้นแตกฉานยิ่งขึ้น ถ้าลูกทำได้เช่นนี้ลูกก็จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง และคงความสูงส่งนั้นไว้ได้ ไม่มีวันที่จะตกต่ำ นอกจากวิบากแห่งกรรมเก่า ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าในชาติปางก่อนๆ นั้น ลูกได้เคยทำอกุศลกรรมอะไรไว้บ้าง วิบากแห่งอกุศลกรรมนั้นย่อมให้ผลเมื่อถึงเวลาเสมอ แต่ถ้าลูกมีความดีมากจริงๆ แล้ว อกุศลกรรมบางอย่างก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไปคือกรรมตามไม่ทัน ลูกจะต้องสำรวจตรวจข้อบกพร่องในตัวของลูกเองทุกๆ วันอย่าได้ขาด และจะต้องแก้ไขความผิดพลาดให้ทันท่วงทีทุกๆ วันเช่นกัน วันใดที่ลูกมองไม่เห็นความผิดพลาดของลูก ก็แสดงว่าการปฏิบัติธรรมของลูกไม่ได้ก้าวหน้าไปเลย และกำลังถอยหลังแล้ว เพราะฉะนั้นลูกจะต้องหาความผิดพลาดของตนเองให้พบ และแก้ไขให้ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นแล้ว ลูกจะก้าวหน้าต่อไปไม่ได้เป็นการเสียชาติเกิด

ผู้แสดงความคิดเห็น สาวิตรี คงศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-06 14:35:07


ความคิดเห็นที่ 4 (1639086)

โอวาทข้อที่สอง  วิธีแก้ไขความผิดพลาด

ธรรมดานิมิตหรือลางสังหรณ์นั้น มักจะเกิดทางใจแล้วปรากฎให้เห็นทางอิริยาบถ บุคคลิกลักษณะจึงเปรียบประดุจกระจกเงา ฉายให้เห็นบุญวาสนาหรือเคราะห์กรรมที่บุคคลนั้นๆ จะต้องได้รับในอนาคต ลูกจงสังเกตพฤติกรรมของบุคคลต่างๆ ว่าเขาชอบทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว ถ้าเขาชอบทำแต่กรรมดี ทำได้ครบตามมาตรการ และสูงถึงมาตรฐานแล้วไซร้ ก็จงแน่ใจเถิดเขาจะต้องได้รับผลดีแน่ แต่ถ้าเขาชอบทำแต่กรรมชั่วลูกก็จงแน่ใจเถิดว่าเขาจะต้องได้รับผลเลวร้ายตอบแทนหากลูกต้องการความสุขและห่างไกลจากความทุกข์ลูกจะต้องรู้จักวิธีแก้ไขความผิดพลาดของตนเองเสียก่อน

     ข้อ 1.ลูกจะต้องมีความละอายต่อการทำชั่ว ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้คน ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปนั้นเป็นความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในโลกนี้ ผู้ใดมีไว้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ ผู้ใดมิได้มีไว้ย่อมเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ลูกจึงต้องเริ่มต้นแก้ไขความผิดพลาดของตนเองด้วยกุศลธรรมข้อนี้ก่อน

     ข้อ 2.ลูกจะต้องมีความเกรงกลัวต่อการทำชั่วเทพยดาอยู่เบื้องบน ผีสางวิญญาณล้วนมีร่างโปร่งแสงมีอยู่เกลื่อนกลาดทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าลูกจะทำผิดอะไรที่คนไม่รู้ผีสางเทวดาก็รู้หมด ถ้าลูกทำความผิดร้ายแรง ลูกก็จะต้องได้รับเคราะห์กรรมไม่เบาทีเดียว ถ้าลูกทำผิดเพียงนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกได้รับความสุขที่กำลังให้ผลอยู่ในปัจจุบันลดน้อยลงทันที หากวันใดบังเอิญมีคนแอบรู้เห็นเข้าลูกก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าไปทีเดียว ลูกจะไม่กลัวได้หรือ หากลูกยังมีลมหายใจอยู่ แม้จะทำความผิดล้นฟ้า ก็ยังมีโอกาสแก้ตัวได้ถ้าลูกสำนึกในความผิดนั้นได้ทันท่วงที แต่ลูกจะต้องจำไว้ให้ดีว่า แม้ความผิดนั้นเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ก็อย่านอนใจที่จะทำผิดบ่อยๆ อย่านึกว่าวันนี้เราทำผิดแค่นี้ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราจะแก้ไขไม่ทำอีก ถ้าคิดเช่นนี้ ก็ผิดจากวัตถุประสงค์ที่พ่อพร่ำสอนลูกมา อันความผิดที่เกิดจากรู้ว่าผิดแล้วยังจงใจทำ เป็นมโนกรรมที่มีโทษหนัก แม้ลูกตั้งใจจะแก้ไขในวันพรุ่งก็อาจจะสายไปเสียแล้ว เพราะในโลกแห่งความวุ่นวายนี้ใครจะรับประกันได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยลมหายใจ ถ้าลูกขาดหายใจเพียงครั้งเดียว ชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของลูกเสียแล้ว ทุกสิ่งลูกก็นำติดตัวไปด้วยไม่ได้ เพราะทุกสิ่งเป็นรูปธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของรูปธรรมได้ชั่วนิรันดร์ สิ่งที่ติดตามลูกไปได้มีเพียงกรรมดีและกรรมชั่วเท่านั้น

     ข้อ 3. ลูกจะต้องมีความกล้าที่จะแก้ไขตนเอง มีกำลังใจที่จะแก้ไขอย่างจริงจังไม่ท้อถอย มีความเพียรอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่ทำบ้างหยุดบ้าง ความผิดเล็กๆ น้อยๆ นั้น เปรียบประดุจหนามตำอยู่ในเนื้อ ถ้ารีบบ่งหนามออกเสีย ก็จะหายเจ็บทันที หากเป็นความผิดใหญ่หลวงก็เปรียบประดุจถูกงูพิษที่ร้ายแรงขบกัดเอาที่นิ้ว ถ้าลูกไม่กล้าตัดนิ้วทิ้ง พิษก็จะลุกลามไปถึงหัวใจ และตายได้  ลูกจึงต้องมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว กล้าเผชิญความจริงรู้ตัวว่าผิดตรงไหน ต้องแก้ตรงนั้นทันที อย่ารีรอลังเลจะเสียการในภายหลัง ความผิดถูกความดีชั่ว ล้วนเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เมื่อรู้ว่าผิด รีบแก้ไขเสีย ความถูกก็จะกลับคืนมา เมื่อทำความดีอยู่ความชั่วไหนเลยจะกล้ำกราย ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของลูกเองเท่านั้น จงจำไว้ เมื่อลูกมีความละอาย มีความเกรงกลัว และมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ที่จะแก้ไขความผิดพลาดของตนเองแล้วไซร้ ความผิดนั้นก็ย่อมจะลดน้อยถอยลงจนหมดไปในที่สุด  เปรียบประดุจสายน้ำที่รวมตัวกลายเป็นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อถูกแสงอาทิตย์ก็ย่อมละลายกลายเป็นน้ำดังเดิม แต่ความผิดพลาดของมนุษย์นั้นไม่ง่ายดังว่าไปเสียทั้งหมด บางสิ่งต้องแก้ที่เหตุการณ์ บางสิ่งต้องแก้ที่เหตุผล บางสิ่งต้องแก้ที่ใจ วิธีการแก้ไขย่อมแตกต่างกันออกไป ผลที่ได้ก็ไม่เหมือนกันลูกจงฟังให้ดี เช่นเมื่อวานนี้เราฆ่าสัตว์ วันนี้เราตั้งใจไม่ฆ่าอีกต่อไปหรือเมื่อวานเราโกรธ ผรุสวาทไปมากมาย วันนี้เราตั้งใจไม่โกรธอีกต่อไป นี่คือการแก้ไขที่เหตุกาณ์ ทำผิดแล้วจึงได้คิด ซึ่งไม่ค่อยจะได้ผล เพียงระงับได้ชั่วคราวเผลอเมื่อใดเราก็จะทำผิดได้อีก การแก้ไขจึงต้องแก้ก่อนที่จะมีการกระทำผิดเกิดขึ้น คือ ต้องรู้เหตุที่จะก่อให้เกิดความผิดได้เสียก่อน เช่น การฆ่าสัตว์ ถ้าเราเข้าใจเสียก่อนว่า ชีวิตใคร ใครก็รักไฉนจึงฆ่าสัตว์อื่นเพื่อเลี้ยงชีวิตเราให้ยืนยาวเล่า ถ้ามีใครทำกับเราบ้างอย่างนี้ ลูกจะยอมหรือ อนึ่งการฆ่าสัตว์นั้น ทำให้เกิดความทรมานเจ็บปวดแสนสาหัส นำสัตว์ต้มในกะทะร้อนๆ กว่าจะตายก็แสบร้อนไปทุกขุมขน แม้เราจะบริโภคอาหารสัตว์เอร็ดอร่อยเพียงไร เมื่อเข้าไปอยู่ในท้องเราแล้ว ก็จะเปลี่ยนเป็นปฏิกูลต่อไป ถ้าเราบริโภคแต่พืชผักผลไม้ เราก็อยู่ได้อย่างเป็นสุขเช่นกันไม่เดือดร้อนอะไร ไฉนจึงต้องไปทำลายชีวิตผู้อื่นเพื่อความอิ่มเพียงชั่วยาม แต่ต้องทำลายบุญที่มีอยู่แล้วให้น้อยลง และเพิ่มบาปให้มากขึ้นด้วยเล่า ชีวิตที่ประกอบขึ้นด้วยเลือดเนื้อนั้น ย่อมมีวิญญาณ คือความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับเรา ถ้าเราไม่สามารถทำให้สัตว์เหล่านั้นมารักนับถือเรา ไว้วางใจเรา และอยากอยู่ใกล้เราแล้ว เราก็อย่าสร้างความเคียดแค้นชิงชัง จนถึงจองเวรจองกรรมกันขึ้นเลย ถ้าลูกคิดได้เช่นนี้แล้ว ลูกก็จะกลืนเนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่ลงคอ เรื่องความโกรธก็เช่นกัน ถ้าเรารู้จักคิดสักนิดว่าคนนั้นแตกต่างกันทั้งนิสัย สติปัญญา กรรมในอดีตและปัจจุบัน ภูมิหน้าภูมิหลังของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน เมื่อเขาพลาดพลั้งไปก็ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา น่าสงสารมากกว่า น่าให้อภัยมากกว่า และถึงแม้เขาจะให้ร้ายเรา ก็เป็นเรื่องที่เขาทำผิดเอง เราไม่เดือดร้อน เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็จะไม่เกิดความโกรธขึ้นมาได้เลย ลูกจะต้องคิดให้ได้ว่า ในโลกนี้ ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยทำความผิด คอยจับผิดตนเอง ไม่จับผิดผู้อื่น คอยสำรวจตนเองว่าได้ล่วงเกินใครอย่างไรบ้างหรือเปล่า ยามที่มีคนล่วงเกินตน ก็จะถามตนเองเสียก่อนว่า ได้เคยล่วงเกินเขาไว้ก่อนหรือไม่ ยามที่มีคนไม่จริงใจต่อตน ก็จะถามตนเองเสียก่อนว่าได้เคยแสดงความไม่จริงใจต่อเขาก่อนหรือไม่ เรามัวคิดเสียเช่นนี้เราก็จะไม่ทันได้โกรธผู้อื่นยิ่งถามตนเองแล้วปรากฎว่าไม่เคยล่วงเกิน ไม่เคยไม่จริงใจต่อเขามาก่อนเราก็ยิ่งสบายใจ รับเอาความผิดพลาดของผู้อื่นมาเป็นบทเรียนฝึกฝนตนเองต่อไป เราก็จะกลายเป็นคนดียิ่งๆ ขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใครทำไม่ดีกับเรา เราก็รับบทเรียนไว้ด้วยความยินดี จิตใจไม่ขุ่นมัว จักมีความโกรธมาแต่ไหน ถ้ามีคนนินทาว่าร้ายลูก ลูกก็จะต้องคิดให้ได้ว่าเหมือนคนจุดกองไฟเผาฟ้า แม้กองไฟจะใหญ่มหึมาเพียงใดแต่ฟ้านั้นว่างเปล่า ไม่มีเชื้อที่จะติดไฟได้ กองไฟจะลุกโชติช่วงสักเพียงใด ก็จะไหม้และมอดไปข้างเดียวในที่สุด คนที่ว่าร้ายลูก เห็นลูกอยู่ในความสงบไม่โกรธ ไม่ตอบโต้ เขาก็จะหยุดไปเองเช่นกัน วิธีแก้ไขความผิดพลาดที่พูดไปแล้วมี แก้ไขเมื่อเกิดความผิดขึ้นแล้ว และแก้ไขเมื่อยังมิได้ทำความผิด วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การแก้ที่ใจนั่นเอง เพียงเกิดความรู้สึกว่าจะทำผิด ก็รู้สึกตัวเสียก่อนแล้วด้วยสติสัมปชัญญะ ความผิดจึงเกิดขึ้นไม่ได้ นี่คือการยับยั้งชั่งใจที่ต้องอบรมบ่มเพาะ ให้สติประคองใจไว้ตลอดเวลา ลูกจงคอยสังเกตถึงจิตใจที่จะสงบขึ้น สติปัญญาแจ่มใสสมองโปร่งไม่ปวดศีรษะ ทำอะไรก็ดูจะง่ายขึ้น เร็วขึ้น ไม่ผิดพลาด ไม่เครียดจนหงุดหงิด ถ้าลูกพบคนที่ไม่ถูกโรคกันมาก่อนกลับรู้สึกเฉยๆ แทนที่จะเกิดความอิดหนาระอาใจอย่างที่เคยเป็นมา กลางคืนอาจจะฝันว่าตนเองได้อาเจียนของดำๆ ออกมา บางทีก็จะฝันเห็นนักปราชญ์โบราณมาสั่งสอนแนะนำ บางทีก็จะฝันว่าได้บินไปเที่ยวบนท้องฟ้า บางทีก็จะเห็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นนิมิตดี เพื่อให้ลูกรู้ว่า บาปกรรมนั้นได้ลดน้อยถอยลงแล้ว แต่ลูกอย่างได้ลำพองใจเป็นอันขาด มิฉะนั้นความเพียรของลูกจะหยุดก้าวหน้าได้ทันที พวกเราสมัยนี้ล้วนแต่เป็นคนหยาบ มีความผิดติดตัวกันมากมาย ราวกับตัวเหลือบที่เกาะเต็มไปหมด แต่เราก็ไม่เห็นไม่รู้สึกว่าอดีตนั้น เราได้ทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง นี่ก็เพราะความหยาบของจิตมีดวงตาก็หามีแววไม่นั่นเอง  ลูกจงสังเกตคนที่บาปหนา มักจะปรากฎบุคลิกภาพที่อาภัพให้เห็นได้ง่ายๆ เช่น เป็นคนขี้หลง ขี้ลืม ปวดหัว มึนงง ง่วงเหงาหาวนอน แม้จะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ก็มีจิตใจที่หงุดหงิด เศร้าซึมเลื่อนลอย ขี้หวาดกลัว หาความสุขความร่าเริงไม่ได้ เห็นคนก็ไม่กล้าสบตาด้วย ไม่ชอบฟังเทศน์ฟังธรรม บางทีทำดีกับใครก็กลับได้ผลในทางตรงกันข้าม กลางคืนก็นอนฝันร้าย พูดจาเลอะเลือน จิตใจท้อแท้ เหล่านี้ล้วนเป็นนิมิตของคนบาปหนาทั้งสิ้น ถ้าลูกรู้สึกตัวว่าเป็นเช่นนี้ ก็จงรีบหาทางแก้ไขโดยด่วนอย่าได้รั้งรออยู่เลย

ผู้แสดงความคิดเห็น สาวิตรี คงศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-07 11:13:34


ความคิดเห็นที่ 5 (1639108)

โอวาทข้อที่สาม  วิธีสร้างความดี

การทำความดีนั้นดีจริงหรือดีปลอมบริสุทธิ์ใจหรือไม่บริสุทธิ์ใจ ทำแล้วมีคนรู้เห็นหรือไม่มีคนรู้เห็น ทำถูกหรือทำผิด ทำด้วยความสุจริตหรือทุจริต ทำครึ่งๆ กลางๆ หรือทำอย่างสมบูรณ์ทำใหญ่หรือทำเล็ก ทำยากหรือทำง่าย ทั้งหมดนี้ จะต้องใคร่ครวญให้ถ่องแท้ หากกระทำความดีโดยไม่อาศัยเหตุผลแล้วไซร้ความดีนั้นอาจจะให้ผลร้าย เป็นบาปไปก็ได้ เป็นการสูญเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย

ทีนี้พ่อจะพูดให้ฟังทีละข้อ ข้อแรก การทำความดีนั้นทำแล้วดีจริงหรือไม่ ถ้าเราทำเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น ถึงแม้เราจะตีเขาก็ดี ดุด่าว่ากล่าวก็ดี ล้วนแต่เป็นการกระทำดีทั้งนั้น ถ้าเพื่อประโยชน์ของเราเอง เราจึงอ่อนน้อมต่อผู้อื่น ทำความคารวะต่อผู้อื่นนี่เป็นความดีปลอม ไม่ใช่ดีจริง

ความดีข้อที่สอง คือทำความดีโดยบริสุทธิ์ใจหรือแฝงด้วยเจตนาใดๆ การทำความดีต้องเริ่มที่ใจของตนเอง เริ่มไตร่ตรอง สำรวจตนเองอย่างระแวดระวัง อาศัยกำลังใจของเราเองซักฟอกจิตใจให้สะอาด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ให้คิดถึงประโยชน์สุขของผู้อื่นก่อน แล้วทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่แฝงไว้ด้วยเจตนาที่จะต้องการการตอบแทนจากใครจึงจะเป็นความดีโดยบริสุทธิ์ หากเราทำความดีเพื่อเอาใจผู้อื่นก็ดี หวังการตอบแทนก็ดี ก็ไม่ใช่ความดีที่เกิดจากความบริสุทธิ์ใจแล้ว เป็นการเสแสร้งเพทุบายเพื่อหวังประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง เป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์จะถือเป็นความดีแท้ไม่ได้

ความดีข้อที่สาม คือการทำดีที่มีผู้รู้เห็น และไม่มีผู้รู้เห็น ถ้าเราทำความดีมีคนรู้เห็นมากก็กลายเป็นความดีทางโลกไป แต่ทำแล้วไม่มีผู้รู้เห็นเหมือนกันปิดทองหลังพระ นี่เป็นความดีทางธรรม ความดีทางธรรมฟ้าดินย่อมประทานผลดีให้ ส่วนความดีทางโลกก็จะได้รับแต่ชื่อเสียงเกียรติยศความมั่งคั่งเป็นผลตอบแทน ลูกจะต้องเห็นความสลับซับซ้อนอันล้ำลึกของการทำความดีที่ดีแท้และดีปลอม จึงจะทำความดีได้ถูกต้อง

ความดีข้อที่สี่ คือความดีที่ทำผิดหรือทำถูก สมมติว่ามีคนไม่ดีคนหนึ่ง เที่ยวเกะกะระรานผู้คน ถ้าไม่มีคนถือสา เห็นว่าการให้อภัยเป็นคุณธรรมที่ดี นี่เป็นการทำความดีที่ผิดเพราะคนพาลนั้นก็ยิ่งได้ใจ กล้าทำความผิดหนักยิ่งขึ้น ผู้คนก็จะถูกทำร้ายหนักขึ้น คนพาลนี้ก็จะถูกกฎหมายลงโทษอย่างหนัก แต่ถ้าเราไม่ปล่อยให้คนพาลเหิมเกริม หาทางกำราบเสียก่อนที่จะสายเกินแก้ ก็จะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย เพราะฉะนั้น บางครั้งการไม่ให้อภัยคนพาล ช่วยกันกำราบให้กลับตัวได้ กลับจะเป็นความดีแท้

ความดีข้อที่ห้า คือการทำความดีแล้วผลทำให้ผู้อื่นเป็นอย่างไร มีขุนนางไจเสี่ยงท่านหนึ่งรับราชการ ในรัชกาลของพระเจ้าอิงจงฮ่องเต้ (พ.ศ. 1979 - 1992) ท่านรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่มีด่างพร้อย เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ต่อมาท่านปลดเกษียณกลับไปอยู่ภูมิลำเนาเดิมของท่านที่ชนบทประชาชนก็พากันมาเคารพท่านต่างก็เปรียบท่านดุจขุนเขาอันสูงสุดในแผ่นดินจีน แต่มีชายขี้เมาคนหนึ่งมาด่าท่านซึ่งๆ หน้า ท่านเห็นเป็นคนเมาก็ไม่ถือโกรธ กลับบอกคนรับใช้ว่าอย่าไปเอาเรื่องกับคนเมาเลย ปิดประตูเสียเถิด ต่อมาชายขี้เมาคนนี้ ได้รับโทษประหารชีวิต เมื่อท่านไจเสี่ยงรู้เข้าก็เสียใจมาก รำพึงว่าถ้าเราเอาเรื่องเสียแต่แรกที่ด่าเรา จับไปทำโทษสถานเบาเสียที่อำเภอ เขาก็จะไม่ต้องรับโทษประหารในวันนี้ เพราะเราแท้ๆ กรุณาเขาผิดกาละไป ทำให้เขาเหิมเกริม ทำชั่วจนตัวตาย

ความดีข้อที่หก คือความดีที่กระทำครึ่งๆ กลางๆ และทำอย่างสมบูรณ์ การสั่งสมความดีความชั่วนั้นดุจนำของบรรจุลงในภาชนะ ถ้าสั่งสมทุกวันก็จะเต็มเปี่ยม ถ้าสั่งสมบ้างไม่สั่งสมบ้าง หยุดๆ ทำๆ บุญหรือบาปนั้นก็พร่องอยู่เสมอ ไม่มีวันเต็มได้เลย แต่ก่อนนี้มีเด็กสาวคนหนึ่ง เข้าไปในวัดเพราะอยากทำบุญ แต่มีเงินเพียงสองอีแปะ ราคาของเงินนั้นน้อยนิดเดียว แต่ค่าของความมีใจอยากทำบุญนั้นเหลือหลายท่านเจ้าอาวาสจึงกล่าวอนุโมทนาคาถาเอง ให้ศีลให้พรเอง ต่อมาหญิงนั้นได้เข้าวังเป็นพระสนมของฮ่องเต้ มีเงินมากมายจึงนำเงินหลายพันตำลึงมาที่วัดนั้นอีกเพื่อทำบุญ คราวนี้เจ้าอาวาสให้พระลูกวัดกล่าวอนุโมทนาและให้ศีลให้พรแทน พระสนมเกิดความสงสัยยิ่งนัก จึงกราบถามท่านว่า เมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้ายากจนมีเงินทำบุญเพียงสองอีแปะแต่ท่านมากล่าวอนุโมทนาคาถาและให้ศีลให้พรข้าพเจ้าด้วยตนเอง มาบัดนี้ ข้าพเจ้าพอจะมีเงินบ้าง จึงนำมาถวายหลายพันตำลึง แต่ทำไมท่านกลับให้พระลูกวัดทำหน้าที่แทนท่านเล่า ท่านเจ้าอาวาสกล่าวว่า แต่ก่อนนี้แม้ท่านจะทำบุญน้อยแต่ใจท่านนั้นเปี่ยมไปด้วยเจตนาที่เป็นกุศล มาบัดนี้ แม้ท่านจะมีเงินทำบุญมาก แต่ใจของท่านนั้นไม่เหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้อาตมาไปกล่าวเอง นี่คือตัวอย่างของการทำความดีที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยราคาของเงินมาวัดความดีนั้น ทำบุญด้วยเงินน้อยนิดกลับเป็นบุญที่เต็มเปี่ยมเพราะจิตใจที่เต็มไปด้วยกุศลเจตนา แม้ทำบุญด้วยเงินมากมาย หากจิตใจมีศรัทธาเพียงครึ่งๆ กลางๆ การทำความดีนั้นก็จะให้ผลเพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น การทำความดีนั้น เมื่อทำแล้วก็แล้วกันอย่าได้นำมาคิดถึงบ่อย ราวกับว่าการทำดีนั้นช่างใหญ่ยิ่งนัก ใครก็ทำไม่ได้เหมือนเรา ถ้าคิดเช่นนี้ ความดีนั้นก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่ถ้าทำแล้วก็ไม่นำมาใส่ใจอีก คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึงจะดี จึงจะเป็นความดีที่สมบูรณ์ แม้แต่เงินที่เราบริจาคไปแล้วก็มองไม่เห็นว่าสำคัญตรงไหนให้แล้วก็แล้วกัน ลืมเสียให้ได้ ไม่กลับมาคิดอีกให้เสียเวลา เช่นนี้เรียกว่าทำความดีด้วยจิตว่างเปล่า เมื่อไม่ได้บรรจุอะไรไว้ที่จิตเลย จิตนั้นก็ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยกุศลผลบุญพลังแห่งกุศลธรรมเช่นนี้ใหญ่หลวงนัก สามารถทำลายเคราะห์กรรมได้ถึงหนึ่งพันครั้ง เพราะฉะนั้นการทำความดีจึงมิได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของเงินทองหรือวัตถุที่บริจาคแต่อยู่ที่ใจเราเท่านั้นที่จะทำจิตใจให้ว่างเปล่าจนสามารถบรรจุบุญกุศลได้เพียงใดต่างหาก

ความดีข้อที่เจ็ด คือความดีใหญ่หรือเล็ก มีขุนนางผู้หนึ่งมีนามว่าเอว้ยจ้งต๊ะ ถูกจับวิญญาณไปยังยมโลกพญายมได้สั่งให้เสมียนในยมโลกนำบัญชีดีชั่วของท่านเอว้ยมาให้ดู ปรากฎว่าบัญชีชั่วนั้นช่างมากมายก่ายกองวางจนเต็มห้องไปหมด ส่วนบัญชีความดีนั้นเล็กนิดเดียวมีขนาดพอๆ กับตะเกียบข้างหนึ่งเท่านั้น พญายมสั่งให้คนเอาตาชั่งมา ปรากฎว่าบัญชีความดีนั้นแม้จะเล็กนิดเดียวแต่กลับมีน้ำหนักมากกว่าบัญชีความชั่วที่รวมกันแล้วทั้งหมด ท่านเอว้ยมีความสงสัยเป็นอันมาก จึงถามพญายมว่า ข้าพเจ้ามีอายุยังไม่ถึงสี่สิบปี ไฉนจึงมีความชั่วมากมายเช่นนี้ พญายมตอบว่า เพียงแต่จิตคิดมิชอบเท่านั้น ก็เป็นบาปแล้ว เช่นเห็นผู้หญิงสาวสวย ก็มีจิตปฏิพัทธ์ จิตที่คิดมิชอบเช่นนี้ ก็จะถูกบันทึกในบัญชีความชั่วทันที ท่านเอว้ยถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นในบัญชีความดีอันน้อยนิดนี้ ได้บันทึกไว้ว่าอย่างไร พญายมตอบว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงดำริจะซ่อมสะพานหินที่เมืองฮกเกี้ยน ท่านเกรงว่าราษฎรจะเดือดร้อน จึงถวายความเห็นเพื่อยับยั้งพระราชดำรินั้นเสีย บัญชีความดีนี้ก็คือสำเนาที่ท่านทูลเกล้าฯ ถวายฮ่องเต้นั่นเอง ท่านเอว้ยก็แย้งว่าแม้ข้าพเจ้าจะกระทำดังกล่าวจริง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พระองค์ทรงดำเนินการไปแล้ว ไม่น่าเลยที่บัญชีความดีเพียงอย่างเดียวจะมีน้ำหนักมากกว่าบัญชีความชั่วที่กองอยู่เต็มห้องนี้ พญายมจึงพูดว่า การที่ท่านมีเมตตาจิตต่อราษฎร เกรงจะได้รับความลำบากกันมากมาย กุศลจิตนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าหากท่านยับยั้งได้สำเร็จก็จะยิ่งเพิ่มความหนักขึ้นอีก ลูกจงจำไว้ว่า การทำความดีไม่ว่าจะเป็นความดีมากหรือน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเจตนาในการทำความดีนั้น เพื่อผู้อื่นหรือเพื่อตนเอง

ข้อที่แปด คือความยากง่ายในการทำความดี พ่อจะยกตัวอย่างให้ฟัง ลูกจะได้เข้าใจง่าย ที่มณฑลเจียงซี มีท่านผู้เฒ่าแซ่ซูท่านยังชีพด้วยการสอนหนังสือตามบ้าน อยู่มาวันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเป็นหนี้เพราะความยากจน เมื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้เจ้าหนี้ก็จะยึดภรรยาของชายผู้นี้ไปเป็นคนใช้ ท่านผู้เฒ่าซูเกิดความสงสารสามีภรรยาคู่นี้ยิ่งนัก จึงยอมเสียสละเงินที่เก็บออมไว้ได้จากการสอนหนังสือเป็นเวลาสองปี นำมาใช้หนี้แทนผู้ชายนั้น ทำให้สามีภรรยาคู่นี้ไม่ต้องแยกจากกัน  อีกตัวอย่างหนึ่ง มีชายคนหนึ่งด้วยความยากจนยิ่งนักจึงนำภรรยาและบุตรชายไปจำนำไว้ ได้เงินมาพอประทังชีวิตเมื่อถึงกำหนดไม่มีเงินจะไปไถ่คืน ภรรยาก็เดือดร้อนคิดจะฆ่าตัวตาย บังเอิญท่านผู้เฒ่าจางรู้เรื่องเข้า มีความสงสารเป็นยิ่งนักจึงนำเงินที่เก็บสะสมมาแล้วถึงสิบปี มาใช้หนี้แทนให้ พ่อแม่ลูกจึงได้มีโอกาสกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง ทั้งท่านผู้เฒ่าซูและท่านผู้เฒ่าจาง ล้วนแต่ได้กระทำในสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เงินที่ท่านสะสมไว้คนละสองปีและสิบปีนั้นท่านก็หวังว่าเมื่อทำมาหากินไม่ได้แล้ว ก็จะได้พึ่งเงินจำนวนนี้ประทังชีวิตต่อไป เป็นเงินที่ต้องใช้เวลาอันยาวนานสะสมไว้วันละเล็กละน้อย แต่ท่านทั้งสองก็สามารถตัดใจช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกันเลยแม้แต่นิดได้ในพริบตาเดียว นี่คือการทำความดีที่ยากยิ่งจริงๆ ส่วนคนที่มีเงินมีอำนาจนั้น ถ้าจะกระทำความดีก็ย่อมง่ายกว่าผู้ที่ไม่มีทั้งเงินและอำนาจ แต่พวกนี้ก็ไม่ค่อยชอบทำความดี เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีโอกาสทำความดีได้ง่ายเพราะมีทั้งเงินและอำนาจกลับไม่ยอมทำความดี ส่วนผู้ที่ไม่มีเงินไม่มีอำนาจ กว่าจะทำความดีได้ก็ด้วยความยากลำบากยิ่ง นี่คือความแตกต่างกันในคุณค่าของความดี

     การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมีวิธีการมากมาย ประมวลแล้วก็สามารถแยกออกได้ 10 วิธี ด้วยกัน คือ

     1. ช่วยเหลือผู้อื่นทำความดี

     2. รักและเคารพทุกคนอย่างเสมอหน้า

     3. สนับสนุนผู้อื่นให้เป็นผู้มีความดีพร้อม

     4. ชี้ทางให้ผู้อื่นทำความดี

     5. ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในความคับขัน

     6. กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

     7. ไม่ทำตนเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์หมั่นบริจาค

     8. ธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมะ

     9. เคารพผู้มีอาวุโสกว่า

     10. รักชีวิตผู้อื่นดุจรักชีวิตตนเอง

     ลูกจงถือหลักสิบประการนี้แล้วลูกก็จะแผ่ขยายการทำดีให้กว้างขวางออกไป การสั่งสมคุณธรรมให้ครบหนึ่งหมื่นครั้งก็จะอยู่เพียงแค่เอื้อม

ผู้แสดงความคิดเห็น สาวิตรี คงศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-07 12:41:51


ความคิดเห็นที่ 6 (1639118)

โอวาทข้อที่สี่   ความถ่อมตน

โอวาทข้อสุดท้ายนี้ ท่านสอนให้รู้จักวางตนในการคบหาสมาคมกับบุคคลทั่วไป ไม่อวดดีว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่น สำนึกอยู่เสมอว่า ตนเองยังทำความดีไม่เพียงพอ หากฟ้าจะประทานความเจริญรุ่งเรืองแก่ใคร มักจะประทานสติปัญญาให้ก่อน เมื่อมีสติปัญญาแล้วคนที่เจ้าอารมณ์ก็จะเปลี่ยนเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ คนที่อวดดีก็กลายเป็นคนถ่อมตนได้ เมื่อพัฒนาตนเองได้แล้วฟ้าย่อมประทานบุญวาสนามาให้ สูงจากศีรษะมนุษย์ไปเพียง 3 ฟุต ก็มีเทพเจ้าคอยเฝ้าดูอยู่ เราจะต้องทำแต่สิ่งที่เป็นมงคล หลีกเลี่ยงการกระทำอันเป็นอัปมงคลเสีย จะดีจะชั่วจึงอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าควบคุมจิตใจและความประพฤติของเราให้ดี ไม่ทำสิ่งที่ฟ้าดินและผีสางเทวดาไม่พอใจ ไม่หยิ่ง ไม่โอหัง ไม่วู่วาม อดทนในสิ่งที่ทนได้ยาก ฟ้าดินและผีสางเทวดาก็ย่อมจะสงสารเรา เห็นใจเรา ประทานความช่วยเหลือแก่เรา คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตย่อมไม่ทำจิตใจคับแคบเห็นแก่ตัว ย่อมไม่เป็นผู้ทำลายความสุขความเจริญของตนเองความถ่อมตนทำให้มีโอกาสที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านผู้รู้ ได้รับประโยชน์จากท่านเหล่านั้นไม่จบสิ้น ลูกจงจำไว้ว่า คนที่ยกตนข่มท่าน ถือดีอวดเบ่งนั้น แม้จะได้ดิบได้ดีก็ไม่ยั่งยืนนาน โบราณท่านว่าไว้ ปรารถนาชื่อเสียง ย่อมได้ชื่อเสียง ปรารถนาความร่ำรวย ก็ย่อมได้เป็นเศรษฐี ความปรารถนาของมนุษย์ เปรียบประดุจรากแก้วของต้นไม้ เมื่อหยั่งลึกลงดินแล้วต้นไม้ก็จะมีกิ่งก้านไพศาล ออกดอกออกผลตามฤดูกาล รากแก้วของมนุษย์ ก็คือ การอ่อนน้อมถ่อมตน ลูกจะต้องตั้งความปรารถนาไว้ดุจรากแก้วของต้นไม้ แน่วแน่ที่จะทำความดีไม่ท้อถอยสั่งสมความดีงามให้ได้ทุกๆ วัน ลดความถือดีอวดดีให้หมดสิ้น สร้างอนาคตด้วยตัวลูกเองชาตาชีวิตจักทำอะไรได้ ขอให้ลูกจงเพียรพยายามต่อไปเถิดความสำเร็จย่อมรอลูกอยู่แล้วอย่างแน่นอน

      บัญชีกรรมประจำวันจะช่วยกระตุ้นเตือนให้เราพึ่งได้เมื่อยามที่จะโน้มเอียงไปในทางมิชอบ ทำบัญชีนี้ให้ได้สม่ำเสมอ ความดีจะเพิ่มขึ้น ความชั่วจะลดน้อยลง  จนในที่สุดเหลือแต่ความดีล้วนๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น สาวิตรี คงศรี ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-07 13:33:51



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.