(บทความนี้ได้รับการอนุญาตจากคุณณฐพลสรรค์เผือกผาสุขให้เผยแพร่ในเว๊ปไซด์baansuanpyramid.com เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้สนใจตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2553 ต้นฉบับของบทความนี้คุณณฐพลสรรค์ได้ส่งให้กับเว็ปมาสเตอร์บ้านสวนพีระมิดทางอีเมล์ ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาต่อคุณณฐพลสรรค์เผือกผาสุข มา ณ ที่นี้ด้วยครับ)
คนค้นกรรม 2
หลังจากครั้งก่อนได้ไปค้นกรรมของตัวเองกับอาจารย์อุบล เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2553 พร้อมได้กำหนดว่า โรคที่เป็นอยู่ 6 โรค ต้องหายภายใน 15 วัน ขณะนี้ได้ครบกำหนดแล้ว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ผมขอเล่าเหตุการณ์ที่สำคัญๆให้ทราบดังนี้ครับ
วันที่ 16 มีนาคม 2553 เปิดเผยตัวตนให้คนอื่นรู้
หนึ่งในห้าคำสัตย์ที่ได้ให้ไว้กับอาจารย์อุบล คือ“นำเรื่องที่คุยกันโพสต์ขึ้นอินเตอร์เน็ต” ผมได้ใช้เวลาเขียนเรื่องที่คุยกับอาจารย์อุบลอยู่ 2-3 วัน ในวันที่ 16 มีนาคม ผมได้ตัดสินใจนำเรื่องนี้ โพสต์ขึ้นเว็บไซท์ต่างๆตามที่ได้ให้สัญญาไว้ โดยใช้ชื่อบทความว่า “คนค้นกรรม”
วันที่ 18,19 และ 20 มีนาคม 2553 เริ่มชำระล้างกรรม
“ช่วยออกแรงสร้างสถานปฏิบัติธรรมบ้านสวนพีระมิด แต่ต้องทำติดต่อกัน ๓ วัน อย่างน้อยเดือนละครั้ง”
เป็นสัจจะข้อที่ 4 ที่ได้ให้ไว้กับอาจารย์อุบล ทำให้ผมต้องไปช่วยเหลาไม้ไผ่เพื่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม
ตลอดสามวันที่ไป ผมไปถึงสายมากประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า พอบ่ายสามก็เลิก เหลาไม้ไผ่ได้รวม 82 อัน
สองวันแรกผมยืนทำงานโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่พอวันสุดท้าย(วันที่ 20 มีนาคม)ผมเหลาไม้ไผ่ได้ประมาณสองสามอันก็รู้สึกปวดหัวอย่างแรง อาจารย์เอายาฟ้าทะลายโจรแค็ปซูลเสริมพลังพีระมิดให้ผมกิน แต่อาการไม่ดีขึ้น อาจารย์อุบลบอกให้ไปนอนบนเรือนพีระมิด ผมนอนจนใกล้เย็น อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ลุกขึ้นมาเหลาไม้ไผ่ต่อ กะจะให้ได้ครบ 81 อันจากการเหลาทั้งหมด 3 วัน อยากให้ตัวเลขออกมาที่ 9 คูณ 9 ผลปรากฏว่า นับผิดเกินมา 1 อัน ตัวเลขสุดท้ายเลยออกมาที่ 82 อัน
อาการที่ปวดหัวอย่างรุนแรงนี้ อาจารย์บอกว่า เวลาใกล้ที่จะถึงเส้นชัย จะเป็นแบบนี้ ส่วนตัวผมมีความรู้สึกว่า นี่คือการชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวผม
ก่อนกลับอาจารย์ได้ให้ข้าวกล้องแค็ปซูลเสริมพลังพีระมิดจำนวน 7 แค็ปซูลให้ผม บอกให้กินวันละแค็ปซูล ผมกลับถึงบ้านด้วยอาการที่ทรุดหนักปวดหัวปวดตัวแทบระเบิด รีบอาบน้ำกินยาที่ได้มา เข้านอนทันที คืนนั้นทั้งคืนเหมือนอยู่ในนรก ปวดหัวมากๆนอนแทบจะไม่หลับเลย คิดในใจว่า คนกำลังจะตายเป็นแบบนี้รึเปล่าหนอ
เช้าวันต่อมาตื่นขึ้นมาดัวยอาการที่ดีขึ้นมาก แต่ยังไม่หาย อีกสองวันต่อมา อาการปวดหัวปวดตัวก็หายไป ผมได้กินยาของอาจารย์อุบลจนครบ 7 แค็ปซูล อาการของโรคดีขึ้น แต่ไม่หายครับ
วันที่ 3 เมษายน 2553 สาเหตุที่โรค ไม่หายขาด
ผมไปรายงานผลกับอาจารย์อุบลที่บ้านสวนพีระมิด ตามความเป็นจริงว่า โรคที่เป็นอยู่ไม่หาย แต่โดยรวมแล้วดีขึ้น โรคที่เห็นชัดเจนว่าดีขึ้นคือ โรคกระเพาะ และริดสีดวง
เหตุที่เป็นเช่นนั้น นอกจากเหตุผลหลักที่มีศรัทธาไม่เต็มร้อย ตามที่อาจารย์ได้เคยกล่าวไว้เก่อนแล้ว อาจเกิดมาจากการปฏิบัติตัวตามคำสัตย์ที่ให้ไว้ยังไม่เต็มที่ขาดความสมบูรณ์
ผมขอวิเคราะห์ให้ดูเป็นข้อๆดังนี้ครับ
1. ถือศีลห้าอย่างเคร่งครัด อย่าส่งเสริมให้คนทำผิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนทำผิดศีล
ข้อแรกนี้ผมมีปัญหากับสัตว์เล็กๆ ที่อยู่บนพื้นดิน เนื่องจากบ้านที่อยู่เป็นบ้านสวน ผมมักเหยียบหอย กับมด โดยไม่ตั้งใจเสมอ ทั้งที่ถ้าผมตั้งสติดีๆแล้ว จะอยู่ในวิสัยที่หลีกเลี่ยงได้ ศีลห้าของผมเลยด่างไปเล็กน้อย
2. ทำทานให้มากขึ้น ไม่มีปัจจัยก็ให้อนุโมทนาเอา อนุโมทนาไม่ต้องออกเสียงก็ได้
ข้อสอง ผมแทบจะไม่มีโอกาสไปไหน วันๆจะอยู่แต่ในบ้าน การทำทานหรืออนุโมทนาเลยไม่เกิด
3. ทำสมาธิวิปัสสนาทุกวัน
ข้อสามนี้ ผมเป็นกังวลมากที่สุด ถึงแม้ผมจะเป็นคนชอบนั่งสมาธิ แต่จะนั่งได้แค่ประมาณ 10-20 นาทีเท่านั้น ในส่วนของวิปัสสนาเป็นงานยากของผม ความรู้สึกของผมที่เข้าใจก็คือ ผมยังขึ้นวิปัสสนาไม่ได้
4. ช่วยออกแรงสร้างสถานปฏิบัติธรรมที่นี่ แต่ต้องทำติดต่อกัน ๓ วัน อย่างน้อยเดือนละครั้ง
การทำทานโดยใช้แรงกาย ผมทำก็จริงอยู่ แต่ผมเข้าใจเอาเองว่า ระยะเวลามันน้อยเกินไป ที่ผ่านมาผมใช้เวลาประมาณวันละไม่เกิน 3 ชั่วโมง
5. นำเรื่องที่คุยกันวันนี้โพสต์ขึ้นอินเตอร์เน็ต พร้อมแจ้งชื่อที่อยู่และเบอร์โทร
ข้อนี้ดูไม่น่ามีปัญหา แต่ปัญหาก็เกิด เนื่องจากวันนั้นคุยกับอาจารย์นานมากและไม่ได้อัดเสียงเอาไว้ สิ่งที่ผมโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคมนั้น ผมเน้นเรื่องที่ผมได้กรอกแบบสอบถามไปเท่านั้น คือ โรคจำนวน 6 โรคที่ผมเป็นอยู่ ส่วนเรื่องอื่นๆที่อาจารย์บอก เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้ถามอาจารย์ เลยคิดเอาเองว่าไม่จำเป็น ทำให้ไม่ได้เขียนขึ้นเว็บไซต์ แต่บางส่วนของเรื่องที่ผมไม่ได้ถาม ผมก็ลืมจริงๆ
ผมขอถือโอกาสนี้เสนอเรื่องที่ครั้งที่แล้วไม่ได้เขียนลงเว็บไซต์ เท่าที่ผมจำได้ มีดังนี้ครับ
1. อาจารย์บอกว่า ผมเคยกล่าวปรามาสคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” ผมเคยพูดอย่างนี้จริงครับ เป็นการพูดด้วยความคึกคนองกับเพื่อนๆตามภาษาวัยรุ่น ประมาณ 30 ปีมาแล้ว
2. อาจารย์บอกว่า “ผมชอบเดินกระทืบเท้า เป็นการไม่ให้ความเคารพพระแม่ธรณี” เรื่องนี้เป็นความจริงครับ ผมเป็นคนชอบเดินลงส้นแรงๆ เมื่อก่อนผมไม่รู้ตัวว่า ตัวเองเดินเสียงดัง มีครั้งหนึ่งผมเดินอยู่บนชั้นสาม คนอยู่ชั้นสองเค้าได้ยินเสียงผมเดิน และถามว่าทำไมเดินดังจัง
3. อาจารย์บอกว่า “ผมชอบวางฟอร์ม รักษาฟอร์ม” เรื่องนี้จริงครับ ผมมักที่จะเจตนาปิดปัง หลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่อยากให้ใครรู้ มีอีกอย่างที่ผมอยากบอกก็คือ นิสัยเด่นๆของผมนั้น มีเจ้าอยู่สามเจ้า คือ เจ้าทิฏฐิ เจ้าเล่ห์ และเจ้าชู้ เรื่องนิสัยของผมนี้ในครั้งต่อๆมาที่ได้พบอาจารย์ อาจารย์มักพูดเปรยๆกับผมเสมอว่า “คุณน่ะดื้อ ถ้าไม่ดื้อ หายไปแล้ว” ผมขอสารภาพว่า ผมเป็นคนมีนิสัยดื้อรั้นจริงๆครับ
4. อาจารย์บอกว่า ผมมีกรรมผิวพรรณ เนื่องจากหน้าผมเป็นฝ้า และถามผมว่าตอนหนุ่มๆหน้าคุณดูดีใช่ไหม ผมตอบว่า ใช่ครับ
5. อาจารย์ทราบว่าผมว่างงานอยู่ จึงอวยพรให้ผมได้งาน และมีช่องทางทำงาน
ยังมีอีกครับ อันนี้ผมอยากบอกเอง เรื่องนี้อาจารย์พูดกับผมหลังจากได้พบกันครั้งแรก เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งผมได้ไปหาหมอเพื่อรักษาโรคที่ผมเป็นอยู่ หมอท่านนี้เป็นหมอแผนปัจจุบัน แต่ใช้วิธีรักษาโรคด้วยวิชาพุทธคุณและยาแผนโบราณ หมอดูอาการทั่วไปแล้ว ให้ผมกินหมากเสก ผมรู้สึกปวดหัว ตัวร้อน และมีลมออกหู หมอสรุปว่า ผมโดยทำเสน่ห์ และมีผีปอบสิงอยู่
ผมได้นำเรื่องนี้มาพูดกับอาจารย์อุบลว่า “มีหมอคนหนึ่ง บอกว่าผมโดยของ” อาจารย์ยิ้มแล้วบอกว่า “ใช่ อาจารย์รู้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว แต่พูดไม่ได้ ต้องให้คุณบอกเอง” “คุณน่ะมีกาฝากมากไปทำให้เป็นโรคหลายโรค” ผมได้ถามอาจารย์ต่อไปอีก แต่จำคำพูดที่แน่นอนไม่ได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ ที่ผมโดยทำเสน่ห์นั้น คนทำไม่ได้เจตนาให้ผมหลง แต่ตั้งใจให้ผมมีอันเป็นไป ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต การโดนทำเสน่ห์ครั้งนี้ทำให้ร่างกายผมอ่อนแอ ขาดพลังต้านทานกับสิ่งชั่วร้าย ผลก็คือ ผมรับเอาสิ่งไม่ดีต่างๆเข้าตัวผมหลายอย่าง นั่นคือ ที่มาของคำว่า “ผมมีกาฝากมากเกินไป” กาฝากต่างๆในตัวผมนอกจากจะมีผลกับสุขภาพแล้ว ยังมีผลกับจิตใจผมด้วย ทำให้ใจผมคิดแต่ด้านลบในหลายๆเรื่อง
ทุกท่านครับ ตอนเป็นหนุ่มผมเจ้าชู้มาก ทำผู้หญิงช้ำใจมาหลายคน การที่ชีวิตผมไม่ประสบความสำเร็จใดๆเลย แถมถูกรุมเร้าดัวยโรคร้าย มันยุติธรรมแล้วครับ กฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ
วันที่ 4 เมษายน 2553 ขอเป็นโสดาบัน
ผมไปพบอาจารย์อุบลอีกครั้ง อาจารย์แปลกใจ เนื่องจากผมเพิ่งมาเมื่อวานนี้เอง(3 เมษายน)คราวนี้ผมไปขอปิดประตูอบายภูมิ ข้ามสังสารวัฏ เข้าสู่นิพพาน อาจารย์บอกว่า “คุณต้องเป็นโสดาบันก่อน” ผมพยักหน้าตอบว่าครับ อาจารย์กล่าวต่อไปว่า “คุณได้สิทธิ์นั้น” สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ
1. ถือศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
2. ระลึกถึงความตายทุกวัน
3. เจริญพรหมวิหาร ๔มีเมตตา คือ ความรัก ,กรุณา คือ สงสาร,มุทิตา คือ ยินดีกับผู้อื่นเมื่อเขาทำดีหรือได้ดี,อุเบกขา คือ ความวางเฉย
4. เจริญวิปัสสนาโดยใช้คำบริกรรม พุทโธ
นอกจากนี้อาจารย์ได้กล่าวถึง ลำดับของอริยบุคคลที่เข้าสู้นิพพานได้ ต้องเริ่มจาก
-โสดาบัน
- สกิทาคามี
- อนาคามี
- อรหันต์
ในตอนท้ายอาจารย์กล่าวว่า สำหรับการเป็นอรหันต์ อาจารย์จะต้องรอดูความประพฤติของผมอีกที
อ่านมาถึงตรงนี้เพื่อนๆนักปฏิบัติธรรมคงเกิดข้อสงสัยต่างๆมากมาย
การเข้านิพพาน ต้องมาขออนุญาตอาจารย์อุบลด้วยเหรอ ?
ทำไม? เพราะอะไร? และมีอีกมากมายหลายคำถาม ??? ที่ตามมา
เพื่อนๆครับ ก่อนที่ผมจะไปพบอาจารย์อุบล ผมได้ไตร่ตรองอย่างหนัก กลัวว่าคนอื่นเค้าจะหาว่าผมบ้า
การมาขอเป็นโสดาบันกับอาจารย์อุบลนั้น ต้องกล่าวอย่างเปิดเผยกับสาธารณชน ผมรู้สึกเขินเหมือนกันตอนที่คุยกับอาจารย์ แต่เมื่อตั้งเจตนาไว้แล้ว และได้เอ่ยปากขอแล้ว ต้องเดินหน้าอย่างเดียวครับ
เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจสำหรับคนที่รู้แล้ว และเป็นการให้ความรู้สำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาธรรม จึงขอนำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาแสดงโดยสรุป ตามที่ผมเข้าใจดังนี้ครับ
หลวงพ่อบอกว่า การเป็นโสดาบันเป็นเรื่องง่าย หากยังเป็นไม่ได้ให้ดูที่บารมี ๑๐ ว่าพร่องข้อไหนบ้าง
ถ้าพิจารณาแล้วไม่มีข้อไหนพร่อง ให้ไปดูที่จรณะ ๑๕ ว่ายังขาดข้อไหนบ้าง กล่าวโดยย่อก็คือ หากบารมี ๑๐ และจรณะ ๑๕ ไม่ขาดไม่พร่อง การเป็นโสดาบันจะเป็นเรื่องง่าย
เพื่อนๆครับ บารมี ๑๐ ก็คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
มาถึงตอนนี้ อยากให้เข้าใจว่า การขอเป็นโสดาบันกับอาจารย์อุบลเป็นการสร้าง สัจจะบารมี และอธิษฐานบารมีไปพร้อมกัน หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้อธิบายถึงประโยชน์ของการมีสัจจะบารมี และอธิษฐานบารมีไว้ว่า
หากสัจจะบารมีเต็มแล้ว จะตัดความโลเล ไม่เอาจริงในผลการปฏิบัติได้
หากอธิษฐานบารมีเต็มแล้ว จะมีกำลัง คือ มีสติกำหนดรู้ในการกระทำ ทางกาย วาจา ใจว่า เราจักทำเพื่อพระนิพพานอยู่เสมอ ไม่คลอนแคลน
กล่าวโดยสรุปก็คือ การทำให้บารมี ๑๐ เต็ม เป็นทางนำไปสู่โสดาบัน
การปรารถนาเป็นโสดาบันเพื่อปิดประตูอบายภูมิของผมนั้น ได้ปรารถนามาหลายปีแล้วครับ และผมได้ศึกษาวิธีเป็นโสดาบันมานานแล้วเหมือนกัน แต่อุปสรรคที่ผ่านมาก็คือ ความไม่มั่นใจในตนเอง จนกระทั้งได้พบกับกัลยาณมิตรสองท่าน การได้พบกัลยาณมิตรทั้งสองท่านเป็นการพบต่างกรรมต่างวาระ ท่านหนึ่งได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการเป็นโสดาบันของผม อีกท่านได้ช่วยหาวิธีรวมบารมีให้ผม ทั้งสองท่านได้สร้างกำลังใจให้กับผมเป็นอย่างมาก ที่สุดแล้วก็ได้มาพบกับอาจารย์อุบลนี่ละครับ
วันที่ 23, 24 และ 25 เมษายน 2553 เข้าค่ายหนีกรรมผิวพรรณ
การเข้าค่ายครั้งนี้ เดิมทีผมไม่ได้มีความประสงค์ใดๆเลย ถึงแม้หน้าผมจะเป็นฝ้า ผมก็ทุกข์กับมันน้อยมาก แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เนื่องจากอาจารย์อุบลได้เอ่ยปากเชิญผมโดยตรง
การเข้าร่วมครั้งนี้ของผม อยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์เสียส่วนใหญ่ เนื่องจากผมไปเช้าบ่ายกลับ ไม่ได้นอนค้างคืนที่นั่น กิจกรรมที่ผมได้ทำไปส่วนใหญ่ ผมจะอธิษฐานให้หายจากโรค และขอให้พบ มรรค ผล นิพพานโดยเร็ว
อีกอย่างหนึ่งที่ประทับใจ คือ การได้พบ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และได้ฟังการบรรยายจากท่าน
วันที่ 28, 29 และ 30 เมษายน 2553 ใช้แรงกายเป็นทานครั้งที่สอง
ผมมาปฏิบัติภารกิจตามที่ให้สัจจะไว้ คือ ใช้แรงกายเป็นทาน ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้ผมตั้งใจกว่าเดิม มาแต่เช้ากลับช่วงเย็นๆ จึงมีเวลาทำงานมากกว่าเดิม จากการสังเกตทุกครั้งที่มาบ้านสวนพีระมิด เวลาทำงานจะรู้สึกไม่ค่อยเหนื่อยนัก เมื่อเทียบกับการทำงานที่อื่นๆ และที่แปลกที่นี้จะมีลมพัดอยู่บ่อยๆ แถมมีเมฆบังดวงอาทิตย์หลายครั้ง ทำให้รู้สึกไม่ค่อยร้อน
ครั้งนี้เตรียมตัวมาเต็มที่ ขณะทำงานพยายามเจริญสติอยู่ตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้ ผมบริกรรมคาถาพญาไก่เถื่อนเป็นวิหารธรรมในขณะทำงาน บางทีก็ท่องพุทโธ การบริกรรมทำให้เจริญสติได้ดี บางครั้งก็ดูจิต บางครั้งก็ดูกาย บางครั้งก็ดูเวทนา แล้วแต่อะไรจะเด่นขึ้นมา การเจริญสติของผมช่วยสร้างสมาธิในการทำงานได้เป็นอย่างดี เวลาผมเหนื่อยมากๆจนรู้สึกท้อใจ ผมจะแก้ด้วยการเร่งบริกรรมคาถา แต่บางครั้งก็บริกรรมไม่ได้ อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป ต้องเปลี่ยนไปอธิษฐานในใจว่า การทำงานครั้งนี้เพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อในหลวง เพื่อชาติ อันนี้เป็นอุบายเฉพาะตัวนะครับ กับท่านอื่นๆไม่รับรองผลนะครับ
ตลอดสามวัน ผมทำงานกลางแดดเสียส่วนใหญ่ เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยก็ทำต่อ สลับกันไปแบบนี้
ปริมาณงานที่ได้ออกมา ประเมินด้วยความรู้สึกของผมเอง มีมากกว่าครั้งก่อนๆ ถึงแม้อากาศจะร้อนมาก แต่ก็มีลมพัดโชย และมีเมฆบังแดดอยู่หลายครั้ง ทำให้คลายร้อนไปได้มาก ปรากฏการณ์ของลมและเมฆที่บ้านสวนพีระมิด ไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่น่าจะเป็นเจตนาของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติมากกว่า ผมรู้สึกอย่างนั้น
เจริญสติได้ดีขึ้น
หลังจากสามวันนั้นแล้ว ผมกลับมาสำรวจตัวเองแล้วพบว่า ผมเจริญสติได้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน เห็นจิตตัวเองคิด เห็นกายตัวเองเคลื่อนได้ชัดเจนกว่าเมื่อก่อน สมาธิก็ดีขึ้น เวลานั่งจิตจะสงบเร็วกว่าเมื่อก่อน การเจริญพรหมวิหาร ๔ ก็ดีขึ้น การคิดถึงความตายก็คิดได้วันละครั้งสองครั้ง จากที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงความตายเลย
อยากจะบอกทุกท่านว่า การปฏิบัติธรรมของตัวผมเอง เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว เริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไปขอเป็นโสดาบันกับอาจารย์อุบลแล้วครับ ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อผม เรื่องนี้เป็นปัจจัตตัง รู้ก็รู้ด้วยตนเอง
เลิกกินยา เร่งปฏิบัติธรรม
สุดท้ายแล้วครับ เรื่องนี้อาจเป็นคำตอบที่หลายท่านสนใจ ท่านสงสัยไหมว่า หลังจากครบ 15 วัน โรคของผมไม่หาย แล้วผมทำอย่างไงต่อไป
ก่อนที่ผมจะไปพบอาจารย์อุบล ผมต้องกินยาสมุนไพรหลายขนานและผมต้องไปนวดประคบอาทิตย์ละครั้ง หากไม่กินยาและไม่นวด จะรู้สึกหนักๆไม่สบายตัวขึ้นมา
หลังจากได้กินข้าวกล้องแค็ปซูลเสริมพลังพีระมิดแล้ว อาการดีขึ้นแต่ไม่หายขาด ผมหันมากินสมุนไพรที่ผมเคยกินอยู่เดิมจนหมด โดยใช้เวลาประมาณสองสามวัน จากนั้นก็หันมาตั้งใจปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น
จากวันนั้นถึงวันนี้ประมาณหนึ่งเดือนแล้วครับ ที่ผมไม่ได้กินยา ไม่ได้ไปนวด แต่อาการป่วยของผมในภาพรวมถือว่าดีกว่าเมื่อก่อน และก็ทรงตัวอยู่อย่างนี้ไม่ทรุดลงไปแต่อย่างใด
ผมเชื่อว่าการปฏิบัติธรรม และทำตามสัจจะที่ให้ไว้กับอาจารย์อุบลอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด จะช่วยรักษาโรคที่ผมเป็นอยู่ให้หายขาดได้ ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อผมนะครับ แต่ขออย่าได้ลังเลที่จะพิสูจน์ด้วยตนเอง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลของอาจารย์
อาจารย์อุบล ศุภเดชาภรณ์
ปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินรายการ “คุยไปแจกไป”ออกอากาศทาง MVTVช่องบางกอกทูเดย์
ทุกวันอาทิตย์ เวลา ๑๕.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. ออกอากาศซ้ำวันจันทร์ เวลา ๒๔.๐๐ – ๐๒.๐๐ น.
สอบถามรายละเอียดอื่นๆได้ที่ บ้านสวนพีระมิด ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ.นครนายก
โทรศัพท์มือถือ. 081-820-8486 และ 081-919-6705
โทรศัพท์พื้นฐาน (037) 351-265-9
ข้อมูลผู้เขียน
นายณฐพลสรรค์ เผือกผาสุข
ปัจจุบันอยู่ บ้านเลขที่ 69/2 หมู่ 10 ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 30320
โทรศัพท์มือถือ. 089-823-6122