ReadyPlanet.com
dot
dot
พระรัตนตรัย และ ครูบาอาจารย์
dot
bulletสมเด็จองค์ปฐม
bulletหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
bulletพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
bulletดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
dot
รายการคุยไปแจกไป
dot
bulletรายการคุยไปแจกไป
dot
ข่าวสารประชาสัมพันธ์
dot
bulletข่าวสารประชาสัมพันธ์
dot
กิจกรรมบ้านสวนพีระมิด
dot
bulletค่ายบ้านสวนพีระมิด
bulletภาพและคลิปวิดิโอจากบ้านสวนพีระมิด
dot
บทความที่น่าสนใจ
dot
bulletบทความที่น่าสนใจ
bulletคู่มือหนีกรรมผิวพรรณ
bulletคำสารภาพบาป และ ประสบการณ์กฏแห่งกรรม
dot
International Version (ภาคภาษาต่างประเทศ)
dot
bulletEnglish Articles (บทความภาษาอังกฤษ)


อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์  บ้านสวนพีระมิด


การฝึกมโนมยิทธิ โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ๑๙ พ.ย. ๒๕๒๑ article

การฝึกมโนมยิทธิ
หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร -ครูฝึก
คุณสมพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก) -ผู้รับการฝึก
ฝึกที่วัดท่าซุง บนศาลานวราช
เมื่อวันที่ ๑๙พ.ย. ๒๕๒๑


(หลังจากหลวงพ่อแนะนำวิธีการปฏิบัติและให้ภาวนาสัก ๑๐ นาที แล้วจึงเจ้ามาสอบถาม)


หลวงพ่อ : "เอ้าเปี๊ยกเอ๊ย สว่างไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างมากไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างมากไหม..?"

หลวงพ่อ : "พุ่งจิตไปตามแสงซิ อธิษฐานว่าแสงนี้ถ้าหากว่าเป็นแสงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาส ได้เห็นแสงนี้ด้วย เห็นไหม...?

เปี๊ยก : "เห็นเป็นดวงแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "เห็นเป็นดวงเรอะ ตั้งใจตัดขันธ์ ๕ นะ แล้วก็เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายเกิดจากอำนาจของตัณหา เพราะอาศัยความอยากมี ความต้องการในความสวยสดงดงาม ต้องการเสียงเพราะ ต้องการรูปสวย ต้องการในรสอร่อย ต้องการกลิ่นหอม ต้องการสัมผัส เพราะความโง่ประเภทนี้ที่มีในจิตของเราในกาลก่อน จึงเป็นปัจจัยให้มีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความสุขที่แท้จริงก็ คือ พระนิพพาน

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำว่าถ้าเราต้องการพระนิพพานให้ตัดขันธ์ ๕ เห็นว่าร่างกายของเรานี้เป็นของไม่ดี ร่างกายของบุคคลให้ตัดขันธ์ ๕ เห็นว่าร่างกายของเรานี้เป็นของไม่ดี ร่างกายของบุคคลอื่นไม่ดี วัตถุธาตุไม่มีความหมายไม่เป็นเรื่องไม่เป็นสาระ เพราะสิ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยนำความทุกข์มา

ฉะนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพระพุทธเจ้า จะขอยอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีจิตผูกพันในร่างกายของตนเอง ในร่างกายของบุคคลอื่น และในวัตถุทั้งหมด ขณะที่ปรากฏว่าชีวิตยังมีอยู่ก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามหน้าที่ เพราะว่าชีวิตินทรีย์นี้สิ้นแล้วเมื่อใด ข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไรทั้งหมด นอกจากพระนิพพาน

ฉะนั้น ขอบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมารได้ทรงโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพระรูปโฉมของพระองค์เห็นชัดเจน...สว่างขึ้นไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างค่ะ"

หลวงพ่อ : "เห็นไหม...?"

เปี๊ยก : "ยังไม่เห็นค่ะ"

หลวงพ่อ : "จิตบอก ความรู้สึกของจิตว่ายังไง...?"

เปี๊ยก : "รู้สึกว่าพระพุทธองค์อยู่ตรงข้างหน้าค่ะ"

หลวงพ่อ : "ข้างหน้าเหรอ เออใช้ได้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหน พระกุกุกสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป พระสมณโคดม หรือพระพุทธทีปังกร หรือสมเด็จองค์ปฐม...?"

เปี๊ยก : "สมเด็จพระสมณโคดมค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ...ถูกต้อง จิตบอกว่า ภาพของพระองค์เวลานี้ทางเครื่องอะไร ห่มจีวรหรือเป็นภาพพระนิพพาน...?"

เปี๊ยก : "รู้สึกว่าท่านเป็นภาพพระประทับยืนอยู่ค่ะ"

หลวงพ่อ : "นมัสการท่านนะ ต้องเชื่อจิต เวลานี้จิตคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน...?"

เปี๊ยก : "อยู่ที่พระจุฬามณีค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ ไหว้ท่านแล้วหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "กราบท่านแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ขอโอวาทของพระองค์ตรัสให้ตรงกับอัธยาศัยของข้าพระพุทธเจ้าที่ต้องการจะเข้าพระนิพพานในชาตินี้ ตั้งจิตรับสัมผัส มีความรู้สึกว่าพระองค์ตรัสอย่างไร...?"

เปี๊ยก : "ให้ตัดขันธ์ ๕ บ่อย ๆ เป็นประจำค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ...ดี ตอนนี้กราบทราบแล้ว หันหลังมาข้างหน้าท่านนะ เอาจิตคิดรู้นะว่าเวลานี้ในพระจุฬามณีมีพระ มีเทวดา มีพรหมมากไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างค่ะ เทวดา พรหมท่านนั่งเตี้ยกว่าสมเด็จพระพุทธองค์นะคะ"


หลวงพ่อ : "เอ้อ เตี้ยกว่าซิลูก ดีแล้ว สว่างแต่ละจุด นั่นคือพระอริยเจ้านะ แถวหน้าสว่างมากไหม แถวรอง ๆ ล่ะ แถวไหนสว่างมากกว่ากัน...?"

เปี๊ยก : "ข้างหน้าสว่างมากกว่าข้างหลังค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ ต้องเห็นข้างหน้าสว่างมากกว่าข้างหลังนะ เพราะข้างหน้าเป็นพระอรหันต์ เห็นกี่แถว...?"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกบอก ๕ แถวค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ...เอาตามความรู้สึก จิตเป็นทิพย์ เป็นของธรรมดาไม่ผิดนะ แล้วก็มองดูตัวเราซิมีแสงสว่างไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างค่ะ"

หลวงพ่อ : "ลองเทียบแสงของตัวเราเท่ากับแถวไหน? เท่าแถวที่เท่าไร...?"

เปี๊ยก : "ถอยมาข้างหลังค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างมาข้างหลังเหรอ แถวที่เท่าไร่...?"

เปี๊ยก : "ประมาณแถวที่ ๔ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เห็นแถวที่ ๔ ต่อไปนี้ตัดตามหลวงพ่อนะ คิดว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ ที่เรียกกันว่า กาย เอาง่าย ๆ นะ ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ภายในมีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสลด เสมหะ อุจจาระ ปัสสาวะ มันเต็มไปด้วยความปกสรก ความรู้สึกเป็นตามนั้นไหม...?"

เปี๊ยก : "เป็นค่ะ"

หลวงพ่อ : "เป็นเหรอ เรารังเกียจร่างกายเรานะ รังเกียจไหม...?"

เปี๊ยก : "น่าเกลียดและน่ากลัวด้วยค่ะ"

หลวงพ่อ : "ทีนี้พูดถึงร่างกายคนอื่นที่เขาอยากจะรัก อยากจะครองคู่ซึ่งกันและกัน เพราะเห็นสวยสดงดงาม ทีนี้ร่างกายคนอื่นเราก็มีความรู้สึกอย่างนั้นไหม...? เกลียดไหม...?"

เปี๊ยก : "ปกติก็ไม่รักอยู่แล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ปกติก็ไม่ชอบอยู่แล้วใช่ไหม ทีนี้ก็มุ่งการให้อภัยกับคนที่ทำให้เราไม่ชอบใจ"

เปี๊ยก : "อันนี้หนูกำลังจะทำให้ได้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "กำลังจะทำให้ได้เหรอ ตัดสินใจว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะให้อภัยกับคนที่พูดไม่ชอบใจ แสดงอาการไม่ชอบใจให้ปรากฏแก่เรา ถือว่าอาการอย่างนั้นไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสาร เป็นอาการของอบายภูมิใช่ไหม เป็นเหตุให้เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน พ้นจากนั้นมาก็มาเป็นคน เป็นคนที่ไม่มีความสุข แล้วก็เป็นปัจจัยให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดช่วยบังคับกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ทรงอยู่ตามสภาพนี้คือ

เห็นร่างกายของคนทุกคน แม้แต่ร่างกายของตนเองเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่เกิดความกำหนัดยินดีในร่างกายนั้น ๆ ร่างกายของเขาหรือร่างกายของเรา และให้จิตของข้าพระพุทธเจ้าเต็มไปด้วยความเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา พลอยยินดีในความดีของบุคคลอื่น และไม่อิจฉาริษยาใคร ๆ ขอให้ใจของข้าพระพุทธเจ้าตั้งอยู่ในอุเบกขาวางเฉยไม่สะดุ้งสะเทือนในคำนินทาว่าร้าย การเสียดสีต่าง ๆ อารมณ์ใจเป็นไปตามนั้นไหม...?"

เปี๊ยก :" เป็นค่ะ"

หลวงพ่อ :"เป็นแล้วเหรอ ดูแสงของตัวซิ สว่างขึ้นไหม...?"

เปี๊ยก :"สว่างขึ้นค่ะ"

หลวงพ่อ :"ไปเทียบกับแถวที่ ๓ ซิ เมื่อกี้อยู่แถวที่ ๔ ใช่ไหม..."

เปี๊ยก :"ใช่ค่ะ ขึ้นมาแถวที่ ๓ แล้วค่ะ แต่แถวที่ ๑ สว่างมากค่ะ"


หลวงพ่อ :"เออใช่ ๆ เทียบแถวที่ ๓ นะ ตัดขันธ์ ๕ ต่อไปลูก ตัดต่อไปว่าขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ คือร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี วัตถุธาตุก็ดี เราจะไม่พึงปรารถนาใด ๆ ทั้งหมด ตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ข้าพระพุทธเจ้าขอตัดร่างกายทิ้งไปจากจิต แต่ทว่าภารกิจที่จะต้องประคมประหงมร่างกาย ปรนเปรอร่างกาย เลี้ยงดูร่างกายเป็นหน้าที่ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ ถ้าข้าพระพุทธเจ้าสิ้นลมปราณแล้วเมื่อไร ก็จะขอเข้าพระนิพพาน

โดยเฉพาะเวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้ามุ่งปฏิบัติตรงเฉพาะพระนิพพาน ศีล ๕ ประการหรือศีล ๘ ประการ ข้าพระพุทธเจ้าจะให้ทรงอยู่ในอารมณ์จิตอยู่ตลอดเวลา ความเห็นว่าร่างกายของบุคคลอื่นสวยต้องการประคับประคองเป็นคู่ครองจะไม่มีในจิตของข้าพระพุทธเจ้าก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี มีสภาพไม่ต่างอะไรกับซากศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

และข้าพระพุทธเจ้าจะตัดการรับสัมผัสจากคำครหานินทาก็ดี คำสรรเสริญก็ดีในโลกนี้ทั้งหมด โดยจะเชื่อฟังคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ว่าคำนินทาและสรรเสริญไม่ได้ทำให้คนดีหรือคนชั่ว จะดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวปฏิบัติ ฉะนั้น คำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ในข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอรับปฏิบัติตาม และตั้งใจนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้น ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ใด ๆ ที่กระทบกระทั่งจิตของข้าพระพุทธเจ้าในฝ่ายนินทาก็ดี ฝ่ายสรรเสริญก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าจะทิ้งเสียโดยทรงอุเบกขา

และข้าพระพุทธเจ้าจะไม่หลงใหลอยู่ในรูปฌาน และอรูปฌาน คิดว่าพระนิพพานมีความดีกว่า จะไม่มีมานะการถือตัว ถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา หรือว่าเราเลวกว่าเขา เพราะว่าร่างกายของคนทุกคนเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกเหมือนกันหมด และต่อไปข้าพระพุทธเจ้าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า การเกาะอยู่ในตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ ข้าพระพุทธเจ้าต้องการความสุขที่สุดก็คือพระนิพพาน

ฉะนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความปรารถนาในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดีจะไม่มีสำหรับข้าพระพุทธเจ้า ความต้องการหรือการเห็นว่าสวยสดงดงามในโลกทั้ง ๓ ไม่มี ขอองค์สมเด็จพระมหามุนีได้ทรงโปรดช่วยบังคับกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าให้ทำลายสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการให้พ้นไปจากกำลังใจของข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป...สว่างขึ้นไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างมากค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างขึ้น เทียบได้ชั้นไหนลูก แถวไหน...? ขึ้นถึงแถวที่ ๒ หรือยัง...?"

เปี๊ยก : "สว่างขึ้นมาถึงแถวที่ ๒ แล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "เข้ามาเทียบแถวที่ ๒ เท่ากันไหม แสงสว่างของลูกกับแถวที่ ๒ เท่ากันไหม...?"

เปี๊ยก : "รู้สึกใกล้ ๆ กันแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ใกล้ ๆ กัน ตัดใหม่นะ ตั้งใจไว้เลยโดยเฉพาะ ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายในการเกิดนะ ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก ทรัพย์สินทั้งหลายไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสาร ทุกคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ก็เพราะมัวเมาในร่างกายคิดว่าร่างกายจะไม่แก่ คิดว่าร่างกายจะไม่ป่วย คิดว่าร่างกายจะไม่ตาย แต่ว่าสำหรับข้าพระพุทธเจ้านี้เห็นแล้วตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ร่างกายไม่ใช่แดนของความสุข มันนำความทุกข์มาให้ทุกขณะ

ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หันไปกราบท่านนะ) ว่าข้าพระพุทธเจ้าขอยึดถือคำสั่งสอนของพระองค์ที่มีพระพุทธประสงค์ต้องการจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้เข้าถึงพระนิพพาน

เวลานี้ ข้าพระพุทธเจ้าตัดได้แล้ว คือ ขันธ์ ๕ ของข้าพระพุทธเจ้าก็ดี ขันธ์ ๕ คือ ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี นี่มันเต็มไปด้วยความสกปรก และก็มีความไม่เที่ยง เอาจิตใจไปเกาะมันก็เป็นทุกข์ เวลานี้จิตของข้าพระพุทธเจ้าไม่สนใจร่างกายอันเป็นทุกข์นั้น ถึงแม้ขณะที่จะอยู่ที่นี่ ร่างกายที่จะอยู่ในภาพมนุษย์มันจะพังไปเวลานี้ ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สนใจ ไม่เสียดายอาลัยมัน

ฉะนั้นขอองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าขอได้โปรดแผ่บารมีมาโปรดข้าพระพุทธเจ้า ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีรัศมีกายสว่างไสวเต็มที่ มากกว่านี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า สว่างขึ้นไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างค่ะ"

หลวงพ่อ : "ความสว่างเท่าแถวที่ ๒ หรือยัง...?"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกจะมากกว่านิดหนึ่งค่ะ"

หลวงพ่อ : "มากกว่านิดหนึ่งเหรอ เออ...ตัดต่อไปอีกลูก ตัดต่อไป ขอรวบยอดว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความสกปรก การเวียนว่ายตายเกิดเต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษยโลก เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หาความสุขไม่ได้ เทวโลก คือสวรรค์จัดว่าเป็นแดนที่มีความสุข ก็ยังมีกามารมณ์ คือมีผู้หญิงผู้ชาย พรหมโลก จัดว่าเป็นคนที่สบาย ตั้งอยู่ในอารมณ์สงบคือในฌาน อยู่ด้วยอำนาจของธรรมปีติ แต่ทว่าทั้งสามแดนนี้ไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา เพราะไม่เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข เทวโลก และพรหมโลกเป็นแดนที่พักความทุกข์ชั่วคราว

ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการแดนทั้ง ๓ นี้ ขออำนาจบุญบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และบุญบารมีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วถึง ๑๖ อสงไขย และมีกำไรแสนกัป ขอบุญทั้งสองประการนี้จงประคับประคองกระแสขิตของข้าพระพุทธเจ้าให้มีความใสสะอาดเท่าแถวที่ ๑ จิตตัดได้ตามนั้นไหม...?"

เปี๊ยก : "ได้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างขึ้นไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างค่ะ"

หลวงพ่อ : "เทียบกับแถวที่ ๑ ใกล้กันหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "รู้สึกว่าน้อยกว่านิดหนึ่งค่ะ"

หลวงพ่อ : "น้อยกว่าอีกนิดหนึ่งหรือ ลองตัดต่อไปอีกซิ ตั้งใจตัด คิดในใจเลยนะว่าร่างกายเลว ๆ โลกเลว ๆ อย่างนี้ เราไม่ต้องการมันอีก แต่ว่าถ้าขันธ์ ๕ ทรงอยู่ เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามหน้าที่ให้ครบถ้วนนะ การมีทุกข์เพราะวาจาของบุคคลอื่น คือหมายความว่าจะมีการกระทบกระทั่งจากวาจาของบุคคลอื่นก็ดี การกระทำของบุคคลอื่นก็ดี คือทุกข์ใด ๆ ที่จะกระทบทางกาย ด้วยความป่วยไข้ไม่สบายก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นกฎของกรรม ความชั่วของข้าพระพุทธเจ้าในชาติก่อนมันมาสนอง

ฉะนั้นข้าพระพุทธเจ้าจะถือว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเกิดขึ้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า จะถือว่าใช้หนี้กฎของกรรมไปโดยไม่คำนึง จะไปโกรธเคืองใครหรือว่ามีความเร่าร้อนใจ เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อสิ้นลมปราณจากชาตินี้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอติดตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไปอยู่ที่พระนิพพาน สว่างขึ้นไหม...?"

เปี๊ยก : "สว่างมากกว่าเมื่อกี้นี้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างมากกว่าเมื่อกี้ แต่ยังไม่เท่าแถวที่ ๑ ใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ใช่ค่ะ"


หลวงพ่อ : "เอาล่ะใช้ได้นะ ตอนนี้ก็ลองพิจารณาดูตัวซิ จิตบอกตัวเองแต่งแบบไหน...?"

เปี๊ยก : "ตัวเองเป็นผู้หญิงค่ะ"

หลวงพ่อ : "มีเครื่องประดับแบบไหน ตามความรู้สึกของจิต...?"

เปี๊ยก : "มองดูมัน..."

หลวงพ่อ : "ไม่ต้องมองลูก เอาความรู้สึกของจิต"

เปี๊ยก : "รู้สึกไม่ได้ห่มสไบ แล้วข้างหลังเหมือนละครชาตรีที่เป็นแผ่นปักดูมันหนาค่ะ และพื้นข้างในเป็นสีเขียว แต่มันมองไม่ออกเขียว"

หลวงพ่อ : "ไม่เขียวเพราะเครื่องประดับมันเต็มหมดใช่ไหม เป็นแก้วสีอะไรลูก เป็นแก้วหรือเป็นทองที่ทับทิบเขียวน่ะ...?"

เปี๊ยก : "เป็นทองแต่มันใส ๆ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ทองใส ๆ ทองผสมแก้วนะ อย่างนี้เขาเรียกชุดใหญ่นะ ทรงชุดใหญ่ เอ้า...ลองเอาใจจับดูซิว่าเวลานี้ แม่ศรี และแม่จันมาหรือเปล่า...?"

เปี๊ยก : "อยู่ข้างซ้ายหรือเปล่าค่ะ...?"

หลวงพ่อ : "เออ ใช่ ๆ เขายืนคู่กันใช่ไหม จิตบอกอย่างนั้นหรือเปล่า...?"

เปี๊ยก : "ค่ะ"

หลวงพ่อ : "จิตบอกว่ายืนคู่กันนะ แม่ ๒ คนนี่รูปร่างคล้ายกันไหม...?"

เปี๊ยก : "ไม่คล้ายค่ะ"

หลวงพ่อ : "ไม่คล้ายเหรอ แล้วผิดกันตรงไหน...?"

เปี๊ยก : "ท่านแม่จันเพรียวค่ะ ท่านแม่ศรีแบบไม่ค่อยสูงมาก แต่ก็สมส่วนค่ะ"

หลวงพ่อ : "แม่จันเพรียวกว่าหน่อยใช่ไหม คล้ายสูงกว่านะ เวลานี้แม่เขายิ้มหรือเปล่านะ?"

เปี๊ยก : "ยิ้มค่ะ ท่านแม่ศรียิ้มค่ะ"

หลวงพ่อ : "ท่านแม่ศรีเขายิ้มมานานแล้ว แม่ศรีแกเป็นแม่ใหญ่นะ ทุกคนที่มาเกิดเป็นลูกแกทั้งหมด เอ้อ...กราบ พระพุทธเจ้าก่อนลูก และกราบพระอริยะก่อนทุกองค์นะ ตั้งใจกราบท่านนะ อันนี้ต้องถือเป็นสรณะ ขอความกรุณาจากท่านแม่ทั้ง ๒ พา ไปหาท่านปู่ท่านย่า"

เปี๊ยก : "ถึงแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ถึงแล้วใช่ไหม ปั๊บเดียวมันต้องถึงเลย ดูซิว่าพระแท่นที่ท่านปู่ท่านย่ากำลังประทับอยู่นี่เป็นสีอะไรลูก...?"

เปี๊ยก : "สว่างค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างเข้าตามากไหมลูก เห็นลวดลายไหม...?"

เปี๊ยก : "ไม่ค่อยเห็น มันออกแสงขาว ๆ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ออกแสงขาว ๆ ถูกแล้ว มีแสงสว่างจ้านะ ดูขึ้นไปบนแท่นเห็นท่านปู่ ท่านย่าไหม...? เอาจิตรับสัมผัส"

เปี๊ยก : "ท่านปู่เห็น แต่ท่านย่าไม่ชัดค่ะ"

หลวงพ่อ : "ขอบารมีท่านย่าโปรดสงเคราะห์หลาน หลานมีความพยายามแม้แต่การงานก็อยากจะลาออก เพราะอยากจะได้ดี ขอให้ท่านย่าโปรดหลาน ให้หลานให้เห็นชัด ๆ หน่อย ๆ เพราะว่า หลานตั้งใจมานมัสการท่านปู่ ท่านย่าก็เพราะความกตัญญูรู้คุณในความดีของท่าน"

เปี๊ยก : "เห็นท่านย่ายิ้มค่ะ"

หลวงพ่อ : "ยิ้มซี ยิ้มมานานแล้ว เออ...เข้าไปกราบท่านปู่ลูก กราบท่านปู่กับท่านย่า เมื่อกี้กราบแม่เขาหรือเปล่า...?"

เปี๊ยก : "กราบค่ะ"

หลวงพ่อ : "เวลานี้เข้าไปหาท่านย่าซิ ความรู้สึกว่าท่านย่าทำอย่างไง...?"

เปี๊ยก : "โอบค่ะ เหมือนกับโอบหนู"

หลวงพ่อ : "งั้นเหรอ เอ้อ...เห็นท่านชัดไหมตามรู้สึก...?"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกเห็นหน้าชัดกว่าเสื้อค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ...นั่นถูกแล้วอย่าไปใช้ตาไม่ได้นะ ที่นี่เขาใช้จิต เพราะที่มานี่มันเป็นจิต อย่านึกว่าเป็นภาพนึกก็ไม่ได้นะ อะไรก็ไม่ได้นะ เพราะว่ามันเป็นทิพย์ เราต้องรู้ด้วยกระแสจิต ท่านย่ากับท่านแม่ใครสาวกว่ากันนี่ มองหน้าซิทั้งสองแม่กับท่านย่าด้วย"

เปี๊ยก : "ท่านย่าก็สาวค่ะ"


หลวงพ่อ : "สาวเหรอ ท่านย่ากับท่านแม่ใครอ้วนกว่ากัน...?"

เปี๊ยก : "ท่านย่าอ้วนกว่านิดหนึ่ง"

หลวงพ่อ : "นิดเดียวนะ ดูท่านปู่ซิ ไปกราบท่านปู่ กราบที่ตักเลย เราเป็นหลานนี่"

เปี๊ยก : "ท่านปู่ยกมือขึ้นลูบหัวหนูค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ...ใช่"

เปี๊ยก : "ท่านปู่ ท่านองค์ใหญ่นะคะ"

หลวงพ่อ : "เวลานี้ท่านปู่แต่งเครื่องประดับสีอะไรลูก...?"

เปี๊ยก : "เป็นสีทองค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ...เป็นสีทอง ถูก ถ้าบอกท่านปู่มีสีเขียวละก็ผิดแน่ เพราะว่าวันนี้ท่านปู่ไม่ได้ใช้มรกตบนชฎาของท่านนะ ขอท่านปู่ท่านย่าว่า ขอเฝ้าทุกวันได้ไหม...?"

เปี๊ยก : "ท่านบอกว่าได้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "แล้วเปี๊ยกอยากไปไหน ไปนิพพานไหม...?"

เปี๊ยก : "อยากไปค่ะ หลวงพ่อ"

หลวงพ่อ : "อยากไปเหรอ ขอกราบท่านปู่ กราบท่านย่า และ ก็กราบท่านแม่ และนึกขอบารมีท่านปู่ ท่านย่า และท่านแม่ทั้งสอง นึกขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับบุญที่เราได้บำเพ็ญมาแล้วถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ขอความดีทั้งหมดนี้จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้าไปสู่แดนพระนิพพานได้โดยง่าย และขอให้ท่านแม่พาไป เอ้า...ไปบ้านหลวงพ่อก่อน ถึงหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "หน้าประตูสว่างค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออใช้ได้ พ่อเห็นแล้วแกไปยืนปร๋อที่นั่น สว่างมากใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ค่ะ เหมือนมีใครยืนอยู่คนหนึ่งค่ะ"

หลวงพ่อ : "เข้าไปกราบท่านซิ ถามท่านว่าท่านเป็นใคร ขอท่านได้โปรดให้ลูกได้เห็นท่านชัด ๆ หน่อย"

เปี๊ยก : "แสงท่านมากนะคะ"

หลวงพ่อ : "เออแสงมากซี"

เปี๊ยก : "ท่านแม่หนูหรือเปล่าค่ะ ความรู้สึกบอกว่า ท่านแม่หนูบนพระนิพพานค่ะ"

หลวงพ่อ : "ถามท่านชื่ออะไรลูก แม่เรามันเยอะ"


เปี๊ยก : "ท่านชื่อสิริพรรณวดีค่ะ"

หลวงพ่อ : "สิริพรรณวดี ถามท่านซิว่าเป็นญาติกับแม่ศรีหรือเปล่า...?"

เปี๊ยก : "ท่านบอกว่าเป็นค่ะ"

หลวงพ่อ : "ท่านเป็นพี่หรือเป็นน้อง...?"

เปี๊ยก : "ท่านบอกเป็นพี่ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เป็นพี่เหรอ เอ้อ...ดีเจอะแม่อีกแม่แล้วใช่ไหม ท่านแต่งตัวสวยไหม...?"

เปี๊ยก : "เห็นไม่ชัด แต่ท่านสว่างเหลือเกินค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างเหลือเกิน บอกให้แม่ลดแสงสักนิดหนึ่ง ให้เห็นเครื่องทรงชัด ๆ หน่อย ไหว้ท่านนะ แม่เป็นผู้ให้กำเนิด เราจะถือว่าใครดีกว่าแม่นั้นไม่ได้ ชัดไหม...?"

เปี๊ยก : "ไม่ค่อยชัด ออกขาว ๆ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ขาวพรึ่บไปทั้งตัวใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ใช่ค่ะ"

หลวงพ่อ : "นี่แสดงว่าเห็นเครื่องแต่งกายของนิพพานชัด ท่านยิ้มหรือเปล่า...?"

เปี๊ยก : "ยิ้มค่ะ"

หลวงพ่อ : "ยิ้มเหรอ แล้วท่านแม่ศรีเห็นไหม...?"

เปี๊ยก : "ท่านอยู่ทางขวาหรือเปล่าค่ะ...?"

หลวงพ่อ : "เอ้อ...ใช่แล้ว อย่าสงสัยซิ เห็นตรงไหน บอกหลวงพ่อมาตามนั้นนะ อย่าสงสัย คำว่าสงสัยในที่นี้ไม่มีใช่หรือไม่ใช่ไม่มีนะ ถ้าอารมณ์บอกยังไงต้องเชื่อตามนั้นทันทีนะ จำไว้อาการสงสัยน่ะเป็นอาการบ่อนทำลายความดี เห็นแม่ ๓ แม่นี่ใครแต่งตัวสวยกว่ากัน เอาจิตบอกลูก"

เปี๊ยก : "สวยทุกองค์ แต่ว่าความสว่างท่านแม่บนนิพพานสว่างมากค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างมากเพราะท่านเข้านิพพานแล้วใช่ไหม ท่านต้องสว่างมาก ถามทั้ง ๒ แม่ซิตัดสินใจเข้านิพพานชาตินี้หรือยัง...?"

เปี๊ยก : "ตัดสินใจแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ดู ๒ แม่ซิ แม่ศรีกับแม่จัน เนื้อเป็นเนื้อทองหรือเป็นเนื้อแก้ว หรือเป็นเนื้อใสสะอาด...?"

เปี๊ยก : "ใจบอกว่าเป็นแก้วค่ะ"


หลวงพ่อ : "ถ้าท่านแม่ตัดสินใจเข้านิพพาน เนื้อแม่ต้องเป็นแก้วนะ ถ้าหากไม่ตัดสินใจเข้านิพพาน เนื้อแม่ก็เป็นแก้วไม่ได้ ขอให้ท่านแม่ทั้ง ๓ องค์ พาเข้าไปวิมานหลวงพ่อซิ แล้วขอบารมีแม่ทั้ง ๓ องค์ บอกขอให้เห็นทุกอย่างชัด คำว่าเห็นนี่ต้องรู้สึกทางจิตนะ อย่าเอาลูกตาไม่ได้ การรับสัมผัสก็เหมือนกัน อย่านึกว่าเราเอาหูไปด้วย นี่เราไม่ได้เอาไป ไปถึงไหม...?"

เปี๊ยก : "เข้าประตูไปแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "มองดูซิสวยไหม...?"

เปี๊ยก : "วิมานมีมณฑป ข้างในสว่างมากค่ะ"

หลวงพ่อ : "ข้างในเห็นใครไหมลูก ความรู้สึกของจิตเห็นใครไหม...?"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกบอกว่าสมเด็จพระพุทธองค์อยู่ในนั้นค่ะ"

หลวงพ่อ : "เข้าไปกราบท่านลูก เพราะเรามาจากพุทธานุสติกรรมฐาน อาศัยที่พวกเรามาจากพุทธานุสติกรรมฐาน ฉะนั้นการจะไปที่ไหนจึงไม่คลาดจากพระพุทธเจ้า กราบท่านแล้ว เหรอ...?"

เปี๊ยก : "ค่ะ"

หลวงพ่อ : "แล้วมองดูเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเครื่องอะไรลูก เป็นแบบเทวดาหรือเป็นแบบพระธรรมดา ไหนบอกพ่อมาซิ...?"

เปี๊ยก : "เป็นแบบเทวดาค่ะ ประทับนั่ง"

หลวงพ่อ : "แล้วบอกตั้งแต่เท้าขึ้นไปซิมีเท้าสวมรองเท้าหรือเปล่า...?"

เปี๊ยก : "ปลายรองเท้างอนค่ะ"

หลวงพ่อ : "สีอะไรลูก...?"

เปี๊ยก : "ใส ๆ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ใส ๆ จัดใช่ไหม มีแสงออก แล้วดูพระชงฆ์ของท่าน เนื้อของท่านเป็นอะไร เป็นแก้วหรือเป็นทอง...?"

เปี๊ยก : "เนื้อใสเป็นแก้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "จากนั้นทรงผ้าโจงกระเบนหรือมีกางเกงด้วย"

เปี๊ยก : "เหมือนกางเกงที่มีปลายแหลม ๆ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ดูเรื่อย ๆ ขึ้นไปนะ ค่อย ๆ ดูไปทีละน้อยนะ ดูเครื่องประดับส่วนพระอุระของพระองค์มีเครื่องประดับไหม...?"

เปี๊ยก : "มีค่ะ"

หลวงพ่อ : "มีอะไรลูก...?"

เปี๊ยก : "เป็นแผงและมีสายห้อยก็มีค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออถูกต้อง ๆ ขึ้นไปดูที่ไหล่ทั้งสองซิ"

เปี๊ยก : "ไหล่ทั้งสองมีปลายแหลม ๆ ยกขึ้นไปค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออใช้ได้ ดูพระพักตร์ของพระองค์สดชื่นไหม...?"

เปี๊ยก : "พระพักตร์ของพระองค์แย้มพระโอษฐ์นิด ๆ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ทรงแย้มพระโอษฐ์นะ กราบท่านอีกครั้งหนึ่งนะอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราจึงขึ้นมาได้นะ กราบทูลว่าต่อแต่นี้ไปข้าพระพุทธเจ้าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ทุกอย่างในสังโยชน์ ๑๐ ประการ นี้จะไม่ให้เข้ามาบังคับใจของข้าพระพุทธเจ้าได้ ให้ตัดให้ขาดให้หมด และขอพรสมเด็จพระบรมสุคตท่านนะ ท่านยกมือหรือเปล่า...?"

เปี๊ยก : "ตามความรู้สึกท่านยกมือขวา"

หลวงพ่อ : "แสดงว่าท่านให้พรนะ แล้วดูวิมานของหลวงพ่อซิ รอบ ๆ นั่งมอง นึกว่ามันมีอะไรบ้าง...?"

เปี๊ยก : "มันกว้างนะคะ"

หลวงพ่อ : "มันกว้างใหญ่นะ แกเก่งมากแล้วนะ ดูทางขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากแม่ทั้ง ๓ แล้วมีใครมายืนยิ้ม ๆ อยู่บ้างไหม...?"

เปี๊ยก : "คิดว่าเป็นหลวงพ่อค่ะ"

หลวงพ่อ : "ใช้ได้นะ เห็นหลวงพ่อแต่งตัวอย่างไร...?"

เปี๊ยก : "แต่งเป็นเทวดาเหมือนยืนอยู่ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ...แต่งเป็นเทวดาหรอ ใช้ได้นะ กราบพระพุทธเจ้า แล้วก็กราบแม่ทั้ง ๓ พาไปวิมานของลูกเอง ถึงหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "ถึงแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ถึงแล้วใช่ไหม เล็กไปหน่อยหรือไง...?"

เปี๊ยก : "ค่ะ วิมานหนูเล็กค่ะ"

หลวงพ่อ : "ตัวมันเล็กนี่หว่า"

เปี๊ยก : "เห็นแต่ข้างบนพราว ๆ แหลม ๆ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ค่อย ๆ ดูมันทีละน้อย ๆ ลูก ถ้าเห็นไม่ชัด นึกถึงพระบารมีพระพุทธเจ้านะ บารมีท่านแม่ทั้งหมด ทั้งท่านปู่ ท่านย่านะ แล้วก็บุญบารมีที่เราสร้างแล้วมาถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นวิมานของข้าพระพุทธเจ้าได้ชัดขึ้น เพื่อความชื่นใจ และความมั่นใจในความดี"

เปี๊ยก : "เห็นเสาค่ะ แต่ยังไม่วาวค่ะ วิมานใหญ่กว่า เมื่อกี้นี้หน่อยแล้วค่ะ ห้องดูกว้างขึ้นค่ะ"

หลวงพ่อ : "เมื่อกี้ใหญ่เท่าศาลพระภูมิได้ไหม...?"

เปี๊ยก : "ได้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เฮอะ ! เข้าไปได้ยังไงหว่า นึกถึงบารมีพระพุทธเจ้านะ ว่าเราจะมาได้เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นกำลังใหญ่ ถ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรไม่ทรงสอนเรา เราก็จะหาความดีอย่างนี้ไม่ได้ แม้แต่ศีลเราก็ไม่รู้ ฉะนั้นขอบารมีขององค์สมเด็จพระบรมครูให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นวิมานข้าพระพุทธเจ้าเองใหญ่เท่าปกติเท่าที่มีอยู่"

เปี๊ยก : "ใหญ่ขึ้นอีกค่ะ"


หลวงพ่อ : "ใหญ่มากไหม...?"

เปี๊ยก : "ใหญ่กว่าเมื่อกี้นี้อีกเท่าหนึ่งค่ะ"

หลวงพ่อ : "เข้าไปได้ไหม...?"

เปี๊ยก : "เข้าได้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เข้าไปเลยลูก"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกทำไมมันโล่งค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้า...โล่งซิ วิมานนี่ ฝนไม่สาดหรอก เป็นแก้วหรือเป็นทอง...?"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกเป็นแก้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "แก้วสีอะไรลูก...?"

เปี๊ยก : "สีขาวค่ะ"

หลวงพ่อ : "แพรวพราวใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ยังไม่ค่อยแพรวมาก"

หลวงพ่อ : "เข้าไปดูมีที่นั่งไหม...?"

เปี๊ยก : "มีค่ะ"

หลวงพ่อ : "เข้าไปนั่งเลย ที่ของเรา แล้วก็เชิญให้ท่านแม่นั่งแท่นสูงกว่า"

เปี๊ยก : "ท่านแม่นั่งแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "แล้วลูกนั่งแล้วหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "นั่งแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "นั่งสบายไหม...?"

เปี๊ยก : "สบายค่ะ แต่ว่าใจมันยังไงไม่ทราบค่ะ มันไม่ค่อยกล้านั่ง"

หลวงพ่อ : "ต้องกล้านั่งที่ของเรา เราตัดสินใจแล้วที่นี่ถ้าร่างกายพังเมื่อไร เราจะมาอยู่ที่นี่"

เปี๊ยก : "แต่นั่งได้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ...ต้องนั่งให้ได้นะ อย่าทำใจแหยง เพราะว่าที่มนุษย์ก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี เราไม่ต้องการแล้ว ถ้าร่างกายพังคราวนี้ เราจะอยู่ที่นี่แน่นอน ในฐานะที่เราเป็นเจ้าของบ้าน ต้องนั่งแบบภาคภูมิใจ สบายไหม...?"

เปี๊ยก : "สบายค่ะ"

หลวงพ่อ : "มองดูรอบ ๆ ซิมีเครื่องประดับไหม...?"

เปี๊ยก : "มีแต่น้อยค่ะ"

หลวงพ่อ : "อยากดูไหมล่ะ ตั้งใจอธิษฐานขอบุญบารมีที่ข้าพระพุทธเจ้าทำมาแล้วทั้งหมดสิ้นเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป บุญบารมีนี้ที่ทำมาแล้ว มีสมบัติอะไรบ้างที่ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงมีในนิพพาน ขอให้ปรากฏทั้งหมดเวลานี้ เดี๋ยวแกไม่มีที่นั่งแน่"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกมันเยอะชิ้น"

หลวงพ่อ : "แล้วที่เราเห็นโล่ง ๆ น่ะไม่ใช่อะไรนะ เขาจัดไว้พอดี ๆ นะ"

เปี๊ยก : "รู้สึกวิมานมีสีทอง ๆ แถมด้วยค่ะ"

หลวงพ่อ : "แกลูกหลวงพ่อ หลวงพ่อชอบเล่นทองมาหลายแสนชาติ"

เปี๊ยก : "ตอนนี้เริ่มเห็นแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ มีอะไรบ้าง แล้วเปี๊ยกแต่งนุ่งผ้าอะไรบ้าง...?"

เปี๊ยก : "นุ่งถ้าถุงค่ะ"

หลวงพ่อ : "ตั้งใจตัดขันธ์ ๕ นะ ดูภาพของพระนิพพาน และจะพิจารณาดูว่าเวลานี้ที่เราอยู่นิพพานกับที่เราอยู่ที่นี่มนุษย์น่ะ อารมณ์ใจนิพพานสุขหรือมนุษย์สุข...?"

เปี๊ยก : "นิพพานสุขค่ะ อารมณ์มันนิ่ง"

หลวงพ่อ : "เย็น ๆ ใช่ไหม เย็นสบาย ดูตัวซิสว่างไสวไหม เห็นแม่ชัดไหม...?"

เปี๊ยก : "ท่านแม่องค์พระนิพพานเห็นสว่าง แต่อีก ๒ องค์ยังไม่ชัดค่ะ ยังเป็นเงาค่ะ"

หลวงพ่อ : "ยังเป็นเงาเหรอ ขอให้ท่านแม่ทำให้หนาหน่อย ขอท่านแม่ได้โปรดกรุณาให้เห็นให้ชัด แม่ทั้งนั้นแหละ"

เปี๊ยก : "ท่านแม่ยิ้มค่ะ"

หลวงพ่อ : "ยิ้มซี สว่างขึ้นหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "สว่างขึ้นนิดหนึ่งค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ แล้วก็ถามแม่ซิว่า แม่จะพาไปไหนอีก ถามแม่ใหญ่แดนพระนิพพาน ให้แม่ใหญ่พาไป"
เปี๊ยก : "อยากไปดูตุ๊กตาหลวงพ่อค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้าไอ้พวกนี้ชอบเล่นตุ๊กตา ไปดูซิ"

เปี๊ยก : "ท่านลุกขึ้นหมด ๓ องค์เลยค่ะ"

หลวงพ่อ : "ทั้ง ๓ องค์นะซิ ไปทั้ง ๓ องค์ เจอะตุ๊กตาหรือยังล่ะ...?"

เปี๊ยก : "มันมีสวนด้วยนะคะหลวงพ่อ"

หลวงพ่อ : "สวน ดูซิ มีต้นไม้หรือเปล่า ต้นไม้สีอะไรลูก...?"

เปี๊ยก : "มีค่ะ มันมืดค่ะ"

หลวงพ่อ : "ขอบารมีท่านแม่ช่วย ขอให้ท่านแม่เห็นสว่างให้ชัด ๆ"

เปี๊ยก : "ต้นไม้พุ่มเตี้ย ๆ ก็มี สว่างขึ้นแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ต้นไม้เตี้ยก็มี สูงก็มีใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "หลวงพ่อมีตุ๊กตาคล้ายตุ๊กตาหินอ่อนในเมืองมนุษย์ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ ที่นี่เขาไม่มีหิน มีแต่แก้วหรือทอง"

เปี๊ยก : "ลักษณะรูปร่างของตุ๊กตาคล้ายตุ๊กตาหินอ่อนค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ ใช่ ๆ แล้วมีอะไรอีก"

เปี๊ยก : "เหมือนมีลานกว้างติดกับวิมาน"

หลวงพ่อ : "เอ็งชอบเล่นตุ๊กตาหรือไง แม่ถึงพามาดูตุ๊กตา เอ้า เปี๊ยกล่ะเห็นอะไรอีก"

เปี๊ยก : "เห็นตุ๊กตาหัวโต ๆ ค่ะ ตัวไม่ค่อยสูงมากตั้งอยู่ในตู้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ ถามแม่ซิ อยากไปวิมานของแม่ไหม...?"

เปี๊ยก : "อยากค่ะ"

หลวงพ่อ : "ให้ท่านแม่พาไปเลยลูก ดูทั้ง ๓ วิมานเลยนะ แม่ใหญ่ และแม่ศรี แม่จันนะ ขอชมบารมีของท่าน ถึงวิมานใครก่อน...?"

เปี๊ยก : "วิมานแม่บนพระนิพพานวาวสว่างขาว ๆ มาก"

หลวงพ่อ : "แล้ววิมานแม่ศรีล่ะ"

เปี๊ยก : "ท่านแม่ก็ใสแต่ยังไม่สว่างเท่าวิมานเมื่อกี้นี้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ก็ท่านยังไม่ขึ้นมานิพพานนี่ วิมานของใครที่อยู่ใกล้ของพ่อที่สุด ๓ แม่นี่"

เปี๊ยก : "ท่านแม่ศรีค่ะ"

หลวงพ่อ : "อยู่ติดกันมากไหม เอ้อ...จะดูอะไรอีกลูก ตามใจ"

เปี๊ยก : "อยากไปกราบท่านพญายมราช"

หลวงพ่อ : "งั้นเหรอ ไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสปก่อนนะ อยู่ใกล้ ๆ กับวิมานหลวงพ่อนะ นึกว่าจะไปก็ถึงแล้ว"


เปี๊ยก : "เห็นเป็นพระพุทธชินราช"

หลวงพ่อ : "ขอบารมีท่าน ขอให้แสดงภาพให้ชัดตามสภาพของพระนิพพาน"

เปี๊ยก : "แต่งองค์เป็นเทวดา นั่งอยู่สูงค่ะ"

หลวงพ่อ : "สวยมากไหม...?"

เปี๊ยก : "สวยค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ เข้าไปที่นี่ เห็นเตียงหลวงพ่อไหม พ่อเคยมาเฝ้าท่านมีเตียงประจำอยู่ มีหรือเปล่า...?"

เปี๊ยก : "เตียงนี้ไม่สูงนะคะ"

หลวงพ่อ : "อยู่ไม่ถึงกลางแข้งลูก สีอะไร...?"

เปี๊ยก : "ออกทอง ๆ วาว ๆ ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ ใช่ถูกต้อง เตียงนี่ถ้าเวลาพ่อมาเฝ้าท่านนะ พ่อจะต้องมานั่งที่เตียงนี่เพราะเป็นที่ท่านบอกว่า ทำบุญมากับท่านนะ กราบนมัสการขอพระ ท่านเป็นปู่"

เปี๊ยก : "ท่านยิ้มค่ะ"

หลวงพ่อ : "ท่านตรัสว่ายังไงไหม...?"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกบอกว่าท่านเคยมาสอนหนูแล้วค่ะ การตั้งอารมณ์ก่อนฝึกค่ะ"

หลวงพ่อ : "กราบท่านนะ ลาท่านไปเฝ้าสมเด็จพระสมณโคดม ท่านเป็นครูเราจะต้องไปอยู่เสมอนะ เดี๋ยวถึงไปหาพญายมนะ ถึงท่านแล้วหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "ถึงแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ดูท่านสูง นั่งอยู่สูงไหม...?"

เปี๊ยก : "นั่งสูงค่ะ"

หลวงพ่อ : "ชัดไหม"

เปี๊ยก : "เห็นพระพักตร์ท่านเป็นสีทอง ขวามือของท่านมีพระหันหน้าเข้าหาท่าน แต่ไม่เกศแหลมนะคะ เอ้อ...พระสารีบุตรค่ะ"

หลวงพ่อ : "เวลาเฝ้าพระพุทธเจ้าเขาต้องถอดชฎาออก"

เปี๊ยก : "ท่านอยู่สูงมากนะคะ"

หลวงพ่อ : "มีใครอีก...?"

เปี๊ยก : "รู้สึกว่าอีกข้างเป็นท่านพระโมคคัลลาน์ค่ะ"

หลวงพ่อ : "เออ ใช่ ๆ กราบท่านทั้ง ๓ องค์นะ แล้วขอพรว่า ขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรก็ดี ว่าชาตินี้ข้าพระพุทธเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ต้องการแดนใดทั้งหมด นอกจากพระนิพพาน ขอสมเด็จพระพิชิตมาร และอัครสาวกทั้งสองช่วยประคับประคองจิตใจของข้าพระพุทธเจ้าให้ควบคุมอยู่ในแนวพระนิพพานตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาตาย ได้เข้ามานิพพาน รู้สึกว่าท่านแสดงอะไรบ้างไหม...?"

เปี๊ยก : "รู้สึกว่าท่านยกพระหัตถ์ขวา"

หลวงพ่อ : "เอ้อ ท่านให้พรนะ แล้วขอพรพระองค์ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะขอไปเยี่ยมท่านลุง ต้องเป็นท่านลุงนะ ท่านพญายมนี่ขอให้ทรงโปรดไปได้โดยสะดวก กราบท่านนะแล้วก็กราบท่านพระโมคคัลาน์ พระสารีบุตร ชวนท่านแม่ทั้ง ๓ องค์ ไปด้วยนะ ไปหาท่านปู่ท่านย่าเสียก่อน ต้องไปลาท่าน ถึงหรือยังลูก ถึงท่านปู่ท่านย่า กราบท่านนะ ขอบารมีท่านปู่ท่านย่าขอให้ไปเที่ยวในแดนนรกได้แบบสะดวก ๆ นะ ต่อนี้ไปถ้าจะไปไหนขอบารมีท่านช่วยให้ไปได้สะดวก ท่านว่าอย่างไรลูก..?

เปี๊ยก : "เห็นท่านยิ้มค่ะ"

หลวงพ่อ : "ท่านย่าก็ยิ้มเหรอ...?"

เปี๊ยก : "ค่ะ ท่านย่าก็ยิ้ม เหมือนยกมือขึ้นมาจะจับหัวหนูค่ะ"
หลวงพ่อ : "เออ...กราบท่านนะ ลาท่านไปหาท่านลุงพญายมนะ ให้แม่ทั้ง ๓ พาไปด้วยนะ ตั้งใจไป ถึงหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "เหมือนลงมานะคะ"

หลวงพ่อ : "ถึงหรือยังลูก...?"

เปี๊ยก : "ถึงแล้วค่ะ"

หลวงพ่อ : "ต้องถึงลูก แป๊บเดียวก็ถึง ที่นี่เขานึกแป๊บเดียวมันถึงเลยใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "เห็นมีองค์หนึ่งยืนอยู่"

หลวงพ่อ : "เข้าไปไหว้ท่าน ถามท่านว่าท่านคือลุงพุฒใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ท่านยิ้มค่ะ"

หลวงพ่อ : "ท่านยิ้มเหรอ ท่านแต่งตัวยังไง...?"

เปี๊ยก : "ท่านอ้วนนะคะ"

หลวงพ่อ : "ลุงแกปล่อยพุงอีกแล้ว กราบท่านบอกไอ้พุงโต ๆ นี่สมัยเป็นมนุษย์ไม่ต้องการ ต้องการในสมัยที่อยู่ที่นี่ ถ้าภาพเป็นพรหม ท่านทำไงสวยหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "สวยค่ะ แต่ยังไม่ชัดค่ะ"

หลวงพ่อ : "เราต้องเชื่อจิต ถ้าไม่ชัดนะ ขอบารมีท่านลุงว่าหลานได้มีโอกาสมานมัสการท่านลุงเพราะโอกาสน้อยที่จะมาได้ยาก ขอท่านลุงให้หลานเห็นชัด ๆ หลานอยากจะชมความงาม และบารมีของท่านลุง"

เปี๊ยก : "หนูกราบเท้าท่าน ท่านก้มลงมาค่ะ"

หลวงพ่อ : "เห็นชัดขึ้นไหม...?"

เปี๊ยก : "ค่ะ รู้สึกชัดขึ้น ท่านยิ้มค่ะ"

หลวงพ่อ : "แล้วต้องการอะไรจากท่านลุงอีกไหม เดี๋ยวก่อน มีปู่อีกคนหนึ่งที่เป็นนายบัญชี ว่าขอพบท่านด้วยนั่นน่ะควรจะเป็นทวดแล้ว"

เปี๊ยก : "ท่านยืนต่อไปอีกค่ะ"

หลวงพ่อ : "แต่งตัวคล้ายกันไหม...?"

เปี๊ยก : "คล้าย ๆ กันค่ะ"

หลวงพ่อ : "ดูแต่งตัวสีเดียวกันใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ชมบารมีดูซิ ถามท่านลุง ความจริงลุงพุฒนี่เป็นพี่ชายหลวงพ่อ อีกองค์ท่านเป็นลุงของหลวงพ่อ ต้องเป็นปู่นะ อยากจะดูเวลาที่ท่านชำระความ บริเวณห้องโถงที่ชำระความมีอะไรบ้าง ตอนนั้นท่านลุงกับท่านปู่แต่งตัวแบบไหนนั่งแบบไหนขอเห็น ท่านทำให้เห็นหรือยัง...?"

เปี๊ยก : "เห็นเป็นที่สูงข้างบน ข้างล่างเตี้ยลงมามีเตียงค่ะ"

หลวงพ่อ : "มีเตียงเดียวหรือ ๓ เตียง ห้องโถงสวยไหม...?"

เปี๊ยก : "รู้สึกว่าห้องกว้างค่ะ"

หลวงพ่อ : "ขอให้ท่านปู่กับท่านลุงแล้วก็ท่านแม่ทั้ง ๓ ขอได้โปรดประทานให้เห็นให้ชัดขอความกรุณาท่านนะ เห็นชัดขึ้นไหม...มีความแพรวพราวสวยเหมือนบนสวรรค์ไหม...?"

เปี๊ยก : "ไม่เหมือนค่ะ"

หลวงพ่อ : "อับ ๆ กว่าหน่อยใช่ไหม แต่ก็สวยเหมือนกัน"

เปี๊ยก : "ค่ะ ใช่"

หลวงพ่อ : "แสงน้อยกว่าใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ใช่ค่ะ"

หลวงพ่อ : "แสงน้อยกว่าเพราะอันนี้เป็นชั้นของจาตุมหาราชลูก ต้องแสงน้อยกว่าหน่อยนะ และก็ดูบริเวณที่ท่านปู่กับท่านลุงยืนอยู่เห็นคนที่กำลังมีทุกข์มานั่งหรือหมอบอยู่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกมีคนก้มหน้าฟุบอยู่ที่แท่นคนหนึ่ง"

หลวงพ่อ : "ถามเขาเป็นอะไรตาย...?"

เปี๊ยก : "เขาไม่ตอบค่ะ"

หลวงพ่อ : "ถามเขาไม่ตอบ ถ้างั้นก็อุทิศส่วนกุศลเลยนะ ว่าบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วเริ่มต้นมาจนบัดนี้ถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป บุญนี้จะพึงมีประโยชน์แก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขอท่านจงโมทนาบุญนี้ รับผลความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"

เปี๊ยก : "ความรู้สึกเหมือนเขาเงยหน้าลุกขึ้นค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ ดูซิ เขาเปลี่ยนแปลงไปไหม...?"

เปี๊ยก : "ก็สว่างขึ้นค่ะ"

หลวงพ่อ : "สว่างขึ้นดูเขาแต่งตัวเป็นยังไง...?"

เปี๊ยก : "แต่งตัวเหมือนเทวดา แต่องค์ไม่ค่อยใหญ่มากค่ะ"

หลวงพ่อ : "แต่งตัวเหมือนเทวดา แต่สวยน้อยกว่าเทวดาที่เราเห็นใช่ไหม...?"

เปี๊ยก : "ใช่ค่ะ"

หลวงพ่อ : "นั่นเพราะอาศัยบารมีเขาน้อยใช่ไหม เขาอาศัยบุญจากเราให้ อันนี้เราควรภูมิใจนะ ว่าบุญที่เรามีอยู่ว่าผีที่ตายแล้วมีโอกาสได้โมทนาบุญ แค่โมทนาบุญเขาก็สามารถเป็นเทวดาได้นะ"

เปี๊ยก : "ค่ะ"

หลวงพ่อ : "แล้วก็ดีใจ เวลาใกล้จะหมดลาท่านลุง ท่านปู่นะ แล้วก็กราบท่านแม่ทั้ง ๓ กราบท่านปู่ด้วยนะ ลาท่านกลับที่นะ แล้วขอพรท่านปู่ว่า โอกาสหน้าถ้ามาขอให้พาไปเที่ยวดูนรกด้วย ท่านว่าไง...?"

เปี๊ยก : "ท่านยิ้มยกมือขึ้นจับหัวหนูค่ะ"

หลวงพ่อ : "เอ้อ วันนี้ดีใจไหม เที่ยวได้...?"

เปี๊ยก : "ดีใจมาก เพราะเป็นความหวังที่ต้องการไว้ค่ะ"

หลวงพ่อ : "วันนี้ถ้าไม่เกงานก็ไม่ได้สินะ เป็นอันว่าเวลาหมดละนะ"



(จบคำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ)




ช่องการถ่ายทอดสดสัญญานภาพและเสียง สถานีบ้านสวนพีระมิด รับชมผ่าน iPhone/iPAD article
ช่องการถ่ายทอดสดสัญญานภาพและเสียง สถานีบ้านสวนพีระมิด article
ช่องการถ่ายทอดสดสัญญานภาพและเสียง สถานีบ้านสวนพีระมิด รับชมผ่าน iPhone/iPAD
ช่องการถ่ายทอดสดสัญญานภาพและเสียง สถานีบ้านสวนพีระมิด
การฝึกมโนมยิทธิ ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญ article
การฝึกมโนมยิทธิ การท่องเที่ยวตามภพต่างๆ article
การฝึกมโนมยิทธิ โดยพระอาจินต์ ธมมจิตโต article
การฝึกมโนมยิทธิ โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ๑๑ พ.ย. ๒๕๒๑ article
การฝึกมโนมยิทธิ คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ article
การฝึกมโนมยิทธิ คำนำ article
การฝึกมโนมยิทธิ การฝึกญาณ ๘ article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.