ReadyPlanet.com
dot
dot
พระรัตนตรัย และ ครูบาอาจารย์
dot
bulletสมเด็จองค์ปฐม
bulletหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
bulletพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
bulletดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
dot
รายการคุยไปแจกไป
dot
bulletรายการคุยไปแจกไป
dot
ข่าวสารประชาสัมพันธ์
dot
bulletข่าวสารประชาสัมพันธ์
dot
กิจกรรมบ้านสวนพีระมิด
dot
bulletค่ายบ้านสวนพีระมิด
bulletภาพและคลิปวิดิโอจากบ้านสวนพีระมิด
dot
บทความที่น่าสนใจ
dot
bulletบทความที่น่าสนใจ
bulletคู่มือหนีกรรมผิวพรรณ
bulletคำสารภาพบาป และ ประสบการณ์กฏแห่งกรรม
dot
International Version (ภาคภาษาต่างประเทศ)
dot
bulletEnglish Articles (บทความภาษาอังกฤษ)


อ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์  บ้านสวนพีระมิด


การฝึกมโนมยิทธิ การท่องเที่ยวตามภพต่างๆ article

การฝึกท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ
คุณสมพร  บุญยเกียรติ - ครูฝึก


ครู :
ขอให้ทุกท่านตัดสินใจว่าการที่เรามาปฏิบัติพระกรรมฐานในวันนี้ ก็เพื่อหวังมรรคผลนิพพานเป็นสำคัญ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหมดเห็นจริงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูทุกประการแล้วว่า การเกิดเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ มีความยุ่งยากนานาประการ และร่างกายของข้าพระพุทธเจ้านี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วไม่ช้าก็เดินเข้าไปหาความแก่ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีการป่วยไข้ไม่สบาย ประสบกับอารมณ์ไม่สมหวังนานาประการ บางครั้งก็ถูกเขากลั่นแกล้ง ด่าว่าหรือถูกนินทา มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนหนีไม่พ้นก็คือความตาย

เมื่อร่างกายนี้ตายไปเราก็ไม่สามารถจะแบกเอาไปได้ ร่างกายของบุคคลอื่นอันเป็นที่รักเราก็แบกเขาเอาไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติแม้ชิ้นเดียวหรือเงินทองแม้แต่บาทเดียว เราก็ไม่สามารถจะแบกเอาไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าร่างกายของข้าพระพุทธเจ้านี้พังเมื่อใด ขอตัดสินใจเข้าสู่พระนิพพานตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว

ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ขอได้ทรงโปรดประท่านพระมหากรุณาธิคุณ แสดงพระวรกายของพระองค์ในสภาวะพระนิพพานให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหมดรับสัมผัสได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเถิดพระพุททธเจ้าข้า ขณะนี้ความรู้สึกของทุกท่านว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่ข้างหน้าพวกเราหรือเปล่าค่ะ...?"

ศิษย์ : "อยู่ครับ"

ครู : "เมื่ออยู่แล้วกราบนมัสการพระองค์ท่านหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "กราบแล้ว"

ครู : "ขณะที่กราบนมัสการ วันนี้พระพุทธองค์ประทับนั่งหรือนอน หรือยืน...?"

ศิษย์ : "ประทับนั่ง"

ครู : "พระพุทธเจ้าของเราเข้าสู่พระนิพพานไปสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว กายเนื้อของพระองค์ถูกเผาไปแล้ว แต่จิตหรืออทิสสมานกายของพระองค์อยู่บนพระนิพพานตามสภาวะ ความเป็นจริงแล้ว เวลาพระองค์ประทับอยู่ที่วิมานของพระองค์ ท่านแต่งองค์อย่างไร ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ารับสัมผัสได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าแล้วทั้งหมดขอกราบแทบพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะที่กราบลงไป ความรู้สึกของใจว่าขณะนี้พระพุทธองค์แต่งองค์แบบไหนคะ...?"

ศิษย์ : "ทรงเครื่องพระนิพพาน"


ครู : "สวยไหมคะ...?"

ศิษย์ : "สวยค่ะ"

ครู : "ความรู้สึกเครื่องแต่งกายของพระองค์ออกสีอะไรคะ...?"

ศิษย์ : "สีขาวมีประกาย"

ครู : "ขณะนี้พระองค์แย้มพระโอษฐ์ไหมคะ...?"

ศิษย์ : "ยิ้มนิด ๆ "

ครู : "หลวงพี่มีความรู้สึกพระพุทธองค์แย้มพระโอษฐ์ไหมคะ...?"

ศิษย์ (พระ) : "ยิ้มน้อย ๆ "

ครู : "ขณะที่เราอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่าน ตัดสินใจว่าข้าพเจ้าจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์นับตั้งแต่วันนี้จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบัน สำหรับพระสงฆ์ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ถือว่าเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ ต้องรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ โดยเคร่งครัด และขณะที่ดำรงชีวิตอยู่จะทำงานทุกอย่างตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อใด การเกิดเป็นคนก็ดี เทวดาหรือพรหมก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่พึงปรารถนา ขอติดตามพระองค์มาอยู่บนแดนพระนิพพานแต่เพียงอย่างเดียว ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ขอได้ทรงโปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณให้ข้าพระพุทธเจ้ารับสัมผัสอทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าแต่ละคนที่อยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพานขณะนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า แต่ละคนดูซิคะว่าแต่งตัวยังไงเหมือนกายเนื้อข้างล่างที่นั่งอยู่ที่วัดท่าซุงหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "ไม่เหมือนแต่งตัวสวย"

ครู : "หลวงพ่อแต่งตัวเป็นพระสงฆ์หรือเปล่าคะ...?"

ศิษย์ (พระ) : "ไม่ได้แต่ง"

ครู : "แต่งเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ...?"

ศิษย์ : "แต่งเป็นชาย"

ครู : "ให้ทุกคนขอดูอทิสสมานกายเวลาที่อยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน กับกายเนื้อที่อยู่ในเมืองมนุษย์อันไหนสวยกว่ากัน...?"

ศิษย์ : "อยู่ข้างบนสวยกว่า"

ครู : "ภายในบริเวณวิมานพระพุทธเจ้ากว้างขวางหรือแคบคะ...?"

ศิษย์ : "กว้างค่ะ"

ครู : "นอกจากสมเด็จพระพุทธองค์แล้ว มีใครเสด็จมาอีกไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มี"

ครู : "มากหรือน้อยคะ...?"

ศิษย์ : "เสด็จมากันมาก"

ครู : "ทั้งหมดให้แยกกายตัวเองที่แต่งตัวสวย ๆ ให้มีปริมาณเท่ากับทุก ๆ พระองค์ที่เสด็จมาทั้งหมด แล้วกราบนมัสการท่านพร้อมกันทั้งหมดด้วย อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วย กราบได้ไหมคะ...?"

ศิษย์ : "กราบแล้ว"

ครู : "มีความรู้สึกว่ามีใครอยู่ใกล้ ๆ เราไหมคะ...?"

ศิษย์ : "หลวงพ่อ"

ครู : "วันนี้หลวงพ่อแต่งตัวยังไงคะ...?"

ศิษย์ : "แต่งคล้ายพระพุทธองค์"

ครู : "หลวงพ่อใส่แว่นไหมคะ...?"

ศิษย์ : "ไม่ใส่ค่ะ"

ครู : "กราบระลึกถึงพระคุณท่าน เพราะท่านเป็นผู้นำความรู้การฝึกมโนมยิทธิมาสอนเรา ทำให้เราขึ้นมารับสัมผัสว่าแดนพระนิพพานมีจริง ไม่สูญอย่างที่เขาพูดกัน ขณะที่กราบท่านมีความรู้สึกรักเคารพและผูกพันกับองค์ท่านมาก่อนไหม...?"

ศิษย์ : "รู้สึกคุ้น ๆ กับท่านมาก่อน"

ครู : "ใจอยากจะเรียนท่านว่าอะไรขณะนี้...?"

ศิษย์ : "เรียกท่านพ่อ"

ครู : "เพื่อความมั่นใจ ถ้าในอดีตชาติ เราเคยเกิดเป็นลูกองค์หลวงพ่อ ขอให้ท่านได้มีพระเมตตายกมือให้ลูกได้ทราบ"

ศิษย์ : "ยกค่ะ"

ครู : "เราจะได้มั่นใจว่าในอดีตชาติเราเคยเกิดเป็นลูกหลวงพ่อถึงได้ติดตามมาฝึกวิชานี้ เมื่อเรารู้จักท่านพ่อในอดีตแล้ว ขออัญเชิญท่านแม่ที่เป็นคู่บารมีขององค์หลวงพ่อมาทุกชาติ ขอได้ทรงโปรดเสด็จประทับข้างหลวงพ่อให้ลูกได้กราบด้วยเถิดพระเจ้าข้า ท่านเสด็จมาหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "มาแล้ว"

ครู : "ขอกราบแทบพระบาท แล้วกราบบนตักท่าน"

ศิษย์ : "กราบแล้ว"

ครู : "พอกราบบนตักท่านแม่ทำอย่างไรคะ...?"

ศิษย์ : "ท่านลูบศีรษะ"

ครู : "มีความรู้สึกว่าท่านแม่มีความรักเมตตาห่วงใยมีความหวังดีต่อลูกไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีเมตตามาก"

ครู : "หลวงพ่อท่านบอกว่าใครจะมีพระคุณ เกินแม่ไม่มีอีกแล้ว กราบถามท่านแม่ว่าจะกลับลงมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกไหมคะ...?"

ศิษย์ : "ไม่ลงมาเกิดอีกแล้ว"

ครู : "ก็แสดงว่าท่านแม่ของลูกอยู่บนพระนิพพานแล้ว ท่านดีใจไหมคะวันนี้ลูกขึ้นมาถึงพระนิพพานกราบท่านได้"

ศิษย์ : "ดีใจมากค่ะ"

ครู : "หลวงพ่อท่านบอกว่าทั้งพระ ทั้งพรหม และเทวดา ถ้าในอดีตชาติเราเคยเกิดเป็นลูกท่านแม้แต่เพียงชาติเดียว ท่านจะถือว่าเป็นลูกท่านตลอดไปคอยช่วยเหลือเราตลอดเวลา ถ้าไม่เกินกฎของกรรม กราบถามพระนามสั้น ๆ ที่หลวงพ่อเรียกท่านแม่มาทุกชาติว่าชื่ออะไร...?"

ศิษย์ : "ท่านแม่ศรี"

ครู : "ถูกต้อง ต่อไปนี้ให้จำท่านแม่ไว้ เวลาไปที่ใดขอบารมีให้ท่านช่วยนำไปจะได้คล่องขึ้น วันนี้วิมานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังใหญ่หรือหลังเล็ก และทำด้วยอะไร...?"

ศิษย์ : "ใหญ่มากครับ ทำด้วยเพชร สวยมาก"

ครู : "เป็นการพิสูจน์แล้วว่า แดนพระนิพพานไม่สูญอย่างที่บางคนพูดกัน คำว่าสูญ ต้องไม่มีอะไรเลย นี่วิมานของพระองค์ก็มี พระองค์แย้มพระโอษฐ์แต่งองค์ทรงเครื่องพระนิพพาน เราก็รับสัมผัสได้ แม้กระทั่งจิตหรืออทิสสมานกายของตัวเราเองออกจากร่างอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ เราก็รับสัมผัสได้ ความรู้สึกของจิตเวลาอยู่บนพระนิพพานเป็นอย่างไร...?"

ศิษย์ : "สบาย รู้สึก โปร่ง"

ครู : "สมอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า นิพพานัง ปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขสุด จริงไหมคะ...?"

ศิษย์ : "จริงค่ะ"

ครู : "ขอให้ทุกคนขอบารมีขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ขอหลวงพ่อ ท่านแม่ช่วย ขอรับสัมผัสแดนพระนิพพานทั้งหมดว่ามีวิมานมากหรือน้อยเพียงใด...?"

ศิษย์ : "มีวิมานมาก"

ครู : "แต่ละวิมานสว่างไสวหรือมืด...?"

ศิษย์ : "สว่างมาก สวยไปหมดเลย"

ครู : "เหมือนความสว่างในเมืองมนุษย์ไหม...?"

ศิษย์ : "ไม่เหมือน สว่างเป็นประกาย"

ครู : "ให้ทุกคนนึกถึงผลบุญที่ทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ถ้าข้าพระพุทธเจ้ามีวิมานอยู่บนพระนิพพาน ขอองค์สมเด็จพระบรมครู ขอหลวงพ่อ ท่านแม่ช่วยสงเคราะห์นำลูกไปวิมาน และเห็นทรัพย์สมบัติในวิมานได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการ เพื่อความมั่นใจที่จะกลับมาทำความดีในเมืองมนุษย์เพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า มีความรู้สึกว่ามีวิมานไหมคะ...?"


ศิษย์ : "มีหลังคายอดแหลมวิมานทำด้วยแก้ว"

ครู : "เข้าไปในวิมานอันเป็นสมบัติของเรา ถ้าตายไปจากชาตินี้ เข้าไปได้ไหมคะ...?"

ศิษย์ : "เข้าไปได้ มีเตียงนอนทำด้วยแก้วผสมทอง"

ครู : "ลองขึ้นไปนอนบนเตียงว่าจะลื่นหล่นลงมาไหม...?"

ศิษย์ : "ไม่หล่น นอนได้ มีที่นอนหมอนมารองรับ"

ครู : "นอนสบายไหม ถ้าไม่หล่นลงมาแสดงว่ากำลังใจเข้มแข็งพอ ถ้าตายก็สามารถขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานได้ เป็นการวัดกำลังใจเราเอง องค์หลวงพ่อท่านแม่เสด็จมาไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มาค่ะ"

ครู : "มีทรัพย์สมบัติในวิมานไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีมากคะ"

ครู : "ทรัพย์สมบัติพร้อมด้วยวิมานเกิดจากผลบุญที่เราทำมาทั้งหมด ทีนี้เวลาทำบุญแล้ว ถ้าต้องการเห็นสิ่งใด ก็ตั้งจิตอธิษฐานขอเห็นสิ่งนั้นมีที่วิมานหรือไม่ เวลานี้ให้ทุกคนลองเทียบดูตัวเราในเมืองมนุษย์ พร้อมด้วยบ้านที่อยู่กับวิมานของพระนิพพาน และอทิสสมานกายที่ออกจากกายเนื้อ อันไหนสวยสดงดงามกว่ากัน...?"

ศิษย์ : "ข้างบนสวยกว่า"

ครู : "เห็นอย่างนี้แล้ว ถ้าร่างกายเนื้อในเมืองมนุษย์ตายเมื่อใดยังจะเสียดายร่างกายของเราเองหรือห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในร่างกายของบุคคลอื่นอันเป็นที่รักอีกไหม หรือห่วงทรัพย์สมบัติในเมืองมนุษย์ไหม...?"

ศิษย์ : "ไม่เสียดาย ไม่ห่วงใย"

ครู : "ฉะนั้นก็ตัดสินใจว่า ถ้ากลับลงไปในเมืองมนุษย์ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่จะทำงานตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้ากายเนื้อพังเมื่อใดขอติดตามองค์สมเด็จพระบรมสุคตขึ้นมาอยู่ที่วิมานบนพระนิพพานแต่เพียงอย่างเดียว"




ไปเที่ยวพรหม

ครู : "ต่อไปนี้จะพาไปแดนพรหม พรหมมีอยู่ ๒ ประเภท คือ รูปพรหมกับอรูปพรหม ให้ทุกคนเอาจิตจับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระพิชิตมารที่ทรงเครื่องพระนิพพานใสเป็นแก้วประกายพรึกทั้งองค์ แล้วขอบารมีหลวงพ่อ ท่านแม่ ขอไปแดนรูปพรหมที่แบ่งเป็นชั้น ๆ ทั้งหมด ๑๖ ชั้น ขอรับสัมผัสว่าพรหมแบ่งเป็นชั้น ๆ จริงหรือไม่ มีวิมานมากหรือน้อยเพียงใด...?"

ศิษย์ : "แบ่งเป็นชั้น แต่ละชั้นมีวิมานมาก"

ครู : "ขอไปแดนพรหมชั้นที่ ๑๖ โดยขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อ ท่านแม่ ขอไปกราบท่านสหัมบดีพรหม ท่านเป็นใหญ่คุมพรหมทั้งหมด ๑๖ ชั้น ถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว"

ครู : "กราบท่านสหัมบดีพรหมหรือยัง...?"

ศิษย์ : "กราบแล้ว"

ครู : "ท่านสหัมบดีพรหมแต่งองค์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย...?"

ศิษย์ : "แต่งเป็นผู้ชาย"

ครู : "แต่งเหมือนคนในเมืองมนุษย์หรือเปล่าคะ...?"

ศิษย์ : "ไม่เหมือน แต่งตัวสวยเป็นแก้วแพรวพราว"

ครู : "ขอดูเนื้อของท่านสหัมบดีพรหมเป็นอย่างไรคะ...?"

ศิษย์ : "เนื้อใสเป็นแก้ว"

ครู : "เครื่องประดับของพรหมออกสีอะไร...?"

ศิษย์ : "เป็นประกายสีทอง"

ครู : "ประกายสีทองของเครื่องประดับสาด มาจับเนื้อของพรหมที่ใสเป็นแก้ว จึงทำให้มองพรหมทั้งองค์คล้ายทอง รู้สึกไหมคะ...?"

ศิษย์ : "คล้ายเป็นทองทั้งองค์"

ครู : "พรหมท่านมีกี่หน้า มีกี่มือ...?"

ศิษย์ : "มี ๔ หน้า มีหลายมือ"

ครู : "ขอท่านสหัมบดีพรหมช่วยให้เห็นตามสภาวะความเป็นจริงว่าอทิสสมานกายของพรหมมีกี่หน้า มีกี่มือ ขอให้ท่านให้เห็นตามความเป็นจริงด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

ศิษย์ : "ท่านมีหน้าเดียว มี ๒ มือ"

ครู : "พรหมท่านมีที่อยู่เป็นบ้านหรือวิมาน...?"

ศิษย์ : "ท่านมีวิมานเป็นแก้ว"

ครู : "รูปพรหมทั้งหมดมี ๑๖ ชั้น พรหมชั้นที่ ๑-๑๑ ถ้าใครขึ้นมาเกิดพอหมดบุญวาสนาก็ต้องกลับลงไปเกิดอีก แต่พรหมชั้นที่ ๑๒-๑๖ ถ้าใครขึ้นมาเกิด จะบำเพ็ญบารมีต่อถึงพระนิพพานเลย ไม่ต้องกลับลงไปเกิดอีกแล้ว ให้ทุกคนขอบารมีองค์สมเด็จพระชินวร กราบทูลถามว่าในอดีตชาติทั้งหมดที่ผ่านมาข้าพระพุทธเจ้า เคยเกิดเป็นพรหมมาก่อนไหม...?"


ศิษย์ : "เคยเกิด"

ครู : "ถ้าเคยเกิด เกิดมากหรือน้อยครั้ง ขอพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระพุทธเมตตาแสดงภาพการเกิดเป็นพรหมทั้งหมดของข้าพระพุทธเจ้า ว่าเคยเกิดมากหรือน้อยเพียงใด ให้ข้าพระพุทธเจ้ารับสัมผัสได้อย่างถูกต้องความเป็นจริงด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"

ศิษย์ : "เคยเกิดมากจนนับไม่ถ้วน"

ครู : "ขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ได้ทรงโปรดสงเคราะห์แสดงอทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าสมัยเกิดเป็นพรหมสัก ๑ ชาติ พร้อมด้วยที่อยู่ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"

ศิษย์ : "รู้สึกแล้ว แต่งตัวเป็นผู้ชาย ใส่ชฎา มีเครื่องประดับ มีเนื้อใสเป็นแก้ว"

ครู : "พรหมไม่มีเพศอยู่ด้วยอำนาจธรรมปีติแต่งตัวคล้ายผู้ชายมีความสุขต่างกับกายเนื้อในเมืองมนุษย์ชาติปัจจุบันนี้ไหม...?"

ศิษย์ : "ต่างกันมาก"

ครู : "มีที่อยู่เป็นอย่างไรสมัยเป็นพรหม...?"

ศิษย์ : "ที่อยู่เป็นวิมานทำด้วยแก้วผสมทอง"

ครู : "จากจุดสูงสุดคือการเกิดเป็นพรหม พอหมดบุญวาสนาบารมีจากพรหมชาติที่เห็นนี้ เราก็มาเกิดเป็นคนในชาติปัจจุบัน สามารถแบกเอาวิมานทีเป็นแก้วหรืออทิสสมานกายที่สวยสมัยเป็นพรหมมาถึงชาตินี้ไหม...?"

ศิษย์ : "ไม่สามารถแบกเอามาได้เลยแม้แต่อย่างเดียว"

ครู : "ขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอระลึกชาติ ถอยหลังก่อนที่ข้าพระพุทธเจ้าจะเกิดเป็นพรหมที่เห็นเมื่อกี้นี้ ข้าพระพุทธเต้าเกิดเป็นคนสมัยนั้นทำความดีอะไร ตายไปแล้วจึงไปเกิดเป็นพรหมได้...?"

ศิษย์ : "นั่งสมาธิ ถือศีล ทำทาน สร้างวัด ฟังเทศน์"

ครู : "ขอดูภาพก่อนที่จิตจะออกจากร่างไปเกิดเป็นพรหม เราตายในลักษณะอย่างไร...?"

ศิษย์ : "ตายอย่าสงบ คล้ายกับเข้าฌานอยู่ แล้วจึงตาย"

ครู : "ถูกต้อง คนที่จะไปเกิดเป็นพรหมได้เวลาตายจิตจะต้องเข้าฌานอยู่จึงจะไปเกิดเป็นพรหมได้ ต่อให้ทำบุญกี่แสนกี่ล้าน ถ้าไม่ได้เข้าฌานตายก็ไม่สามารถที่จะไปเกิดเป็นพรหมได้ การระลึกชาติตัวเองว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เรารับสัมผัสแล้วว่า แดนรูปพรหมเป็นยังไง ให้ขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอไปรับสัมผัสแดน อรูปพรหม ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ชั้น วันนี้ขอไปรับสัมผัสแดนอรูปพรหมชั้นที่ ๔ พร้อมกัน ไปถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ไปถึงแล้ว"

ครู : "เมื่อไปถึงมีความรู้สึกว่าแดนนี้เป็นยังไง...?"

ศิษย์ : "แดนอรูปพรหมกว้าง เวิ้งว้างไม่มีขอบเขต และสว่าง"

ครู : "ในอาณาเขตของความสว่างคล้าย ๆ มีอะไรไหมคะ...?"

ศิษย์ : "เป็นวง ๆ ดวง ๆ มีประกายคล้ายดาว"

ครู : "มีดวงเดียวหรือหลายดวง...?"

ศิษย์ : "มีมาก"

ครู : "มีวิมานไหมคะ...?"

ศิษย์ : "ไม่มี"

ครู : "วง ๆ หรือดวงเล็ก ๆ นั่นคือ จิตของผู้ที่ตายแล้วไปเกิดอยู่ในแดนอรูปพรหม ไม่มีรูปร่างเหมือนอทิสสมานกายของพรหม และไม่มีวิมาน ลอยอยู่นานแสนนานนับเป็นกัป ๆ ไม่สามารถจะรับฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ พอหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับลงมาเกิดใหม่หรืออาจไปเสวยทุกข์ในแดนอบายภูมิตามกรรมชั่วที่ทำไว้ก็ได้ พวกนี้ขณะที่เป็นมนุษย์ชอบเข้าอรูปฌาน แต่ไม่มีอารมณ์จิตรักพระนิพพาน ตายแล้วจึงไปเกิดบนแดนอรูปพรหมเห็นอย่างนี้แล้วอยากมาลอยเป็นดวง ๆ อย่างนี้ไหม...?"

ศิษย์ : "ไม่อยาก"

ครู : "เมื่อไม่อยาก ขอไปพระนิพพานชาตินี้ หลวงพ่อถึงได้สอนให้พวกเรามีอารมณ์จิตรักพระนิพพาน ตายแล้วจะได้ไปบนพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุข ให้กราบลาท่านสหัมบดีพรหมที่ท่านสงเคราะห์เรา แล้วทั้งหมดจับพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าที่ทรงเครื่องพระนิพพานให้ใสเป็นแก้วทั้งองค์ ขอหลวงพ่อ ท่านแม่ ขอไปแดนสวรรค์ทั้งหมด ๖ แดน ซึ่งไม่แบ่งชั้นเหมือนแดนพรหม ว่าแดนสวรรค์ทั้งหมดมีวิมานมากหรือน้อยเพียงใดด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"





ไปเที่ยวสวรรค์



ครู : "สวรรค์เขตแรกที่จะไปคือสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ขอไปกราบท่านท้าวมาลัย หรือพญามาราธิราช ท่านเป็นหัวหน้าคุมสวรรค์เขตนี้ทั้งหมด ไปที่วิมานท่านถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว"

ครู : "กราบแทบพระบาทท่านท้าวมาลัย ท่านแต่งองค์ยังไงคะ เทวดาชั้นนี้...?"

ศิษย์ : "แต่งเป็นเทวดา มีเสื้อผ้าใส่ มีชฎา มีเครื่องประดับเนื้อของเทวดาผ่องใส ไม่ทึบเหมือนเนื้อของคนในเมืองมนุษย์ แต่ไม่ใสเท่าพรหม"

ครู : "เทวดามีเสื้อผ้าใส่ ไม่เหมือนอย่างที่ภาพเขียนหรือภาพวาดตามฝาผนังโบสถ์เป็นเทวดา นั้นความเป็นจริงท่านสวย มีเครื่องแต่งกายครบถ้วย ท่านมีความเป็นทิพย์ มีความสุข วิมานของเทวดาชั้นนี้สวยไหมคะ...?"

ศิษย์ : "สวยค่ะ หลังใหญ่ ทำด้วยแก้ว"

ครู : "เป็นอันว่าวิมานของเทวดาเป็นแก้ว สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี คนที่จะมาเกิดได้ ขณะที่มีชีวิตอยู่ท่านได้ฌาน ๔ แต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย จึงมาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ กราบลาท่านท้าวมาลัยที่สงเคราะห์เรา ทั้งหมดขอบารมีขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ขอหลวงพ่อ ท่านแม่พาไปสวรรค์เขตต่อไป คือชั้น นิมมานรดี ขอไปกราบท่าน ท้าวนิมมานรดี ที่วิมานของท่าน ถึงหรือยังคะ...?"


ศิษย์ : "ถึงแล้ว"

ครู : "กราบนมัสการท่าน ท่านยิ้มไหมคะ...?"

ศิษย์ : "ยิ้ม ท่านแต่งตัวเป็นเทวดาผู้ชาย"

ครู : "มีวิมานไหมคะ"

ศิษย์ : "มี"

ครู : "วิมานท่านทำด้วยอะไรคะ...?"

ศิษย์ : "ทำด้วยแก้ว"

ครู : "บริเวณเขตนี้ทั้งหมดมีวิมานมากน้อยเพียงใดคะ...?"

ศิษย์ : "มีวิมานมาก แพรวพราว"

ครู : "เทวดาชั้นนี้ ขณะที่เป็นมนุษย์ท่านมีฤทธิ์ ได้กสิณ ๑๐ เจริญฌานสมาบัติเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ได้เวลาตายก็มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนิมมานรดี จิตจับพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าให้ใส กราบทูลถามพระองค์ว่าในอดีตชาติทั้งหมดข้าพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นเทวดาชั้นนิมมานรดีไหมคะ...?"

ศิษย์ : "เคยเกิด"

ครู : "ถ้าเคยเกิดขอพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระพุทธเมตตาแสดงภาพนั้นทั้งหมดของการเกิดเป็นเทวดาชั้นนิมมานรดีว่ามากหรือน้อยเพียงใดด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า...?"

ศิษย์ : "มากครั้งนับไม่ไหว"

ครู : "ขอดูภาพขณะที่เราเป็นมนุษย์ก่อนที่จะมาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ เราทำความดีอะไรบ้าง...?"

ศิษย์ : "เข้าฌานสมาบัติ สามารถเนรมิตหรือเสกใบไม้เล็ก ๆ เป็นตัวแมลงได้ สามารถหายตัวได้"

ครู : "สมัยนั้นสนุกสนานกับการเนรมิตต่าง ๆ ได้จนเพลิน ตายไปจึงไปเกิดเป็นเทวดาชั้นนิมมานรดี พอหมดบุญวาสนาบารมีกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันอีกใช่ไหมคะ เป็นอันว่าสวรรค์ชั้นดีทุกคนเคยเกิด กราบลาท่านนิมมานรดีที่ท่านสงเคราะห์เรา

ทั้งหมดจับพระรูปพระโฉมพระพุทธเจ้าให้ใสที่ทรงเครื่องพระนิพพาน และขอพระบารมีท่านให้ได้กราบ หลวงปู่ปาน ผู้มีพระคุณซึ่งประทับอยู่บน สวรรค์ชั้นดุสิต ท่านเป็นปรมาจารย์ขององค์หลวงพ่อ ความรู้ทั้งหมดที่หลวงพ่อได้รับมาจากหลวงปู่ปาน และในอดีต หลวงพ่อเคยเป็นลูกหลวงปู่ปาน พวกเราที่เป็นลูกหลวงพ่อจึงเรียกว่า หลวงปู่ปาน ขณะนี้หลวงปู่แต่งองค์เป็นพระสงฆ์หรือเทวดา...?"

ศิษย์ : "หลวงปู่แต่งองค์เป็นเทวดาผู้ชาย มีวิมานสวยและใหญ่"

ครู : "กราบระลึกถึงพระคุณหลวงปู่ ขอพรท่าน ให้ท่านช่วยให้หลานรับสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง เมื่อไปยัง ณ ที่ใดก็ตาม หลวงปู่ประทานพรไหมคะ...?"

ศิษย์ : "ท่านยิ้มและให้พร ท่าทางท่านใจดี"

ครู : "สวรรค์ชั้นดุสิตวิมานใหญ่หรือเล็ก...?"

ศิษย์ : "ใหญ่โตและสวยงามมาก"

ครู : "สวรรค์ชั้นดุสิต หลวงพ่อบอกว่าเข้ายากมาก คนที่จะมาเกิดได้ต้องปรารถนาพระโพธิญาณ คือ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรือปรารถนาเป็นพระพุทธบิดา พระพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรือต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตได้ เมื่อมาถึงสวรรค์ชั้นนี้แล้ว สิ่งที่จะขาดไม่ได้ที่เราควรจะต้องไปกราบทานอีกองค์หนึ่ง คือ ขอไปกราบ หน่อพระบรมวงศ์โพธิสัตว์สมเด็จพระศรีอริยเมตตรัย ที่วิมานของพระองค์ท่าน ถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้วค่ะ"

ครู : "กราบนมัสการสมเด็จพระศรีอริยเมตตรัย พระองค์แต่งองค์ยังไงคะ...?"

ศิษย์ : "แต่งเป็นเทวดาผู้ชาย สวยมาก"

ครู : "รัศมีกายของพระองค์เป็นอย่างไรคะ...?"

ศิษย์ : "รัศมีกายสว่างใสเป็นเพชร"

ครู : "พระองค์มีวิมานหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "มีวิมานสวยงามมาก หลังใหญ่"

ครู : "ขอบารมีของค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเทียบรัศมีกายพร้อมด้วยวิมานของหลวงปู่ปานกับของสมเด็จพระศรีอริยเมตตรัย ของใครสว่างสวยงามกว่ากัน...?"

ศิษย์ : "ของสมเด็จพระศรีอริยเมตตรัยท่านสวยเป็นประกายมากกว่าของหลวงปู่ปาน"

ครู : "ถูกต้อง เพราะสมเด็จพระศรีอริยเมตตรัยท่านจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป รัศมีกายและวิมานจึงสวยกว่า กราบลาทั้งสองพระองค์ ที่สงเคราะห์เรา"

ศิษย์ : "กราบแล้ว"

ครู : "ให้ทุกคนจับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วขอไปกราบท่าน ท้าวยามา ท่านคุมสวรรค์ชั้น ยามา ทั้งหมด ถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว"

ครู : "ท่านท้าวยามา แต่งเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย...?"

ศิษย์ : "แต่งเป็นเทวดาผู้ชาย"

ครู : "ขอดูท่านเจ้าของวิมานแต่ละวิมานบนสวรรค์ชั้นยามาว่าท่านทำอะไรกันอยู่...?"

ศิษย์ : "ท่านทำสมาธิ เขตนี้เงียบ ๆ"

ครู : "สวรรค์เขตนี้ท่านปู่พระอินทร์จะไม่ใช้งาน ท่านจะนั่งบำเพ็ญภาวนาตลอด พวกเราในที่นี้มีใครชอบสวดมนต์ไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีค่ะ"

ครู : "และบางครั้งเคยได้ยินเสียงสวดมนต์มาจากที่อื่น โดยหาไม่ได้ว่ามีใครเปิดวิทยุหรือเปิดเทป มีบ้างไหมคะ...?"

ศิษย์ : "เคยได้ยิน"

ครู : "หลวงพ่อท่านบอกเสียงนั้นคือเสียงสวดมนต์จากเทวดาชั้นยามา แสดงว่าอารมณ์จิตของเราขณะนั้นเข้าสู่อุปจารสมาธิ จิตจึงเป็นทิพย์สามารถรับสัมผัสเสียงสวดมนต์จากเทวดาชั้นยามาได้ คนที่จะมาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ขณะที่มีชีวิตอยู่ชอบสวดมนต์ เวลาตายจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ ตายมาแล้วมาเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา

สวรรค์ที่จะพาต่อไป ก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเปรียบเสมือนเมืองหลวงของสวรรค์ ๖ ชั้น ซึ่งเราเคยไปมาแล้วเป็นที่ตั้งของพระจุฬามณีเจดียสถาน ขอไปกราบ ท่านท้าวโกสีย์สักกเทวราช หรือในเมืองมนุษย์เรียกท่านว่า พระอินทร์ ถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้วค่ะ"

ครู : "ท่านประทับนั่งหรือยืน...?"

ศิษย์ : "ท่านประทับนั่ง"


ครู : "ท่านนั่งบนอะไรคะ...?"

ศิษย์ : "นั่งบนพระแท่นเป็นแก้ว"

ครู : "พระแท่นนี้เรียกว่า บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นแก้ว ๗ ประการ บนพระแท่นมีใครอีกไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีผู้หญิง"

ครู : "นั่นคือพระชายาของท่านพระอินทร์ ท่านที่เคยเป็นลูกหลวงพ่อในอดีตชาติ จะเรียกท่านปู่พระอินทร์ และท่านย่า เพราะหลวงพ่อเคยเป็นลูกท่าน ลองเทียบดูซิคะว่าท่านแม่ศรี กับท่านย่าของเรา ใครแก่กว่ากัน...?"

ศิษย์ : "สาวพอ ๆ กัน"

ครู : "ถูกต้อง ข้างบนนี้ไม่มีแก่ บริวารของท่านปู่พระอินทร์มีมากหรือน้อยเพียงใด...?"

ศิษย์ : "มีมากทั้งเทวดาผู้หญิงผู้ชาย"

ครู : "ขอดูรูปร่างหน้าตาของเทวดาว่าเป็นอย่างไร...?"

ศิษย์ : "หน้าตาสดชื่น เครื่องประดับแวววาว ดูแล้วชื่นใจ"

ครู : "กราบถามท่านปู่พระอินทร์ว่าพวกเราเคยเกิดเป็นเทวดากันไหมคะ...?"

ศิษย์ : "เคยเกิดมาจนนับไม่ไหว มีทั้งเทวดาผู้หญิงและผู้ชาย"

ครู : "เห็นแล้วนะคะว่าเทวดามีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย คือเทพบุตรและนางฟ้า แตกต่างจากพรหมที่เราเคยเกิดไม่มีเพศหญิง เพศชาย อยู่ด้วยอำนาจธรรมปีติ ขอดูเนื้อเทวดากับเนื้อของพรหมต่างกันหรือเหมือนกัน...?"

ศิษย์ : "เนื้อของพรหมใสกว่าเนื้อของเทวดา"

ครู : "วิมานต่างกันหรือว่าเหมือนกัน...?"

ศิษย์ : "วิมานของเทวดาใสน้อยกว่าของพรหม"

ครู : "สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก กราบท่านถามว่าเราเคยเกิดไหม...?"

ศิษย์ : "เคยเกิด"

ครู : "มากหรือน้อยครั้ง...?"

ศิษย์ : "มากจนนับไม่ถ้วน"

ครู : "ถ้าเราเคยเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขอท่านที่เคยเป็นเพื่อนเราสมัยอยู่บนดาวดึงส์ แต่ท่านไม่ได้ลงมาเกิดอย่างพวกเรา ขอได้โปรดเสด็จมาประชุมพร้อมกันทั้งหมดด้วยเถิดพระเจ้าข้า ท่านมากันหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "มากันมาก ท่านยิ้ม"

ครู : "ก็เป็นการพิสูจน์ว่าสวรรค์ชั้นนี้เราเคยเกิดมาแล้ว พอหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องมาเกิดใหม่อีกบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีที่เที่ยวมาก แต่ก่อนอื่นขอไปชมที่ประทับของท่านปู่อินทร์ ซึ่งเป็นเทวราชา ถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้วค่ะ"

ครู : "เมื่อมาถึงรู้สึกว่าวิมานของท่านปู่พระอินทร์ใหญ่หรือเล็ก...?"


ศิษย์ : "ใหญ่มาก หลังคาซ้อนสูงขึ้นไปจนนับไม่ถ้วน มีบริวารคือเทวดา นางฟ้ามากมาย"

ครู : "ต่อไปขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ขอไปชมสวนบนสวรรค์ซึ่งมีหลายสวน แต่วันนี้ขอไปชมสวนนันทวันก่อน ถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว สวนใหญ่และสวยมาก"

ครู : "มีอะไรในสวน...?"

ศิษย์ : "ต้นไม้ที่มีผล"

ครู : "สวนนันทวันเป็นสวนผลไม้ ต่อไปขอไปชม สวนจิตรลดาวัลย์ ถึงหรือยัง...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว เป็นสวยดอกไม้สวยงามมาก มีดอกไม้เป็นพุ่มเป็นระเบียบ"

ครู : "ในสวนมีเทวดานางฟ้ามากไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีมาก ท่านมองดูพวกเรา"

ครู : "เทวดาชั้นนี้เวลาคนในเมืองมนุษย์ ถือศีล ทำบุญ ทำทาน เจริญพระกรรมฐาน ท่านจะโมทนาด้วยการฟ้อนรำ ขอดูซิคะว่า เทวดานางฟ้าท่านฟ้อนรำแบบไหน...?"

ศิษย์ : "รำคล้ายรำไทย แต่ดูอ่อนช้อยกว่า เครื่องประดับก็แพรวพราวกว่า"

ครู : "ออกจากสวนจิตรลดาวัลย์ ไปยังสระโบกขรณี ซึ่งเป็นที่สำราญของชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมกัน ถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว สระใหญ่น้ำใส"

ครู : "ลองลงไปว่ายเล่นดูซิ ว่าน้ำเย็นหรือร้อน..?"

ศิษย์ : "น้ำเย็นสบาย มีเทวดานางฟ้าท่านอยู่ในสระด้วย"

ครู : "กลับขึ้นมาดูซิคะว่าตัวเปียกหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "ไม่เปียก"

ครู : "นี่คือความเป็นทิพย์ตัวจึงไม่เปียก ขณะลงไปถอดชฎา ถอดรองเท่าหรือเปล่าคะ...?"

ศิษย์ : "ไม่ได้ถอด แต่ก็ไม่จม"

ครู : "ใช้ได้ สวรรค์ชั้นนี้มีที่เที่ยวมาก มีความสนุกสบาย แต่ทว่าพอหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับลงมาเกิดใหม่อีก ดังเช่นพวกเราก็เคยเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์กันมาแล้ว สวรรค์ชั้นนี้คนที่จะมาเกิดได้ ขณะที่มีชีวิตอยู่ชอบถวายสังฆทาน ถวายวิหารทาน หรือต้องทำบุญตัดชีวิต หมายถึงถ้าเรามีอาหารอยู่มือหนึ่งสำหรับตัวเอง เกิดไปพบคนหรือสัตว์ที่อดยากต้องการอาหาร หาที่อื่นก็ไม่มี เรายอมเสียสละอาหารมือนั้นให้โดยเรายอมอดอย่างนี้เรียกว่า ทำบุญตัดชีวิต

หลวงพ่อท่านบอกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เข้ายากมาก ถ้าใครต้องการมาเที่ยวเองก็มาขอท่านปู่ ท่านย่าให้ท่านช่วยสงเคราะห์ ตอนนี้ขอกราบลาพระองค์ท่าน สวรรค์เขตสุดท้ายที่เราจะไปวันนี้คือสวรรค์ชื่อ จาตุมหาราช ขอไปกราบท่าน ท้าวเวสสุวรรณ ที่วิมานของพระองค์ท่าน

ศิษย์ : "ถึงแล้ว"

ครู : "ท่านท้าวเวสสุวรรณ พระองค์แต่งตัวอย่างไร...?"

ศิษย์ : "แต่งเป็นเทวดาผู้ชาย"

ครู : "แต่งตัวสวยหรือเปล่า...?"
ศิษย์ : "สวยมาก"

ครู : "ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นท้าวมหาราชคุมทางทิศเหนือ กราบท่านแล้วขออัญเชิญท่านท้าวมหาราชอีก ๓ พระองค์ ขอได้โปรดเสด็จมาประชุมพร้อมกันด้วยเถิดพระเจ้าข้า

ครู : "ท่านเสด็จมาหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "มาแล้ว"

ครู : "แยกกายกราบท่านพร้อมกันทั้ง ๔ พระองค์ แล้วขออัญเชิญบริวารของท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ขอได้โปรดเสด็จมาประชุมพร้อมกันทั้งหมดท่านมาหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "มาแล้วค่ะ"

ครู : "มามากหรือน้อย"

ศิษย์ : "มามากเต็มไปหมด"

ครู : "แยกกายของเราที่สวย ๆ ให้มีปริมาณเท่ากับทุก ๆ พระองค์ที่เสด็จมามากแล้วกราบท่านพร้อมกัน เทวดาชั้นนี้มีหน้าที่ควบคุมดูแลเขตภาคพื้นดินของมนุษย์ มีเทวดา ๒ พวก คือ รุกขเทวดา กับ ภูมิเทวดา ขอชมรุกขเทวดาในเขต วัดท่าซุง ว่ามีหรือไม่...?"

ศิษย์ : "มีมาก"

ครู : "ท่านรุกขเทวดาแต่งตัวอย่างไร มีวิมานไหม...?"

ศิษย์ : "ท่านแต่งเป็นเทวดามีวิมานแปะอยู่กับกิ่งไม้ บนยอดไม้"

ครู : "วิมานของท่านทำด้วยอะไร...?"

ศิษย์ : "ทำด้วยแก้วผสมทอง"

ครู : "วิมานของรุกขเทวดาสวยเหมือนเทวดาชั้นต่าง ๆ ที่ผ่านมาไหม...?"

ศิษย์ : "ไม่เหมือน สวยน้อยกว่า"

ครู : "ถูกต้อง เพราะบุญน้อยกว่า ขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพ่อ ท่านแม่ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ารับสัมผัสภูมิเทวดาในเขตวัดท่าซุงด้วยว่ามีหรือไม่...?"

ศิษย์ : "มีมาก"

ครู : "ท่านมีวิมานไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีค่ะ วิมานลอยอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย"

ครู : "วิมานของภูมิเทวดาทำด้วยอะไร...?"

ศิษย์ : "ทำด้วยแก้วผสมทอง"

ครู : "ถ้าเทียบกับท่านรุกขเทวดา ของใครสวยกว่ากัน...?"

ศิษย์ : "วิมานของรุกขเทวดาสวยกว่าของภูมิเทวดา"

ครู : "ถูกต้อง เพราะภูมิเทวดาบุญน้อยกว่าคนที่จะมาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ ขณะที่มีชีวิตอยู่ทำบุญตามประเพณี เขามีเทศกาลงานวัดก็ไปกับเขาด้วยความสนุกสนาน ร้องรำทำเพลงไม่ได้ตั้งอกตั้งใจทำบุญ แต่เวลาตายจิตนึกถึงว่าเราเคยทำบุญ จึงไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชที่เรียกว่า ภูมิเทวดา

แต่หลวงพ่อท่านสอนว่าอย่าไปดูถูกภูมิเทวดา เพราะเทวดาหางแถวดีกว่ามนุษย์หัวแถว เทวดาท่านมีกายเป็นทิพย์ ไม่มีร่างกายที่สกปรกอย่างเรา ไม่ต้องทำมาหากิน เหนื่อยยากอย่างพวกเรา กราบทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่าในอดีตชาติ ข้าพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นภูมิเทวดาหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "เคยเกิด"

ครู : "ถ้าเคยเกิด ขอดูภาพว่าเกิดมากหรือน้อยครั้งเพียงใด...?"

ศิษย์ : "เกิดมากครั้ง"

ครู : "ขอพระองค์ได้โปรดสงเคราะห์แสดงอทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าสมัยเป็นภูมิเทวดาสัก ๑ ชาติ พร้อมด้วยที่อยู่ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า ใครรู้สึกแล้วว่าเราเกิดเป็นเทวดาผู้หญิงหรือผู้ชาย...?"

ศิษย์ : "เทวดาผู้ชาย"

ศิษย์ : "เทวดาผู้หญิง"

ครู : "มีวิมานไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีค่ะ"

ครู : "วิมานอยู่ตรงไหน...?"

ศิษย์ : "วิมานลอยอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย"

ครู : "เทวดาชั้นจาตุมหาราชมีหน้าที่รักษาเขตตามบ้านตามวัด ตามวัง ตามป่า ตามเขา หรือสถานที่ราชการ กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่าสมัยนั้นเรารักษาเขตไหน...?"

ศิษย์ : "ตามบ้านบ้าง ตามวัดบ้าง ตามวังบ้าง ตามป่า ตามเขาบ้าง"

ครู : "สมัยที่เราเป็นภูมิเทวดามีคนมากราบไหว้ขอให้ช่วยคุ้มครองรักษาบ้างไหม...?"

ศิษย์ : "มีมากค่ะ"

ครู : "บางคนยอมรับนับถือในความดีสมัยเราเป็นภูมิเทวดาถึงกับสร้างศาลพระภูมิถวาย พอจะมีบ้างไหม...?"

ศิษย์ : "มีค่ะ"

ครู : "สร้างเป็นไม้หรือตึก...?"

ศิษย์ : "สร้างเป็นไม้เสาเดียวบ้าง สร้างเป็นตึกบ้าง"

ครู : "เคยมีคนเอาของมาถวายบ้างไหม...?"

ศิษย์ : "มีดอกไม้ธูปเทียน ไข่ต้ม ไก่ต้ม ผลไม้บ้าง"

ครู : "แล้วเราสมัยเป็นภูมิเทวดา เรากินของที่เขาถวายหรือเปล่า"

ศิษย์ : "เปล่า ไม่ได้กิน แต่มาโมทนาในความดีของเขา"

ครู : "และภูมิเทวดาย้ายที่อยู่จากวิมาน มาอยู่ในศาลพระภูมิหรือเปล่า...?"


ศิษย์ : "ไม่ได้ย้าย วิมานใหญ่โต และสวยงามกว่ามาก"

ครู : "เป็นอันว่าสมัยเราเป็นภูมิเทวดา ก็เคยมีเคยสร้างศาลพระภูมิถวายให้เรา แต่เราไม่ได้เข้าไปอยู่ สมัยนั้นภูมิเทวดาสามารถสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลในเขตที่เราดูแลอยู่ให้ได้รับความสุขหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "สามารถช่วยเหลือได้"

ครู : "เทวดาท่านสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ ถ้าไม่เกินกฎของกรรม จำไว้ให้ดีนะ ประเดี๋ยวขอแล้วไม่สำเร็จจะต่อว่าทำไมเทวดาท่านไม่ช่วย ถ้าไม่เกินกฎของกรรมท่านพร้อมที่จะช่วยอยู่แล้ว ในเมื่อมนุษย์ขณะนี้สอน และพูดกันมากว่าเทวดาไม่มี ศาลพระภูมิตั้งไม่มีผล บัดนี้เราได้มาพิสูจน์แล้วว่าเทวดามีจริง การยอมรับนับถือเทวดาท่านก็สามารถช่วยเราได้ วันนี้ขอให้ทุกท่านขอบารมีพระพุทธเจ้า หลวงพ่อ ท่านแม่ ขอรับสัมผัสบ้านของเราแต่ละคนในเมืองมนุษย์ในชาติปัจจุบัน ว่ามีภูมิเทวดารักษาเขตไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีค่ะ"

ครู : "ท่านมีวิมานไหมคะ...?"

ศิษย์ : "มีวิมานสวยเป็นแก้วผสมทอง"

ครู : "การที่เรากราบไหว้ท่านเจ้าที่เจ้าทาง ที่รักษาเขตบริเวณบ้านที่เราอาศัยอยู่ ก็คือเรากราบไหว้ภูมิเทวดานั่นเอง ต่อไปนี้ให้ทุกคนจับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระบรมครู ให้ใสเป็นแก้วทั้งองค์ ขอหลวงพ่อ ท่านแม่ พาไปกราบท่านพญายมราช มีความรู้สึกของใจว่าถึงหรือยังคะ?"

ศิษย์ : "ถึงแล้วค่ะ"

ครู : "ท่านพญายมราชแต่องค์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ...?"

ศิษย์ : "แต่งเป็นผู้ชายแบบเทวดา"

ครู : "หน้าตาท่านดุร้าย มีเขาหรือเปล่า...?"
ศิษย์ : "ท่านใจดี ไม่ดุร้าย ไม่มีเขา"

ครู : "ขอดูเนื้อของท่านพญายมราชว่าใสหรือทึบ...?"

ศิษย์ : "เนื้อใสเป็นแก้ว"

ครู : "ถ้าเนื้อของท่านพญายมราชเป็นแก้ว แสดงว่าท่านเป็นอะไรคะ...?"

ศิษย์ : "ท่านเป็นพรหมค่ะ"

ครู : "ถูกต้อง พรหมแปลว่าประเสริฐ ท่านพญายมราชท่านมาคอยกันคนลงนรก โดยอันดับแรกท่านถามถึงความดีก่อนถึง ๓ ครั้ง ถ้าท่านผู้นั้นนึกไม่ออกก็ไปเสวยทุกข์ในแดนอบายภูมิก่อน บริเวณนี้ทั้งหมด กว้างขวางหรือแคบ...?

ศิษย์ : "กว้างขวาง แต่ไม่สวยเท่าแดนต่าง ๆ ที่ผ่านมา"


ครู : "ถูกต้อง บริเวณนี้คือที่ตัดสินคนที่ตายจากเมืองมนุษย์มารอรับการตัดสินอยู่ในเขตสวรรค์ชั้น จาตุมหาราช ขอดูสถานที่ตัดสินทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร...?

ศิษย์ : "ท่านพญายมราชประทับอยู่บนที่สูง ต่ำลงมาทางด้านขวามือคือท่านนายบัญชีมีสมุดบัญชีบันทึกคนทำความดีความชั่วในเมืองมนุษย์ ทางซ้ายมือท่านพญายมราชมีอีกองค์หนึ่ง แต่งตัวเป็นเทวดา"

ครู : "ขอรับสัมผัสว่ามีคนมารอรับการตัดสินใจมากหรือน้อยเพียงใด...?"

ศิษย์ : "มีมาก เขารอกันหน้าตาเศร้าสร้อย"

ครู : "ถูกแล้ว ถ้าท่านพญายมราชถามถึงความดี เกิดนึกไม่ออกก็ต้องไปเสวยทุกข์ในแดนอบายภูมิก่อนแดนนรกขุมใหญ่ ๆ มี ๘ ขุม และมีนรกพิเศษอีกมุมหนึ่งคือโลกันตนรก เมื่อพ้นจากนรกขุมใหญ่แต่ละขุม ขุมใดขุมหนึ่งจะมีนรกบริวาร ๔ ขุม พ้นจากนรกบริวาร ๔ ขุม จะมียมโลกียนรก ๑๐ ขุม เหมือนกันหมด




ไปเที่ยวนรก



ครู : "ให้ทุกท่านนึกถึงพระบารมีขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ขอพระบารมีท่านพญายมราช หลวงพ่อ ท่านแม่ ขอไปชมนรกขุมพิเศษคือโลกันตนรก ไปถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว"

ครู : "เมื่อไปถึงแล้ว มีความรู้สึกว่าดินแดนนี้เป็นอย่างไร..?"

ศิษย์ : "รู้สึกว่ามืด คล้าย ๆ อยู่ในถ้ำ พอเข้าไปความรู้สึกเย็นเฉียบ มากกว่าความเย็นในตู้เย็นบ้านเรา"

ครู : "ถูกต้อง ความรู้สึกว่าสัตว์นรก เวลาหิวมันทำอย่างไร...?"

ศิษย์ : "เวลาหิวมันจะจิกเนื้อกินกัน เล็บของสัตว์นรกแหลมยาว เมื่อจิกกินกันไป กินกันมา ก็จะหล่นลงมาข้างล้าง มีน้ำกรดละลายสัตว์นรก"

ครู : "แต่สัตว์นรกมีการตายหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "สัตว์นรกไม่มีการตาย มันจะรวมตัวขึ้นมาใหม่"

ครู : "แล้วต่อไปเป็นอย่างไรอีก...?"

ศิษย์ : "ลึกเข้าไปสัตว์นรกจะเห็นแสงสว่าง ก็ดีใจนึกว่าจะพ้นจากความเย็นเฉียบ ก็รีบวิ่งไปหาที่ใหม่ก็จะพบกับความร้อนมากทันที และก็ถูกทรมานเช่นนี้อีกสลับกันไปร้อน ๆ หนาว ๆ นานแสนนาน"

ครู : "นรกขุมนี้ไม่มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์หนึ่งก็จะมีแสงแวบผ่านเข้ามาครั้งหนึ่ง เมื่อพ้นจากขุมนี้ก็ต้องมาตกอเวจีมหานรกย้อนขึ้นมาจนถึงขุมที่ ๑ ผู้ที่ทำความชั่วหลาย ๆ อย่าง ศีลทั้ง ๕ ข้อไม่เหลือเลย ทำผิดครบถ้วน จึงต้องมาตกขุมนี้ นับว่าทุกข์ทรมานมากกว่าขุมอื่น ต่อไปนี้ให้ทุกคนขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระชินวร ขอท่านพญายมราช ท่านพ่อ ท่านแม่ ไปชมนรกใหญ่ขุมที่ ๑ ชื่อ สัญชีพนรก ถึงหรือยัง...?"


ศิษย์ : "ถึงแล้ว ขุมนี้มีไฟลุกท่วมตัวสัตว์นรก และมีนายนิริยบาลถืออาวุธคอยสับพันสัตว์นรก"

ครู : "สัตว์นรกขุมนี้มีโทษอะไรบ้าง...?"

ศิษย์ : "โทษปาณาติบาต ฆ่าคน ฆ่าสัตว์"

ครู : "นรกขุมที่ ๑ มีอายุ ๕๐๐ ปีนรก ๑ วันในนรกเท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ จะเป็นเวลานานมากกว่าจะพ้นนรกขุมนี้ เมื่อหมดอายุจากขุมนี้จะมีนรกบริวารอีก ๔ ด้าน ๆ ละ ๔ ขุม ออกจากนรกบริวารก็ต้องมาตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ต่อไปให้ทุกคนกราบทูลถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าเคยมาตกนรกขุมนี้บ้างหรือเปล่าในอดีตชาติ...?"

ศิษย์ : "เคยตก"

ครู : "มากหรือน้อยครั้ง...?"

ศิษย์ : "มากครั้ง"

ครู : "ขอดูภาพอทิสสมานกายสมัยเป็นสัตว์นรกถูกทรมาน"

ศิษย์ : "มีความทรมานมาก มีไฟลุกท่วมตัว พื้นก็เป็นเหล็กแดง ซ้ำยังถูกอาวุธสับฟันตลอดเวลา"

ครู : "ขอบารมีขอองค์สมเด็จพระพิชิตมารขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้รับสัมผัสนรกขุมที่ ๒ ชื่อ กาฬปุตตะนรก ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า ถึงหรือยังคะ...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว สัตว์นรกถูกทรมานในลักษณะนอนบนพื้นเหล็กที่ร้อน และนายนิริยบาลจะใช้เส้นลวดเหล็กร้อนกดลงไปบนร่างสัตว์นรก มีเลื่อยซี่แหลมร้อนเลื่อยตามเส้นเหล็กกดลงไปบนสัตว์นรก"

ครู : "อายุของขุมที่ ๒ นี้ ๑,๐๐๐ ปีนรก ต่อไปขอเลยไปชมนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๘ ที่ชื่อ อเวจีมหานรก ขอไปชม พระเทวทัต ถึงหรือยัง...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว พระเทวทัตถูกทรมานในลักษณะยืน ขยับเขยื้อนไม่ได้เพราะถูกตรึงไว้ กระดูกเผาไฟจนร้อน ไฟจะพุ่งมากทั้ง ๔ ด้าน"

ครู : "ขอท่านพญายมราชว่าในอเวจีมหานรกมีพระสงฆ์ที่คองผ้ากาสาวพัสตร์ในพระพุทธศาสนาเมื่อตายแล้วมาอยู่ในขุมนี้บ้างหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "มีมาก"

ครู : "พอจะรู้จักพระองค์ที่อยู่ในอเวจีบ้างไหม...?"

ศิษย์ : "เป็นพระสังฆาธิการ"

ครู : "ถามท่านว่าทำไมท่านบวชเป็นพระตายแล้วจึงต้องมาตกอเวจีมหานรก...?"

ศิษย์ : "เอาเงินของสงฆ์ไปใช้ส่วนตัว ส่งทางครอบครัวบ้าง ให้กู้บ้าง ไม่นำไปสร้างวัด แต่จริยาเรียบร้อยต่อหน้าบุคคลอื่น"

ครู : "ถามท่านว่าพอพ้นจากขุมนี้ท่านจะไปอยู่ที่ไหน...?"

ศิษย์ : "ก็ต้องมาตกขุมที่ ๗ อีกแล้ว ย้อนขึ้นไปจนถึงขุมที่ ๑ พอพ้นจากสัตว์นรกก็ขึ้นมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานกว่าจะเป็นคนสมบูรณ์แบบอีกนานแสนนาน"

ครู : "ในอเวจีมีสัตว์นรกมากหรือน้อย...?"

ศิษย์ : "มีมากทั้งผู้หญิงและผู้ชาย"

ครู : "ให้ทุกคนขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ขอหลวงพ่อ ท่านแม่ ท่านพญายมราชไปชมยมโลกียนรก ขุมที่ ๑ ที่ชื่อ โลหกุมภี โทษปาณาติบาต โดยเฉพาะหลังจากตกขุมใหญ่แล้วมาตกนรกอีก ๔ ขุม จึงมาตกยมโลกียนรก คือ โลหะภุมภี ถึงหรือยัง...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้วค่ะ"

ครู : "สัตว์นรกถูกทรมานในลักษณะอย่างไร...?"

ศิษย์ : "สัตว์นรกถูกต้มอยู่ในหม้อใหญ่ น้ำข้นร้อนมาก มีนายนิริยบาลถือาวุธคอยสับฟัน หนีออกมาไม่ได้"

ครู : "ขอพระบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปชมยมโลกียนรกขุมที่ ๒ ชื่อ สิมพลีนรก โทษกาเมสุมิจฉาจาร สัตว์นรกถูกทรมานอย่างไร...?"

ศิษย์ : "สัตว์นรกกำลังปีนต้นงิ้วที่มีหนามเป็นเหล็ก แหลมคม ตามเนื้อตัวเลือดไหล พอปีนสูงขึ้นไปก็มีกาปากเหล็กมาจิกเนื้อ และสัตว์นรกตกลงมาที่พื้น จะมีสุนัขตัวใหญ่ไล่กัด และนายนิริยบาลถืออาวุธทิ่มแทงเพื่อส่งสัตว์นรกขึ้นต้นงิ้วใหม่ ปีนขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีการพัก"

ครู : "ต้นงิ้วมีต้นเดียวหรือหลายต้น...?"

ศิษย์ : "มีหลายต้น แต่ละต้นจะมีสัตว์นรกปีนอยู่"

ครู : "ถูกต้อง ต้นงิ้วจะขึ้นตามจำนวนคนทำความชั่ว ใครที่พูดว่าเอาขวานไปฟันต้นงิ้วหมดแล้ว หลวงพ่อท่านบอกว่าระวังตายแล้วจะต้องถูกทรมานคูณสองเท่า ต่อไปขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ขอท่านพญายมราช หลวงพ่อ ท่านแม่ ขอไปชมยมโลกียนรกขุมที่ ๓ ที่ชื่อ อ สินขนรก โทษอทินนาทาน สัตว์นรกถูกทำอย่างไร...?"

ศิษย์ : "สัตว์นรกถูกค้อนนายนิริยบาลเอาค้อนทุบตีหัว มีสุนัขตัวใหญ่เท่าช้างกัดกินตลอดเวลา เนื่องจากขณะที่มีชีวิตขโมยทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น ขุมนี้ไม่มีอายุแน่นอน"

ครู : "ต่อไปขอบารมีขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วเป็นองค์ประธาน ขอท่านพญายมราช หลวงพ่อ ท่านแม่ ขอไปชมผู้ที่ทำผิดศีลข้อที่ ๕ หลังจากตกนรกขุมใหญ่ และตกนรกบริวารแล้วจึงมาตกยมโลกียนรกขุมที่ ๔ ที่เรียกว่า ตามโพทกนรก ถึงหรือยัง...?"

ศิษย์ : "ถึงแล้ว ขุมนี้มีกระทะใบใหญ่ ต้มน้ำทองแดงร้อน นายนิริยบาลเอาน้ำทองแดงกรอกปาก พอถึงปาก ปากก็พัง ถึงคอ คอก็พัง ถูกทรมานอย่างนี้ตลอดเวลา"

ครู : "แดนนรกทั้งหมดเท่าที่ผ่านมา ทุกคนมีความรู้สึกของใจว่าเป็นอย่างไร...?"


ศิษย์ : "มีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา"

ครู : "ถูกต้องในนรกหาความสุขแม้แต่ ๑ วินาทีก็ไม่ได้ กราบทูลถามองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่าในอดีตชาติทั้งหมดที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเคยเกิดเป็นสัตว์นรกบ้างหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "เคยเกิด"

ครู : "มากหรือน้อยครั้ง ขอพระองค์ทรงโปรดสงเคราะห์แสดงภาพสมัยเป็นสัตว์นรกทั้งหมดด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"

ศิษย์ : "เคยเกิดมาจนนับไม่ถ้วน"

ครู : "เมื่อพ้นจากการเป็นสัตว์นรกขึ้นมาแล้วก็เป็นเปรต อีก ๑๒ ระดับ ขอดูอทิสสมานกายสมัยที่เราเคยเป็นเปรตว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร...?"

ศิษย์ : "ตัวสูงผอม หน้าตาอิดโรย"

ครู : "เปรตระดับที่ ๑๒ เท่านั้นที่เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีดเปรต จึงจะสามารถโมทนาในบุญกุศลที่เราอุทิศให้ได้ ระดับที่ ๑-๑๑ ไม่มีโอกาสโมทนา เมื่อพ้นจากการเป็นเปรตขึ้นมาเป็น อสุรกาย อสุรกายลักษณะเป็นอย่างไร...?"

ศิษย์ : "ตัวไม่สูงเท่าเปรต ผิวดำมะเมื่อม หน้าตาไม่สวย ผมเป็นกระเซิง ตาไม่กล้าสู้คน"

ครู : "เพราะอสุรกาย แปลว่าผู้มีกายไม่กล้า เวลาหิวอสุรกายทำอย่างไร...?"

ศิษย์ : "กินของเน่าที่ตายแล้ว มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองของสกปรกต่าง ๆ"

ครู : "เมื่อพ้นจากการเป็นอสุรกายขึ้นมาเป็น สัตว์เดรัจฉาน ขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรขอดูภาพว่าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตั้งแต่สัตว์ใหญ่จนถึงสัตว์เล็ก ข้าพระพุทธเจ้าเคยเกิดมากหรือน้อยเพียงใด...?"

ศิษย์ : "เคยเกิดมากจนนับไม่ถ้วน"

ครู : "สัตว์ใหญ่ มีอะไรบ้าง...?"

ศิษย์ : "ช้าง ม้า วัว ควาย สิงโต เสือ"

ครู : "สัตว์เลื้อยคลานเคยเกิดบ้างไหม...?"

ศิษย์ : "เคยเกิดเป็นงู ไส้เดือน ตะขาบ"

ครู : "สัตว์เล็ก ๆ มีบ้างไหม...?"

ศิษย์ : "มด ปลวก หนอน เห็บ เหา ปลา"

ครู : "ก็แสดงว่าเราเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลของสัตว์เหล่านี้ ต่อไปนี้เราจะได้มีเมตตาปรานีแก่สัตว์ทั้งหลายในฐานะที่เป็นลูกหลานเราใช่ไหม...?"

ศิษย์ : "ใช่"


ครู : "พ้นจากการเป็นสัตว์เดรัจฉานขึ้นมาเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ กา ๕๐๐ ชาติ สุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ และขึ้นมาเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ คือคนที่มีร่างกายง่อยเปลี้ย เสียขา หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ กว่าจะมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบนานแสนนาน ทุกคนระลึกชาติกันมาทั้งหมดแล้วว่ามาจากจุดสูงสุดเราเคยเกิดเป็นพรหม เคยเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานแล้ว ชาติปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นคน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระภควันต์ว่าเราเคยเกิดเป็นคนมาก่อนในอดีตชาติบ้างหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "เคยเกิด"

ครู : "ถ้าเกิด ขอดูภาพร่างกายของเราแต่ละชาติที่ตายไปให้กองซ้อนสูงขึ้นไป ว่าสูงมากหรือน้อยเพียงใด...?"

ศิษย์ : "เคยเกิดมากครั้ง มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย"

ครู : "ขอบารมี ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ขอดูสักหนึ่งชาติ สมัยที่เรายากจนมากที่สุด ให้เห็นตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก"

ศิษย์ : "เป็นเด็กผู้ชายผอมดำ ไม่ใส่เสื้อ บ้านก็ชั้นเดียว เตี้ย ๆ เสาเริ่มเอียงหลังคามีรูโหว่ สมัยนั้นลำบากมาก ถึงเทียบกับชาติปัจจุบันนี้"

ครู : "กราบทูลถามว่าก่อนที่เราจะเกิดมายากจนในชาติที่เห็นนี้ ชาติที่แล้วเราทำอะไร จึงเกิดมายากลำบาก"

ศิษย์ : "เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ได้ทำทาน ขาดเมตตา"

ครู : "ขอได้ทรงโปรดสงเคราะห์ แสดงภาพสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนาถึงขั้นเป็น กษัตริย์ เจ้าครองมคธ มีบ้างไหม...?"


ศิษย์ : "เคยเป็น สมัยนั้นหน้าตาสวย มีข้าทาสบริวารมาก"

ครู : "ความรู้สึกของใจว่าเป็นกษัตริย์ หรือเป็นเจ้าครองเมืองของไทยหรือต่างประเทศ...?"

ศิษย์ : "เป็นลูกกษัตริย์ในประเทศไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นนักรบด้วย เคยรบกับพม่า"

ครู : "ตายในสนามรบหรือเปล่า...?"

ศิษย์ : "ไม่ตายในสนามรบ สมัยนั้นก่อนออกรบปลุกพระก่อน มีคาคาอาคมทำให้หนังเหนียว ข้าศึกฟันไม่เข้า"

ครู : "เวลาตายในชาติที่เป็นนักรบไปเกิดในแดนนรกหรือเปล่า เพราะฆ่าข้าศึกมาก...?"

ศิษย์ : "ไม่ตกนรก ไปเกิดเป็นเทวดา"

ครู : "เพราะอะไร จึงเป็นเกิดเป็นเทวดาได้...?"

ศิษย์ : "เพราะหลังจากรบมีการทำบุญ ทำทาน รักษาศีล มีการบำเพ็ญภาวนา คือนั่งสมาธิ เวลาตายในชาตินั้นจึงไม่ตกนรก"

ครู : "รู้สึกภูมิใจว่าผืนแผ่นดินไทยที่เป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้ เราได้มีส่วนเสียสละร่วมรบกู้ชาติให้เป็นอิสรภาพจนกระทั่งเรามาเกิดเป็นคนในปัจจุบันนี้ไหม...?"

ศิษย์ : "รู้สึกภูมิใจ และรักแผ่นดินไทยมาก จะช่วยทำทำนุบำรุงประเทศให้เจริญ ช่วยดำรงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไปเพื่อช่วยให้จิตใจของคนไทยมีความรักความสามัคคี ซื่อสัตย์ เพื่อประเทศไทยจะได้รุ่งเรืองตลอดไป"

ครู : "ผลจากการฝึกวิชามโนมยิทธิซึ่งเป็นความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยองค์หลวงพ่อเป็นผู้นำมาสอน ทำให้เราสามารถพิสูจน์คำสอนของสมเด็จพระพุทธองค์ที่ว่า แดนพระนิพพาน แดนพรหม แดนสวรรค์ แดนอบายภูมิ และการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้นมีจริง ถ้าเรายังต้องการกลับมาเกิดอีก ก็ต้องประสบกับความทุกข์อีก ดังที่เราได้ระลึกชาติมาแล้วว่าเราเคยเกิดมาทุกอย่างแล้ว


ก็ขอให้ตัดสินใจว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับการเกิด ถ้าตายเมื่อใดจุดหมายปลายทางมีจุดเดียวเท่านั้น นั่นคือขอเข้าสู่พระนิพพานตามองค์สมเด็จพระบรมสุคตแต่เพียงอย่างเดียว ทุกคนตัดสินใจได้ตามนี้ไหมคะ...?"

ศิษย์ : "ตัดสินใจไปนิพพานแน่นอน"

ครู : "เพราะฉะนั้นเมื่อกลับลงไปในเมืองมนุษย์ ขอให้ทุกคนรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ มีความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง และจะทำงานทุกอย่างตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าตายเมื่อใดขอไปพระนิพพานอย่างเดียว เมื่อทุกคนฝึกมโนมยิทธิ และฝึกเที่ยวภพต่าง ๆ ได้แล้ว แต่ละวันไม่ต้องไปหมดทุกจุดอย่างที่ฝึกวันนี้

หลวงพ่อท่านบอกว่า ตื่นนอนเช้าไม่ต้องลุกขึ้นมาก็ได้ ให้เอาจิตหรืออทิสสมานกายขึ้นมาที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เพื่อกราบท่านปู่ ท่านย่า อัญเชิญท่านพ่อ ท่านแม่ ผู้มีพระคุณทั้งหมดแล้วกราบระลึกถึงพระคุณท่าน ต่อจากนั้นเอาจิตของเราไปอยู่ตรงหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วิมานของพระองค์บนพระนิพพาน รับสัมผัสพระรูปพระโฉมท่านที่ทรงเครื่องพระนิพพานให้ใสเป็นแก้วทั้งองค์ เป็นการขับจิตเราให้สะอาดไปทีละนิด ไม่ช้าจิตก็จะชินกับอารมณ์พระนิพพาน ถ้าตายเมื่อใดเราจะได้มาอยู่บนแดนที่มีความสุขที่สุด นั่นคือแดนพระนิพพาน


(จบคำแนะนำการฝึกท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ)

 





ช่องการถ่ายทอดสดสัญญานภาพและเสียง สถานีบ้านสวนพีระมิด รับชมผ่าน iPhone/iPAD article
ช่องการถ่ายทอดสดสัญญานภาพและเสียง สถานีบ้านสวนพีระมิด article
ช่องการถ่ายทอดสดสัญญานภาพและเสียง สถานีบ้านสวนพีระมิด รับชมผ่าน iPhone/iPAD
ช่องการถ่ายทอดสดสัญญานภาพและเสียง สถานีบ้านสวนพีระมิด
การฝึกมโนมยิทธิ ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญ article
การฝึกมโนมยิทธิ โดยพระอาจินต์ ธมมจิตโต article
การฝึกมโนมยิทธิ โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ๑๙ พ.ย. ๒๕๒๑ article
การฝึกมโนมยิทธิ โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ๑๑ พ.ย. ๒๕๒๑ article
การฝึกมโนมยิทธิ คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ article
การฝึกมโนมยิทธิ คำนำ article
การฝึกมโนมยิทธิ การฝึกญาณ ๘ article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.