มาทานมังสวิรัติลดกรรมกันเถอะ
จะมีใครรู้บ้างว่า ประโยชน์ที่ได้จากการทานมังสวิรัตินั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์ส่วนตนคือ ไม่ผิดศีลข้อที่ 1 แล้ว การทานมังสวิรัติยังให้ประโยชน์มหาศาลทั้งในระดับประเทศ และต่อโลกของเราอีกด้วย
ดังนั้นการกินมังสวิรัติจึงเป็นของขวัญที่เรามอบให้แก่ตัวเราเองอย่างแท้จริงเราจะรู้สึกดีขึ้น และคุณภาพชีวิตของเราก็จะดีขึ้นเนื่องจากหนี้กรรมที่หนักหน่วงของเราได้บรรเทาเบาบางลงไปแล้วและเราจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ดินแดนสวรรค์อันลี้ลับแห่งใหม่ของประสบการณ์ภายในของเราซึ่งมันคุ้มค่ามากกับราคาเพียงเล็กน้อยที่เราต้องจ่ายไป!
สำหรับคนบางคนก็เชื่อในเหตุผลทางศาสนาที่คัดค้านการกินเนื้อแต่ก็ยังมีเหตุผลจูงใจอื่นๆ อีกมากมายในการที่ควรจะกินมังสวิรัติซึ่งทุกเรื่องล้วนมีรากฐานจากสามัญสำนึกทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและโภชนาการของบุคคลเกี่ยวกับนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยาและความทุกข์ทรมานของสัตว์และเกี่ยวกับความอดอยากหิวโหยของคนในโลก
สุขภาพและโภชนาการ
การศึกษาทางด้านวิวัฒนาการของมนุษย์ได้แสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเราเป็นมังสวิรัติกันโดยธรรมชาติและโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ไม่เหมาะกับการกินเนื้อเรื่องนี้ได้รับการอธิบายในข้อเขียนเกี่ยวกับกายวิภาคเปรียบเทียบที่เขียนโดย ดร.จี.เอส. ฮันติงเจน แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียของอเมริกา เขาอธิบายว่าสัตว์ที่กินเนื้อจะมีลำไส้สั้นมาก และลำไส้ของมันจะตรงและเรียบลื่นส่วนพวกสัตว์กินพืชกินหญ้ามีลำไส้ที่ยาว ทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ทั้งนี้เนื่องจากอาหารประเภทเนื้อมีเส้นใยน้อยและมีโปรตีนมากลำไส้จึงไม่ต้องใช้เวลานานในการดูดซึมสารอาหารดังนั้นลำไส้ของสัตว์กินเนื้อจึงสั้นกว่าลำไส้ของสัตว์กินพืชเนื่องจากเส้นใยของพืชผักค่อนข้างย่อยยาก
มนุษย์เป็นเหมือนพวกสัตว์กินพืชทั่วๆไป คือมีลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ที่ยาวรวมความยาวประมาณยี่สิบแปดฟุต (แปดเมตรครึ่ง)ส่วนลำไส้เล็กขดพับไปมาหลายซับหลายซ้อนและผนังของมันก็เป็นรอยยับย่นไม่เรียบลื่นเนื่องจากลำไส้ของมนุษย์ยาวกว่าลำไส้ของสัตว์กินเนื้อดังนั้นเนื้อที่เรากินเข้าไปจึงตกค้างอยู่ในลำไส้ของเราเป็นระยะเวลานานทำให้เกิดการบูดเน่าเหม็นและสร้างสารพิษออกมาสารพิษเหล่านี้เกี่ยวข้องเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่ส่วนปลายลำไส้ใหญ่และยังเพิ่มภาระให้กับตับซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษทำให้เกิดโรคตับแข็งและโรคมะเร็งในตับด้วย
เนื้อสัตว์มีโปรตีนยูโรไคเนสและยูเรียมากซึ่งเพิ่มภาระแก่ไตและสามารถทำลายการทำงานของไตด้วยในเนื้อสเต็คหนึ่งปอนด์มีโปรตีนยูโรไคเนสถึงสิบสี่กรัมถ้าเอาเซลล์ที่ยังมีชีวิตไปแช่ในน้ำโปรตีนยูโรไคเนสนี้ความสามารถในการเสริมสร้างและเผาผลาญอาหารของมันจะเสื่อมลงทันทีนอกจากนี้เนื้อสัตว์ยังขาดเส้นใยหรือเซลลูโลส ทำให้เกิดการท้องผูกได้ง่ายเป็นที่ทราบกันว่าการท้องผูกสามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งบริเวณก่อนถึงทวารหนักและโรคริดสีดวงทวารได้
คอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวในเนื้อสัตว์ยังทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจซึ่งขณะนี้เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับแรกในสหรัฐอเมริกาและฟอร์โมซา
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับที่สองการทดลองต่างๆชี้ให้เห็นว่าการย่างเนื้อจะทำให้เกิดสารเคมีชนิดหนึ่งคือเมธิลคอแลนทรีน (Methylcholanthrene) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากหนูทดลองที่ได้รับสารเคมีชนิดนี้เข้าไปจะเกิดอาการของโรคมะเร็งชนิดต่างๆเช่นมะเร็งกระดูก มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น
การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าลูกหนูที่กินนมแม่หนูที่เป็นมะเร็งเต้านมก็จะเป็นมะเร็งเช่นดียวกันและเมื่อฉีดเซลล์มะเร็งของมนุษย์เข้าไปในสัตว์ทดลองสัตว์เหล่านั้นก็จะเป็นมะเร็งไปด้วย ถ้าเนื้อสัตว์ที่เรากินกันอยู่ทุกวันมาจากสัตว์ที่เดิมเป็นโรคต่างๆเหล่านี้อยู่และเราก็รับมันเข้ามาในร่างกายของเราเราก็จะมีโอกาสที่จะเป็นโรคเหล่านี้มาก
คนส่วนมากคิดกันเอาเองว่าเนื้อสัตว์พวกนั้นสะอาดและปลอดภัยและมีการตรวจสอบแล้วที่โรงฆ่าสัตว์ แต่ว่าตามความจริงแล้ว มีโค กระบือ สุกรเป็ดไก่ ฯลฯถูกฆ่ามาขายในแต่ละวันเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จะตรวจสอบได้ครบหมดทุกคัวและก็เป็นการยากมากที่จะตรวจว่าสัตว์ตัวนั้นหรือเนื้อชิ้นนั้นเป็นมะเร็งหรือมีเซลล์มะเร็งหรือไม่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการตรวจสัตว์ทุกตัวก็ได้ปัจจุบันนี้แม้แต่ในยุโรปและอเมริกาทางแหล่งผลิตเนื้อสัตว์ก็เพียงแต่ตัดหัวสัตว์ทิ้งไป หากมีปัญหาที่ส่วนหัวหรือว่าตัดขาที่เป็นโรคทิ้ง เอาส่วนที่เสียๆออกไปเท่านั้นแล้วก็จำหน่ายส่วนที่เหลือต่อไปในท้องตลาด
ดร.เจ.เอ็ช. เค็ลล็อก กล่าวว่า “เวลาเรากินอาหารมังสวิรัติเราก็ไม่ต้องห่วงกังวลว่าอาหารที่เรากินนั้นตายด้วยโรคอะไรกินได้อย่างสบายใจดีจริงๆ!”
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าห่วงอีกอย่างหนึ่งก็คืออาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์มียาปฏิชีวนะ รวมทั้งยาอื่นๆ เช่น สเตียรอยด์และฮอร์โมนที่เร่งการเจริญเติบโตผสมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ก็มีการฉีดยาเหล่านี้เข้าไปในตัวสัตว์เลย มีรายงานมาแล้วว่าคนที่กินเนื้อสัตว์เหล่านี้ก็จะได้รับยาเหล่านี้เข้าไปในร่างกายด้วยและมีโอกาสที่ยาปฏิชีวนะในเนื้อสัตว์จะไปลดประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะที่มนุษย์เราใช้ในเวลาที่เราเจ็บป่วยไม่สบาย
บางคนคิดว่าอาหารมังสวิรัติจะขาดธาตุบำรุง แต่ ดร. มิลเลอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมชาวอเมริกันซึ่งรักษาคนไข้ในฟอร์โมซามาสี่สิบกว่าปีแล้วเขาตั้งโรงพยาบาลซึ่งมีแต่อาหารมังสวิรัติสำหรับให้เจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลและคนป่วยทุกคน เขากล่าวว่า “หนูเป็นสัตว์ประเภทที่กินได้ทั้งเนื้อและพืชผักแต่ถ้าแยกหนูสองตัวมาเลี้ยงคนละแบบ ตัวหนึ่งให้กินเนื้อส่วนอีกตัวให้กินพืชผักเราพบว่าการเจริญเติบโตของหนูสองตัวนี้จะเหมือนกันแต่ว่าหนูตัวที่กินพืชผักจะมีอายุยืนกว่า และมีความต้านทานต่อโรคมากกว่านอกจากนี้เมื่อหนูทั้งสองตัวเจ็บป่วย หนูตัวที่กินพืชผักก็สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าเขายังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า“ยารักษาโรคที่เราได้จากวิทยาการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มีความก้าวหน้าไปมากแต่มันก็ได้แต่รักษาโรคเท่านั้น แต่อาหารสามารถรักษาสุขภาพของเราได้” เขาอธิบายว่า “อาหารจากพืชเป็นแหล่งของสารอาหารโดยตรงมากกว่าเนื้อสัตว์ คนกินเนื้อสัตว์แต่ว่าแหล่งของสารอาหารสำหรับสัตว์ที่เรากินนั้น ก็คือพืชสัตว์ส่วนใหญ่จะอายุไม่ยืน และก็มีโรคเกือบจะทุกชนิดที่มนุษย์เรามีเป็นไปได้มากว่าโรคของมนุษย์เรามาจากการกินเนื้อสัตว์ที่เป็นโรค เพราะฉะนั้นทำไมคนเราจึงไม่รับเอาสารอาหารจากพืชโดยตรงเล่า?” ดร.มิลเลอร์แนะว่าเพียงแต่เรากินข้าว ถั่ว ผักผลไม้เราก็จะได้รับธาตุบำรุงที่จำเป็นในการบำรุงรักษาสุขภาพของเราให้ดีแล้ว
หลายคนมีความคิดว่า โปรตีนจากเนื้อสัตว์ดีกว่า เหนือกว่าโปรตีนจากพืชเพราะว่าอย่างแรกถือเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ครบถ้วนและอย่างหลังเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ แต่ความจริงก็คือโปรตีนของพืชบางชนิดก็สมบูรณ์ครบถ้วนเช่นกันและการกินอาหารหลายอย่างที่มีโปรตีนไม่ครบ
ถ้วนร่วมกันก็สามารถได้รับโปรตีนที่สมบูรณ์ครบถ้วนได้
เมื่อเดือนมีนาคม 1988 สมาคมโภชนาการของอเมริกาประกาศว่า “ทางสมาคมขอยืนยันว่าอาหารมังสวิรัติดีต่อสุขภาพและให้คุณค่าทางโภชนาการเพียงพอหากได้รับการจัดวางแผนอย่างถูกต้องและเหมาะสม”
มักจะมีการเชื่อกันผิดๆว่าคนที่กินเนื้อจะแข็งแรงกว่าคนกินมังสวิรัติแต่ในการทดลองที่ทำโดยศาสตราจารย์เออร์วิง ฟิชเชอร์ แห่งมหาวิทยาลัยเยลกับคนที่กินมังสวิรัติ 32 คน และคนที่กินเนื้อ 15 คนแสดงให้เห็นว่าคนที่กินมังสวิรัติแข็งแรงทนทานมากกว่าคนที่กินเนื้อโดยเขาให้คนเหล่านี้ยกแขนขึ้นทั้งสองแขนให้นานเท่าที่จะทำได้ผลของการทดลองปรากฏให้เห็นชัดเจนมากคือ ในระหว่างคนกินเนื้อทั้ง 15 คนมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่สามารถยกแขนได้นานสิบห้าถึงสามสิบนาทีแต่ในคนที่กินมังสวิรัติ 32 คนนั้น มีถึง 22 คนที่สามารถยกแขนอยู่นานสิบห้าถึงสามสิบนาทีและมีถึง 15 คนที่ยกได้นานกว่าสามสิบนาที, 9 คนยกได้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง, 4 คนยกได้นานกว่าสองชั่วโมง และมีคนที่กินมังสวิรัติคนหนึ่งสามารถยกแขนอยู่ได้นานกว่าสามชั่วโมง
นักวิ่งมาราธอนหลายคนก่อนจะลงแข่งขันจะกินอาหารมังสวิรัติเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอควรระยะหนึ่งดร. บาร์บารา มอร์ ผู้เชี่ยวชาญการรักษาโรคด้วยอาหารมังสวิรัติสามารถวิ่งแข่งมาราธอนระยะทางหนึ่งร้อยสิบไมล์ โดยใช้เวลายี่สิบเจ็ดชั่วโมงสามสิบนาที เธอเป็นผู้หญิงอายุถึงห้าสิบหกปีแล้วที่สามารถทำลายสถิติที่ผู้ชายหนุ่มๆทั้งหลายเคยทำไว้ เธอกล่าวว่า “ฉันอยากจะเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่าผู้ที่กินมังสวิรัติทุกมื้อจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจิตใจแจ่มใสและมีชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์”
คนที่กินมังสวิรัติจะได้รับโปรตีนมากพอหรือในอาหารที่กินเข้าไป? สำหรับเรื่องนี้องค์การอนามัยโลกได้แนะนำไว้แล้วว่า 4.5% ของจำนวนแคลอรี่ในแต่ละวันควรจะได้มาจากโปรตีนแต่ข้าวสาลีมีจำนวนแคลอรี่จากโปรตีนถึง 17% บร็อคโคลีมี 45% และข้าวมี 8% จึงเป็นการง่ายมากเลยที่จะได้อาหารที่อุดมด้วยโปรตีนโดยไม่ต้องกินเนื้อสัตว์ทั้งยังได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่มีสาเหตุมาจากอาหารที่มีไขมันสูงเช่นโรคหัวใจ และโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ดังนั้นการกินมังสวิรัติจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
มีการพิสูจน์แล้วว่า โรคหัวใจ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และการหมดสติกะทันหันจากโรคหัวใจมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อสัตว์และอาหารจากสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวอยู่มากและยังมีโรคอื่นๆซึ่งมักจะป้องกันและบางครั้งก็รักษาได้โดยการกินอาหารมังสวิรัติที่มีไขมันต่ำได้แก่ โรคนิ่วในไต โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคเบาหวาน โรคแผลในกระเพาะอาหารโรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคลำไส้ โรคข้ออักเสบ โรคเหงือก สิว โรคมะเร็งตับอ่อนโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โรคน้ำตาลในเลือดต่ำ โรคท้องผูกโรคไดเวอร์ติคูโลสิสโรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็งรังไข่ โรคริดสีดวง โรคอ้วนและโรคหืด
นอกจากการสูบบุหรี่แล้วไม่มีอะไรที่เป็นการเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพของคนเรามากกว่าการกินเนื้อ
นิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม
การเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อทำให้เกิดผลตามมาได้แก่การที่ป่าดงดิบจะถูกทำลายเกิดความร้อนบนโลกสูงขึ้น น้ำเสีย ขาดแคลนน้ำ เกิดภาวะแห้งแล้งเป็นทะเลทรายมีการใช้แหล่งพลังงานไปอย่างผิดๆ และเกิดความอดอยากบนโลก การใช้ผืนดิน น้ำพลังงานและกำลังคน เพื่อผลิตเนื้อออกมาไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรของโลกเลย
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 มาแล้วป่าดงดิบของอเมริกากลางถูกเผาและหักร้างถางพงไปมากกว่า 25% แล้วเพื่อทำเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงวัว ประมาณกันว่าแฮมเบอร์เกอร์ทุกๆสี่ออนซ์ได้มาจากการทำลายป่าดงดิบในเขตร้อนไปเป็นเนื้อที่ถึง 55 ตารางฟุต นอกจากนี้การเลี้ยงปศุสัตว์ยังทำให้เกิดก๊าซสามชนิดที่ทำให้โลกร้อนขึ้นและทำให้เกิดภาวะน้ำเสียการผลิตเนื้อหนึ่งปอนด์ต้องใช้น้ำในปริมาณที่มากอย่างน่าตกใจ คือใช้น้ำถึง 2464 แกลลอน ในขณะที่การผลิตมะเขือเทศหนึ่งปอนด์จะใช้น้ำเพียง 29 แกลลอนเท่านั้นการผลิตขนมปังโฮลวีทน้ำหนักหนึ่งปอนด์แถวหนึ่งจะใช้น้ำ 139 แกลลอนปริมาณน้ำที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาเกือบครึ่งหนึ่งเอาไปใช้ในการปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงวัวควายและปศุสัตว์อื่นๆ
จะมีคนมากมายกว่านี้ที่สามารถมีอาหารกินถ้าทรัพยากรที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์จะถูกใช้ในการผลิตข้าวเพื่อเลี้ยงประชากรของโลกผืนดินหนึ่งเอเคอร์ที่ปลูกข้าวโอ๊ตจะทำให้ได้โปรตีนปริมาณ 8 เท่าและได้ปริมาณแคลอรี่ 25 เท่าถ้าหากว่านำข้าวโอ๊ตนั้นมาเลี้ยงคนแทนที่จะเอาไปเลี้ยงสัตว์พื้นที่หนึ่งเอเคอร์ที่ใช้ปลูกบร็อคโคลี จะให้ปริมาณโปรตีน, แคลอรี่และไนอาซินเป็น 10 เท่า ของการที่จะใช้พื้นที่นั้นมาผลิตเนื้อสถิติต่างๆทำนองนี้มีอยู่มากมายทรัพยากรของโลกจะถูกใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าถ้าพื้นที่ที่ใช้ในการผลิตปศุสัตว์จะถูกเปลี่ยนมาใช้ปลูกพืชผลมาเลี้ยงคนแทน
การกินมังสวิรัติจะทำให้เรา “เหยียบย่ำไปบนแผ่นดินโลกแบบเบาๆมากขึ้น” นอกจากนั้นการที่เราเอาสิ่งใดมาเพียงเท่าที่เราจำเป็นเท่านั้นและลดส่วนที่เกินต้องการลงเราก็จะรู้สึกดีขึ้นด้วยที่รู้ว่า สิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งไม่ต้องตายไปทุกครั้งที่เรากินอาหารมื้อหนึ่ง
ความหิวโหยในโลก
คนเกือบหนึ่งพันล้านคนต้องทุกข์ทรมานจากความหิวโหยและการขาดอาหารในโลกนี้ทุกๆปีจะมีผู้ที่ตายเพราะความอดอยากเป็นจำนวนมากกว่า 40 ล้านคนส่วนมากเป็นพวกเด็กๆทั้งๆที่เป็นอย่างนี้แต่ผลการเก็บเกี่ยวข้าวของโลกมากกว่าหนึ่งในสามกลับเอาไปใช้เลี้ยงปศุสัตว์แทนที่จะเอามาใช้เลี้ยงคน ในประเทศสหรัฐอเมริกาปศุสัตว์บริโภคผลผลิตข้าวถึง 70% ของผลิตผลทั้งหมด ถ้าเราเอามาเลี้ยงคนแทนที่จะเลี้ยงสัตว์ก็จะไม่มีใครหิวโหยเลย
ความทุกข์ทรมานของสัตว์
ทราบไหมว่าวัวมากกว่า 100,000 ตัว ถูกฆ่าทุกวันในสหรัฐอเมริกา?
สัตว์ส่วนมากในประเทศทางตะวันตก ถูกเลี้ยงใน “ฟาร์มแบบโรงงาน” สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ได้รับการออกแบบเพื่อผลิตสัตว์ออกมาสำหรับฆ่าให้ได้จำนวนมากที่สุดโดยเสียค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดสัตว์ทั้งหลายถูกนำมาเลี้ยงอยู่ด้วยกันอย่างแออัดทำให้รูปร่างพิกลพิการ และได้รับการปฏิบัติเหมือนกับมันเป็นเครื่องจักรสำหรับเปลี่ยนอาหารที่กินเข้าไปให้กลายเป็นเนื้อเรื่องนี้เป็นความจริงที่พวกเราส่วนใหญ่จะไม่เคยได้เห็นด้วยตาของเราเองกล่าวกันว่า “การเข้าไปดูในโรงฆ่าสัตว์หนึ่งครั้ง จะทำให้คุณเป็นมังสวิรัติไปตลอดชีวิต”
ลีโอตอลสตอย กล่าวว่า “ตราบใดที่ยังมีโรงฆ่าสัตว์ ตราบนั้นก็จะยังมีสงครามอาหารมังสวิรัติเป็นบททดสอบอันเข้มงวดสำหรับความมีมนุษยธรรมของมนุษย์” ถึงแม้ว่าพวกเราส่วนมากจะไม่ยินยอมหรือให้อภัยต่อการฆ่าเท่าใดนักแต่เราก็ค่อยๆพัฒนานิสัยในการกินเนื้อกันจนเป็นปกติวิสัยด้วยการสนับสนุนจากสังคมรอบข้าง โดยไม่ได้รู้หรือไม่ได้สนใจจริงๆเลยว่าสัตว์ที่เรากินกันเข้าไปนั้นถูกกระทำอะไรมาบ้าง และกำลังถูกทำอะไรอยู่
กลุ่มเพื่อนนักบุญ
ตั้งแต่แรกเริ่มของประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้เราจะเห็นได้ว่าพืชเป็นอาหารธรรมชาติของมนุษย์ตลอดมาในตำนานของกรีกและฮีบรูล้วนเขียนบรรยายว่ามนุษย์เราแต่เดิมนั้นกินผลไม้พระสงฆ์ของอียิปต์ในสมัยโบราณไม่เคยกินเนื้อสัตว์นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของกรีกหลายคน เช่น เพลโต ไดโอเจนิส และโสเครติสล้วนส่งเสริมให้กินมังสวิรัติ
ในประเทศอินเดีย พระศากยมุนีพุทธเจ้าเน้นความสำคัญของอหิงสา (Ahimsa) คือกฎของการไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิตท่านเตือนไม่ให้ศิษย์ทั้งหลายของพระองค์กินเนื้อสัตว์โดยเกรงว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆจะพากันหวาดกลัวพวกเขา ท่านตรัสไว้ดังนี้“การกินเนื้อเป็นเพียงนิสัยที่สะสมมาอย่างหนึ่งเท่านั้นในตอนแรกเริ่มนั้น เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยากที่จะกินเนื้อสัตว์” “คนที่กินเนื้อสัตว์จะทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งเมตตาธรรมของพวกเขา” “คนกินเนื้อสัตว์จะฆ่ากันไปฆ่ากันมา และกินกันไปกินกันมา.....ชาตินี้ฉันกินเธอชาติหน้าเธอกินฉัน...... เป็นอย่างนี้ตลอดไปเสมอแล้วพวกเขาจะออกจากไตรภูมิ(แห่งมายา) นี้ได้อย่างไรกัน?”
ผู้ที่นับถือเต๋าในยุคแรกๆและผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์และศาสนายิวในยุคแรกๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นมังสวิรัติเกี่ยวกับเรื่องนี้มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่า“และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าฉันให้เมล็ดพืชและผลไม้นานาชนิด เพื่อให้เธอกินแต่สำหรับสัตว์ป่าและนกทั้งหลายฉันให้หญ้าและใบพืชทั้งหลายเป็นอาหาร” (เจเนซิส 1: 29) ตัวอย่างอื่นๆที่ห้ามการกินเนื้อในคัมภีร์ไบเบิลก็มีอีกเช่น“เธอต้องไม่กินเนื้อและเลือดเพราะว่าชีวิตอยู่ในเลือดนั้น” (เจเนซีส 9:4) “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าใครบอกให้เธอฆ่าวัวตัวผู้และแพะตัวเมียมาบูชาฉัน? จงล้างตนเองออกจากเลือดของผู้บริสุทธิ์เหล่านี้เพื่อที่ฉันอาจจะฟังคำอธิษฐานของเธอมิฉะนั้น ฉันจะหันหน้าหนี เพราะว่ามือของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจงสำนึกผิดและสารภาพบาปเสีย เพื่อที่ฉันจะได้ให้อภัยแก่เธอ”และนักบุญปอล, ศิษย์ของพระเยซูคนหนึ่ง, ก็ได้กล่าวไว้ในจดหมายที่เขียนถึงชาวโรมันว่า “ทางที่ดีที่สุดก็คืออย่ากินเนื้อหรือดื่มไวน์” (โรมัน 14:21)
เมื่อเร็วๆนี้นักประวัติศาสตร์ได้พบหนังสือโบราณที่เขียนบรรยายชีวิตความเป็นอยู่และคำสอนของพระเยซูพระเยซูกล่าวไว้ว่า “คนที่กินเนื้อสัตว์จะกลายเป็นหลุมฝังศพของตัวเอง ฉันขอบอกพวกเธอตามความจริงว่าคนที่ฆ่าผู้อื่นก็จะถูกฆ่าด้วย คนที่ฆ่าสิ่งมีชีวิตและกินเนื้อของมันผู้นั้นกำลังกินเนื้อของคนตาย”
ศาสนาต่างๆของอินเดียก็หลีกเลี่ยงการกินเนื้อเช่นกัน มีกล่าวไว้ว่า“มนุษย์เราไม่มีทางกินเนื้อสัตว์ได้โดยที่ไม่มีการฆ่ามันผู้ที่ทำร้ายสรรพสัตว์ทั้งหลายจะไม่มีวันได้รับพรจากพระเจ้าเพราะฉะนั้นจงหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์!” (กฎศาสนาฮินดู)
คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม คือคัมภีร์กุรอ่าน ก็ห้าม“การกินสัตว์ที่ตายแล้ว ทั้งเลือดและเนื้อ”
อาจารย์เซ็นผู้ยิ่งใหญ่ชาวจีนผู้หนึ่งคือท่าน ฮั่น ชัน จื๊อเขียนบทกวีที่ต่อต้านการกินเนื้ออย่างแข็งขันว่า“รีบไปตลาดหาซื้อเนื้อซื้อปลามาให้ภรรยาและลูกๆของเธอกินแต่ทำไมชีวิตของมันจึงจำต้องถูกคร่าไป เพื่อบำรุงรักษาชีวิตของเธอด้วยเล่า? มันไม่มีเหตุผลเลย มันจะไม่ทำให้เธอมีบุญสัมพันธ์กับสวรรค์แต่กลับจะทำให้เธอกลายเป็นกากตะกอนในนรก!”
นักเขียนศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญาและบุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกมากมายหลายคนก็เป็นผู้กินมังสวิรัติบุคคลต่างๆต่อไปนี้ล้วนยอมรับการกินมังสวิรัติอย่างมากทั้งสิ้น ได้แก่พระศากยมุนีพุทธเจ้า, พระเยซู, เวอร์จิล, ฮอเรซ, เพลโต, โอวิด, เพแทรค, ปิธาโกรัส, โสเครติส, วิลเลียม เช็คสเปียร์, วอลแตร์, เซอร์ไอแซค นิวตัน, ลีโอนาโดดาวินชี, ชารลส์ ดาร์วิน, เบนจามิน แฟรงคลิน, ราลฟ์ วอลโด อีเมอร์สัน, เฮนรี่ เดวิดธอโร, เอมิล โซลา, เบอร์ตรานด์ รัสเซล, ริชาร์ด วากเนอร์, เปอรซี่ บิสเช เชลลี่, เอช.จี.เวลส์, อัลเบิร์ต ไอนสไตน์, ระพินทรนาถ ตากอร์, ลีโอ ตอลสตอย, จอร์จเบอร์นาร์ดชอว์, มหาตมะ คานธี, อัลเบิร์ต ชวิตเซอร์ และในสมัยนี้ก็มี พอล นิวแมน, มาดอนนา, เจ้าหญิงไดอานา, ลินด์เซย์ วากเนอร์, พอล แมคคาร์ทนี และแคนดิซ เบอร์เกน
อัลเบิร์ตไอนสไตน์ กล่าวว่า“ฉันคิดว่าการเปลี่ยนแปลงและผลของอาหารมังสวิรัติที่ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มีความบริสุทธิ์ขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากทีเดียวดังนั้นมันจึงเป็นสิริมงคลและมีสันติสุขสำหรับคนเราที่จะเลือกการกินมังสวิรัติ”คำกล่าวเหล่านี้เป็นคำแนะนำร่วมกันของนักปราชญ์และบุคคลสำคัญหลายท่านทั้งในอดีตและปัจจุบัน!
สำหรับผู้อ่านท่านใดสนใจจะหันมาทานมังสวิรัติ เมื่อคิดแล้วควรจะเริ่มเลย อย่าคิดว่านี่คือเรื่องใหญ่หรืออาจจะยุ่งยากกับชีวิตประจำวันของเรา ต้องมองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ ผู้เขียนเองก็เช่นกัน เคยมีรุ่นพี่ที่เคารพท่านนึง แนะนำผู้เขียนด้วยประโยคง่ายๆว่า “ถ้าทานเจบริสุทธิ์ยังไม่ได้ ก็ลองทานเจเขี่ยไปก่อน” คือเขี่ยเอาเนื้อสัตว์ออกกินเฉพาะผักนะคะ ทานแบบนี้ไปซักพักเราก็จะเริ่มชิน และในที่สุดเราก็จะติดใจในรสชาดของผักไปเอง โดยไม่ต้องบังคับตัวเองเลย. แถมได้บุญและลดกรรมได้อีกต่างหาก .......
รวบรวมข้อมูลและเขียนเพิ่มเติม โดย ชนิดา เชิงสะอาด